หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง
“Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ตัวช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง ก่อนที่กูเกิลแมปจะได้รับความนิยมใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบันหลาย ๆ คนอาจจะเคยรู้จักกับแอปพลิเคชันรายงานสภาพจราจรอย่าง “ทราฟฟี่” (Traffy) ที่มักจะได้รับการนำมาเป็นตัวช่วยในการวางแผนการเดินทางและตรวจสอบการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่จราจรติดขัด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ทั้งปีใหม่และสงกรานต์ โดยสามารถใช้งานได้ทั้งผ่านเว็บเบราว์เซอร์ และผ่านโทรศัพท์มือถือปัจจุบันสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Traffy ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในงานด้านสมาร์ตซิตี้ (Smart city) หรือเมืองอัจฉริยะ โดยอาศัยเทคโนโลยีเซนเซอร์และปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ในการ “เปลี่ยนปัญหาของประชาชนให้เป็นข้อมูล” และ “เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นความเข้าใจ” เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ. โดยทีมนักวิจัยเนคเทค สวทช. เปิดให้ใช้งานใน 2 ระบบ ได้แก่ ระบบแรกคือ “Traffy Waste” (ทราฟฟี่ เวสต์) หรือระบบจัดการการเก็บขยะอัจฉริยะ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการการเก็บขยะ ซึ่งถือเป็นปัญหาสำคัญของคนเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบดังกล่าวมีการใช้งานทั้งเซนเซอร์ และระบบติดตามตำแหน่งด้วยดาวเทียม โดยใช้ติดตามรถขยะ มีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์จุดเก็บขยะ เส้นทางการเดินรถเก็บขยะและแสดงผลบนระบบแดชบอร์ด พร้อมทั้งทำนายและจัดเส้นทางการเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายของการจัดเก็บขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ส่วนอีกหนึ่งระบบคือ “Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) เป็นแพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นสำหรับสื่อสารปัญหาของเมืองระหว่างประชาชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบประชาชนสามารถแจ้งปัญหาที่พบไปให้ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อให้แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความสะอาด ปัญหาทางเท้า ไฟส่องสว่าง หรือถนนชำรุด โดยเป็นการแจ้งปัญหาในรูปแบบที่มีข้อมูลเพียงพอให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น มีภาพถ่าย และตำแหน่งบนแผนที่ ขณะเดียวกันหน่วยงานที่รับผิดชอบก็สามารถให้ข้อมูลและอัปเดตสถานการณ์การแก้ไขปัญหาสื่อสารกลับมาให้แก่ประชาชนได้ นอกจากนี้ในส่วนของเจ้าหน้าที่ยังมีระบบบริหารจัดการและติดตามปัญหา บริการข้อมูลทางสถิติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวางแผนงบประมาณและกำลังคน ซึ่งหน่วยงานของรัฐและเอกชนสามารถตั้งกลุ่มรับแจ้งและบริหารจัดการปัญหาของตนเองได้อีกด้วย ที่ผ่านมาเนคเทค สวทช. ร่วมมือกับสมาคมสันนิตบาตเทศบาล และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น นำแพลตฟอร์ม “Traffy Fondue” ไปใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ อีกทั้งยังร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยนำ “Traffy Fondue” ไปใช้กับการรับแจ้งการเผาหรือการเกิดไฟป่าใน 50 จังหวัดอีกด้วยนอกจากนี้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2563 ซึ่งพบการระบาดในเกือบทุกพื้นที่ ทีมนักวิจัยเนคเทค สวทช. ได้ประยุกต์ใช้ “Traffy Fondue” ในแพลตฟอร์มไลน์แชตบอท เพื่อให้ประชาชนใช้ในการรายงานข้อมูลบุคคลเดินทางจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดโควิด-19 และพื้นที่กรุงเทพมหานครเดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานผู้ใช้ข้อมูลดังกล่าวต้องการทราบว่า คนที่มีความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 เดินทางกลับมายังภูมิลำเนามีอยู่ที่ใดของประเทศบ้าง เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงให้มีส่วนรับผิดชอบสังคมและปฏิบัติตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพเรียกได้ว่า “Traffy Fondue” เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมืองที่น่าอยู่ และมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของเมืองได้อย่างครบวงจรดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ
นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ             เมื่อ “สังคมผู้สูงอายุ” กลายเป็นเมกะเทรนด์ของโลก สัดส่วนประชากรโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงจากจํานวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations UN) ได้นิยามเกี่ยวกับประเทศที่กําลังเข้าสู่การเป็นประเทศที่มีสังคมผู้สูงอายุไว้ว่า เมื่อประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นสัดส่วนเกิน 10% หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป เกิน 7% ให้ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society)           จากเมกะเทรนด์ดังกล่าว ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ ทําให้มีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2564 ประเทศไทยจะมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จํานวนกว่า 13 ล้านคนหรือประมาณ 20% ของประชากรรวม กล่าวได้ว่าไทยจะเป็นสังคมผู้อายุโดยสมบูรณ์ (Aged society)            โอกาสและความท้าทายเพื่อรับมือสังคมผู้สูงอายุ ไม่เพียงแค่เชิงเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ในมุมของการวิจัยและพัฒนาก็มองเป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่น้อย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มองเห็นถึงปัญหาและเดินหน้าวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะตอบความต้องการของผู้สูงอายุ            ผลลัพธ์ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผ้ากระตุ้นสมอง AKIKO (อะ-กิ-โกะ) และเกมฝึกสมอง MONICA (โม-นิ-ก้า) ที่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุด้วยเกมที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมปุ่มกดที่ได้รับการออกแบบสําหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะอุปกรณ์ช่วยขึ้นลงเตียงแบบปรับนั่งได้ BEN (เบน) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีระดับขั้นของบันไดสําหรับให้ผู้ป่วยสามารถนั่งพักเท้าและขึ้นลงเตียงที่มีความสูงที่ใช้ทั่วไปในสถานพยาบาลได้ด้วยตัวเองอย่างปลอดภัย หรือว่านวัตกรรมเฉพาะบุคคล เช่น แผ่นรองในรองเท้าเฉพาะบุคคล 3D sole หรืออุปกรณ์พยุงหลังเฉพาะบุคคลที่ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ ที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของผู้สูงอายุในประเทศไทย            รวมถึงนวัตกรรมสําหรับผู้สูงอายุที่น่าสนใจและเริ่มมีการต่อยอดใช้งานอย่างแพร่หลายก็คือ เตียงตื่นตัว (โจอี้) และ M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อเปลี่ยนรถเข็นธรรมดาเป็นรถเข็นไฟฟ้า            โดยเตียงตื่นตัว JOEY นี้ เป็นผลงานจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ที่พัฒนาเตียงนอนที่มีกลไกช่วยผู้สูงอายุในการลุกนั่งและลุกขึ้นยืน โดยใช้กระบวนการออกแบบที่นําผู้ใช้มาเป็นศูนย์กลาง หรือ Human-centric Design ซึ่งให้ความสําคัญทั้งผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้องรวมถึงบริบทการใช้ชีวิตในทุกช่วงของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยต้องคํานึงถึงความต้องการขั้นพื้นฐานคือ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือด้วยตัวเอง ลดการพึ่งพาผู้ดูแล มีความปลอดภัยในการใช้งานและลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม            นวัตกรรมต้นแบบจะมีกลไกช่วยปรับหมุนจากท่านอนเป็นท่านั่ง กลไกช่วยในการลุกจากท่านั่งเป็นท่ายืน และมีอุปกรณ์ในการป้องกันการหกล้ม รวมถึงมีรีโมตที่ได้รับการออกแบบให้เป็นมิตรต่อผู้ใช้ที่เป็นผู้สูงอายุ ทําให้ใช้งานได้ง่ายและปลอดภัย มีปุ่มกดขนาดใหญ่ มีภาพอธิบาย สีสันดูง่าย สามารถประยุกต์เป็นเตียงนอนสําหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงติดบ้านและติดเตียง ซึ่งปกติจะต้องใช้ผู้ดูแล เพราะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองลําบากและเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มสูง            นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้เป็นเตียงนอนสําหรับผู้ป่วยฟื้นฟูจากการผ่าตัด ที่ต้องได้รับการ กระตุ้นให้ลุก-นั่ง-ยืนบ่อย ๆ รวมถึงเป็นอุปกรณ์ช่วยในการทํากายภาพบําบัดในท่านอน นั่ง