หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
งานวิจัยชุดตรวจโควิดของไทยร่วมแข่งขันระดับโลก มุ่งสู่การขยายผลไปใช้ทั่วโลก
For English-version news, please visit : COVID-19 test from Thailand among finalists in the XPRIZE rapid COVID testing competition ทีมนักวิจัยไทยจากไบโอเทค สวทช. และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมส่งผลงานวิจัยชุดตรวจโควิด-19 แบบเร็ว อ่านผลง่ายและแม่นยำในขั้นตอนเดียว รวมทั้งมีราคาถูก เข้าประกวดโครงการ “Rapid COVID Testing” ของมูลนิธิ XPRIZE (ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ดำเนินการระดมทุนแบบ Crowd Funding เพื่อแก้ปัญหาระดับโลกในมิติต่างๆ) และเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 63 XPRIZE ได้ประกาศผลการคัดเลือกโดยผลงานของนักวิจัยไทยเป็นหนึ่งใน 20 ผลงานเพื่อทดสอบแข่งขันในรอบสุดท้าย (Finalists) จาก 702 ผลงานที่ส่งเข้าแข่งขันเบื้องต้นจากทั่วโลก ถือเป็นผลงานหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเซียที่ได้รับคัดเลือก ร่วมกับทีมนักประดิษฐ์จากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี จากนี้ไป ทีมนักวิจัยมีเวลาอีก 2 สัปดาห์ ในการส่งชุดตรวจโควิดที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมด พร้อมกระบวนการ (Protocol) ไปยังห้องปฏิบัติการวิจัยของ XPRIZE 2 แห่ง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทดสอบทางคลีนิคและความเป็นไปได้ในการขยายผล โดยจะประกาศผลงานชนะเลิศ จำนวน 5 ผลงานในเดือน ก.พ. 64 ทั้งนี้ แต่ละผลงานจะได้รับรางวัลมูลค่า 5 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อให้นำไปใช้ผลิตและขยายผลชุดตรวจไปทั่วโลก การมีชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้ผลแม่นยำ รวดเร็ว และราคาถูก จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่มนุษยชาติ ทั้งการคัดกรองผู้ป่วย และการช่วยส่งเสริมภาคเศรษฐกิจและสังคมในการใช้ชีวิตแบบ New Normal ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทีมวิจัยสัตว์ป่า เผยผลศึกษาวิจัยพื้นที่ทุ่งหญ้าศักยภาพพบสัตว์กีบ กระทิง-กวาง-หมูป่า เข้าพื้นที่วิจัยในช่วง 1 ปี 6 เดือนเล็งศึกษาเชิงลึก หวังเพิ่มประชากรเหยื่อเสือโคร่งให้เสือโคร่งเพิ่มจำนวน-ข้ามแนวเชื่อมต่อสัตว์ป่า อช.เขาใหญ่
ทีมวิจัย คณะวนศาสตร์ ม.เกษตร ภายใต้ “โครงการศึกษาคุณภาพถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโครงในผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่” เผยผลการศึกษาความหนาแน่นของสัตว์กีบที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง จากการคัดเลือกพื้นที่ทุ่งหญ้าที่มีศักยภาพ 2 แห่ง บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน ประกอบด้วย ทุ่งหญ้าบริเวณผาเม่น และทุ่งหญ้าบริเวณหน่วยลำมะไฟ พบสัตว์กีบ ทั้งกระทิง กวาง หมูป่า เข้ามาอาศัยในพื้นที่ศึกษาในโครงการตลอดช่วง 1 ปี 6 เดือน หวังใช้เป็นพื้นที่ศักยภาพเพิ่มประชากรเหยื่อเสือโคร่ง ทำให้เสือโคร่งเข้ามาในถิ่นอาศัยและข้ามแนวเชื่อมต่อสัตว์ป่ามายังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในอนาคต   เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 ภายในงานวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2563 ที่จัดโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ภายใต้แนวคิด “60 ปี การอนุรักษ์สัตว์ป่าไทย” สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2503 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณลงพระนามในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 นับแต่นั้นมาการอนุรักษ์สัตว์ป่าได้ดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ในปีนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 60 ปี กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชน และมูลนิธิ จึงได้จัดกิจกรรมวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2563 ขึ้น เพื่อรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักเห็นความสำคัญ และร่วมมือกันอนุรักษ์สัตว์ป่า ณ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ รศ.ดร.ประทีป ด้วงแค หัวหน้าโครงการศึกษาคุณภาพถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโครงในผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินการโดยได้รับความร่วมมือจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) โดยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งทีมวิจัยคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการจัดการพื้นที่เพื่อสร้างระบบติดตามตรวจสอบ และแนวทางปฏิบัติเพื่อการจัดการถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า ให้เป็นพื้นที่นำร่องเพื่อการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า รวมทั้งพืชอาหารของสัตว์ที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง เพื่อให้รู้ถึงโครงสร้างของถิ่นอาศัย สภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรที่จำเป็นต่อสัตว์ป่าโดยเฉพาะพืชอาหาร และเกิดแนวทางในการจัดการเพิ่มคุณภาพของถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าในหลายระดับเชิงพื้นที่ของป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ตลอดจนเป็นข้อมูลให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีข้อมูลทางวิชาการและแนวทางเพื่อใช้ประกอบการจัดการให้เสือโคร่งและสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง สามารถเดินทางข้ามผ่านไปมาระหว่างสองฝากแนวถนน 304 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รศ.