ผลการค้นหา :

สวทช. เปิดสมัครการฝึกอบรมหลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) จัดอบรมหลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA) (ภาคปฏิบัติ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง และผู้สนใจ ได้ฝึกปฏิบัติจากสถานการณ์สมมติ และนำเอากรณีปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจของผู้เข้าร่วม สัมมนา มาฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำจากสาเหตุเดิมอีกต่อไป
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตรการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนหลักการและเหตุผล (Root Cause Analysis on Development of Sustainable Business : RCA) (ภาคปฏิบัติ) ระหว่างวันที่ 4 – 5 กรกฎาคม 2565 เวลา 09.00-16.00 น. สามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.career4future.com/rca หรือ (คุณทศวัชร์) เบอร์โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81905 โทรศัพท์มือถือ : 08 7114 6806 โทรสาร : 0 2644 8110 E-MAIL : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. เปิดสมัครการฝึกอบรม หลักสูตรการสร้างและบริหารผลิตภาพ เพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ(Productivity Management Course : PMC) “ฝ่าวิกฤติอุตสาหกรรม ด้วยองค์กรผลิตภาพ”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) ได้ให้ความสำคัญถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่นับวันก็ยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อย ๆ การที่จะทำให้องค์กรสามารถผ่านพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นความท้าทายของผู้บริหารที่ต้องรีบดำเนินการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาอย่างไม่หยุด การบริหารองค์กรให้อยู่รอด สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ผลิตภาพ (Productivity] เพราะจะทำให้องค์กรสามารถเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ซึ่งหลายองค์กรรู้และเล็งเห็นถึงความสำคัญเป็นอย่างดี และพยายามทำให้เกิดขึ้น แต่ก็ปรากฏว่าเมื่อดำเนินการได้ระยะหนึ่ง กลับพบว่าไม่สามารถทำให้กิจกรรมเพิ่มผลิตภาพเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต จึงได้เปิดสมัครการฝึกอบรมหลักสูตรการสร้างและบริหารผลิตภาพเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ(Productivity Management Course : PMC) "ฝ่าวิกฤติอุตสาหกรรม ด้วยองค์กรผลิตภาพ" ระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายน 2565 เวลา 09.00-16.30 น. ผ่านระบบ Zoom Meeting สามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.career4future.com/pmc หรือ (คุณทศวัชร์) เบอร์โทรศัพท์ : 0 2644 8150 ต่อ 81905 โทรศัพท์มือถือ : 08 7114 6806 โทรสาร : 0 2644 8110 E-MAIL : bas@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

การใช้เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังในภาคอุตสาหกรรมเพื่อคัดกรองท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค
For English-version news, please visit : Diagnostic test for cassava mosaic virus enables the production of virus-free planting materials to combat a viral outbreak
มันสำปะหลัง เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยประเทศไทยมีการส่งออกมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก สร้างรายได้เข้าประเทศ เฉลี่ย หนึ่งแสนล้านบาทต่อปี ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) เป็นโรคอุบัติใหม่ โดยมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรคที่เกิดการระบาดในพื้นที่การเพาะปลูกหลายๆจังหวัดของประเทศไทย เนื่องด้วยมันสำปะหลังเป็นพืชที่ขยายพันธุ์โดยใช้ท่อนพันธุ์ ปัจจัยหลักที่ทำให้โรคใบด่างมันสำปะหลังมีการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและเป็นบริเวณกว้างขวาง
คือการนำท่อนพันธุ์ที่ได้จากต้นที่เป็นโรคไปทำการปลูกขยายต่อ โดยจะพบว่าพืชที่เป็นโรคจะมีอาการใบด่าง ใบหงิก ลำต้นแคระแกร็น ให้ผลผลิตที่ลดลง หรือในกรณีที่มีการระบาดรุนแรงก็อาจจะเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้เลย ผลที่ตามมาคือ ท่อนพันธุ์ที่ติดโรคใบด่าง ไม่สามารถนำไปใช้ขยายพันธุ์ได้อีก ซึ่งอาจจะทำให้ไม่มี/ขาดแคลนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดใช้ปลูกในรอบปีถัดไปได้ ดังนั้นโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงนับเป็นโรคที่ก่อความเสียหายให้แก่เกษตรกร และอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง เป็นอย่างมาก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังขึ้น และมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างในมันสำปะหลังให้กับ บริษัท เอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานกำแพงเพชร จ.กำแพงเพชร ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจคัดกรองท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรคก่อนส่งมอบให้เกษตรกร เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง
ดร.เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. มีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในกระบวนการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของมันสำปะหลังมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่ช่วยให้ได้ต้นพันธุ์ที่มีความสะอาดปราศจากโรคและตรงตามสายพันธุ์ เทคโนโลยีการขยายต้นพันธุ์อย่างรวดเร็วด้วยเทคนิค mini stem cutting ที่ช่วยลดการใช้ต้นพันธุ์และยังสามารถตรวจคัดกรองโรคในระหว่างเพาะชำท่อนพันธุ์ รวมถึงเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังที่ช่วยลดความเสี่ยงของเกษตรกรในการนำต้นพันธุ์ที่ติดเชื้อไปปลูกต่อ และชะลอการแพร่กระจายของไวรัสลงได้
ในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลังนี้ ไบโอเทค สวทช. โดยทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ นำโดย ดร.อรประไพ คชนันทน์ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล และ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ ได้พัฒนาโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อเชื้อไวรัสใบด่างมันสำปะหลังชนิด SLCMV และนำแอนติบอดีที่ได้มาพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความถูกต้อง แม่นยำ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก สามารถตรวจสอบจำนวนตัวอย่างได้คราวละมากๆ และราคาไม่แพง สามารถตรวจกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ในทุกขั้นตอนของการผลิตและเพาะปลูกมันสำปะหลัง เริ่มตั้งแต่การตรวจแปลงผลิตต้นพันธุ์ก่อนการเก็บเกี่ยว รวมถึงการตรวจในส่วนขยายพันธุ์ เช่น ministem cutting หรือ tissue culture เพื่อลดความเสี่ยงในการนำต้นพันธุ์ติดเชื้อไปปลูกต่อ นอกจากนี้ยังใช้ในการติดตามเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคหลังการเพาะปลูก เพื่อจัดการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รวมทั้งยังใช้ในงานศึกษาวิจัยพื้นฐานด้านต่างๆ อีกด้วย
สำหรับการผลักดันให้เกิดการนำชุดตรวจไปใช้ประโยชน์ เป็นการอาศัยความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับหน่วยงานที่สนใจนำนวัตกรรมไปใช้จริง โดยกระบวนการผลักดันเริ่มต้นจาก การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อสร้างทักษะและความสามารถในการตรวจโรคใบด่างด้วยเทคนิคอิไลซ่าให้กับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐและเอกชนที่สนใจ จากนั้น สวทช. จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ รวมถึงส่งมอบชุดตรวจอิไลซ่า และเครื่องอ่านผล WellScan ให้กับหน่วยงานที่มีความพร้อม โดยปัจจุบันมีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการแล้ว 5 แห่ง คือ บ. สงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จ. นครราชสีมา บ. เอฟ ดี กรีน ในเครือบริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จ. กำแพงเพชร สำนักงานสภาเกษตรกร จ. นครราชสีมา บ. เอเซียโมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด จ. กาฬสินธุ์ และ ม. เทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จ. นครราชสีมา โดยหลังจากการจัดตั้งห้องปฏิบัติการฯ ทีมวิจัยฯ จะทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษา คำแนะนำเชิงเทคนิคต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่รับถ่ายทอด สามารถนำเทคโนโลยีชุดตรวจไปใช้ในการตรวจสอบโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณศรศิลป์ คุปตระกูล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทเอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทเอฟ ดี กรีน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทแห่งแรกของ กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะในประเทศไทยที่เป็น “ต้นแบบธุรกิจเพื่อ สิ่งแวดล้อม” ในการจัดการ ผลิตภัณฑ์ร่วมที่ได้จากกระบวนการผลิตต่างๆ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ รวมทั้งดำเนินธุรกิจทางด้านการจัดหาสินค้าเกษตรให้กับบริษัทในกลุ่มอายิโนะโมะโต๊ะ ภายใต้นโยบาย “วัฎจักรชีวมวล (Bio-Cycle)” เนื่องจากมันสำปะหลัง คือวัตถุดิบหลักของสินค้าหลายชนิดในบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ บริษัทจึงได้ให้ความสำคัญถึงปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นอย่างมาก ได้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ร่วมมือกับ ไบโอเทค สวทช. เพื่อวิจัยและพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ที่สามารถตรวจหาเชื้อ ไวรัสจากเนื้อเยื่อบริเวณตาของท่อนพันธุ์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ,ตรวจตัวอย่างได้คราวละมากๆ ตอบโจทย์ของบริษัทฯและสถานการณ์การแพร่ระบาดปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งบริษัทมีความมุ่งหวังที่จะช่วยลดหรือชะลอการแพร่กระจายโรคใบด่างฯในพื้นที่ และลดการนำท่อนพันธุ์ที่ติดโรคไปปลูกในพื้นที่ โดย บริษัทฯ ได้ขยายท่อนพันธุ์ที่มีคุณภาพ และปลอดโรคใบด่างโดยใช้นวัตกรรมดังกล่าวเพื่อตรวจสอบก่อนขยายและกระจายท่อนพันธุ์ให้กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรได้นำไปปลูกและได้ผลผลิตที่ดีขึ้น รวมถึงลดการสูญเสียผลผลิตหัวมันสดจากผลกระทบจากโรคใบด่างฯ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างยั่งยืน
คุณศรศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้จัดตั้งห้องวิเคราะห์โรคใบด่างฯ ด้วยวิธี DAS-ELISA เริ่มรับตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังตั้งแต่ปี 2564 ได้ให้บริการตรวจสอบโรคใบด่างด้วยวิธี DAS-ELISA ทั้งภายในและภายนอก ในปีที่ผ่านมามากกว่า 3,500 ตัวอย่าง ได้จัดตั้งโรงเรือนขยายพันธุ์สะอาดและมีคุณภาพเพื่อกระจายให้กับเกษตรกรผู้ที่สนใจซึ่งปัจจุบันได้มีการสนับสนุนท่อนพันธุ์และต้นพันธุ์มันสะอาดปราศจากโรคใบด่างฯ กว่า 150,000 ต้น
