หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. จับมือ ส.อ.ท. และกรมโรงงานฯ ดันการวิจัยเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรม ให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ สู่การสิ้นสุดการเป็นของเสีย ตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
For English-version news, please visit : NSTDA, DIW and FTI join forces to end industrial waste วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และนายเกรียงไกร เธียรนุกุลประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาการผลักดันเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยมีมาตรฐานการควบคุมที่เหมาะสมทั้งในเชิงวิชาการความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการสิ้นสุดการเป็นของเสีย (End of Waste) ต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงและพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. โดยทีมนักวิจัยได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งการวิจัยการเพิ่มมูลค่ากากของเสียในภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร มีผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมที่หลากหลายและมีมูลค่าสูง พร้อมทีมวิจัยในการร่วม Proof Technology และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเปรียบเทียบระหว่างการนำกากของเสียไปทิ้ง ฝัง กลบ เผา กับการนำมาเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการเป็นวัตถุดิบสำหรับอีกอุตสาหกรรม ซึ่งความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงานครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันผลักดันการวิจัยและพัฒนาไปสู่เป้าหมายการใช้ประโยชน์และเป็นหนึ่งในแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี  อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม  ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือครั้งนี้ เห็นความสำคัญในการผลักดันกฎระเบียบ End of Waste ในประเทศไทย ซึ่งการดำเนินการกล่าว สอดรับกับ นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการยกระดับภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากร เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม  รวมถึงลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ โดยมุ้งเน้นกากของเสียอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ชีววัตถุ และ แร่ธาตุพื้นฐาน ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเอกชนและผู้ประกอบการ ที่มีสมาชิกทั้งอุตสาหกรรมผู้ก่อกำเนิดของเสีย (waste generator) อุตสาหกรรมรับขนส่งของเสีย (waste transporter) และอุตสาหกรรมผู้รับบำบัด กำจัดของเสีย (waste processor) และให้ความสำคัญในการนำแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนมากำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงาน ส.อ.ท. จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยน ของเสีย หรือ Circular Material Hub (CMH) สำหรับเป็นช่องทางการนำของเสียหรือวัสดุไม่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงานผ่านสตาร์ทอัพ (Startup) โดยอาศัยแนวคิดการเปลี่ยนของเสียจากอุตสาหกรรมหนึ่ง ไปสู่การเป็นวัตถุดิบหรือ Materials ให้อีกอุตสาหกรรมหนึ่ง สอดคล้องกับหลักการ End of Waste รวมถึงมีแหล่งทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation one) ที่ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำหรับให้ทุนในธีม BCG และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถสนับสนุนในการทำงานวิจัยร่วมกันเพื่อผลักดันไปสู่ End of waste ได้อย่างรวดเร็ว และเกิดความคล่องตัว ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเป็นส่วนสำคัญในการร่วมผลักดัน End of waste ของประเทศไทยได้ในทุกห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ มุ่งหวังให้เกิด 1) การนำกากของเสียอุตสาหกรรมไปเพิ่มมูลค่า ใช้ประโยชน์ สู่การใช้งานจริง ทั้งในเชิงวิชาการ กิจกรรมผลักดัน งานสัมมนา และการรวมกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง 2) การร่วมวิจัยและพัฒนาการเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรมเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเป็นวัตถุดิบในอีกอุตสาหกรรม และเกิดการต่อยอดงานวิจัยสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำและยั่งยืน 3) ร่วมพัฒนา และปฏิรูปมาตรฐาน และนำเสนอให้มีการปรับปรุง กฎระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย และการใช้วัตถุดิบทุติยภูมิ (Secondary Raw Material) รวมถึงการพัฒนามาตรฐานสำหรับวัตถุดิบทุติยภูมิเพื่อให้เกิด Circular supplies และ 4) การพัฒนาความร่วมมือ กลไกการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อให้เกิดธุรกิจที่มีการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ธุรกิจวัสดุรีไซเคิล เป็นต้น อันก่อให้เกิดมาตรฐานการยอมรับทั้งในเชิงเทคนิค ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กิจกรรมที่เกิดขึ้นแล้วจากความร่วมมือครั้งนี้ คือ การจัดงานสัมมนา End of Waste Thailand โอกาสและการผลักดันสู่ความสำเร็จเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2566 และการเตรียมดำเนินโครงการนำร่อง ต้นแบบการเพิ่มมูลค่ากากอุตสาหกรรมใน 3 กากอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โซเดียมซิลิเกตจากขี้เถ้าแกลบ Bone ash จากก้างปลาทูน่า และยิปซั่มบอร์ดจากยิปซั่มสังเคราะห์ ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้ง 3 หน่วยงาน มุ่งหวังที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดการเป็นกากอุตสาหกรรม หรือ End of Waste ที่จะนำไปสู่การเกิดอุตสาหกรรมที่นำกากของเสียมาเป็นวัตถุดิบ หรือ ผลิตภัณฑ์ อย่างแพร่หลายมีมาตรฐาน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้นำไปใช้งาน นำไปสู่สังคมที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ติวเข้ม นักเรียนทุนวิทย์ฯ จบใหม่ ประจำปี 66 เสริมแกร่ง กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศ
(วันที่ 21 กรกฎาคม 2566) ณ โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ กรุงเทพฯ : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)เป็นประธานเปิดสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2566 จัดโดยฝ่ายนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. เพื่อสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายระหว่างนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้วเตรียมความพร้อมให้นักเรียนทุนได้ทำงานภายหลังสำเร็จการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ มีทักษะและประสบการณ์ในการเป็นนักวิจัยอาชีพ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ฝ่ายนักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. จัดสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สำเร็จการศึกษา ประจำปี 2566 จำนวนประมาณ 40 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนทุนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานภายหลังสำเร็จการศึกษา โดยฝ่ายนักเรียนทุนฯ ร่วมกับ วิทยากรจากสมาคมนักวิจัยรุ่นใหม่ Thai Young Scientists Academy (TYSA) ซึ่งกลุ่ม TYSA เป็นการรวมตัวกันของนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มาร่วมมือกันสร้างเครือข่ายนักวิจัย โดยเป็นภาคีสมาชิกภายใต้การดำเนินการของ มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.) มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และแชร์ประสบการณ์การหาทุนวิจัย การสร้างตัวตนในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในบริบทของประเทศไทย ให้กับนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ฯ ภายใต้กิจกรรมการเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ในหัวข้อ “How to Establish Yourself as an Independent Researcher in Thailand” ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางในการร่วมกันสร้างเครือข่ายงานวิจัยร่วมกันในอนาคต ดร.สมบุญ กล่าวต่อว่า ฝ่ายนักเรียนทุนฯ สวทช. ได้รับมอบหมายภารกิจจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ในการทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมโยง ขับเคลื่อนภารกิจการดูแลนักเรียนทุน ซึ่งประกอบด้วยภารกิจจัดสรรทุน ให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยของประเทศ ภารกิจขออนุมัติงบประมาณสำหรับนักเรียนทุนที่เรียนอยู่ ภารกิจดูแลนักเรียนทุนที่ได้รับทุนแล้วให้สามารถเดินทางไปเรียน และเรียนจบกลับมาอย่างเรียบร้อย รวมถึงการดูแลนักเรียนทุนหลังสำเร็จการศึกษาโดยส่งเสริมการทำงาน “ที่ผ่านมาเราได้ขับเคลื่อนภารกิจไปพร้อม ๆ กัน ในการดูแลนักเรียนทุนที่กำลังเรียนอยู่ จะมีสำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องระเบียบ และจัดส่งเงินทุนให้นักเรียน ซึ่งงบประมาณที่ อว. ได้ขอทุนสนับสนุนจากรัฐบาลในแต่ละปีแสดงให้เห็นความสำคัญที่ผู้บริหารเล็งเห็นประโยชน์และการดำเนินงานโครงการทุนต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุความสำเร็จของโครงการที่ต้องการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ของกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ โครงการฯ จึงมุ่งผลิตและสร้างกำลังคนโดยส่งนักเรียนทุนไปเรียนทั้งต่างประเทศและในประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการทำงานร่วมกัน ขยายขีดความสามารถของนักเรียนทุน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนทุนให้ช่วยกันทำงานพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไป” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับ บพข. คิกออฟ 2 โครงการ เสริมแกร่งผู้ประกอบการผลักดันสู่เวทีโลก
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดประชุมเริ่มต้นโครงการ "การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก" และโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม”ภายใต้แผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDEs) ขนาดใหญ่เป็นการพัฒนาผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมให้เติบโตผ่านกลไกการสนับสนุนและเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้ให้บริการนวัตกรรมที่เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา โดยมุ่งเน้นกิจกรรมตั้งแต่การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรมและโอกาสในการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โลกในยุคปัจจุบันกำลังเคลื่อนเข้าสู่มิติใหม่ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกด้าน ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการยกระดับปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน ให้สามารถไปสู่ธุรกิจที่สร้างคุณค่า (Value-Based Business) และมีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-driven) เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความเติบโตและความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจ จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ด้วย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้สามารถต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิม ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจจากร้อยล้าน ไปสู่พันล้าน ต้องอาศัยความรู้หลากหลายมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี การตลาด การเงิน และการบริหารจัดการธุรกิจ ผนวกรวมเข้ากับการเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อผลักดันธุรกิจนวัตกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในภาพรวมได้ โครงการ "การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก" และโครงการ “แปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม” จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมไทย (IDE) ที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจนวัตกรรม ตั้งแต่การประเมินศักยภาพด้านนวัตกรรม ประเมินสถานภาพความพร้อมในการส่งออก การเข้าถึงตลาดในประเทศและต่างประเทศ การเชื่อมโยงธุรกิจและการให้คำปรึกษาเชิงลึกรายบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมให้สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความเข้มแข็ง สามารถสร้างรายได้และส่งผลกับการเติบโตของบริษัทได้อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูงภายในปี 2579 และการสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ให้เพิ่มขึ้น 1,000 ราย ภายในปี 2570 ตามเป้าหมายประเทศ รองผู้อำนวยการ กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช. มีกลไกการสนับสนุนผู้ประกอบการให้ครอบคลุมในหลากหลายด้าน ตั้งแต่กระบวนการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ กระบวนการผลิตใหม่ การตั้งธุรกิจใหม่ การใช้บริการจากการนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันก่อให้เกิดการบริการแบบใหม่และการแก้ปัญหาใหม่ (Total solution) ที่มี ความโดดเด่น มีเอกลักษณ์และมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) จากผลิตภัณฑ์กระบวนการ บริการและรูปแบบธุรกิจแบบเดิม โดยทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรมของ สวทช. ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช.กล่าวว่า ประโยชน์จากการที่ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ คือการนำนวัตกรรมมาใช้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร และประเทศในภาพรวม เช่น สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สามารถสร้างธุรกิจได้จากงานวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับผู้ประกอบการไทยสู่การเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ สร้างความร่วมมือเพื่อแบ่งปันและต่อยอดองค์ความรู้ระหว่างผู้ประกอบการในห่วงโซ่คุณค่าในรูปแบบของนวัตกรรมแบบเปิด ช่วยให้ระยะเวลาของการพัฒนานวัตกรรมให้รวดเร็วขึ้น สามารถลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านเทคโนโลยีรวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือและร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมาจากการกำหนดโจทย์นวัตกรรมจากความต้องการจริง เป็นการปรับตัวเพื่อให้พร้อมรับมือกับการแข่งขันที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ดำเนินการธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม จนทำให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ เชื่อมโยงและบูรณาการความร่วมมือภายใต้บริบทใหม่ของระบบนิเวศนวัตกรรมของท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศได้ “ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดยฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) ซึ่งมีประสบการณ์การวิเคราะห์ความต้องการของผู้ประกอบการโดยผู้เชี่ยวชาญ กว่า 18,000 ราย มีการให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านพัฒนาเทคโนโลยีของ SMEs กว่า 13,000 ราย และ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี  (BIC) ซึ่งมีประสบการณ์การวิเคราะห์ Business Model มาแล้วกว่า  3,000 Model บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี มาแล้วกว่า 1,300 ราย นับว่ามีความพร้อมอย่างที่สุดในการดำเนินโครงการภายใต้แผนงานพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยทีมงานที่มีทักษะสูง มีที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญที่จะเข้าไปช่วยวิเคราะห์ว่าสิ่งใดคือปัจจัยหลักของธุรกิจนั้น มีนักวินิจฉัยธุรกิจเข้าไปประเมินสถานภาพของกิจการให้รู้จุดแข็ง จุดอ่อนที่แท้จริงของบริษัท จึงสามารถปิดช่องว่างและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการได้ตรงจุด ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายของโครงการ อีกทั้ง ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ยังมีเครือข่ายและพันธมิตรด้านการบ่มเพาะทั้งในเอเชีย ยุโรปและ อเมริกา ดังที่ผ่านมาได้นำ Startup ไทยออกสู่ตลาดสากลและจดทะเบียนขยายบริษัทไปยังประเทศต่าง ๆ ได้ โดยทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย นวัตกรรม และกลไกของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”ดร.อดิสร กล่าวทิ้งท้าย กิจกรรมภายในงานมีการบรรยายพิเศษเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อยกระดับ SMEs สู่การเป็นธุรกิจฐานนวัตกรรม โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในหัวข้อ “ยกระดับ SMEs สู่บริษัทฐานนวัตกรรม 1,000 ล้าน x 1,000 ราย” ดร.จันทร์ฉาย พิทักษ์อรรณพ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้า EXIM BANK บรรยายเรื่อง “ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม กุญแจความสำเร็จสู่ตลาดโลก” และบรรยายพิเศษโดยคุณ Clarence Tan กรรมการผู้จัดการบริษัท ORIGGIN Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ในหัวข้อ “Speed up your business growth to global market” ทางด้านโครงการ “การสร้างการเติบโตของธุรกิจฐานนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยในตลาดระดับชาติและระดับโลก” ดร.ณัฐกา สิงหวิลัย รองผู้อำนวยการ ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สวทช. ได้ชี้แจงกิจกรรมและแผนงานโครงการให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจและการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมร่วมแนะนำรายละเอียดการจัดกิจกรรมในโครงการให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการต่อไป และโครงการแปลงร่างธุรกิจสู่การเติบโตสูงด้วยนวัตกรรม นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) แนะนำกิจกรรมให้แก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดแผนการดำเนินงาน และข้อปฏิบัติในโครงการ พร้อมทั้งเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเชิงนวัตกรรม ร่วมให้คำแนะนำให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเตรียมความพร้อมในการายกระดับธุรกิจจากร้อยล้านสู่พันล้าน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึกพลัง TCELS – วว. จัดกิจกรรมติดอาวุธผู้ประกอบการไทยกลุ่มเวชสำอาง/สมุนไพร กรุยทางเปิดตลาดต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566  ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย วว. จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะด้านการเจรจาธุรกิจ Business Pitching ให้กับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มเวชสำอาง/สมุนไพร เพื่อเสริมสร้างทักษะการเจรจาธุรกิจ เรียนรู้กระบวนการเจรจาต่อรอง และวิธีนำเสนอสินค้า/บริการแก่นักลงทุน เพื่อต่อยอดการสร้างความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร ให้เกียรติกล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “Perfect Pitch เจรจาธุรกิจอย่างไรให้ได้งาน ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเวชสำอางและสมุนไพรสู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566  หรือ Cosmeceutical and Herbal Innovation with Business Link 2023 (CIB2023) โดยโครงการจะคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อเข้าร่วมการบ่มเพาะ เรียนรู้และฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ ที่สำคัญ/จำเป็นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน คุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ให้มีความพร้อมมากที่สุดสำหรับการต่อยอดในเชิงธุรกิจสู่ตลาดสากล โอกาสนี้ ดร.พัชราภรณ์ วงษา ผู้อำนวยการโปรแกรมบริหารโภชนเภสัชภัณฑ์และเวชสำอาง TCELS พร้อมด้วยผู้บริหารจาก วว. ได้แก่นายจิรวัฒน์ วัฒนบุตร ผู้อำนวยการกองบริการธุรกิจนวัตกรรม และ ดร.ธัญชนก เมืองมั่น นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือก 6 บริษัท เข้าร่วมกิจกรรมด้วย โดยในกิจกรรมได้มีการบรรยายให้ความรู้ และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อทางด้านการพัฒนาทักษะด้านการเจรจาธุรกิจ เช่น Pitching Model Canvas,  PROFESSIONALITY for Pitcher, Sales Pitching รวมถึง ทักษะในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Voice Communication) และทักษะการพัฒนาบุคลิกภาพให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเร่งผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางหรือเวชสำอาง สารสกัดและผลิตภัณฑ์สมุนไพร  ให้สามารถขยายตลาดไปสู่ระดับนานาชาติได้ รวมถึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สารสกัดสมุนไพรไทยได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสินค้าและบริการมีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วยจากโปรตีนพืช เนื้อสัมผัสแน่นหนึบ ได้ประโยชน์เต็มคำ
  ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อหมูและเนื้อไก่มีวางจำหน่ายในตลาดค่อนข้างหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้รับประทาน แต่สำหรับ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช’ ที่หลายคนชื่นชอบกลับยังไม่มีให้เห็นมากนัก สาเหตุสำคัญมาจากความยากในการผลิตให้ได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง การพัฒนา Plant-based seafood จึงยังเป็นโจทย์ที่ท้าท้าย น่าจับตา และมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา ‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ผลิตภัณฑ์ใหม่ในสายการผลิตเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช มุ่งตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกลุ่มผู้แพ้อาหารทะเล   [caption id="attachment_44759" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงที่มาการผลิต ‘Ve-Sea’ ว่า หลังจากทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เอกชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารทะเลอย่างหมึกและกุ้งต่อ เพราะเป็นกลุ่มนวัตกรรมอาหารที่มีความต้องการสูง โดยจากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าในช่วงปี 2564-2565 ตลาด Plant-based seafood มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 14 และประมาณการณ์ว่าในช่วงปี 2565-2572 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.5 อย่างไรก็ตามด้วยความยากในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนในตลาดเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจค่อนข้างสูง “ผลจากการทุ่มเทแรงเป็นเวลากว่า 10 เดือน ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช ทั้งปลา หมึก และกุ้ง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารที่อาศัยความรู้ทั้งทางด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหารซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย ประกอบกับการใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของวัตถุดิบแต่ละชนิดมาเลือกใช้และผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน ทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในนาม ‘Ve-Sea’ เรียบร้อยแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสใกล้เคียงของจริง อีกทั้งยังมีปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ใช้เนื้อปลาเป็นส่วนประกอบด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อหมึกจากโปรตีนพืชคาดว่าจะเปิดตัวและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในปี 2567”     ปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ ใส่ก๋วยเตี๋ยว จะเมนูไหนก็ทำง่าย อร่อย และดีต่อสุขภาพ คือ จุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ที่ทีมวิจัยอยากให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศได้ลิ้มลอง ดร.กมลวรรณ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ทั้ง 3 ชนิดพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว 2 สูตร สูตรแรกคือปราศจากกลูเตน (Gluten free) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในกลุ่มที่แพ้กลูเตนซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรปและอเมริกา โดยสูตรนี้ใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบร้อยละ 4-8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ ซึ่งเทียบเท่าหรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อปลาทั่วไปในท้องตลาด อีกสูตรหนึ่งคือสูตรที่มีกลูเตนสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ผลิตภัณฑ์ โดยมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัสมีความแน่นและเด้งมากกว่าอีกสูตร “นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 สูตรยังมีจุดเด่นคือปราศจากคอเลสเตอรอล ทำให้ Ve-Sea เหมาะแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน ส่วนทางด้านเนื้อสัมผัสของทั้ง 2 สูตร ทีมวิจัยได้ออกแบบให้เชฟสามารถนำ Ve-Sea ไปรังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่าง ๆ ทดแทนผลิตภัณฑ์จากเนื้อปลาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ หรือใส่ก๋วยเตี๋ยว ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความสุขกับการลิ้มรสเมนูอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ชื่นชอบดังเดิม แต่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ไม่ได้เพียงมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญถึงโอกาสทางการตลาดของผู้ประกอบการที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย จากจุดเด่นที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการทำธุรกิจได้สะดวกทั้งรูปแบบ B2B (Business-to-business) และ B2C (Business-to-consumer) และทั้งเพื่อกลุ่มเป้าหมายภายในและต่างประเทศ”     นอกจากการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่เอกชนแล้ว อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมวิจัยคือการมีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (Novel food) รวมถึงบริการทดสอบคุณภาพ ในนาม FoodSERP สวทช. ดร.กมลวรรณ เล่าถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. “ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะอย่างผู้สูงอายุและผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร อาทิ ความแข็ง ความหนืด และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMagc) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัยเอ็มเทคร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea และ Ve-Chick ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
International Online Seminar On Genomics and Molecular Epidemiology of Antimicrobial Resistance in ASEAN and Pacific Rim