ดร.ประทีป กล่าวว่า การศึกษาวิจัยตลอด 1 ปี 6 เดือนที่ผ่านมา ทีมวิจัยใช้วิธีการดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ทุ่งหญ้าเพื่อสร้างระบบติดตามตรวจสอบ ทีมวิจัยมีการศึกษาวิจัยเป็นขั้นตอนตั้งแต่ วางแปลงศึกษาทุ่งหญ้าก่อนชิงเผา และใช้วิธีกล ตั้งกล้องศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อนการชิงเผา ทำแนวกันไฟก่อนชิงเผา ปฏิบัติการชิงเผาร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อช.) และประชาชน ซึ่งดำเนินการภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ การจัดการทุ่งหญ้าด้วยวิธีกลหรือการตัดโดยเครื่องมือ และตั้งกล้องศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่โดยสัตว์ป่า และวางแปลงศึกษาหลังการชิงเผา พร้อมลงพื้นที่เก็บข้อมูลต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน ผลปรากฎว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่า ความหนาแน่นของสัตว์กีบหลังการชิงเผาบริเวณทุ่งหญ้าผาเม่น มีความหนาแน่นของกระทิง กวาง และหมูป่า โดยสำรวจภายหลังการเผาเป็น 3 ช่วงเวลาคือ 1 เดือน จำนวน 86 แปลง 6 เดือน จำนวน 33 แปลง และ 12 เดือน จำนวน 120 แปลง รวมทั้งสิ้น 239 แปลง พบว่า จำนวนกระทิงมีความหนาแน่นช่วงหลังการเผา 1 เดือนแรกมากที่สุด และมีแนวโน้มลดลงเมื่อระยะเวลาหลังการเผานานขึ้น ซึ่งแตกต่างจากกวางป่า ที่พบว่าความหนาแน่นในช่วงหลังการเผา 1 เดือน มีค่าต่ำสุด ภายหลังการเผา 6 เดือนมีค่าเพิ่มขึ้นและสูงสุดในแปลงหญ้าหลังการเผาไปแล้ว 12 เดือน จากนั้นทำการสร้างแบบจำลองถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับเสือโคร่ง กระทิง และกวางป่า โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่จากจุดการปรากฏของกระทิง และกวางป่า จากข้อมูลการตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าระหว่างปี 2562-2563 ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจัดทำเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและการจัดการเหยื่อหลักของเสือโคร่ง นอกจากนั้นแล้ว ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ถิ่นอาศัยที่เหมาะสมของเหยื่อหลักเสือโคร่งระหว่างข้อมูลการปรากฏของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (ข้อมูล ปี 2562-2563) กับปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดนำมาสร้างถิ่นอาศัยที่เหมาะสมของเหยื่อเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง โดยพบว่าพื้นที่ที่มีศักยภาพมากที่สุด อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าลำแปรง (ภาพที่3) บริเวณมูลสามง่าม (ภาพที่ 4)  และบริเวณผ่าเม่นในอุทยานแห่งชาติทับลาน (ภาพที่ 5) ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวเป็นงานวิจัยได้ข้อมูลในระยะเริ่มต้น โดยทีมวิจัยกำลังอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่เชิงลึก ทั้งการศึกษาสภาพของดิน และพืชอาหารหลักของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง เพื่อจัดทำเป็นแผนที่ดิจิทัล (Digital mapping) ในทุกปัจจัย เพื่อช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงใช้ในการตัดสินใจการจัดการถิ่นอาศัยประชากรสัตว์ป่าในระดับพื้นที่ในระยะยาว ตลอดจนเป็นการช่วยในการวางนโยบายในระดับภูมิภาคอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คุมเข้มทำความสะอาดพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ
ภายหลังจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ออกแถลงการณ์ ผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th และ เพจเฟซบุ๊ก NSTDA-สวทช. เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน ฯ จำนวน 1 ราย ซึ่งขณะนี้ได้เข้าพักรักษาตัวตามกระบวนการควบคุมโรค ของกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้วพร้อมทั้งได้ประกาศปิดสำนักงาน ฯ เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย พร้อมให้บริการ มั่นใจ ปลอดภัยไร้โควิด-19
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSPCC) พร้อมให้บริการ โดยได้เพิ่มมาตรการป้องกันและข้อควรปฏิบัติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19 สำหรับผู้ที่มาใช้บริการในศูนย์ประขุมฯ เพื่อให้ทุกท่านมีความมั่นใจในการใช้บริการของศูนย์ประชุมฯ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เจ๋ง DDC-Care ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คว้านวัตกรรมเด่นรับมือวิกฤติโควิด-19 จากกระทรวง อว.
