โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ เป็นความร่วมมือของ สวทช. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ และบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่มุ่งเน้นบ่มเพาะคนรุ่นใหม่สู่การเป็น “ผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์” ที่จะสร้างเครือข่ายการผลิตเมล็ดพันธุ์สู่ชุมชน
Archives: คลังความรู้
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2564
การดำเนินงานด้านอวกาศของสหภาพยุโรป
ปัจจุบันชีวิตประจำวันของประชาชนล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบนำทางอัตโนมัติในรถยนต์ และการดูโทรทัศน์ผ่านระบบดาวเทียม เป็นต้น มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศและความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และอุทกภัย ส่งผลให้ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวได้
โครงการชั้นนำระดับโลกด้านอวกาศของสหภาพยุโรป
สหภาพยุโรปมีโครงการชั้นนำระดับโลกด้านอวกาศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอยู่ 3 โครงการคือ
1.โครงการสำรวจโลก Copernicus
2.โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo
3.โครงการระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS
โครงการการเฝ้าระวังกิจกรรมทางอวกาศ (Space Situational Awareness, SSA)
นอกจาก 3 โครงการดังกล่าว สหภาพยุโรปยังมี โครงการเฝ้าระวังกิจกรรมทางอวกาศ (Space Situational Awareness, SSA) ซึ่งมีระบบ Space Surveillance and Tracking (SST) ในการตรวจจับวัตถุในอวกาศรวมถึงเศษชิ้นส่วนดาวเทียมในอวกาศ ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนั้น อาจจะมีชิ้นส่วนจรวดที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ร่วงหล่นลงมา
ทำให้พลเมืองในประเทศต่างๆ อาจได้รับอันตราย ด้วยเหตุนี้จึงต้องระมัดระวังและมีการเฝ้าระวังภัยจากวัตถุอวกาศเหล่านี้เป็นพิเศษ ทางสหภาพยุโรปจึงได้มีการพัฒนาระบบ Space Surveillance and Tracking (SST) เพื่อใช้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์กิจกรรมอวกาศอย่างใกล้ชิด และเตือนภัยล่วงหน้า
โครงการสำรวจโลก Copernicus
โครงการสำรวจโลก Copernicus เป็นโครงการสังเกตการณ์และตรวจสภาพแวดล้อมโลกด้วยชุดดาวเทียมสำรวจธรณีวิทยาที่ให้ภาพความละเอียดสูง ดาวเทียมที่ใช้เป็นดาวเทียมสำรวจโลก (earth observation satellites) ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการสำรวจ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นโลก ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การทำแผนที่ และผลกระทบจากภัยพิบัติ
โครงการ Copernicus มุ่งพัฒนาการให้บริการข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ นำข้อมูลจำนวนมากทั้งจากดาวเทียม ข้อมูลภาคพื้นดิน ข้อมูลจากการบินสำรวจ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดทางทะเลมาจัดทำเป็น
แอพพลิเคชั่น เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยให้บริการ 6 สาขา ได้แก่ การติดตามสภาพบรรยากาศ การติดตามสภาพแวดล้อมทางทะเล การติดตามการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการให้บริการด้านความมั่นคง โดยให้บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย
ดาวเทียม Sentinel
ดาวเทียม Sentinel ดาวเทียมหลักที่โครงการ Copernicus ใช้ในการสำรวจโลก คือ ดาวเทียม Sentinel ประกอบด้วย Sentinel-1-2-3-4-5 และ -6 ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งบนผืนดิน ในมหาสมุทร และในชั้นบรรยากาศ เช่น การบันทึกภาพพื้นผิวส่วนบนบกของโลกและพื้นที่ชายฝั่งทั้งหมด ภาพแสงความละเอียดสูงของป่าไม้และการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงในแหล่งน้ำต่างๆ บนโลก และการตรวจสอบองค์ประกอบบรรยากาศของโลก
ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากดาวเทียม Sentinel จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเมินการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ เพื่อนำมาใช้วิจัยการพยากรณ์สภาพอากาศเชิงตัวเลข ประเมินการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า นำไปสู่การแก้ปัญหาและการพัฒนา เช่น แก้ปัญหาการทำลายป่า การพัฒนาการเกษตร และการวิจัยเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านอาหารและความยั่งยืนของประชากรสิ่งมีชีวิต
โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo
โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo เป็นระบบดาวเทียมนำทางและบอกตำแหน่งหรือเรียกว่า ดาวเทียม
นำร่อง (Navigation satellites) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุและรหัสจากดาวเทียมไปยังเครื่องรับสัญญาณบนพื้นผิวโลก สามารถหาตำแหน่งบนพื้นโลกที่ถูกต้องได้ทุกแห่ง และตลอดเวลา โดยดาวเทียมประเภทนี้โคจรเป็นกลุ่มหลายดวงเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณได้ในลักษณะ Real Time
ที่มาของการพัฒนาโครงการ Galileo
ก่อนที่สหภาพยุโรปจะมีการพัฒนาโครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo สหรัฐอเมริกาได้มีการพัฒนาระบบ GPS และประเทศรัสเซียมีการพัฒนาระบบ GLONASS ขึ้นมาเพื่อใช้ในการนำทางและระบุตำแหน่ง อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการทหารทั้งสิ้น และอาจถูกแทรกแซงจากหน่วยทหารของทั้งสองประเทศได้ทุกเวลา นอกจากนี้บางกรณีระบบดาวเทียมทั้งสองอาจถูกจำกัดการใช้งานไว้สำหรับการรักษาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งส่งผลให้พลเรื่อนทั่วไปใช้ประโยชน์จากระบบ
ดาวเทียมได้อย่างจำกัด เหตุนี้ทางสหภาพยุโรปจึงมีความต้องการที่จะพัฒนาระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมที่เป็นของสหภาพยุโรปเอง โดยมีความอิสระในการใช้งานปราศจากการควบคุมทางทหาร และเป็นระบบดาวเทียมของพลเรือนอย่างแท้จริง แต่ยังสามารถปฏิบัติการร่วมกับระบบ GPS และ ระบบ GLONASS ได้ ซึ่งจะทำให้โครงการ Galileo เป็นระบบหลักในการนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมของโลกได้ ถึงแม้โครงการ Galileo ก่อตั้งโดยคณะกรรมาธิการยุโรปและองค์การอวกาศยุโรป แต่มีประเทศอื่นเข้าร่วมด้วย เช่น ประเทศอินเดีย อิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย และเกาหลีใต้ ทำให้โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมกลายเป็นระบบนำร่องนานาชาติ
ดาวเทียมในโครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo
โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo ประกอบไปด้วยดาวเทียม 30 ดวง แบ่งเป็นดาวเทียมนำทาง 24 ดวง และดาวเทียมสำรอง 6 ดวง เพื่อใช้ในกรณีดาวเทียมดวงอื่นเกิดขัดข้องหรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด โดยดาวเทียวนำทางดวงแรกถูกส่งขึ้นวงโคจรเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2011
การประยุกต์ระบบดาวเทียมของโครงการ Galileo ไปใช้ประโยชน์
ปัจจุบันระบบดาวเทียม Galileo นำไปใช้ในด้านการนำทางของการเดินเรือ การเดินทางบก และการเดินทางทางอากาศ รวมถึงงานด้านการสำรวจด้วย และเทคโนโลยีหลายๆ ชนิดก็ใช้ประโยชน์จากระบบนำทางและระบุตำแหน่งของระบบดาวเทียม Galileo โดยระบบระบุตำแหน่งแม่นยำสามารถดัดแปลงไปใช้ในการป้องกันดูแลเรื่องความปลอดภัยของการใช้โทรศัพท์หรือป้องกันข้อมูลส่วนตัวได้ โดยบริษัทด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมได้พัฒนาเทคโนโลยีไมโครชิพที่สามารถใช้ร่วมกับระบบนำทางของระบบดาวเทียม Galileo เพื่อนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องนำทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
นอกจากนี้ยังใช้เพื่อค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยดาวเทียมจะติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณตอบรับ ซึ่งแปลงสัญญาณขอความช่วยเหลือส่งมาสจากผู้ประสบภัยแล้วส่งต่อไปยังศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Rescue Coordination Center) เพื่อที่
จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป และขณะเดียวกันดาวเทียมจะส่งสัญญาณให้กับผู้ประสบภัยทราบว่าทางศูนย์ประสานงาน
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้ว
โครงการระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS
ระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS เป็นระบบดาวเทียมนำทางที่ใช้เฉพาะในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น
การประยุกต์ระบบดาวเทียมของโครงการ EGNOS ไปใช้ประโยชน์
ปัจจุบันดาวเทียมโคงการ EGNOS นำไปใช้ประโยชน์ ในด้านการบิน โดยสนามบิน จำนวน 247 แห่งใน 23 ประเทศในสหภาพยุโรป ในการนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นในสถานการณ์ที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ช่วยลดอัตราความล่าช้าในการบินและลดจำนวนของการเปลี่ยนเส้นทางการบิน
สำหรับการเดินทางบนท้องถนน รถยนต์ที่นำมาขายในยุโรปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 จะต้องสามารถใช้งานร่วมกับระบบนำทางของระบบดาวเทียม Galileo และ โครงการ EGNOS ได้เพื่อรองรับระบบตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน (eCall emergency response system)
ได้ และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นไประบบนำทางได้ถูกนำไปใช้ในระบบวัดความเร็วแบบดิจิทัลของรถบรรทุก เพื่อช่วยควบคุมการปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยเรื่องระยะเวลาในการขับ และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ท้องถนน
ระบบดาวเทียมของ EGNOS ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรมอีกด้วย ร้อยละ 80 ของเกษตรกรในยุโรปได้ใช้ข้อมูลจากระบบนำร่องของดาวเทียม EGNOS ในการทำการเกษตรแบบแม่นยำ
เทคโนโลยีการปลูกพืชในโรงเรือนของประเทศเนเธอร์แลนด์
ประเทศเนเธอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านการเกษตรเป็นอันดับต้นของโลก มีมูลค่าการส่งออกสินค้าทางการเกษตรสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา เป็นมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ดอก พริกหยวก มะเขือเทศ มันฝรั่ง นมและไข่ ประเทศเนเธอร์แลนด์มีพื้นที่ 21 ล้านไร่ ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลสภาพอากาศอยู่ในเขตหนาว ไม่เหมาะกับการทำการเกษตร สิ่งสำคัญที่ทำให้สามารถผลิตอาหารได้คือการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูก เริ่มต้นตั้งแต่การปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ดี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การปลูกพืชในโรงเรือนและควบคุมด้วยระบบที่มีความแม่นยำสูง ตลอดจนถึงเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาของผลผลิต เกิดจากงานวิจัยและการพัฒนาจากการสนับสนุนของรัฐบาล อีกทั้งยังมีการจัดตั้ง Wageningen University and Research ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เกษตรเป็นอันดับต้นของโลก ทำหน้าที่ผลิตกำลังคนและสร้างสรรค์งานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ภาคการเกษตรโดยเฉพาะ เนเธอร์แลนด์จึงสามารถทำผลิตพืชผลทางการเกษตรได้มากขึ้นในทุกๆ ปี แต่ใช้ทรัพยากรน้อยลงในพื้นที่จำกัด
การปลูกพืชในโรงเรือนในประเทศเนเธอร์แลนด์
การใช้โรงเรือนในการปลูกพืชช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำการเกษตรได้อย่างดี โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น โรงเรือนกระจกในประเทศเขตหนาวสามารถกักเก็บความร้อนภายในได้ ทำให้ปลูกพืชในอุณหภูมิต่ำได้ ช่วยป้องกันโรคและแมลง ควบคุมระบบให้น้ำและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำของพืช
ภายในโรงเรือนประกอบด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาจากองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อควบคุมปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น โครงสร้างของโรงเรือนต้องมีความแข็งแรง รองรับการใช้งานหลายสิบปี ทนต่อลมพายุ หลังคาผลิตจากวัสดุที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านทั่วทั้งโรงเรือน และมีการติดตั้งระบบให้แสงสว่างเพิ่มเติมจากหลอดไฟเพื่อทดแทนความยาวนานของช่วงวันในฤดูหนาว มีระบบหมุนเวียนอากาศ ควบคุมอุณหภูมิโดยมีระบบตรวจวัดตามจุดต่างๆ ของโรงเรือน
ภายในโรงเรือนมีระบบการให้น้ำที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด เช่น ระบบ springer หรือ ระบบน้ำหยด ที่จะให้น้ำในเวลาและปริมาณที่เหมาะสม ระบบโรงเรือนต้องใช้พลังงานสูงในการทำงาน ปัจจุบันมีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อทดแทนพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าจากลม แสงอาทิตย์และความร้อนจากพื้นพิภพ
