ผลการค้นหา :
‘แพลตฟอร์มเต้านมจำลอง’ แบบจำลองเพื่อฝึกเก็บชิ้นเนื้อคัดกรองมะเร็งเต้านม
‘มะเร็งเต้านม’ เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิงไทยและทั่วโลก โดยปี 2565 เฉพาะประเทศไทยพบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากกว่า 38,500 ราย ทางการแพทย์จึงออกประกาศแนะนำให้สุภาพสตรีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองผ่านการคลำหาก้อนเนื้ออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ทุก 3 ปี ส่วนผู้มีอายุในช่วง 35 ปีขึ้นไปควรตรวจด้วยเทคนิคแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์ร่วมด้วย ทั้งนี้หากพบก้อนเนื้อที่มีความผิดปกติ แพทย์จะให้ทำอัลตราซาวด์หาตำแหน่งเจาะเต้านมเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการ แล้วนำผลที่ได้มาใช้วางแผนการรักษาคนไข้อย่างเหมาะสมต่อไป
อย่างไรก็ดีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมในประเทศไทยยังพบปัญหาว่ามีอาจารย์แพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ทำหัตถการด้านนี้ได้ไม่มากนัก เนื่องด้วยอุปสรรคด้านการเข้าถึงอุปกรณ์การเรียนรู้เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับ ศ. พญ.ชลทิพย์ วิรัตกพันธ์ และ ดร.จารุวรรณ อ่อนวรรธนะ จากภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัทเช็ค เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด พัฒนา ‘แพลตฟอร์มเต้านมจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกความแม่นยำในการทำอัลตราซาวด์และเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อจากเต้านม
[caption id="attachment_53162" align="aligncenter" width="750"] ดร.บริพัตร เมธาจารย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.บริพัตร เมธาจารย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า ด้วยปัญหาขาดแคลนแบบจำลองสำหรับให้แพทย์ใช้ศึกษาและฝึกฝนการทำหัตถการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม ทำให้ที่ผ่านมาอาจารย์แพทย์ต้องสร้างแบบจำลองขึ้นจากอกไก่ที่มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อคล้ายกับหน้าอกคน และใส่องุ่นหรือมะกอกเข้าไปเพื่อจำลองเป็นก้อนเนื้อผิดปกติ สำหรับให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางใช้ฝึกอัลตราซาวด์และแทงเข็มเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ ซึ่งโดยทั่วไปแต่ละคนต้องฝึกอย่างน้อย 20-30 ครั้ง จึงจะลงมือทำหัตถการกับคนไข้จริงได้
“เพื่อลดอุปสรรคในการเรียนรู้ เอ็มเทคร่วมกับอาจารย์จากคณะแพทยศาสตร์ฯ และบริษัทเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์พัฒนาแพลตฟอร์มเต้านมจำลองที่อัลตราซาวด์เห็นก้อนเนื้อชัดเจน และมีก้อนเนื้อบรรจุภายในเต้านมสำหรับฝึกทำหัตถการ 2 ประเภท ประเภทแรกผลิตจาก hypoechoic material เมื่ออัลตราซาวด์แล้วจะให้ภาพที่มีลักษณะเหมือนกับก้อนเนื้อร้าย (malignant) หรือก้อนเนื้องอกทั่วไป (benign) ส่วนอีกประเภทคือ hyperechoic material เมื่ออัลตราซาวด์แล้วจะให้ภาพที่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้องอกหรือซีสต์ โดยแบบจำลองที่พัฒนาขึ้นนี้นอกจากจะเห็นภาพก้อนเนื้อได้อย่างชัดเจนด้วยอัลตราซาวด์ในการฝึกทำหัตถการแล้ว ยังปรับขนาดและตำแหน่งของก้อนเนื้อตามโจทย์ที่อาจารย์แพทย์ต้องการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางฝึกฝนได้ด้วย โดยเต้านมจำลอง 1 ชิ้น บรรจุก้อนเนื้อได้ประมาณ 10-12 ก้อน ใช้ฝึกฝนได้ประมาณ 10-30 ครั้ง ทั้งนี้จากการนำอุปกรณ์ให้อาจารย์แพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทดสอบใช้งานจริงได้ผลตอบรับที่ดีมาก เพราะนอกจากใช้ฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังใช้งานได้สะดวกและถูกสุขลักษณะด้วย”
ผลจากการร่วมกันทำวิจัยครั้งนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการฝึกทำหัตถการเพื่อคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมเท่านั้น ยังต่อยอดไปสู่การผลิตอุปกรณ์ฝึกฝนการทำหัตถการในแขนงอื่น ๆ ด้วย
ดร.บริพัตร อธิบายว่า ทีมอาจารย์แพทย์ไม่ได้ขาดแคลนแค่อุปกรณ์ฝึกฝนตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม แต่ยังมีอีกหลายสาขาวิชาที่ต้องการแบบจำลองอวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อใช้ในการสอนและติดต่อเข้ามาแล้ว เช่น ‘หัวไหล่จำลอง’ สำหรับฝึกฉีดสารเข้าตำแหน่งที่ทำหัตถการได้ยาก ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อฉีดสารบรรเทาอาการปวดหรือบาดเจ็บให้แก่ผู้สูงอายุและนักกีฬา ‘กระดูกสันหลังจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกฉีดสารไปยังบริเวณกระดูกสันหลังอย่างแม่นยำ เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ หรือบรรเทาอาการเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วย ‘ช่วงท้องน้อยของสตรีจำลอง’ สำหรับใช้ฝึกเก็บรกหรือน้ำคร่ำเพื่อตรวจสอบความผิดปกติของทารกขณะตั้งครรภ์
“จากความต้องการชุดอุปกรณ์สำหรับฝึกทำหัตถการทั้งในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบันทีมวิจัยดำเนินการพัฒนาคลังวัสดุสำหรับใช้ในการผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้สามารถเลือกใช้วัสดุได้อย่างเหมาะสม ผลิตตามโจทย์ได้รวดเร็ว เป็นประโยชน์ต่อทั้งการใช้งานภายในประเทศไทยและการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในตลาดโลก ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกใช้วัสดุทางการเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจของไทยมาเป็นส่วนประกอบในการพัฒนาวัสดุต่าง ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย”
ปัจจุบันทีมวิจัยอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มเต้านมจำลองให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด และคาดว่าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทผู้ร่วมวิจัยได้ในอนาคตอันใกล้ โดยน่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ทีมแพทย์ไทยได้ใช้งานได้ภายใน 1-2 ปีนี้
ดร.บริพัตร กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัย อาจารย์แพทย์ และบริษัทเอกชนผู้ร่วมวิจัยมีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลสำเร็จจากการทำวิจัยครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมด้านอุปกรณ์การเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาฝีมือและความเชี่ยวชาญให้แก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างทั่วถึง จนเกิดความมั่นคงด้านสาธารณสุข และตอบโจทย์การเป็นเมดิคัลฮับ (medical hub) ของประเทศ
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ ดร.บริพัตร เมธาจารย์ อีเมล boripham@mtec.or.th, คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค อีเมล soontaree.kos@mtec.or.th หรือคุณวีรวุฒิ จิรนันทศักดิ์ บริษัทเซ็ค เซอร์วิส แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด อีเมล weerawuthj@gmail.com
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Charge Up เรื่องไม่ลับของการพัฒนาแบตเตอรี่
ที่ใดมีเทคโนโลยี ที่นั่นย่อมมีแบตเตอรี่ ถ้าจะกล่าวแบบนี้ก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด แบตเตอรี่วนเวียนอยู่รอบตัวเรา อยู่ในข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ของเล่น รีโมต นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก ไปยันยานพาหนะ เมื่อแบตเตอรี่สำคัญเสียขนาดนี้ เราไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของเจ้าแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่อยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายในชีวิตเรากันสักหน่อยดีกว่า
แบตเตอรี่เก่าแก่ที่สุดในโลกเรียกว่า แบตเตอรี่แห่งแบกแดด (Baghdad’s Batteries) มีอายุกว่า 2,000 ปี (ประมาณช่วงอารยธรรมเมโสโปเตเมียเมื่อ 250 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์ ไม่รู้ว่าประดิษฐ์ขึ้นมาทำไม แต่ขุดพบโดย วิลเฮ็ล์ม เคอนิช (Wilhelm Konig) นักโบราณคดีชาวเยอรมันและคณะ ในขณะที่ลงพื้นที่ทำงานแถวเมืองคุญุตเราะบูฮ์ (Khujut Rabu) กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อปี ค.ศ. 1938 แบตเตอรี่นี้มีรูปร่างหน้าตาชวนพิศวง เหมือนไหดินเผาที่ข้างในมีกระบอกทองแดงหุ้มแท่งเหล็ก ซีลปากไหด้วยยางมะตอย ส่วนเรื่องการใช้งานก็ชวนฉงนไปอีก เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างว่าสร้างมาทำไม ใช้งานอย่างไร ใช้ทำอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าในไหน่าจะไว้ใส่ของเหลว เช่น ไวน์ น้ำส้มสายชู น้ำเกลือ และน่าจะใช้ประโยชน์ในการชุบโลหะด้วยไฟฟ้ามากกว่าจะใช้สร้างกระแสไฟฟ้า บ้างก็ว่าน่าทำไว้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์อะไรสักอย่างรึเปล่า
