Runway ทำให้ข้อความหรือรูปภาพ เคลื่อนไหวได้

RunwayML เป็นชุดเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการสร้างไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ และไฟล์เสียง อีกทั้งยังสามารถแก้ไของค์ประกอบของรูปภาพและวิดีโอได้

โดยมี AI Magic Tools เป็นเครื่องมือที่ที่ช่วยในการสร้างสรรค์ รวมถึงการสร้างและแก้ไข วิดีโอ รูปภาพ และการฝึกโมเดลประเภทต่าง ๆ ตามความต้องการ มากกว่า 30 รายการ เช่น Motion Brush, Generate Videos, Generate images, Erase Things from Videos

คุณสามารถเขา้ใช้งาน Runway ได้ที่เว็บไซต์ https://runwayml.com/ และ AppStore สำหรับ Smartphone IOS เท่านั้น

Continue reading “Runway ทำให้ข้อความหรือรูปภาพ เคลื่อนไหวได้”

ChatGPT – AI Chatbot

ChatGPT เป็นเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ประเภท AI Chatbot ซึ่งมีลักษณะเป็นการป้อนคำสั่งให้ AI ทำงานด้วยวิธีการพูดคุย สนทนา โต้ตอบกับ AI โดยใช้ภาษาปกติของมนุษย์ โดยเป็นการพัฒนา Machine Learning ให้ AI เรียนรู้และเลียนแบบโครงสร้างภาษาของมนุษย์ (Natural Language Processing) โดยการ Training ป้อนด้วยข้อมูลจากคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่จัดเก็บไว้แบบ Offline (GPT : Generative Pre-trained Transformers are a type of large language model; LLMs)

ความสามารถที่มี อาทิ สั่งให้ช่วยค้นหาข้อมูล ช่วยแต่งประโยคแบบมนุษย์ได้ เช่น เขียนเนื้อหาอีเมล ช่วยในการเขียนเนื้อหาของบทความ เรียงความ ที่มีความถูกต้องของไวยากรณ์ Grammar ได้ เขียน Resume แต่งบทกวี บทเพลง ช่วยให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ เช่น วางแผนโปรแกรมการท่องเที่ยว เป็นต้น ช่วยสรุปเนื้อหา ซี่งสามารถปรับแต่งรายละเอียดเนื้อหาคำถาม เพื่อให้ AI ปรับปรุงข้อมูลคำตอบที่เฉพาะเจาะจงหรือตรงกับคำถามได้

ฟังก์ชันความสามารถ:

  • Natural Language Understanding: เข้าใจและสามารถสร้างข้อความเลียนแบบภาษามนุษย์ได้ ตอบสนองข้อความที่ป้อนข้อมูลให้ไป
  • Contextual Understanding: การสร้างข้อความสื่อสารโต้ตอบ สามารถเข้าใจและอ้างอิงเนื้อหาคำถามคำตอบที่อยู่ในบทสนทนาได้ เช่น ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนคำถามแบบเฉพาะเจาะจงหรือเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม และมีการอ้างอิงถึงคำถามก่อนหน้า สามารถปรับคำตอบให้สอดคล้องกับคำถามได้
  • Content Creation: ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหา อาทิ การเขียนบทความ การแต่งเนื้อหาสำหรับส่งอีเมลการสร้างสรรค์แต่งประโยคเนื้อหา ตามเงื่อนไขที่ผู้ใช้กำหนดให้ได้
  • Language Translation: ความสามารถในการแปลภาษา เปลี่ยนจากภาษาหนี่งไปเป็นอีกภาษาได้
  • Text Summarization: ความสามารถในการสรุปเนื้อหาสาระสำคัญหลัก จากเนื้อหาที่กำหนดให้ได้
  • General Knowledge a wide range of topics up and not real-time information, Question Answering: ความสามารถในการค้นหาและตอบคำถาม ครอบคลุมเนื้อหาความรู้ทั่วไป แต่ไม่ได้เป็นแบบ real-time โดยมีข้อจำกัดคือข้อมูลอัพเดทถึง January 2022
  • Programming Assistance: ช่วยสร้างโค้ดภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้
  • Conversation and Chat: ออกแบบมาให้สามารถโต้ตอบ พูดคุย สนทนาได้
  • Personal experiences or opinions : การโต้ตอบสนองถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งของข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงเกิดจากการเรียนรู้ขึ้นในระหว่างที่ AI ถูกได้รับการเทรนนิ่ง ผลลัพธ์จึงไม่อาจรับประกันความถูกต้องได้ทั้งหมด และข้อมูลอาจไม่เป็นปัจจุบัน

