หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ดิจิทัล Digital Healthcare Platform
พัฒนาการบริการการแพทย์ปฐมภูมิ รวมถึงการส่งต่อไปสู่การแพทย์ทุติยภูมิ/ตติยภูมิ แก้ไขปัญหาของประชาชนในเรื่องความแออัดของหน่วยบริการสาธารณสุข และอุปสรรคในการเข้าถึงหน่วยบริการ แก้ไขปัญหาหน่วยบริการสาธารณสุขที่มีภารกิจมากและหลากหลายเกินจำนวนบุคลากรที่จะรองรับได้ และขาดเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการให้รองรับผู้ป่วยให้ได้มากขึ้น รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในการเตรียมเอกสารเพื่อเบิกจ่ายผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพ โดยมีผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้ มีแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Home Ward) แพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669) แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care) แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care) สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วประเทศได้รับประโยชน์ 800,000 คน สภาเภสัชกรรม ร้านยาเภสัชชุมชน 1,500 แห่ง โครงการที่ 1 แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ปฐมภูมิและระบบเบิกจ่าย (A-MED Care) แพลตฟอร์มบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในที่บ้าน (A-MED Homeward) และแพลตฟอร์มการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571) ให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ที่มีการเจ็บป่วยเล็กน้อย ในแพลตฟอร์ม A-MED Care มากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 600,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยนอกสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีหน่วยบริการปฐมภูมิร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 1,500 แห่ง ให้บริการผู้ป่วยใน (IPD) ที่มีกลุ่มโรคตามเกณฑ์การดูแลผู้ป่วยในที่บ้าน ในแพลตฟอร์ม A-MED Home ward มากกว่า 25,000 ครั้งต่อปี หรือไม่น้อยกว่า 20,000 คนต่อปี (ผู้ป่วยในสามารถกลับมาใช้บริการซ้ำได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี) และมีโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ/ตติยภูมิ เข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 แห่ง ให้บริการเบิกจ่าย (e-Claim Gateway) มียอดการเบิกจ่ายผ่านระบบฯ ไม่น้อยกว่า 500,000 ครั้งต่อปี และมีหน่วยบริการนำร่องอย่างน้อย 10 แห่ง  แผนงาน/สิ่งส่งมอบแพลตฟอร์มการให้บริการดูแลผู้ป่วยและอำนวยความสะดวก ผ่านหน่วยบริการสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการที่ 2 แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (D1669)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)ประชาชนคนไทยและชาวต่างประเทศเข้าถึงบริการฉุกเฉินการแพทย์ 1 ล้านคนต่อปี และมีการใช้งานในโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ 400 แห่งแผนงาน/สิ่งส่งมอบศูนย์ D1669 ที่เชื่อมต่อกับศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน โดยสามารถระบุพิกัดที่โทรแจ้ง และเชื่อมต่อกับเอกชนผ่าน EMS Gateway โครงการที่ 3แพลตฟอร์มบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค (DDC-Care)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตาม พรบ. ของกรมควบคุมโรค (คร.) ผ่าน 1442 และแอปพลิเคชัน โดยประชาชนในโรงงานที่ติดตามสุขภาพ 1 ล้านคน มีผู้เข้ารับการอบรมการใช้งานไม่น้อยกว่า 500 แห่ง ภายใต้กรมควบคุมโรค (คร.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) โรงพยาบาลรัฐบาล ไม่น้อยกว่า 500 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน ไม่น้อยกว่า 200 แห่งแผนงาน/สิ่งส่งมอบระบบบริการข้อมูลและเฝ้าระวังโรค ติดตั้งให้กับกรมควบคุมโรค โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ที่ช่วยสนับสนุนการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการเฝ้าระวังโรค และประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการเฝ้าระวังโรคแบบ Location-based ได้ โครงการที่ 4แพลตฟอร์มล่ามภาษามือทางไกลสำหรับการแพทย์ (TTRS-Care)เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571)เกิดการใช้งานโดยโรงพยาบาลรัฐบาลทั่วประเทศ รพ.สต. ทั่วประเทศ สำหรับคนพิการทางการ ได้ยินที่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่น้อยกว่า 1,000 แห่ง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ 7,000 คน เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาล 1,000 คน และคนพิการทางการได้ยินเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 10,000 คนแผนงาน/สิ่งส่งมอบระบบบริการล่ามทางไกลโดยการเชื่อมต่อการสื่อสาร สำหรับเข้าถึงบริการแบบปกติ แบบฉุกเฉิน และแบบ Telehealth เพื่อคนพิการทางการได้ยิน ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567 A-MED Care สำหรับร้านยา มีร้านยาเข้าร่วม 1,500 แห่งA-MED Care สำหรับคลินิกพยาบาล มีคลินิกเข้าร่วม 300 แห่งA-MED Homeward มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 500 แห่งระบบ e-Claim Gateway สำหรับการเบิกจ่าย กองทุน สปสช. มีอย่างน้อย 10 หน่วยบริการที่ใช้งานระบบ UCEP ในส่วนการประเมินคัดแยกระดับความฉุกเฉิน (Pre-Authorization) ของ สพฉ มี โรงพยาบาลเข้าร่วม 300 แห่ง  A-MED Home Ward เป็น Platform สำหรับโรงพยาบาลที่ให้บริการแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และนักสังคมสงเคราะห์ ในการดูแล รักษา และติดตามอาการของผู้ป่วยในที่บ้าน ซึ่งร่วมกันพัฒนาโดยคณะนักวิจัยกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สทวช., กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพการแพทย์ปฐมภูมิ (สสป.) เว็บไซต์หลัก https://www.nstda.or.th/digitalhealth/
BCG Implementation
 
การยกระดับอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียว
 ยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย เข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้ Thailand i4.0 Index เป็นดัชนีชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการยกระดับ เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571) :สร้างฐานข้อมูลระดับความพร้อมอุตสาหกรรม 4.0 ไม่น้อยกว่า 2,000 ราย และโรงงานมีแนวทางในการยกระดับสู่การผลิตที่ยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 1,000 ราย ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการต่อยอดและการขยายผลไม่น้อยกว่า 120 ล้านบาทต่อปีแผนงาน : เปิดตัวและเริ่มใช้งานระบบประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบออนไลน์ (Online Self-Assessment) ภายในปี 2567 เพื่อให้ผู้ประกอบการประเมินระดับความพร้อมฯ ได้ด้วยตนเองพัฒนาที่ปรึกษางานปรับปรุงสายการผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Manufacturing Advisor: DMA) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลดการใช้ทรัพยากร ลดการปลดปล่อยของเสีย และเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวช่วยโรงงานลงทุนสู่อุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียว อย่างคุ้มค่าด้วยบริการที่ครบวงจร เช่นบริการประเมินความพร้อมที่สายการผลิต (On-Site Assessment) โดยผู้ประเมินที่ผ่านการรับรองจาก สวทช.บริการอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ อุตสาหกรรม 4.0 และอุตสาหกรรมสีเขียวบริการให้คำปรึกษาทางเทคนิคเบื้องต้น บริการให้คำปรึกษาเชิงลึกบริการจัดทำแผนการลงทุน บริการที่ปรึกษาด้านสิทธิประโยชน์ BOIบริการทดสอบ Testbedบริการถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้ และบริการรับจ้างวิจัย โดยนักวิจัย สวทช. ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567การประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านระบบ Online Self-Assessment ไม่น้อยกว่า 500 โรงงานอุตสาหกรรมใช้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีของ สวทช. ที่เกี่ยวข้องกับ Industry 4.0 ไม่น้อยกว่า 100 รายการสร้างพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ในการขยายผลกิจกรรม Thailand i4.0 Platform ไม่น้อยกว่า 5 ราย
BCG Implementation
 
การพัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDG เพื่อการค้าและความยั่งยืน
พัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE และ SDG เพื่อสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายของประเทศไทย ประกอบด้วยพัฒนาข้อมูลตัวชี้วัดการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนของประเทศไทย หรือ SDG 12 ให้กับสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)พัฒนาข้อมูลดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ตามเป้าหมายของหมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566 - 2570) ให้กับ สศช.พัฒนาข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม และเหล็ก/เหล็กกล้า สนับสนุนผู้ประกอบการ ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับมาตรการ (Carbon Adjustment Mechanism, CBAM)พัฒนาแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนเป้าหมายของโมเดล BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียนพัฒนาฐานข้อมูลและค่ากลางขยะอาหาร (Food Waste) จากแหล่งกำเนิดต้นทางของประเทศ ให้กับกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) สนับสนุนการจัดทำ (ร่าง) แผนที่นำทางการจัดการขยะอาหาร (พ.ศ. 2566 - 2573) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โครงการที่ 1  พัฒนาตัวชี้วัดและฐานข้อมูลด้าน CO2, CE, SDG เพื่อการค้าและความยั่งยืนเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)ฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องด้าน CO2, CE และ SDG เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการบรรลุเป้าหมายของหมุดหมายที่ 10 ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกในการรองรับรับมาตรการ CBAM เพื่อสนับสนุนภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนแผนงานพัฒนาตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อมูลค่าเพิ่ม (GHG emission per value added) และการบริโภคพื้นฐานต่อการใช้ทรัพยากร (Material Footprint, MF)พัฒนาฐานข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ ดัชนีการหมุนเวียนวัสดุ (Material Circularity Index, MCI) ในผลิตภัณฑ์เป้าหมาย (พลาสติก วัสดุก่อสร้าง และเกษตร-อาหาร)พัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตระดับประเทศให้ทันสมัยและเหมาะสมในบริบทของไทย ได้แก่ ฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรม เพื่อรองรับมาตรการ CBAM จากฐานข้อมูลในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าเป้าหมาย โครงการที่ 2แพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน และระบบบริหารจัดการข้อมูล Food loss & Food Waste ของประเทศเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571)แพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการบรรลุเป้าหมายของโมเดล BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียนฐานข้อมูลและค่ากลางขยะอาหาร (Food Waste) จากแหล่งกำเนิดต้นทางประเภทธุรกิจค้าปลีก รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลขยะอาหารกับข้อมูลการสูญเสียอาหาร เพื่อผลักดันให้เกิดระบบบริหารจัดการข้อมูล Food loss & Food Waste ของประเทศแผนงาน พัฒนาแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเก็บข้อมูล ติดตาม และรายงานผลตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับ BCG สาขาเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามข้อมูลตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องพัฒนาฐานข้อมูลและค่ากลางของขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดต้นทางประเภทธุรกิจค้าปลีก รวมถึงพัฒนานวัตกรรมแอปพลิเคชันติดตามประเมินปริมาณขยะอาหาจากแหล่งกำเนิดต้นทาง ด้วยเทคโนโลยีการประมวลด้วยภาพถ่าย (Image Processing) และระบบภูมิสารสนเทศ (GIS) ที่สามารถแสดงตำแหน่งที่ตั้งและปริมาณขยะของแต่ละแหล่งกำเนิดเชื่อมโยงข้อมูลขยะอาหาร (Food Waste) กับข้อมูลการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ของประเทศ ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567ฐานข้อมูลตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าส่งออกกลุ่มอะลูมิเนียม และเหล็ก/เหล็กกล้าแพลตฟอร์มติดตามตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเน้น 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง และเกษตร-อาหารแอปพลิเคชันติดตามประเมินปริมาณขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดต้นทาง
BCG Implementation
 
แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการและผู้สูงอายุ
แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ (Accessible Information And Communication Platform) มีเป้าหมายลดอุปสรรคในการเข้าถึงโลกดิจิทัล ของกลุ่มคนพิการและผู้สูงอายุ ใน 3 เรื่อง คือ ช่วยให้เข้าถึงการสื่อสาร, ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และช่วยให้เข้าถึงบริการดิจิทัล โดยแพลตฟอร์มมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาระบบบริการ ดังนี้บริการถ่ายทอดการสื่อสาร เป็นบริการล่ามทางไกลที่ช่วยคนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูด สามารถสื่อสารผ่านบริการโทรคมนาคมพื้นฐานกับคนปกติได้บริการคำบรรยายแทนเสียงแบบทันต่อเวลา (Real Time) เป็นบริการแปลงเสียงเป็นข้อความแบบทันต่อเวลา ที่ช่วยคนพิการทางการได้ยินและผู้สูงอายุ สามารถเข้าใจเนื้อหาข้อมูลในการประชุมสัมมนาหรือรายการโทรทัศน์ได้บริการสื่ออ่านง่าย (Easy Read) เป็นบริการสร้างสื่อที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ชัดเจน เรียบง่ายและเข้าถึงได้ง่าย ที่ช่วยบุคคลที่มีปัญหาทางด้านการรับรู้ เช่น บุคคลออทิสติก บุคคลบกพร่องทางสติปัญหา บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ และกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับการศึกษา ให้สามารถเข้าใจรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้บริการตรวจสอบการเข้าถึงบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม และบริการโทรทัศน์ สำหรับคนพิการตามมาตรฐานสากล เป็นบริการที่ช่วยตรวจสอบการเข้าถึงบริการด้านดิจิทัล ได้แก่ เว็บไซต์ โมบายล์แอปพลิเคชัน และโทรทัศน์ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงบริการให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ด้วยตนเอง เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)ผู้ได้รับ/ผู้ใช้ประโยชน์ รวม 3.15 ล้านคน ได้แก่ คนพิการทางการได้ยิน คนพิการทางการเห็น คนพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ คนไร้กล่องเสียง และผู้สูงอายุ เป็นต้น และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงาน 5 หน่วยงาน เพื่อให้มีช่องทางที่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลตามศักยภาพของความสามารถแผนงาน/สิ่งส่งมอบแพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารของคนพิการ ที่ประกอบด้วย 4 บริการ โดยมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้หน่วยงาน 5 หน่วยงานนำไปใช้บริการ ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567มีแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อบริการสื่อดิจิทัลอ่านง่ายสำหรับนักเรียนออทิสติก นักเรียนที่บกพร่องทางสติปัญญา และนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับคลังสื่อดิจิทัลและซอฟต์แวร์สำหรับนักเรียนพิการทุกประเภท และมีคลังคำศัพท์อ่านง่ายและภาพที่เข้าใจง่าย จำนวน 1 ฐานข้อมูลมีสื่อดิจิทัลที่เข้าถึงโดยสะดวกถ้วนหน้า โดยมีล่ามภาษามือ และคำบรรยายแทนเสียง (Caption) จำนวน 1,200 เรื่องมีบริการล่ามภาษามือทางไกลและคำบรรยายแทนเสียงประกอบการเรียนการสอนในห้องเรียน 200 ชั่วโมง
BCG Implementation
 
แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง (Traffy Fondue)
วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับบริการข้อมูลเมืองที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่น ๆ สำหรับบริหารเมือง/ชุมชน/นิคม ได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องพึ่งพิงระบบที่มีการพัฒนาและจำหน่ายจากต่างประเทศ โดยความสามารถของ platform ให้ครอบคลุมมิติการใช้งานมากยิ่งขึ้น และถูกขยายผลลงไปใช้ในพื้นที่จริง ในปี 2566 มีหน่วยงานรับแจ้งในระบบรวม 10,400 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย เทศบาล 1,300 หน่วยงาน และองค์การบริหารส่วนตำบล 1,800 หน่วยงาน ครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศ โดยมี 14 จังหวัดที่เข้าร่วมใช้งานทุกหน่วยราชการ ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ เช่น อปท. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงการอุดมศึกษาฯ และ มหาวิทยาลัยในพื้นที่ (มทร. มร.)บริษัท Fondee หน่วยงานเอกชนที่เป็นเครือข่ายในการใช้งานระบบ โดยจะขยายขอบเขตการให้บริการภาครัฐ อย่างก้าวกระโดดครอบคลุมความต้องการใช้งานที่หลากหลาย เน้นงานขึ้นทะเบียน/รับแจ้งปัญหา เริ่มให้บริการภาคธุรกิจ ยกระดับการให้บริการเพิ่มขึ้น เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 500 ล้านบาท จากการลดค่าใช้จ่ายของหน่วยงานจากการรับแจ้งปัญหาล่าช้าและไม่ครบถ้วน และผู้รับบริการจากการแจ้งปัญหาและติดตาม รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงต่อความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม จากแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง ที่เชื่อมโยงประชาชนเข้ากับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ (ล้านบาท) ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567ดำเนินการเพื่อส่งมอบการใช้ประโยชน์จริง ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 50 หน่วยงาน
BCG Implementation
 
การพัฒนาเศรษฐกิจด้วย BCG Model พื้นที่นำร่องทุ่งกุลาม่วนชื่น
วัตถุประสงค์ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี รายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ BCG ทุ่งกุลาร้องไห้ ที่มีอัตลักษณ์ผ่านมาตรฐาน กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของผู้มีรายต่ำกว่าเส้นความยากจน (มีรายได้มากกว่า 40,000 บาท/คน/ปี) เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 โครงการที่ 1 การยกระดับเกษตรอินทรีย์/อาหารปลอดภัยด้วย BCG Economyเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย จำนวน 18,000 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10แผนงาน/สิ่งส่งมอบสินค้าเกษตรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รับการยกระดับด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG (50 ผลิตภัณฑ์)สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ (500 ล้านบาท)ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (18,000 คน) โครงการที่ 2การยกระดับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วย BCG Economyเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)เกิดการยกระดับรายได้จากการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาต่อยอดขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจฐานรากจำนวน 3,500 คน มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10แผนงาน/สิ่งส่งมอบผู้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (3,500 คน)ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ร้อยละ 50 มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการท่องเที่ยว ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยียกระดับประสิทธิภาพ การผลิตจำนวน 5,000 คนผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดธุรกิจ 5 ผลิตภัณฑ์เกษตรกร/ผู้มีรายได้น้อยอย่างน้อยร้อยละ 5 ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างรายได้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10สร้างผลลัพธ์ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมูลค่าไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
BCG Implementation
 
แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP)
วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารฟังก์ชัน เวชสำอาง และ Functional Ingredients และให้บริการแบบ One-Stop Service โดยอาศัยแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มีความพร้อม โครงสร้างพื้นฐานโรงงานต้นแบบที่มีมาตรฐานการผลิต เครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญของทีมบุคลากรที่ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่และผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ ให้ถึงมือผู้บริโภคมากกว่า 1 ล้านคน ผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรมหรือวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันจากทรัพยากรชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 2 พันธกิจหลัก ได้แก่นวัตกรรมอาหารฟังก์ชัน อาหารเฉพาะทาง และอาหารอนาคต (Innovation Of Functional Foods, Specific Foods And Future Foods): มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเทรนด์ตลาดแพลตฟอร์มบริการผลิตและทดสอบผลิตภัณฑ์อาหาร เวชสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน (Platform Of Production And Testing Services For Foods, Cosmeceuticals And Functional Ingredients) : มุ่งเน้นให้บริการพัฒนา/นวัตกรรมกระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน ให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะของลูกค้า ในรูปแบบ One-Stop Service ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและมาตรฐาน และหน่วยงานภาควิชาการ เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม มากกว่า 1,000,000 คน สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม 1,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีแผนงาน/สิ่งส่งมอบการให้บริการพัฒนา/นวัตกรรมกระบวนการผลิต นวัตกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน ให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะของลูกค้า ในรูปแบบ One-Stop Service ที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกฎระเบียบและมาตรฐาน และหน่วยงานภาควิชาการผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม ที่เกิดจากการให้บริการพัฒนากระบวนการ/ผลิตภัณฑ์ การผลิต และทดสอบผลิตภัณฑ์ (ผลิตภัณฑ์)ผู้ประกอบการที่ใช้บริการ (ราย)
BCG Implementation
 
นวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า
ในภาพรวมของสมุนไพรไทย มีมูลค่าการตลาดในปี 2566 เป็นจำนวนถึง 52,104.3 ล้านบาท โดยโอกาสทางธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2570 จะมีมูลค่าการตลาดถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งมีกลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ทั้งด้านอาหารเสริมพร้อมดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้รักษาอาการไอ หวัด แพ้อากาศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเนื่องจากมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบพืชพรรณสมุนไพร มีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ แต่สมุนไพรไทยก็มีอุปสรรค ได้แก่คุณภาพของวัตถุดิบมีความแปรปรวน ความไม่สม่ำเสมอของปริมาณสารสำคัญ และการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กระบวนการผลิตสารสกัดยังให้ปริมาณสารสำคัญน้อย และใช้สารเคมีในการสกัดสูง รวมถึงขาดระบบการผลิตสารสกัดมาตรฐานสำหรับการสกัดในระดับอุตสาหกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรยังมีจำนวนน้อย และผลิตภัณฑ์อาศัยเพียงความเชื่อและความรู้สึกตอบสนองของผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่หรือเป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้น ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้มาช่วยยืนยันคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยจากปัญหาและอุปสรรคของสมุนไพรดังกล่าว การพัฒนานวัตกรรมการผลิตสารสกัดเพิ่มมูลค่า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงามอย่างยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานจากสมุนไพรโดยมีสมุนไพรนำร่อง 3 ชนิดได้แก่ กระชายดำ บัวบก และกะเพรา เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพร อุตสาหกรรมสารสกัด และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทย สร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเอกชนให้สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐาน ผลักดันให้เกิด “Hub of Thai Herbal Extract” ในการส่งเสริมพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสตลาดสมุนไพรให้กับประเทศอย่างยั่งยืน โครงการที่ 1 นวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกะเพรา เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่า ในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2569)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหาร สารแต่งกลิ่นรสผงแห้งจากสารสกัดกะเพรา (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดสภาวะเครียด (Anti Stress) จากสารสกัดมาตรฐานกะเพรา (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกะเพรา ระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ) โครงการที่ 2การขยายผลนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2568)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชะลอวัย ลดไขมัน/น้ำตาล ในเลือด (Antiobesity/Hypoglycemia) จากสารสกัดมาตรฐานกระชายดำ (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานกระชายดำระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ) โครงการที่ 3การเพิ่มมูลค่าสารสกัดมาตรฐานบัวบกด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2567-2571)สร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยจากนวัตกรรมจากสารสกัดมาตรฐาน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 เท่าในปี 2571 จากปีที่เริ่มมีรายได้ (ปี 2568)แผนงาน/สิ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบของสิว (Anti-Acne) จากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)ผลิตภัณฑ์ยาทาสมานแผลจากสารสกัดบัวบก (ผลิตภัณฑ์)กระบวนการผลิตสารสกัดมาตรฐานบัวบกระดับอุตสาหกรรม (กระบวนการ) ผลงานเด่นที่คาดว่าจะเกิดในปี 2567 สารสกัดมาตรฐานของกระชายดำ สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging)ถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลสารสกัดมาตรฐานของกระชายดำสำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดกระชายดำผงแต่งกลิ่นจากสารสกัดกะเพรา เสมือนกลิ่นกะเพราสดขยายขนาดกระบวนการกักเก็บกลิ่นกะเพรา ที่มีกลิ่นเสมือนกะเพราสดในระดับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง /เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) / เวชสำอางต้านสิว (Anti-Acne) จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบกถ่ายทอดเทคโนโลยีและขยายผลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง / เวชสำอางชะลอวัย (Anti-Aging) จากอนุภาคนำส่งสารสกัดบัวบก ร่วมกับผู้ประกอบการอนุภาคกักเก็บสารสกัดกะเพราลดกรด/ลดความเครียด