การนำเทคโนโลยีโรงเรือนมาใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยทำเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน สร้างรายได้คิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ การปลูกพืชส่วนใหญ่เป็นการปลูกพืชในพื้นที่เปิด ดังนั้นการเพาะปลูกและผลผลิตที่ได้จึงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาล การนำเทคโนโลยีโรงเรือนมาใช้เป็นที่สนใจ แต่จำเป็นจะต้องปรับรูปแบบให้เหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เช่น การเลือกใช้วัสดุหลังคา ได้แก่ พลาสติกชนิดพิเศษที่แสงส่องผ่านได้แต่ไม่สะสมความร้อน การใช้มุ้งในกส่วนผนังทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก การใช้ตาข่ายพรางแสง การติดตั้งระบบระบายความร้อน เช่น ระบบพ่นหมอก (evaporative air cooling system, EVAP) การปลูกพืชในโรงเรือนช่วยลดการเข้าทำลายของโรคและแมลงได้ จะสามารถช่วยลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชลงได้
เนื่องจากการสร้างโรงเรือนมีต้นทุนสูง ปัจจุบันมีการใช้โรงเรือนปลูกพืชในประเทศไทย เช่น ต้นกล้าผัก เมล่อน มะเขือเทศ และกล้วยไม้ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูกได้เพียงระดับหนึ่ง แต่หากต้องการควบคุมสภาพอากาศอย่างแม่นยำสูงสุดสามารถทำได้ในระบบโรงงานการปลูกพืชอัจฉริยะ หรือ Plant factory ซึ่งเป็นสภาพปิดทั้งหมด สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างอิสระ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำ และแสงสว่างจากหลอดไฟ การปลูกพืชในระบบ Plant factory จะให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ มีต้นทุนการผลิตสูงมาก จึงเหมาะกับการทำงานวิจัยหรือการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น พืชสมุนไพร ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ปลูกจะได้ผลผลิตที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ทางยาที่สำคัญในพืชเท่ากันทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการรักษาโรค ทั้งยังมีความสะอาดและปลอดภัยแก่ผู้ป่วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/20210318-newsletter-brussels-no02-feb64.pdf
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2564
การประชุมขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยเรื่องการจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และขอบเขตการวิจัยสำหรับการศึกษาวัคซีนต้านโรคโควิด-19
คำกล่าวของผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก
ดร. Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ได้กล่าวถึงสถิติการระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ณ วันที่ 12 มกราคม 2564 มีผู้ติดเชื้อประมาณ 90 ล้านคน และเสียชีวิตประมาณ 2 ล้านคน และกล่าวว่าวิทยาศาสตร์และการวิจัยมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาตั้งแต่วันแรกที่มีการระบาดของโรคโควิด-19
แผนกลยุทธ์การจัดการกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
บทบาทของภาคประชาชน : ประชาชนต้องป้องกันตนเองและสังคม โดยหมั่นล้างมือเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้า รักษาระยะห่างทางสังคม กักกันตนเองเมื่อมีอาการป่วย จำกัดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และแจ้งต่อหน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเมื่อตนเองมีการสัมผัสหรือติดต่อกับผู้ติดเชื้อ
บทบาทของภาคชุมชน : เตรียมพร้อมอยู่เสมอในการให้บริการและความช่วยเหลือ พร้อมรับการปรับเปลี่ยนตามบริบทท้องถิ่น ทั้งยังรับหน้าที่ในการให้ข้อมูลและความรู้แก่สมาชิกในชุมชน ป้องกันกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ อำนวยความสะดวกให้แก่บุคลากรสาธารณสุข และให้ความช่วยเหลือในการติดตามและค้นหาผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 และผู้มีประวัติการติดต่อกับผู้ติดเชื้อ
บทบาทของภาครัฐ : ทำหน้าที่เป็นผู้นำและประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการสื่อสารข้อมูล การให้การศึกษา การสร้างการมีส่วนร่วม การสร้างขีดความสามารถ และการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน และชุมชนในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ภาครัฐยังมีหน้าที่รวบรวมกำลังและทรัพยากรจากทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงาน ภาครัฐ และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมขยายขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขของประเทศ
บทบาทของภาคเอกชน : ต้องช่วยรักษาความต่อเนื่องของการบริการที่สำคัญให้แก่สังคม เช่น ห่วงโซ่การผลิตอาหาร สาธารณสุข และการผลิตเวชภัณฑ์ต่างๆ
ขอบเขตการวิจัยในอนาคตสำหรับการศึกษาวัคซีนต้านโรคโควิด-19
ภายหลังการประชุม นักวิจัยยังนำเสนอหัวข้อวิจัยใหม่ๆ ในอนาคต ที่จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่ถูกพัฒนาและแจกจ่ายไปยังหลายๆ ประเทศ ซึ่งหัวข้อวิจัยสรุปได้ดังนี้
-การวิจัยและพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา 2019 ชนิดใหม่ ที่ให้ประสิทธิภาพเพียงพอในการต้านไวรัสโคโรนา 2019 หลังฉีดเพียงแค่ 1 โดส สามารถเก็บรักษาในอุณหภูมิห้องได้ ผลิตในปริมาณมากได้ในเวลาไม่นาน และไม่จำเป็นต้องใช้เข็มฉีดยาในการจ่ายวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อลดปัญหาและความยุ่งยากในการเก็บรักษา การขนส่ง และการจัดหาอุปกรณ์ในการฉีดวัคซีน ที่ปัจจุบันหลายๆ ประเทศกำลังประสบปัญหาอยู่
-ประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา 2019 ในการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
-ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาที่เกิดขึ้นในกลุ่มต่างๆ ของประชาชน
-ศึกษาสัดส่วนของประชากรที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน เพื่อให้ท้ายสุดมีการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มของประชากรได้
-หลังจากมีการวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนที่เริ่มมีการฉีดให้ประชาชนแล้ว ควรมีการศึกษาของประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มตัวอย่างประชากรที่เฉพาะเจาะจงด้วย อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีอาการรุนแรงจากการเชื้อโรคโควิด-19 กลุ่มเด็ก กลุ่มหญิงท้องหรืออยู่ในช่วงการให้นมบุตร กลุ่มมีโรคประจำตัว กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV กลุ่มกำลังรับการรักษาด้วยเคมีบำบัด และกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นต้น
-ศึกษาระยะเวลาการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นจากการกระตุ้นการทำงานของวัคซีนว่าสามารถต้านเชื้อได้นานเท่าไหร่ และจำเป็นต้องฉีดวัคซีนซ้ำอีกทีเมื่อไหร่ รวมไปถึงศึกษาหาระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเว้นระยะการฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองและผลจากการยืดระยะเวลาการฉีดวัคซีนโดสที่สอง