และยืนได้อีกด้วยจุดเด่นของเตียงตื่นตัวคือการออกแบบจากความเข้าใจอย่างแท้จริงถึงบริบทต่าง ๆ ของผู้ใช้ โดยมีเป้าหมายหลักคือ การช่วยกระตุ้นการลุกนั่ง-ยืน-เดินของผู้สูงอายุไม่ให้เป็นผู้ติดเตียง ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้สูงอายุจากกลไกหลักสําหรับการปรับเปลี่ยนจาก “ท่านอน” เป็น “ท่านั่ง” ในลักษณะ “พร้อมลุกยืน” ที่ได้รับการออกแบบให้มีความแข็งแรง ปลอดภัยต่อการใช้งานสูง ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้ด้วยตัวเอง ลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มและทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการดูแลผู้สูงอายุโดยเป็นอุปกรณ์ช่วยเฝ้าระวังการลุกออกจากเตียงของผู้สูงอายุ มีปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์ศึกษาพฤติกรรมการนอน การลุกจากเตียง เพื่อนํามาวิเคราะห์ต้านสุขภาวะ ป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพและการนอนติดเตียงของผู้สูงอายุ            ปัจจุบันภาคเอกชนอย่างบริษัทเอสบี ดีไซน์สแควร์ จํากัด ได้ต่อยอดนําต้นแบบเตียงตื่นตัวไปปรับใช้ให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โดยเน้นความสวยงามน่าใช้ ไม่ให้รู้สึกเหมือนเป็นเตียงผู้ป่วย และพร้อมนําไปใช้จริงแล้วภายใต้ชื่อเตียง Power Lift Bed เตียงนอนสําหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้น            สําหรับ “เอ็ม-วีล” (M-Wheel) เป็นการพัฒนาอุปกรณ์พ่วงต่อที่สามารถเปลี่ยนรถเข็นธรรมดาให้เป็นรถเข็นไฟฟ้าที่สะดวก ปลอดภัย และมีราคาไม่แพง            ผู้สูงอายุกลุ่มที่ต้องใช้วีลแชร์หรือรถเข็นจําเป็นต้องมีลูกหลาน พยาบาล หรือผู้ดูแลทําหน้าที่เป็นรถไปยังจุดหมาย บางครั้งอาจไม่ถูกใจผู้สูงอายุที่อยากทําอะไรด้วยตนเอง รถเข็นไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้พิการด้านการเคลื่อนไหวทางร่างกายและผู้สูงอายุมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เนื่องจากใช้งานสะดวก ทําให้พึ่งพาตนเองได้ แต่มีราคาค่อนข้างสูง จึงมีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ทีมนักวิจัยชีวกลศาสตร์ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จึงพัฒนา “M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อเปลี่ยนรถเข็นธรรมดาเป็นรถเข็นไฟฟ้า” ขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้รถเข็นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือเป็นผู้พิการที่มีร่างกายท่อนบนที่ดีให้มีอิสระและดํารงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ดีมากขึ้น            หัวใจหลักของการเปลี่ยนรถเข็นธรรมดาให้กลายเป็นรถเข็นไฟฟ้า คือ ชุดควบคุมการเคลื่อนที่ซึ่งเป็นตัวออกคําสั่งให้ลูกล้อเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ ชุดขับเคลื่อนซึ่งจะเป็นตัวส่งกําลังลูกล้อให้เดินหน้าหรือถอยหลังและขุดแหล่งพลังงานที่จ่ายพลังงานให้รถเข็นเคลื่อนที่และสามารถชาร์จไฟได้ โดยการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มด้วยแรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ที่ใช้กันในครัวเรือน ใช้เวลาชาร์จประมาณ 8 ชั่วโมงและเมื่อชาร์จเต็มแล้ว M-Wheel สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 4 ชั่วโมงหรือประมาณ 20 กิโลเมตร            นวัตกรรมนี้อาศัยรถเข็นที่เจ้าของมีอยู่แล้วมาติดตั้ง M-Wheel เป็นอุปกรณ์ต่อพ่วง ทําให้สามารถทํางานได้ทั้งระบบบังคับด้วยไฟฟ้าและระบบผู้ใช้งานหมุนล้อเอง หรือหากต้องการระบบแบบผู้ช่วยเข็น สามารถติดตั้งอุปกรณ์พ่วงต่อในตําแหน่งสําหรับผู้ช่วยเข็นได้ตามความเหมาะสม และยังสามารถพับและพกพาได้เสมือนกับรถเข็นทั่วไป โดยมีน้ำหนักเพิ่มที่มาจากชุดควบคุมการเคลื่อนที่ ชุดขับเคลื่อน และชุดแหล่งพลังงานเท่านั้น            M-Wheel สามารถประกอบติดตั้งง่ายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงผู้พิการที่มีร่างกายท่อนบนที่ดี รับน้ำหนักได้สูงสุด 80 กิโลกรัม ควบคุมการเคลื่อนที่ได้ง่าย ใช้ในพื้นที่ลาดเอียงและขึ้นทางต่างระดับได้ตามมาตรฐาน            ที่สําคัญยังสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย เนื่องจาก M-Wheel ผ่านการประเมินผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทางไฟฟ้า การป้องกันสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งผ่านการประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์การแพทย์ โดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าไฟไม่รั่ว ไม่มีส่วนประกอบใดก่อให้เกิดความร้อนจนทําให้ผิวหนังผู้ใช้รถเข็นไหม้ รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบใดที่มีความเสี่ยงต่อการหนีบอวัยวะหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผู้ใช้รถเข็น            นวัตกรรมเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ตอบโจทย์ “สังคมผู้สูงอายุ” ซึ่งได้วิจัยและพัฒนาเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทยแล้วอย่างสมบูรณ์ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“เทคโนโลยีวัสดุ”ตอบโจทย์ความมั่นคงของประเทศ
“เทคโนโลยีวัสดุ”ตอบโจทย์ความมั่นคงของประเทศ “ความมั่นคงของประเทศ” เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ที่มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประเทศในทุกรูปแบบ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นใช้เองในประเทศ เพื่อลดการนำเข้าและสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงได้มีการผลักดันให้ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ” เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve ลำดับที่ 11ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีความร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศในการพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ การพัฒนา “เกราะกันกระสุน” ยุทธภัณฑ์ที่ช่วยลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของทหารและตำรวจที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ประชาชนและประเทศ ซึ่งศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้นำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเซรามิก เซรามิกคอมโพสิทมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแผ่นเกราะกันกระสุน ให้มีน้ำหนักเบา แต่มีความแข็งและมีความแข็งแรงสูง สามารถรับมือกับอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างและการทะลุทะลวงสูงขึ้นทั้งนี้เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อยอดงานวิจัยพัฒนาเป็น “เสื้อเกราะกันกระสุน” ซึ่งผลิตจากอลูมินาเซรามิกความบริสุทธิ์ 96% และเส้นใยโพลีเอทิลีนคอมโพสิทสมบัติเชิงกลสูง เสื้อเกราะที่พัฒนามีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม/ชุด สามารถป้องกันภัยคุกคามในระดับ 3 ตามมาตรฐาน NIJ (National Institute of Justice) สหรัฐอเมริกา คือสามารถต้านทานการเจาะทะลวงด้วยกระสุน 7.62, M16 A1 และ M16 A2 งานวิจัยเสื้อเกราะกระสุนดังกล่าวได้รับทุนสนับสนุน จากบริษัทพีทีที โพลิเมอร์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผลิตเสื้อเกราะจำนวน 100 ชุดมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารสำหรับปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เอ็มเทค สวทช. ยังมีร่วมมือกับคณะวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนา “แผ่นเกราะติดรถยนต์บรรทุกขนาดเล็กทางทหาร” ป้องกันภัยคุกคามในระดับ 3 ตามมาตรฐาน NIJ ภายใต้โครงการการพัฒนาเกราะแข็งน้ำหนักเบาสำหรับการใช้งานด้านยุทโธปกรณ์ทางทหารในกองทัพไทยแผ่นเกราะผลิตมาจากอลูมินาเซรามิกความบริสุทธิ์ 96% ประกอบร่วมกับแผ่นเคฟลาร์คอมโพสิทเป็นวัสดุรองรับ และมีความร่วมมือกับภาควิชาวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมอู่ทหารเรือ กองเรือลำน้ำ และกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ ในการพัฒนา “แผ่นเกราะสำหรับเรือจู่โจมลำน้ำ” ภายใต้โครงการการพัฒนาและผลิตเกราะ แผ่นเกราะที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยแผ่นเกราะใส ผลิตมาจากกระจกลามิเนต ผ่านการออกแบบการจัดเรียงชั้นสลับกับฟิล์ม สามารถป้องกันภัยคุกคามระดับ 3A และแผ่นเกราะทึบ ผลิตมาจากซิลิคอนคาร์ไบด์เซรามิกเสริมแรงอะลูมิเนียมประกอบร่วมกับเส้นใยแก้วเสริมแรงอีพอกซี่เรซินเป็นวัสดุรองรับ สามารถป้องกันภัยคุกคามระดับ 3 ตามมาตรฐาน NIJสำหรับการวิจัยด้านผลิตภัณฑ์ยางที่มีความต้องการใช้งานทางการทหารเป็นจำนวนมาก เอ็มเทค สวทช. ร่วมมือกับกรมอู่ทหารเรือ “วิจัยและพัฒนาคุณภาพใบพัดยางและยางกันกระแทกท่าเรือ” โดยพัฒนาเป็นต้นแบบใบพัดยางที่มีสมบัติเชิงกลและความทนทานต่อลำตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพการใช้งานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และต้นแบบยางกันกระแทกท่าเรือรูปตัวดีที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. 