BCG Implementation
 
ชวนคนกรุงสูดอากาศสะอาด ที่ ‘MagikFresh’ ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ณ สวนจตุจักร
  PM2.5 เป็นปัญหาฝุ่นละอองที่คนไทยต้องเผชิญแทบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วง ‘อากาศปิด’ สภาวะอากาศแห้งและนิ่ง ทำให้ฝุ่นละอองแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ส่งผลให้ PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้คนในหลายพื้นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการ ได้ตามปกติ   [caption id="attachment_50260" align="aligncenter" width="750"] MagikFresh[/caption]   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พัฒนา 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ สำหรับให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 - พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 7 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน ออกกำลังกาย และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มุ่งลดผลกระทบการเจ็บป่วยจากการสูดฝุ่น PM2.5 ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจุบัน MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนจตุจักร ฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้กับประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร      ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร มีประตูทางเข้าหนึ่งทาง ประตูทางออกหนึ่งทาง โครงสร้างอาคารมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกใสมองทะลุเห็นบรรยากาศสวนภายนอกได้ บริเวณภายในอาคารมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh ติดตั้งอยู่บนผนังทั้ง 4 ด้าน อีกทั้งยังมีสวนหย่อมให้ประชาชนได้เข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนด้านนอกอาคารเป็นพื้นที่ติดตั้งเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้ดึงอากาศจากภายนอกให้เข้ามาไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร ส่วนองค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือหลังคาที่มีลักษณะเป็นช่องระบายอากาศสำหรับปล่อยให้อากาศจากภายในอาคารไหลออกสู่ภายนอก “MagikFresh สร้างการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในอาคาร โดยดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่เครื่องกรองอากาศที่ติดตั้งไว้ทั้ง 4 ทิศรอบอาคารด้านนอก เพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กออกจากอากาศด้วยระบบไฟฟ้าสถิต ก่อนปล่อยอากาศสะอาดเข้าสู่ภายในอาคารผ่านช่องปล่อยอากาศด้านใน จากนั้นอากาศจะเคลื่อนตัวขึ้นไปที่ช่องระบายอากาศบริเวณหลังคา ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายตัว และเป็นการป้องกันฝุ่นจากภายนอกไม่ให้ลอยเข้ามาทางช่องเปิดด้วย” MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศภายในอาคารได้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบต่อชั่วโมง     [caption id="attachment_50259" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   [caption id="attachment_50258" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   ดร.พรอนงค์ อธิบายเสริมถึงจุดเด่นสำคัญ 5 ประการของเทคโนโลยี MagikFresh ว่าประการแรก คือการออกแบบระบบกรองอากาศด้วยเทคนิคไฟฟ้าสถิต ที่มีการปลดปล่อยก๊าซโอโซนเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 10 ppb หรือต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 10 เท่า ประการที่สอง คือ MagikFresh ปรับการทำงานของเครื่องให้สอดคล้องกับค่าฝุ่นละออง ณ​ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ประการที่สาม คือ ชุดกรองอากาศผ่านการออกแบบให้ถอดล้างหรือทำความสะอาดได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ​ และไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศบ่อยครั้งเหมือนเครื่องกรองอากาศทั่วไป จึงช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสร้างขยะได้เป็นอย่างดี ประการที่สี่ คือ MagikFresh ผ่านการออกแบบให้ถอดประกอบรวมถึงปรับขนาดของพื้นที่อาคารได้ตามต้องการ นำไปติดตั้งเพื่อใช้งานยังสถานที่อื่น ๆ ได้สะดวก และประการสุดท้ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ MagikFresh เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศที่พัฒนาโดยคนไทยและผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทยด้วย นอกจาก MagikFresh ที่เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้งานในพื้นที่อาคารกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาดใหญ่แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนานวัตกรรมอีกหลายชิ้นเพื่อสนับสนุนการรับมือปัญหาด้านฝุ่น PM2.5 ดร.พรอนงค์ เล่าว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีเด่นที่ทีมวิจัยพัฒนาเพื่อสนับสนุนการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น ‘ชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล’ สำหรับใช้งานกับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ รวมถึงรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 จากการทดสอบประสิทธิภาพกับรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลพบว่า ชุดกรองสามารถลดค่าไอเสียที่สูงถึงร้อยละ 99 ให้เหลือเพียงร้อยละ 27 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ที่สำคัญชุดกรองยังผ่านการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานได้ยาวนาน ทำความสะอาดง่าย เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้านระบบขนส่งให้ได้มากที่สุด   [caption id="attachment_50261" align="aligncenter" width="700"] ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ นำเสนอผลงานชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล[/caption]   นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี ‘IonFresh+ (ไอออนเฟรชพลัส)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศสำหรับใช้ภายในห้องขนาดใหญ่ 100-250 ตารางเมตร อาทิ ห้องประชุม ห้องจัดแสดงผลงาน ซึ่งเครื่องกรองฯ ทำงานโดยใช้เทคโนโลยี 2 ด้านหลัก คือ ใช้ระบบไฟฟ้าสถิตในการกรองฝุ่นละออง และใช้แสง UVC ในการกำจัดเชื้อก่อโรค จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องนี้คือปลดปล่อยโอโซนต่ำ ปรับการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามค่า PM2.5 ณ ขณะนั้น ล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย และตัวเครื่องยังผ่านการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ทำให้เคลื่อนย้ายไปใช้งานตามห้องต่าง ๆ ได้สะดวก”   [caption id="attachment_50257" align="aligncenter" width="700"] IonFresh+[/caption]   ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างผลงานวิจัยที่ สวทช. พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย รวมถึงช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีอื่น ๆ ติดตามข้อมูลได้ที่ www.nstda.or.th ส่วนผู้สนใจใช้พื้นที่ MagikFresh จัดกิจกรรมนันทนาการ หรือ นำ MagikFresh ไปติดตั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศที่กล่าวมาทั้ง 3 ผลงาน ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. โทร 0 2564 6900   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ตรวจง่าย สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : PigXY-AMP: A sensitive and rapid one-step colorimetric LAMP detection kit for African swine fever virus   โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ทำให้สุกรมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการระบาดของโรคนี้เป็นไปได้ยากมาจากการที่เชื้อไวรัสก่อโรค ASF มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนและยาที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ ทำให้การป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดใหม่ยังคงต้องพึ่งพาการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการที่กลับมาเริ่มธุรกิจฟาร์มสุกรจึงทำได้เพียงตรวจคัดกรองลูกสุกรก่อนนำเข้าเลี้ยงในฟาร์มเท่านั้น ล่าสุดองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่าช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปี 2566 ยังพบการระบาดของโรคนี้ใน 3 ทวีป คือ แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ขณะที่ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคให้สงบได้แล้วหลังเผชิญการระบาดใหญ่ในปี 2565 อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ยังคงมีมาตรการให้ทุกฟาร์มตรวจคัดกรองโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ASF อย่างเคร่งครัดต่อไป     ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดของโรค ASF ในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ปี 2561 แต่ยังไม่พบการระบาดในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เดินหน้าเชิงรุกเตรียมความพร้อมด้านชุดตรวจวินิจฉัยก่อนการระบาด โดยนำองค์ความรู้ทางด้านอณูชีววิทยาร่วมกับเทคนิคการตรวจวัดสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมาออกแบบและพัฒนา ‘ต้นแบบชุดตรวจหาเชื้อโรค ASF ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยสมัยใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาย่อมเยา และใช้ง่าย’ ต่อมาในปี 2565 เมื่อพบการระบาดของโรคในประเทศไทย จึงได้มีการนำตัวอย่างเชื้อที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชนมาทดลองใช้ร่วมกับต้นแบบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้น และพัฒนาน้ำยาสกัดดีเอ็นเอจากเลือดสุกรแบบรวดเร็ว (rapid DNA extraction) เพิ่มเติม เพื่อการใช้งานแบบครบวงจร ได้เป็น PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาประสบความสำเร็จ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนไทยเรียบร้อยแล้ว   [caption id="attachment_49909" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49910" align="aligncenter" width="750"] คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย (ซ้าย) และคุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ (ขวา)[/caption]   คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. หัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า วิธีมาตรฐาน (gold standard) ของการตรวจโรค ASF ที่ใช้กันทั่วโลกคือเทคนิค real-time PCR (real-time polymerase chain reaction) เพราะเป็นวิธีการตรวจที่มีความไว (sensitive) สูง ตรวจได้แม้ในตัวอย่างมีปริมาณเชื้อน้อย อย่างไรก็ตามวิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายในการตรวจสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ราคาหลักล้านและน้ำยาเฉพาะ ทำให้อัตราค่าบริการสูงถึง 1,000-1,500 บาท ต่อ 1 ตัวอย่าง เป็นข้อจำกัดในการตรวจคัดกรองโรค “เพื่อสนับสนุนการลดค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนา ‘PigXY-AMP’ ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว การตรวจทำได้ง่ายเพียงใช้ก้านสำลีปาดเลือดสดจากหางลูกสุกร แล้วนำไปจุ่มแช่ในน้ำยาสกัดดีเอ็นเอแบบรวดเร็ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วนำดีเอ็นเอที่ได้ไปผสมกับน้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีสำเร็จรูปซึ่งมีสีม่วง จากนั้นนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสในกล่องให้ความร้อน (heating block) นาน 1 ชั่วโมง ก็จะสามารถอ่านผลการตรวจด้วยตาเปล่าได้แล้ว โดยหากในตัวอย่างมีเชื้อไวรัส ASF น้ำยาจะเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้ายังคงเป็นสีม่วงแสดงว่าไม่มีเชื้อ” PigXY-AMP ไม่เพียงใช้งานได้ง่ายแต่ยังมีประสิทธิภาพการตรวจทั้งด้านความไว (sensitivity) ความจำเพาะ (specificity) และความแม่นยำ (accuracy) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานอีกด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีของ PigXY-AMP มีประสิทธิภาพในการตรวจจับเชื้อสูงและแม่นยำ อีกทั้งยังมีขีดจำกัดของการตรวจวัด (limit of detection) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานคือ real- time PCR (Ct = 36-37) คือ การใช้ไพรเมอร์สำหรับเทคนิคแลมป์จำนวน 2 ชุด หรือ 16 เส้น ตรวจจับยีนที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนหุ้มอนุภาคไวรัส (p72 capsid protein)   [caption id="attachment_49915" align="aligncenter" width="1000"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49912" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยผู้พัฒนา PigXY-AMP[/caption]   [caption id="attachment_49913" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   คุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ หนึ่งในทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. ผู้ร่วมวิจัยหลัก อธิบายว่า จุดเด่นสำคัญของ PigXY-AMP คือมีประสิทธิภาพในการตรวจสูงเทียบเท่าเทคนิค real-time PCR แต่มีราคาถูกกว่า ใช้เวลาตรวจสั้นกว่า (เพียง 70 นาที) ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูงและผู้เชี่ยวชาญในการทำงานและอ่านผล อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการใช้ตรวจภาคสนามมากกว่า ทำให้ในภาพรวม PigXY-AMP สามารถช่วยลดต้นทุนด้านการตรวจคัดกรองโรคให้แก่ผู้ประกอบได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์​มีศักยภาพด้านการตลาดในระยะยาวทั้งในไทยและต่างประเทศสูงอีกด้วย โดยช่วงต้นปี 2566 บริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด ได้เข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนอุปกรณ์ทางการแพทย์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) “สำหรับการวิจัยต่อยอด หากได้รับการสนับสนุนต่อจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทีมวิจัยมุ่งเป้าที่จะพัฒนาชุดตรวจโรค ASF เพื่อรองรับการตรวจพื้นผิวคอก โรงเรือน และสิ่งแวดล้อมภายในฟาร์มสุกร รวมถึงสิ่งส่งตรวจชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เลือด เพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเทคนิค real-time PCR ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในฟาร์มสุกรให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี” PigXY-AMP เป็นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเฝ้าระวังโรคได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยป้องกันการระบาดของโรค ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการระบาดของโรคภายในประเทศ ทั้งด้านการขาดทุน การขาดแคลนอาหาร รวมไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผลงาน PigXY-AMP ได้รับรางวัลประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาเกษตรและชีววิทยา จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ที่จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นเครื่องการันตีประสิทธิภาพของงานวิจัยด้วย   [caption id="attachment_49908" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศจากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566[/caption]   ผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการทำวิจัยต่อยอด ติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ(BBD) โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3301 (คุณลินดา) และติดตามการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้จากบริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอกสารเผยแพร่
 
ไดอารี่ สวทช. 2024
Download ไดอารี่ สวทช. 2024 Full 34 MB , บีบอัด 32 MB Download NSTDA Timeline 2526 - 2566 Timeline 5 MB        
เอกสารเผยแพร่
 
‘FoodSERP’ ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามไทย สร้างนวัตกรรม ‘ส่วนผสมฟังก์ชัน’ จากสมุนไพร-จุลินทรีย์ ผลักดันเวชสำอางไทยสู่สากลตอบโจทย์เทรนด์โลก
  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามในตลาดโลกมีมูลค่านับล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดมากกว่า 40% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอาง และน้ำหอมตามลำดับ ในขณะที่เทรนด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่มุ่งไปหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและมีนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง ‘การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง’ เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมชั้นนำที่ได้มาตรฐานสากลจาก ‘FoodSERP’ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันภายใต้ สวทช. โดยมุ่งใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน   ‘FoodSERP’ พร้อมให้บริการผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร   [caption id="attachment_49759" align="aligncenter" width="550"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.[/caption]   ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยด้านส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มานานเกือบ 10 ปี เพราะเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพร จุลินทรีย์ หรืออื่น ๆ แต่ที่ผ่านมางานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เนื่องจากขาดการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างนักวิจัยกับผู้ประกอบการ แต่ปัจจุบันสามารถทำได้แล้วโดยแพลตฟอร์ม FoodSERP “FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร โดยรวบรวมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค สำหรับผลิตส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredients) และสารออกฤทธิ์สำคัญ (active ingredients) รวมถึงโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง สำหรับผลิตเวชสำอางที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่การวิจัยพัฒนา วิเคราะห์ทดสอบ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาด ขยายขนาดการผลิต ไปจนถึงขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ “ความร่วมมือกับ TCOS ในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะช่วยปิดช่องว่างตรงกลาง ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามสมบูรณ์ขึ้นและขับเคลื่อนไปอย่างถูกทิศทาง เพื่อให้เกิดการพัฒนายกระดับสารสกัดที่ได้มาตรฐานจากสมุนไพรไทยหรือการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ จนถึงเกษตรกร”   ชูสารสกัด ‘บัวบก-กระชายดำ’ ดันสู่ตลาดเวชสำอาง [caption id="attachment_49758" align="aligncenter" width="550"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.[/caption]   ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนา functional ingredients จากวัตถุดิบสมุนไพรที่มีมากในประเทศสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรเป้าหมาย 4 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ บัวบก ขมิ้นชัน และไพล โดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ให้ความสำคัญและมุ่งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรโดยเฉพาะบัวบกและกระชายดำ “บัวบกเป็นพืชที่ปลูกเยอะมากในบ้านเรา ส่วนใหญ่นำมาบริโภคโดยตรง แต่ในต่างประเทศมีการใช้ประโยชน์สารสกัดจากบัวบกในผลิตภัณฑ์ความงามกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติชะลอวัย (anti-ageing) ค่อนข้างดี จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากบัวบก ส่วนกระชายดำเป็นที่รู้จักดีในด้านรับประทานเพื่อบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่ค่อยนำไปใช้ในด้านเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. จึงศึกษาและพัฒนาสารจากกระชายดำ โดยสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญได้สูงถึง 80-90% และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่าสารสกัดกระชายดำมีฤทธิ์ anti-ageing ดีเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ให้กระชายดำสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพื่อความงาม “เมื่อเรามีกระบวนการสกัดที่ดี ควบคุมคุณภาพได้ ทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดได้ว่าสารสกัดนั้นเหมาะที่จะนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม ด้านการดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของสารสกัดในประเทศได้ และเมื่อเรามี functional ingredients แล้วพัฒนาต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายร้อยเท่า”     หนุนใช้ ‘จุลินทรีย์’ เป็นโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์คุณภาพสูง   [caption id="attachment_49756" align="aligncenter" width="550"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช.[/caption]   ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช. ให้ข้อมูลว่า นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังมี functional ingredients และ active ingredients จำนวนมากที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์และใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม โดย active ingredients กลุ่มแรกที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์คือกลุ่มสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดแล็กติก (lactic acid) กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) กลุ่มที่สองเป็น active ingredients ที่มีมูลค่าสูง เช่น เรสเวอราทรอล (resveratrol) โคเอนไซม์คิว-10 (coenzyme Q-10) และอีกกลุ่มหนึ่งคือ natural colors เช่น สารสีน้ำเงินอินดิโกอิดีน (indigoidine) จากแบคทีเรีย และสารสีแดงจากข้าวหมักด้วยเชื้อรากลุ่มโมแนสคัส (Monascus) “การผลิตสารสำคัญจากจุลินทรีย์มีข้อดีคือเราสามารถขยายขนาดการผลิตได้ ควบคุมคุณภาพได้ ลดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารต่าง ๆ ที่มาจากแหล่งอื่นได้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการทิ้งของเสียออกไป แต่จะกำจัดและควบคุมในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของการใช้กระบวนการทางชีวภาพเข้ามาช่วยในการผลิต active ingredients สำหรับกลุ่มเวชสำอาง และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือสารพลอยได้หรือบายโพรดักต์ (by-product) ที่เกิดขึ้น เช่น ในกระบวนการผลิตโพรไบโอติกจะมีบายโพรดักต์เรียกว่า ‘โพสต์ไบโอติก’ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ และกระบวนการทางชีวภาพที่มีการย่อยกรดอะมิโนจะได้เพปไทด์ต่าง ๆ เป็นบายโพรดักต์ สามารถนำไปใช้ฟื้นฟูสภาพผิวได้เช่นกัน”     ดร.กอบกุล ย้ำว่า “อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิต functional ingredients หรือ active ingredients จากจุลินทรีย์ ต้องมีมาตรฐานและต้องขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ซึ่งถือเป็นความท้าทายของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ต้องเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ทั้งยังต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งความร่วมมือของ สวทช. กับ TCOS ครั้งนี้จะทำให้ FoodSERP มีข้อมูลต่าง ๆ มากเพียงพอในการออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตได้อย่างครบวงจร และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์และจำหน่ายออกสู่ตลาดได้”   ของดีต้องมี ‘เรื่องเล่า’ และคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’ ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)  กล่าวว่า จากการได้มีโอกาสไปดูงานด้านสุขภาพและความงามในประเทศต่าง ๆ พบว่าหลายแห่งไม่ได้มองไปที่ตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะมองไปที่เรื่องราวด้วย หากสิ่งนั้นมีเรื่องราวที่เล่าได้ยาวนาน มี story telling เขาจะสนใจนำมาศึกษาเพื่อค้นพบความลับที่อยู่ในนั้น และมักจะทำเป็นซีรีส์โดยค่อย ๆ ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาทีละตัวและจะใส่นวัตกรรมเพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์ตัวถัดไป ทำให้มีเรื่องราวเล่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดพืชสมุนไพรไทยได้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ “นอกจากนี้เรายังต้องมองเทรนด์ของโลกด้วยว่าโลกตอนนี้กำลังตื่นตัวกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับในปัจจุบันเรากำลังตื่นตัวในเรื่องของการทำให้โลกอยู่อย่างยั่งยืน ลดขยะ ลดการใช้พลาสติก ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตที่ลดความฟุ่มเฟือย ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า ‘solid cosmetic’ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยลง ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยเราจะต้องตื่นตัว ไม่ใช่เป็นเพียงแฟชั่น หากแต่ว่าเป็นความรับผิดชอบในระยะยาวที่เราต้องคำนึงถึงว่าแบรนด์ของเราจะสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันเรายังมีโอกาสในการรับจ้างผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ต่างประเทศ เราจึงต้องคำนึงถึงโจทย์ต่าง ๆ ที่แบรนด์เขาให้ความสนใจด้วย”   [caption id="attachment_49761" align="aligncenter" width="550"] ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)[/caption]            ด้าน ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญในการทำ story telling คือต้องเล่าในสิ่งที่คนอยากจะฟัง และหัวใจหลักในการทำธุรกิจก็คือต้องฟังผู้บริโภคให้มาก เอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง และเล่าเรื่องให้ตรงตามที่ใจเขาต้องการ โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นจุดแข็ง “การเปิดโอกาสให้แก่สตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ได้มาร่วมกันคิดเพิ่มขึ้น จะช่วยพัฒนาให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสารสกัดของไทยเติบโตได้เร็วขึ้นและก้าวกระโดด ซึ่งการที่ สวทช. และ TCOS ได้มีความร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัปรายใหม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองและเติบโตไปในอนาคตได้”   [caption id="attachment_49757" align="aligncenter" width="550"] ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]   ท้ายสุด กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ได้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าด้านเครื่องสำอางและความงามในระดับโลก แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลี หลายแบรนด์ใช้วัตถุดิบที่มีมากในประเทศไทยอย่างเช่น ซิกา (cica) จากบัวบก แต่ขณะเดียวกันปัญหาสำคัญในเรื่องวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ไปจัดแสดงในต่างประเทศได้จะต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งรองรับ “การที่ สวทช. กับ TCOS ได้ร่วมมือกันจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ อาจเป็นภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยจะเริ่มมีวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอางเป็นของตัวเอง และมีไทยพาวิลเลียนที่จัดแสดง active ingredients ของไทยทั้งหมดอยู่ในงานระดับโลก”   [caption id="attachment_49760" align="aligncenter" width="550"] กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผลงานวิจัยเด่น