For English-version news, please visit : DDC-Care honored with MHESI Award for outstanding research and innovation for the new normal 24 ธ.ค. 63 โรงแรมเรอเนสซองช์ : กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับรางวัล “ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นตอบรับชีวิตวิถีใหม่และการปรับตัวอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติโควิด-19” จาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ในงานแถลงข่าวสรุปผลงานเด่นปี 2563 และแผนยุทธศาสตร์ปี 2564 ของกระทรวง อว. โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นผู้รับมอบ จากผลงาน “DDC-Care ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” พร้อมเตรียมประสานงานร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร นำระบบไปใช้กับแรงงานต่างด้าวที่ถูกกักตัวจากตลาดกุ้ง DDC-Care เป็นระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พัฒนาโดย ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล นักวิจัย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และทีมวิจัย สวทช. เพื่อสนับสนุนการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ เตรียมการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีโดยแบ่งออกเป็น 3 แอปพลิเคชัน    ได้แก่ 1) DDC-Care REGISTRY: เว็บแอปพลิเคชันสำหรับลงทะเบียนใช้งานระบบผ่านSMS หรือ QR Code ที่มีการยืนยันตัวตน ให้ลงทะเบียนได้เฉพาะผู้ที่เจ้าหน้าระบุเท่านั้น 2) DDC-Care APP: แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ที่สามารถดึงพิกัดผู้ใช้งานแบบอัตโนมัติผ่านระบบ GPS และแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อมีการออกนอกพื้นที่กักตัวที่ปักหมุดไว้เกินกว่าระยะที่กำหนด สามารถใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android รวมทั้ง สามารถดาวน์โหลดผ่าน Huawei App Gallery รองรับ 4 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ จีน และพม่า และ 3) DDC-Care DASHBOARD: เว็บแอปพลิเคชันสนับสนุนการติดตามสุขภาพและการกักตัวของกลุ่มเสี่ยงแบบเรียลไทม์ (real-time) ในรูปแผนที่แสดงตำแหน่งที่อยู่ของกลุ่มเสี่ยงในภาพรวม พร้อมสถานะแสดงระดับความเสี่ยง การออกนอกที่พัก และการปิด GPS ตารางแสดงข้อมูลสุขภาพในระยะเวลา 14 วัน ของกลุ่มเสี่ยงแต่ละราย และแผนที่แสดงประวัติการเดินทาง และตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของกลุ่มเสี่ยงรายคน โดยเจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูข้อมูลของกลุ่มเสี่ยงตามสิทธิ์ทีได้รับมอบหมาย สำหรับประชาชนที่ถูกระบุว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงโดยเจ้าหน้าที่ จะได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างใกล้ชิด เมื่อผลการประเมินความเสี่ยงรายวันพบว่ามีความเสี่ยงสูง ระบบจะแสดงเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านแอปพลิเคชันได้ทันที และหากมีการเดินทางก็สามารถใช้ตำแหน่งในการสอบโรคได้ว่ามีการเดินทางไปบริเวณใดบ้าง เป็นการช่วยบันทึกลดเวลาในการสอบโรค ขณะนี้ระบบ DDC-Care ได้ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการติดตามการกักตัวของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 ที่ต้องกักตัวที่บ้าน (home quarantine) เพื่อควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงแคบ สำหรับการระบาดระลอกใหม่ ในกรณี ท่าขี้เหล็ก มีการใช้งานโดย โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในการติดตามกลุ่มเสี่ยงกว่า 100 ราย มีการใช้งานโดยโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา ในการติดตามกลุ่มเสี่ยงกว่า 60 ราย และในพื้นที่ใกล้ชายแดนประเทศเมียนมาร์ บริเวณด่านแม่สอด จ.ตาก โดย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่สอด และรพ.แม่สอด และอยู่ระหว่างการประสานงานกับสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ในการนำระบบ DDC-Care ไปใช้กับแรงงานต่างด้าวที่ถูกกักตัวจากตลาดกุ้งนอกจากนี้ระบบ DDC-Care ยังได้ถูกใช้สำหรับการติดตามและเฝ้าระวัง กลุ่มเสี่ยงที่ไม่ต้องกักตัวที่บ้าน เช่น คนขับรถบรรทุกที่รับส่งของจากชายแดน ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถทราบการเดินทางและสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงได้ตลอดเวลา
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
SB ขานรับสังคมสูงวัย จับมือ เอ็มเทค สวทช. พัฒนาเตียงสำหรับผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยพักฟื้น
เอสบี ดีไซน์สแควร์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ของเมืองไทย ล่าสุดจับมือเอ็มเทค สวทช. พัฒนา Power Lift Bed เตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้น ที่มีกลไกช่วยให้ลุกนั่งยืนได้อย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัยสูงในการใช้งาน และควบคุมง่ายผ่านรีโมตคอนโทรล เพื่อเป็นทางเลือกใหม่และสร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตภายในบ้านให้กับผู้สูงอายุ นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เผยว่า ตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 50 ปี กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เรามุ่งเน้นเรื่อง Customer Centric หรือการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อให้ทุกๆ การพัฒนาเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและแนวคิดนี้ก็เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญขององค์กรจวบจนปัจจุบัน ดังนั้นเพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่สรุปว่าไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2564  กลุ่มบริษัทเอสบีฯ ในฐานะผู้ประกอบภาคธุรกิจ มุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้มีความพร้อมรับกับแนวโน้มสังคมที่จะเกิดขึ้น และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากทีมเอ็มเทคในการพัฒนาโปรเจกต์ Power Lift Bed นี้ ให้เกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านรูปลักษณ์ที่สวยงามและฟังก์ชันใช้สอยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เชื่อว่าน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงและเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง “เตียงนอน Power Lift Bed เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากผลงานวิจัยเตียงตื่นตัว (Joey - Active bed) หรือเตียงนอนแบบมีกลไกช่วยผู้สูงอายุในการลุกนั่งและลุกยืน โดยเอสบีได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิประโยชน์จากผลงานวิจัยดังกล่าวในการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์  