ในการนี้ได้จัดทำแปลงทดลองภายในบริษัทฯ และจัดทำแปลงร่วมกับเกษตรกรเพื่อขยายต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่สะอาดให้กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรได้เข้าใจถึงการปลูกมันสำปะหลังอย่างไรให้ได้ผลผลิตที่ดีโดยใช้ท่อนพันธุ์ที่มีคุณภาพ สะอาดปราศจากโรคใบด่างฯ และยังเป็นการเพิ่มจำนวนต้นพันธุ์มันสะอาดปราศจากโรคใบด่างที่มีคุณภาพ ในพื้นที่ให้กับเกษตรกรในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย โดยตั้งเป้าจะทำแปลงร่วมกับเกษตรกรในจังหวัดกำแพงเพชรในปีนี้ จำนวน 500 ไร่ และ จำนวน 1,000 ไร่ ในปีถัดไป ในการนี้บริษัทได้ร่วมมือกับเกษตรจังหวัดกำแพงเพชรและพาณิชย์จังหวัดกำแพงเพชร ในการควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบครอบคลุมพื้นที่ มีเป้าหมาย ในการตัดวงจรการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ส่งเสริมให้เกษตรกรใช้พันธุ์สะอาดและทนทาน ต่อโรค ควบคุมไม่ให้การระบาดของโรคขยายตัวไปยังพื้นที่อื่นๆ และดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคดังกล่าวอีกด้วย
ด้าน ดร.เกื้อกูล ให้ข้อมูลต่อไปว่า ปัจจุบันทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนาชุดตรวจแบบรวดเร็ว Strip test สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง ซึ่งมีหลักการทำงานเหมือนชุดตรวจ ATK ทราบผลได้ภายใน 15 นาที โดยไม่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการและเครื่องมือในการอ่านผล สามารถพกพาไปใช้ในภาคสนามได้ โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างส่งมาตรวจยังห้องปฏิบัติการ และมีความแม่นยำ ความจำเพาะเจาะจง ความไว ใกล้เคียงกับชุดตรวจอิไลซ่าที่พัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้ และเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีมาตรฐาน PCR พบว่า มีความแม่นยำร้อยละ 95 ความจำเพาะเจาะจงร้อยละ 100 และความไวร้อยละ 89 สำหรับชุดตรวจ Strip test ใช้งานง่ายเพียง 3 ขั้นตอน 1. นำใบพืชมาบดในบัพเฟอร์ที่เตรียมไว้ให้ 2. จุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืชที่บดได้ และ 3. อ่านผลจากแถบสีที่เกิดขึ้น หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง C และ T แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค ซึ่งได้ผลิตต้นแบบชุดตรวจ Strip test และเตรียมนำชุดตรวจไปทดสอบการใช้งานจริงกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชน โดยได้มีการจัดฝึกอบรมเรื่อง “การตรวจวินิจฉัย เชื้อ Sri Lankan cassava mosaic virus ในตัวอย่างมันสำปะหลังด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test” และส่งมอบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นให้หน่วยงานต่างๆไปใช้ประโยชน์ในการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแล้ว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ยืนยันตรวจทดสอบ GT200 ตามหลักมาตรฐานสากล
ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยให้บริการ ซึ่งดำเนินการวิเคราะห์ ทดสอบ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้มาตรฐานสากล ได้รับการประสานจากกรมสรรพาวุธทหารบก เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) ทุกเครื่องทั้ง 757 เครื่อง ว่าใช้งานได้หรือไม่ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ รวมถึงการผ่าพิสูจน์เครื่อง เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการดำเนินคดีปกครอง การทดสอบจึงต้องดำเนินการตามหลักการทดสอบทุกรายการที่มีการดำเนินการทดสอบเครื่อง GT200 และใช้เป็นบรรทัดฐานของข้อมูลประกอบการพิจารณาคดีก่อนหน้านี้
การดำเนินการทดสอบทุกรายการต้องดำเนินการตามหลักการที่เป็นมาตรฐานสากล เพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน และเชื่อถือได้ในชั้นการพิจารณาของศาล ทั้งการตรวจวัดไฟฟ้าสถิต การแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง รวมถึงการผ่าพิสูจน์เครื่อง
สำหรับค่าบริการทดสอบทั้งหมด ศูนย์ PTEC คำนวณจากการใช้วัสดุและอุปกรณ์ทดสอบ ห้องปฏิบัติการทดสอบ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการใช้สารเสพติดและวัตถุระเบิดในการทดสอบ เพื่อให้ได้คุณภาพของผลการทดสอบตามเอกสารว่าจ้างที่ระบุทุกรายการ ทั้งนี้ ค่าบริการดังกล่าวมีราคาถูกกว่าการทดสอบโดยห้องปฏิบัติการต่างประเทศ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. ปฏิบัติหน้าที่ในทุกภารกิจบนหลักวิชาการและจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพบนพื้นฐานในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ และขอยืนยันเจตนารมณ์ในฐานะองค์กรวิจัยและพัฒนาที่จะใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมและประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สืบเนื่องจากกรณีการประชุมสภาฯ อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยในที่ประชุมได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพื่อตรวจสอบเครื่อง GT 200 โดยขณะนี้ พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน
เครดิต: CH3Plus.com
https://ch3plus.com/news/social/morning/294256?fbclid=IwAR1V7LHAYZu4GRfrhRH-p6vjrILUr5CpM9KbRrCLZHaQqH8XWFDkoPEC2HA
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ชวนสมัครรับ “ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ” ร่วมท้าพิสูจน์สังเกตการเจริญเติบโต
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศส่งใบสมัครรับต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดที่เคยเก็บรักษาไว้ในห้องปฏิบัติการคิโบะโมดูล (Kibo Module) ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นหรือแจ็กซา (JAXA) บนสถานีอวกาศนานาชาติ เปรียบเทียบกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติบนโลก โดยเปิดรับใบสมัครถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