แม้จะมีการประดิษฐ์คิดค้นแบตเตอรี่มาแต่โบร่ำโบราณ แต่คำว่า “แบตเตอรี่” ที่หมายถึง แบตเตอรี่ที่เรากำลังพูดถึงนี้ยังไม่ปรากฏ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1749 เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ทดลองเอาตัวเก็บประจุที่เรียกว่า ขวดแก้วไลเดิน (Leyden jar) หลายชิ้นมาเชื่อมต่อกันเพื่อผลิตและเก็บประจุไฟฟ้า และเรียกชุดเก็บประจุไฟฟ้าของเขาว่า แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นคำที่ทางการทหารใช้เรียกกองกำลังปืนใหญ่
ส่วนแบตเตอรี่ที่เริ่มใกล้เคียงกับแบตเตอรี่ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นกำเนิดขึ้นในช่วงคริสต์ศักราชที่ 1800 เมื่อ อาเลสซานโดร วอลตา (Alessandro Volta) นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวอิตาเลียน ได้นำแรงบันดาลใจจากการทดลองไฟฟ้ากระตุกขากบของ ลุยจี กัลวานี (Luigi Galvani) มาต่อยอด วอลตาคิดว่า กระแสไฟฟ้าน่าจะเกิดได้จากการเชื่อมโลหะสองอย่างร่วมกับตัวนำที่มีความชื้น เขาจึงลงมือประดิษฐ์แบตเตอรี่ที่มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก ประกอบด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมีที่ทำจากแผ่นทองแดง ผ้าชุ่มน้ำเกลือ และสังกะสี วางซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น เชื่อมต่อด้านหัวกับปลายแท่งแบตเตอรี่ด้วยเส้นลวด เซลล์ไฟฟ้าเคมีของวอลตาหนึ่งเซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 0.76 โวลต์ ดังนั้นถ้าต้องการไฟฟ้าเท่าไรก็เพิ่มจำนวนเซลล์เข้าไป
[caption id="attachment_53066" align="aligncenter" width="400"] ที่มาภาพ : Wellcome Images[/caption]
อีกช่วงเวลาสำคัญที่ต้องบันทึกไว้ในวงการแบตเตอรี่คือในปี ค.ศ. 1859 ที่แบตเตอรี่ตะกั่วกรด (lead-acid battery) บรรพบุรุษของแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟได้ ถือกำเนิดขึ้น กัสตง ปล็องเต (Gaston Planté) นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคิดค้นแบตเตอรี่ตะกั่วกรดที่ฉีกวงการแบตเตอรี่ยุคนั้น คือ ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นตอนแบตเตอรี่จ่ายกระแสไฟฟ้า สามารถเกิดย้อนกลับได้เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ ทำให้ใช้งานซ้ำและได้ยาวนานขึ้น โมเดลของปล็องเตเป็นต้นแบบในการพัฒนาแบตเตอรี่ในยุคต่อ ๆ มา จนถึงทุกวันนี้
[caption id="attachment_53059" align="aligncenter" width="550"] public domain via Wikimedia Commons[/caption]
ปี ค.ศ. 1866 ฌอร์ฌ เลอกล็องเช (Georges Leclanché) พัฒนาแบตเตอรี่เลอกล็องเช ซึ่งเป็นต้นแบบของแบตเตอรี่แบบแห้ง (dry cell) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้สังกะสีเป็นขั้วลบ แมงกานีสไดออกไซด์เป็นขั้วบวก มีแอมโมเนียมคลอไรด์เป็นอิเล็กโทรไลต์ แต่แน่นอนว่าเวอร์ชันแรกย่อมมีจุดอ่อน โดยเฉพาะเรื่องการใช้งาน สารละลายแอมโมเนียมคลอไรด์มักหกออกมา แม้เลอกล็องเชจะเปลี่ยนสูตรพยายามทำให้สารละลายแอมโมเนียมคลอไรด์มีลักษณะข้นขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังใช้งานไม่สะดวกอยู่ดี
[caption id="attachment_53056" align="aligncenter" width="550"] public domain via Wikimedia Commons[/caption]
อีก 20 ปีต่อมา คาร์ล กัสเนอร์ (Carl Gassner) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันหาทางปิดจุดอ่อนของแบตเตอรี่เลอกล็องเชเรื่องสารละลายหกได้สำเร็จ แบตเตอรี่แบบแห้งของกัสเนอร์ใช้สังกะสีเป็นปลอกของแบตเตอรี่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นขั้วลบไปด้วยในตัว ส่วนด้านในเป็นแท่งคาร์บอนขั้วบวก และสารละลายอิเล็กโทรไลต์ ที่ยังใช้เป็นแอมโมเนียมคลอไรด์แต่ทำให้มีลักษณะเหนียวหนืด แล้วผสมซิงก์คลอไรด์เข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น แบตเตอรี่สังกะสี-คาร์บอน (zinc-carbon battery) นี้ให้กำลังไฟ 1.5 โวลต์ ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแบตเตอรี่แบบก้อน (ถ่านไฟฉาย) ในยุคต่อ ๆ มา กัสเนอร์จดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1887
[caption id="attachment_53058" align="aligncenter" width="550"] แบตเตอรี่แบบแห้งของกัสเนอร์ ผลิตโดยบริษัท Harvey & Peak ในปี ค.ศ. 1889ที่มาภาพ : Science Museum Group[/caption]
การพัฒนาแบตเตอรี่ยังดำเนินต่อไป ปี ค.ศ. 1899 วาลเดอร์มาร์ ยุงเนอร์ (Waldermar Jungner) นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน พัฒนาแบตเตอรี่นิกเกิลแคดเมียม (Ni-Cd) ที่ชาร์จไฟใหม่ได้และมีความหนาแน่นพลังงาน (energy density) สูงกว่าแบตเตอรี่ตะกั่วกรดสำเร็จ นอกจากนิกเกิลและแคดเมียมที่เป็นขั้วแบตเตอรี่แล้ว ยุงเนอร์เลือกใช้สารละลายโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง (alkaline) มาเป็นอิเล็กโทรไลต์ จัดว่าเป็นแบตเตอรี่แอลคาไลตัวแรกที่เกิดขึ้น รวมทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของตระกูลแบตเตอรี่สะสมไฟฟ้า (storage battery)
ในช่วงปี ค.ศ. 1900 เป็นช่วงที่รถพลังงานไฟฟ้ากำลังมีอนาคตสดใส ทอมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักประดิษฐ์ควบนักธุรกิจคนดังชาวอเมริกัน มองเห็นลู่ทางและเริ่มพัฒนาแบตเตอรี่ที่ตอบโจทย์การใช้งานของรถไฟฟ้าแทนการใช้แบตเตอรี่ตะกั่วกรดที่มีน้ำหนักมากและอาจกัดกร่อนชิ้นส่วนของรถด้วย เขาจึงเลือกพัฒนาแบตเตอรี่แอลคาไล โดยใช้เหล็กเป็นขั้วลบและนิกเกิลออกไซด์เป็นขั้วบวก ใช้โพแทสเซียมคลอไรด์เป็นอิเล็กโทรไลต์ เอดิสันพัฒนาอยู่หลายปีจนประสบความสำเร็จ แต่ทว่า เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) ดันเปิดตัว Ford Model T รถยนต์ใช้น้ำมันในราคาที่อเมริกันชนเอื้อมถึงได้ ทำให้กระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเงียบหายไป แม้จะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ แต่แบตเตอรี่ของเอดิสันก็ยังตอบโจทย์การใช้งานอื่น ๆ เช่น เป็นระบบสำรองไฟเสาสัญญาณรถไฟ ระบบไฟส่องสว่างในเหมือง ซึ่งก็ทำกำไรให้เขาได้เช่นกัน
[caption id="attachment_53057" align="aligncenter" width="369"] public domain via wikimedia[/caption]
หกสิบกว่าปีนับจากปีที่คาร์ล กัสเนอร์ พัฒนาแบตเตอรี่สังกะสี-คาร์บอนสำเร็จ แบตเตอรี่ชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่มันก็มีจุดอ่อนตรงที่คายประจุง่ายจึงเก็บไว้ได้ไม่นาน จนในปี ค.ศ. 1955 ลูอิส เออร์รี (Lewis Urry) วิศวกรชาวแคนาดา ซึ่งขณะนั้นทำงานในบริษัทผลิตแบตเตอรี่ Eveready (ปัจจุบันคือ Energizer Holdings, Inc.) หาทางยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่สังกะสี-คาร์บอนได้สำเร็จ โดยเปลี่ยนตัวอิเล็กโทรไลต์จากกรดเป็นด่าง และใช้ผงสังกะสีแทนแผ่นสังกะสีแบบเดิม แน่นอนว่านอกจากจะใช้งานได้นานขึ้นแล้ว ยังให้พลังไฟที่มากขึ้นอีกด้วย เป็นการเปิดตัวแบตเตอรี่แอลคาไลแบบแห้งสู่ตลาดโลกอย่างสวยงาม
[caption id="attachment_53060" align="aligncenter" width="559"] แบตเตอรี่แอลคาไลแบบแห้งของ Energizer ที่วางขายมาจนทุกวันนี้[/caption]
[caption id="attachment_53068" align="aligncenter" width="550"] แบตเตอรี่แอลคาไลแบบแห้งของ Energizer ที่วางขายมาจนทุกวันนี้[/caption]
ประมาณช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ที่โลกกำลังเกิดวิกฤตน้ำมัน นักวิจัยทั่วโลกเริ่มวิจัยเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในการใช้พลังงาน รวมถึงไมเคิล สแตนลีย์ วิตทิงแฮม (Michael Stanley Whittingham) นักเคมีของบริษัท Exxon ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานสัญชาติอเมริกันด้วย ระหว่างที่กำลังทำวิจัยอยู่นั้นเขาพบว่าไอออนของลิเทียมสามารถลอดผ่านช่องว่างของไทเทเนียมไดซัลไฟด์ได้ จึงได้ต่อยอดเอาสิ่งที่ค้นพบนี้มาพัฒนาเป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) โดยมีไทเทเนียมไดซัลไฟด์เป็นขั้วบวกและลิเทียมเป็นขั้วลบ แบตเตอรี่นี้มีน้ำหนักเบามาก เก็บประจุไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม แต่มีอาการลัดวงจรบ่อย ๆ ต่อมา จอห์น บี. กุดินัฟ (John B. Goodenough) ได้เข้ามาช่วยปรับปรุงโดยใช้โคบอลต์ออกไซด์แทนไทเทเนียมไดซัลไฟด์ และอากิระ โยชิโนะ (Akira Yoshino) ใช้ปิโตรเลียมโค้ก (petroleum coke) แทนลิเทียม จนได้ออกมาเป็นต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่สมบูรณ์ ต่อมาบริษัท Sony ได้ผลิตจำหน่ายในปี ค.ศ. 1991 แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจึงกลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้ทั้งสามคนได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมี ในปี ค.ศ. 2019 ร่วมกัน
