หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ผนึก กทม. ยกระดับกรุงเทพ สู่ Smart City ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในกรุงเทพ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการ สวทช. ลงนามร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร   โดย ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พร้อมร่วมมือกับ สวทช. ในการพัฒนาและนำเทคโนโลยีของ สวทช. ไปใช้ประโยชน์ปรับปรุงงานในด้านต่างๆ เช่น การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ , ระบบการแพทย์ทางไกล , การศึกษาทางไกล , การพัฒนา Open Data และการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม   นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ยังเผยถึงการนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของเนคเทค สวทช. ไปใช้บริหารจัดการปัญหาเมืองในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังให้ความสนใจ A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ทางไกล พัฒนาโดยศูนย์ A-MED ซึ่ง กทม. พร้อมนำไปขยายผลบริการให้กับประชาชนต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. คว้า รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance)
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) เข้าร่วมงานประกาศรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2565 (Digital Government Awards 2022) จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ซึ่งได้รับเกียรติจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการมอบรางวัลพร้อมมอบนโยบายและทิศทางการขับเคลื่อนสู่รัฐบาลดิจิทัล ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.นพ. สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับรางวัลผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่น 2022 พร้อมเป็นตัวแทนขึ้นรับโล่ 3 รางวัลได้แก่ 1. รางวัลสำหรับหน่วยงานภาครัฐระดับกรมที่จัดทำนโยบาย ประสานงาน กำกับดูแล หรืออื่น ๆ เป็นหลัก 2. รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) และ 3. รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการเปิดเผยข้อมูลผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ (data.go.th) ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ขึ้นรับโล่รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) จาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดย สวทช. ถือเป็น 1 ใน 19 หน่วยงานที่ได้คะแนนเต็มเท่ากับ 19 หน่วยงาน จากผลสำรวจการตอบคำถาม ตามแบบสำรวจระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย ประจำปี 2565 ซึ่งพิจารณาจากระดับการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐที่มีการดำเนินการทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ การวิเคราะห์และการใช้ประโยชน์ข้อมูล ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ขอชื่นชมทุกหน่วยงานที่ได้รับรางวัล เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล หน่วยงานภาครัฐของไทยซึ่งมีหน้าที่ให้บริการประชาชน ควรขับเคลื่อนการทำงานด้วยดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล e-government สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจต่อไป อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญ คือ การทำให้ประชาชนผู้ใช้งานได้ใช้ประโยชน์และเข้าถึงดิจิทัลได้ทุกช่วงวัย ใช้อย่างเข้าใจและรู้เท่าทันเทคโนโลยี โดยทุกหน่วยงานภาครัฐต้องพัฒนาหน่วยงานเพื่อยกระดับรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การบริหารจัดการและขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลที่ทันสมัย ทั้งการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูลผ่านศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ บนเว็บไซต์ data.go.th ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล  2.การพัฒนายกระดับเจ้าหน้าที่ภาครัฐด้านดิจิทัล ทั้งในระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ 3. การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการร่วมเสนอทางเลือกหรือมีส่วนร่วมตัดสินใจในการบริการต่างๆ ของรัฐ หรือ e-Decision Marking ผ่านช่องทางออนไลน์ของหน่วยงาน และ 4. การส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานเชื่อมโยงข้อมูล กับหน่วยงานภายนอกผ่าน Platform กลาง เช่น GDX, linkage Center เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนตาม ร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2570 เพื่อการให้บริการที่สะดวก โปร่งใส ทันสมัย ตอบโจทย์ประชาชน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เทคโนโลยีการตรวจวัดและวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอน (Carbon Measurement & Analytics)
  ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยเองมีเป้าหมายที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งการจะพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จนั้นต้องอาศัยมาตรการต่าง ๆ ได้แก่ เทคโนโลยีในการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินการปล่อยยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตสินค้าและบริการ มาตรการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกผ่านการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซในภาคอุตสาหกรรม การบังคับชดเชยการปล่อยก๊าซที่มากเกิน ผ่านธุรกิจการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และเทคโนโลยีการคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิต     ปัจจุบันเรามีฐานข้อมูล Thai National LCI Database ซึ่งใช้เทคนิค data mining & data analytics มาช่วยคำนวณและประเมินค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ รวมถึงประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเศรษฐศาสตร์ มีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs     ขณะที่การประเมินค่ามวลชีวภาพบนผืนดินยังอาศัยข้อมูลการสำรวจภาคสนามเป็นหลัก หากหันมาใช้การพัฒนาแบบจำลองเพื่อใช้คำนวณมวลชีวภาพบนพื้นดิน จะช่วยปิดจุดอ่อนนี้ได้ การประเมินจะทำได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น ทั้งนี้เทคโนโลยีนี้ต้องอาศัยการพัฒนาแบบจำลองจากข้อมูล remote sensing ได้แก่ ข้อมูลภาพ 3 มิติจากเซนเซอร์ LIDAR และข้อมูลแถบสีความละเอียดสูงจากเซนเซอร์ hyperspectral โดยวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลจากงานสำรวจภาคสนาม และใช้เป็นต้นแบบสำหรับ machine learning เพื่อใช้กับข้อมูลดาวเทียม เช่น ข้อมูลจาก Sentinel 2 หรือ Lansat 8 ต่อไป     เทคโนโลยีการประเมินทั้งมวลชีวภาพและคาร์บอนฟุตพรินต์ดังกล่าว จึงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะใช้ได้ทั้งในการประเมินชนิดป่าหรือพรรณไม้ที่ดูดซับคาร์บอน เพื่อคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ที่สนใจนำมาใช้ในโครงการชดเชยคาร์บอน เพื่อใช้รับมือการกีดกันทางการค้า เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินเพดาน ซื้อ “คาร์บอนเครดิต” เพื่อชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปได้ เกิดการไหลเวียนของเงินตราภายในประเทศ เกิดผลดีทั้งต่อประเทศและโลกไปพร้อม ๆ กัน ช่วยส่งเสริมให้เกิดแนวคิดในการประกอบธุรกิจแบบ Green Economy มากขึ้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบขนส่งทางราง (Railway Logistics Management: RLM)