ซึ่งนับเป็นรายแรกที่พัฒนาเตียงลักษณะนี้ขึ้นภายในประเทศ โดยเตียงนอน Power Lift Bed นี้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุและผู้ป่วยพักฟื้นที่มีความลำบากในการขยับตัว เตียงมีกลไกที่จะช่วยปรับท่าทางให้ผู้ใช้งานสามารถลุก นั่ง ยืน ได้ด้วยตัวเอง ลดความเสี่ยงในการหกล้ม มีฟังก์ชันหมุนได้ 90 องศา และควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล จึงสร้างความคล่องตัวได้มากกว่าเตียงธรรมดาทั่วไป” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องฟังก์ชันที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เตียงนอน Power Lift Bed ยังได้รับการพัฒนาในด้านรูปลักษณ์ให้มีดีไซน์สวยงามดูเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งภายในบ้าน จึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเตียงผู้ป่วยแบบทั่วไป ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยเติมเต็มความสุขและการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ทั้งผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ใช้งานและลูกหลานที่ทำหน้าที่ดูแลด้วย “ผมเชื่อว่าการมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของทุกๆ คน เราจึงตั้งใจพัฒนาเตียงนอนนี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกหลานได้นำไปมอบแทนความรักความห่วงใยให้กับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อเป็นการดูแลคนที่คุณรักด้วยสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้เตียงนอน Power Lift Bed จัดแสดงอยู่ที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์” นายพิเดช กล่าวทิ้งท้าย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ เอสบี  ครั้งนี้ เอ็มเทค สวทช. ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ และสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์คือผู้สูงอายุที่พอดูแลตัวเองได้และผู้ป่วยพักฟื้น เนื่องจากปัจจุบันประชากรโลกเสียชีวิตน้อยลงกว่าในอดีตมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตตั้งแต่ด้านสุขภาพ การแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลในเชิงพฤติกรรมของผู้คนกลับมาเห็นความสำคัญในเรื่องของสุขภาพและสุขอนามัยมากขึ้น ทำให้เกิด New Normal หรือความปกติรูปแบบใหม่กับผู้สูงอายุที่ต้องออกห่างสังคมนอกบ้านมาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น  การพัฒนานวัตกรรมเชิงป้องกันเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลสุขภาพตนเองได้ใช้ประโยชน์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว หรือช่วยลดความเสี่ยงด้านต่างๆ เช่น การพลัดตกหกล้ม ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญของการพัฒนานวัตกรรมคือต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้จริง เพื่อที่งานวิจัยจะมีโอกาสนำไปใช้ได้สูง ดังนั้นทีมวิจัยเอ็มเทคนำโดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. ใช้กระบวนการออกแบบที่นำเอาผู้ใช้มาเป็นศูนย์กลาง หรือ Human-centric design โดยให้ความสำคัญทั้งผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้อง ในทุกช่วงของการออกแบบอุปกรณ์การใช้งาน ผลงานวิจัย “โจอี้ – เตียงตื่นตัว” เป็นตัวช่วยให้ผู้สูงอายุลุกนั่งและลุกขึ้นยืนได้สะดวกมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม และลดภาระของผู้ดูแล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูหลังการผ่าตัดและผู้ป่วยที่มีความลำบากในการเคลื่อนที่ เช่น โรคอัมพฤกษ์ โดยเตียงตื่นตัว ได้รับการออกแบบจากมุมมองด้านต่างๆ ของผู้ใช้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล แพทย์และพยาบาล และพัฒนาจนมั่นใจว่าสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการผลิตและจำหน่ายจากบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่างบริษัท SB Design square ทำการปรับให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเน้นความสวยงามน่าใช้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเตียงผู้ป่วย และตอนนี้ก็พร้อมแล้วสู่การนำไปใช้จริงภายใต้ชื่อเตียง Power Lift Bed สำหรับใครที่ต้องการพาผู้สูงอายุที่บ้านหรือคุณพ่อคุณแม่ไปทดลองสินค้าจริงสามารถไปสัมผัสกันได้ที่เอสบี ดีไซน์สแควร์ 4 สาขา คือ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, สาขาคริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) สาขาบางนา และสาขาพระราม 2 โดยมีโปรโมชันดีลดีราคาพิเศษ ที่จะทำให้ลูกๆ ได้มีของขวัญพิเศษรับปีใหม่นี้ให้คุณพ่อคุณแม่โดยมีส่วนลดเพิ่มให้อีก 10% และผ่อน 0% 4 เดือน (กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ) ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2563
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แถลงการณ์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน
แถลงการณ์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน ฉบับที่ 3 สืบเนื่องจากแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 สำนักงานฯ ได้แจ้งผลการตรวจเชื้อโรค COVID-19 ในผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 10 ราย โดยมีผลเป็น Negative ทั้งหมด สำนักงานฯ ขอแจ้งผลการตรวจผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงรายที่ 11 จากจำนวนทั้งสิ้น 11 ราย ผลการตรวจเป็น Negative คือไม่พบเชื้อโรค COVID-19 นอกจากนี้ผลการตรวจของบุคคลในครอบครัวผู้ติดเชื้อพบว่าผลเป็น Negative คือไม่พบเชื้อโรค COVID-19 เช่นกัน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจะยังคงกักตัวในที่พักอาศัยต่อเนื่องไปจนครบ 14 วัน ทั้งนี้ การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ในทุกอาคารภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยสามารถดำเนินการได้ตามแผน และจะเปิดทำการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยตามปกติได้ ในวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ตามกำหนด ยกเว้นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของผู้ที่ติดเชื้อซึ่งจะปิดทำความสะอาดต่อเนื่อง 7 วัน ไปจนถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2563 โดยบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดของสำนักงานฯ จะยังคงยึดแนวทางการปฏิบัติตามมาตรการการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 23 ธันวาคม 2563 แถลงการณ์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน ฉบับที่ 2 สืบเนื่องจากแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ผู้ปฏิบัติงานในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และได้เข้าพักรักษาตัวตามกระบวนการในการควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแล้วนั้น