-ศึกษาผลจากการใช้วัคซีนคนละชนิดจากต่างบริษัทร่วมกัน เช่น การฉีดวัคซีนโดสแรกจากวัคซีนของบริษัท A แต่ฉีดวัคซีนโดสที่สองจากบริษัท B ว่าสามารถให้ประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโคโรนา 2019 ได้ดีหรือไม่ เพื่อศึกษาเป็นแนวทางการฉีดวัคซีนในอนาคตในกรณีที่วัคซีนจากบางบริษัทยังมีไม่เพียงพอสำหรับการฉีด 2 โดส
-ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนต่อการต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ต่างๆ ที่มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่องในหลายๆ ประเทศทั่วโลก
-ศึกษาหาค่าไตเตอร์ของวัคซีนแต่ละชนิดต่อไวรัส สายพันธุ์ย่อยต่างๆ ซึ่งค่าไตเตอร์ คือ ปริมาณของ Serum Dilution ในลำดับสูงสุดที่สามารถยับยั้งไวรัสได้ เช่น ถ้าทำ Serum Dilution ที่ 1:8 แล้วยังคงยับยั้งไวรัสได้อยู่จึงทดลองที่ 1:16 ต่อไป ถ้าปรากฏว่าไม่สามารถยังยั้งไวรัสได้ ถือว่าซีรั่มนั้นมีค่าไตเตอร์เท่ากับ 8
-ศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในการลดจำนวนการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบไม่แสดงอาการ ซึ่งข้อมูลสามารถนำมาใช้ประเมินศักยภาพของวัคซีนในการลดการแพร่กระจายได้
ข้อสรุปอื่นๆ จากการประชุม
ผลการประชุมครอบคลุม 6 สาขา ประกอบด้วย
1.ระบาดวิทยาและการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
2.วิวัฒนาการทางชีววิทยา
3.การออกแบบจำลองสัตว์
4.การตรวจวิเคราะห์และการวินิจฉัย
5.การบริหารจัดการทางคลินิก
6.การบำบัดรักษาและการพัฒนาวัคซีน
การประชุมหารือความร่วมมือการวิจัยด้านการส่งเสริมขีดความสามารถของสังคมในการจัดการและรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 ดร.มาณพ สิทธิเดช อัครราชทูตที่ปรึกษา สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เข้าร่วมประชุมกับหน่วยงาน The International Emergency Management Society (TIEMS) เป็นเวทีนำเสนอทางวิชาการ การหารือเชิงนโยบาย และการฝึกอบรมสำหรับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติ โอกาสนี้ได้สร้างความร่วมมือโครงการวิจัยหัวข้อ disaster-resilient societies เป็นโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรป
โอกาสการสร้างความร่วมมือภายใต้หัวข้อ disaster-resilient societies
โครงการ “DRS02-5.2021 (CSA) – Developing a European partnership to coordinate R&I efforts on land management and climate-related disasters” สนับสนุนทุนวิจัยสำหรับโครงการที่สามารถรวบรวมผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านการจัดการที่ดิน การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม และการจัดการความเสี่ยงของการเกิดภัยพิบัติในชุม
ผู้แทนจากคณะกรรมาธิการยุโรปด้านการวิจัยและนวัตกรรมเล็งเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าสนใจและเป็นโอกาสที่ดีที่หน่วยงาน TIEMS และประเทศไทยสามารถจัดหาสมาชิกเพื่อจัดตั้งเป็นคณะทำงาน (consortium) และร่วมกันจัดทำโครงร่างข้อเสนอโครงการเพื่อขอทุนวิจัย โครงการ Horizon Europe ได้ โดยเบื้องต้นทางสำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ เล็งเห็นว่ามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในโครงการดังกล่าวนี้ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)
การเปลี่ยนแปลงของโครงการ Marie Sklodowska-Curie actions (MSCA) ภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับใหม่ของยุโรป
โครงการ Marie Sklodowska-Curie actions (MSCA) เป็นโครงการของสหภาพยุโรปที่ส่งเสริมความเป็นเลิศทางการวิจัยวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม ตามกรอบแผนงานฉบับที่ 7 ของสหภาพยุโรป (FP7) ต่อเนื่องมาถึงโครงการ Horizon 2020 และยังมีอยู่ภายใต้แผนงานโครงการความร่วมมือต้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับใหม่ของยุโรป ซึ่งเป็นแผนงานโครงการฉบับที่ 9 มีชื่อว่า Horizon Europe
บทนำ
โครงการ MSCA เปิดรับสมัครนักวิจัยทั่วโลกให้ทำวิจัยร่วมในหน่วยงานต่างประเทศ โดยคัดเลือกให้ทุนแก่นักวิจัยที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม แสดงศักยภาพการพัฒนาอย่างเด่นชัด และมีโครงการวิจัยที่ดี เป้าหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางอาชีพและการฝึกอบรมแก่นักวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์ทุกสาขาผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยระหว่างประเทศในระดับนานาชาติและระหว่างสาขาต่างๆ กัน
การเปลี่ยนแปลงสำคัญ
โครงการ MSCA มุ่งส่งเสริม 5 ภารกิจหลักคือ การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การอบรมนักวิจัย การเสริมสร้างทุนมนุษย์ในเขตวิจัยยุโรป (ERA)
โครงการ MSCA ได้แบ่งออกเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
- Research and Innovation Staff Exchange (RISE)
- Individual
- COFUND
- Innovative Training Networks (ITN)
แต่ภายใต้โครงการ Horizon Europe โครงการย่อยของโครงการ MSCA มีการเปลี่ยนแปลง ชื่อโครงการ รายละเอียด เงื่อนไขการ
สมัคร สรุปได้ดังนี้
- MSCA Doctoral Networks
- MSCA Postdoctoral Fellowships
- MSCA Staff Exchanges
- MSCA COFUND
โอกาสของนักวิจัยไทย
โครงการ MSCA เป็นโครงการที่นักวิจัยไทยประสบความสำเร็จในการรับสมัครขอทุนวิจัยมากกว่าโครงการอื่นๆ ของสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่เป็นการได้รับทุนจากโปรแกรม Research and Innovation Staff Exchange (RISE) ซึ่งพบว่ามีหน่วยงานของประเทศไทยที่แตกต่างกันถึง 17 หน่วยงาน ได้เข้าร่วมโครงการต่างๆ จำนวน 25 โครงการที่ได้รับทุนจากโครงการ RISE
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/20210318-newsletter-brussels-no01-jan64.pdf
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน ตุลาคม 2563
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน ตุลาคม 2563
มารู้จักกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ศาสตราจารย์ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
แนวคิดยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานขับเคลื่อนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
วิสัยทัศน์
“อว. คือ หน่วยงานที่จะนำความรู้และพลังปัญญาไปช่วยประชาชน”
เป้าหมายหลักของกระทรวง อว.
