หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช.ร่วมรับรางวัลนักวิจัยดีเด่น ในงาน “วันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2564 2565”
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)จัดงาน "วันนักประดิษฐ์ ประจําปี 2564 2565 (Thailand Inventor's Day 2021 2022) ครั้งที่ 23 ระหว่างวันที่ 2-6 กุมภาพันธ์ 2565 และนำผลงานนักประดิษฐ์จากสถาบันการศึกษา หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน โชว์นวัตกรรมกว่า 1,000 ผลงาน ภายใต้แนวคิด “วิถีใหม่ ใส่ใจ ชีวิต สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อเผยแพร่ผลงานความก้าวหน้าสิ่งประดิษฐ์ไทยสู่สาธารณชน พร้อมด้วยพิธีมอบรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2564 2565 เป็นครั้งที่ 47 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ(นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ร่วมแสดงความยินดีกับนักวิจัย สวทช. ที่ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นในสาขาต่างๆ ซึ่งในปีนี้ผู้ที่ได้รับรางวัลประกอบด้วยดังนี้ "วันนักประดิษฐ์” จัดขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ที่ทรงประดิษฐ์คิดค้น “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย” หรือ “กังหันน้ำชัยพัฒนา และทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 และเพื่อเป็นการระลึกถึงวันประวัติศาสตร์การจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรแด่พระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลก และทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” โดยวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2564 2565 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 23 เพื่อเป็นเวที ระดับชาติในการเผยแพร่ ถ่ายทอด และขยายผลสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมสู่ผู้ใช้ประโยชน์ และสาธารณชน เป็นกลไกในการ สร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจ แก่นักประดิษฐ์ไทย และเยาวชนรุ่นใหม่ในการพัฒนาผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศ พร้อมสร้างความตระหนักให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของการประดิษฐ์คิดค้น  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วช. – สวทช. หนุน ‘ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง’ สร้างการแข่งขันประเทศ ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม
2 กุมภาพันธ์ 2565 ณ EH 102-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (บางนา) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัดแถลงข่าวพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงานเข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยาน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญในการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลและสถาบันความรู้ ซึ่งการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร ด้านการวิจัยและนวัตกรรม เป็นหนึ่งใน 7 ภารกิจของ วช. ที่มีความสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยการพัฒนากำลังคนให้มีความรู้และทักษะที่สอดคล้องกับการทำงานและการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนการสร้างความรู้จากการวิจัยในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพ เพื่อผลิตผลงานวิจัยที่มีประโยชน์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวงวิชาการของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีนักวิจัยระดับปริญญาโทและปริญญาเอกของไทยที่มีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัย และสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ “วช. และ สวทช. ได้ตกลงร่วมกันที่จะร่วมดำเนินงาน ภายใต้ “โครงการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ และเชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ รวมถึงพัฒนากำลังคนในระบบวิจัยและนวัตกรรมซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญให้เป็นมืออาชีพและมีศักยภาพในการพัฒนาและสร้างงานในสาขาที่สำคัญและขาดแคลน หรือในสาขาที่ประเทศไทยมีศักยภาพ โดย วช. สนับสนุนงบประมาณวิจัย ไม่เกิน 15 ล้านบาท ต่อกลุ่มวิจัย ในระยะเวลาดำเนินการวิจัย 3 ปีร่วมกับ สวทช. ติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด และผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยที่สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาประเทศ เน้นกลไกการทำงานเชิงรุกให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการพัฒนาประเทศด้วยการวิจัยและนวัตกรรม บนฐานความรู้เชิงปัญญา