สำนักงานฯ ขอแจ้งความคืบหน้าของสถานการณ์เพิ่มเติมดังนี้ 1. ผลการสอบสวนทางระบาดวิทยา โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จังหวัดปทุมธานี พบผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 11 ราย ซึ่งได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อโรค COVID-19 ณ โรงพยาบาลที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประสานงานไว้ทั้งหมดแล้ว ในเบื้องต้นทราบผลการตรวจแล้ว 10 ราย ทั้งหมดมีผล Negative คือไม่พบเชื้อโรค COVID-19 ทั้ง 10 ราย คาดว่าจะทราบผลการตรวจคัดกรองรายที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้ผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูงทั้ง 11 ราย ให้กักตัวต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน เพื่อสังเกตอาการเพิ่มเติมต่อไป 2. นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และคณะ พร้อมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้เข้าตรวจพื้นที่โดยรอบ และรับฟังรายงานการดำเนินการ และมาตรการต่าง ๆ ที่ทางสำนักงานฯ ดำเนินการแล้ว พบว่าการดำเนินการเป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดไว้ครบถ้วน 3. สำนักงานฯ ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการป้องกันเชื้อไวรัส เทศบาลเมืองท่าโขลง จังหวัดปทุมธานี ได้ทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เสี่ยงที่เป็นพื้นที่การปฏิบัติงาน ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ได้รับความร่วมมือจากบริษัท คีนน์ จำกัด ร่วมดำเนินการพ่นฆ่าเชื้อ เพื่อทำความสะอาดพื้นที่ทุกอาคารภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามแผน จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 22 ธันวาคม 2563 แถลงการณ์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน ฉบับที่ 1 เนื่องด้วย ในวันที่ 21 ธันวาคม 2563 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยคณะกรรมการอำนวยการ COVID-19 สวทช. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี กรณียืนยันการตรวจพบผู้ปฏิบัติงานในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยจำนวน 1 คน เข้ารับการรักษาตัวด้วยภาวะไข้ขึ้นสูง ณ โรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2563 โดยผลจากการตรวจสอบตามขั้นตอนทางการแพทย์ พบว่าผู้ปฏิบัติงานดังกล่าว ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งขณะนี้ ได้เข้าพักรักษาตัวตามกระบวนการในการควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้สำนักงานฯ ขอแจ้งให้ทราบถึงการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ 1. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จังหวัดปทุมธานี ได้ดำเนินการสอบสวนทางระบาดวิทยาแล้ว และได้นำส่งผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงสูง เข้ารับการตรวจคัดกรอง COVID-19 ต่อไปแล้ว หากกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดได้รับผลตรวจเป็น Negative จะให้กักตัวที่ ที่พักอาศัยเพื่อสังเกตอาการเพิ่มเติมเป็นเวลา 14 วัน หรือหากผลการตรวจเป็น Positive จะส่งเข้าพักรักษาตัวตามกระบวนการในการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป พร้อมกับขยายวงการสอบสวนทางระบาดวิทยาอย่างต่อเนื่อง 2. กรณีผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้กักตัวที่ ที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการอย่างต่อเนื่อง 3. ประกาศปิดพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเป็นระยะเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และให้บุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดที่ปฏิบัติงานในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) อนึ่ง สำนักงานฯ ให้ความสำคัญต่อมาตรการการเฝ้าระวัง ป้องกันและการควบคุมโรค ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้สอบทานมาตรการรักษาความสะอาดและแนวปฏิบัติของ สวทช. แล้วพบว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้จะได้แจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 21 ธันวาคม 2563 Announcement English version : https://www.nstda.or.th/en/announcements/245-announcements-news-year-2020/1201-nstda-statement-on-covid-19-confirmed-case-found-on-nstda-premises.html
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2563
ข่าว สกสว.-สวทช.-วช. ผนึกกำลังโชว์สินค้านวัตกรรม SMEs พร้อมมอบรางวัล Innovative house awards 2020 โครงการ TechBiz Starter ปี 63 ประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุน 10 ผลงานด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ สวทช. จับมือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขีดความสามารถ SMEs และ Startups นำเทคโนโลยียกระดับธุรกิจ ไบโอเทค สวทช. สร้างความเข้มแข็งชุมชนโดยถ่ายทอดข้าวเหนียว “พันธุ์หอมนาคา” สู่เกษตรกรโดยให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเองตามเกณฑ์มาตรฐาน เอ็มเทค สวทช.- ไทยเบฟ เปิดตัว Green Rock นวัตกรรมวัสดุเม็ดมวลเบาสังเคราะห์ สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างสู่ความยั่งยืน สวทช. จัดกิจกรรม “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์” ปีที่ 7 สู่การพัฒนาเยาวชน เพิ่มศักยภาพด้านวิทย์ฯ สวทช. เปิดอบรมให้เยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce สวทช. ผนึก 40 พันธมิตร จัดงาน “THAILAND TECH SHOW 2020” ออนไลน์เต็มรูปแบบ วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน พลาดไม่ได้ 2– 4 ธันวาคม นี้ สวทช. อว. ร่วมกับหัวเหว่ย นำผู้ประกอบการ โครงการ SUCCESS 2020 เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่นและการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สวทช. อว. จับมือ โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง วว. และ สมอ. ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ นำอุตสาหกรรมไทยให้ทันโลก อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หนุนผู้ประกอบการ เสริมความรู้ รับเทรนด์ Plant-based Food 3 กระทรวงฯ ผนึกกำลัง พัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม สวทช. ยกระดับคุณภาพ “มะม่วงไทย” สู่ผลไม้พรีเมียม เพิ่มช่องทางตลาดไฮเอนด์ ปรับกลยุทธ์ดันยอดขายสู้วิกฤตโควิด SB ขานรับสังคมสูงวัย จับมือ เอ็มเทค สวทช. พัฒนาเตียงสำหรับผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยพักฟื้น   บทความ Power Lift Bed นวัตกรรมเตียงนอนสุดล้ำ รับสังคมสูงวัย    Download เอกสารฉบับเต็ม [14.8 MB]
จดหมายข่าว สวทช.