2507-2553)นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา “สูตรยางสำหรับการผลิตแบริ่งรับเพลาเรือจากยางไนไตรล์ (NBR)” ที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับแบริ่งรับเพลาเรือจากต่างประเทศ และได้พัฒนาปลอกทองเหลืองพร้อมทั้งสร้างเครื่องทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานของแบริ่งรับเพลาเรือ รวมถึงมีการวิจัยและพัฒนา“ต้นแบบคัพปลิ้งแบบยืดหยุ่น (Flexible coupling) ที่ใช้ในเรือตรวจการณ์” ซึ่งเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนาต้นแบบคัพปลิ้งแบบยืดหยุ่นสำหรับใช้ในเรือตรวจการณ์ทางภาคใต้ (เรือ ต. 218) ที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 2 ปี โดยกรมอู่ทหารเรือได้นำสูตรยางที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการผลิตคัพปลิ้งแบบยืดหยุ่นเพื่อนำไปใช้งานจริงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 งานวิจัยด้านผลิตภัณฑ์ยางเหล่านี้ นอกจากจะช่วยลดการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ ช่วยยืดอายุการใช้งานยุทโธปกรณ์ เพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการซ่อมแซม และลดงบประมาณแผ่นดินแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราภายในประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ดี สวทช. ยังมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงของประเทศอย่างหลากหลาย เช่น ด้านพลังงานและการกักเก็บพลังงาน เอ็มเทค สวทช. ดำเนินงานร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และสำนักวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพบก พัฒนาชุดแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานกับยุทโธปกรณ์เดิมได้ แถมมีความจุสูงกว่าเดิม 3 เท่า สามารถใช้งานได้ 24 ชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ต้องชาร์จ ผ่านการทดสอบทางไฟฟ้าและทางกลตามมาตรฐานสากล และผ่านการทดสอบในสภาวะการใช้งานจริง 1 ปี โดยยังมีประสิทธิภาพเช่นเดิม และยังมีราคาต่ำกว่าที่จัดหาทดแทนจากต่างประเทศประมาณ 3-4 เท่า นอกจากนี้เอ็มเทค สวทช. ยังมีการพัฒนาต้นแบบอาหารพลังงานสูงน้ำหนักเบา สำหรับพกพาเพื่อลดน้ำหนักสัมภาระในขณะที่ออกลาดตะเวน พร้อมกันนี้ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. มีการพัฒนา E-nose ในการตรวจวัดกลิ่นแทนสุนัขทหาร และเนคเทค สวทช. ได้มีการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่องานด้านความมั่นคงของประเทศ เช่น ระบบติดตามผู้ต้องสงสัย ระบบเหตุการณ์ความไม่สงบ ระบบจัดการข้อมูลจุดตรวจต่างๆ รวมถึงระบบตรวจลายนิ้วมือผ่านทางโทรศัพท์มือถือเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวช่วยที่สำคัญ ในการยกระดับมาตรฐานด้านความมั่นคงของประเทศให้สามารถพึ่งพาตนเองได้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคตดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เครื่องรบกวนสัญญาณอุปกรณ์สื่อสาร
เครื่องรบกวนสัญญาณอุปกรณ์สื่อสาร เมื่อ “นักรบ” มีโอกาสมาพบกับ “นักวิทย์ฯ” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรมที่ใช้งานเพื่อความมั่นคงที่เรียกว่า “ทีบ็อกซ์” (T-Box) หรือเครื่องรบกวนสัญญาณอุปกรณ์สื่อสาร ฝีมือทีมนักวิจัยไทยที่มีส่วนช่วยในการบรรเทาปัญหาการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนั้น โดยปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งที่สร้างความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากก็คือ การที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลอบวางระเบิดและจุดชนวนระเบิดโดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งทำได้ง่ายและยากต่อการจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ แม้ว่าจะมีเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารจำหน่ายเชิงพาณิชย์ แต่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาแพงและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงไม่สามารถนำเครื่องดังกล่าวมาใช้งานสร้างความปลอดภัยให้กับกำลังพลและประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึงได้ ทีมนักวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยหน่วยปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งในขณะนั้นสังกัดศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมมือกับสำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม พัฒนาเครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (T-Box) ขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จาก T-Box เวอร์ชันแรก (T-Box1.0b) ที่มีการนำไปใช้จริงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 40 เครื่องได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และทีมนักวิจัยฯ มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทั้งรูปแบบ ขยายกำลังความสามารถให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเพื่อให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่และพฤติกรรมผู้ก่อความไม่สงบที่มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนวิธีตลอดเวลาเป็น T-Box2.0, T-Box2.5 จนมาถึง T-Box3.0 ทีมนักวิจัยฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้ความดูแลของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. ทั้งนี้จากการนำ T-Box ทุกรุ่นไปทดสอบและใช้งานในภารกิจจริงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่า สามารถใช้งานได้ดีมีคุณสมบัติและประสิทธิภาพเทียบเท่าและดีกว่าเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นำเข้าจากต่างประเทศในขณะที่มีราคาถูกกว่าอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ โดยชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆได้มาตรฐานสากล เป็นอาวุธระดับทหาร ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศมีความเชื่อมั่นในผลงานนักวิจัยไทยมากขึ้น เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์เครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ ขนาด 15 วัตต์ และได้จัดสรรงบบางส่วนให้ดำเนินการวิจัย พัฒนาและจัดทำอุปกรณ์เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าวจำนวน 88 เครื่อง มูลค่า 42 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ 2-3 เท่าช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และในงบดังกล่าวผลิตได้จำนวนเครื่องมากกว่าการนำเข้าในงบที่เท่ากัน จึงทำให้หน่วยงานความมั่นคงมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในทุกหน่วย EOD เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตของผู้ปฏิบัติงานอีกทั้งการบำรุงรักษาและการซ่อมบำรุงเป็นไปได้อย่างสะดวก ทันท่วงทีเพราะสามารถซ่อมหรือหาอะไหล่ได้ภายในประเทศ มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำกว่าเครื่องที่นำเข้าจากต่างประเทศรวมทั้งในงบดังกล่าว ทีมนักวิจัยฯ มีการจัดทำเครื่องสำรองไว้เพื่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคงใช้ระหว่างการซ่อมแซมอุปกรณ์ และผลงานเครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ T-Box3.0 มีการจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรโดยทีมนักวิจัยไทยและได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. ปัจจุบัน T-Box3.0 ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเรียบร้อยแล้ว สำหรับ T-Box3.