ผลการค้นหา :

เทคโนโลยีการจับคาร์บอน (carbon capture)
เรียนรู้หลักการของเทคโนโลยีการเก็บและการจับคาร์บอน (carbon capture and storage (CCS) technology) และเทคโนโลยีการเก็บ การใช้ประโยชน์ และการจับคาร์บอน (carbon capture, utilization and storage (CCUS) technology) รวมถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนและความจำเป็นในการขับเคลื่อน และเหตุผลหลักที่ทำให้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนมีอนาคตที่ดี
เหมือนหรือต่างระหว่างหลักการของเทคโนโลยี CCS และ CCUS
เทคโนโลยี CCS เกิดขึ้น เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ เทคโนโลยี CCS เกี่ยวข้องกับการจับคาร์บอนจากอุตสาหกรรมและกระบวนการผลิต และขนส่งคาร์บอนไปยังโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อยู่ชั้นใต้ดิน (underground geological formations) เพื่อไม่ให้คาร์บอนไปทำลายชั้นบรรยากาศและไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก (greenhouse effect) ส่วนเทคโนโลยี CCUS เหมือนกับเทคโนโลยี CCS ในบางขั้นตอน แต่ไม่มีการขนส่งคาร์บอนไปชั้นใต้ดิน คาร์บอนจะถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ที่สามารถนำไปใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมอื่น หรือเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและพลาสติกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
ประโยชน์ของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนและความจำเป็นในการขับเคลื่อน
การใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนอย่างกว้างขวางจะช่วยทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้โดย the Center for Climate and Energy Solutions (C2ES) พบว่า เทคโนโลยีการจับคาร์บอน ถ้าได้รับการจัดการที่มีประสิทธิภาพสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่ 14 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2050 เมื่อพิจารณาร่วมกับมาตรการลดคาร์บอนอื่นๆ เทคโนโลยีการจับคาร์บอนเป็นตัวสำคัญที่สุดในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) บอกว่า เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องอยู่ในแผนการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก รายงานโดย McKinsey พบว่า การใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนทั่วโลกต้องขยาย 120 เท่า จากระดับปัจจุบันในปี 2050 เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ตะวันออกกลางใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนนำหน้าภูมิภาคอื่นในโลก
เทคโนโลยีการจับคาร์บอนช่วยลดปัญหาความแห้งแล้งของภูมิภาคที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อากาศที่ร้อนและแห้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดอากาศที่รุนแรง เช่น คลื่นความร้อน และความแห้งแล้ง ในสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจาก NASA ในปี 2050 มากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของโลก จะเจอปัญหาความแห้งแล้ง ข้อมูลโดย the UN Convention to Combat Desertification (UNCCD) ความแห้งแล้งทำให้ 650,000 คน เสียชีวิตระหว่างปี 1970 และ 2019 ทำให้เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก และทำให้ประมาณ 55 ล้านคน ได้รับผลกระทบทั่วโลกต่อปี รายงานโดย UN
งานวิจัยของ Bloomberg NEF เมื่อเร็วๆ นี้ รายงานว่า การกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 1.5-15.5 กิกะตัน จะเกิดขึ้นในปี 2030-2050 เพื่อทำให้การร้อนขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่มากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทำนายว่า 10 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์ จะถูกกำจัดเป็นประจำทุกปีจากบรรยากาศในปี 2050 และเพิ่มการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 20 กิกะตันต่อปี ในปี 2100
เหตุผลหลักที่ทำให้เทคโนโลยีการจับคาร์บอนมีอนาคตที่ดี
1. อุตสาหกรรมหนักกำลังใช้เทคโนโลยีการจับคาร์บอน
2. รัฐบาลทั่วโลกกำลังสนับสนุนเทคโนโลยีการจับคาร์บอน
3. ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดการแก้ปัญหาข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยีการจับคาร์บอนมากขึ้น
เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ต้องมีการพูดคุยระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาการจัดการคาร์บอนและภูมิอากาศ
Climate change สร้างผลกระทบและความเสียหายต่อโลก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีการจับคาร์บอน เพื่อไม่ให้คาร์บอนไปทำลายชั้นบรรยากาศและไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ทั้งนี้ต้องการความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาล ต้องมีการพูดคุยระหว่างภาคเอกชนและรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาการจัดการคาร์บอนและภูมิอากาศ เทคโนโลยีการจับคาร์บอนต้องอยู่ในแผนการลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก
ที่มา:
1. Ayla Majid (October 16, 2023). Why carbon capture is key to reaching climate goals. https://www.weforum.org/agenda/2023/10/why-carbon-capture-is-key-to-reaching-climate-goals/
2. Jason Kraynek (October 5, 2022). 3 reasons why the future of carbon capture looks promising. https://www.weforum.org/agenda/2022/10/3-reasons-why-future-of-carbon-capture-looks-promising/
3. Victoria Masterson (August 2, 2022). These NASA images show the staggering impact of drought. https://www.weforum.org/agenda/2022/08/nasa-lake-mead-water-drought/
คลังความรู้
นานาสาระน่ารู้

diigo เว็บไซต์จัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ที่สนใจ
diigo เป็นเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ในการทำ social bookmarking
social bookmarking เหมือนการจัดเก็บเว็บไซต์ทั่วไป แต่มีการแบ่งปันเว็บไซต์ที่ถูกเก็บกับผู้ใช้ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอื่น ๆ เมื่อพบเว็บไซต์ที่สนใจ บันทึกเว็บไซต์นั้นเข้าไปในเว็บไซต์ diigo จะทำให้สามารถเข้าสู่เว็บไซต์ที่สนใจที่ไหนก็ได้ตอนไหนก็ได้ ข้อดีอีกข้อของ social bookmarking คือ ทำให้การทำวิจัยง่ายขึ้น โดยนักวิจัยสามารถพบเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บที่มีเนื้อหาในเรื่องที่สนใจโดยง่ายจากการติดตามการจัดเก็บเว็บไซต์ของนักวิจัยคนอื่น ๆ ผ่านเว็บไซต์ diigo