Announcement International Online Seminar On Genomics and Molecular Epidemiology of Antimicrobial Resistance in ASEAN and the Pacific Rim The seminar will take place on 8 September 2023 on the WebEx platform, from 8:00 – 16:30 ICT. Registration required, NO registration fee. Organized by Professor Pornchai Matangkasombut Center for Microbial Genomics (CENMIG), Mahidol University National Science and Technology Development Agency (NSTDA), Thailand Centre for Research in Infectious Diseases and Biotechnology (CeRIDB), Universiti Sultan Zainal Abidin (UniSZA), Terengganu, Malaysia.   The seminar recording is now available for viewing. You can access it here: Morning session: https://youtu.be/EyfPTTihj5c Afternoon session: https://youtu.be/-kJ2nWJvH08 Please feel free to review and share the seminar content at your convenience. Your commitment to learning will be greatly appreciated.   Seminar Overview Antimicrobial resistance is an increasing health problem worldwide with the mortality expected to be higher than Covid19 at its peak, especially in Asia. The advancement of genome sequencing technology and others provides an opportunity to explore novel possible solutions to this urgent problem. Various efforts have been embarked on by several institutes, mostly independently. This seminar is organized for people interested in the topic to share their experiences and information, hoping to promote concerted and collaborative endeavors. This seminar is to be held as part of the “Asia-Pacific One Health Initiative on AMR (ASPIRE)” Working Group on Research and Development. ASPIRE was established at the 2016 Tokyo Meeting of Health Ministers on Antimicrobial Resistance in Asia under the aegis of the Ministry of Health, Labour and Welfare of Japan.     Seminar program https://sharebox.nstda.or.th/d/74640265 To learn more about the speakers, please visit: https://sharebox.nstda.or.th/d/74640265 Get started with Webex online meeting for seminar attendees! https://sharebox.nstda.or.th/d/44f3538c   For more information, please contact Miss Sasithorn Pongsamrangun National Science and Technology Development Agency (NSTDA) Email: sasithorn.pon@nstda.or.th  
ปฏิทินกิจกรรม
 
เตือนระวังเห็ดพิษ ! ภัยร้ายหน้าฝน
นักวิจัย สวทช. เตือนระวัง #เห็ดพิษ ! ภัยร้ายหน้าฝน อันตรายถึงชีวิต ถ้าไม่ชัวร์ ไม่เชี่ยวชาญ อย่าชิมเด็ดขาด
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ไบโอเทค สวทช. มุ่งมั่นวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย กว่า 20 ปี หนุนอุตฯ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย หวังเป็นผู้นำส่งออกสัตว์น้ำโลกได้อีกครั้ง
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA and its mission in algal biotechnology development to boost Thai aquaculture industry ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่ายมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี มีหน่วยวิจัยเฉพาะด้าน ได้แก่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ซึ่งร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาการนำส่งสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงทางการกินช่วยแก้ไขปัญหาโรคในกุ้งและสัตว์น้ำอื่น และทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนาชีววิทยาระบบของสาหร่ายครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการเพาะเลี้ยง การสกัดสารสำคัญ และการเพิ่มมูลค่า ทั้งหมดล้วนเพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture) ให้เกิดความยั่งยืน ลดพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ สร้างจุดแข็งการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย หวังกลับมาเป็นผู้ส่งออกสัตว์น้ำแถวหน้าของโลกได้อีกครั้ง ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค สวทช. ที่มีความร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้ง ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ม.มหิดล และไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกันสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงกุ้งเศรษฐกิจ เกิดเป็น “หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง (Centex Shrimp)” เพื่อพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องโรคกุ้งและโรคในสัตว์น้ำชนิดอื่น โดยงานวิจัยด้านสาหร่ายที่พัฒนาคือ เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมของสาหร่ายเซลล์เดียวให้สามารถสร้างชีวโมเลกุลอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านโรคอย่างมีประสิทธิภาพและจำเพาะเจาะจง รวมถึงมีคุณลักษณะในการสังเคราะห์อาหารด้วยแสงเป็นตัวคัดเลือกสาหร่ายที่ได้รับการดัดแปลง แทนที่จะใช้ยีนต้านยาปฏิชีวนะอย่างในระบบการดัดแปลงพันธุกรรมดั้งเดิมที่ใช้กันซึ่งสร้างความกังวลแก่การนำไปใช้จริง โดยสาหร่ายเซลล์เดียวนี้ทำให้การใช้จุลชีพดัดแปลงในอุตสาหกรรมเลี้ยงกุ้งมีความเป็นไปได้มากขึ้น เนื่องจากการระบาดของโรคไวรัสยังเกิดขึ้นต่อเนื่องและยังไม่มีเทคโนโลยีชีวภาพใดช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับฟาร์ม โดยสารชีวโมเลกุลที่ทีมได้วิจัยขึ้นพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งโรคไวรัส ได้แก่ อาร์เอ็นสายคู่ที่จำเพาะต่อสารพันธุกรรมของไวรัส ซึ่งจะยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสผ่านกระบวนการอาร์เอ็นเออินเตอร์เฟียแรนซ์ สามารถนำส่งสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงทางการกิน ทำให้เกิดความสะดวกในการนำส่งอาร์เอ็นเอสายคู่ ลดขั้นตอนทำบริสุทธิ์ และยังทำให้สัตว์น้ำได้รับสารอาหารเพิ่มเติมจากสารชีวโมเลกุลที่มีอยู่แล้วด้วย จากผลวิจัย พบว่า สามารถป้องกันการตายจากโรคตัวแดงดวงขาวได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ได้กินสาหร่ายสายพันธุ์ดั้งเดิมที่อัตราตายเกือบ 100% นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยซื้อเวลาให้กับเกษตรกรในการกอบกู้สถานการณ์ แก้ไขปัญหาหน้าฟาร์ม เพื่อลดความรุนแรงของโรคไวรัส และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น “เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียว ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การใช้เพื่อผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ แต่ยังขยายผลใช้ผลิตสารชีวโมเลกุลชนิดอื่น ๆ ได้ เช่น โปรตีนเพื่อพัฒนาเป็นซับยูนิตวัคซีนแบบกิน โปรตีนที่ช่วยเพิ่มการเติบโตของสัตว์น้ำ และเปบไทด์สายสั้นที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีฤทธิ์ทางชีวภาพ เพื่อเป็นอาหารเสริมฟังก์ชั่นให้แก่สัตว์น้ำ โดยนอกจากผงสาหร่ายเซลล์เดียวดัดแปลงที่พัฒนาขึ้น ทีมวิจัยยังมีระบบการผลิตสารชีวโมเลกุลที่พร้อมให้ประยุกต์ใช้เพื่อผลิตสารชีวโมเลกุลตามโจทย์ความต้องการเกษตรกรในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในประเทศไทยและศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลก โดยในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาของทีมวิจัยได้สร้างผลกระทบในหลายภาคส่วน ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่มีการนำผลงานวิจัยและองค์ความรู้ไปใช้ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง และมีเอกชนด้านอาหารและเวชภัณฑ์นำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในด้านสังคมเกิดการนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในกลุ่มเกษตรผู้เพาะเลี้ยง และในด้านวิชาการมีการต่อยอดผลงานวิจัยจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศ มีจำนวนอ้างอิงผลงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทีมวิจัยหวังว่า วันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีชีวภาพของสาหร่ายเซลล์เดียวจะเป็นกลไกหนึ่งที่มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฟาร์ม ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกสัตว์น้ำได้อีกครั้ง” ดร.