[caption id="attachment_53061" align="aligncenter" width="550"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_53063" align="aligncenter" width="550"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_53064" align="aligncenter" width="550"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบต่าง ๆ[/caption]
[caption id="attachment_53062" align="aligncenter" width="737"] ตัวอย่างแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบต่าง ๆ[/caption]
การวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ยังคงดำเนินต่อไป ไม่ได้หยุดอยู่แค่แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน โดยเทรนด์ของการพัฒนาแบตเตอรี่ยังคงคล้ายกับแนวทางเดิมตั้งแต่อดีตคือ ต้องการแบตเตอรี่ที่ให้พลังงานไฟฟ้าหรือกำลังไฟฟ้าสูงขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น น้ำหนักเบาลง ราคาต่ำลง และที่เพิ่มเติมเข้ามาคือจะต้องเป็นนวัตกรรมที่ส่งผลกระทบต่อโลกน้อยที่สุดจนถึงไม่มีเลย ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายและน่าจับตาดูเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.mtec.or.th/post-knowledges/47282/
https://sciencewithkids.com/science-facts/facts-about-batteries.html#:~:text=The%20battery%20was%20invented%20before,%2C%20Li%2Dion%20and%20LiPo.
https://phys.org/news/2015-04-history-batteries.html#:~:text=The%20first%20true%20battery%20was,physicist%20Alessandro%20Volta%20in%201800.
https://blog.upsbatterycenter.com/history-batteries-timeline/
https://www.acs.org/education/whatischemistry/landmarks/drycellbattery.html
เรียบเรียงโดย รักฉัตร เวทีวุฒาจารย์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อินโฟกราฟิกโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
สวทช. -บพข. คิก ออฟ ‘MED Drive’ ยกระดับความสามารถผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
(วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม (CO113) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนาการสื่อสารสร้างความเข้าใจ และ kick off โครงการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ หรือ MED Drive ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา ‘MED Drive’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของประเทศ ด้วยกลไกการบริหารจัดการ การพัฒนาองค์กร การพัฒนาด้านการตลาด การวิจัย วิเคราะห์ทดสอบแบบครบวงจร และการเชื่อมโยงหน่วยงานพันธมิตร ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ภายในงานยังมีการเสวนาของผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน เพื่อร่วมสร้างความเชื่อมั่น ความร่วมมือในการผลักดันผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ของไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ หรือ MED Drive เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของ สวทช. ในการผลักดันการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมอุตสาหกรรม ร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง โดยผนึกกำลังทั้งในด้านเทคนิค การบริหารจัดการ และส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับการสร้างนวัตกรรม โดย สวทช. มีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัย ห้องปฏิบัติการ อีกทั้งบุคลากรมีความเชี่ยวชาญในการประสานกับเครือข่ายเฉพาะด้าน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย เพื่อมุ่งสู่การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ
นางสาววรรณนิพา ทองสิมา ผู้อำนวยฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. กล่าวว่า การร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชนครั้งนี้เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของอุตสาหกรรมของเครื่องมือแพทย์ไทยเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เกิดการขยายตลาดและสร้างรายเพิ่มขึ้นให้กับผู้ประกอบการ เกิดการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ สร้างมูลค่า ยกระดับนวัตกรรม และคุณภาพ ทั้งนี้งานสัมมนาดังกล่าว สวทช. เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องแพทย์ไทยนั้นต้องตอบโจทย์สำคัญของยุทธศาสตร์ชาติในการสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อพัฒนาและยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้ของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ไทย
ด้าน รศ.ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวถึงบทบาทของ บพข. ในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการด้วย วทน. ว่า บพข. เป็นหน่วยให้ทุนขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งได้จัดสรรทุนจาก ววน. มาบริหารจัดการ โดยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 8 อุตสาหกรรม ซึ่ง 1 ในนั้น คือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ เพื่อให้อุตสาหกรรมด้านนี้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในประเทศ เพื่อดูแลคุณภาพชีวิตประชานชนคนไทย
“บพข. ดูแลผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งประเทศไทยต้องขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้นโดยการทำงานร่วมกันระหว่าง สวทช. บพข. และ 5 บริษัทด้านการแพทย์ ที่เข้าร่วมในโครงการนี้ ทั้งนี้เชื่อว่าความร่วมมือในโครงการนี้ จะเกิดสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพการแพทย์ และนำผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการเร่งไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ และช่วยทำให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นผู้ประกอบการที่ใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด (Innovation Driven Enterprise :IDE) ให้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ และร่วมการสร้างเครือข่ายให้เกิดความเข้มเข้มแข็งด้านสุขภาพการแพทย์ของประเทศที่ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” ผู้อำนวยการ บพข. กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดแผน “อว. For EV” ฟันเฟืองขับเคลื่อนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
“ศุภมาส อิศรภักดี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย อว. For EV หลังได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เร่งดำเนินการ 3 แผนงาน ‘พัฒนากำลังคน เพิ่มสัดส่วนการใช้รถ EV และหนุนงบวิจัย EV ทั้งระบบ’ มีเป้าหมายผลักดันประเทศไทยสู่ EV HUB ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และผลิตยานยนต์ไม่ปล่อยมลพิษร้อยละ 30 ภายในปี 2573
ดาวน์โหลดไฟล์ “นโยบาย อว. for EV” โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช.-สวก.-กรมส่งเสริมการเกษตร ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ นำร่องชาวไร่มันฯ พื้นที่อีสาน 160 ราย ผลิตมันอินทรีย์ 500 ไร่ ผลผลิตเพิ่ม 20-30%
(23 กุมภาพันธ์ 2567) ณ แปลงเกษตรกรต้นแบบ (นายรังสรรค์ อยู่สุข) หมู่ 10 ต.นาคาย อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี: นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567
โดยมีนางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เกษตรจังหวัดอุบลราชธานี ภาคเอกชนและเกษตรกรในพื้นที่เข้าร่วมงาน