Requirements:

  • อุปกรณ์/platform : เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows, macOS, Linux สมาร์ทโฟน/Tablets
  • เว็บเบราว์เซอร์: Google Chrome, Mozilla Firefox, Safari, or Microsoft
  • การเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต: เนื่องจากต้องส่งคำสั่งไปประมวลผลแบบออนไลน์.
  • คีย์บอร์ดหรือส่วนป้อนข้อมูล: สำหรับพิมพ์ป้อนคำสั่ง prompt
  • บัญชีสำหรับเข้าใช้งาน สำหรับบางระบบปฏิบัติการ แต่โดยทั่วไปเปิดให้เข้าใช้แบบไม่ต้องมีบัญชี

ดัชนีเมืองอัจฉริยะปี 2023 โดย IMD (IMD Smart City Index 2023)

หลายคนอาจเคยได้ยินดัชนีเมืองอัจฉริยะของ IMD แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร วันนี้จะเป็นโอกาสดีที่เราจะมาทำความรู้จักดัชนีเมืองอัจฉริยะปี 2023 วิธีการจัดอันดับและผลการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะของปี 2023

รู้จักดัชนีเมืองอัจฉริยะปี 2023
ดัชนีเมืองอัจฉริยะเป็นการจัดอันดับเมืองอัจฉริยะในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยในปี 2023 มี 141 เมือง ได้รับการจัดอันดับโดย IMD ผลการจัดอันดับเผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/wp-content/uploads/2023/04/smartcityindex-2023-v7.pdf ในปี 2022 ไม่มีการจัดอันดับโดย IMD มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับการจัดอันดับในปี 2023 คือ 1. The World Smart Sustainable Cities Organization (WeGO) เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ IMD ทางด้านความรู้ 2. จำนวนเมืองที่ได้รับการจัดอันดับเพิ่มจาก 118 เมือง ในปี 2021 เป็น 141 เมือง ในปี 2023 เพื่อมุ่งไปที่การจัดอันดับของทั่วโลก และ 3. วิธีการที่ใช้ในการจัดอันดับของปี 2023 ได้รับการปรับให้ดีขึ้น

วิธีการจัดอันดับของปี 2023
ดัชนีเมืองอัจฉริยะปี 2023 ประเมินการรับรู้ (perception) ของผู้อยู่อาศัย 120 คนในแต่ละเมือง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ 1. โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในเมืองของตน และ 2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในเมืองของตน โดยภายใต้ 2 ประเด็นนี้จะมีการประเมินประเด็นย่อย 5 ประเด็น คือ สุขภาพและความปลอดภัย ความคล่องตัว กิจกรรม โอกาส และการกำกับดูแล คะแนนสุดท้ายของแต่ละเมืองถูกคำนวณโดยใช้การรับรู้ของการสำรวจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีน้ำหนัก 3:2:1 สำหรับปี 2023:2021:2020 ทั้งนี้เมืองต่างๆ ที่ถูกสำรวจจะได้รับการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามคะแนนดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index หรือ HDI) ของ Global Data Lab ของเมืองที่ตนอยู่อาศัย ภายในกลุ่ม HDI แต่ละกลุ่ม เมืองจะได้รับ ‘ระดับคะแนน’ (AAA ถึง D) ขึ้นอยู่กับคะแนนการรับรู้ของเมืองหนึ่งๆ เทียบกับคะแนนของเมืองอื่นๆ ทั้งหมดในกลุ่มเดียวกัน