diigo ช่วยในการจัดการกับเนื้อหาของเว็บไซต์ที่สนใจ ที่ถูกจัดเก็บในเว็บไซต์ diigo สามารถเพิ่มคำอธิบายลงไปในหน้าเว็บไซต์ โดยการเน้นหรือใส่ข้อความสั้น ๆ ลงไปในเนื้อหา ให้ tags ประกอบกับเนื้อหาเพื่อง่ายต่อการสืบค้นภายหลัง จัดการเนื้อหาให้เป็นระบบโดยฟังก์ชัน outliner สามารถให้เรื่องการจัดการกับเนื้อหาสามารถเห็นได้เพียงผู้จัดการเนื้อหาเพียงผู้เดียวหรือเห็นโดยบางคนได้
diigo เป็นเครือข่ายทางสังคม สามารถออกแบบให้สังคมเป็นแบบไหน อนุญาตให้มีผู้ติดตามและติดตามผู้ใช้อื่น ๆ และมองหาว่าผู้ใช้จัดเก็บเว็บไซต์อะไรในเว็บไซต์ diigo นอกจากนี้ยังสามารถสร้างกลุ่ม เชิญผู้ใช้บางคนเข้าร่วมกลุ่ม มีการแบ่งปันเนื้อหาในกลุ่ม
วิธีเริ่มต้นใช้งานเว็บไซต์ diigo
เข้าใช้งานได้ฟรี โดยสร้าง account ที่เว็บไซต์ (https://www.diigo.com/) นอกจากนี้ยังมีหลายทางเลือกในการใช้งานแบบมีค่าใช้จ่าย การเข้าใช้งานแบบฟรีพอสำหรับผู้ใช้งานเบื้องต้น
วิธีสร้างกลุ่มในเว็บไซต์ diigo
เมื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ diigo ได้แล้ว จะพบ 4 เครื่องมือ ได้แก่ My Library My Outliner My Groups และ Tools คลิกที่ My Groups ต่อจากนั้นสร้างกลุ่มตามต้องการ กลุ่มของ diigo ทำให้ผู้ใช้ที่อยู่ในกลุ่มเพิ่มการจัดเก็บเว็บไซต์ เน้นเนื้อหา ใส่ข้อความสั้น ๆ ลงไปในเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้สิ่งเหล่านี้เห็นเพียงตนเองและบางคน
วิธีจัดเก็บเว็บไซต์
จากเครื่องมือทั้ง 4 Tools จะช่วยในการจัดเก็บเว็บไซต์ เมื่อพบเนื้อหาออนไลน์ที่สนใจเหมาะสำหรับงานวิจัย ต้องจัดเก็บเว็บไซต์นั้นในเว็บไซต์ diigo
วิธีใส่ข้อความอธิบายในเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บ
หลังจากจัดเก็บเว็บไซต์ในเว็บไซต์ diigo สามารถเน้นเนื้อหา เพิ่มความเห็น โดยใช้ฟังก์ชัน highlight และ sticky notes
ที่มา:
1. https://www.diigo.com
2. Marcy Marbut (April 3, 2014). Diigo. https://sites.stedwards.edu/socialmedia-mmarbut/2014/04/03/diigo/
3. ALSC Children and Technology committee (December 14, 2013). Using Diigo. https://www.alsc.ala.org/blog/2013/12/using-diigo/
4. Sunita Singhal (May 20, 2020). Diigo- An ICT Tool For Knowledge Dissemination. https://www.linkedin.com/pulse/diigo-ict-tool-knowledge-dissemination-sunita-singhal
คลังความรู้
นานาสาระน่ารู้

นาโนเทค สวทช. พัฒนา ‘ชุดตรวจโรคไตรู้ผลได้ใน 5 นาที’ มุ่งเพิ่มโอกาสคนไทยรอดพ้นจากโรคไตเรื้อรัง
เวอร์ชันภาษาไทย อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2568
For English-version news, please visit : NANOTEC-NSTDA introduces affordable kidney disease screening tests
องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เผย 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีอาการไตทำงานผิดปกติ และมีผู้ป่วยประมาณ 1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากอาการไตวายเรื้อรังเนื่องจากไม่ได้เข้ารับการรักษา ขณะที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนประชากรเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึงร้อยละ 17-22 ในปี 2552 (ข้อมูลจาก Thai SEEK) และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 26 ในบางพื้นที่ (ข้อมูลจาก CKDNET ในปี 2565) ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักทราบว่าตนเป็นโรคไตเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 หรือระยะที่มีอาการป่วยปรากฏให้เห็นแล้ว ทำให้ไม่สามารถบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกไตที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 200,000 บาทต่อคนต่อปี
ด้วยอัตราการป่วยที่มีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานทั้งด้านการวิจัย การแพทย์ และสาธารณสุขไทย จึงได้ร่วมกันหาแนวทางพัฒนาวิธีการตรวจคัดกรองโรคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้อย่างทันท่วงที ล่าสุด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรมคัดกรองโรคไต ได้แก่ AL-Strip (อัล-สตริป) ชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพ สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถตรวจได้ง่ายด้วยตนเอง ทราบผลความเสี่ยงได้ภายใน 5 นาที และ GO-Sensor Albumin Test (โก-เซนเซอร์ อัลบูมิน เทสต์) ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ทราบผลตรวจได้ภายใน 10-30 นาที
2 เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสคัดกรองโรค
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้ตั้งแต่ระยะต้นเกิดจาก ‘ค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง’ ซึ่งมีตั้งแต่หลักร้อยถึงพันบาท ขึ้นอยู่กับความละเอียดในการตรวจ นอกจากนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ให้บริการตรวจยังมีไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือสถานพยาบาลที่พร้อมส่งต่อให้บริษัทเอกชนด้านเทคนิคการแพทย์ดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการให้เท่านั้น ดังนั้นการมี ‘ชุดตรวจที่เข้าถึงง่าย’ จึงเป็นหนทางที่จะช่วยลดช่องโหว่ดังกล่าว และนั่นเป็นที่มาให้ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. เข้าร่วมภารกิจอันท้าทายนี้
[caption id="attachment_49395" align="aligncenter" width="450"] ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช. เล่าว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุระดับนาโนและการประยุกต์ใช้เป็นเซนเซอร์ทางด้านการแพทย์ มาพัฒนาชุดตรวจโรคไตสำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี ประกอบด้วย ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ โดยเทคโนโลยีแรก ‘AL-Strip’ ซึ่งผู้พัฒนาหลักคือ ดร.สาธิตา ตปนียกร เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลการตรวจได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญชุดตรวจมีราคาจับต้องได้
[caption id="attachment_66675" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption]
[caption id="attachment_66677" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption]
“AL-Strip ใช้งานง่าย เพียงผู้ตรวจหยดปัสสาวะที่เก็บใหม่ลงบนแถบตรวจ แล้วอ่านผลจากแถบสีที่ปรากฏ (คล้ายกับการใช้ชุดตรวจ ATK ในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19) ก็จะทราบผลการคัดกรองได้ทันที โดยหากผู้ตรวจมีปริมาณอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นสารประกอบหลักของเลือดเจือปนอยู่ในปัสสาวะเกิน 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ชุดตรวจจะขึ้นแถบสี 1 ขีด หมายถึง ‘มีความเสี่ยงเป็นโรคไตสูง’ ผู้ตรวจควรเข้ารับการตรวจโดยละเอียดที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติของร่างกาย และเข้ารับการรักษาตามระยะของความผิดปกติ หากผู้ป่วยตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ซึ่งอาจทำให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้”