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร มีความมุ่งมั่น ส่งเสริมให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยได้รับการส่งเสริมพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและจัดการสินค้าตามความต้องการของตลาดได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยได้รับบริการทางการเกษตร และองค์ความรู้จากการศึกษา วิจัยและพัฒนางานด้านส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตปัจจัยทางการเกษตรที่มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยงานวันถ่ายทอดผลงานวิจัยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินสำหรับมันสำปะหลังอินทรีย์สู่เกษตรกรเพื่อเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ (Field Day) ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับ สวทช. สวก. และภาคเอกชนในพื้นที่ขับเคลื่อนภารกิจในปี 2567 โดยนำนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรเชิงพื้นที่ สร้างสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Low Carbon) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในภาคการเกษตร ที่ขับเคลื่อนตามนโยบาย BCG Economy Model เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน สมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
“หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมไปถึงหน่วยงานภาคีต่าง ๆ ได้ร่วมกันบูรณาการ การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญ คือ “เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น” เนื่องจากสถานการณ์การผลิตสินค้าเกษตรในปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูงทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพ ขณะเดียวกันพี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่ ยังมีการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรแบบรายย่อย ทำมากแต่ได้ผลตอบแทนน้อย ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ปัจจัยการผลิตและตลาด ที่สำคัญที่สุดเกษตรกรผลิตสินค้าไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ขาดการรวมกลุ่ม จึงทำให้ยากต่อการจัดการผลผลิตจากสภาพปัญหาที่เกษตรกรต้องเผชิญอยู่ จึงบูรณาการร่วมกันดำเนินกิจกรรม “ถ่ายทอดความรู้แบบเห็นของจริง” เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรได้เรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ และได้รับการให้บริการด้านการเกษตร เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการวางแผนการผลิต เข้าถึงตลาดและปัจจัยการผลิต ลดความเสี่ยงในการทำการเกษตร ตามนโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่งหากเกษตรกรนำองค์ความรู้ที่เหมาะสมไปประยุกต์ใช้ในแปลงของตนเอง จะทำให้ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าสินค้า ยกระดับสินค้าสู่มาตรฐานและต่อยอดถึงการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน แปลงใหญ่ ที่มีการบริหารจัดการกลุ่ม และช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าสูงขึ้นต่อไป” นายพีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
น.ส.วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. มีทีมนักวิชาการเข้ามาทำโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลัง ในระบบอินทรีย์ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกรและถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เนื่องจากปัญหาของการผลิตมันสำปะหลังเคมี เกษตรกรมักจะประสบปัญหาความผันผวนของราคา รายได้น้อย ต้นทุนสูง ดังนั้นการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เนื่องจากมันสำปะหลังอินทรีย์สามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมี บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นภาคเอกชนในพื้นที่ต้องการมันสำปะหลังอินทรีย์ปีละไม่น้อยกว่า 300,000 ตัน แต่ปัญหาคือการปรับเปลี่ยนการปลูกมันสำปะหลังจากแปลงเคมีมาผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ พี่น้องเกษตรกรยังขาดองค์ความรู้เรื่องการเลือกใช้พันธุ์มันสำปะหลังในระบบอินทรีย์ ขาดความรู้ในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการโรคและแมลงในระบบอินทรีย์ รวมทั้งขาดความรู้ในการขอขึ้นทะเบียนมาตรฐานอินทรีย์ต่าง ๆ
“ดังนั้น การผลักดันและส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงองค์ความรู้เพื่อผลิตมันสำปะหลังให้ได้ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จึงเป็นกลไกที่สำคัญที่ช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรจากการจำหน่ายและทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เป็นไปตามนโยบายของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นการทำวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ภายใต้หลักการสำคัญ คือ "เอกชนนำ รัฐสนับสนุน" น.ส.วิราภรณ์ กล่าว
นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวเสริมว่า สวทช. ดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรยโสธร และสำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมาย ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรในเครือข่ายพื้นที่เป้าหมายจังหวัดอุบลราชธานี และยโสธร ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ไม่น้อยกว่า 100 คน เพิ่มพื้นที่ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์รวม 500 ไร่ ให้ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (ระยะปรับเปลี่ยน) ผลผลิตมันสำปะหลังไม่น้อยกว่า 1,500 ตัน มีการประกันราคารับซื้อและหน่วยงานสำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมขับเคลื่อนการขยายผลในพื้นที่เกษตรกร เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลัง และสร้างเครือข่ายผู้ผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้โครงการฯ ได้ร่วมกันคัดเลือกพื้นที่สำหรับขับเคลื่อนการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ตำบลนาคาย อำเภอตาลสุมและตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มเกษตรกรตำบลคูเมือง ตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร กลุ่มเกษตรกรตำบลหนองไฮ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 160 คน พื้นที่ปลูก 738 ไร่ โดยประสานสำนักงานเกษตรฯ ในพื้นที่ และภาคเอกชน และกำหนดเจ้าหน้าที่ประสานงานในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อร่วมกิจกรรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีของโครงการฯ
“จากการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาของเกษตรกรกับการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ จ.อุบลราชธานี และยโสธร พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น 1.ขาดความรู้ความเข้าใจในการขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 2.เกษตรกรมีความคุ้นเคยกับการใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีการป้องกันศัตรูพืช และ 3.เกษตรกรขาดองค์ความรู้ในการผลิตมันสำปะหลังในระบบเกษตรอินทรีย์ทำให้ผลผลิตต่ำและต้นทุนสูง
ดังนั้นโครงการฯ จึงได้ร่วมกันกำหนดขั้นตอนการส่งต่อความรู้ให้เกษตรกร โดยจัดทำแปลงต้นแบบการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม จำนวน 36 แปลง ปรับใช้เทคโนโลยีการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน 1 ไร่ เปรียบเทียบกับการใช้ปุ๋ยเดิมของเกษตรกร เพื่อให้เป็นแหล่งถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ และดำเนินงานถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย”
นายชวินทร์ กล่าวต่อว่า ทีมนักวิชาการ สวทช. และพันธมิตรร่วมกันกำหนดหัวข้อการดำเนินการ คือ 1. การผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์และการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ 2.การตรวจวิเคราะห์ดินและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินโดยเทคโนโลยี Smart NPK และ 3.การป้องกันกำจัดโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังแบบ Strip Test โดยทีมวิชาการ สวทช.ได้ให้การอบรมในพื้นที่ 3 จังหวัด รวม 7 ครั้ง มีเกษตรกรผู้ได้รับการถ่ายทอดรวม 160 คน ผลการดำเนินงาน พบว่า แปลงต้นแบบที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดิน 80% มีค่าวิเคราะห์ดินที่ดีขึ้น จำนวนหัวตัวเหง้าเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20-30% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการลงทุนเพิ่มจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตามค่าวิเคราะห์ดินนั้นให้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย สำหรับแผนการดำเนินงานต่อไป คือ โครงการฯจะขยายผลจากแปลงต้นแบบร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนเป็นแผนงานจังหวัดต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอสซีจี เยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และผลงานวิจัย สวทช.