ผลการจัดอันดับของปี 2023
เมือง Zurich ประเทศ Switzerland ได้อันดับ 1 รองลงมา คือ เมือง Oslo ประเทศ Norway ถัดมาเป็นเมือง Canberra ประเทศ Australia อันดับ 4 คือ เมือง Copenhagen ประเทศ Denmark ส่วนอันดับ 5 คือ Lausanne ประเทศ Switzerland อันดับ 6 คือ เมือง London ประเทศ United Kingdom อันดับ 7 คือ เมือง Singapore อันดับ 8 คือ เมือง Helsinki ประเทศ Finland อันดับ 9 คือ เมือง Geneva ประเทศ Switzerland และอันดับ 10 คือ เมือง Stockholm ประเทศ Sweden ในขณะที่ประเทศไทยมี Bangkok เพียงเมืองเดียวเข้าร่วมในการจัดอันดับ โดยได้อันดับ 88 ส่วนในปี 2021 ได้อันดับ 86

ถ้าไม่รวมเมือง Abu Dhabi และ Dubai ประเทศ United Arab Emirates เมืองทั้งหมดที่ติด 20 อันดับแรก มาจาก Europe หรือ Asia-Pacific ไม่พบเมืองจาก America หรือ Africa ใน 20 อันดับแรก เมือง New York ประเทศ USA ได้อันดับที่ 22 ในขณะที่เมือง Cairo ประเทศ Egypt มีอันดับ 108 เป็นเมืองใน Africa ที่มีอันดับดีสุด เมือง Medellin ประเทศ Colombia ได้อันดับ 118 เป็นเมืองที่มีอันดับดีสุดใน South America จากเมืองที่ติด 20 อันดับแรก มีอยู่ 6 เมือง มีผลการจัดอันดับดีขึ้นเรื่อยๆ หรือคงที่ในช่วงปี 2019 ถึง 2023 ได้แก่ 1. เมือง Zurich 2. เมือง Oslo 3. เมือง Singapore 4. เมือง Beijing ประเทศ China 5. เมือง Seoul ประเทศ South Korea 6. เมือง Hong Kong เมืองขนาดใหญ่ไม่จำเป็นว่าจะได้อันดับที่ดี เช่น เมือง Boston ประเทศ USA มีอันดับ 34 และเมือง Paris ประเทศ France มีอันดับ 46

Bangkok มีอันดับ 88 ในปี 2023 จากการจัดอันดับประเทศทั้งหมดทั่วโลก 141 ประเทศ และมีอันดับ 86 ในปี 2021 จากการจัดอันดับของประเทศทั้งหมด 118 ประเทศ แสดงว่า Bangkok ยังคงรักษาอันดับที่ค่อนไปทางที่ไม่ดีในช่วงปี 2021 และ 2023 ทำให้ต้องพัฒนาอีกหลายด้านเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้อาศัยในเมืองดีขึ้น จะทำให้ในปี 2024 คงได้ข่าวดีว่า Bangkok มีอันดับที่ดีขึ้นมาก

ที่มา: IMD (2023). IMD Smart City Index Report 2023. https://www.imd.org/wp-content/uploads/2023/04/smartcityindex-2023-v7.pdf

 

 

ข่าว BCG จากแหล่งข่าวภายนอก 2566

 

=> ข่าว BCG จากแหล่งข่าวภายนอก 2565
=> ข่าว BCG จากแหล่งข่าวภายนอก 2564

เทคโนโลยีการจับคาร์บอน (carbon capture)

เรียนรู้หลักการของเทคโนโลยีการเก็บและการจับคาร์บอน (carbon capture and storage (CCS) technology) และเทคโนโลยีการเก็บ การใช้ประโยชน์ และการจับคาร์บอน (carbon capture, utilization and storage (CCUS) technology) รวมถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนและความจำเป็นในการขับเคลื่อน และเหตุผลหลักที่ทำให้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนมีอนาคตที่ดี