 
สตง. นำร่อง ปี’ 64 ถึงทีบอกลา “กระดาษ” ETDA จับมือ สวทช. ตรวจสอบ-รับรองเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เตรียมใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนการลงลายมือชื่อบนเอกสารกระดาษ พลิกโฉมวงการราชการเข้าสู่ดิจิทัลเต็มตัว ETDA พร้อม ให้คำปรึกษา e-Signature ไม่ต้องเซ็นบนกระดาษ ก็เชื่อถือได้ ด้าน สวทช.รับลูก ตรวจสอบ รับรองเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า สตง. มีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการตรวจสอบ และในฐานะหน่วยงานตรวจสอบที่ต้องจัดเก็บเอกสารหลักฐานเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปแบบเอกสาร (Paper) จึงได้จัดทำระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมเปิดตัวแบรนด์ “ไฟท์ฝุ่น” (PhytFoon) สุดยอดนวัตกรรม เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์ลดฝุ่น PM2.5 “ไฟท์ฝุ่น สเปรย์” (PhytFoon Spray)
ณ Ballroom A โรงแรมเรเนซองส์ ราชประสงค์ : ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ร่วมเปิดตัว“ไฟท์ฝุ่น สเปรย์” (PhytFoon Spray) ผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดปริมาณของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ได้ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันในช่วงที่ต้องเผชิญกับปริมาณของฝุ่นละอองที่เกินกว่าค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 ในขณะเดินทาง หรือใช้ชีวิตอยู่ภายนอกอาคาร ไปจนถึงคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ เพราะมลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ซึ่งทาง บริษัท เพนทา อินโนเทค จำกัด ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงเกิดเป็นแนวคิดที่ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศขึ้น โดยร่วมมือกับ บริษัท เฮิร์บ การ์เดียน จำกัด บริษัทสตาร์ทอัพภายใต้การบ่มเพาะขององค์กรที่รวบรวมนวัตกรรมทางสุขภาพ โดยคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Pharmacy Enterprise) และโครงการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Power Lift Bed นวัตกรรมเตียงนอนสุดล้ำ รับสังคมสูงวัย
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง   ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2564 นั่นหมายความว่า ในสังคมหรือประเทศนั้นๆ จะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ20 ของประชากรทั้งประเทศ ด้วยการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้ประชากรผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนขึ้น ทว่าบางครั้งสภาพร่างกายที่เสื่อมสภาพไปตามวัยอาจทำให้หลายๆ ครั้ง การใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ มีอุปสรรคในด้านร่างกายทั้งการลุก การนั่ง การยืนหรือเกิดอุบัติเหตุการพลัดตกหกล้มได้ การคิดค้นนวัตกรรมจากงานวิจัยที่ตอบโจทย์สังคมสูงวัย จึงเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง โดยล่าสุด เอสบี ดีไซน์ สแควร์ จับมือกับ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา Power Lift Bed เตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้น ที่มีกลไกช่วยให้การลุก นั่ง ยืน ได้อย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัยสูงในการใช้งานและควบคุมง่ายผ่านรีโมตคอนโทรล เพื่อเป็นทางเลือกใหม่และสร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตภายในบ้านให้กับผู้สูงอายุ ประหนึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์เตียงนอนสุดล้ำในบ้านที่อุ่นใจ มีความปลอดภัยและเหมาะกับการใช้งานในสังคมสูงวัย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ เอสบี  ครั้งนี้ เอ็มเทค สวทช. ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ และสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์คือผู้สูงอายุที่พอดูแลตัวเองได้และผู้ป่วยพักฟื้น เนื่องจากปัจจุบันประชากรโลกเสียชีวิตน้อยลงกว่าในอดีตมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตตั้งแต่ด้านสุขภาพ การแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลในเชิงพฤติกรรมของผู้คนกลับมาเห็นความสำคัญในเรื่องการสุขภาพและสุขอนามัยมากขึ้น ทำให้เกิด New Normal หรือความปกติรูปแบบใหม่กับผู้สูงอายุที่ต้องออกห่างสังคมนอกบ้านมาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น การพัฒนานวัตกรรมเชิงป้องกัน จึงเป็นโจทย์และเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลสุขภาพตนเองได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพตนเองในระยะยาว ช่วยลดความเสี่ยงด้านต่างๆ เช่น การพลัดตกหกล้ม ซึ่งเป็นโจทย์ที่สำคัญในการพัฒนานวัตกรรมที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานจริง โดยทีมวิจัย นำโดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. ใช้กระบวนการออกแบบที่นำเอาผู้ใช้มาเป็นศูนย์กลาง หรือ Human-centric design ที่ให้ความสำคัญทั้งผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้อง