ลดการพึ่งพาทรัพยากรบุคคลผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศและหันมาสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว” ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือนี้ สวทช. จะบริหารจัดการ “โครงการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” ด้วยการใช้ระบบการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระดับสูงและสร้างความเป็นเลิศ รวมทั้งกลไกการสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ตัวอย่างเช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็น อาทิ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ โรงงานต้นแบบ ด้านธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การบ่มเพาะธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา การจัดการสิทธิเทคโนโลยี มาร่วมสนับสนุนการบริหารจัดการ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อ “โครงการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” สำหรับความร่วมมือภายใต้ “โครงการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” ถือเป็นขั้นบันไดสูงสุดของเส้นทางอาชีพนักวิจัย โดยมีคุณลักษณะเฉพาะตัวประกอบด้วย 1. มุ่งเน้นความเป็นเลิศ 2. ตั้งเป้าหมายท้าทาย 3. เชื่อมโยงการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และ 5. สร้างการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะเป็นทั้งรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยผู้นำกลุ่ม และการสนับสนุนงบประมาณวิจัยไปพร้อมกัน เพื่อผลิตผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องและแสดงศักยภาพในระดับนานาชาติโดยประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือนี้จะทำให้สามารถดึงทรัพยากรของแต่ละหน่วยงาน มาประสานเชื่อมโยงกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เป้าหมายและวิธีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ด้วยประสบการณ์บริหารจัดการโครงการวิจัยขนาดใหญ่ในโครงการนักวิจัยแกนนำมากกว่า 10 ปี สวทช. ได้สนับสนุนและผลักดันนักวิจัยที่มีความสามารถสูงให้สามารถทำงานวิจัย และผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง ได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เพื่อเชื่อมโยงให้นักวิจัยไทยได้ทำงานกันอย่างใกล้ชิดและเข้าถึงความต้องการของภาคส่วนผู้ใช้ประโยชน์ ดังนั้น การทำงานร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานภายใต้โครงการดังกล่าวจะเป็นการสร้างกลไกสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ตอบสนองต่อเป้าหมายยุทธศาสตร์ อว. ในการผลิตกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) เพื่อให้สามารถส่งมอบผลผลิตและผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ 4 ประการ ได้แก่ 1. สร้างบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม 2. สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติ และระดับนานาชาติ 3. ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย และ 4. สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประชาคมวิจัย การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ ///////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดรับสมัครทุน TGIST ประจำปี 2565
โดยโครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thailand Graduate Institute of Science and Technology: TGIST) เปิดรับสมัครข้อเสนอโครงการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่กำลังจะเข้าศึกษาหรือศึกษามาแล้วไม่เกิน 1 ปี ที่สนใจสมัครขอรับทุน โดยโครงการวิจัยที่เสนอขอต้องเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่เป็นความร่วมมือระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและนักวิจัย สวทช. โดยนักศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับทุน ประจำปี พ.ศ. 2565 จำนวนไม่เกิน 25 ทุน จะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในหมวดค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายส่วนตัวรายเดือน กำหนดเปิดรับสมัคร วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการสมัครและสมัครออนไลน์ได้ที่: https://www.nstda.or.th/tgist/ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม E-mail: tgist@nstda.or.th โทร. 02 564 7000 ต่อ 1459, 1425 (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
ขอเชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ เปิดเทรนด์ The Future of Digital Marketing 2022 เจาะลึก ไขความลับการตลาดออนไลน์ ปี (สมัครด่วน…รับจำนวนจำกัด)