(22 กุมภาพันธ์ 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี และกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหารือความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ซึ่งทางด้าน SCG ได้ตั้งเป้า NET ZERO ไว้ในปี พ.ศ.2593 และเป็นผู้นำด้าน green transformation การเยี่ยมชมและหารือในครั้งนี้ SCG และ สวทช. ได้มุ่งเน้นแสวงหากลไกด้านความร่วมมือ การพัฒนาสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ของทั้งสองหน่วยงาน
ทั้งนี้ผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำคณะเยี่ยมชม ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center, NOC) โดยมี ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง นักวิจัยอาวุโส ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ได้นำเสนอบทบาทภารกิจและการให้บริการของศูนย์ฯ
จากนั้นพาชมห้อง Data Center LANTA ศูนย์คอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) โดย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา นักวิจัย ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นำชมเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง
ซึ่งประกอบด้วยหน่วยประมวลผล CPU AMD EPYC เจนเนอเรชั่น ที่ 3 (Milan) รวมทั้งสิ้น 31,744 cores และหน่วยประมวลผล GPU รุ่น NVIDIA A100 ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณด้าน AI ขั้นสูงและการจำลอง simulation ทางวิทยาศาสตร์จำนวน 704 หน่วย มีระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงรุ่น Cray ClusterStor E1000 ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า 10 เพตะไบต์ (petabytes) หรือ 10,000 ล้านล้านไบต์ โดยใช้การเชื่อมต่อด้วยเครือข่ายประสิทธิภาพสูง HPE Slingshot Interconnect ที่มีความเร็วในการส่งรับข้อมูล 200 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ซึ่งทำให้ LANTA มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงสุดในทางทฤษฎี (theoretical peak performance) อยู่ที่ 13.7 petaFLOPS และประสิทธิภาพการคำนวณสูงสุดที่วัดได้ (maximum LINPACK performance) อยู่ที่ 8.1 petaFLOPS หรือ 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
จากนั้นนำชมห้องปฏิบัติการอุปกรณ์การแพทย์ โดยมี ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รักษาการ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) พร้อมด้วย ดร. วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี MTEC และ ดร. เปริน วันแอเลาะ ผู้ช่วยปฏิบัติงานวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี MTEC ร่วมบรรยายหัวข้อ Wearable Technologies and Passive Exoskeleton for Silver Econony
นอกจากนี้คณะได้เยี่ยมโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทคและนิทรรศการด้าน Biorefinery โดย ดร. กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร BIOTEC บรรยายถึงบทบาทหน้าที่และการให้บริการชมโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการ ไบโอเทค ต่อด้วย ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi และดร.ปิติชน กล่อมจิต วิศวกรอาวุโส สวทช. อธิบายภาพรวมโครงการด้าน Biorefinery ในพื้นที่ EECi ที่ สวทช. กำกับดูแล
จากนั้นช่วงบ่าย นำโดย ดร. ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ ทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน NANOTEC ดร. พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว หัวหน้าทีมวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน NANOTEC ดร. ศรัณย์ อธิการยานันท์ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน NANOTEC ดร.สมประสงค์ ทองคำ นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุผสมนาโนสำหรับอุตสาหกรรม NANOTEC นำเสนองานความร่วมมือกับ SCG-Nano Coating และ โครงการอื่นๆ พร้อมด้วย Nano Cool Paint (สีลดอุณหภูมิภายในอาคาร) และ Bioplastic โดยคณะเยี่ยมชมเข้าชมห้องปฏิบัติการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) บรรยายโดย ดร. ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค เปิดบ้าน TBRC คลังจุลินทรีย์ชั้นนำระดับอาเซียน ที่มีมากเกือบ 1 แสนสายพันธุ์ ชี้เป็นต้นน้ำงานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อตอบโจทย์วิจัย-อุตสาหกรรม หนุน BCG เศรษฐกิจฐานชีวภาพ
(22 กุมภาพันธ์ 2567) ณ อาคารไบโอเทค อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (TBRC) ให้สื่อมวลชนเยี่ยมชมคลังเก็บรักษาจุลินทรีย์และชีววัสดุ ซึ่งมีมากเกือบ 1 แสนสายพันธุ์ ใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาคอาเซียน พร้อมโชว์จุดแข็งของ TBRC ในด้านการรับฝากและให้บริการจุลินทรีย์และชีววัสดุ รวมถึงงานบริการเทคนิคที่เกี่ยวข้องได้แก่ การคัดแยกจุลินทรีย์ การจำแนกชนิดจุลินทรีย์ การวิเคราะห์ประชากรจุลินทรีย์ การเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ รวมถึงการอบรบด้านการเก็บรักษาและจัดการคลังจุลินทรีย์ให้กับผู้สนใจ
ทำให้ประเทศเกิดความเข้มแข็งในการนำทรัพยากรจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านวิจัยและด้านอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านอาหาร สุขภาพ เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการนำเข้าจุลินทรีย์จากต่างประเทศ สร้างศักยภาพผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมทั้งมีส่วนอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย โดยปัจจุบัน TBRC เก็บรักษาจุลินทรีย์ไว้มากกว่า 4,300 สปีชีส์ ทั้งหมดนี้ช่วยสนับสนุนนโยบายด้านเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาลในการช่วยสร้างความเข้มแข็งด้วยฐานชีวภาพจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดร.เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทคจัดตั้งศูนย์จุลินทรีย์ตั้งแต่ปี 2539 และได้พัฒนาเรื่อยมาจนเกิดเป็นศูนย์ชีววัสดุประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อเป็นศูนย์ชีววัสดุชั้นนำในอาเซียนที่เชื่อมโยงระบบการบริหารจัดการชีววัสดุที่ทันสมัยและเป็นไปตามกฎระเบียบนานาชาติเข้ากับการวิจัยและนวัตกรรม ด้วยภารกิจในการเป็นศูนย์กลางการรวบรวมชีววัสดุและข้อมูลโดยใช้ระบบบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์ชีววัสดุอย่างสูงสุด พร้อมทั้งสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ชีววัสดุอย่างยั่งยืนเป็นไปตามกฎระเบียบนานาชาติ รวมถึงสร้างความร่วมมือระดับประเทศและนานาชาติด้านการวิจัยเกี่ยวกับชีววัสดุ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรด้านการเก็บรักษาและบริหารจัดการชีววัสดุ ทำให้ TBRC มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางจัดการชีววัสดุของประเทศที่มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ดร.ชาญวิทย์ สุริยฉัตรกุล หัวหน้าทีมวิจัยความหลากหลายและการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์ ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย (TBRC) ไบโอเทค กล่าวว่า TBRC เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เก็บรักษา ให้บริการและบริหารจัดการทรัพยากรจุลินทรีย์ ชีววัสดุ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เกิดการใช้ประโยชน์ โดยจุลินทรีย์และชีววัสดุที่เก็บรักษาประกอบด้วย แบคทีเรีย รา ยีสต์ ไวรัส และโปรโตซัว ซึ่งมีมากถึงเกือบ 1 แสนสายพันธุ์ ที่พร้อมนำมาวิจัยต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ถือเป็นคลังชีววัสดุชั้นนำระดับภูมิภาคอาเซียน โดย TBRC มีบริการหลัก ได้แก่ รับฝากและให้บริการจุลินทรีย์และชีววัสดุ คัดแยกจุลินทรีย์ จำแนกชนิดจุลินทรีย์ วิเคราะห์ประชากรจุลินทรีย์ การเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ รวมถึงให้การอบรบด้านการเก็บรักษาและจัดการคลังจุลินทรีย์ ซึ่ง TBRC มีระบบการเก็บรักษาจุลินทรีย์ตามมาตรฐานระดับสากล ได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO 9001:2015 โดยมีการเก็บรักษาในสภาพแช่เยือกแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -80 องศาเซลเซียส และในถังไนโตรเจนเหลว และการเก็บรักษาแบบแห้งในหลอดแก้วสุญญากาศ ที่สามารถเก็บรักษาจุลินทรีย์ให้มีชีวิตรอดได้นานกว่า 20 ปี โดยผู้เชี่ยวชาญด้านจุลินทรีย์กลุ่มต่าง ๆ จะกำหนดขั้นตอน วิธีการจัดเก็บ วิธีการตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้จุลินทรีย์ที่จัดเก็บและให้บริการมีความถูกต้อง รอดชีวิต และปราศจากการปนเปื้อน ซึ่งบริการเหล่านี้จะช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้บริการไปยังกลุ่มนักวิจัย หน่วยงานวิจัย และภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ด้านการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์และชีววัสดุ เพื่อตอบโจทย์งานวิจัยและความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่อไป