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมอบรม หลักสูตรการบริหารจัดการการขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบขนส่งทางราง (Railway Logistics Management: RLM) วันที่ 6 - 11 กุมภาพันธ์ 2566 บรรยายภาคทฤษฎี : ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ บรรยาย และศึกษาดูงาน : ณ จังหวัดหนองคาย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย * การบริหารจัดการการขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบขนส่งทางราง * กรณีศึกษาการขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบขนส่งทางรางภายในประเทศ * กรณีศึกษาการขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบขนส่งทางรางของต่างประเทศ * ศึกษาดูงานโครงการรถไฟไทย-ลาว-จีน และโครงการรถไฟลาว-จีน รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/rlm ค่าลงทะเบียนต่อหลักสูตร : ท่านละ 49,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) Call Center: 0 2644 8150 ต่อ 81894 และ 085 324 2684 (นพมล) E-mail: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
กทม. ผนึก สวทช. ดึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุงฯ
28 พฤศจิกายน 2565 ณ ห้องแถลงข่าว อว. ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแถลงข่าวการลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อร่วมกันสนับสนุนการพัฒนารูปแบบและกลไกการดำเนินงานและการให้บริการของกรุงเทพมหานคร นำไปสู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประชาชนมีความสุขมากขึ้น โดยมีกรอบความร่วมมือครอบคลุมเรื่องการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. เพื่อประยุกต์ใช้ในการสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนในด้านระบบการศึกษาและสาธารณสุข โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช และนายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมงานแถลงข่าว นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครมีความยินดีขยายความร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก สวทช. ไปใช้ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและภารกิจของกรุงเทพมหานคร ซึ่งครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านความปลอดภัย สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การเดินทาง เศรษฐกิจ และการบริหารจัดการ ทั้งนี้การได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการพัฒนากลไกการดำเนินงานและการให้บริการของกรุงเทพมหานคร จะช่วยให้การบริหารจัดการแก้ปัญหาเมืองทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนชาวกรุงเทพมหานครมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข และสามารถพัฒนาเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีความพร้อมที่จะพัฒนาความร่วมมือ 5 ด้าน กับ สวทช. เพื่อใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ สวทช. พัฒนาขึ้น ได้แก่ 1. การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ (ITMS) เพื่อบริหารจัดการจราจรทั้งโครงข่ายและกวดขันวินัยจราจร 2.ระบบแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine 3.การศึกษาทางไกล เรื่องสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ให้มีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน 4.ด้าน Open DATA เปิดเผยข้อมูลโปร่งใส 5. เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม ทั้งปัญหาฝุ่นและขยะ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะเป็นการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีเพื่อช่วยปฎิรูปการทำงานของระบบราชการ จากการทำงานที่เคยเป็นแบบระบบท่อ ก็เปลี่ยนเป็นการรับเรื่องแก้ปัญหาอยู่บนแพลตฟอร์มและช่วยกันให้บริการประชาชน ซึ่งมีการแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงทีโดยที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่จำเป็นต้องสั่งการด้วยตัวเอง ที่สำคัญทุกคนสามารถเห็นว่าทุกคำร้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการแก้ไขปัญหา และมีความโปร่งใสเท่าเทียมกันบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ และ สวทช. พร้อมสนับสนุนกรุงเทพมหานครในการพัฒนาเมืองอย่างเต็มที่ ดังตัวอย่างที่เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น การบริหารจัดการเมืองในรูปแบบเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City โดยกรุงเทพมหานครได้นำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ไปใช้ในการดูแลด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านบริหารจัดการ เช่น การรับเรื่องร้องเรียน การแจ้งจุดเสี่ยง ความสะอาด การบริหารจัดการข้อมูลของเมือง “นอกจากนี้ สวทช. ยังมีผลงานวิจัยที่ส่งเสริมการดูแลสุขภาพให้พี่น้องประชาชน เช่น ระบบ  A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการทางการแพทย์ทางไกล ตัวช่วยบุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 กลุ่มสีเขียวและเหลือง ในช่วงวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 รวมกว่า 1.3 ล้านคน ครอบคลุม 1,500 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และเตรียมขยายผลสู่ A-MED Care โดยดำเนินการร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม ร้านยาคุณภาพ สำหรับดูแลผู้ป่วยกลุ่มโรคทั่วไป โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล ช่วยลดการเดินทางและค่าใช้จ่ายผู้ป่วย รวมถึงลดความแออัดให้แก่สถานพยาบาล ปัจจุบันมีร้านขายยาในกรุงเทพมหานครที่ได้รับการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 600 ร้าน สามารถดูแลผู้ป่วยกว่า 10,000 คน อย่างไรก็ดี สวทช. พร้อมใช้ความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยี รวมถึงแพลตฟอร์มบริการต่างๆ เพื่อเป็นแรงเสริมสำคัญด้านวิชาการที่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานของกรุงเทพมหานครให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” สำหรับงานวิจัยที่ สวทช. โดยเนคเทค ได้นำร่องใช้กับกรุงเทพมหานคร อาทิ แพลตฟอร์มรับเรื่องและบริหารจัดการเมือง หรือ Traffy Fondue โดยประชาชนแจ้งปัญหาผ่าน Chatbot ทาง Line Application : @traffyfondue ซึ่งระบบจะวิเคราะห์ปัญหาและส่งไปให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ไขปัญหาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตรงตามความต้องการของประชาชน ปัจจุบันมีผู้เข้ามาแจ้งปัญหาในกรุงเทพมหานครมากกว่า 180,000 เรื่อง ได้รับการแก้ปัญหาแล้วกว่า 120,000 เรื่อง (อ้างอิงข้อมูล www.traffy.in.th) นอกจากนี้ในด้านการให้บริการสาธารณสุข เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการส่งต่อผู้ป่วย (e-Referral) เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์หลังบ้านเพื่อส่งต่อผู้ป่วยจากระดับปฐมภูมิไปยังระดับทุติยภูมิ และส่งต่อไปยังตติยภูมิหรือหน่วยงานเฉพาะทาง และสามารถส่งต่อระหว่างจากหน่วยปฐมภูมิ (e-Referral) สู่โรงพยาบาล โดยแพทย์สามารถติดตามข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยทั้งสองฝั่งแบบ Real Time และส่งกลับเพื่อการรักษาได้ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รองรับการทำงานการรับส่งต่อผู้ป่วยเพื่อดูแลต่อที่บ้าน (Home Health Care) ช่วยลดปัญหาความแออัดในการใช้บริการของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ปัจจุบันมีโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานครใช้งานระบบ e-Referral แล้ว 7 แห่ง ได้แก่ 1. รพ.