วรรณวิมล กล่าว ทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. ที่มีความร่วมมือกับ มจธ. ดร.อภิรดี หงส์ทอง หัวหน้าทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. กับ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เริ่มมาตั้งแต่ปี 2530 ด้วยโครงการ “การนำน้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลังมาเป็นแหล่งอาหารเพื่อใช้เลี้ยงสาหร่ายสไปรูลิน่า” เกิดเป็นการจัดตั้ง “กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย (Algal Biotechnology)” ที่ดำเนินงานโดยทีมอาจารย์นักวิจัย มจธ. และนักวิจัยไบโอเทค โดยงานวิจัยและพัฒนาของกลุ่มวิจัย เน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การเพาะเลี้ยง (Mass Cultivation) มุ่งเน้นให้ได้ผลผลิตและประโยชน์จากผลผลิตมากที่สุด มีงานวิจัยถึงผลของปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่อการเจริญของสาหร่ายสไปรูลิน่า การพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์ การพัฒนาสูตรอาหาร และการศึกษาด้านการจำลองทางคณิตศาสตร์ของระบบเพาะเลี้ยง โดยได้พัฒนาระบบการเพาะเลี้ยง ตั้งแต่ห้องแล็บจนระดับอุตสาหกรรม บ่อระบบเพาะเลี้ยงนอกอาคาร ซึ่งการศึกษาเริ่มที่สไปรูลิน่า รวมไปถึงสาหร่ายขนาดเล็กอื่นๆ และยังเป็นศูนย์ฝึกอบรมระบบการเพาะเลี้ยงแก่ภาคเอกชนและฟาร์มที่จะเลี้ยงสาหร่ายด้วย 2) สารเคมีมูลค่าสูง (High Value Chemicals) โดยศึกษาวิจัยสภาวะการเลี้ยง อิทธิพลของปัจจัยแวดล้อมต่อการสร้างสารต่าง ๆ ในสไปรูลิน่า การสกัดสารเคมีมูลค่าสูง เช่น ลิปิด กรดไขมันโอเมก้า3 ไฟโคไซยานิน และโพลีแซคคาไรด์จากสไปรูลิน่า รวมถึงศึกษาคุณสมบัติการเป็นสารออกฤทธิ์ชีวภาพ (Bioactive compound) ของสารต่าง ๆ ในสไปรูลิน่า งานด้านนี้จะเน้นเรื่องการสกัดสารสำคัญจากสาหร่ายสไปรูลิน่า เช่น ไฟโคไซยานินที่เป็นสารสีน้ำเงิน ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึงกิโลกรัมละ 14,000 บาท และมีบทความวิจัยที่แสดงการนำไปใช้ในทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ด้วย โดยกลุ่มวิจัยศึกษาถึงกระบวนการสกัดและขยายการผลิตให้มีต้นทุนต่ำลง 3) การศึกษาด้านชีวโมเลกุล (Molecular biology) มุ่งเน้นให้เกิดความรู้ความเข้าใจระดับชีวโมเลกุลของสาหร่ายสไปรูลิน่า รวมถึงกลไกการควบคุม และการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ชีวภาพ (Bioactive compound) โดยเป็นการศึกษาระดับเซลล์ เช่น สภาวะ stress response (การตอบสนองต่อความเครียดของเซลล์) ช่วงเวลาและปัจจัยการเลี้ยงที่มีผลต่อการสร้างสารเป้าหมาย เป็นต้น ซึ่งล้วนมีผลต่อการสร้างสารสำคัญของสาหร่าย นอกจากนั้นมีการพัฒนาระบบการถ่ายทอดยีนเข้าไปในสาหร่ายสไปรูลิน่า เพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตสารเป้าหมาย รวมถึงวิจัยต่อยอดในเรื่องการสกัดโปรตีนจากสาหร่าย เพื่อผลิตเปปไทด์ออกฤทธิ์ต้านทานเชื้อโรค ใช้เป็นอาหารเสริมให้ลูกกุ้งขาววัยอ่อน และใช้สาหร่ายเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกด้วย “กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย มีองค์ความรู้ (knowledge) และความชำนาญ (know-how) ในเรื่องชีววิทยาระบบ (system biology) เป็นอย่างดี งานวิจัยครบวงจร ตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การสกัดหรือดึงสารสำคัญของสาหร่ายออกมาใช้ประโยชน์ และการเพิ่มมูลค่าโดยเฉพาะต่อยอดให้เกิดเป็นเปปไทด์ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive peptide) ต่าง ๆ รวมทั้งวิเคราะห์ Bioactive peptide ชนิดต่าง ๆ ด้วย AI-based Platform ชื่อ SmartBioPep ที่ทางกลุ่มวิจัยได้พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งการดำเนินงานใน 3 แนวทางข้างต้นสามารถนำไปปรับใช้กับการศึกษาในสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงสาหร่ายสไปรูลิน่าได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาทางกลุ่มวิจัยได้มีการทำงานร่วมกับภาคเอกชนที่เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศในการศึกษาวิจัยเชิงลึก มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง และการออกแบบระบบ รวมถึงกระบวนการสกัดสารเคมีมูลค่าสูงจากสาหร่ายสไปรูลิน่าให้แก่ภาคเอกชนที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เกิดเป็นเครือข่ายระหว่างกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ อันจะนำไปสู่การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และผลิตงานวิจัยได้ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่ายของกลุ่มวิจัยต่อไป” ดร.อภิรดี กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สดนาน! ยืดอายุน้ำมะนาว ด้วยกระบวนการ “นาโนเทคโนโลยี”
สวทช. จัดกิจกรรม NSTDA Meets The Press นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ จ.ลำปาง และ จ.เชียงใหม่ ไปพบปะกับเกษตรกรผู้ปลูกมะนาว และผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ "มะนีมะนาว" พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตน้ำมะนาวคั้นสด ที่มีคุณสมบัติคงสภาพความสดใหม่ได้นาน ด้วยกระบวนการแช่เยือกแข็งพิเศษ ซึ่งออกแบบและพัฒนากระบวนการโดยนักวิจัยนาโนเทค สวทช.   สำหรับ "มะนีมะนาว" เป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีระดับนาโนไปพัฒนากระบวนการแปรรูปและยืดอายุผลผลิตทางการเกษตร นับเป็นตัวอย่างของการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG  และใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ FoodSERP ของ สวทช. ที่พร้อมนำองค์ความรู้ด้านต่างๆ ไปช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ตลาดและผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. – วช. ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ระดมสมอง วางกลไกด้านจริยธรรมของประชาคมวิจัยไทย