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุด มีความสามารถในการใช้รบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เปิดให้บริการอยู่ในประเทศไทย ครอบคลุม 5 ย่านความถี่ ได้แก่ ช่วงย่านความถี่ 800 เมกะเฮิรตซ์ 900 เมกะเฮิรตซ์ 1800 เมกะเฮิรตซ์ 1900 เมกะเฮิรตซ์ และ 2100 เมกะเฮิรตซ์ รองรับแหล่งจ่ายพลังงานได้ทั้งไฟฟ้ากระแสสลับ 220 โวลต์ และไฟฟ้ากระแสตรง 12 โวลต์ สามารถรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในรัศมีทำการ 100 เมตร นอกจากการนำ T-Box3.0 ไปใช้ในการรักษาความมั่นคง ปกป้องชีวิตของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน พระสงฆ์ รวมทั้งใช้ปกป้องทรัพย์สินของรัฐและประชาชน สถานที่ชุมชนต่าง ๆ เช่น โรงเรียนวัด ตลาด ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการลอบวางระเบิดหรือผู้ก่อความไม่สงบมีการวางระเบิดซ้ำเมื่อเจ้าหน้าที่ EOD เข้าไปเก็บกู้ระเบิดส่งผลให้มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินตามที่ปรากฏเป็นข่าวรายวันจำนวนมากในขณะนั้นแล้ว เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังได้นำไปใช้ในการรักษาความปลอดภัยและอารักขาให้กับบุคคลสำคัญ อาทิ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช อย่างไรก็ดี เมื่อหน่วยงานด้านความมั่นคงมีเครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ในพื้นที่จำนวนมาก ผู้ก่อความไม่สงบจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุจุดชนวนระเบิด เช่น การใช้เครื่องควบคุมระยะไกลหรือรีโมตคอนโทรลและวิทยุสื่อสารเป็นตัวจุดชนวนระเบิด ทีมนักวิจัยฯ จึงวิจัยต่อยอดองค์ความรู้พัฒนาอุปกรณ์รบกวนสัญญาณอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น เครื่องรบกวนสัญญาณเครื่องควบคุมระยะไกล T-Box3.0R ที่สามารถรบกวนสัญญาณเครื่องควบคุมระยะไกลในช่วงย่านความถี่ 300-500 เมกะเฮิรตซ์หรือต่ำกว่าได้ สามารถเลือกแหล่งจ่ายไฟได้ทั้งไฟฟ้ากระแสสลับและกระแสตรง พร้อมมีวงจรป้องกันการทำงานสลับขั้ว และเครื่องรบกวนสัญญาณวิทยุสื่อสาร WTDefender ที่สามารถรบกวน ระงับ และตัดสัญญาณเครื่องวอล์กกี้ทอล์คกี้ที่ย่าน VHF (ช่วงย่านความถี่ 135-174 เมกะเฮิรตซ์และ 245-247 เมกะเฮิรตซ์) และย่าน UHF (ช่วงย่านความถี่ 400-450 เมกะเฮิรตซ์) เครื่องรบกวนสัญญาณอุปกรณ์สื่อสารของทีมนักวิจัยฯ ทั้ง T-Box3.0, T-Box3.0R และ WT-Defender ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับภาคเอกชนเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รางวัล T-Box 3.0 รางวัลเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา สารสนเทศ ครั้งที่ 3 รางวัลชมเชยผลงานเพื่อสังคม ประเภทบุคคลทั่วไป ผลงาน “เครื่องรบกวนโทรศัพท์เคลื่อนที่” วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2551 รางวัลดีเยี่ยม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม งานวันนักประดิษฐ์ ผลงาน “เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (T-Box 3.0)” วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 เมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว “อากาศยานไร้คนขับ” หรือ “โดรน” มีการพัฒนาออกมาใช้งานเชิงพาณิชย์มากขึ้น และอาจถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ก่อความไม่สงบได้ เช่น โดรนติดระเบิดเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญ การใช้โดรนในการสอดแนมหรือบุกรุกพื้นที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ ทีมนักวิจัยฯ จึงพัฒนา “ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-Drone System)” ขึ้น ซึ่งระบบประกอบด้วย Drone detection, Monitoring and control และ Drone jammer ทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาการส่งสัญญาณในรูปแบบของการสร้างสัญญาณรบกวนการควบคุมการบินโดรนจากระยะไกล ซึ่งจะส่งสัญญาณแบบกวาดในย่านความถี่ต่าง ๆ ที่ถูกใช้ในการควบคุมโดรน ทำให้การควบคุมการบินของโดรนถูกตัดขาด อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำของการใช้งานอุปกรณ์ Anti-Drone สามารถใช้สายอากาศแบบทิศทางเข้าช่วยเพื่อให้การรบกวนพุ่งตรงไปยังโดรนเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยระบบที่ทีมนักวิจัยฯ พัฒนาขึ้นนี้สามารถใช้งานได้ทั้งรูปแบบสถานีฐาน (Base station) และแบบเคลื่อนที่ (Portable) ปัจจุบันมีการพัฒนาเป็นเครื่องรบกวนอากาศยานไร้คนขับย่านความถี่ GPS/2.4 กิกะเฮิรตซ์ รัศมีทำการ 500 เมตร ซึ่งมีการใช้งานจริงในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2560 และนำไปใช้ในภารกิจเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงที่มีพิธีสำคัญ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคงเหล่านี้ ไม่ได้ให้ประโยชน์เพียงแค่การประหยัดงบประมาณแผ่นดินในการดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนและประเทศ แต่ยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตนวัตกรรมที่จำเป็นเพื่อใช้เองในประเทศ สร้างความมั่นคงและเพิ่มอำนาจในการต่อรองทางการค้า อีกทั้งยังถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านนำเงินเข้าประเทศได้อีกด้วย ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม
เทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม “แหนม” เป็นผลิตภัณฑ์อาหารหมักแบบพื้นบ้าน ซึ่งใช้กระบวนการหมักเชื้อตามธรรมชาติและอาศัยออกซิเจนเป็นตัวเร่งให้จุลินทรีย์ผลิตกรดแล็กติกออกมาเพื่อให้เกิดความเปรี้ยว ถือเป็นการถนอมอาหารตามภูมิปัญญาชาวบ้านรูปแบบหนึ่งที่นิยมทำสืบต่อกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ด้วยขั้นตอนการผลิตแหนม ซึ่งจะต้องอาศัยเชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักแหนมตามธรรมชาติ ส่งผลให้คุณภาพและรสชาติของผลิตภัณฑ์ไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดต่าง ๆ ทีมนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ศึกษาจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องในระหว่างกระบวนการผลิตแหนมและคัดแยกจุลินทรีย์ พบว่าเชื้อแต่ละตัวให้ความเปรี้ยว สีสัน และกลิ่นรสที่แตกต่างกันพร้อมกันนี้ได้พัฒนาการเพาะเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์จากแหนมป้าย่นจนได้ต้นเชื้อและสูตรต้นเชื้อในการผลิตแหนม 3 สูตร หรือที่เรียกว่า V1 V2 และ V3 โดยทั้ง 3 สูตรประกอบด้วยเชื้อที่แตกต่างกัน สามารถผลิตกรดแล็กติกและเลือกใช้ให้เหมาะสมตามสภาพอากาศได้ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตจุลินทรีย์ปริมาณมากโดยใช้อาหารเลี้ยงราคาถูกทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อผงแห้ง เพื่อสะดวกต่อการใช้งานและเก็บไว้ได้นาน ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์แหนมได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค สำหรับต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรต่าง ๆ ที่นำไปใช้ในกระบวนการผลิตแหนม เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรเร่งกระบวนการหมัก โดยใช้แล็กโทบาซิลลัส (Lactobacillus) เร่งการหมักแหนมให้เร็วขึ้น (ความเป็นกรดต่ำกว่า 4.6 ภายใน 36ชั่วโมง) แหนมที่ได้มีรสเปรี้ยวมีเนื้อสัมผัสและคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ดี ส่วนต้นแบบผลิตภัณฑ์เชื้อสูตรแล็กโทบาซิลลัสผสมยีสต์สามารถหมักแหนมให้มีรสเปรี้ยวภายใน 36 ชั่วโมง และแหนมมีกลิ่นรสแรงขึ้น ขณะที่ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรเพดิโอคอกคัส เอซิดิแล็กติซี (Pediococcus acidilactici) และสแตปฟิโลคอกคัส ไซโลซัส (Staphylococcus xylosus) ใช้หมักแหนมในช่วงอุณหภูมิ 20-50 องศาเซลเซียส ช่วยปรับปรุงสีของแหนม ทำให้แหนมมีสีแดงธรรมชาติตลอดอายุการเก็บรักษาจุดเด่นของการใช้เทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์เหล่านี้ก็คือ ลดระยะเวลาในการหมักแหนมและให้ความเปรี้ยวที่คงที่ มีสีแดงสม่ำเสมอ และเมื่อกระบวนการหมักแหนมมีระยะเวลาคงที่แล้วเชื้อจุลินทรีย์จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นตัวป้องกันที่ช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อก่อโรคในแหนมได้ นอกจากนี้เทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำอาหารประเภทอื่นได้ เช่น ปลาส้ม ซาลามิ หม่ำ หรือการหมักอาหารประเภทอื่น ๆเทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับการผลิตแหนมของไบโอเทค สวทช. ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ให้แก่บริษัททาเลนท์ จำกัด เพื่อกระจายผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อจุลินทรีย์สูตรต่าง ๆ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตแหนมต่าง ๆ และสูตรต้นเชื้อผลิตแหนมที่ได้จากงานวิจัยนี้ ไบโอเทค สวทช. ได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรไว้แล้วรวม 6 รายการนอกจากนี้ทีมนักวิจัยฯ ได้นำข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแหนม ที่พบในงานวิจัยอื่น ๆ มาพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์แหนมให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัยทั้งด้านการจัดทำเกณฑ์คุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์แหนม การตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพ คุณสมบัติทางเคมี คุณสมบัติของจุลินทรีย์ก่อโรคและไม่ก่อโรค คุณสมบัติทางประสาทสัมผัสของแหนมที่ผลิตออกจำหน่าย และเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แหนมงานวิจัยชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคการบุกเบิกของไบโอเทค สวทช. ในการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ปรับปรุงคุณภาพอาหาร แก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการไทยและสะสมองค์ความรู้ด้านจุลินทรีย์ที่ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร จนกลายมาเป็นจุดแข็งในการวิจัยและพัฒนาของไบโอเทค สวทช. ในปัจจุบันดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“AI FOR THAI” แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย
"AI FOR THAI" แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน "เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์" หรือ "เอไอ"(Artificial Intelligence: Al) เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ผนวกรวมกับข้อมูลมหาศาลที่อยู่ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งข้อความ เสียง ภาพและแผนผังข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เอไอมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "Machine Learning" หรือการใช้อัลกอริทึม ที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมาก วิเคราะห์ ประเมินผลและคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้ "เอไอ" ไม่ได้มีไว้เพื่อแทนที่มนุษย์ แต่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มความสามารถของมนุษย์ให้ทำงานที่ทำอยู่ได้ดีขึ้น จึงมีการนำเอไอมาประยุกต์ใช้งานที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตยุคใหม่ โดยการเติบโตของเทคโนโลยีเอไอจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคต จาก Global economic effects of AI by 2030 ระบุว่า อุตสาหกรรมเอไออาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจประมาณ 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน)สำหรับประเทศไทย แม้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะสะสมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยและเอกลักษณ์ของไทยมากกว่า 20 ปี แต่ก็ยังขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ทั้งในภาครัฐและเอกชนอีกเป็นจำนวนมาก การจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาบุคลากรด้านเอไอในประเทศ สิ่งที่สำคัญก็คือการมีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่เป็นบริบทของประเทศไทยเอง นอกจากจะสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการเห็นว่าข้อมูลสำคัญยังอยู่ภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี และสามารถสร้างแอปพลิเคชันด้านเอไอสำหรับคนไทยได้อย่างรวดเร็ว จากเหตุผลดังกล่าว เนคเทค สวทช. จึงร่วมมือกับพันธมิตรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดตัว "AI FOR THAI" ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ากับบริบทของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรเอไอเชิงลึก โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี Machine Learning เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตอบโจทย์ผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและการบริการต่าง ๆ เช่น ภาคธุรกิจกลุ่มค้าปลีก (Retail) สามารถใช้ Chatbot โต้ตอบเพื่อซื้อขายให้บริการแก่ลูกค้าแทนพนักงาน กลุ่มโลจิสติกส์ใช้ Face recognition เพื่อตรวจจับใบหน้าของพนักงานขับรถว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ด้านการแพทย์ที่เริ่มใช้เอไอมาวิเคราะห์แนวโน้มความเสี่ยงของโรคส่วนบุคคล หรือการอ่านฟิล์มเอกซเรย์แทนมนุษย์ และในด้าน Blockchain ได้นำเอไอมาสร้างระบบสำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตให้สามารถคาดการณ์ได้ว่ามีสินค้าในคลังมากเกินไป หรือมีสินค้าในคลังน้อยเกินไปทั้งนี้เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมาเนคเทค สวทช. ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อพัฒนาต้นแบบปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการตรวจสอบ ที่สามารถส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับข้อมูลที่ผิดปกติ ซึ่งระบบปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือหรือผู้ช่วยให้ผู้ตรวจสอบสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงที่จะเกิดได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ การพัฒนา "AI FOR THAI" แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทยนี้เนคเทค สวทช. มีเป้าหมายว่าจะเป็นฐานรากทางเทคโนโลยีที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้แก่นักธุรกิจนักพัฒนา และนักวิจัยทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ให้สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยและก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ฟิล์มบรรจุภัณฑ์หายใจได้ ยืดอายุผัก-ผลไม้สด
ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ฟิล์มบรรจุภัณฑ์หายใจได้ ยืดอายุผัก-ผลไม้สด พฤติกรรมการซื้ออาหารของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยโดยเฉพาะในกลุ่มผักและผลไม้ จากการเลือกซื้อในตลาดสดตามน้ำหนักที่ต้องการ ก้าวมาสู่ยุคปัจจุบันที่ผู้คนหันมานิยมการซื้อผักและผลไม้จากร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือโมเดิร์นเทรดมากขึ้นผักและผลไม้ที่บรรจุในถุงพลาติกใสหรือห่อหุ้มด้วยฟิล์มพลาสติกจึงเป็นที่คุ้นตาเพราะให้ทั้งความสวยงามเป็นระเบียบ ความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยในการบริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ดีขั้นตอนการบรรจุเหล่านี้ก็เพิ่มระยะเวลาภายหลังการเก็บเกี่ยวจากแหล่งปลูกสู่มือผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้มีการนำเทคโนโลยีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวร่วมกับเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์เข้ามาช่วยรักษาคุณภาพของผักผลไม้ให้คงคุณภาพจนถึงมือผู้บริโภคกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของผักและผลไม้ภายหลังการเก็บเกี่ยว เช่น การหายใจ การคายน้ำ การผลิตก๊าซเอทิลีน และเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบเคมี เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียสภาพ รสชาติ และการเน่าเสีย ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนากระบวนการต่าง ๆ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาพืชผักและผลไม้ โดยหนึ่งในหลักการที่มีประสิทธิภาพคือหลักการของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรักษาสภาวะบรรยากาศให้เหมาะต่อความต้องการของผลิตผลนั้น ๆ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยอมให้มีการแลกเปลี่ยนก๊าซในระดับสูงเพื่อสร้างสภาวะรอบผลิตผลให้เป็นสภาวะสมดุล (Equilibrium Modified Atmosphere, EMA) อันจะส่งผลให้เกิดการลดอัตราการหายใจของพืชผักและผลไม้ ชะลอการสุก ลดการคายน้ำ และยืดอายุการเก็บรักษานักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาคุณภาพผักและผลไม้สดไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2544 และประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรฟิล์ม “ActivePAKTM” ที่มีค่าการผ่านของก๊าซสูง ประกอบด้วยการพัฒนาในส่วนของสูตรเม็ดพลาสติกเข้มข้นและกระบวนการเป่าขึ้นรูปฟิล์มด้วยเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม และได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้สิทธิแก่เอกชนเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549“ActivePAKTM” หรือที่เรียกกันว่า เป็นถุงหายใจได้ มีสมบัติเด่นคือเป็นฟิล์มที่ยอมให้ก๊าซที่ใช้ในกระบวนการหายใจ ได้แก่ ก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเข้าออกได้ดี และสอดคล้องกับอัตราการหายใจของผักและผลไม้สดที่บรรจุช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ จึงสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้สดได้นานขึ้น 2-5 เท่า โดยที่ผลิตผลยังคงมีคุณภาพและรสชาติที่ดี นอกจากนี้ถุงที่ทำจากฟิล์ม ActivePAKTM ยังมีลักษณะใส ไม่เกิดฝ้าขณะวางจำหน่าย ทำให้มองเห็นสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค จากประสิทธิภาพดังกล่าวทำให้ ActivePAKTM ถุงหายใจได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท๊อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต เทสโก้โลตัส ทีมนักวิจัยฯ ได้มีการพัฒนาต่อยอดและร่วมมือกับมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผักและผลไม้สด ต่อยอดพัฒนาเป็นฟิล์มบรรจุภัณฑ์ “ActivePAKTM Ultra” ที่เน้นไปที่ผลิตผลสดที่มีอัตราการหายใจสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ซึ่งเน่าเสียอย่างรวดเร็วหลังการเก็บเกี่ยว และทำให้ยากต่อการจัดการเพื่อกระจายสินค้าและจำหน่าย การใช้หลักการสร้างสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ให้มีความสมดุลควบคุมก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไหลผ่านเข้า-ออกถุงได้ในระดับที่พอเหมาะ ช่วยให้ผลิตผลสดที่อยู่ในถุงมีอัตราการหายใจลดต่ำลง สามารถยืดอายุความสดได้นานขึ้น เช่น เห็ดหอมสด สามารถคงคุณค่าและรสชาติได้นานถึง 9 วัน ที่อุณหภูมิ 4-8 องศาเซลเซียส ซึ่งจากเดิมเก็บรักษาไว้ได้เพียง 3 วันเท่านั้นการรับโจทย์จากผู้ประกอบการ ผสมผสานกับการพัฒนาและร่วมทดสอบกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ประสบความสำเร็จ สามารถต่อยอดจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ ที่สำคัญก็คือ สามารถช่วยภาคการเกษตรของไทยในการยืดอายุการเก็บรักษาผลิตผลสด ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วยจากองค์ความรู้และงานวิจัยที่ สวทช. ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นพัฒนาอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทยได้อย่างยั่งยืนดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที             จากวิกฤติโรคระบาดใหม่อย่าง “โควิด-19 (COVID-19)” ที่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนทั่วโลกไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การพกแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัว รวมถึงการตรวจวัดอุณหภูมิที่จุดคัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าไปในอาคารต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งจําเป็นต้องทําทุกพื้นที่ เนื่องจากเป็นวิธีคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นที่สามารถบ่งชี้อาการเบื้องต้นของโควิด-19            อย่างไรก็ดี อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิส่วนใหญ่มีข้อจํากัดที่ไม่สามารถตรวจวัดครั้งละหลายคนพร้อมกันได้ทั้งระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรองยังไม่มากพอ อาจมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรค ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิที่สามารถตรวจวัดได้พร้อมกันหลายคนก็มีอยู่ แต่ต้องนําเข้าในราคาที่สูง            ทีมนักวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงนําเอาความเชี่ยวชาญผสานองค์ความรู้สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานภายในประเทศที่สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศด้วย “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ (µTherm-FaceSense)” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ            มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ใช้เทคโนโลยีกล้องอินฟราเรดผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) โดยไม่มีข้อจํากัดแม้สวมหน้ากากอนามัย ด้วยระบบประมวลผลที่รวดเร็วแม่นยําภายใน 0.1 วินาที และสามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้ครั้งละหลายคนพร้อมกันในระยะห่างสูงสุด 1.5 เมตร จึงช่วยลดระยะเวลารวมถึงลดความเสี่ยงจากความใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรอง พร้อมรองรับการเชื่อมต่อและจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่หลากหลาย            การทํางานของ “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” นั้นเป็นระบบที่สามารถคัดกรองอุณหภูมิบุคคลได้หลายคนพร้อมกันแบบไม่สัมผัสในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยจะแสดงค่าอุณหภูมิเป็นตัวเลขบนจอ หากพบบุคคลที่มีอุณหภูมิเกินค่าที่กําหนดตัวเลขจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและส่งเสียงแจ้งเตือนทันที            จุดเด่นหลักของมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ คือ มีความถูกต้องแม่นยําในการตรวจวัด สามารถตรวจวัดได้หลายคนพร้อมกันในเวลาที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตไทยเข้าถึงได้ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ โดยสามารถติดตั้งใช้งานได้หลากหลายในสถานที่ต่าง ๆ            นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัย (Information technology equipment (IEC60950-1), มาตรฐานการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า CISPR 22 (EMC Standard) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. และผ่านการสอบเทียบค่าอุณหภูมิ Certificate of Calibration จากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติแม้จะเป็นนวัตกรรมเพื่อรองรับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 แต่หากมองในระยะยาวนวัตกรรมนี้สามารถตอบโจทย์โรคระบาดใหม่ในอนาคต เป็นเครื่องมือช่วยเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงการสูญเสียจากผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับภาวะอุณหภูมิของร่างกายที่ผิดปกติ และการระบาดของโรคร้ายแรง ต่อยอดใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงเพื่อออกประกาศการป้องกันและการดูแลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะหรือโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย รวมถึงทํานายอุบัติการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการเกิดธุรกิจใหม่ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ให้บริการอีกด้วย            ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องต้นแบบจํานวน 40 เครื่องไปยังหน่วยงานที่มีความเสี่ยง เพื่อสกัดกั้นการระบาดของโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีการผลิตและจําหน่ายเครื่องมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ รุ่น Limited Edition รวมถึงอยู่ระหว่างดําเนินการร่างสัญญาการขออนุญาตใช้สิทธิ            นวัตกรรมจาก สวทช. นี้ นับเป็นเทคโนโลยีการตรวจวัดอุณหภูมิที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยลดการนําเข้าได้ถึง 3 เท่า ที่สําคัญสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 7,032,023.49 บาท ในปี พ.ศ. 2561 และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 2,619,531.46 บาท ในปี พ.ศ. 2562 อีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“TPMAP”จัดการความยากจนแบบชี้เป้าและตรวจสอบได้
"TPMAP"จัดการความยากจนแบบชี้เป้าและตรวจสอบได้ "ใครคือคนจน คนจนอยู่ที่ไหน ปัญหาของคนจนคืออะไร และจะแก้ไขปัญหาคนจนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร" หากเรายังไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้... แล้วเราจะแก้ปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติและระดับโลกได้อย่างไร ด้วยมองว่า ... "การแก้ปัญหาแบบปูพรม ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืนและตรงจุด" สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จึงร่วมมือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯนำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า (Big data) มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ โดยพัฒนาเป็น "TPMAP" (ทีพีแมป) ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า TPMAP 1.0 (Thai Poverty Map and Analytics Platform) หรือทีพีแมปเวอร์ชันแรก ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2561 มีการประยุกต์ใช้การนำเข้าข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า นำร่องในการให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาความยากจน โดยมุ่งตอบโจทย์ปัญหาข้างต้นไปพร้อม ๆ กัน จากโจทย์ปัญหา.... เพื่อให้สามารถระบุได้ว่า "ใครคือคนจนที่แท้จริง" ซึ่งความยากจน หรือความขัดสนของประชาชนไม่ได้มีแค่มิติของ "รายได้" เท่านั้น TPMAP ได้นำหลักดัชนี่ความยากจนหลายมิติ หรือ Multidimensional Poverty Index: MPI ซึ่งคิดค้นโดย Oxford Poverty & Human Development Initiative และ United Nation Development Programme (UNDP) มาประยุกต์ใช้กับข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) จากกรมการพัฒนาชุมชนเพื่อหาคนจนหรือคนที่ขัดสนใน 5 มิติตามบริบทของประเทศไทย คือ "ด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการรัฐ" จากข้อมูล จปฐ. ซึ่งเป็นแกนกลาง มีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลการลงทะเบียนภาครัฐของกระทรวงการคลัง เพื่อหาคนจนเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน นอกจากข้อมูลแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ได้มา ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าอนาไลติกส์ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เครือข่ายข้อมูล มีการบูรณาการข้อมูลเพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกัน และแสดงผลในรูปแบบแผนที่เป็น Dashboard ทำให้เข้าใจฐานข้อมูลความยากจนเชิงพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ได้ ปัจจุบันระบบมีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนคนพิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ข้อมูลการรับเบี้ยคนพิการและผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อมูลสิทธิการรักษาพยาบาลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพ(สปสช.) นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการข้อมูลอื่น ๆ จากแต่ละภาคส่วน เพื่อให้ระบบมีความสมบูรณ์มากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาในมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากความยากจน และนำไปสู่การพัฒนาเป็นระบบสำหรับการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต หรือ TPMAP 2.0 (Thai People Map and Analytics Platform) ระบบ TPMAP นี้ เปิดให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงหน่วยงานที่ต้องการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลในระดับภาพรวมของประเทศจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านได้ ผ่านทาง https://www.tpmap.in.th/ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลรายครัวเรือนหรือรายบุคคลนั้นจะรั่วไหล เพราะระบบจะให้สิทธิเฉพาะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยเข้าผ่านระบบ "TPMAP Logbook" (ทีพีแมป ล็อกบุ๊ก) หรือ "ระบบแฟ้มบ้านพัฒนาคนไทย" ซึ่งถือเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายแรกของประเทศที่สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนาได้ทั้งครัวเรือนและบุคคล ทีมวิจัยจากเนคเทค สวทช. ได้ต่อยอดพัฒนา "TPMAP Logbook" ขึ้น เพื่อเป็น"เครื่องมือ" สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ สามารถนำไปใช้ในการดำเนินงานได้สะดวกรวดเร็ว และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเบื้องต้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว บันทึกแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้ตรงตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ ใช้สอบถามสาเหตุของปัญหาติดตามการแก้ปัญหารายครัวเรือน บันทึกข้อมูลปัญหาและกิจกรรมการให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งยังสามารถรายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยตรวจสอบความคืบหน้าของการช่วยกันแก้ไขปัญหาความยากจนได้ ปัจจุบันหลายจังหวัดเริ่มนำระบบ TPMAP และ TPMAP Logbook ไปใช้งานตัวอย่างเช่น สกลนคร สมุทรสงคราม ขอนแก่น มุกดาหาร และนครราชสีมาได้มีการนำเอาช้อมูลจากทั้ง 2 ระบบมาวิเคราะห์ หาข้อมูล ปัญหา และความต้องการเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ อันนำไปสู่การจัดทำแนวทางแก้ไขที่สอดคล้อง เหมาะสมกับความต้องการและบริบทการพัฒนาในพื้นที่อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าระบบนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ในการชี้เป้าที่ลงลึกได้ถึงรายบุคคล สามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการพัฒนาคนได้ตลอดในทุกช่วงวัย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่มากขึ้น และสามารถออกแบบนโยบาย หรือโครงการที่ตรงกับความต้องการเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาปัญหาความซ้ำซ้อนของการรับสวัสดิการรวมทั้งปัญหา "ภาวะรั่วไหล" ในคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่ได้รับสวัสดิการ และ "ภาวะตกหล่น" หรือการเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงระบบบริหารจัดการข้อมูล การพัฒนาคนแบบชี้เป้าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประหยัดการใช้เงินงบประมาณ ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลังของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“ไข่ออกแบบได้”สารเสริมอาหารเพิ่มคุณภาพในไข่ไก่
“ไข่ออกแบบได้”สารเสริมอาหารเพิ่มคุณภาพในไข่ไก่ ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และนาโนเทคโนโลยีผนวกกับองค์ความรู้ด้านการเกษตร ทำให้แม้แต่ “ไข่” ที่ทุกคนคุ้นเคยและเป็นอาหารของคนในทุกช่วงวัย ก็สามารถออกแบบให้มีคุณภาพสูงขึ้น จากปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ที่ขาดทุนจากการทำฟาร์มไก่เป็นจำนวนมากทั้งจากสภาพการแข่งขัน ต้นทุนในการผลิตไข่ไก่ และบ่อยครั้งต้องประสบปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด รวมถึงไข่ไก่ที่ผลิตได้ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เพื่อสร้างจุดแข็งด้วยสินค้าที่แตกต่างและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันก็สามารถลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะการลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยใช้สมุนไพรซึ่งเป็นสารจากธรรมชาติทดแทน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับบริษัทเกรนาเดส ไบโอเทค จำกัด (บริษัทคลีน กรีนเทค จำกัด เดิม) วิจัยและพัฒนา“ไข่ออกแบบได้” หรือ “สารเสริมอาหารสำหรับไก่เพื่อเพิ่มคุณภาพไข่ไก่” ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบนำส่งยาหรือสารสำคัญในรูปแบบ Self-Emulsifying Drug Delivery Systems หรือ SEDDS ของน้ำมันโหระพาและน้ำมันออริกาโนให้อยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ได้สะดวกต่อการเป็นสารเสริมอาหารในไก่ “ไข่ออกแบบ” นี้เรียกได้ว่าเป็น “นวัตกรรมระดับโลก” และเป็นครั้งแรกที่มีการใช้นาโนเทคโนโลยีในการนำพาสารสู่อวัยวะเป้าหมายมาพัฒนาเป็นระบบการนำส่งสารสมุนไพรเพื่อพัฒนาคุณภาพของไข่ไก่ตั้งแต่อยู่ในฟอง ด้วยการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบนำส่งมาประยุกต์ใช้ในการนำส่งสารสมุนไพรหรือสารสกัดจากธรรมชาติให้สามารถออกฤทธิ์ได้ดีในไก่ เพื่อทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจาก “ไก่” เป็นสัตว์ที่มีลำไส้สั้น การจะให้สารสกัดจากสมุนไพรผ่านวิธีการทานอาหารหรือน้ำ สารสำคัญจะมีเวลาในการออกฤทธิ์ภายในลำไส้ของไก่ได้น้อย ทำให้ประสิทธิภาพต่าง ๆ ลดลง ดังนั้นทีมนักวิจัยฯ จึงออกแบบระบบนำส่งสารสำคัญซึ่งสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติให้เหมาะสมกับสรีระของไก่ โดยการเลือกใช้ “สารสกัดโหระพา” ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อบิดในลำไส้ไก่ และ “สารสกัดออริกาโน่” ที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ ต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นให้สัตว์อยากกินอาหารปกติสารสกัดทั้งสองชนิดนี้จะละลายได้ในไขมัน เพื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้งานเป็นอาหารเสริมในไก่ จึงมีการพัฒนาเป็นสูตรตำรับ Self-Emulsifying Drug DeliverySystem หรือ SEDDS ร่วมกับสารลดแรงตึงผิวและสารลดแรงตึงผิวร่วม เพื่อให้สามารถเกิดเป็นอิมัลชันชนิดน้ำมันในน้ำได้ด้วยตัวเอง มีความคงตัวทางกายภาพสูง และดูดซึมได้เร็ว ผลิตภัณฑ์จากระบบดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นสารเสริมสมรรถนะการผลิตไข่ไก่ ที่มีค่าชีวประสิทธิผลเมื่อให้ทางการกินได้สูงสามารถลดปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย ความโดดเด่นของผลงานที่เป็นนวัตกรรมที่จะสร้างระบบและการปฏิรูปทำให้ธุรกิจเกษตรและอาหารเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ “ไข่ออกแบบได้” ได้รับรางวัลชนะเลิศผลงานนวัตกรรมแห่งชาติด้านเศรษฐกิจประจำปี พ.ศ. 2559 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (เอ็นไอเอ) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นวัตกรรม “ไข่ออกแบบได้” นี้ นับเป็นนวัตกรรมที่เพิ่มความสามารถให้แก่การแข่งขันให้เกษตรกรไทย สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นและเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งทิศทางนี้สำคัญต่อการผลิตปศุสัตว์ทั่วโลก ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
eMENSCR นวัตกรรมติดตามผลช่วยพัฒนาประเทศ