“อว. เป็นศูนย์กลางในการสร้างโอกาสและการเปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างกลไก เพื่อนำระบบการบริหารความรู้ ทรัพยากรมนุษย์ บูรณาการศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สู่การพัฒนาประเทศ เพื่อประชาชนอย่างยั่งยืน”
1. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสร้างนโยบาย โดยเอาประชาชนและผลสัมฤทธิ์ที่ต้องการเป็นที่ตั้ง
2. เป็นมันสมองของชาติในการประเมินความต้องการในอนาคตด้านทรัพยากรบุคคลของไทย โดยอาศัยความรู้ และข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่พัฒนาประชาชนและสังคม
3. สร้างพันธมิตรความร่วมมือ (Collaboration Partners) โดยทำหน้าที่วิทยากรกระบวนการ (Facilitator) ให้เกิดตัวเร่งของการเปลี่ยนแปลง “Catalyst for Change” ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4. เป็นประตูเชื่อมไทยและสากล เพื่อให้เกิดการเข้าถึงองค์ความรู้ ทรัพยากรบุคคล และตลาดในระดับสากล (Co-Create and Borderless Mindset)
5. เปิดให้ประชาชนเข้าถึงองค์ความรู้ เพื่อสร้างโอกาสและการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน
6. เข้าร่วมรับผิดชอบการสร้างและพัฒนาชุมชนโดยใช้ฐาน ววน. ที่ อว. สร้างและพัฒนาไว้
การเปลี่ยนแปลงของโลกและนัยสำคัญเชิงนโยบาย
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Force of Change)
1. ความเหลื่อมล้ำและความไม่เสมอภาคทางสังคม
Disparity and Social Inequality
2. ความหลากหลายของขั้นชีวิตและสังคมสูงวัย
Mutual stage Life and Aging Society
3. นวัตกรรมพลิกโฉม
Disruptive Innovation
4. การเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจของโลก
Global Economic Power Shift
5. การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากร
Environmental Degradation and Scarcity of Resource
6. โควิด -19 และโรคติดเชื้ออุบัติใหม่
COVID-19 and Emerging Infectious Diseases
ระเบียบวาระทั้ง 6 ด้าน ในการพัฒนาภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ อว.
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้จัดทำวาระสำคัญของการกำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนา มีทั้งหมด 6 ด้าน ประกอบด้วย
1. เปลี่ยนความยากจนสู่ความมั่งมีอย่างทั่วถึง
2. ขับเคลื่อน Bio, Circular and Green Economy (BCG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
3. ยกระดับอุตสาหกรรม และวางรากฐานเพื่ออนาคต ด้วย อววน.
4. สร้างเสริมความมั่นคงของมนุษย์และพลังทางสังคมเพื่อการพัฒนาที่สมดุล
5. พลิกโฉมการอุดมศึกษาและพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ประเทศ
6. ปฏิรูประบบ อววน. ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม
ทิศทาง 4 เสา
1. สร้างบุคลากร และพัฒนาองค์ความรู้ วิจัยและนวัตกรรม
2. เผยแพร่องค์ความรู้ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่ประชาชนเพื่อวางรากฐานและยกระดับระบบนิเวศ งานวิจัย
3. นำองค์ความรู้ ผลงานวิจัย และนวัตกรรม ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
4. บูรณาการทุกภาคส่วน สนับสนุนสถาบันอุดมศึกษา ให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนา
อุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Park)
อุทยานวิทยาศาสตร์ (Science Park) โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา บ่มเพาะผู้ประกอบการและเทคโนโลยีใหม่ๆ สู่ระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคชุมชนท้องถิ่น ต้องแข็งแกร่งเพื่อเป็นศูนย์กลาง (Hub) ให้แต่ละภูมิภาคเสมือนหนึ่งเป็นแขนขาให้กระทรวง ยังรวมถึงศูนย์การพัฒนาเฉพาะด้าน เช่น Food Innopolis, Medicopolis, Creative District, Creative Economy Agency
แนวทางที่มุ่งสู่ผลสัมฤทธิ์
แนวคิดการทำงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ แบ่งเป็น 2 แนวทาง ได้แก่
1. แนวทางแก้ปัญหาเร่งด่วนภายใน 1 ปี (Quick Wins)
2. แนวทางการวางรากฐานที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะ 2-4 ปี (Foundation)
อ่านเพิ่มเติมที่ได้ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-oct2020.pdf
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กันยายน 2563
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กันยายน 2563
จากใจ สู่พวกเราชาว อว.
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง วท. และ อว.