For English-version news, please visit : NSTDA-NRCT seminar aims to foster research integrity in Thailand (วันที่ 14 กรกฎาคม 2566) ณ ห้องแมจิก 3 ชั้น 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดประชุมเสวนาเรื่อง “เครือข่ายพันธมิตรภารกิจ Research Integrity” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานด้านจริยธรรมการวิจัยในหน่วยงานของแต่ละสถาบัน ร่วมกันวางกลไกการป้องกันการประพฤติมิชอบทางการวิจัยของประชาคมวิจัยให้กับประเทศ และทิศทางการดำเนินงานร่วมกันในอนาคต รวมถึงแบ่งปันความรู้ ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมในการทำวิจัยที่ดี โดยมีอธิการบดี ผู้บริหาร ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้าร่วมงาน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จริยธรรมการวิจัย หรือ Research Integrity เป็นเรื่องที่สถาบันการศึกษา สถาบันการวิจัย และองค์กรที่ดำเนินงานเกี่ยวข้องกับงานวิจัยทั่วโลกล้วนให้ความสำคัญ เนื่องจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักเรื่องจริยธรรมการวิจัย จะนำไปสู่การประพฤติมิชอบทางการวิจัย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อวงการวิชาการเป็นอย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบันเราอาจพบปัญหาการกระทำผิดจริยธรรมการวิจัยในรูปแบบใหม่ ๆ ที่นักวิจัยสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น เช่น การซื้อขายชื่อผู้นิพนธ์ หรือการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยในกระบวนการทำวิจัยในลักษณะที่ไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย เป็นต้น ทั้งนี้ สวทช. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยและพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเป็นไปตามแนวทางจริยธรรมการวิจัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีการสร้างระบบการจัดการเรื่องจริยธรรมการวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น การริเริ่มจัดตั้งฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย (The Office of Research Integrity: ORI) เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมการวิจัยในด้านต่าง ๆ ของหน่วยงานให้ถูกต้อง สอดคล้องตามหลักจริยธรรมการวิจัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้มีส่วนร่วมทำหน้าที่ในคณะกรรมการส่งเสริม และสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยของประเทศ (Thailand Research Integrity Network: TH-RIN) ซึ่ง สวทช. จะช่วยบริหารจัดการการดำเนินงานต่าง ๆ ของคณะกรรมการ TH-RIN และช่วยสร้างความตระหนักด้านจริยธรรมการวิจัยของประเทศในระยะแรก ก่อนที่จะส่งผ่านภารกิจนี้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดำเนินการจัดการและดูแลเรื่องจริยธรรมการวิจัยของประเทศต่อไป ในโอกาสนี้ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในฐานะเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมนี้ ได้บรรยายในหัวข้อ “บทบาทของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติกับการพัฒนาเครือข่ายพันธมิตร TH-RIN: Thailand Research Integrity Network” กล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีพันธกิจตาม พระราชบัญญัติบริหารราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการจัดทำ มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย มุ่งที่ จะสร้างความเข้มแข็งด้านมาตรฐาน การวิจัยและนวัตกรรมให้กับประเทศ มีกลไกที่สนับสนุนการดำเนินงานด้าน มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย ได้แก่จัดทำคู่มือ “จรรยาวิชาชีพวิจัยและ แนวทางปฏิบัติ” และ “คู่มือมาตรฐาน การเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทาง วิชาการ” การจัดฝึกอบรมจรรยาบรรณ วิชาชีพวิจัยให้แก่นักวิจัย สถาบันวิจัย และผู้สนใจทั่วไป และเผยแพร่บนเว็บไซต์สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ จัดทำหลักสูตรเรียนรู้ออนไลน์ เรื่อง มาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย และ อยู่ระหว่างพัฒนาเครือข่ายและ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย ด้าน จริยธรรมการวิจัย “การจัดการประชุมในวันนี้ จะช่วยสร้างความตระหนัก และเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน ของ หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่อง จริยธรรมการวิจัยทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การร่วม วิเคราะห์ วางแผน ปรับปรุงกลยุทธ์การ ดำเนินงาน และพัฒนาการกำกับดูแล ด้านจริยธรรมการวิจัยของประชาคม วิจัยให้กับประเทศต่อไป ตลอดจนขยายเครือข่ายความร่วมมือด้าน จริยธรรมการวิจัยในระดับประเทศและระดับนานาชาติ” ดร.วิภารัตน์ กล่าว นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ประธานคณะกรรมการส่งเสริม และสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยของประเทศ ได้นำเสนอ (ร่าง) หลักจริยธรรมการวิจัย และการนำไปใช้ในประเทศไทย โดยได้เชิญผู้บริหาร ผู้แทนเครือข่ายพันธมิตรภารกิจ Research Integrity Network จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทั่วประเทศ ตลอดจนนักวิจัย และผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการวิจัย ร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ(ผ่านระบบออนไลน์) ต่อ (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัย: การนำมาใช้ในประเทศไทย (Principles of research ethics: application to Thailand) เพื่อนำความคิดเห็นและประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบการพิจารณารับรอง (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัยฯ ในการประชุม “เครือข่ายพันธมิตร ภารกิจ Research Integrity” ต่อไป   ลิงก์สำหรับดาวน์โหลด (ร่าง) หลักการจริยธรรมการวิจัยฯ: https://drive.google.com/file/d/1CLkCatGrvLa-xZQVST5mH7gCxAF8sTG4/view?usp=sharing
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ HUTCHINSON Japan ร่วมวิจัยระบบรางและการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่  
For English-version news, please visit : NSTDA and Hutchinson Japan establish research collaboration in rail and modern transport วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ Mr. Frederic LE DU Senior Vice President Asia, Representative of Director of Hutchinson Japan Co., Ltd. ร่วมลงนามข้อตกลงรักษาความลับระหว่างกัน (Mutual Non-Disclosure Agreement) เพื่อร่วมวิจัยทางด้านระบบรางและการพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ โดยมี ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และ Mr. Alexandre ORSOLINI, Director of Hutchinson Hiroshima Kasei Sealing (Thailand) Co., Ltd. เป็นพยานและร่วมพิธีลงนาม ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการดำเนินงานระหว่างศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Rail and Modern Transport Research Center:RMT) สวทช. และ HUTCHINSON Japan ในระยะแรกจะร่วมดำเนินงาน 2 โครงการ ได้แก่  (1) Correlation between vibration force and changing mechanical behavior และ     (2) Elastic waves-based structural health monitoring using sensor array network for train's structure failure prevention  โดยใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีเซนเซอร์ของ HUTCHINSON
