หนังสือ 20 ปี ความสัมพันธ์ Thai-CERN

20 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เซิร์น

หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 65 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2563 เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงนำนักวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเข้าสู่วงการฟิสิกส์อนุภาคระดับโลก “โครงการความร่วมมือไทย-เซิร์น ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” และฉลองโอกาสครบรอบ 20 ปี ของความสัมพันธ์ไทย – เซิร์น โดยหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 4 ภาคคือ ภาคหนึ่ง : ความสัมพันธ์ไทย – เซิร์น ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณ ภาคสอง : เซิร์นคืออะไร ภาคสาม : ต่อยอดความสัมพันธ์ไทย – เซิร์น และบทส่งท้าย

ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเล็งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ของฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค รวมถึงการสร้างโอกาสให้ทั้งนักเรียนมัธยมศึกษา ครู อาจารย์ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก รวมทั้งนักวิจัยได้มีโอกาสร่วมปฏิบัติงาน เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในองค์กรระดับโลก ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกิดจาการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการวิจัยภายในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมและได้รับการยอมรับในระดับสากล

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะทำงานติดตามโครงการฯ อย่างใกล้ชิด และทรงมอบหมายให้เลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี (ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์) ทำหน้าที่ประสานงานกับเซิร์นและหน่วยงานฝ่ายไทยสนองพระราชดำริอย่างต่อเนื่องสมํ่าเสมอ รวมทั้งการถวายรายงานในการประชุมประจำปีของคณะกรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทุกครั้ง นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อีกด้วย ซึ่งหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศให้การยกย่องในพระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงงานมิใช่เพื่อพระองค์เอง หากเพื่อประโยชน์ของทั้งคนไทยและมนุษยชาติอย่างแท้จริง

Website : https://www.princess-it.org/th/infocern.html

 Download e-Book 

3 ทศวรรษ สวทช. กับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สวทช. จัดทำหนังสือเล่มนี้ในโอกาสครบรอบ 30 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนาที่มีการนำไปใช้ประโยชน์ในภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงผลกระทบในวงกว้าง โดยคัดเลือกหัวเรื่องต่าง ๆ จากผลงานวิจัยและพัฒนาที่มีดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการนำไปใช้ประโยชน์จริง มีผลกระทบต่อประเทศ ได้รับการเผยแพร่และการกล่าวถึงจากสื่อมวลชน รวมถึงผลงานที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำบทสัมภาษณ์ผู้บริหารในการถอดบทเรียนแห่งความสำเร็จ ทิศทาง และวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ ทิศทางการเกษตรและอาหาร สุขภาพการแพทย์ ดิจิทัล และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ทำให้ทราบถึงความสำเร็จที่ผ่านมาของ สวทช. และแนวคิดของผู้บริหารในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาที่สร้างประโยชน์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อประเทศ

30 ปีที่ผ่านมา สวทช. มีการพัฒนาและปรับปรุงการทำงานอย่างสม่ำเสมอ ด้วยจุดแข็งด้านกำลังคน ที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพ สามารถสร้างงานวิจัยที่เข้มแข็ง สร้างผลกระทบได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ สวทช.ยังมีเครือข่ายความร่วมมือและพันธมิตรที่เข้มแข็งเสมอมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้เป็นพลังในการขับเคลื่อนการทำงานให้ “สวทช. เป็นองค์กรเปิดด้านการวิจัยและพัฒนาที่ประเทศขาดไม่ได้” โดยได้สร้างผลงานที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ประจักษ์ ประกอบด้วย 7 ด้านหลัก ดังนี้ 

1. เกษตรและอาหาร
2. วัสดุ พลังงานและสิ่งแวดล้อม
3. สุขภาพและการแพทย์
4. ดิจิทัล
5. ความมั่นคงของประเทศ การรับมือโรคระบาดและภัยพิบัติ
6. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
7. การพัฒนากำลังคน