eMENSCR นวัตกรรมติดตามผลช่วยพัฒนาประเทศ หน่วยงานภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำโครงการต่าง ๆ ในการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม สารารณะ และประเทศชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า "eMENSCR" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบสารสนเทศที่สามารถติดตามการทำงาน ประเมินผล และสามารถนำมาช่วยในการวิเคราะห์โครงการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่จุดหมายและบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน รวมถึงการลดอุปสรรค ข้อจำกัด และกับดักเดิม ๆ ของภาครัฐที่ต่างคนต่างทำงาน "eMENSCR"หรือ Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform เป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานผ่านแผนงาน โครงการหรือการดำเนินการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ โดยเป็นระบบข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างบูรณาการ นอกจากนี้ eMENSCR ยังเป็นระบบ Paperless system เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเผยแพร่รายงานสรุปผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนทราบ ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามประเมินผล และเป็นระบบฐานข้อมูลกลางที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างบูรณาการ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งช่วยลดภาระการให้ข้อมูลเพื่อประกอบการชี้แจงต่าง ๆ ของหน่วยงานอีกด้วย จุดเริ่มต้นของ eMENSCR เกิดขึ้นจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมหารือกันในการนำระบบที่ตอบโจทย์เรื่องนโยบายทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการการจัดทำโครงการ ขั้นตอนการติดตามผล สู่ผลลัพธ์ระยะยาว โดยสามารถสร้างให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันได้ ทุกภาคส่วนสามารถเห็นข้อมูลร่วมกัน เห็นความซ้ำซ้อนของโครงการเพื่อจัดสรรงบประมาณการดำเนินงานที่เหมาะสม หรือสร้างโครงการใหม่ที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น โดย eMENSCR จะเป็นระบบ Open data มีเนื้อหาและเครื่องมือใน 7 หัวข้อหลัก ที่ประกอบด้วย ส่วนรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามแผนระดับที่ 1 และ 2 แสดงข้อมูลของแผนแม่บทระดับชาติ ส่วนรายงานผลการดำเนินงานตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมทั้งแสดงโครงการที่มีความสอดคล้องกับแต่ละเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ส่วนสรุปจำนวนโครงการตามยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศส่วนรายงานจำนวนโครงการที่สอดคล้องกับแผนแต่ละระดับ ส่วนแสดงจำนวนโครงการจำแนกตามสถานะการอนุมัติโครงการ ส่วนแสดงโครงการทั้งหมด และส่วนแสดงข้อมูลสถานการณ์รายงานความก้าวหน้าของโครงการ เนคเทค สวทช. มีเป้าหมายที่จะให้ eMENSCR เป็นจุดศูนย์กลางของข้อมูลที่แสดงถึงสถานการณ์หรือตัวชี้วัดของระบบรวมทั้งได้วางแผนในอนาคตของ eMENSCRคือ การบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ เป็น One stop service เพื่อให้สามารถติดตามข้อมูลได้ในระบบเดียวกัน ด้วยการสร้างโครงการใหม่จะมีข้อมูลเกิดใหม่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการบริหารจัดการโครงการ (Operation) ข้อมูลสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลผลกระทบ และผลลัพธ์ ทั้งนี้การเปิดเผยข้อมูลโดย eMENSCR จะเป็นการสร้างความโปร่งใส พร้อมได้รับแนวความคิดใหม่ ๆ จากภาคประชาชนและสังคมเพื่อตอบโจทย์ประชาชนได้ eMENSCR สามารถตรวจสอบโครงการที่รองรับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เมื่อระบบสารสนเทศติดตามประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) สามารถติดตามและประเมินผลของโครงการภาครัฐต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สามารถเป็นกลไกหลักในการติดตามประเมินผลการทำงานของส่วนราชการได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติอย่างแท้จริงต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชหนุนเกษตรปลอดภัย
ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชหนุนเกษตรปลอดภัย แมลงศัตรูพืชถือเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความเสียหายอย่างมากกับการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืช เกษตรกรจึงมีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชอย่างแพร่หลาย เพราะได้ผลที่รวดเร็ว แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม รวมถึงสุขภาพของตัวเกษตรกรเอง ขณะเดียวกันในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจสุขภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยในอาหารมากขึ้น การทำ “เกษตรปลอดภัย” ด้วยการใช้ชีวภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่สามารถก่อโรคอย่างจำเพาะในแมลง เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย หรือว่าไวรัส ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทดแทนการใช้สารเคมีอันตรายในการกำจัดแมลงศัตรูพืชจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ต่อยอดงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ มาพัฒนาเป็นสารชีวภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเกษตรกรไทยในการกำจัดแมลงศัตรูพืชทดแทนสารเคมีอันตรายที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างเช่น การผลิตไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)ซึ่งเป็นไวรัสที่เกิดโรคกับแมลงบางชนิด เป็นผลงานวิจัยจากการคัดเชื้อไวรัสที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในประเทศไทยมาทดสอบภาคสนามทั้งด้านความปลอดภัยกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม พบว่าเชื้อไวรัส NPV นี้จะทำให้หนอนบางชนิดเท่านั้นที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วป่วยตาย โดยที่มีความจำเพาะสูงมาก คือหนอนกระทู้หอมและหนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นหนอนสำคัญที่ได้ทำลายพืชทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น องุ่น หอมแดงหอมหัวใหญ่ ส้ม มะเขือเทศ หรือไม้ดอกอย่างกุหลาบ เบญจมาศ ดาวเรือง ปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตไวรัส NPV ของแมลงศัตรูพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจ 3 ชนิด คือ ไวรัส NPV ของหนอนกระทู้หอม ไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝ้าย และไวรัส NPV ของหนอนกระทู้ผัก นอกจากนี้ทีมนักวิจัยของไบโอเทค สวทช. ยังได้พัฒนาชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชจากเชื้อราบิวเวอเรีย บาเซียนา (Beauveria bassiana) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกับแมลงหลายชนิด โดยจะสร้างเส้นใยและสปอร์สีขาวแพร่กระจายในธรรมชาติและทำลายแมลงทุกระยะ โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยแป้ง หนอนศัตรูพืช และแมลงปากกัดปากดูดทุกชนิด ทำให้ควบคุมการแพร่ระบาดแมลงศัตรูพืช และยังสามารถทำลายปลวก มดคันไฟได้อีกด้วย ทั้งนี้ทีมนักวิจัยฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสปอร์ราที่มีคุณภาพสูงสามารถถ่ายทอดให้หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มเกษตรกร และภาคเอกชน นำไปผลิตเพื่อขยายผลการใช้ให้แพร่หลาย โดยชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชจากเชื้อราบิวเวอเรียบาเซียนา มีจุดเด่นคือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีอันตรายต่อสัตว์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้ได้กับแมลงที่ดื้อยาอีกด้วย สำหรับการผลิตชีวภัณฑ์จากแบคทีเรีย ทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชเพื่อเกษตรปลอดภัยขึ้นโดยใช้ชื่อว่า “วิปโปร (VipPro) พัฒนาจากโปรตีน Vip3A (Vegetative insecticidal protein)ซึ่งเป็นโปรตีนฆ่าแมลงที่พบได้ในแบคที-เรียบีที (Bacillus thuringiensis) บางสายพันธุ์ โดยโปรตีนจะถูกสร้างและหลั่งออกนอกเซลล์ในระยะที่เซลล์กำลังเจริญก่อนเข้าสู่การสร้างสปอร์ โปรตีนในกลุ่มนี้สามารถออกฤทธิ์ฆ่าหนอนแมลงในกลุ่มหนอนผีเสื้อและหนอนผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นแมลงศัตรูหลักของพืชเกือบทุกชนิด จากการค้นหา Vip3A ตัวใหม่จากบีทีสายพันธุ์ที่คัดแยกได้ในประเทศไทยจำนวนมากกว่า 500 ตัวอย่าง ทำให้ได้โปรตีนที่ออกฤทธิ์ได้ดีต่อหนอนกระทู้หอม (Spodoptera exigua) และหนอนกระทู้ผัก (Spodoptera litura) ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญและก่อความเสียหายอย่างมากกับพืชเศรษฐกิจหลายชนิดของประเทศไทย โดยชีวภัณฑ์ VipPro เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สามารถออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเร็ว แมลงหยุดกินอาหารภายในหนึ่งชั่วโมง ลดความสูญเสียและร่องรอยตำหนิบนใบพืช และออกฤทธิ์เสริมกับชีวภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana) และโปรตีนผลึกจากบีที (Cry toxins) ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ชีวภัณฑ์เหล่านั้นอย่างน้อยสิบเท่า เมื่อใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ VipPro และสามารถใช้ได้กับแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีหรือดื้อต่อโปรตีนผลึก ผลการทดสอบภาคสนามพบว่า ผลิตภัณฑ์ VipPro สามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ดีมากในทุกแปลงทดสอบ และได้ผลผลิตเทียบเท่ากับการใช้สารเคมี งานวิจัยเหล่านี้เป็นการสร้างทางเลือกและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยที่สนใจทำการเกษตรแบบปลอดภัยและยั่งยืน. ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น