วงการวิทยาศาตร์เทคโนโลยี ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล มีการลงนาม MOU กับประเทศใหญ่ๆ ได้สำเร็จ
เดือน พฤษภาคม 2562 ได้มีการควบรวมงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กับงานด้านวิจัย และอุดมศึกษา ทำให้นักวิชาการได้มีโอกาสใช้ระบบกองทุนวิจัย เพื่อสรรสร้างงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คู่ไปกับงานการศึกษา ปี 2563 การรับตำแหน่งของ รมว.อว. ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เกิดจากการรวมหน่วยงาน 3 หน่วยงาน คือ
1) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.)
2) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ และ
3) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
โดยราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศกฎหมาย 9 ฉบับในการจัดตั้งกระทรวง อว. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งในวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนแรก และมี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม เป็นปลัดกระทรวง อว. เป็นคนแรก
นโยบายการดำเนินงานของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการปฏิรูปกระทรวงใหม่ที่จะเป็นตันแบบของการปฏิรูปใน 3 เรื่อง ได้แก่
1. การปฏิรูปการบริหาร (Administrative Reform) ให้มีความเป็นระบบราชการน้อยที่สุด มีความคล่องตัว และมีการไหลเวียนของบุคลากรโดยเฉพาะที่มีสมรรถนะสูง (Talent Circulation and Mobility) ระหว่าง มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย
2. การปฏิรูปกฎหมาย (Regulatory reform) ให้มีการนำเรื่อง Regulatory Sandbox มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม
3. การปฏิรูปงบประมาณ (Budgeting Reform) ให้มีการจัดสรรงบประมาณในลักษณะ Block Gantt และ Multi-year Budgeting โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะต้องร่วมกันขับเคลื่อให้กระทรวงเป็น “กระทรวงแห่งปัญญา กระทรวงแห่งโอกาส และกระทรวงแห่งอนาคต”
การเสริมสร้างและพัฒนาการทำงานแบบ Agile Team
การประยุกต์ใช้ Agile Team (กพร.)
– Agile Team ควรแยกต่างหากจากโครงสร้างปกติ ของ สป.อว. ทำงานมุ่งอนาคตที่ต้อง Scenario ต้องการความสำเร็จเร่งด่วนในลักษณะ agenda base/solution base
-องค์ประกอบของ Agile Team เป็นการรวมกลุ่มคนจากกองต่างๆ เข้าด้วยกัน ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายนอก ใช้ระบบแลกเปลี่ยนพนักงานระหว่างองค์กร (Secondment) หรือใช้การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการแบบ Lateral Entry
– กำหนด Agenda ของ Agile team เพื่อให้สามารถส่งมอบงานตามเป้าหมายได้
– ผู้ปฏิบัติงานใน Agile team จะได้รับการมอบหมายงานตามภาระงาน ประเมินผลการปฏิบัติงานตาม KPI ตามข้อตกลง สามารถสะสมผลงานเป็น portfolio เพื่อใช้เลื่อนเงินเดือนและเลื่อนระดับ
– ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าทีมที่มีการบริหารงาน เงิน คน สามารถนำมาใช้เทียบประสบการณ์เพื่อประเมินและคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งประเภทบริหารได้
– ประเมินผลการปฏิบัติงานจากข้อตกลงฯ ประจำปี (Annual Performance Agreement) โดยใช้หลักการ SRAs (Strategic Result Areas) มีลักษณะการวัดเน้น Outcomes และ KRAs (Key Result Areas) มีลักษณะการวัดเน้น output
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-sep2020.pdf
วัคซีนโควิด-19

วัคซีนโควิด-19
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์
ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เอกสารนี้ทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนโรคโควิด-19
สามารถเผยแพร่ได้ในวงกว้างโดยไม่ต้องขออนุญาต
*** ขอสงวนสิทธิ์ห้ามนำไปตีพิมพ์เพื่อจัดจำหน่ายทางการค้า ***
เผยแพร่ครั้งแรก มีนาคม พ.ศ. 2564
Disclaimer: หนังสือ (คู่มือ) ที่มีเนื้อหาจำเพาะเกี่ยวกับวัคซีนต่อโรคโควิด-19 ฉบับนี้ เรียบเรียงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม พ.ศ. 2564 โดยอ้างอิงจากข้อมูลการศึกษาวิจัยเท่าที่มีอยู่ ตั้งเป้าหมายเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นทั้งที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนทั่วๆ ไปและที่จำเพาะกับวัคซีนโควิด-19 ทั้งเรื่องการออกฤทธิ์ของวัคซีน ประสิทธิภาพ รวมถึงความเสี่ยง และตอบข้อสงสัยหรือคำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าว โดยเรียบเรียงจากเนื้อหาที่ปรากฏในแหล่งอ้างอิงที่มีความน่าเชื่อสูงหลายแหล่ง (ดังตัวอย่างท้ายเล่ม) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและเชื่อถือได้มากที่สุด ทั้งนี้สำหรับข้อมูลการปฏิบัติตนบางอย่างที่แตกต่างออกไป ให้ถือปฏิบัติตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.)