AL-Strip ไม่เพียง ‘ตรวจง่าย’ แต่ยังมีจุดแข็งเรื่อง ‘ราคาที่จับต้องได้’ ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. จึงมุ่งเป้าให้ชุดตรวจนี้เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญด้านการคัดกรองโรคไตแบบเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย
ดร.เดือนเพ็ญ เล่าต่อถึงเทคโนโลยีที่สอง GO-Sensor Albumin Test ว่า เป็น ‘ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ เพื่อการวิเคราะห์ผลทางการแพทย์’ โดยทีมวิจัยได้พัฒนาใน 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องตรวจปริมาณอัลบูมินที่เจือปนอยู่ในปัสสาวะ ที่ใช้เวลาในการประมวลผลเพียง 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับความละเอียดของข้อมูลที่ต้องการ (ตรวจได้ครั้งละ 1 ตัวอย่าง) ภายหลังจากเครื่องประมวลผลเสร็จ ระบบจะส่งข้อมูลเข้าสู่แดชบอร์ด (dashboard) ที่ดูได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน เพื่อให้แพทย์นำผลการตรวจไปใช้งานต่อได้สะดวก ส่วนที่สองคือน้ำยาตรวจที่มีความจำเพาะกับอัลบูมินของมนุษย์ มีความไว (sensitive) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจทั่วไปประมาณ 100 เท่า ช่วยลดปริมาณน้ำยาที่ใช้ในการตรวจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญทั้งเครื่องอ่านผลและน้ำยาตรวจผ่านการพัฒนาให้มีราคาที่สถานพยาบาลขนาดเล็กสามารถสั่งซื้อเพื่อใช้งานได้ นอกจากนี้อุปกรณ์ยังผ่านการออกแบบให้เหมาะแก่การใช้ตรวจทั้งในสถานพยาบาลและการออกตรวจนอกสถานที่ เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานด้วย
[caption id="attachment_66678" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ GO-Sensor Albumin Test[/caption]
“GO-Sensor Albumin Test จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกสถานพยาบาลเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจเชิงปริมาณเพื่อการดูแลรักษาคนไข้ในพื้นที่ โดยไม่ต้องส่งตัวคนไข้หรือส่งปัสสาวะ (ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมและนำเข้ากระบวนการตรวจภายใน 24 ชั่วโมง) ไปตรวจยังสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมสูง”
เตรียมผลักดันสู่ภาครัฐ มุ่งประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง
ทั้ง AL-Strip และ GO-Sensor Albumin Test มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในระดับ TRL7-9 หรือพร้อมแก่การผลิตเพื่อการใช้งานจริงแล้ว โดยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน นาโนเทค สวทช. ได้ผลิตอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ ‘โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (CKDNET)’ มาโดยตลอด โดยโครงการนี้มีผู้ดำเนินงานหลัก คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 7 ทั้งนี้นาโนเทค สวทช.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนในการผลิตอุปกรณ์จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปัจจุบัน AL-Strip ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว 3 เจ้า คือ บริษัทอินโนซุส จำกัด, บริษัทเมดไบโอซิน จำกัด และบริษัทไฮไลฟ์ เฮลท์ จำกัด
ดร.เดือนเพ็ญ เล่าว่า 2 ปีที่ผ่านมา นาโนเทค สวทช. ได้สนับสนุนอุปกรณ์ ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ สำหรับให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ตรวจคัดกรองโรคไตแก่ประชาชนในจังหวัดขอนแก่นมาโดยตลอด มีผู้เข้ารับการตรวจแล้วมากกว่า 1,000 คน ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นโรคไตสูงได้ทราบถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคหรือความผิดปกติของร่างกายตนเองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 7.87 ล้านบาท
“ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในระดับประเทศ ปัจจุบันนาโนเทค สวทช. กำลังสรรหาบริษัทเอกชนที่สนใจเข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมถึงมีนโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการนำผลงานทั้ง 2 เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทย โดยปัจจุบัน ทีมวิจัยได้ช่วยผลักดันให้ 1 ใน 2 ผลงานนี้เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทยสำเร็จแล้ว ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกส่งเสริมให้สถานพยาบาลจัดซื้อนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คนไทยผลิตไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งอาจเป็นช่องทางให้ภาครัฐสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคด้วยตัวเองอย่างเท่าเทียม ผ่านการติดต่อรับชุดอุปกรณ์ที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ดังที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำลังขับเคลื่อนงานด้วย”
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงความพร้อมทางด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ในประเทศไทย จะเห็นว่าปัจจุบันนอกจากนาโนเทค สวทช. ที่มีห้องปฏิบัติการที่สามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์มาตรฐาน ISO13485 เป็นของตนเองแล้ว ยังมีโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐาน ISO13485 ที่พร้อมรับจ้างผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทนี้เช่นกัน ดังนั้นหากผู้ประกอบการพร้อม ภาครัฐพร้อม การเดินหน้าผลิตอุปกรณ์เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที
ดร.เดือนเพ็ญ กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า ในการพัฒนาชุดตรวจทางการแพทย์ ทีมวิจัยไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เฉพาะเพียงเรื่องโรคไตเท่านั้น แต่ยังมองถึงภาพรวมของการสร้างระบบนิเวศในการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจโรคที่คนไทยรวมถึงคนทั่วโลกมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะโรคในกลุ่ม NCDs ด้วย ตัวอย่างโรคที่มีการพัฒนาชุดตรวจแล้ว เช่น โรคเบาหวาน ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ (medical hub) ของเอเชียได้อย่างมั่นคง
สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัย ติดต่อสอบถามได้ที่ นาโนเทค สวทช. ทางอีเมล pr@nanotec.or.th
ผู้สนับสนุนหลักในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงขับเคลื่อนสู่การใช้ประโยชน์จริง
- คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบทางคลินิก
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้คำปรึกษาด้านการขอมาตรฐานในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ให้การสนับสนุนผ่านการร่วมลงนาม MOU กับ สวทช. และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการผลักดันให้เกิดการใช้ชุดตรวจในพื้นที่ต้นแบบ
- โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบภาคสนามและการนำไปใช้ประโยชน์
- สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและนำชุดตรวจไปใช้ประโยชน์
- สถาบันพระบรมราชชนก โดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ให้การสนับสนุนด้านการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการปิงปองจราจร 7 สี ซึ่งดำเนินงานด้านการคัดกรองและติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์, สาลินีย์ ทับพิลา ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช., อัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ แชตบอตวินิจฉัยโรค ใช้งานง่าย รู้ผลทันที
For English-version news, please visit : Strawberry Disease Bot: Chatbot for strawberry disease identification
‘สตรอว์เบอร์รี’ เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรภาคเหนือมหาศาล ทั้งด้านการจำหน่ายผลสดและสินค้าแปรรูป รวมไปถึงการสร้างรายได้ผ่านการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมพื้นที่สวนและเลือกเก็บผลสตรอว์เบอร์รีสดกลับไปรับประทาน อย่างไรก็ตามหนึ่งในความเสี่ยงสูงที่เกษตรกรต้องเผชิญในการทำธุรกิจเป็นประจำทุกปี คือ การที่ต้นสตรอว์เบอร์รีติดโรค ซึ่งบางโรคมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียผลผลิตยกแปลง หากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เริ่มต้น
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง พัฒนา ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี (strawberry disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
[caption id="attachment_50501" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช.[/caption]
นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการพัฒนาบอทโรคสตรอว์เบอร์รี มาจากการร่วมกับทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนา ‘บอทโรคข้าว (rice disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่ายจนประสบความสำเร็จ ซึ่งภายหลังจากทางมูลนิธิโครงการหลวงที่ทำหน้าที่ดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในภาคเหนือด้านการเพาะปลูกพืชเมืองหนาวได้ทราบถึงข่าวผลงานวิจัยนี้ จึงติดต่อมาที่เนคเทค สวทช. เพื่อดำเนินงานความร่วมมือวิจัยและพัฒนาแชตบอตวินิจฉัยโรคพืชเมืองหนาว เพื่อให้เกษตรในภาคเหนือได้เข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตร
“ภายหลังจากร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านการเป็นพืชเศรษฐกิจ และการมีฐานข้อมูลเพียงพอต่อการเริ่มต้นพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ทีมวิจัยและมูลนิธิโครงการหลวงจึงตัดสินใจเลือกสตรอว์เบอร์รีซึ่งเป็นพืชที่ค่อนข้างมีความพร้อมสูงมาพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคแบบอัตโนมัติเป็นชนิดแรก โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนพร้อมให้เกษตรกรเข้าร่วมทดลองใช้ เพื่อช่วยกันยกระดับประสิทธิภาพในการวิเคราะห์โรคแล้ว”
[caption id="attachment_50494" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากเนคเทค สวทช. นายสัณหรัฐฐ์ สวัสดิยากร (ซ้าย) นางสาวกรรณทิพย์ กิรติรัตนพฤกษ์ (ขวา)[/caption]
บอทโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) เพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นสตรอว์เบอร์รีแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมาให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที
[caption id="attachment_50502" align="aligncenter" width="450"] ภาพตัวอย่างการใช้งานแชตบอต[/caption]
นายวศินเล่าถึงเทคโนโลยีว่า แชตบอตสามารถวินิจฉัยโรคเด่นที่พบในการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รีในประเทศไทยได้แล้ว 5 โรค ประกอบด้วย โรคแอนแทร็กซ์โนส (วินิจฉัยรอยโรคได้ทั้งที่เกิดบนไหล ใบ และผล) โรคใบไหม้ โรคราสีเทา โรคราแป้ง และโรคใบจุดสีน้ำตาล โดยปัจจุบันระบบมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ผลอยู่ที่ร้อยละ 60-70 ทั้งนี้จะมีความแม่นยำเพิ่มขึ้นตามปริมาณฐานข้อมูลที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งจะมาจากการที่เกษตรกรช่วยกันทดสอบใช้งานระบบ
“อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคจะยังไม่สูงมากนัก แต่เกษตรกรสามารถใช้งานแชตบอตได้แล้ว เพราะภายในกลุ่มจะมีเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิโครงการหลวงช่วยตรวจสอบความถูกต้องให้อีกครั้งหนึ่งด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิโครงการหลวงได้ให้คำแนะนำการใช้งานไว้ว่า ‘หากเริ่มพบความผิดปกติของโรคภายในพื้นที่เพาะปลูกควรรีบถ่ายภาพและส่งข้อมูลให้ระบบช่วยวินิจฉัยโรคทันที เพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดการใช้สารเคมีควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วย’ สำหรับในมุมของการพัฒนาระบบ ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเกษตรกรจัดส่งภาพรอยโรคเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ทีมงานได้นำไปใช้พัฒนาระบบให้ทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ เหมาะที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเกษตรกรด้านการเพาะปลูกต่อไปในระยะยาว” นายวศินกล่าวทิ้งท้าย
[caption id="attachment_50603" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการสำรวจรอยโรคที่ปรากฏบนต้นสตรอว์เบอร์รีเพื่อใช้ทำฐานข้อมูลให้ AI เรียนรู้[/caption]
[caption id="attachment_50604" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]
[caption id="attachment_50605" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]
บอทโรคสตรอว์เบอร์รีเป็นหนึ่งในตัวอย่างการยกระดับการทำการเกษตรของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนให้เกิดการทำเกษตรแบบสมัยใหม่เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงาน สอดคล้องกับการเติบโตตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้คนไทย ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’
ปัจจุบันบอทโรคสตรอว์เบอร์รีเปิดให้ใช้งานแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการเข้าร่วมกลุ่มแชตบอตได้ผ่านการสแกน QR Code นี้
[caption id="attachment_50497" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าร่วมกลุ่มแชตบอต[/caption]