เหมือนหรือต่างระหว่างหลักการของเทคโนโลยี CCS และ CCUS
เทคโนโลยี CCS เกิดขึ้น เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ เทคโนโลยี CCS เกี่ยวข้องกับการจับคาร์บอนจากอุตสาหกรรมและกระบวนการผลิต และขนส่งคาร์บอนไปยังโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อยู่ชั้นใต้ดิน (underground geological formations) เพื่อไม่ให้คาร์บอนไปทำลายชั้นบรรยากาศและไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก (greenhouse effect) ส่วนเทคโนโลยี CCUS เหมือนกับเทคโนโลยี CCS ในบางขั้นตอน แต่ไม่มีการขนส่งคาร์บอนไปชั้นใต้ดิน คาร์บอนจะถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่น หรือเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและพลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้

ประโยชน์ของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนและความจำเป็นในการขับเคลื่อน
การใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนอย่างกว้างขวางจะช่วยทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้โดย the Center for Climate and Energy Solutions (C2ES) พบว่า เทคโนโลยีการจับคาร์บอน ถ้าได้รับการจัดการที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่ 14 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2050 เมื่อพิจารณาร่วมกับมาตรการลดคาร์บอนอื่นๆ เทคโนโลยีการจับคาร์บอนเป็นตัวสำคัญที่สุดในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) บอกว่า เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องอยู่ในแผนการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก รายงานโดย McKinsey พบว่า การใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนทั่วโลกต้องขยาย 120 เท่า จากระดับปัจจุบันในปี 2050 เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ตะวันออกกลางใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนนำหน้าภูมิภาคอื่นในโลก

เทคโนโลยีการจับคาร์บอนช่วยลดปัญหาความแห้งแล้งของภูมิภาคที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อากาศที่ร้อนและแห้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นความร้อน และความแห้งแล้ง ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจาก NASA ในปี 2050 มากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของโลก จะเจอปัญหาความแห้งแล้ง ข้อมูลโดย the UN Convention to Combat Desertification (UNCCD) ความแห้งแล้งทำให้ 650,000 คน เสียชีวิตระหว่างปี 1970 และ 2019 ทำให้เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก และทำให้ประมาณ 55 ล้านคน ได้รับผลกระทบทั่วโลกต่อปี รายงานโดย UN

งานวิจัยของ Bloomberg NEF เมื่อเร็วๆ นี้ รายงานว่า การกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 1.5-15.5 กิกะตัน จะเกิดขึ้นในปี 2030-2050 เพื่อทำให้การร้อนขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่มากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทำนายว่า 10 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกกำจัดเป็นประจำทุกปีจากบรรยากาศในปี 2050 และเพิ่มการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 20 กิกะตันต่อปี ในปี 2100

เหตุผลหลักที่ทำให้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนมีอนาคตที่ดี
1. อุตสาหกรรมหนักกำลังใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอน
2. รัฐบาลทั่วโลกกำลังสนับสนุนเทคโนโลยีการจับคาร์บอน
3. ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดการแก้ปัญหาข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนมากขึ้น

เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ต้องมีการพูดคุยระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาการจัดการคาร์บอนและภูมิอากาศ

Climate change สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อโลก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีการจับคาร์บอน เพื่อไม่ให้คาร์บอนไปทำลายชั้นบรรยากาศและไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ทั้งนี้ต้องการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ต้องมีการพูดคุยระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาการจัดการคาร์บอนและภูมิอากาศ เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องอยู่ในแผนการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก

ที่มา:
1. Ayla Majid (October 16, 2023). Why carbon capture is key to reaching climate goals. https://www.weforum.org/agenda/2023/10/why-carbon-capture-is-key-to-reaching-climate-goals/
2. Jason Kraynek (October 5, 2022). 3 reasons why the future of carbon capture looks promising. https://www.weforum.org/agenda/2022/10/3-reasons-why-future-of-carbon-capture-looks-promising/
3. Victoria Masterson (August 2, 2022). These NASA images show the staggering impact of drought. https://www.weforum.org/agenda/2022/08/nasa-lake-mead-water-drought/

diigo เว็บไซต์จัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ที่สนใจ

diigo เป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ในการทำ social bookmarking

social bookmarking เหมือนการจัดเก็บเว็บไซต์ทั่วไป แต่มีการแบ่งปันเว็บไซต์ที่ถูกเก็บกับผู้ใช้ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอื่น ๆ เมื่อพบเว็บไซต์ที่สนใจ บันทึกเว็บไซต์นั้นเข้าไปในเว็บไซต์ diigo จะทำให้สามารถเข้าสู่เว็บไซต์ที่สนใจที่ไหนก็ได้ตอนไหนก็ได้ ข้อดีอีกข้อของ social bookmarking คือ ทำให้การทำวิจัยง่ายขึ้น โดยนักวิจัยสามารถพบเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บที่มีเนื้อหาในเรื่องที่สนใจโดยง่ายจากการติดตามการจัดเก็บเว็บไซต์ของนักวิจัยคนอื่น ๆ ผ่านเว็บไซต์ diigo

diigo ช่วยในการจัดการกับเนื้อหาของเว็บไซต์ที่สนใจ ที่ถูกจัดเก็บในเว็บไซต์ diigo สามารถเพิ่มคำอธิบายลงไปในหน้าเว็บไซต์ โดยการเน้นหรือใส่ข้อความสั้น ๆ ลงไปในเนื้อหา ให้ tags ประกอบกับเนื้อหาเพื่อง่ายต่อการสืบค้นภายหลัง จัดการเนื้อหาให้เป็นระบบโดยฟังก์ชัน outliner สามารถให้เรื่องการจัดการกับเนื้อหาสามารถเห็นได้เพียงผู้จัดการเนื้อหาเพียงผู้เดียวหรือเห็นโดยบางคนได้

diigo เป็นเครือข่ายทางสังคม สามารถออกแบบให้สังคมเป็นแบบไหน อนุญาตให้มีผู้ติดตามและติดตามผู้ใช้อื่น ๆ และมองหาว่าผู้ใช้จัดเก็บเว็บไซต์อะไรในเว็บไซต์ diigo นอกจากนี้ยังสามารถสร้างกลุ่ม เชิญผู้ใช้บางคนเข้าร่วมกลุ่ม มีการแบ่งปันเนื้อหาในกลุ่ม

วิธีเริ่มต้นใช้งานเว็บไซต์ diigo
เข้าใช้งานได้ฟรี โดยสร้าง account ที่เว็บไซต์ (https://www.diigo.com/) นอกจากนี้ยังมีหลายทางเลือกในการใช้งานแบบมีค่าใช้จ่าย การเข้าใช้งานแบบฟรีพอสำหรับผู้ใช้งานเบื้องต้น

 

วิธีสร้างกลุ่มในเว็บไซต์ diigo
เมื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ diigo ได้แล้ว จะพบ 4 เครื่องมือ ได้แก่ My Library My Outliner My Groups และ Tools คลิกที่ My Groups ต่อจากนั้นสร้างกลุ่มตามต้องการ กลุ่มของ diigo ทำให้ผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มเพิ่มการจัดเก็บเว็บไซต์ เน้นเนื้อหา ใส่ข้อความสั้น ๆ ลงไปในเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เห็นเพียงตนเองและบางคน

 

วิธีจัดเก็บเว็บไซต์
จากเครื่องมือทั้ง 4 Tools จะช่วยในการจัดเก็บเว็บไซต์ เมื่อพบเนื้อหาออนไลน์ที่สนใจเหมาะสำหรับงานวิจัย ต้องจัดเก็บเว็บไซต์นั้นในเว็บไซต์ diigo

 