ด้าน ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยระบบจุลินทรีย์และชีวสารสนเทศ กล่าวเสริมว่า TBRC มีการดำเนินงานโครงการวิจัยร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อค้นหาจุลินทรีย์ชนิดใหม่ ๆ ของโลกและสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน โดย TBRC ร่วมงานกับพันธมิตรในการทำวิจัยร่วมกัน โดยเน้น 1) การตรวจหาติดตามดีเอ็นเอชุมชนจุลินทรีย์ (Microbiome Analysis) เพื่อวิเคราะห์ความหลากหลายของชุมชนจุลินทรีย์และบทบาทของจุลินทรีย์ ในการประเมินสถานภาพสิ่งแวดล้อมหรือผลิตภัณฑ์จากภาคอุตสาหกรรม 2) ชีวสารสนเทศและฐานข้อมูลจุลินทรีย์ เพื่อการวิเคราะห์บ่งชี้ชนิดจุลินทรีย์และความสัมพันธ์เชิงหน้าที่ของจุลินทรีย์ระดับยีนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมทั้ง 3) การค้นหาและปลดล็อกศักยภาพของจุลินทรีย์จากคลัง TBRC เพื่อให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในคลัง TBRC มีความพร้อมและตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมได้มากที่สุด
นอกจากนี้ TBRC ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) บนโลกนี้ด้วย โดย TBRC ดูแลทรัพยากรจุลินทรีย์ในระดับสกุลมากกว่า 1,500 สกุล (genus) และระดับชนิดมากกว่า 4,300 ชนิด (species) รวมถึง TBRC ยังนับเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในด้านสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ การขึ้นทะเบียนจุลินทรีย์เพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้กับภาคอุตสาหกรรม และยังเป็นแหล่ง Bioresources หรือแหล่งรวมข้อมูลพันธุกรรมที่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีภาคเอกชนและผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการและประโยชน์เพื่อต่อยอดในอุตสาหกรรมจำนวนมาก เป็นหนึ่งในฟันเฟืองช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสุขภาพและยารักษาโรค อุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ สัดส่วนการใช้ประโยชน์คลังจุลินทรีย์ TBRC ที่ผ่านมา มีทั้งผู้ใช้บริการ คือนักวิจัยของไบโอเทค สวทช. และหน่วยงานภายนอก เช่น องค์กรรัฐและภาคเอกชน ตัวอย่างการศึกษาวิจัยที่ทำโดยนักวิจัยไบโอเทคเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น จุลินทรีย์ที่ผลิตเอนไซม์ที่ใช้ในอาหารสัตว์ อาทิ เชื้อราสายพันธุ์แอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus spp.) หรือจุลินทรีย์สำหรับควบคุมศัตรูพืช อาทิ เชื้อราสายพันธุ์ไตรโคเดอร์มา (Trichoderma spp.) ขณะที่หน่วยงานภายนอกมีการใช้บริการงานบริการเทคนิคต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น คัดแยกจุลินทรีย์ จำแนกชนิดจุลินทรีย์ อย่างไรก็ตาม สวทช. มีบริการที่จะช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมในการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในกลุ่มที่ต้องการให้มากขึ้นในระดับกึ่งอุตสาหกรรมในโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BIOTEC Bioprocessing Facility) หรือ BBF เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง
หนึ่งในนักวิจัยไบโอเทคที่สะท้อนมุมมองถึงการนำจุลินทรีย์ไปใช้ประโยชน์ในงานวิจัยคือ ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค ซึ่งมีการนำจุลินทรีย์จาก TBRC มาใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น เอนไซม์ ENZEase ซึ่งใช้ในการลอกแป้ง (desizing) และกำจัดแว็กซ์ (scouring) ในขั้นตอนเดียวซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานและสารเคมีในกระบวนการผลิตสิ่งทอ การใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ในการปรับปรุงยีสต์ผลิตเอทานอลให้สามารถผลิตสารคาโรทีนอยด์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ การใช้จุลินทรีย์และเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาการผลิตน้ำตาลฟังก์ชั่น ในกลุ่มน้ำตาลแอลกอฮอล์ เช่น ไซลิทอล ซึ่งใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารและผลิตภัณฑ์สุขภาพ และโอลิโกแซคคาไรด์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารพรีไบโอติก จากชีวมวลทางการเกษตร และการใช้จุลินทรีย์ในกลุ่มรา เช่น บิววาเรีย และเมตาไรเซียม เป็นสารชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช รวมถึงการผลิตสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีโครงสร้างเฉพาะจากจุลินทรีย์ ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดสิทธิ์ให้ภาคเอกชนแล้ว หรืออยู่ระหว่างขยายขนาดการผลิตร่วมกับภาคเอกชนชั้นนำ เพื่อผลักดันไปสู่การใช้ประโยชน์ต่อไป
หน่วยงานหรือผู้สนใจใช้ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีของ TBRC ในการตอบโจทย์ด้านจุลินทรีย์ รวมถึงหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือวิจัย สามารถติดต่อได้ที่ TBRC อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 ตึก B ชั้น 8 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี โทร. 0 2117 8000-1 อีเมล tbrcservice@biotec.or.th แฟนเพจ www.facebook.com/tbrcnetwork/ และเว็บไซต์ www.tbrcnetwork.org/
ข่าวประชาสัมพันธ์
PM2.5 พุ่งสูง ชวนมาสูดอากาศสะอาดที่ ‘MagikFresh’
ฝุ่น PM2.5 เป็นหนึ่งในปัญหามลพิษทางอากาศที่อยู่คู่กับคนไทยมาเกือบทศวรรษแล้ว สาเหตุหลักของการเกิดฝุ่นมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งกิจกรรมในครัวเรือน การปล่อยไอเสียจากยานพาหนะ การก่อสร้าง การปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเผาในที่โล่งแจ้ง ซึ่งการจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนต้องอาศัยทั้งการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยฝุ่น PM2.5 และความร่วมมือในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตจากทุกภาคส่วน
อย่างไรตามปัญหาฝุ่น PM2.5 อาจไม่สามารถคลี่คลายได้ในเร็ววัน การป้องกันที่ดีที่สุด คือการรู้เท่าทันถึงอันตราย และหลีกเลี่ยงการสูดฝุ่นพิษ PM2.5
PM2.5 อันตราย เล็กทะลุปอดเข้าสู่กระแสเลือด
ฝุ่น PM2.5 คือฝุ่นที่มีขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือเล็กมากพอที่มนุษย์จะหายใจเข้าสู่ปอดและซึมผ่านผนังปอดเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นกับร่างกายจึงมีทั้งแบบ ‘เฉียบพลัน’ เห็นผลใน 1-2 วัน และแบบ ‘เรื้อรัง’ ค่อย ๆ สะสม แล้วแสดงผลในระยะยาว
[caption id="attachment_53003" align="aligncenter" width="1000"] ที่มาภาพจากบทความเรื่อง ‘ฝุ่น PM 2.5 : เล็กทะลุปอดเข้ากระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายจุดทั่วร่าง’ โดย Research Café สกสว.[/caption]
ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ วิวรรธนะเดช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพไว้ในบทความเรื่อง ‘ฝุ่น PM 2.5 : เล็กทะลุปอดเข้ากระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายจุดทั่วร่าง’ ว่า อาการแบบเฉียบพลันที่พบเห็นได้ทั่วไปมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจแล้วมีเสียงฟืดฟาด เลือดกำเดาไหล ซึ่งหากเลือดไหลลงคอก็จะทำให้เสมหะมีเลือดเจือปนได้ ส่วนหากเข้าตาก็จะทำให้เคืองตา ตาแดง และหากโดนผิวหนังก็จะทำให้เกิดผื่นคันและเป็นตุ่ม ส่วนผลที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมฝุ่น PM2.5 ไว้ในร่างกายเป็นระยะเวลานาน เช่น ‘เส้นเลือดหัวใจตีบตัน’ ทำให้หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติ ‘เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ’ ทำให้เกิดภาวะอัมพาตหรือเสียชีวิต ‘เป็นมะเร็งปอด’ เพราะฝุ่นขนาดเล็กจะมีสารก่อมะเร็ง Polycyclic Aromatic Hydrocarbon (PAH) นอกจากนี้ฝุ่น PM2.5 ยัง ‘เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์’ ได้ โดยฝุ่นจะไหลเข้าไปทางรกส่งผลให้เด็กคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักน้อย ติดเชื้อง่าย ทุพโภชนาการ และอาจเป็นโรคออทิสซึม ซึ่งผลกระทบทั้งหมดนี้มีการยืนยันที่ตรงกันจากงานวิจัยทั่วโลกแล้ว
นอกจากอาการเจ็บป่วยข้างต้นยังมีอีกหนึ่งความอันตรายต่อสุขภาพที่ควรตระหนักเป็นอย่างยิ่ง คือ ปริมาณฝุ่น PM2.5 ที่มหาศาลนี้ทำให้คนที่ต้องสูดฝุ่นเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำเสี่ยงต่อการเป็น ‘โรคถุงลมโป่งพอง’ ได้เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ โดยจากข้อมูลสถิติของ Rocket Media Lab ระบุว่าการสูดฝุ่นของผู้คนในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2564-2565 มีความอันตรายเท่ากับการสูบบุหรี่ 1,200 มวน
MagikFresh พื้นที่อากาศสะอาดกลางเมืองกรุง
ด้วยแต่ละวันในกรุงเทพฯ มีปริมาณฝุ่น PM2.5 มากน้อยไม่เท่ากันแปรผันไปตามการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของคนเมืองและสภาพอากาศ ดังนั้นทุกคนจึงควรเช็คค่าฝุ่นเป็นประจำ และสวมใส่หน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ โดยเฉพาะในวันที่มีปริมาณฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ 37.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป เพราะเป็นปริมาณฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกาย
ทั้งนี้หากวันไหนมีโอกาสได้เดินทางมายังละแวกสวนจตุจักรและอยากหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนในใจบรรยากาศสวนอันร่มรื่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ขอนำเสนอ 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักรตลอดหน้าร้อนนี้ (ถึงพฤษภาคม 2567) โดย MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้ประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร (MRT ทางออกประตู 3)
MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร ที่มีเครื่องกรองอากาศทำหน้าที่ดึงอากาศจากภายนอกมากรองฝุ่น PM2.5 ก่อนปล่อยให้อากาศไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร แล้วระบายออกสู่ภายนอกผ่านช่องช่องระบายด้านบนหลังคา ทำให้ MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยให้ผู้ใช้บริการหายใจได้สะดวกและรู้สึกสบายตัว โดยเมื่อผู้ใช้บริการเดินเข้ามาภายในอาคารจะได้พบกับสวนขนาดย่อมเป็นพื้นที่สีเขียวสดชื่น บริเวณผนังทั้ง 4 ด้านมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh และที่ทั้ง 4 มุมของอาคารมีเก้าอี้ให้ผู้ใช้บริการได้นั่งพักผ่อนหรือทำกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ด้วยลักษณะอาคารที่เป็นแบบโปร่งใสผู้ใช้บริการจึงสามารถมองออกไปชมวิวภายนอกซึ่งเป็นบรรยากาศอันงดงามของสวนจตุจักรได้ด้วย
ปลูกต้นไม้ช่วยกรองฝุ่น PM2.5
นอกจากเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศฝีมือนักวิจัยไทยที่ช่วยสร้างอากาศสะอาดให้เราสูดเข้าปอดได้อย่างสบายใจแล้ว การปลูก ‘ต้นไม้’ ยังเป็นแนวทางสำคัญในการเพิ่มเครื่องกรองอากาศตามธรรมชาติ เพราะต้นไม้มีส่วนช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ได้ 10-50%
สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ว่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลว่า ต้นไม้สามารถดูดซับกลิ่น มลพิษ และฝุ่นละออง ผ่านทางใบและเปลือก โดยฝุ่น PM2.5 จะเกาะแน่นกับผิวของใบไม้ที่เป็นชั้นคิวติเคิล (cuticle) หรือเยื่อบุผิวนอก เนื่องจากมีสารคล้ายขี้ผึ้งและมีเส้นขนปกคลุมอยู่บนผิวใบ ฝุ่น PM2.5 ที่เกาะค้างอยู่บนใบและเปลือกจะถูกชะล้างด้วยน้ำหรือน้ำฝนลงสู่พื้นดิน
สำหรับตัวอย่างต้นไม้ที่ช่วยดักจับฝุ่นได้ดี ผลการศึกษาวิจัยเรื่อง การใช้พืชยืนต้นบำบัดฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบว่า ต้นไม้ที่มีขนาดใบเล็ก มีใบจำนวนมาก ลักษณะใบขรุขระ และมีเส้นขนบนใบมากจะช่วยดักจับฝุ่นได้ดี เช่น ต้นโมก กัลปพฤกษ์ พะยูง นีออน จามจุรี หมากเหลือง ทรงบาดาล แก้ว และอินทนิล
อย่างไรก็ดี การปลูกต้นไม้ไม่ได้มีประโยชน์เพียงดักจับฝุ่นอนุภาคจิ๋วที่ลอยฟุ้งสร้างมลพิษในอากาศ แต่ยังมีส่วนช่วยลดอุณหภูมิได้ 0.4-3 องศาเซลเซียส สร้างความร่มรื่นและเย็นสบายให้กับเมืองของเรา
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. รับรางวัลทุนหมุนเวียน ประเภทประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ปี 2566
(21 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-7 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ารับรางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ในงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2566 จากนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลและประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่รวม 114 กองทุน ได้จัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2566 ขึ้น ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ภายใต้ชื่องาน “ทุนหมุนเวียน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน” ที่เมืองทองธานี โดยได้รับเกียรติจาก นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบรางวัล ในปีนี้ สวทช. ได้รับรางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการและปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านการบริหารจัดการทุนหมุนเวียน และด้านการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหาร
งานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2566 มีคณะอนุกรรมการตัดสินรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ได้กำหนดกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาตัดสินรางวัลและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนประจำปีบัญชี 2565 จำนวน 5 ประเภทรางวัล รวม 14 รางวัล จาก 9 หน่วยงาน ตามประเภทรางวัล ดังนี้
รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดำเนินงานโดยรวมดีเด่น ซึ่งสามารถดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ และพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลคะแนนในภาพรวมที่มีคะแนนมากกว่า 4.5 คะแนน จำนวน 3 ทุนหมุนเวียน ได้แก่ 1. กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2. กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 3. กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข
รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนา และปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลคะแนนในภาพรวมที่มีคะแนนมากกว่า 4 คะแนน และมีผลต่างคะแนนย้อนหลัง 2 ปีเป็นบวก จำนวน 4 ทุนหมุนเวียน ได้แก่ 1. กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2. เงินทุนหมุนเวียนในการผลิตพันธุ์ปลา พันธุ์กุ้ง และพันธุ์สัตว์น้ำอื่น ๆ 3. กองทุนประกันสังคม 4.ประเภทชมเชย กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน
รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการและปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านการบริหารจัดการทุนหมุนเวียน และด้านการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลคะแนนรวมด้านการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนที่มีผลคะแนนมากกว่า 4 คะแนน จำนวน 5 ทุนหมุนเวียน ได้แก่ ประเภทของการตรวจสอบภายในทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลทุนหมุนเวียนที่ใช้หน่วยงานตรวจสอบ ได้แก่ 1. กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) 2. กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3. กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุข และประเภทของการตรวจสอบภายในทุนหมุนเวียนที่ใช้หน่วยงานตรวจสอบภายในจากหน่วยงานต้นสังกัด ได้แก่ 1. กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 2. เงินทุนหมุนเวียนค่าเครื่องจักรกลของกรมทางหลวง
รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่บริหารจัดการทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุตามเป้าหมาย หรือตามมาตรฐานที่กำหนดได้ในระดับดีขึ้นไป ซึ่งเกณฑ์การประเมินผู้บริหารทุนหมุนเวียนพิจารณาจากการได้รับรางวัลผลการดำเนินงานดีเด่นหรือพัฒนาการดำเนินงานดีเด่น โดยอยู่ในตำแหน่งอย่างน้อย 2 ปี จำนวน 2 ทุนหมุนเวียน ได้แก่ 1. นางสาวกรรณิกา เจริญลักษณ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2. นายสุธัญญ์ ฤทธิขาบ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและรับเรื่องร้องเรียน กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน
และ 5. รางวัลเกียรติยศ เป็นรางวัลสำหรับทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลผลการดำเนินงานดีเด่นต่อเนื่อง 3 ปี ไม่มีทุนหมุนเวียนใดได้รับรางวัลในปีนี้
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ชื่นชมยินดีกับทุกกองทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัล และขอบคุณท่านทั้งหลายรวมถึงผู้บริหารกองทุนได้สละเวลา ความรู้ ความสามารถ ผลักดันกองทุนหมุนเวียนตามนโยบายของรัฐ สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนหมุนเวียนที่แตกต่างกันไป เพื่อสนับสนุนช่วยเติมเต็มช่องว่างที่งบประมาณภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้จากการดำเนินงานของหน่วยงานทุนหมุนเวียน และขอฝากให้ท่านผู้บริหารทุนหมุนเวียนทุกท่านกำกับติดตาม ประเมินผล และบริหารงานด้วยความโปร่งใส เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้มีส่วนได้เสียทุกส่วน และขอบคุณกรมบัญชีกลางที่ช่วยกำกับดูแล ผลักดันกองทุนหมุนเวียนสามารถดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว และสนับสนุนนโยบายของรัฐได้อย่างสม่ำเสมอ สุดท้ายนี้ก็ขอแสดงความยินดีกับกองทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสร้างความภูมิใจตลอดจนเป็นขวัญกำลังใจให้กับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัล และจูงใจให้มีการพัฒนาการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์การจัดตั้ง วิสัยทัศน์ และภารกิจ อย่างมีประสิทธิภาพ ”
นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า “การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นเป็นการสร้างความตระหนักรู้และขวัญกำลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทุนหมุนเวียนในฐานะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมของประเทศ เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น และพัฒนาประเทศไทยไปด้วยกัน”
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการ Pharma ConneX 2024 วันนี้ – 12 เม.ย. 2567
Pharma ConneX 2024
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 12 เมษายน 2567
.