⭕️เชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ เปิดเทรนด์ เจาะลึก ไขความลับการตลาดออนไลน์ ปี 2022 . ตามโลกทัน ออกแบบธุรกิจใหม่ กลยุทธ์สำคัญสำหรับตลาดออนไลน์ พบกับกูรูสายการตลาดดิจิทัล อัพเดทเทรนด์ปังในปี ขอเชิญร่วมงานสัมมนาออนไลน์ “ The Future of Digital Marketing 2022 เจาะลึก ไขความลับการตลาดออนไลน์ ปี 2022” โดย คุณนาวิก นำเสียง Managing Director - Sundae Solutions Co., Ltd. กูรูผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจดิจิทัลและการตลาดมากกว่า 15 ปี 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 13.30 – 15.00 น. ในรูปแบบออนไลน์ผ่าน Webex ไฮไลท์ความรู้ พร้อมปรับรับปีเสือ ✅ความรู้การตลาดออนไลน์ ปี 2022 ✅กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ ✅สร้างรายได้ธุรกิจยั่งยืนด้วยการตลาดแนวใหม่ . รับจำนวนจำกัด สนใจลงทะเบียนได้ฟรีที่ https://forms.gle/T7skxK5U5Hr5RNBXA ผู้ลงทะเบียนจะได้รับลิงก์เข้าร่วมงานผ่านทางอีเมล . ☎️สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ : bcd@nstda.or.th , Tel. 08 2635 4792 (คุณปอ)
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. นำผู้ประกอบการร่วมโครงการ BCG Market ในงานเกษตรแฟร์’ 65
(31 ม.ค. 2565) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : ภายในงานเกษตรแฟร์ ประจำปี 2565 ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมเป็นเกียรติในกิจกรรมโครงการ อว. BCG Market เลือกชิม เลือกช้อป พร้อมรับฟังเสวนาพิเศษ หัวข้อ ล้อมวงแชร์ Success Story “นวัตกรรมขับเคลื่อน BCG” ด้วยได้รับเกียรติจาก นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย น.ส วิลานี แซ่แต้ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจผู้ประกอบการรายย่อยและองค์กรชุมชน ธนาคารออมสิน และนายธวีโรจน์ ธนธรธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท โบทานิคส์ ไลฟ์ จำกัด ORGA Organic ร่วมเสวนาในครั้งนี้ นอกจากนี้ สวทช. ยังได้มีการนำสินค้านวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับBCG ที่ผ่านการร่วมงานวิจัยจากหน่วยงาน มาออกบูทเพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ เลือกชิม เลือกช้อป ผลิตภัณฑ์ในราคาสุดพิเศษ อาทิ BIG Healthy Plant (ปุ๋ยอินทรีย์ อาหารเสริมพืช) บริษัทกรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี สินค้านวัตกรรมปลอดภัยต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม เพื่อการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ของ จี.ไอ.บี.เทรดดิ้ง บริษัทจากประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติ มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานและเสริมการเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด ปุ๋ยอินทรีย์ สารปรับปรุงดิน และผลิตภัณฑ์สารเสริมการเจริญเติบโตสำหรับสัตว์ ORGA ORGANIC แชมพูออแกนิคสำหรับสัตว์เลี้ยง บริษัทโบทานิคส์ไลฟ์ จำกัด เป็นสินค้าออแกนิคสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยนำคุณสมบัติของพืชและสมุนไพรที่สามารถทดแทนสารเคมีที่ใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคได้ เช่น สารให้ฟอง สารลดแรงตึงผิว สารลดคราบสกปรก สารปรับสภาพผิว ฯลฯ นำมาสู่การวิจัยและทดสอบ จนพัฒนามาเป็นแชมพู โฟมอาบน้ำ และน้ำยาทำความสะอาดกรงหรือพื้นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงแสนรักเช่นสุนัขและแมว cider vinegar น้ำส้มสายชูหมักจากสับปะรด บริษัทซินอาบริว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ผสมนำดื่มลดน้ำตาลและคอเลสเตอรอลใช้สูตรน้ำส้มสายชูหมัก 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำเปล่าหรือโซดา 1 แก้ว ดื่มวันละครั้ง เป็นต้น มะนีมะนาว น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่เยือกแข็ง บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ ผลิตจากมะนาวไร้เมล็ด จากแหล่งผลิตในภาคกลาง ภายใต้การควบคุมการเพาะปลูกที่ปลอดภัย มะนาวไร้เมล็ดส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่และมีเปลือกหนา แต่มะนีมะนาวคัดเลือกขนาดผลที่พอดี มีเปลือกบาง สามารถเก็บรักษาได้นานกว่ามะนาวทั่วไป มีความเป็นกรดน้อย ไม่มีรสขม และมีวิตามินซีสูง เหมาะสำหรับการนำมาใช้ทำเครื่องดื่มหรือนำมาปรุงอาหาร ใช้ได้ทั้งในอุตสาหกรรมและครัวเรือน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่พัฒนาโดยนักวิจัยนาโนเทค โดยการใช้เทคนิคการควบคุมเฟสผลึกน้ำแข็ง Herb Miracle Intensive Firming Moisturizing Serum บริษัทเฮิร์บมิราเคิล จำกัด เป็นผลงานการอนุญาตให้ใช้สิทธิจากผลงานวิจัยนาโนเทค และผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอางซึ่งทำให้คืนความชุ่มชื้นผิวพรรณกระจายใส กระชับผิวและลดริ้วรอย SANTIARA เจลแต้มสิว โฟมล้างหน้า ครีมกันแดด