[caption id="attachment_33167" align="aligncenter" width="750"] นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าแจ็กซา ได้ดำเนินโครงการ Asian Herb in Space หรือ AHiS เพื่อคัดเลือกเมล็ดพันธุ์พืชส่งขึ้นสู่อวกาศ โดยมีเมล็ดพันธุ์พืชจำนวน 22 ชนิด ซึ่งคัดเลือกมาจาก 11 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เนปาล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บังคลาเทศ สิงคโปร์ เวียดนาม ไต้หวัน และไทย เพื่อส่งขึ้นไปสู่สถานีอวกาศนานาชาติ
“สวทช. เข้าร่วมโครงการ AHiS กับแจ็กซา โดยได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คัดเลือก “เมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์” ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย จำนวน 350 เมล็ด ไปกับจรวดฟอลคอน-9 (Falcon-9) ของ บริษัทสเปซเอกซ์ (SpaceX) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2563 เพื่อเก็บรักษาในห้องปฏิบัติการคิโบะโมดูลบนสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นเวลา 7 เดือน ก่อนส่งกลับถึงพื้นโลก เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 และได้ร่วมกับห้องปฏิบัติการ Plant Biology & Astroculture กลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมฯ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการเพาะเมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์อวกาศ ณ โรงเรือนวิจัย ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา”
นางกุลประภา กล่าวว่า ขณะนี้ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศเติบโตพร้อมนำไปปลูก สวทช. ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สมัครเข้าร่วม “โครงการราชพฤกษ์อวกาศ” เพื่อรับมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยเมล็ดจากอวกาศและต้นกล้าราชพฤกษ์ปลูกโดยเมล็ดปกติ อย่างละ 1 ต้น สำหรับนำไปปลูกคู่กัน เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการเจริญเติบโตระหว่างต้นที่ใช้เมล็ดจากอวกาศกับต้นที่ใช้เมล็ดปกติบนโลก ทั้งนี้ข้อกำหนดสำคัญในการสมัคร คือหน่วยงานที่ได้รับการคัดเลือกจะต้องรายงานความเปลี่ยนแปลงของการเจริญเติบโตและจัดกิจกรรมเกี่ยวกับต้นราชพฤกษ์อวกาศส่งมาถึงโครงการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและประชาชน
สำหรับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาที่สนใจ ส่งใบสมัครทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/space-tree-registration ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 และประกาศรายชื่อหน่วยงานที่ได้รับคัดเลือกในวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 ก่อนที่จะส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศเฟสแรก จำนวน 100 ต้น ในวันที่ 18 สิงหาคม 2565 ต่อไป ทั้งนี้ติดตามรายละเอียดข้อมูลและการสมัครเข้าร่วมโครงการราชพฤกษ์อวกาศเพิ่มเติมได้ที่ Website: NSTDA SPACE Education และ Facebook: NSTDA SPACE Education
ข่าว
บทความ

เปิดตัว 4 ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า EV BUS ดัดแปลงจากรถเมล์เก่าฝีมือคนไทย
สวทช. ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย เปิดตัวต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า EV BUS ซึ่งดัดแปลงและพัฒนามาจากรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. ที่มีอายุการใช้งานเกิน 20 ปี และปลดระวางแล้ว จนได้ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า 4 รุ่น จากการร่วมพัฒนาของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ 4 บริษัท พร้อมส่งมอบให้กับ 4 หน่วยงานภาครัฐนำไปทดลองใช้เพื่อออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาวต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

ครั้งแรกในไทย! สวทช. – เครือข่ายรถโดยสารไฟฟ้าไทย เปิดตัวและส่งมอบ ‘4 ต้นแบบ EV BUS’ เตรียมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมการผลิตและออกแบบการบริการในอนาคต
For English-version news, please visit : EV Bus Consortium rolls out EV bus prototypes
เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย กับ 4 ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าคนไทยทำ ดัดแปลงจากรถเมล์ ขสมก. ที่ใช้แล้ว 20 ปี ภายหลังวิ่งบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. นานกว่า 3 เดือน ทีมวิจัย สวทช. และภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย พร้อมส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า ‘EV BUS’ ทั้ง 4 คัน ให้กับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ขสมก. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. นำไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการและภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ เผยทั้ง 4 รุ่น ใช้วัสดุในประเทศช่วยประหยัดต้นทุนรถบัสนำเข้า 30 % หรือลดต้นทุนได้ 7 ล้านบาทต่อคัน
(วันที่ 31 พฤษภาคม 2565) ณ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ
: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดแถลงข่าว “เปิดตัวและส่งมอบผลงานโครงการการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายใต้โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. (City transit E-buses)” หรือ EV BUS ครั้งแรกในไทย จำนวน 4 คัน โดยมี ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ประธานคณะกรรมการพิจารณาและติดตามโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้วฯ ร่วมแถลงข่าว พร้อมส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าให้แก่ 4 หน่วยงานประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธาน กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีและน่าชื่นชม ที่โครงการฯ ดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการออกแบบ พัฒนา และผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิต พลังงาน สิ่งแวดล้อม และกฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทำให้โครงการฯ ประสบความสำเร็จกระทั่งได้เปิดตัวและส่งมอบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการฯ ที่เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นรูปแบบหนึ่งตัวอย่างสำคัญในการผลักดันงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อผลักดันให้งานวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ไฟฟ้าต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมระบบคมนาคมไทย ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติอื่น
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปียานยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากประโยชน์ในการลดต้นทุนด้านพลังงาน และที่สำคัญที่สุดคือการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถโดยสารสาธารณะถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าลงทุนและน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าระดับอุตสาหกรรม จึงถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือ (Consortium) ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย ที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย ประกอบไปด้วยสมาชิกจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) บริษัทเอกชนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ทั้งนี้ สวทช. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้าเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ระหว่าง สวทช. กฟผ. กฟภ. กฟน. และ ขสมก. ซึ่งภายใต้โครงการฯ ดังกล่าวใช้ความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้ดี มีมาตรฐานและต้นทุนต่ำ ซึ่งต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ถูกพัฒนาจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ถูกแจ้งปลดระวางไปแล้ว นำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นรถโดยสารไฟฟ้า ให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ลดต้นทุนการนำเข้าหรือผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใหม่ ด้วยมูลค่าสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนจากในประเทศมากกว่าร้อยละ 40 และมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตและนำเข้ารถโดยสารไฟฟ้าใหม่มากกว่าร้อยละ 30 หรือประมาณ 7 ล้านบาทต่อคัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบและผลิตรถโดยสารไฟฟ้าได้มีคุณภาพภายใต้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเชิงวิศวกรรมจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยของ สวทช.และพันธมิตร
“สวทช. โดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้ร่วมให้คำปรึกษาการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า พัฒนาต้นแบบสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับรถโดยสารไฟฟ้าที่มุ่งเน้นให้มีต้นทุนต่ำ ออกแบบวิธีการประเมิน วิเคราะห์คุณลักษณะ ทดสอบประสิทธิภาพ สมรรถนะ รวมถึงพัฒนาสนามทดสอบน้ำท่วมขังร่วมกับ มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี และรับการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน และได้ประเมินประสิทธิภาพการให้บริการ ความเหมาะสมผ่านการทดลองให้บริการบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. เป็นระยะเวลา 3 เดือน นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก.”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้มีภาคเอกชนร่วมพัฒนารถโดยสารใช้แล้วของ ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้า ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานผู้สนับสนุน กฟน. กฟภ. กฟผ. และ ขสมก. นำไปใช้งานจริง ประกอบด้วย1. บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (CNC EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% ที่มุ่งเน้นการพัฒนาตัวถังจากวัสดุน้ำหนักเบา ด้วยตัวถังอลูมิเนียม ลดน้ำหนักตัวถังเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ เพื่อส่งมอบให้กับ กฟน. 2. บริษัท พานทอง กลการ จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (PTM EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 60% โดยมีความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชุดแบตเตอรี่ลิเทียมไออนภายในประเทศเพื่อส่งมอบให้กับ กฟผ. 3. บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (EVT EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% มีจุดเด่นที่ใช้ชิ้นส่วนสำคัญจากผู้ผลิตชั้นนำจากต่างประเทศโดยตรง ทำให้มีความเชื่อมั่นในการใช้งานและรับประกัน เพื่อส่งมอบให้กับ กฟภ. และ 4. บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พัฒนา รถโดยสารไฟฟ้า (SMT EV BUS) ที่มีจุดเด่นในความเชี่ยวชาญด้านวิศกรรมการออกแบบระบบขับเคลื่อน จากประสบการณ์พัฒนารถโดยสารไฟฟ้าและทดสอบใช้งานบนสภาวะการขับขี่จริง บนระยะทางกว่า 25,000 กิโลเมตร เพื่อส่งมอบให้กับ ขสมก.