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

National AI Ecosystem
การสร้างและพัฒนาระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ (AI Ecosystem) และเชื่อมโยงแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570 ยกตัวอย่างการยกระดับการให้บริการ “แพลตฟอร์ม AI For Thai” แพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทยการพัฒนาชุดข้อมูลมาตรฐานสำหรับการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการพัฒนา AI และการส่งเสริมให้เกิดการขยายผลใช้งานการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการให้ดีขึ้นของ TPMAP หรือระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบมุ่งเป้า เพื่อแก้ปัญหาความยากจนการจัดตั้งเครือข่าย AI ทางการแพทย์ (Medical AI Consortium) และการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดทางการแพทย์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและการให้บริการ AI Model ทางการแพทย์ในอนาคตกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประชาชนทั่วประเทศ ภาคธุรกิจ ภาครัฐและการศึกษา โรงพยาบาลต่างๆ
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดผลงานวิจัยจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความเสถียร ปลอดภัย สามารถรองรับข้อมูลและการทำงานของทุกภาคส่วน การสร้างเครือข่ายผู้ให้บริการ และยังสามารถพัฒนาหรือรวบรวมเทคโนโลยีฐานสำคัญทางด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศในการใช้เทคโนโลยีอันจะนำมาซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคมบนฐานของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อไปในอนาคตเกิดผลงานวิจัยจากการพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการ และประมวลผลข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ และสร้างคุณค่าให้กับข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยเน้นข้อมูลในสาขาที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงวิจัย พัฒนา และให้คำแนะนำเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อบูรณาการและวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ทั้งของภาครัฐและเอกชนแผนงาน/สิ่งส่งมอบการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567จำนวนการใช้งานบนแพลตฟอร์มบริการ AI ไม่น้อยกว่า 15 ล้านครั้งและจะให้บริการ AI เพิ่มเติมจากเดิม ไม่น้อยกว่า 2 บริการชุดข้อมูลเปิดขนาดใหญ่สำหรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ จำนวน 4 ชุดข้อมูลการเพิ่มคุณภาพการบริการของ TPMAP ซึ่งจะทำให้การออกนโยบายแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเพิ่มจำนวนพันธมิตรในเครือข่าย AI ทางการแพทย์ (Medical AI Consortium) อีก 2 พันธมิตร และเพิ่มจำนวนข้อมูลทางการแพทย์ในแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดทางการแพทย์
BCG Implementation

นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
เพื่อพัฒนาชุดตรวจคัดกรองและติดตามภาวะไตเสื่อมในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง ที่ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์กับ อย. และผลักดันเข้าสู่ระบบสาธารณสุขของไทย เพื่อนำไปสู่การเพิ่มโอกาสการตรวจคัดกรองภาวะไตเสื่อมระยะต้นให้กับประชาชน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้ามารับการตรวจในโรงพยาบาลและลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของภาครัฐในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (รวม Social Impact การลดค่าใช้จ่ายในการฟอกไต เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวาย) ตลอดจนลดการนำเข้าชุดตรวจทางการแพทย์จากต่างประเทศ
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน และผลักดันสู่การใช้ประโยชน์ในประชาชนร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และสามารถลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในการตรวจคัดกรอง และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของภาครัฐในการรักษาโรคไต มูลค่าอย่างน้อย 1,500 ล้านบาท (รวม Social Impact การลดค่าใช้จ่ายในการฟอกไต เมื่อเข้าสู่ภาวะไตวาย)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน สู่ภาคเอกชนส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมชุดตรวจคัดกรอง ติดตามโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ร่วมกับภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตร ให้ได้รับการขึ้นทะเบียน อย. และนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง
ผลงานเด่นบริษัทเอกชนที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ อย่างน้อย 1 รายสร้างความเชื่อมั่นการใช้ประโยชน์ชุดตรวจโรคไตร่วมกับพันธมิตร ด้วยการขยายผลสู่ประชาชน 2,000 คน ให้ได้รับการตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานรพ.สต./หน่วยงานในระบบสาธารณสุข เข้าร่วมตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรัง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน อย่างน้อย 9 แห่งต้นแบบนวัตกรรมชุดตรวจทางการแพทย์ภายใต้แผนงานมีระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) เพิ่มขึ้น
BCG Implementation

การพัฒนาวัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย
วัตถุประสงค์ พัฒนาต้นแบบวัคซีน สำหรับโรคระบาดในสุกรและสัตว์ปีกพัฒนาต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส FMDV (สุกร)พัฒนากระบวนการ/ชุดทดสอบโรค หรือประสิทธิภาพของต้นแบบวัคซีนต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายจากโรคระบาด กรณี ASF อย่างน้อย 15,000 ล้านบาท จากการเพิ่มการเข้าถึงของผลิตภัณฑ์ควบคุมการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยการนำไปใช้ในพื้นที่ Sandbox จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม และดำเนินงานร่วมกับกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อขยายการใช้งาน Autogenous Vaccine ในวงกว้าง กลุ่มเป้าหมายฟาร์มสุกรในพื้นที่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม (พ.ศ. 2567-2571)
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)