บริษัทสมาร์ค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้คุณค่าจากสารสกัดใบบัวบกที่นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังช่วยลดอาการอักเสบและอาการระคายเคืองของสิวได้อย่างดีเยี่ยม มีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดอาการอักเสบ ลดเลือนรอยแดงและรอยดำที่เกิดจากสิว และเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง PACKLEAN ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ Packlean บริษัทแพค คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ โดยใช้กับตัวเครื่องภายใน เพื่อทำความสะอาดฝุ่น และคราบที่ติดอยู่กับแผงคอยล์เย็น สามารถเพิ่มคุณภาพอากาศสะอาด และลดกลิ่นอับชื้นภายในห้อง มีทั้งชนิดสเปรย์ แผ่น และก้อน เพื่อให้เลือกใช้ตามประเภทของเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสม ซินเนอร์จี หน้ากากอนามัยกราฟีน บริษัทเฮเดล เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด นวัตกรรมหน้ากากผ้า ช่วยปกป้องฝุ่นละอองขนาดเล็กและเชื้อโรคและแบคทีเรียได้มากกว่า 99% ตามมาตรฐาน AATCC เป็นหน้ากาก 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นพอลิเอสเทอร์เคลือบกราฟีน ชั้นกลางเป็นผ้านอนวูฟเวน และชั้นในเป็นผ้าฝ้ายมัสลินกันน้ำ สายคล้องหูปรับระดับได้ มีลวดล็อคจมูก ใส่แล้วกระชับใบหน้า หายใจสะดวก ซักแล้วใช้ซ้ำได้ (สังเกตจากสีดำของหน้ากากชั้นนอก จะค่อย ๆ ซีดลงเมื่อผ่านการซักหลายครั้ง) มี 3 ขนาดคือ สำหรับเด็ก - มาตรฐาน – ใหญ่พิเศษ OVF ผลิตภัณฑ์จากไข่ ไข่สด บริษัทโอโว่ฟู้ดเทค จำกัด เป็นผู้ประกอบการผลิตไข่เหลวคุณภาพได้รับการรับรองมาตรฐานสากล สินค้าของบริษัทที่เกิดจากความร่วมมือกับไบโอเทค สวทช. เป็นการเพิ่มมูลค่าไข่ในทุกชิ้นส่วน (zero waste) ให้เป็นสารมูลค่าสูงในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ เช่น - eLysozyme - ไลโซไซม์ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโปรตีนสำหรับสัตว์ - biocalcium from egg shell - ไบโอแคลเซียมจากเมมเบรนเปลือกไข่ - hydrolysed egg shell mebrane – คอลลาเจนไฮโดรไลเสทจากเปลือกไข่ 3BECOME 1 ทรายแมว ผงล้างผัก ผงดับกลิ่น สบู่ชาร์โคล และสมุด-เครื่องเขียนจากฟางข้าว (ผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ย่อยสลายได้ 100%) บริษัท 3 BECOME 1 เป็นธุรกิจที่เกิดจากความร่วมมือ 3 นักธุรกิจสาว 3 เจเนอเรชัน ที่มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม W&M BIOPASSION น้ำยาทำความสะอาด เครื่องย่อยเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย บริษัทคีนน์ จำกัด เป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากสารชีวบำบัดภัณฑ์ ที่ใช้นวัตกรรมไบโอ-ออร์แกนิคเทค มี "คีโนไซม์" เอนไซม์สูตรเฉพาะ และส่วนประกอบหลักได้จากวัตถุดิบหลักจากธรรมชาติ ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก NSF ผ่านการทดสอบการย่อยสลายทางชีวภาพ ไร้สารตกค้าง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กลิ่นไม่ฉุน ไม่แสบผิว ทั้งนี้ สวทช. ยังร่วมกับธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด นำรถเข็นรักษ์โลก Street food ซึ่งได้ริเริ่มและคิดค้นหาทางยกระดับสตรีทฟู้ดไทย ให้ก้าวไกลโดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานให้ สอดคล้องกับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล มาไว้ในงานเกษตรแฟร์นี้อีกด้วย และอีกนวัตกรรมที่น่าสนใจ Para Dough (พาราโด) ยางปั้นไร้สารอันตราย เป็นยางประสานที่มีความปลอดภัย เป็นวัสดุแข็งหรือนิ่มเป็นพิเศษ พาราโด เป็นหนึ่งในนวัตกรรมยางพาราจากงานวิจัยที่มีความปลอดภัยสูง ปั้นขึ้นรูปง่าย ทนความร้อน-เย็นได้ดี ไม่เสียรูป ไม่เยิ้ม และไม่แห้งแข็งแม้ทิ้งไว้นานๆ เหมาะจะใช้เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการ หรือเสริมจินตนาการ สำหรับเด็กและคนทุกเพศทุกวัย พาราโดมีวางจำหน่ายแล้วที่ศูนย์หนังสือ สวทช. หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ที่ http://nstdabookstore.lnwshop.com ราคาชุดละ 99 บาท ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน ณ ตลาดใหม่ อว. BCG Market ในงานเกษตรแฟร์ (ใกล้ประตูทางเข้าออก BTS )  ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2565 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.- 22.00 น.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2565