ในทุกช่วงของการออกแบบอุปกรณ์การใช้งานเพื่อให้งานวิจัยมีโอกาสนำไปใช้จริง ผลงานวิจัย “โจอี้ – เตียงตื่นตัว” เป็นตัวช่วยให้ผู้สูงอายุลุกนั่งและลุกขึ้นยืนได้สะดวกมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม และลดภาระของผู้ดูแล นอกจากนี้ยังตอบโจทย์ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูหลังการผ่าตัดและผู้ป่วยที่มีความลำบากในการเคลื่อนที่ เช่น โรคอัมพฤกษ์ โดยเตียงตื่นตัวได้รับการออกแบบจากมุมมองด้านต่างๆ ของผู้ใช้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ดูแล แพทย์และพยาบาล และพัฒนาจนมั่นใจว่าสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการผลิตและจำหน่ายจากบริษัทเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำอย่างบริษัท SB Design square ทำการปรับให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเน้นความสวยงามน่าใช้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเตียงผู้ป่วย และตอนนี้ก็พร้อมแล้วสู่การนำไปใช้จริงภายใต้ชื่อเตียง Power Lift Bed นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ตลอดการดำเนินธุรกิจกว่า 50 ปี กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เรามุ่งเน้นเรื่อง Customer Centric หรือการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์สินค้าและบริการ เพื่อให้ทุกๆ การพัฒนาเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและแนวคิดนี้ก็เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญขององค์กรจวบจนปัจจุบัน ดังนั้นเพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มบริษัทเอสบีฯ ในฐานะผู้ประกอบภาคธุรกิจ มุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้มีความพร้อมรับกับแนวโน้มสังคมที่จะเกิดขึ้น และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากทีมเอ็มเทคในการพัฒนาโปรเจกต์ Power Lift Bed นี้ ให้เกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านรูปลักษณ์ที่สวยงามและฟังก์ชันใช้สอยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เชื่อว่าน่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงและเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง     “เตียงนอน Power Lift Bed เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากผลงานวิจัยเตียงตื่นตัว (Joey - Active bed) หรือเตียงนอนแบบมีกลไกช่วยผู้สูงอายุในการลุกนั่งและลุกยืน โดยเอสบีได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิประโยชน์จากผลงานวิจัยดังกล่าวในการผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์  ซึ่งนับเป็นรายแรกที่พัฒนาเตียงลักษณะนี้ขึ้นภายในประเทศ โดยเตียงนอน Power Lift Bed นี้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุและผู้ป่วยพักฟื้นที่มีความลำบากในการขยับตัว เตียงมีกลไกที่จะช่วยปรับท่าทางให้ผู้ใช้งานสามารถลุก นั่ง ยืน ได้ด้วยตัวเอง ลดความเสี่ยงในการหกล้ม มีฟังก์ชันหมุนได้ 90 องศา และควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล จึงสร้างความคล่องตัวได้มากกว่าเตียงธรรมดาทั่วไป” กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องฟังก์ชันที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เตียงนอน Power Lift Bed ยังได้รับการพัฒนาในด้านรูปลักษณ์ให้มีดีไซน์สวยงามดูเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งภายในบ้าน จึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเตียงผู้ป่วยแบบทั่วไป ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยเติมเต็มความสุขและการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ทั้งผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ใช้งานและลูกหลานที่ทำหน้าที่ดูแลด้วย     “ผมเชื่อว่าการมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของทุกๆ คน เราจึงตั้งใจพัฒนาเตียงนอนนี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกหลานได้นำไปมอบแทนความรักความห่วงใยให้กับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อเป็นการดูแลคนที่คุณรักด้วยสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งขณะนี้เตียงนอน Power Lift Bed จัดแสดงอยู่ที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์” นายพิเดช กล่าวทิ้งท้าย สำหรับใครที่ต้องการพาผู้สูงอายุที่บ้านหรือคุณพ่อคุณแม่ไปทดลองสินค้าจริงสามารถไปสัมผัสกันได้ที่เอสบี ดีไซน์สแควร์ 4 สาขา คือ สาขาเดอะคริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, สาขาคริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) สาขาบางนา และสาขาพระราม 2 โดยมีโปรโมชันดีลดีราคาพิเศษ ที่จะทำให้ลูกๆ ได้มีของขวัญพิเศษรับปีใหม่นี้ให้คุณพ่อคุณแม่โดยมีส่วนลดเพิ่มให้อีก 10% และผ่อน 0% 4 เดือน (กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ) ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 2563
บทความ
 
“COXY-AMP” ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว
For English-version news, please visit : COXY-AMP: COVID-19 Colorimetric Detection Kit จากสถานการณ์การระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด-19 ไปทั่วโลก ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 1 ล้านคน อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก ซึ่งการรับมือกับโรคโควิด-19 นอกจากการเดินหน้าผลิตวัคซีนอย่างเต็มกำลังแล้ว การพัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ถือเป็นอีกมาตรการเชิงรุกที่จะช่วยยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ ดร.ภคพฤฒ คุ้มวัน นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า แม้เทคนิค RT-PCR จะเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน และเป็นเทคนิคที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ประสิทธิภาพสูง แต่ว่ายังไม่สามารถนำไปใช้ตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและปริมาณมากได้ เนื่องจากเป็นเทคนิคที่มีราคาสูง และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการที่มีเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น “ทีมวิจัยได้พัฒนา “COXY-AMP” ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเทคนิคแลมป์คือการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมของเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจง ภายใต้อุณหภูมิที่คงที่ จึงทำได้ง่ายในกล่องให้ความร้อน และความพิเศษของ COXY-AMP คือเมื่อเกิดปฏิกิริยาสีจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ จึงสามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญหรือคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล ปัจจุบัน COXY-AMP ประกอบด้วย 2 ชุด คือ 1. COXY-AMP ชุดตรวจโรคโควิด-19 ซึ่งใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมชนิด RNA ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) แต่ด้วยปัจจุบันวิธีการสกัด RNA จากคนไข้ทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะให้คุณภาพและปริมาณของ RNA ที่แตกต่างกัน ทีมวิจัยจึงพัฒนาชุดตรวจที่ 2. COXY-AMP Internal Control เป็นชุดตรวจที่ใช้ประเมินคุณภาพของ RNA ที่นำมาทดสอบว่ามีคุณภาพและปริมาณที่ดีพอหรือยัง เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำ” สำหรับวิธีการทำงาน ดร.ภคพฤฒ อธิบายว่า ทั้ง 2 ชุดตรวจ มีขั้นตอนการทำงานที่ง่ายเหมือนกัน เพียงแค่ผู้ใช้ใส่สารพันธุกรรม RNA ที่สกัดได้ในหลอดปฏิกิริยาทดสอบ และนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 75 นาที จากนั้นสีของสารในหลอดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนอัตโนมัติ โดย COXY-AMP ชุดตรวจโรคโควิด-19 จะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แสดงว่ามีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ส่วน COXY-AMP Internal Control จะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเขียว หมายถึงสารพันธุกรรม RNA ที่นำมาทดสอบนั้นมีคุณภาพดีเพียงพอ “หากนำเทคโนโลยี COXY-AMP มาเปรียบเทียบกับ RT-PCR จะพบว่า COXY-AMP มีต้นทุนในการตรวจคัดกรองเพียง 300 บาทต่อตัวอย่าง ขณะที่ RT-qPCR มีต้นทุนสูงกือบ 1,000 บาท นั่นเท่ากับ COXY-AMP มีราคาถูกกว่าถึง 3 เท่า หากแต่ว่าความเป็นจริงราคาตรวจโรคโควิด-19 ด้วย RT-PCR ในประเทศไทยนั้น มีราคาสูงถึง 5,000 บาทต่อตัวอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก นอกจากนี้ COXY-AMP ยังใช้อุปกรณ์ในการตรวจคือกล่องให้ความร้อนซึ่งมีราคาเพียง 10,000 บาท ถูกกว่า RT-PCR ถึง 100 เท่า เพราะเครื่องตรวจ RT-PCR มีราคาตั้งแต่ 600,000-1,000,000 บาท COXY-AMP ไม่เพียงมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ยังมีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 อย่างมาก โดยจากการทดสอบชุดตรวจนี้กับตัวอย่างเริ่มต้น 146 ตัวอย่าง พบว่ามีความจำเพาะ (Specificity) 100% ความไว (sensitivity) 100% และมีความถูกต้อง (accuracy) ที่ 100% อีกทั้งยังสามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ซึ่งเร็วกว่า RT-PCR ถึง 2 เท่า” ดร.ภคพฤฒ กล่าวว่า COXY-AMP เป็นเทคโนโลยีที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับ RT-PCR อีกทั้งยังใช้งานได้ง่ายกว่า ส่วนในเชิงการผลิตนั้นยังสามารถนำไปขยายขนาดตามกำลังการผลิตของผู้ประกอบการได้ ที่สำคัญแม้การระบาดของโควิด-19 จะยุติลงในอนาคต เทคโนโลยีหลักของ COXY-AMP ยังนำไปประยุกต์ดัดแปลงให้มีความเหมาะสมต่อการตรวจเชื้อโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ COXY-AMP ชุดตรวจโรคโควิด-19 และ COXY-AMP Internal Control พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่อยู่ในภาคการผลิตหรือจำหน่ายชุดตรวจทางการแพทย์ที่สนใจ ได้มาร่วมสานฝันต่อยอดนำไปผลิตและจำหน่าย เพื่อให้ COXY-AMP เป็นเครื่องมือตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างมีคุณภาพ รวดเร็ว และราคาไม่แพง เทคโนโลยีที่ช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่และสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้อย่างเท่าเทียม
บทความ