วิธีใส่ข้อความอธิบายในเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บ
หลังจากจัดเก็บเว็บไซต์ในเว็บไซต์ diigo สามารถเน้นเนื้อหา เพิ่มความเห็น โดยใช้ฟังก์ชัน highlight และ sticky notes

ที่มา:

1. https://www.diigo.com

2. Marcy Marbut (April 3, 2014). Diigo. https://sites.stedwards.edu/socialmedia-mmarbut/2014/04/03/diigo/
3. ALSC Children and Technology committee (December 14, 2013). Using Diigo. https://www.alsc.ala.org/blog/2013/12/using-diigo/
4. Sunita Singhal (May 20, 2020). Diigo- An ICT Tool For Knowledge Dissemination. https://www.linkedin.com/pulse/diigo-ict-tool-knowledge-dissemination-sunita-singhal

 

National AI Ecosystem

การสร้างและพัฒนาระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ (AI Ecosystem) และเชื่อมโยงแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570 ยกตัวอย่าง

  1. การยกระดับการให้บริการ “แพลตฟอร์ม AI For Thai” แพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย
  2. การพัฒนาชุดข้อมูลมาตรฐานสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการพัฒนา AI และการส่งเสริมให้เกิดการขยายผลใช้งาน
  3. การปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ดีขึ้นของ TPMAP หรือระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบมุ่งเป้า เพื่อแก้ปัญหาความยากจน
  4. การจัดตั้งเครือข่าย AI ทางการแพทย์ (Medical AI Consortium) และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดทางการแพทย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการให้บริการ AI Model ทางการแพทย์ในอนาคต

กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประชาชนทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ ภาครัฐและการศึกษา โรงพยาบาลต่างๆ

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)

  1. เกิดผลงานวิจัยจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความเสถียร ปลอดภัย สามารถรองรับข้อมูลและการทำงานของทุกภาคส่วน การสร้างเครือข่ายผู้ให้บริการ และยังสามารถพัฒนาหรือรวบรวมเทคโนโลยีฐานสำคัญทางด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศในการใช้เทคโนโลยีอันจะนำมาซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมบนฐานของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อไปในอนาคต
  2. เกิดผลงานวิจัยจากการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการ และประมวลผลข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ และสร้างคุณค่าให้กับข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยเน้นข้อมูลในสาขาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงวิจัย พัฒนา และให้คำแนะนำเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ทั้งของภาครัฐและเอกชน

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

  1. การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
  2. การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์

ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567

  1. จำนวนการใช้งานบนแพลตฟอร์มบริการ AI ไม่น้อยกว่า 15 ล้านครั้งและจะให้บริการ AI เพิ่มเติมจากเดิม ไม่น้อยกว่า 2 บริการ
  2. ชุดข้อมูลเปิดขนาดใหญ่สำหรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ จำนวน 4 ชุดข้อมูล
  3. การเพิ่มคุณภาพการบริการของ TPMAP ซึ่งจะทำให้การออกนโยบายแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  4. เพิ่มจำนวนพันธมิตรในเครือข่าย AI ทางการแพทย์ (Medical AI Consortium) อีก 2 พันธมิตร และเพิ่มจำนวนข้อมูลทางการแพทย์ในแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดทางการแพทย์

นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน

เพื่อพัฒนาชุดตรวจคัดกรองและติดตามภาวะไตเสื่อมในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง ที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์กับ อย. และผลักดันเข้าสู่ระบบสาธารณสุขของไทย เพื่อนำไปสู่การเพิ่มโอกาสการตรวจคัดกรองภาวะไตเสื่อมระยะต้นให้กับประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามารับการตรวจในโรงพยาบาลและลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของภาครัฐในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (รวม Social Impact การลดค่าใช้จ่ายในการฟอกไต เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวาย) ตลอดจนลดการนำเข้าชุดตรวจทางการแพทย์จากต่างประเทศ

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)

เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และผลักดันสู่การใช้ประโยชน์ในประชาชนร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และสามารถลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการตรวจคัดกรอง และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของภาครัฐในการรักษาโรคไต มูลค่าอย่างน้อย 1,500 ล้านบาท (รวม Social Impact การลดค่าใช้จ่ายในการฟอกไต เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวาย)

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

  1. ผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน สู่ภาคเอกชน
  2. ส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ร่วมกับภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตร ให้ได้รับการขึ้นทะเบียน อย. และนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง

ผลงานเด่น

  1. บริษัทเอกชนที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ อย่างน้อย 1 ราย
  2. สร้างความเชื่อมั่นการใช้ประโยชน์ชุดตรวจโรคไตร่วมกับพันธมิตร ด้วยการขยายผลสู่ประชาชน 2,000 คน ให้ได้รับการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
  3. รพ.สต./หน่วยงานในระบบสาธารณสุข เข้าร่วมตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน อย่างน้อย 9 แห่ง
  4. ต้นแบบนวัตกรรมชุดตรวจทางการแพทย์ภายใต้แผนงานมีระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) เพิ่มขึ้น

การพัฒนาวัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย

วัตถุประสงค์

  1. พัฒนาต้นแบบวัคซีน สำหรับโรคระบาดในสุกรและสัตว์ปีก
  2. พัฒนาต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส FMDV (สุกร)
  3. พัฒนากระบวนการ/ชุดทดสอบโรค หรือประสิทธิภาพของต้นแบบวัคซีนต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายจากโรคระบาด กรณี ASF อย่างน้อย 15,000 ล้านบาท จากการเพิ่มการเข้าถึงของผลิตภัณฑ์ควบคุมการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร
โดยการนำไปใช้ในพื้นที่ Sandbox จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม และดำเนินงานร่วมกับกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อขยายการใช้งาน Autogenous Vaccine ในวงกว้าง กลุ่มเป้าหมายฟาร์มสุกรในพื้นที่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม (พ.ศ. 2567-2571)

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)

ลดผลกระทบจากความเสียหายจากโรคระบาด กรณี ASF อย่างน้อย 15,000 ล้านบาท จากการเพิ่มการเข้าถึงของผลิตภัณฑ์ควบคุมการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยการนำไปใช้ในพื้นที่ Sandbox จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม และดำเนินงานร่วมกับกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อขยายการใช้งาน Autogenous vaccine ในวงกว้าง 

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

  1. ต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ
  2. เซลล์ไลน์สุกรชนิดใหม่
  3. วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์สำหรับ ASFV ในรูปแบบ Single-Cycle และ Gene-Deleted ASFV ที่พัฒนาขึ้นจากสายพันธุ์ไทย
  4. หน่วยงานผู้ผลิต/พัฒนาวัคซีนในไทยรับถ่ายทอดเทคโนโลยี (ราย)

ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567

  1. ต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพระดับห้องปฏิบัติการ
  2. ต้นแบบวัคซีนออโตจีนัสแบคทีเรียเชื้อตายผ่านการทดสอบในภาคสนาม (ราชบุรี)
  3. เทคนิคการสร้าง ASFV ที่มีการแสดงออกของโปรตีนอื่นด้วยวิธี Homologous recombination
  4. กระบวนการผลิตโปรตีนของไวรัส ASFV แต่ละชนิดเพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบการสร้าง ASFV ที่เพิ่มปริมาณได้ครั้งเดียว (Single-Cycle ASFV) เพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนภูมิคุ้มกันต่อไวรัส ASFV ด้วยเทคนิค ELISA

แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล Digital Healthcare Platform