กลับมาอีกครั้งกับโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านยาเคมี สมุนไพร สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม วัคซีนและชุดตรวจทางการแพทย์ ที่จะได้จับคู่โจทย์วิจัยและทำงานร่วมกับนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมกับได้รับเงินสนับสนุนโครงการจาก สวทช.
.
งบประมาณสนับสนุน
50% ไม่เกิน 400,000 บาท สำหรับการพัฒนางานวิจัย
50% ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับการวิเคราะห์ทดสอบ
.
สมัครโดยสแกน QR code ในโปสเตอร์ หรือ กด link
https://docs.google.com/.../1FAIpQLScfYb6W2wlqKq.../viewform
.
ติดต่อสอบถาม :
ศศิวรรณ เลาหสินณรงค์
sasiwan.lao@nstda.or.th
im.health@nstda.or.th
094-9380770
ปฏิทินกิจกรรม
ถั่วเขียว KUML เพิ่มรายได้เกษตรกร จาก “พืชหลังนา” สู่ “พาสต้าออร์แกนิก”
สวทช. นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ และ จ.ศรีสะเกษ ไปเยี่ยมชมตัวอย่างความสำเร็จโครงการ “การขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพ สายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต”
โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และ กรมส่งเสริมการเกษตร ถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้การผลิตถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML ให้แก่เกษตรกรนำไปเพาะปลูกเป็นพืชหลังนา ซึ่งให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ พร้อมเชื่อมโยงเกษตรกรกับภาคเอกชนในการรับซื้อผลผลิตถั่วเขียวไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเส้นพาสต้าเพื่อสุขภาพ เป็นการส่งเสริมให้เกิดการอุดหนุนผลผลิตภาคการเกษตรของไทย และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
TAIST-Tokyo Tech รับสมัครคัดเลือกบุคคล เพื่อรับทุนศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านวิศวกรรมขั้นสูง หลักสูตรนานาชาติ รอบที่ 2
Thailand Advanced Institute of Science and Technology
and Tokyo Institute of Technology (TAIST-Tokyo Tech)
สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว
ตามที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology : Tokyo Tech) ประเทศญี่ปุ่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้ “โครงการ TAIST-Tokyo Tech” ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน โดยในปีการศึกษา 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้ให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศจนถึงขณะนี้ จากการศึกษา 3 หลักสูตร ดังนี้
สาขาวิชาที่เปิดรับสมัคร : International Program
🏎1. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program)
🌐2. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things : AIoT Program)
♻️3. หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering program : SERE Program)
จำนวนรับ : (รวมทุกหลักสูตร) 70 ทุน 💸
กำหนดการรับสมัคร : ตั้งแต่วันนี้ - 10 เมษายน 2567 📆
คุณสมบัติผู้สมัคร :
ผู้สมัครต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาที่เหมาะสม(ยานยนต์, เครื่องกล, ไฟฟ้า, โลหะวิทยา, การควบคุม, อิเล็กทรอนิกส์, เคมี, ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, วัสดุ, ธรณีวิทยา, สิ่งแวดล้อม, อุตสาหกรรม, อุตสาหกรรมเกษตร, ป่าไม้, การผลิต,ป่าไม้,คอมพิวเตอร์ ฯลฯ) 👩💻
ผู้สมัครจะต้องมีเกรดเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.75/4.00 หรือเทียบเท่า (ณ วันที่ยื่นใบสมัคร) หรือ มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับหลักสูตรที่จะเข้าศึกษา อย่างน้อย 2 ปี (นับจากวันที่ยื่นใบสมัคร) หรือ มีประสบการณ์การทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่ จะเข้าศึกษาเพียงพอ หรือ ได้รับรางวัลดีเด่นในระดับปริญญาตรี 👩🎓
ผู้สมัครจะต้องส่งผลคะแนนวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
วิธีการสมัคร : ผู้สมัครจะต้องสมัครและส่งใบสมัครที่นี้เท่านั้น https://zebra.nstda.or.th/nstdascholarship_v2/index.php/site/login?scholartype=taist
👉การสนับสนุนทุนการศึกษา (ระยะเวลา 2 ปี ต่อคน)
การสนับสนุนทุนการศึกษา ไม่เกิน 240,000 บาท
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนละ 8,000 บาท
ค่าลงทะเบียนประชุมวิชาการหรือค่าตีพิมพ์วารสาร ไม่เกิน 15,000 บาท (เบิกจ่ายตามจริงจากมหาวิทยาลัยที่ลงทะเบียน)
โอกาสที่จะได้รับ: ✈️
ได้เข้าศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง หลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล (Rail Transportation Certificate : RT) สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่1 ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเรียนในโครงการแล้ว *เท่านั้น*
มีโอกาสได้ร่วมทำงานวิจัยกับนักวิจัย สวทช. คณาจารย์จาก Tokyo Institute of Technology และคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย/สถาบัน ของไทยที่ร่วมโครงการ
โอกาสในการเข้าเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำในประเทศไทย
โอกาสในการศึกษาแลกเปลี่ยน ระยะสั้น ณ Tokyo Institute of Technology ประเทศญี่ปุ่น
โอกาสในการรับทุนศึกษาต่อ ระดับปริญญาเอก ณ Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น
การเรียนการสอน: 📖
ศึกษาเต็มเวลา วันจันทร์ – วันศุกร์
การศึกษาจะจัดการเรียนการสอน รูปแบบ online และ onsite ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และมหาวิทยาลัย/สถาบัน ตามหลักสูตรที่เลือกเรียน
คณาจารย์ผู้สอน จาก Tokyo Institute of Technology และมหาวิทยาลัย/สถาบัน ไทยเป็นผู้สอน
จัดการสอนแบบ Module เป็นระยะเวลา 1 ปี และทำวิจัยในหัวข้อที่เป็นงานวิจัยร่วมกันระหว่างสวทช.และมหาวิทยาลัย 👨🔬
เงื่อนไขการชดใช้ทุนการศึกษา:
ผู้ได้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาไม่มีข้อผูกมัดในการทำงานชดใช้ทุน
ผู้ได้รับทุนที่ไม่สำเร็จการศึกษาต้องชดใช้ทุนคืนให้สวทช. เป็นเงินเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีเมล์ : taist@nstda.or.th
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 77229, 77230 (ไพลิน)
ปฏิทินกิจกรรม