สารบัญ |
วัคซีนช่วยป้องกันโรคได้อย่างไร? |
|
ชนิดและองค์ประกอบในวัคซีน |
|
ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน |
|
ใครต้องรับวัคซีนและรับอย่างไร? |
|
ความปลอดภัยของวัคซีน |
|
การผลิต, ขนส่ง และการควบคุมคุณภาพของวัคซีน |
|
ภาคผนวก |
|
BCG Economy Model ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
BCG: An Inclusive New Growth Engine เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย BCG Model
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2563
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2563
สหภาพยุโรปเร่งทำข้อตกลงกับบริษัทต่างๆ เพื่อจัดซื้อวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19
ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2563 สหภาพยุโรปได้เริ่มเจรจาทำข้อตกลงซื้อขายวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 ล่วงหน้า กับบริษัทต่างๆ เพื่อช่วยให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปสามารถจัดซื้อ รวมทั้งบริจาคให้กับประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง หรือให้กับประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA)
วัคซีนจากบริษัท Sanofi-GSK
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 สหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงทำสัญญาซื้อขายวัคซีนกับบริษัท Sanofi-GSK ซึ่งเป็นการร่วมมือพัฒนาวัคซีนระหว่าง 2 บริษัท คือ บริษัท Sanofi จากฝรั่งเศส และบริษัท GSK จากสหราชอาณาจักร ข้อตกลงซื้อขายจำนวน 3 ร้อยล้านชุด โดยจะจัดส่งทันทีที่วัคซีนได้รับการพัฒนาและพิสูจน์แล้วว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัส โดยใช้นวัตกรรมของระบบสารเสริมฤทธิ์ เป็นสารประกอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอนสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ ได้ดีกว่าการใช้วัคซีนอย่างเดียว
วัคซีนจากบริษัท Johnson & Johnson
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2563 สหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงกับ บริษัท Johnson & Johnson เพื่อเตรียมซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 2 ร้อยล้านชุด โดยบริษัททำการทดลองมีชื่อว่า Ad26.COV2.S โดยวัคซีนดังกล่าวใช้อะดิโนไวรันเซโรไทป์ 26 (Ad26) เป็นตัวเหนี่ยวนำซึ่งสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง สร้างแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ลบล้าง ป้องกันการติดเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกันจากไวรัสในปอดเกือบสมบูรณ์
วัคซีนจากบริษัท AstraZeneca
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2563 ทำกรอบสัญญาซื้อวัคซีนจากบริษัท AstraZeneca (กลุ่มบริษัทยาสวีเดน-สหราชอาณาจักร) จำนวน 3 ร้อยล้านชุด ปัจจุบันอยู่ในช่วงการทดสอบทางคลินิกระยะ 3 โดยบริษัท ได้ใช้วัคซีนที่ชื่อว่า ChAdOx1 nCoV-19 ในการทดลอง เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นจากเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคหวัด นำมาดัดแปลงพันธุกรรมจนไม่สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์ได้ และทำให้มีลักษณะคล้ายเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เกณฑ์การคัดเลือกวัคซีนในการจัดทำซื้อขายวัคซีนล่วงหน้า
ในการคัดเลือกบริษัทผู้พัฒนาวัคซีน ทางสหภาพยุโรปจะพิจารณาถึงผลการทดลองทางคลินิกเบื้องต้น และศักยภาพในการผลิตและส่งมอบวัคซีน ประกอบกับเกณฑ์การคัดเลือกอื่นๆ ทำกำหนดขึ้นดังนี้
-ความสามารถของเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาและทดลองวัคซีน โดยพิจารณาในประเด็นคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพ
-ประเภทและจำนวนชนิดของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการพัฒนาวัคซีน
-ความเร็วในการส่งมอบวัคซีน โดยจะพิจารณาถึงความคืบหน้าของการทดลองทางคลินิก และประเมินระยะเวลาส่งมอบ ภายในปี 2020 – 2021
-ค่าใช้จ่าย ข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่นๆ ของการชำระเงิน
-ประโยชน์และความเสี่ยงที่จะได้รับในกรณีที่การพัฒนาวัคซีนประสบผลสำเร็จ และกรณีที่ไม่ประสบผลสำเร็จ
-การคุ้มครองพิเศษที่บริษัทพัฒนาวัคซีนเรียกขอ
-ความสามารถในการผลิตและจัดหาวัคซีนให้เพียงพอในสหภาพยุโรป
-การให้คำมั่นในการผลิตและจัดหาวัคซีนในอนาคตให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
-การทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของสหภาพยุโรป และขออนุญาตเพื่อจัดจำหน่ายวัคซีนสู่ท้องตลาด
สารแสดงวิสัยทัศน์และพันธกิจของกรรมาธิการยุโรปด้านการวิจัยและนวัตกรรม และด้านการศึกษา เยาวชน กีฬา และวัฒนธรรม
นาง Ursula von der Leyen กล่าวว่า การลงทุนที่ดีที่สุดในอนาคต คือการลงทุนให้กับคนรุ่นใหม่ นักสร้างนวัตกรรม และนักวิจัย เหตุนี้การศึกษา การวิจัยและนวัตกรรม จึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและเป็นตัวขับเคลื่อนสังคมสู่เศรษฐกิจที่เป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศในยุคดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ โดยศักยภาพที่เป็นเลิศของยุโรปด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม
พันธกิจด้านการวิจัยและนวัตกรรม และ ด้านการศึกษา เยาวชน กีฬา และวัฒนธรรม
พันธกิจสำคัญสำหรับระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ดังนี้
-ทำงานร่วมกับแต่ละประเทศสมาชิก ชุมชนวิจัย ประชาสังคม และกรรมธิการอื่นๆ และดำเนินงานตามโครงการ Horizon Europe ซึ่งเป็นขอบข่ายโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของยุโรปฉบับใหม่ปี ค.ศ.2021
-จัดสรรงบประมาณและการลงทุนในสาขาการวิจัยและนวัตกรรมเปลี่ยนโลก เพื่อรักษาเสถียรภาพในการแข่งขันระดับโลก ส่งเสริมให้นักสร้างนวัตกรรมสามารถต่อยอดแนวคิดออกสู่ตลาด
-ร่วมทำงานกับแต่ละประเทศสมาชิกในการระดมความช่วยเหลือทั้งระดับประเทศและระดับสหภาพยุโรปเพื่อจัดตั้งเขตการวิจัยยุโรป (European Research Area)