โดยทั้ง ขสมก. กฟผ. กฟน.และ กฟภ. ในฐานะผู้สนับสนุนการพัฒนาจะนำรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่นไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ ที่สำคัญทำงานร่วมกับของหน่วยงานต่างๆ แบบจตุภาคี ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำตามแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สามารถผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทย
ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวคณะผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ได้ชมและนั่งทดสอบรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถโดยสารไฟฟ้า สามารถวิ่งทดสอบได้อย่างราบรื่น ไม่ก่อมลพิษทั้งทางเสียง และทางอากาศ ภายในกว้างขวางมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยต่อผู้โดยสารตามมาตรฐานสากล
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ขอเชิญร่วมงานเสวนา “ตามทันสถานการณ์ COVID-19 กับการเลี้ยงและใช้สัตว์ทดลอง”
Update ความรู้เรื่องการเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ร่วมถึงความเข้าใจในความหลากหลายของไวรัสที่พบในสัตว์ และความสัมพันธ์กับ COVID-19 ในกลุ่มสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
พร้อมติดตามความก้าวหน้าของการวิจัยและพัฒนาวัคซีน COVID-19 ของประเทศไทยในปัจจุบัน
⏰ วันที่ 7 มิถุนายน 2565 เวลา 13.00-16.00 น.
ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โปรแกรม Cisco Webex
วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
📌รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร
นายกสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ทดลองแห่งประเทศไทย
📌ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
📌รศ.ดร.น.สพ.วิทวัช วิริยะรัตน์
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
📌ดร.สพญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์
กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์ไบโอเทค
⏰ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมทาง online ***ไม่มีค่าใช้จ่าย*** ได้ที่
https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?RGID=r174405ea912187a681a98e75ef9b1aa5
📧 ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเåติมได้ที่
ฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย (ORI)
📞 โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 71844 (คุณณัฐพัชร์)
E-mail: ORI@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต’ ครบ จบ คุ้ม ราคาเดียว
For English-version news, please visit : NSTDA unveils an e-learning platform to support reskilling and upskilling of Thai workforce
วันที่ 26 พฤษภาคม 2565 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy: CFA) ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัว “สวทช. เสริมแกร่งศักยภาพด้าน วทน. ด้วย e-Learning ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต..ครบ..จบ..คุ้ม” พร้อมทั้งการเสวนา จุดเด่นของ e-Learning Platform
โดยมี ดร.ศิริชัย กิตติวราพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. คุณสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย คุณฐิติวรรณ เกิดสมบุญ ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย สวทช. และ รศ. ร.อ.ดร.วีระเชษฐ์ ขันเงิน กรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าวกระทรวง อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยมุ่งเน้นในด้าน การพัฒนาบุคลากรวิจัย การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม หรือการ Upskill พัฒนาเพื่อยกระดับทักษะเดิมให้ดีขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต และ Reskill การสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในการทำงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการ บนพื้นฐานเทคโนโลยีการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการเรียนรู้รูปแบบ Onsite รูปแบบ Online และการเรียนรู้ในรูปแบบ e-Learning ซึ่งเหมาะกับสังคมในปัจจุบันที่สามารถเรียนได้ทุกที ทุกเวลา เข้าถึงได้ง่าย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ที่สำคัญสามารถเลือกเรียนได้ตามความสนใจของแต่ละบุคคล
ทั้งนี้การเปิดตัวแนะนำแพลตฟอร์มชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต Career4Future e-Learning Platform ของสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ครั้งนี้ยังได้พัฒนาเนื้อหาวิชาองค์ความรู้ จากวิทยากรมืออาชีพและหลากหลายสาขา เช่น ด้านบริหารธุรกิจ ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ด้านทรัพย์สินทางปัญญา และยังเป็นองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่มีความโดดเด่นของคลังปัญญาจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยหลากหลายสาขา รวมทั้งยังมีองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดในรูปแบบคลิปวีดีโอซึ่งสามารถเข้าถึงและเข้าใจง่าย เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายทุกสายอาชีพและทุกกลุ่มอุตสาหกรรม มีหลักสูตรฝึกอบรมให้เลือกกว่า 90 บทเรียน และคลิป Video ให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้เข้าถึงง่าย ทั้งหลักสูตรฝึกอบรมตามสายงานอาชีพ และกลุ่มอุตสาหกรรม