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2565 เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารที่มีมูลค่าสูง เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการตลาดและโอกาสขยายธุรกิจ ซึ่ง สวทช. ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในลักษณะเงินสนับสนุนรูปแบบ matching fund ไม่เกิน 75% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนกิจกรรม โดยมีระยะเวลาการสนับสนุนไม่เกิน 8 เดือน ตลอดจนได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว การออกตลาดในรูปแบบการออกบูธนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ ดาวน์โหลดใบสมัครโครงการ Food Accelerate ดาวน์โหลดแบบฟอร์มแผนการดำเนินงาน   ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งมาที่อีเมล foodac@nstda.or.th ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช. โทร 0 2564 7000 ต่อ 71746, 81490, 81494 และ 71745
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
พลิกโฉมการรักษาด้วยวิวัฒนาการล้ำยุค กับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกผู้คิดค้น เทคโนโลยี mRNA และ วัคซีนโควิด-19
สื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ เรื่อง พลิกโฉมการรักษาด้วยวิวัฒนาการล้ำยุค กับ นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกผู้คิดค้น เทคโนโลยี mRNA และ วัคซีนโควิด-19 โดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อประชาสัมพันธ์มูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปภัมภ์ กำหนดการจัดงานประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2565
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
UNAI เทคโนโลยีระบุพิกัดคนหรือสิ่งของภายในอาคาร ตัวช่วยการจัดงาน Event ยุคใหม่
นักวิจัยเนคเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยี แพลตฟอร์มระบุตำแหน่งภายในอาคาร ในชื่อ UNAI (อยู่ไหน) พร้อมพัฒนาอุปกรณ์รับส่งสัญญาณไร้สายโดยใช้เทคนิค Angle of Arrival ที่สามารถประมวลข้อมูลเพื่อระบุพิกัดที่อยู่ของอุปกรณ์พกพาที่อยู่ในรูปแบบของป้าย Tag ได้อย่างแม่นยำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ระบุพิกัดของบุคคลหรือสิ่งของที่อยู่ภายในอาคารได้ ปัจจุบันทีมนักวิจัยต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยี และนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดงานนิทรรศการขนาดใหญ่ หรือการจัดงานมหกรรมภายในอาคารที่มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก โดย UNAI สามารถแสดงผลได้ทั้งจำนวนทำให้เห็นความหนาแน่นของผู้เข้าชมงาน รวมถึงแสดงการเคลื่อนที่หรือการเดินของผู้เข้าชมได้แบบ Real Time เป็นข้อมูลที่จะช่วยให้ผู้จัดงานทราบถึงความสนใจของผู้เข้าชมงานแต่ละคน และความนิยมของแต่ละบูทนิทรรศการภายในงาน ตลอดจนเป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยตามหาเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจพลัดหลงภายในงานได้อีกด้วย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“PETE เปลปกป้อง” เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ  
การระบาดของ ‘โรคโควิด-19’ สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดย 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 2 ล้านราย มีอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 0.9 ซึ่งความสูญเสียนี้ยังไม่นับรวมการแพร่กระจายของโรคในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ อาทิ ‘วัณโรค’ ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ถูกจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 สาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหาโรคนี้สูงที่สุด ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อที่ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเพื่อป้องกันอันตรายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยอื่นๆ รวมถึงบุคคลทั่วไปจึงมีความสำคัญมาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)” อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการผลิตและส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการขยายผลส่งมอบ PETE เปลปกป้องให้แก่สถานพยาบาล จำนวน 16 แห่ง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ทำให้ปัจจุบันมีการส่งมอบแล้วจำนวน 100 ชุด ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. อธิบายถึงการทำงานของอุปกรณ์ว่า PETE เป็นเปลความดันลบที่ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Chamber) มีลักษณะเป็นท่อพลาสติกใสขนาดพอดีตัวคน และระบบสร้างความดันลบ (Negative pressure unit) เพื่อควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในเปล ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก อากาศภายในเปลจะผ่านการกรองเชื้อโรคด้วยแผ่นกรองอากาศ (HEPA Filter) และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C ก่อนปล่อยสู่ภายนอก ซึ่งนอกจากระบบฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพแล้ว