ลดผลกระทบจากความเสียหายจากโรคระบาด กรณี ASF อย่างน้อย 15,000 ล้านบาท จากการเพิ่มการเข้าถึงของผลิตภัณฑ์ควบคุมการระบาดของโรคอุบัติใหม่ในสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โดยการนำไปใช้ในพื้นที่ Sandbox จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ จ.ชลบุรี จำนวน 30 ฟาร์ม และดำเนินงานร่วมกับกรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลักดันการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อขยายการใช้งาน Autogenous vaccine ในวงกว้าง แผนงาน/สิ่งส่งมอบต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายผ่านการทดสอบประสิทธิภาพเซลล์ไลน์สุกรชนิดใหม่วัคซีนเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์สำหรับ ASFV ในรูปแบบ Single-Cycle และ Gene-Deleted ASFV ที่พัฒนาขึ้นจากสายพันธุ์ไทยหน่วยงานผู้ผลิต/พัฒนาวัคซีนในไทยรับถ่ายทอดเทคโนโลยี (ราย)
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567
ต้นแบบวัคซีนออโตจีนัส ASFV เชื้อตายผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพระดับห้องปฏิบัติการต้นแบบวัคซีนออโตจีนัสแบคทีเรียเชื้อตายผ่านการทดสอบในภาคสนาม (ราชบุรี)เทคนิคการสร้าง ASFV ที่มีการแสดงออกของโปรตีนอื่นด้วยวิธี Homologous recombinationกระบวนการผลิตโปรตีนของไวรัส ASFV แต่ละชนิดเพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบการสร้าง ASFV ที่เพิ่มปริมาณได้ครั้งเดียว (Single-Cycle ASFV) เพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนภูมิคุ้มกันต่อไวรัส ASFV ด้วยเทคนิค ELISA
BCG Implementation

แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล Digital Healthcare Platform
พัฒนาการบริการการแพทย์ปฐมภูมิ รวมถึงการส่งต่อไปสู่การแพทย์ทุติยภูมิ/ตติยภูมิ แก้ไขปัญหาของประชาชนในเรื่องความแออัดของหน่วยบริการสาธารณสุข และอุปสรรคในการเข้าถึงหน่วยบริการ แก้ไขปัญหาหน่วยบริการสาธารณสุขที่มีภารกิจมากและหลากหลายเกินจำนวนบุคลากรที่จะรองรับได้ และขาดเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการให้รองรับผู้ป่วยให้ได้มากขึ้น รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในการเตรียมเอกสารเพื่อเบิกจ่ายผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพ โดยมีผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้ มีแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Home Ward) แพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669) แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care) แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care) สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วประเทศได้รับประโยชน์ 800,000 คน สภาเภสัชกรรม ร้านยาเภสัชชุมชน 1,500 แห่ง
โครงการที่ 1 แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Homeward) และแพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)
ให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีการเจ็บป่วยเล็กน้อย ในแพลตฟอร์ม A-MED Care มากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 600,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยนอกสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีหน่วยบริการปฐมภูมิร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 1,500 แห่ง
ให้บริการผู้ป่วยใน (IPD) ที่มีกลุ่มโรคตามเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ในแพลตฟอร์ม A-MED Home ward มากกว่า 25,000 ครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 20,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยในสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ/ตติยภูมิ เข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 แห่ง
ให้บริการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) มียอดการเบิกจ่ายผ่านระบบฯ ไม่น้อยกว่า 500,000 ครั้งต่อปี และมีหน่วยบริการนำร่องอย่างน้อย 10 แห่ง
แผนงาน/สิ่งส่งมอบแพลตฟอร์มการให้บริการดูแลผู้ป่วยและอำนวยความสะดวก ผ่านหน่วยบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โครงการที่ 2 แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)ประชาชนคนไทยและชาวต่างประเทศเข้าถึงบริการฉุกเฉินการแพทย์ 1 ล้านคนต่อปี และมีการใช้งานในโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ 400 แห่งแผนงาน/สิ่งส่งมอบศูนย์ D1669 ที่เชื่อมต่อกับศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน โดยสามารถระบุพิกัดที่โทรแจ้ง และเชื่อมต่อกับเอกชนผ่าน EMS Gateway
โครงการที่ 3แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตาม พรบ. ของกรมควบคุมโรค (คร.) ผ่าน 1442 และแอปพลิเคชัน โดยประชาชนในโรงงานที่ติดตามสุขภาพ 1 ล้านคน มีผู้เข้ารับการอบรมการใช้งานไม่น้อยกว่า 500 แห่ง ภายใต้กรมควบคุมโรค (คร.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) โรงพยาบาลรัฐบาล ไม่น้อยกว่า 500 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน ไม่น้อยกว่า 200 แห่งแผนงาน/สิ่งส่งมอบระบบบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรค ติดตั้งให้กับกรมควบคุมโรค โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการเฝ้าระวังโรค และประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการเฝ้าระวังโรคแบบ Location-based ได้
โครงการที่ 4แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)เกิดการใช้งานโดยโรงพยาบาลรัฐบาลทั่วประเทศ รพ.สต. ทั่วประเทศ สำหรับคนพิการทางการ
ได้ยินที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่น้อยกว่า 1,000 แห่ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ 7,000 คน เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล 1,000 คน และคนพิการทางการได้ยินเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 10,000 คนแผนงาน/สิ่งส่งมอบระบบบริการล่ามทางไกลโดยการเชื่อมต่อการสื่อสาร สำหรับเข้าถึงบริการแบบปกติ แบบฉุกเฉิน และแบบ Telehealth เพื่อคนพิการทางการได้ยิน
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567
A-MED Care สำหรับร้านยา มีร้านยาเข้าร่วม 1,500 แห่งA-MED Care สำหรับคลินิกพยาบาล มีคลินิกเข้าร่วม 300 แห่งA-MED Homeward มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 500 แห่งระบบ e-Claim Gateway สำหรับการเบิกจ่าย กองทุน สปสช. มีอย่างน้อย 10 หน่วยบริการที่ใช้งานระบบ UCEP ในส่วนการประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน (Pre-Authorization) ของ สพฉ มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 300 แห่ง
A-MED Home Ward เป็น Platform สำหรับโรงพยาบาลที่ให้บริการแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และนักสังคมสงเคราะห์ ในการดูแล รักษา และติดตามอาการของผู้ป่วยในที่บ้าน ซึ่งร่วมกันพัฒนาโดยคณะนักวิจัยกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สทวช., กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพการแพทย์ปฐมภูมิ (สสป.)