พัฒนาการบริการการแพทย์ปฐมภูมิ รวมถึงการส่งต่อไปสู่การแพทย์ทุติยภูมิ/ตติยภูมิ แก้ไขปัญหาของประชาชนในเรื่องความแออัดของหน่วยบริการสาธารณสุข และอุปสรรคในการเข้าถึงหน่วยบริการ แก้ไขปัญหาหน่วยบริการสาธารณสุขที่มีภารกิจมากและหลากหลายเกินจำนวนบุคลากรที่จะรองรับได้ และขาดเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการให้รองรับผู้ป่วยให้ได้มากขึ้น รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในการเตรียมเอกสารเพื่อเบิกจ่ายผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพ โดยมีผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้ มีแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Home Ward) แพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669) แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care) แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care) สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วประเทศได้รับประโยชน์ 800,000 คน สภาเภสัชกรรม ร้านยาเภสัชชุมชน 1,500 แห่ง

โครงการที่ 1

แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Homeward) และแพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway)

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)

  1. ให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีการเจ็บป่วยเล็กน้อย ในแพลตฟอร์ม A-MED Care มากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 600,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยนอกสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีหน่วยบริการปฐมภูมิร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 1,500 แห่ง
  2. ให้บริการผู้ป่วยใน (IPD) ที่มีกลุ่มโรคตามเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ในแพลตฟอร์ม A-MED Home ward มากกว่า 25,000 ครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 20,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยในสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ/ตติยภูมิ เข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 แห่ง
  3. ให้บริการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) มียอดการเบิกจ่ายผ่านระบบฯ ไม่น้อยกว่า 500,000 ครั้งต่อปี และมีหน่วยบริการนำร่องอย่างน้อย 10 แห่ง 

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

แพลตฟอร์มการให้บริการดูแลผู้ป่วยและอำนวยความสะดวก ผ่านหน่วยบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

โครงการที่ 2

แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669)

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)

ประชาชนคนไทยและชาวต่างประเทศเข้าถึงบริการฉุกเฉินการแพทย์ 1 ล้านคนต่อปี และมีการใช้งานในโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ 400 แห่ง

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

ศูนย์ D1669 ที่เชื่อมต่อกับศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน โดยสามารถระบุพิกัดที่โทรแจ้ง และเชื่อมต่อกับเอกชนผ่าน EMS Gateway

โครงการที่ 3

แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care)

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)

ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตาม พรบ. ของกรมควบคุมโรค (คร.) ผ่าน 1442 และแอปพลิเคชัน โดยประชาชนในโรงงานที่ติดตามสุขภาพ 1 ล้านคน มีผู้เข้ารับการอบรมการใช้งานไม่น้อยกว่า 500 แห่ง ภายใต้กรมควบคุมโรค (คร.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) โรงพยาบาลรัฐบาล ไม่น้อยกว่า 500 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน ไม่น้อยกว่า 200 แห่ง

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

ระบบบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรค ติดตั้งให้กับกรมควบคุมโรค โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการเฝ้าระวังโรค และประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการเฝ้าระวังโรคแบบ Location-based ได้

โครงการที่ 4

แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care)

เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)

เกิดการใช้งานโดยโรงพยาบาลรัฐบาลทั่วประเทศ รพ.สต. ทั่วประเทศ สำหรับคนพิการทางการ ได้ยินที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่น้อยกว่า 1,000 แห่ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ 7,000 คน เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล 1,000 คน และคนพิการทางการได้ยินเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 10,000 คน

แผนงาน/สิ่งส่งมอบ

ระบบบริการล่ามทางไกลโดยการเชื่อมต่อการสื่อสาร สำหรับเข้าถึงบริการแบบปกติ แบบฉุกเฉิน และแบบ Telehealth เพื่อคนพิการทางการได้ยิน

ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567

  1. A-MED Care สำหรับร้านยา มีร้านยาเข้าร่วม 1,500 แห่ง
  2. A-MED Care สำหรับคลินิกพยาบาล มีคลินิกเข้าร่วม 300 แห่ง
  3. A-MED Homeward มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 500 แห่ง
  4. ระบบ e-Claim Gateway สำหรับการเบิกจ่าย กองทุน สปสช. มีอย่างน้อย 10 หน่วยบริการที่ใช้งาน
  5. ระบบ UCEP ในส่วนการประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน (Pre-Authorization) ของ สพฉ มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 300 แห่ง