ทีมวิจัยยังพัฒนาตัวเปลให้มีช่องสำหรับร้อยสายเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือเข้าไปยังผู้ป่วย และมีถุงมือสำหรับทำหัตถการ 6 จุดรอบเปล เพื่ออำนวยความสะดวกในการรักษาให้กับบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย จุดเด่นของ PETE เปลปกป้อง ไม่เพียงมีการออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะที่แข็งแรงและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 แล้ว ยังสามารถทลายข้อจำกัดการใช้งานของเปลความดันลบเดิมที่มีทั่วไปในท้องตลาด “สามความพิเศษแตกต่างของ PETE เปลปกป้อง อันดับแรกคือมีระบบ ‘Smart controller’ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความดันภายในเปล ทำให้ใช้งานได้ทั้งบนภาคพื้นและบนอากาศ สามารถตรวจสอบการรั่วไหลของอากาศสู่ภายนอก และแจ้งเตือนการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ​เมื่อถึงกำหนด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของผู้ป่วยและการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อให้ได้มาตรฐาน ส่วนที่สองคือ ‘นำเปลเข้าเครื่อง CT scan ได้’ เนื่องจากไม่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ จึงไม่ต้องพาผู้ป่วยออกจากเปลความดันลบเหมือนกับอุปกรณ์อื่น ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังเครื่องและระบบปรับอากาศของโรงพยาบาล ส่วนสุดท้ายคือ ‘ตัวเปลพับเก็บลงกระเป๋าและมีน้ำหนักเบา’ ทำให้พกพาสะดวกและติดตั้งง่าย เหมาะสมกับการใช้งานในรถพยาบาล ดังนั้นแล้วหากนำ PETE มาใช้ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากที่พัก เจ้าหน้าที่จะควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อได้เป็นอย่างดี” ปัจจุบันเอ็มเทคได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต PETE ให้แก่บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด เพื่อผลักดันให้เกิดการขยายผลไปสู่การใช้งานในวงกว้างเพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม ดร.ศราวุธ เสริมว่า ด้วยการออกแบบและพัฒนาให้สามารถผลิตได้ในประเทศ ทำให้ปัจจุบัน PETE มีราคาจำหน่ายที่ชุดละประมาณ 200,000 บาท ซึ่งถูกกว่าตลาดโลก 2-3 เท่า ในขณะที่มีมาตรฐานทัดเทียมระดับสากล จึงช่วยสร้างความมั่นคงทางการแพทย์ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพให้แก่คนไทยมากขึ้น อย่างไรก็ดีจากการสำรวจความต้องการในปัจจุบัน ยังมีสถานพยาบาลที่ต้องการใช้งานเปลแรงดันลบอยู่มาก และมีการตั้งเป้าหมายว่าต่อไปในอนาคตควรมีเปลแรงดันลบติดตั้งอยู่ในทุกยานพาหนะสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อให้สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคในระบบทางเดินหายใจได้อย่างทันท่วงที สำหรับผู้ที่สนใจสนับสนุนการส่งมอบ “PETE เปลปกป้อง” ให้แก่สถานพยาบาล ติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. หรืออีเมล์ pete@mtec.or.th เพื่อร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘MagikTuch’ ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส นวัตกรรมลดการระบาดเชื้อโควิด-19
กว่า 2 ปีแล้ว สำหรับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าการแพร่ระบาดจะลดน้อยลง เมื่อไวรัส SARS-CoV-2 มีการปรับตัวกลายพันธุ์สู่กลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวลอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดคือสายพันธุ์ “โอมิครอน (Omicron)” ที่ระบาดได้รวดเร็ว และหลบหลีกภูมิต้านทานได้มากขึ้น ดังนั้นการปรับตัวเข้าสู่วิถี “New Normal หรือ ฐานวิถีชีวิตใหม่” จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการปรับพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม MagikTuch ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส แบบ 2 in 1 เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสกับปุ่มกดลิฟต์ที่อาจมีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคต่างๆ ของผู้ป่วยติดค้างอยู่ สามารถช่วยลดการแพร่กระจายโรคโควิด-19 โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อขยายผลสู่การใช้งานจริงเพื่อบรรเทาวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศ ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีโรคระบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก และหลายโรคสามารถติดต่อกันผ่านการสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่มีสารคัดหลั่งหรือเชื้อโรคจากผู้ป่วยติดค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งของต่างๆ ที่มีคนใช้งานร่วมกัน เช่น ที่จับประตู ราวบันไดเลื่อน ก๊อกน้ำ รวมถึงปุ่มกดลิฟต์โดยสาร หนึ่งในระบบขนส่งที่มีผู้คนใช้ร่วมกันจำนวนมาก ทั้งในโรงแรม ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล และสถานที่ทำงาน ต่างๆ ทีมวิจัยจึงพัฒนานวัตกรรมเมจิกทัช (MagikTuch) เพื่อเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ลดการเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค “MagikTuch มีจุดเด่น 3 ข้อ คือ 1. Touchless เป็นระบบการทำงานแบบไร้สัมผัส สั่งการด้วยเซนเซอร์ วิธีใช้งานง่ายคือใช้นิ้วมือวางเหนือปุ่มลิฟต์ของชั้นที่ต้องการระยะห่าง 1-3 เซนติเมตร เซนเซอร์จะตรวจจับข้อมูลชั้นที่ต้องการเลือกและสั่งการลิฟต์โดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งมีระบบการตรวจจับเพื่อป้องกันการสั่งการพร้อมกันหลายปุ่ม ขณะเดียวกันหากระบบเกิดการขัดข้อง หรือผู้ใช้งานไม่สะดวกใช้งานแบบไร้สัมผัส สามารถใช้วิธีกดปุ่มลิฟต์แบบเดิม เนื่องจากระบบออกแบบให้ทำงานได้ 2 แบบ คือ แบบไร้สัมผัสและการกดปุ่ม  2. Safe from Infection ปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค เพราะเมื่อไม่มีการสัมผัสจะลดการแพร่กระจายเชื้อโรคในลิฟต์ และ 3. Easy Installation คือติดตั้งได้ง่ายและมีความยืดหยุ่น โดยชุดอุปกรณ์ MagikTuch สามารถติดตั้งเข้าไปบนลิฟต์ตัวเดิม โดยไม่ต้องดัดแปลงหรือเชื่อมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของตัวลิฟต์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการรับประกันระบบของบริษัทผู้ติดตั้งและผู้ดูแลลิฟต์ อีกทั้งยังออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถรองรับจำนวนชั้นได้ตามที่ต้องการสำหรับลิฟต์โดยสารหลากหลายยี่ห้อ อีกทั้งมีระบบป้องกันทางไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน และผ่านการทดสอบมาตรฐานด้าน EMC/EMI ปัจจุบันทีมวิจัยได้ขยายผลการพัฒนานวัตกรรม MagikTuch สำหรับแปลงระบบลิฟต์ทั่วไปให้เป็นระบบลิฟต์แบบไร้สัมผัสเพื่อบรรเทาปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการใช้ลิฟต์ในที่สาธารณะที่มีประชาชนมาใช้จำนวนมาก โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานการวิจัยเเห่งชาติ (วช.) ดร.ศิวรักษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินการติดตั้งใช้งานระบบ MagikTuch ตามสถานที่ต่างๆ จำนวน 14 จุดติดตั้ง เช่น ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ และจากการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก วช. ทำให้เกิดการขยายผลและอยู่ระหว่างการติดตั้งและส่งมอบ MagikTuch ให้มีการนำใช้งานเพิ่มเติมในสถานที่มีคนไปใช้งานจำนวนมากอีกกว่า 10 แห่ง อาทิ ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี  โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช  โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า  โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศได้พอสมควร “MagikTuch เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยลดการลดการแพร่กระจายเชื้อก่อโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยแก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มาใช้บริการสถานที่ต่างๆ และเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองและสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศยามเกิดภัยจากโรคระบาดในอนาคต” ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. เบอร์โทรศัพท์: 02 564 6900 ต่อ 2521 E-mail: siwaruk.siw@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ระบุตัวเสือโคร่งในกรงเลี้ยงด้วยรหัสพันธุกรรม
  ย่างเข้าสู่ปีขาล ยิ่งต้องขานรับการอนุรักษ์ “เสือ” เมื่อนับวันสัตว์ป่านักล่าต่างตกเป็นเหยื่อของการลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย และมีจำนวนลดน้อยลงทุกที กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ใช้เทคนิคการค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่บ่งบอก “รหัสพันธุกรรมเพื่อระบุตัวเสือโคร่ง (DNA fingerprint)” เพื่อจัดทำฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมเสือโคร่งในกรงเลี้ยงกว่า 2,400 ตัวทั่วประเทศ ป้องกันการสวมทะเบียนเสือโคร่งในป่าธรรมชาติ ลดปัญหาอาชญากรรมเสือโคร่งในประเทศไทย ดร.กณิตา อุ่ยถาวร กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติของประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 200-250 ตัว เท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ขนาดใหญ่บางแห่ง ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้นำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพมาใช้ภายในพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อติดตามสร้างระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ส่วนในพื้นที่สวนสัตว์สาธารณะพบว่ามีเสือโคร่งที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองได้อย่างถูกกฎหมายมากถึง 1,200 ตัว