ดร.ศิริชัย กิตติวราพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. กล่าวว่า แพลตฟอร์มชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต มีความครบถ้วนทั้งหลักสูตรและครอบคลุมทั้ง Soft skills และ Reskill และมีความหลากหลายต่อภาคอุตสาหกรรม ผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากองค์ความรู้ในตัวเองอย่างครบครัน และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพได้ทันที ที่สำคัญให้ความคุ้มค่ากับชุดความรู้สมัยใหม่ มีแบบทดสอบและรับใบประกาศนียบัตร การันตีในวิชาชีพและค่าลงทะเบียนอยู่ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ อาทิ จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (Human Research Ethics) ภาพรวมเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) นักแก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ (Practical Problem Solving) กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่สำคัญของ อุตสาหกรรมอัญมณี ความรู้พื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีโรงปลูกพืชแนวตั้ง และกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
อย่างไรก็ตามสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) สวทช. หวังว่าองค์ความรู้ e-Learning Platform นี้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เข้าถึงง่ายในทุกกลุ่มอาชีพ เพื่อสร้างแนวทางความคิดต่อยอดการพัฒนาความรู้ได้อย่างครบถ้วน และคุ้มค่าในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ผู้สนใจเรียนออนไลน์แบบบุฟเฟต์ คุ้มที่สุด จ่ายรายเดือนในราคาเดียว 399 บาท เรียนได้ทุกคอร์ส และสามารถเข้าไปดูรายละเอียดหลักสูตรในระบบ e-Learning ได้ที่เว็บไซต์ https://elearn.career4future.com หรือ E-mail: elearn@nstda.or.th และโทรศัพท์ 0 2644 8150
ข่าวประชาสัมพันธ์

เพิ่มมูลค่า ‘ผ้าทอทุ่งกุลาร้องไห้’ ย้อมติดสีไว ให้กลิ่นหอมดอกลำดวน
ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิที่นุ่มหอมไม่เหมือนใคร แต่ทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงาม มีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็งของผู้คนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งกรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติยังเป็นมีความเป็นอัตลักษณ์ ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของจังหวัดศรีสะเกษอันเลื่องชื่อ ที่นำวัตถุดิบสำคัญของจังหวัด 5 ชนิด ได้แก่ ผลมะเกลือ ดินปลูกทุเรียนภูเขาไฟ ดินทุ่งกุลา ใบลำดวน เปลือกไม้มะดัน มาใช้ย้อมสีผ้าให้มีสีสันหลากหลาย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ขนทัพนักวิจัยลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปต่อยอดพัฒนาฐานทุนอันเป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้สามารถสร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน
[caption id="attachment_32937" align="aligncenter" width="600"] ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทุ่งกุลาร้องไห้เวลานี้ไม่ร้องไห้แล้ว แต่เป็นกุลาม่วนชื่น ซึ่งประชาชนมีความเข้มแข็งในการสร้างอาชีพในพื้นถิ่นของตนเองจากฐานทุนทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มาช้านาน ประกอบกับกระทรวง อว. ได้นำงานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าทอในพื้นที่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเอนไซม์เอนอีซ (ENZease) สารชีวภาพที่ผลิตได้จากเชื้อจุลินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมี ที่ช่วยทำความสะอาดเส้นใย และเพิ่มประสิทธิภาพการติดสีธรรมชาติได้ดีขึ้น ทำให้ลดเวลาการย้อมสีและลดต้นทุนในการฟอกย้อมรวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้นำนาโนเทคโนโลยีเพิ่มสมบัติพิเศษให้ผ้าทอมีกลิ่นหอมของดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มอัตลักษณ์ให้แก่ผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษให้พิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งแหล่งผลิตผ้าไหมที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ผ้าไหมลายลูกแก้วแห่งนี้โดดเด่นด้วยผ้าทอที่ย้อมสีดำธรรมชาติด้วยมะเกลือที่มีความเงางาม แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 เดือน เพราะภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอีสานใต้กว่าจะได้ผ้าทอสีดำขลับต้องย้อมซ้ำหลายครั้งและใช้เวลานาน
[caption id="attachment_32942" align="aligncenter" width="600"] นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง (ซ้าย)[/caption]
นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง กล่าวว่า แต่ก่อนใช้ระยะเวลายาวนานในการย้อมผ้า ก็คิดว่าทำอย่างไรจะลดเวลาในการย้อมผ้าได้บ้าง กระทั่งทางนักวิชาการและนักวิจัยจาก สวทช. ได้เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ ก็ถือว่าได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม และเงางาม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ได้นวัตกรรมตัวใหม่มาเสริมกับภูมิปัญญา
“จากเดิมย้อมผ้าด้วยมะเกลือซึ่งให้สีดำกว่าจะย้อมผ้าได้สีดำสนิทต้องจุ่มผ้ากับมะเกลือแล้วก็เอาไปตาก ทำแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ ใช้เวลากว่า 2 เดือน พอมาใช้เอนไซม์เอนอีซในการทำความสะอาดผ้าก่อนการย้อม ก็ช่วยให้การย้อมผ้าติดสีไวดีขึ้น จากต้องตากถึง 60 แดด 300 จุ่ม เหลือแค่ 30 แดด ประมาณ 1 เดือน”
เช่นเดียวกับ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถักทอผ้าไหมลายลูกแก้วและผ้าทอเบญจศรี ซึ่งผ้าทอแห่งนี้ไม่เพียงใช้เอนไซม์เอนอีซในการย้อมผ้า แต่ยังเตรียมนำนาโนเทคโนโลยีมาเพิ่มความนุ่มลื่น และกลิ่นหอมของดอกลำดวน ให้ผ้าทอด้วย
[caption id="attachment_32943" align="aligncenter" width="600"] สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง (กลาง)[/caption]
สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง กล่าวว่า กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้างเป็นทายาทหม่อนไหมรุ่นที่ 4 ผ้าทอที่ทำจะเป็นผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติจากวัตถุดิบในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ดอกลำดวน มะเกลือ ไม้มะดัน แต่ก่อนจะย้อมตามวิถีชาวบ้าน บางครั้งสีที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอ ใช้เวลานาน แต่กระทรวง อว. และ สวทช. ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนเอนไซม์เอนอีซ ทำให้ผ้าไหมติดสีดี ติดทน อีกทั้งไม่มีสารเคมีที่มาทำลายคุณภาพเส้นไหม ทำให้ผ้าไหมที่ได้มีความนุ่มเงา ถูกใจลูกค้ามาก
“นอกจากนั้นแล้วอัตลักษณ์ที่สำคัญ คือ ศรีสะเกษ เป็นเมืองดอกลำดวนบาน กระทรวง อว. ยังได้เข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องกลิ่นหอมให้ผ้าทอ โดยใช้นาโนเทคโนโลยีมาเคลือบกลิ่นดอกลำดวนไว้บนผ้า ทำให้เวลาเราสวมใส่ เราสัมผัส หรือเวลาเดิน ผ้าจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลำดวนด้วย ถือเป็นอีกอรรถรสหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษได้ดียิ่งขึ้น”
[caption id="attachment_32945" align="aligncenter" width="600"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า การทำงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตนอยากฝากนักวิจัย นักวิชาการและคณาจารย์ไว้กับเกษตรกรชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ให้มองพวกเขาเป็นลูกหลานแล้วทำงานด้วยกัน เพื่อนำสิ่งดีๆ เข้ามาในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ แล้วเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้ทำได้ต่อไป
นับเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยผสมผสานภูมิปัญญา พัฒนาผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีเสน่ห์และคงความเป็นอัตลักษณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

Facebook Live รับชมการถ่ายทอดสดงานแถลงข่าว “สวทช. เสริมแกร่งศักยภาพด้าน วทน. ด้วย e-Learning ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต…ครบ…จบ….คุ้ม…”
Facebook Live รับชมการถ่ายทอดสดงานแถลงข่าว
“สวทช. เสริมแกร่งศักยภาพด้าน วทน.
ด้วย e-Learning ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต...ครบ...จบ....คุ้ม...”
.
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565
เวลา 13.15-15.30 น.
Facebook Live: NSTDA-สวทช.
การถ่ายทอดสดจากห้องแถลงข่าว อว. อาคารพระจอมเกล้า ถ.พระรามที่ 6 กรุงเทพฯ
.
13.15-13.30 น.
พิธีกรกล่าวต้อนรับ และรับชมคลิปวิดีโอแนะนำสถาบันฯ
13.30-13.45 น.
แนวทางการพัฒนากำลังคน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่โมเดลเศรษฐกิจ BCG
โดย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์
รองผู้อำนวยการ สวทช. / ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี
13.45-14.45 น.
จุดเด่นของ e-Learning Platform
ผู้ร่วมเสวนา
- ดร.ศิริชัย กิตติวราพงศ์
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช.
- คุณสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์
ประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย
- คุณฐิติวรรณ เกิดสมบุญ
ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย สวทช.
- รศ.ร.อ.ดร. วีระเชษฐ์ ขันเงิน
กรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
กรรมการบริหารด้านวิจัยและนวัตกรรม บมจ. คัมเวล คอร์ปอเรชั่น (KUMWEL)
.
ดำเนินรายการโดย
ดร.สมชาย เรืองเพิ่มพูน ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช.
14.45-15.00 น.
ถ่ายภาพหมู่
.
15.00-15.30 น.
รับชมคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ผู้ที่เคยเรียนหลักสูตร e-Learning
ปฏิทินกิจกรรม