กลาง 2. รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ 3. รพ.ตากสิน 4. รพ.ราชพิพัฒน์ 5. รพ.สิรินธร 6. รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ และ 7. รพ.วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วม ธ.ก.ส. ปั้น New Gen Smart Farmer และ Young Smart Farmer เสริมแกร่งเกษตรกรไทย สู่โอกาสเติบโตทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
(28 พฤศจิกายน 2565) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดสัมมนาโครงการต่อยอด New Gen, Smart Farmer และ Young Smart Farmer เพื่อสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจร่วมกับเครือข่ายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม บ่มเพาะเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้ประกอบการเกษตรจำนวน 450 ราย และเกิดเกษตรกรต้นแบบจำนวน 30 ราย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ภาคการเกษตรเป็นภาคการผลิตที่สำคัญของประเทศ สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาได้ขับเคลื่อนงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับการเกษตรของไทยให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคโนโลยีอัจฉริยะเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำเกษตรในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ สวทช. ยังมีบริการที่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการเกษตรได้นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าและบริการ ทั้งด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี มาตรการส่งเสริมด้านการเงิน/ภาษี กลไกส่งเสริมธุรกิจ SMEs/Start up และการพัฒนาบุคลากร เป็นต้น ซึ่งเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วนคือหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนงานส่งเสริมการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในครั้งนี้ผ่านโครงการบ่มเพาะเกษตรกรรุ่นใหม่ จึงร่วมกันพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีบทบาทขับเคลื่อนภาคการเกษตรโดยมีองค์ความรู้ที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่บริหารจัดการการเกษตร สร้างมูลค่าให้สินค้าเกษตร สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลการพัฒนาไปสู่เกษตรกรรายอื่น ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจากฐานการเกษตรที่เข้มแข็งได้ในระยะยาว นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร กล่าวเสริมว่า สท. ดำเนินงานให้บริการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรแบบครบวงจร โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการพัฒนาชุมชน เกษตรกรให้เข้าถึงสมาร์ทเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมขับเคลื่อนเกษตรยุคใหม่ ถือเป็นหนึ่งในภารกิจงานมุ่งเป้าที่จะพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน ผ่านกลไกการทำงานหลายด้าน ดังเช่น Training Hub หรือสถานีกระจายความรู้ที่จะสร้างทักษะให้เกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ด้วยการนำองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่สู่ชุมชนในพื้นที่ เกษตรกร เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้สนใจทั่วไปให้เกิดการพัฒนาและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรและชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มรายได้และยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ ขับเคลื่อนและสร้างต้นแบบการพัฒนาท้องถิ่นที่จะขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ ต่อไป นายสุภาษิต ศุภวุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคาร ธ.ก.ส. กล่าวว่า เกษตรกรรุ่นใหม่เป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย ที่ผ่านมาเกษตรกรมีโอกาสที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งทุนได้ค่อนข้างยาก ธ.ก.ส. จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่ได้เติบโตในธุรกิจเกษตร ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ร่วมกับ สวทช. ดำเนินโครงการลักษณะนี้กับเกษตรกรรุ่นใหม่และสามารถพัฒนายกระดับผู้ประกอบการเกษตรได้กว่า 200 ราย ซึ่งในปีนี้ ธ.ก.ส. ตั้งเป้าเสริมความรู้เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของผู้ประกอบการภาคเกษตร เช่น เรื่องของระบบบัญชี การจัดการและการตลาด รวมถึงการวางแผนธุรกิจ จึงเพิ่มเติมเนื้อหาหลักสูตร อาทิ ยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับมูลค่าสินค้าและบริการด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน การเข้าถึงแหล่งทุนและบริการการเงิน จากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ดังนั้นการสัมมนานี้จะเป็นส่วนช่วยเติมเต็มให้เกษตรกรมีองค์ความรู้ที่ทันสมัยและสามารถนำไปปรับใช้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ภายในงานได้จัดอบรมให้ความรู้อย่างเข้มข้น ทั้งเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุนและบริการการเงิน การยกระดับมูลค่าสินค้าและบริการด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน การยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปผลิตภัณฑ์อาหารด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการปศุสัตว์ ประเภทโค การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระบบและเครือข่ายอัจฉริยะสำหรับการเกษตรไทย เป็นต้น กิจกรรมครั้งนี้เกษตรกรรุ่นใหม่ยังได้นำผลิตภัณฑ์มาจัดแสดง พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้กับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมชมหน่วยบริการต่างๆ ของ สวทช. ได้แก่ ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพพืช ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมนาโนเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตร ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. และ AGRITEC Station ///////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไม่อยาก ‘ฟันผุ’ หรือมีปัญหา ‘เสียวฟัน’ จากฟันสึก ต้องนวัตกรรมนี้!