เว็บไซต์หลัก https://www.nstda.or.th/digitalhealth/
BCG Implementation

การยกระดับอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียว
ยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย เข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้ Thailand i4.0 Index เป็นดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการยกระดับ
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571) :สร้างฐานข้อมูลระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ไม่น้อยกว่า 2,000 ราย และโรงงานมีแนวทางในการยกระดับสู่การผลิตที่ยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 1,000 ราย ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการต่อยอดและการขยายผลไม่น้อยกว่า 120 ล้านบาทต่อปีแผนงาน : เปิดตัวและเริ่มใช้งานระบบประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบออนไลน์ (Online Self-Assessment) ภายในปี 2567 เพื่อให้ผู้ประกอบการประเมินระดับความพร้อมฯ ได้ด้วยตนเองพัฒนาที่ปรึกษางานปรับปรุงสายการผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Manufacturing Advisor: DMA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย และเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวช่วยโรงงานลงทุนสู่อุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียว อย่างคุ้มค่าด้วยบริการที่ครบวงจร เช่นบริการประเมินความพร้อมที่สายการผลิต (On-Site Assessment) โดยผู้ประเมินที่ผ่านการรับรองจาก สวทช.บริการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ อุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียวบริการให้คำปรึกษาทางเทคนิคเบื้องต้น บริการให้คำปรึกษาเชิงลึกบริการจัดทำแผนการลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสิทธิประโยชน์ BOIบริการทดสอบ Testbedบริการถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้ และบริการรับจ้างวิจัย โดยนักวิจัย สวทช.
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567การประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบ Online Self-Assessment ไม่น้อยกว่า 500 โรงงานอุตสาหกรรมใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีของ สวทช. ที่เกี่ยวข้องกับ Industry 4.0 ไม่น้อยกว่า 100 รายการสร้างพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการขยายผลกิจกรรม Thailand i4.0 Platform ไม่น้อยกว่า 5 ราย
BCG Implementation

การพัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDG เพื่อการค้าและความยั่งยืน
พัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE และ SDG เพื่อสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายของประเทศไทย ประกอบด้วยพัฒนาข้อมูลตัวชี้วัดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนของประเทศไทย หรือ SDG 12 ให้กับสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)พัฒนาข้อมูลดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ตามเป้าหมายของหมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566 - 2570) ให้กับ สศช.พัฒนาข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม และเหล็ก/เหล็กกล้า สนับสนุนผู้ประกอบการ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับมาตรการ (Carbon Adjustment Mechanism, CBAM)พัฒนาแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนเป้าหมายของโมเดล BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียนพัฒนาฐานข้อมูลและค่ากลางขยะอาหาร (Food Waste) จากแหล่งกำเนิดต้นทางของประเทศ ให้กับกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สนับสนุนการจัดทำ (ร่าง) แผนที่นำทางการจัดการขยะอาหาร (พ.ศ. 2566 - 2573) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ
โครงการที่ 1 พัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDG เพื่อการค้าและความยั่งยืนเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)ฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องด้าน CO2, CE และ SDG เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการบรรลุเป้าหมายของหมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกในการรองรับรับมาตรการ CBAM เพื่อสนับสนุนภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนแผนงานพัฒนาตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อมูลค่าเพิ่ม (GHG emission per value added) และการบริโภคพื้นฐานต่อการใช้ทรัพยากร (Material Footprint, MF)พัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ในผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (พลาสติก วัสดุก่อสร้าง และเกษตร-อาหาร)พัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตระดับประเทศให้ทันสมัยและเหมาะสมในบริบทของไทย ได้แก่ ฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรม เพื่อรองรับมาตรการ CBAM จากฐานข้อมูลในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าเป้าหมาย
โครงการที่ 2แพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน และระบบบริหารจัดการข้อมูล Food loss & Food Waste ของประเทศเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)แพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการบรรลุเป้าหมายของโมเดล BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียนฐานข้อมูลและค่ากลางขยะอาหาร (Food Waste) จากแหล่งกำเนิดต้นทางประเภทธุรกิจค้าปลีก รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลขยะอาหารกับข้อมูลการสูญเสียอาหาร เพื่อผลักดันให้เกิดระบบบริหารจัดการข้อมูล Food loss & Food Waste ของประเทศแผนงาน พัฒนาแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเก็บข้อมูล ติดตาม และรายงานผลตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับ BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามข้อมูลตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องพัฒนาฐานข้อมูลและค่ากลางของขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดต้นทางประเภทธุรกิจค้าปลีก รวมถึงพัฒนานวัตกรรมแอปพลิเคชันติดตามประเมินปริมาณขยะอาหาจากแหล่งกำเนิดต้นทาง ด้วยเทคโนโลยีการประมวลด้วยภาพถ่าย (Image Processing) และระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) ที่สามารถแสดงตำแหน่งที่ตั้งและปริมาณขยะของแต่ละแหล่งกำเนิดเชื่อมโยงข้อมูลขยะอาหาร (Food Waste) กับข้อมูลการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ของประเทศ