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ประกาศผล ‘ทีมกาแล็กติก 4’ คว้ารางวัลชนะเลิศ ‘คิโบะ โรบ็อต โปรแกรมมิง ชาเลนจ์ ครั้งที่ 4’ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์ระดับนานาชาติ ตุลาคมนี้
  (12 กรกฎาคม 2566) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ประกาศผลการแข่งขัน “โครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge” โดยทีมกาแล็กติก 4 (Galactic 4) คว้ารางวัลชนะเลิศของการแข่งขัน ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติผ่านทางออนไลน์ ในภารกิจแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศแอสโตรบี (Astrobee) ที่ปฏิบัติงานอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ให้ปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย โดยจะถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม 2566 นี้   [caption id="attachment_44748" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ บริษัทเดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัทเอ็นบีสเปซ จำกัด ร่วมกันจัดแข่งขันโครงการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge เพื่อพัฒนาขีดความรู้ความสามารถด้านสเต็มศึกษาของเยาวชนไทย ซึ่ง สวทช. เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทย ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยใช้ภารกิจการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในระบบจำลองหรือ Simulation ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee เพื่อแก้ไขสถานการณ์แอมโมเนียรั่วไหลภายในสถานีอวกาศ โดยคัดเลือกผู้ชนะเพียง 1 ทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดจาก 182 ทีมทั่วประเทศที่สมัครเข้าร่วมโครงการ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติต่อไป “ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมชนะเลิศได้แก่ ทีมกาแล็กติก4 (Galactic4) จากสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีสมาชิก 4 คน ประกอบด้วย นายณัฐวินทร์ แย้มประเสริฐ นายเดชาธร ดาศรี    นายกษิดิศ ศานต์รักษ์ และนายชีวานนท์ ชุลีคร ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ในรายการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge ร่วมกับตัวแทนเยาวชนอีก 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2566” ดร.จุฬารัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีมสเปซเพนกวิน (Space Penguin) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีมจีดับเบิลยูอาร์ทีม (GWR Team) จากสถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และรางวัลทีมนำเสนอดีเด่น ได้แก่ ทีมยูเมะ (Yume) จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม)   [caption id="attachment_44749" align="aligncenter" width="450"] ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.[/caption]   ด้าน ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. กล่าวเสริมว่า ในปีนี้มีเยาวชนสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 182 ทีม เป็นจำนวนที่สูงมากที่สุดในบรรดาประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสนใจของเยาวชนไทยที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าร่วมกิจกรรม โดยแบ่งออกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 18 ทีม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 130 ทีม ระดับมหาวิทยาลัย จำนวน 34 ทีม ซึ่งประสบการณ์จากการเขียนโปรแกรมครั้งนี้ จะทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ อย่างบูรณาการ ทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และยังได้พัฒนาทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 อาทิ การคิดวิเคราะห์และการทำงานร่วมกันเป็นทีม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้และประสบการณ์ที่เยาวชนได้รับจากการแข่งขันครั้งนี้ จะมีส่วนส่งเสริมต่อยอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพมาช่วยพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต   [caption id="attachment_44755" align="aligncenter" width="700"] นายทาเคฮิโระ นากามูระ (Takehiro Nakamura) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ[/caption]   นายทาเคฮิโระ นากามูระ (Takehiro Nakamura) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ  กล่าวชื่นชมและแสดงความยินดีแก่เยาวชนไทยผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันทั้ง 182 ทีมว่า “รู้สึกประทับใจในการตอบรับการเข้าร่วมการแข่งขันจากทุกทีมเป็นอย่างยิ่ง ตลอดระยะเวลาหลายเดือนของการพัฒนาโปรแกรมเพื่อการแข่งขันได้เห็นถึงความตั้งใจของทุก ๆ ทีม ในการจะพัฒนาโค้ดเพื่อเอาชนะโจทย์การแข่งขันให้ดีที่สุด ภายใต้แนวคิดการทำงานจริงบนสถานีอวกาศ ขอแสดงความยินดีกับทุก ๆ ทีมที่ได้รับรางวัล และขอต้อนรับทีมผู้ชนะเลิศสู่การแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติที่จะถ่ายทอดสดมาจากศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น หวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาผลงานและการทำงานในอนาคตต่อไป”     สำหรับทีมตัวแทนประเทศไทยจะได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ The 4th Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์นานาชาติผ่านทางออนไลน์ โดยถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคมนี้ ผ่านช่องยูทูบของแจ็กซา ทั้งนี้เยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนจะสื่อสารตรงไปที่สถานีอวกาศนานาชาติซึ่งมีนักบินอวกาศเป็นผู้ควบคุมการแข่งขันและได้สัมผัสกับศูนย์อวกาศสึกุบะซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสถานที่หลักสำหรับปฏิบัติการโครงการวิจัยอวกาศของญี่ปุ่น และฝึกฝนนักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานีอวกาศนานาชาติ ผู้สนใจติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการ Kibo Robot Programming Challenge ครั้งที่ 4 ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation หรือเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education     เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