  Tech : สุดว้าว! กับฝีมืออาจารย์ไทยที่พัฒนา ‘วัสดุทันตกรรม’ เพื่อดูแลสุขภาพช่องปากคนไทยให้แข็งแรง มีหลากหลายผลิตภัณฑ์ อาทิ ฟลูออไรด์เจลป้องกันฟันผุ สะดวก ใช้ง่าย ทำได้ที่บ้าน (Home use) เจลลดอาการเสียวฟันจากฟันสึก ใช้ได้ทุกโอกาส แม้ระหว่างรับประทานอาหาร ลดอาการทันที หนึ่งในนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงาน   BIZ : #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาโดยทีมคณาจารย์หลักสูตรสหสาขาทันตชีววัสดุศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทดีแอนด์เอ็นรีเสิร์ช จำกัด เพื่อผลิตและจำหน่าย ติดต่อสอบถามได้ที่ร้านค้าโอสถศาลา (เฟซบุ๊ก : Osotsala) หรือ ไลน์ : @DandNresearch   ‘ฟลูออไรด์เจล’ ป้องกันฟันผุ ทญ.นงลักษณ์ ธัญญะกิจไพศาล ผู้จัดการทั่วไป บริษัทดีแอนด์เอ็นรีเสิร์ช จำกัด เล่าว่า ฟลูออไรด์เป็นสารที่มีประสิทธิภาพช่วยป้องกันและลดการเกิดฟันผุ โดยทั่วไปทันตแพทย์แนะนำคนไข้เคลือบฟลูออไรด์ทุกๆ 6 เดือน แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ทำให้การพบทันตแพทย์เป็นเรื่องลำบากยุ่งยาก จึงเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ ทีมคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกันพัฒนา ‘ฟลูออไรด์เจล (F Pen)’ ต่อยอดจากเจลฟลูออไรด์นำเข้าที่ใช้ในสถานพยาบาลหรือคลินิกมาวิจัยพัฒนาปรับความเข้มข้น และความเป็นกรด-ด่าง ให้มีเอกลักษณ์เหมาะกับความต้องการของคนไข้ในการใช้งานในแต่ละวันได้อย่างปลอดภัย     จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นวัตกรรมฟลูออไรด์เจล คือมีลักษณะเหมือนแท่งปากกา ใช้ง่าย ไม่ต้องใช้ถาดพิมพ์ฟันให้ยุ่งยาก ทำหลังการแปรงฟันหรือเมื่อต้องการใช้ เพียงแค่หมุนให้เจลออกมาที่หัวแปรง จากนั้นทาบางๆ เพื่อให้ฟลูออไรด์สัมผัสและเคลือบผิวฟัน โดยทาบริเวณด้านในและด้านนอกของผิวฟันทุกซี่ โดยอาจทาเน้นฟันที่มีโอกาสเกิดฟันผุได้ง่าย ทิ้งไว้ 30 นาทีก่อนรับประทานอาหาร หรือก่อนนอน เหมาะสำหรับบุคคลที่เสี่ยงฟันผุ เนื่องจากการดูแลสุขภาพไม่เพียงพอ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ การรับประทานขนมหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลระหว่างวัน ผู้ที่ใส่ฟันปลอมหรือจัดฟัน รวมถึงผู้ป่วยติดเตียง นอกจากนี้ยังมีฟลูออไรด์เจลชนิดความเข้มข้นสูง หรือ F5000 สำหรับผู้ป่วยฉายรังสีเพื่อการรักษาบริเวณใบหน้าและลำคอที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ โดยฟลูออไรด์ความเข้มข้นสูงนี้ต้องเป็นกรณีทันตแพทย์สั่งจ่ายเท่านั้น   ‘เจลลดอาการเสียวฟัน’ จากปัญหาฟันสึก สำหรับผู้ที่มีอาการเสียวฟัน ทญ.นงลักษณ์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรม ‘เจลลดอาการเสียวฟัน’ ว่า มีผลช่วยบรรเทาอาการเสียวฟันสาเหตุจากฟันสึกจากการแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี ลวดฟันปลอมขูดคอฟัน การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวจัดหรือเย็นจัด รวมถึงอาการเสียวฟันหลังการขูดหินปูนและฟอกสีฟัน ทั้งนี้ไม่สามารถใช้ลดอาการเสียวฟันจากฟันผุได้     จุดเด่นของเจลลดอาการเสียวฟัน คือมีสารออกฤทธิ์หลัก ได้แก่ Calcium Phosphate-Acemannan Complex หรือ CPA ที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อฟันให้แข็งแรง ทนต่อการกัดกร่อนของกรดได้ดี พัฒนาจากกลุ่มคณาจารย์ 4Ds Project  ที่สำคัญคือมีวิธีการใช้ที่แสนสะดวก เพียงบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทาบางๆ บริเวณผิวฟันที่มีอาการ ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที จากนั้นทำกิจกรรมสังสรรค์รับประทานอาหารต่อได้ทันที โดยไม่ต้องล้างออก หรือแปรงฟันให้ยุ่งยาก   ทุกผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึงได้รับการรับรองมาตรฐานเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และได้ขึ้นทะเบียนรับรองเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand : MiT) เป็นที่เรียบร้อย เป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย ที่นักวิจัยและผู้ประกอบการไทยสามารถผลิต ‘วัสดุทันตกรรมคุณภาพดี’ ได้เองในประเทศ ซึ่งนอกจากช่วยลดการนำเข้า และเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงวัสดุการแพทย์เพื่อดูแลฟันอย่างเท่าเทียมแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ และเกิดการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) พร้อมผลักดันผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0
ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน Sustainable Manufacturing Center (SMC) จัดกิจกรรมเปิดบ้าน SMC OPEN HOUSE เป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้มาเยี่ยมชมการดำเนินงานและบริการของ SMC ในพื้นที่ EECi จ.ระยอง ซึ่งมีเครื่องมือทันสมัยสำหรับสาธิตและทดสอบเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในด้านการผลิตให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถนำไปใช้ปรับปรุงกระบวนการผลิตในโรงงาน เพื่อยกระดับสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ในอนาคต ผู้ที่สนใจบริการของ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สามารถติดตามข้อมูลหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ • www.nectec.or.th/smc • www.facebook.com/smceeci • Line @smceeci • Email : smc-business@nectec.or.th
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นักวิจัย สวทช. เจ๋ง! คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/biotec-researcher-awarded-taguchi-prize.html (24 พฤศจิกายน 2565) ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ: ดร.วิรัลดา ภูตะคาม หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับรางวัลทะกุจิ ประเภทนักวิจัยดีเด่น จากสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย ในงานประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 34 หรือ The 34th Annual Meeting of the Thai Society for Biotechnology and International Conference (TSB 2022) “Sustainable Bioeconomy: Challenges and Opportunities” จากผลงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาและจีโนไทป์สนิปประสิทธิภาพสูงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรไทยและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” โดยรางวัลดังกล่าวมอบให้แก่นักวิทยาศาสตร์ที่อุทิศตนให้กับงานวิชาการด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและมีผลงานโดดเด่น มีคุณภาพ ศักยภาพและสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ดร.วิรัลดา ภูตะคาม หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านจีโนมิกส์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ทั้งด้านการแพทย์ อุตสาหกรรม รวมถึงการเกษตร เช่น การใช้เครื่องหมายโมเลกุลในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งช่วยย่นระยะเวลา ประหยัดแรงงานและทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชเศรษฐกิจได้อย่างมาก โดยเดิมทีเครื่องหมายโมเลกุลที่ได้รับการพัฒนาและใช้งานเป็นหลักในประเทศไทย คือไมโครแซทเทลไลต์ (microsatellite) ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ใช้กำลังคนสูง และใช้เวลานาน นอกจากนี้ความถี่ในการเกิดไมโครแซทเทลไลต์ในจีโนมพืชไม่สูงเท่าการเกิดเครื่องหมายโมเลกุลสนิป จึงเป็นที่มาของผลงานวิจัย “การพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาและจีโนไทป์สนิปประสิทธิภาพสูงเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรไทยและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” ซึ่งเป็นการพัฒนากระบวนการที่สามารถค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลสนิปโดยไม่ขึ้นกับฐานข้อมูลลำดับเบสที่มีอยู่ (genotyping-by-sequencing, GBS) ส่งผลให้สามารถค้นหาสนิปได้จำนวนมาก ในระยะเวลารวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายไม่สูง เป็นเทคโนโลยีซึ่งทีมวิจัยจีโนมิกส์พัฒนาขึ้นเป็นกลุ่มแรกในประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น การค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลสนิปที่สัมพันธ์กับความสูงของปาล์มน้ำมันเพื่อพัฒนาพันธุ์ปาล์มต้นเตี้ย การตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์อย่างรวดเร็วและแม่นยำในพืชตระกูลแตงซึ่งมีมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงถึง 193 ล้านบาทในระหว่างปี 2562-2564  นอกจากการใช้งานในเชิงพาณิชย์ยังมีการประยุกต์ใช้ในการศึกษาประชากรพันธุศาสตร์ เช่น การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนที่อยู่ในบัญชีแดง หรือการศึกษาประชากรพันธุศาสตร์ของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น ละมั่ง เก้งหม้อ เหยี่ยว และพญาแร้งเพื่อการอนุรักษ์ รวมถึงการศึกษาในพืชสมุนไพรอย่างกระชายดำ บัวบก ขมิ้นชัน กัญชา กัญชงและกระท่อม ปัจจุบันนี้มีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายแห่งหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้เทคโนโลยี GBS มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์เศรษฐกิจไทยแบบก้าวกระโดด และมีศักยภาพที่จะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสินค้าทางการเกษตรในระยะยาว รวมถึงการใช้งานในด้านการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