แต่ยังไม่มีระบบฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานรองรับสำหรับติดตามและให้ความคุ้มครองเท่าที่ควร ทำให้เมื่อพบการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย บ่อยครั้งไม่สามารถจำแนกแหล่งที่มาได้ชัดเจนว่ามาจากประเทศใดหรือแหล่งใด   [caption id="attachment_29672" align="aligncenter" width="700"] เสือโคร่ง[/caption]   “ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทำฐานข้อมูลเสือโคร่งในกรงเลี้ยงโดยการใช้ภาพถ่ายเพื่อเปรียบเทียบลายเสือโคร่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้โปรแกรม Extract Compare ช่วยในการวิเคราะห์จำแนกเสือรายตัวได้อย่างถูกต้อง หากแต่ว่าวิธีนี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถติดตามลูกเสือโคร่งแรกเกิดได้ ดังนั้นการจัดทำฐานข้อมูลพันธุกรรมร่วมด้วย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การจัดทำฐานข้อมูลของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงมีความรัดกุมหนักแน่นมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาความร่วมมือกับศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. ในการจัดทำโครงการการใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอเพื่อตรวจพิสูจน์พันธุกรรมของเสือโคร่งในเชิงนิติวิทยาศาสตร์”     [caption id="attachment_29671" align="aligncenter" width="700"] ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช.[/caption]   ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. กล่าวถึงการดำเนินงานในการตรวจพันธุกรรมเพื่อระบุตัวเสือโคร่งว่า ทางกลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เป็นผู้เก็บตัวอย่างเลือดของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงกว่า 2,400 ตัวทั่วประเทศ และสกัดดีเอ็นส่งมาให้ทางศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สำหรับใช้จำแนกเสือ รวมทั้งยังทำการศึกษาเปรียบเทียบฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมของเสือโคร่ง ซึ่งปัจจุบันมีสายพันธุ์ย่อยทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ได้แก่ เสือโคร่งไซบีเรีย เสือโคร่งเบงกอล เสือโคร่งอินโดไชนิส เสือโคร่งสุมาตรา เสือโคร่งจีนใต้ และเสือโคร่งมลายู เพื่อเลือกเครื่องหมายโมเลกุล (molecular marker) ที่สามารถแยกความเป็นเอกลักษณ์ระหว่างเสือโคร่งแต่ละสายพันธุ์ได้     “ทีมวิจัยนำเครื่องหมายโมเลกุลที่ถูกคัดเลือกมาออกแบบสังเคราะห์ตัวตรวจจับ (probe) ซึ่งมีลักษณะเป็นดีเอ็นเอสายสั้นๆ ที่มีความจำเพาะต่อโมเลกุลเป้าหมาย จากนั้นนำไปใช้ในการตรวจหาเครื่องหมายโมเลกุลจากตัวอย่างเลือดของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงแต่ละตัว ด้วยเครื่อง SNP Genotyping MassArray เทคโนโลยีที่ใช้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมด้วยเทคนิคการวัดน้ำหนักมวล เนื่องจากในสายพันธุกรรมจะประกอบด้วยลำดับเบส 4 ตัว คือ Adenine, Cytosine, Guanine และ Thymine (A, C, G และ T) ซึ่งแต่ละตัวมีน้ำหนักมวลโมเลกุลไม่เท่ากัน จึงทำให้วิเคราะห์โมเลกุลของดีเอ็นเอที่ตรวจจับได้อย่างละเอียดและรวดเร็ว สามารถค้นพบลำดับเบสในดีเอ็นเอ หรือ “รหัสพันธุกรรมเพื่อใช้ระบุตัวเสือโคร่ง (DNA fingerprint)” ได้อย่างจำเพาะเจาะจง ไม่ต่างจากการตรวจลายนิ้วมือเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคล” ความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อระบุตัวเสือโคร่งในกรงเลี้ยงครั้งนี้ นับเป็นการบูรณาการการทำงานครั้งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลพันธุกรรม เพื่อจัดทำระบบทะเบียนประชากรของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบเสือโคร่งของกลางในคดีต่างๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันการสวมทะเบียนจากเสือโคร่งในป่าธรรมชาติ และลดปัญหาการลักลอบค้าเสือโคร่งลงได้ในอนาคต ที่สำคัญยังตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ที่เป็นวาระของชาติ โดยตั้งเป้ามุ่งพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อคุ้มครอง ป้องกัน ทรัพยากรสัตว์ป่าของประเทศไทยให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ The 2nd International Conference on Sustainable Aquaculture: Health and Disease Management (Virtual Conference)  วันที่ 17-18 มีนาคม 2565
ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ The 2nd International Conference on Sustainable Aquaculture: Health and Disease Management (Virtual Conference)  วันที่ 17-18 มีนาคม 2565 . สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ https://op.nstda.or.th/r/u3Q/m/259742 สนใจลงทะเบียนออนไลน์ได้ที่ https://www2.mtec.or.th/aqua/user/regisnow.aspx...  
ปฏิทินกิจกรรม