-ร่วมทำงานในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ด้านอุตสาหกรรม และกำหนดสาขากลยุทธ์ใหม่ๆ ภายใต้โครงการ Horizon Europe เพื่อความสำคัญทางด้านการวิจัย นโยบาย และเศรษฐกิจมีความสอดคล้องกัน
-สนับสนุนการเพิ่มงบประมาณจำนวน 3 เท่าสำหรับโครงการ Erasmus+ เป็นโครงการด้านการศึกษาของสหภาพยุโรป
-จัดตั้งเขตการศึกษายุโรป (European Education Area) ภายในปี ค.ศ. 2050 พัฒนาการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนความรู้ในประเทศอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
-ส่งเสริมการสร้างความเป็นเลิศและการสร้างเครือข่ายของมหาวิทยาลัยในยุโรป
-ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของหลักสูตรแลกเปลี่ยนนักศึกษา เพื่อกระตุ้นการสร้างความร่วมมือในด้านการศึกษา การวิจัย และนวัตกรรม
-ส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อใช้เป็นตัวเหนี่ยวนำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม การสร้างงาน และการเติบโตในสหภาพยุโรป
-ให้ความสำคัญการพัฒนาการศึกษาด้านดิจิทัล จำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับปรุงแผนการดำเนินงานการศึกษาดิจิทัล (Digital Education Action Plan) การเพิ่มจำนวนหลักสูตรออนไลน์ให้ทุกคนเข้าถึง ออกมาตรการเพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อการบิดเบือนข้อมูล การให้ข้อมูลเท็จ และภัยคุกคามอื่นๆ บนสังคมออนไลน์
การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการกับสวนผักคนไทยในเบลเยียมในการแก้ปัญหาโรคของต้นมะเขือเปราะ
สืบเนื่องจาก ดร.มาณพ สิทธิเดช อัครราชทูตที่ปรึกษา สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้มีโอกาสไปเยี่ยม “ทิพย์สวนผักไทย” ซึ่งเป็นหนึ่งในสวนผักคนไทยในประเทศเบลเยียม ทำให้ทราบว่า “ทิพย์สวนผักไทย” ประสบปัญหาโรคของมะเขือเปราะที่เกิดขึ้นในแปลงเพาะปลูก โดยสามารถสรุปข้อสังเกตได้ดังนี้
-พื้นที่ที่ใช้ปลูกพืช : บริเวณพื้นที่ในแปลงดังกล่าวในฤดูปลูกของมะเขือเปราะปีก่อนหน้า ช่วงเดือนมีนาคม – สิงหาคม 2562 ได้ทำการเพาะปลูกมะเขือเปราะที่เสียบยอดบนต้นตอพันธุ์มะเขือเทศ
-ลักษณะอาการของโรคที่พบในแปลง : มีลักษณะอาการเหี่ยวทั้งที่ใบยังเขียว ใบไหม้ในใบอ่อนขอบใบม้วน มีใบร่วง ต้นที่มีอาการรุนแรงจะเหี่ยวแห้งเป็นสีน้ำตาลและยืนต้นตาย พบได้ในมะเขือเปราะชนิดอื่นๆ ทั้งมะเขือยาว และมะเขือม่วงในโรงเรือนอื่นๆ ด้วย
การให้น้ำ : เป็นระบบน้ำหยด แหล่งน้ำคือแม่น้ำในพื้นที่เพาะปลูก โดยสูบน้ำมาพักน้ำในบ่อพักน้ำ แล้วใช้น้ำรดโรงเรือนสตอเบอร์รี่ ก่อนน้ำทิ้งจากโรงเรือนสตอเบอร์รี่จะถูกนำไปยังบ่อพักน้ำอีกบ่อ เพื่อเตรียมไปใช้รดแปลงผัก รวมทั้งมะเขือเปราะด้วย
แมลงที่พบ : เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ และแมลงวัน ซึ่งมีจำนวนไม่มาก
สรุปผลการสำรวจโรคที่เกิดขึ้นในแปลง
จากการตรวจสอบ มีความเป็นไปได้ว่า เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum สาเหตุโรคเหี่ยวเขียว (Bacterial Wilt) ทั้งนี้ได้มีการประสานเครือข่ายนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญที่ประเทศไทย ซึ่งได้รับคำแนะนำอย่างดียิ่งจาก รศ.ดร. ประสาทพร สมิตะมาน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการโรคพืช และ ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ที่ปรึกษาผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ในการสำรวจและหาข้อสรุปเบื้องต้นในการวินิจฉัยโรค รวมทั้งการจัดการเพื่อป้องกันและกำจัดโรคต่อไป
ข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ปัญหาโรคของมะเขือเปราะที่เกิดขึ้น
ควรที่จะมีการปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่นๆ เพื่อป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคเหี่ยวดังกล่าว รวมทั้งอาจใช้วิธีการกำจัดเชื้อในดิน เช่น อบแปลงด้วยไอน้ำเพื่อลดปริมาณของเชื้อสารเหตุโรคพืชในดิน (soil-borne pathogens) หรือใช้สารเคมีที่ทางรัฐบาลเบลเยียมอนุญาตให้ใช้ในการเกษตรอินทรีย์เพื่อการรมดินได้ รวมทั้งการเปลี่ยนแหล่งน้ำที่ใช้ อาจใช้น้ำบาดาลทดแทนการใช้น้ำจากแม่น้ำ เพื่อลดอัตราการรับเชื้อโรคพืชจากภายนอกเข้าสู่แปลงเพาะปลูก
ความเป็นมาของทิพย์สวนผักไทย
ทิพย์สวนผักไทยได้เริ่มปลูกผักไทยบนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่กว่า เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา โดยใช้เมล็ดพันธุ์หรือหน่อที่นำเข้าจากไทย โดยปลูกในโรงเรือนป้องกันไม่ให้ผักเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นจนเกินไป และเป็นการปลูกพืชแบบปลอดสารพิษ โดยใช้น้ำที่เหลือจากการปลูกสตอเบอร์รี่ และปุ๋ยหมักชีวภาพในการบำรุงพืช ได้ผลผลิตงอกงามไม่ต้องพึ่งสารเคมี
การปลูกผักไทยในเมืองหนาวเริ่มเดินกุมภาพันธ์ เก็บเกี่ยวเดือนพฤศจิกายน เช่น มะเขือ กะเพรา โหระพา คะน้า ผักบุ้ง พริก แตงกวา ฟักทอง มะระ แตงกวา ฯลฯ จำหน่ายให้ลูกค้าคนไทยและคนเอเชียที่อยู่ในเบลเยียมและประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ และ ลักเซมเบิร์ก
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ :
https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200921-newsletter-brussels-no08-aug63.pdf
ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมปรับเปลี่ยน สู่ความยั่งยืนของไทยและโลกเรา
วีดีทัศน์ SDGs “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมปรับเปลี่ยน สู่ความยั่งยืนของไทยและโลกเรา” สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอนที่ 1: ความรู้เกี่ยวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ตอนที่ 2: SDGs ในทศวรรษแห่งการดำเนินการอย่างจริงจัง (Decade of Action)
ตอนที่ 3: SDGs กับเยาวชน
ตอนที่ 4: SDGs กับภาคธุรกิจ
ตอนที่ 5: SDGs กับความหลากหลายทางเพศ
ตอนที่ 6: SDGs กับเกษตรกร
ตอนที่ 7: SDGs กับชีวิตคนเมือง
ตอนที่ 8: SDGs กับอาหารริมทาง