Uncategorized
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 7 ประจำเดือนตุลาคม 2565
ข่าว สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำรัสในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ ศ. ดร.ชูกิจ เปิดวิสัยทัศน์ นโยบายการบริหาร สวทช. ครั้งแรกกับบุคลากร สวทช. ในเวทีกิจกรรม NSTDA DAY นาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีอนุภาคกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ส่งต่อเอกชนสู่นวัตกรรมความงามถึงมือผู้ใช้ สหภาพยุโรปและประเทศไทยลงนามความร่วมมือเพื่อผลักดันด้านการวิจัยขั้นแนวหน้า สวทช. คว้า 3 รางวัลเลิศรัฐ ผอ.สวทช. ปลื้ม พร้อมเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ฯ แก้ปัญหาประเทศ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงฯ สวทช. นำร่องติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานฯ “สถานีชาร์จเรือไฟฟ้า” นำเที่ยวชุมชนวิสาหกิจนครเนื่องเขต จ.ฉะเชิงเทรา สวทช.-พันธมิตร อัพสกิลผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้สัก จ.แพร่ สวทช. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ-สถาบันการศึกษา ผนึกกำลังนำ วทน. ส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ/บุคลากรสายวิชาการ สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการอบรมครูแกนนำ “การสร้างสรรค์นวัตกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโรงเรียนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG” สวทช. ผนึกพันธมิตรยกระดับคุณภาพ-มาตรฐานการปลูกพืชสมุนไพร ใช้กลไกตลาดนำการผลิต สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลา สวทช. ผนึกพันธมิตร 40 หน่วยงาน จัดยิ่งใหญ่ งาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) โชว์กว่า 200 ผลงาน ‘นวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจ’ สวทช.-พันธมิตร จัดใหญ่ Thai-BISPA DAY 2022 ฉลอง 13 ปี สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย ทีมเยาวชนเจ๋ง คว้าสุดยอดรางวัล  Intel AI Global Impact Festival ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศผลรางวัลโครงการ Software Park – WealthMagik 3 ทีมสุดเจ๋งคว้ารางวัลชนะเลิศ เวทีเงินออมสร้างชาติ ซีซั่น 7 “ออมลงทุน คุณทำได้” 3 หน่วยงานรัฐ เสริมแกร่งท้องถิ่น ใช้ Traffy Fondue ‘ไลน์สร้างสุข’ บริการประชาชน “เจอ แจ้ง จบ สะดวก รวดเร็ว ประทับใจ” สวทช. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับมัธยมศึกษา กับหน่วยงานภาคีเครือข่าย ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของโรงเรียนในโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว Ve-Chick (วีชิค) ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืชจากแล็บ สู่เชิงพาณิชย์ ตอบรับกระแสอาหารเพื่อสุขภาพ สวทช. สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนประเทศ ขนงานวิจัยร่วมมหกรรมด้านความยั่งยืน Sustainability Expo 2022 มรภ.ราชนครินทร์ จับมือ สวทช. และภาคเอกชน มุ่งเสริมกำลังสมรรถนะ‘บุคลากร-นักศึกษา’ ตอบโจทย์ภาคการผลิต สู่การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG   บทความ สวทช. พัฒนาชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยหลักไฟฟ้าสถิต ลดปัญหาฝุ่น PM2.5    Download เอกสารฉบับเต็ม (16.6 MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
“Aqua-IoT” นวัตกรรมดูแลสัตว์น้ำเพื่อเกษตรกรไทย
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/aqua-iot-innovation-for-aquaculture-4-0.html   อุตสาหกรรมสัตว์น้ำเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศไทย อย่างไรก็ตามการที่อุตสาหกรรมนี้จะเติบโตอย่างยั่งยืนได้จำเป็นต้องอาศัยความเข้มแข็งในการผลิต ทั้งความเชี่ยวชาญของเกษตรกร รวมไปถึงการพัฒนายกระดับเทคโนโลยีการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำให้สอดรับกับยุคเกษตร 4.0 เพื่อให้ไทยพร้อมรับความท้าทายและโอกาสในการแข่งขันในระดับโลกมากยิ่งขึ้น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมยกระดับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพด้วยเทคโนโลยี IoT หรือเรียกในที่นี้ว่า “Aqua IoT”   [caption id="attachment_38269" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. กล่าวว่า หลังจากเกิดปัญหาโรคระบาดในสัตว์น้ำครั้งใหญ่ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเกษตรกรและภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในปี 2553 เนคเทคได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ผ่านโครงการพัฒนา ‘ระบบและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับสัตว์น้ำ (GII)’ ซึ่งนักวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์เฝ้าระวังความเสี่ยงในการเพาะเลี้ยงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และในปี 2563 ได้ขยายผลสู่ ‘โครงการยกระดับผู้ประกอบการสัตว์น้ำด้วยระบบตรวจสอบสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งกายภาพ เคมี และชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยี IoT (Aqua-IoT) ในพื้นที่ภาคตะวันออก’ ซึ่งดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้วเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา จุดแข็งสำคัญของเทคโนโลยี Aqua-IoT ที่เนคเทคและศูนย์วิจัยแห่งชาติภายใต้ สวทช. ร่วมกันพัฒนาขึ้น คือการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์เฝ้าระวังความเสี่ยงในการเพาะเลี้ยง ทั้งจากสภาพน้ำ อากาศ รวมถึงสารเคมีและจุลินทรีย์ ไว้ในฐานข้อมูล (Dashboard) เดียว เพื่อให้เกษตรกรเห็นถึงความเชื่อมโยงของข้อมูล วิเคราะห์ผลง่าย และแก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างทันกาล ดร.ศุภนิจ อธิบายว่า ภายในชุดเทคโนโลยี Aqua-IoT ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลัก 4 อย่าง เทคโนโลยีแรกคือระบบตรวจวัดสภาพน้ำและอากาศ ระบบตรวจวัดสภาพน้ำจะตรวจวัดอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าออกซิเจนละลายในน้ำ ส่วนระบบตรวจวัดสภาพอากาศจะตรวจวัดทิศทางและความเร็วลม ปริมาณแสง และปริมาณน้ำฝน ซึ่งข้อมูลภาพรวมจากระบบนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคำนวณการเปิด-ปิดระบบตีน้ำและปริมาณอาหารที่เหมาะสม   [caption id="attachment_38264" align="aligncenter" width="700"] ระบบตรวจวัดสภาพน้ำและอากาศ[/caption]   “เทคโนโลยีที่สองคือระบบกล้องตรวจจุลชีวะขนาดเล็กในน้ำ สำหรับตรวจสอบการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำในวัยอนุบาลและปรสิต เทคโนโลยีที่สามคือระบบอ่านค่าสารเคมีแทนการดูด้วยตาสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง ใช้แปลผลการตรวจจากชุดตรวจสารเคมี ได้แก่ ไนไตรต์ แอมโมเนีย คลอรีน ฟอสเฟต และค่ากรด-ด่าง เพื่อลดความผิดพลาดในการแปลผลด้วยวิธีปกติ ซึ่งใช้การเทียบสีที่ปรากฏบนชุดตรวจด้วยตาเปล่า เทคโนโลยีหลักสุดท้ายคือระบบตรวจรูปแบบของจุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สำหรับตรวจสอบจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และโทษ เพื่อนำข้อมูลไปปรับปริมาณจุลินทรีย์ในบ่อให้เหมาะสม โดยทีมวิจัยได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. นำชุดตรวจเชื้อก่อโรคทั้งในกุ้งและปลามาบูรณาการนำผลการตรวจเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลออนไลน์แบบอัตโนมัติด้วย เพื่อให้เกษตรกรตรวจสอบข้อมูลจากทุกอุปกรณ์และชุดตรวจได้ง่ายจากทุกที่ทุกเวลา ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และระบบแจ้งเตือนทุกเช้า-เย็น ทางไลน์แชตบอต”   [caption id="attachment_38265" align="aligncenter" width="700"] ระบบกล้องตรวจจุลชีวะขนาดเล็กในน้ำ[/caption]   [caption id="attachment_38266" align="aligncenter" width="700"] ระบบอ่านค่าสารเคมีแทนการดูด้วยตาสำหรับตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง[/caption]   [caption id="attachment_38275" align="aligncenter" width="700"] ระบบตรวจรูปแบบของจุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ[/caption]   [caption id="attachment_38274" align="aligncenter" width="700"] ชุดตรวจโรคกุ้ง[/caption]   ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดชุดเทคโนโลยี Aqua-IoT ให้แก่บริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว ค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบ Aqua-IoT อยู่ที่ประมาณ 200,000 บาทต่อบ่อ ซึ่งหากเทียบกับผลกำไรที่ได้จากการเพาะเลี้ยง การลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและอาหารสัตว์ รวมถึงการลดความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิตจากการติดเชื้อหรือความไม่สมดุลในระบบเพาะเลี้ยง ถือว่าคุ้มค่าสูง และคืนทุนได้ตั้งแต่รอบการผลิตแรก ดร.