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567ฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกกลุ่มอะลูมิเนียม และเหล็ก/เหล็กกล้าแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเน้น 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง และเกษตร-อาหารแอปพลิเคชันติดตามประเมินปริมาณขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดต้นทาง
BCG Implementation

แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการและผู้สูงอายุ
แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ (Accessible Information And Communication Platform) มีเป้าหมายลดอุปสรรคในการเข้าถึงโลกดิจิทัล ของกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุ ใน 3 เรื่อง คือ ช่วยให้เข้าถึงการสื่อสาร, ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และช่วยให้เข้าถึงบริการดิจิทัล โดยแพลตฟอร์มมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาระบบบริการ ดังนี้บริการถ่ายทอดการสื่อสาร เป็นบริการล่ามทางไกลที่ช่วยคนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูด สามารถสื่อสารผ่านบริการโทรคมนาคมพื้นฐานกับคนปกติได้บริการคำบรรยายแทนเสียงแบบทันต่อเวลา (Real Time) เป็นบริการแปลงเสียงเป็นข้อความแบบทันต่อเวลา ที่ช่วยคนพิการทางการได้ยินและผู้สูงอายุ สามารถเข้าใจเนื้อหาข้อมูลในการประชุมสัมมนาหรือรายการโทรทัศน์ได้บริการสื่ออ่านง่าย (Easy Read) เป็นบริการสร้างสื่อที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ชัดเจน เรียบง่ายและเข้าถึงได้ง่าย ที่ช่วยบุคคลที่มีปัญหาทางด้านการรับรู้ เช่น บุคคลออทิสติก บุคคลบกพร่องทางสติปัญหา บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ และกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการศึกษา ให้สามารถเข้าใจรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้บริการตรวจสอบการเข้าถึงบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม และบริการโทรทัศน์ สำหรับคนพิการตามมาตรฐานสากล เป็นบริการที่ช่วยตรวจสอบการเข้าถึงบริการด้านดิจิทัล ได้แก่ เว็บไซต์ โมบายล์แอปพลิเคชัน และโทรทัศน์ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงบริการให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ด้วยตนเอง
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)ผู้ได้รับ/ผู้ใช้ประโยชน์ รวม 3.15 ล้านคน ได้แก่ คนพิการทางการได้ยิน คนพิการทางการเห็น คนพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ คนไร้กล่องเสียง และผู้สูงอายุ เป็นต้น และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงาน 5 หน่วยงาน เพื่อให้มีช่องทางที่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลตามศักยภาพของความสามารถแผนงาน/สิ่งส่งมอบแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ ที่ประกอบด้วย 4 บริการ โดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงาน 5 หน่วยงานนำไปใช้บริการ
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567มีแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่อดิจิทัลอ่านง่ายสำหรับนักเรียนออทิสติก นักเรียนที่บกพร่องทางสติปัญญา และนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับคลังสื่อดิจิทัลและซอฟต์แวร์สำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท และมีคลังคำศัพท์อ่านง่ายและภาพที่เข้าใจง่าย จำนวน 1 ฐานข้อมูลมีสื่อดิจิทัลที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยมีล่ามภาษามือ และคำบรรยายแทนเสียง (Caption) จำนวน 1,200 เรื่องมีบริการล่ามภาษามือทางไกลและคำบรรยายแทนเสียงประกอบการเรียนการสอนในห้องเรียน 200 ชั่วโมง
BCG Implementation

แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง (Traffy Fondue)
วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับบริการข้อมูลเมืองที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่น ๆ สำหรับบริหารเมือง/ชุมชน/นิคม ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องพึ่งพิงระบบที่มีการพัฒนาและจำหน่ายจากต่างประเทศ โดยความสามารถของ platform ให้ครอบคลุมมิติการใช้งานมากยิ่งขึ้น และถูกขยายผลลงไปใช้ในพื้นที่จริง ในปี 2566 มีหน่วยงานรับแจ้งในระบบรวม 10,400 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย เทศบาล 1,300 หน่วยงาน และองค์การบริหารส่วนตำบล 1,800 หน่วยงาน ครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศ โดยมี 14 จังหวัดที่เข้าร่วมใช้งานทุกหน่วยราชการ ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ เช่น อปท. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงการอุดมศึกษาฯ และ มหาวิทยาลัยในพื้นที่ (มทร. มร.)บริษัท Fondee หน่วยงานเอกชนที่เป็นเครือข่ายในการใช้งานระบบ โดยจะขยายขอบเขตการให้บริการภาครัฐ อย่างก้าวกระโดดครอบคลุมความต้องการใช้งานที่หลากหลาย เน้นงานขึ้นทะเบียน/รับแจ้งปัญหา เริ่มให้บริการภาคธุรกิจ ยกระดับการให้บริการเพิ่มขึ้น
เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 500 ล้านบาท จากการลดค่าใช้จ่ายของหน่วยงานจากการรับแจ้งปัญหาล่าช้าและไม่ครบถ้วน และผู้รับบริการจากการแจ้งปัญหาและติดตาม รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม จากแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ที่เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ (ล้านบาท)
ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567ดำเนินการเพื่อส่งมอบการใช้ประโยชน์จริง ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 50 หน่วยงาน
BCG Implementation