ศุภนิจ เสริมว่า นอกจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว ทีมวิจัยและผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยียังให้ความสำคัญเรื่องการขยายผลสู่การใช้งานจริง โดยในปี 2563 ได้ร่วมกันนำร่องถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์อุปกรณ์อย่างคุ้มค่า ให้แก่เกษตรกรในภาคตะวันออก ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานทีมงานได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำการทำงาน และร่วมแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกษตรกรต้องเผชิญ เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งมากพอที่จะยกระดับการทำเกษตรของตนเองได้อย่างยั่งยืน     การได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทำให้นักวิจัยได้ทราบถึงปัญหาและความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริง ตัวอย่างเทคโนโลยีที่นักวิจัยกำลังพัฒนา เช่น เครื่องนับจำนวนลูกกุ้งแบบอัตโนมัติเพื่อควบคุมความหนาแน่นของกุ้งในบ่อเลี้ยง เครื่องยกยอเพื่อคำนวณปริมาณกุ้งในบ่อแบบอัตโนมัติสำหรับคำนวณปริมาณอาหารให้เหมาะสม ลดการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ และรักษาคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง ดร.ศุภนิจ ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ทีมวิจัยอยากสื่อสารไปยังเกษตรกร คือ อยากให้ทุกคนกล้าใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการยกระดับการทำเกษตรของตน และกล้าที่จะคิดว่าปัจจุบันยังขาดเทคโนโลยีอะไรที่จะช่วยให้การทำการเกษตรของตนมีประสิทธิภาพขึ้นได้ เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรายอื่นๆ ด้วย การที่เกษตรกรทุกคนเลี้ยงได้รอดทุกบ่อ ทุกฤดูการผลิต ถือเป็นความหวังสูงสุดในการนำพาประเทศไทยหวนคืนสู่การเป็นผู้ส่งออกสัตว์น้ำอันดับต้นของโลกอีกครั้ง นอกจากเสียงบอกเล่าด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีของนักวิจัย เกษตรกรผู้มีประสบการณ์การใช้งาน Aqua-IoT ได้สะท้อนถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้เอาไว้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน   [caption id="attachment_38268" align="aligncenter" width="700"] คุณอุดร ส่งเสริม เจ้าของวศินฟาร์ม จังหวัดระยอง[/caption]   คุณอุดร ส่งเสริม เจ้าของวศินฟาร์ม จังหวัดระยอง เล่าว่า ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดในการนำ Aqua-IoT มาใช้ในฟาร์มเลี้ยงกุ้งของตน คือ การประหยัดเวลาในการทำงาน ไม่ต้องคอยเฝ้าระวังที่หน้าบ่ออยู่ตลอดเหมือนแต่ก่อน แม้ตอนนี้จะเริ่มต้นลงทุนที่ 1 บ่อ แต่ข้อมูลจากบ่อหนึ่งก็สามารถนำไปปรับใช้กับบ่ออื่นๆ รวมถึงกับฟาร์มอื่นที่อยู่ในละแวกเดียวกันได้ โดยเฉพาะเรื่องอุณหภูมิของน้ำซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าออกซิเจนละลายน้ำ ทำให้จากที่เคยต้องเปิดเครื่องตีน้ำเต็มกำลัง เหลือเปิดเฉพาะช่วงที่ค่าออกซิเจนลดลงเท่านั้น ทำให้ประหยัดค่าไฟลงได้มาก นอกจากนี้การที่เราทราบถึงค่าความผิดปกติของสารเคมีในน้ำหรือการระบาดของโรคอย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่ม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยับยั้งความเสียหาย เพราะหากสัตว์น้ำตายยกบ่อ สิ่งที่เสียไปไม่ใช่แค่ต้นทุนที่ลงไป แต่ยังสูญเสียกำไร เวลา และโอกาสทางการตลาดอีกด้วย     Aqua-IoT เทคโนโลยีเพื่อเสริมความเข้มแข็งในการทำอุตสาหกรรมสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรไทย ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บทความ “Aqua-IoT” นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มสัตว์น้ำ  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
วิจัยใช้ดี ep1 : จริงหรือไม่? 100 สตาร์ตอัป รอดเพียง 1 เท่านั้น!!
มักจะมีคำพูดที่ได้ยินกันบ่อยครั้งว่า "ใน 100 บริษัทสตาร์ตอัป จะมีรอดแค่ 1 บริษัทเท่านั้น"   นั่นอาจเป็นคำเปรียบเทียบที่อิงกับปรากฏการณ์การเกิดใหม่ของบริษัทสตาร์ตอัปในบ้านเรา ซึ่งเรียกได้ว่า เกิดง่าย แต่ยังไม่สามารถหาแนวทางที่ชัดเจน เพื่อเดินหน้าให้ธุรกิจไปสู่เป้าหมายได้   แต่ไม่ใช่สำหรับ "นายธีรพงศ์ สมุทรอัษฎงค์" ผู้ก่อตั้ง บริษัทซีเมด เมดิคอล จำกัด บริษัทด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของคนไทย ที่เกิดมาจากสตาร์ตอัปไทย ก้าวไปสู่ บริษัทจำกัด ในเวลาไม่นานนัก ผลงานต่อยอดนวัตกรรมจาก ‘วีลแชร์ยืนได้’ สู่ ‘เครื่องยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย’ หรือ CMED Hoist มีจุดโดดเด่นที่ การมองหาความแตกต่างของเทคโนโลยี เพื่อสร้างเป็น ‘จุดแข็ง’ ให้สินค้านวัตกรรมทางการแพทย์ได้อย่างลงตัว   ทำให้วันนี้นวัตกรรม CMED Hoist นำไปใช้จริงในสังคมแล้วถึง 600 ชิ้น ที่สำคัญยังเตรียมเข้า ‘ตลาดภาครัฐ’ หรือบัญชีนวัตกรรมไทย ตลาดสำคัญที่ช่วยตอบโจทย์สินค้านวัตกรรมที่เหมาะกับสังคมอายุยืนของไทยในเวลานี้ด้วย   ชวนติดตาม วิจัยใช้ดี ep.1 ที่จะทำให้เห็น ‘เทคนิคการเรียนลัด’ และแนวทางไปสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จของ ‘สตาร์ตอัป’ ที่ก้าวสู่ ‘บริษัทจำกัด’ ได้ไม่ยากนัก
คลิปสั้นทันเหตุการณ์