1.ด้านเกษตรและอาหาร

สวทช. มุ่งใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงพันธุ์พืช โดยมี “ข้าว” เป็นผลงานวิจัยที่สำคัญ ซึ่งการเข้าร่วม “โครงการวิจัยจีโนมข้าวนานาชาติ” ในปี พ.ศ. 2542 และการดำเนินโครงการจีโนมข้าวไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเพิ่มศักยภาพ สร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านจีโนมให้กับทีมนักวิจัย นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นและสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างของความสำเร็จของการวิจัยได้แก่ การจดสิทธิบัตรยีนความหอม การพัฒนาข้าวเหนียวพันธุ์ “กข 6 ต้นเตี้ยต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง” ข้าวธัญสิริน ข้าวเหนียวพันธุ์ “น่าน 59” และข้าวเหนียวพันธุ์ “หอมนาคา”

จากข้าวมีการพัฒนาไปสู่พืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น “ยางพารา” ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีการผลิตและการใช้ประโยชน์จากน้ำยางมาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยางอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตน้ำยางจากเกษตรกรโดยพัฒนาสารยืดอายุน้ำยางสดเพื่อการผลิตยางแผ่น (BeThEPS), น้ำยางข้นสำหรับทำผลิตภัณฑ์โฟมยาง ParaFIT, น้ำยางโลมาร์ (LOMAR) สำหรับทำถนนลาดยางมะตอย ยางล้อตันรถฟอร์กลิฟต์ประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการจัดการของเสียในโรงงานผลิตน้ำยางข้นที่มีประสิทธิภาพสูง (GRASS) และสร้างนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการใช้งานยางพาราในประเทศมากขึ้น ส่วน “มันสำปะหลัง” มีทั้งการพัฒนาสายพันธุ์ การแก้ปัญหาโรคระบาดด้วยพัฒนาน้ำยาสำหรับตรวจสอบไวรัสใบด่าง การพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียและผลิตก๊าซชีวภาพแบบตรึงฟิล์มสำหรับโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และพัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังที่มีปริมาณไซยาไนด์ต่ำและปลอดภัยต่อการบริโภคในระดับอุตสาหกรรม ขณะที่ “อ้อย” ได้มีการนำเทคโนโลยีจีโนมมาใช้ในการค้นหายีนที่กำหนดความหวานในอ้อยและการปรับปรุงพันธุ์อ้อยแบบบูรณาการ รวมถึงชุดตรวจวิเคราะห์เดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล

สำหรับ “อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์” สวทช. ได้พัฒนาชุดตรวจไฮบริดชัวร์ เพื่อทดสอบเอกลักษณ์พันธุ์พืช ทำให้สามารถแยกความแตกต่างของสายพันธุ์ลูกผสมได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ใน “อุตสาหกรรมสัตว์น้ำ” สวทช. พัฒนาทั้งระบบบำบัดไนเตรตแบบท่อยาว และเทคโนโลยีระบบหมุนเวียนน้ำเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิดที่มีการต่อยอดพัฒนาเป็น “ถังเลี้ยงปลานิลความหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียน” นอกจากนี้ยังมีการวิจัยและพัฒนาการผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งปลอดโรค การพัฒนาชุดตรวจเชื้อก่อโรคตับตายฉับพลันสาเหตุหนึ่งของโรคกุ้งอีเอ็มเอส (Amp-Gold) และการพัฒนาไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีนสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์น้ำ

อย่างไรก็ดีเพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ “สมาร์ตฟาร์มเมอร์” ได้อย่างรวดเร็ว สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นทำให้เกิดการวางแผนจัดการการผลิตที่ดี ทั้งปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะมีทั้งแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงข้อมูลสภาพแวดล้อมทางด้านการเกษตร ระบบควบคุมการเกษตรแม่นยำ ระบบตรวจสอบสภาพของพืชและสภาพแวดล้อม และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ที่มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เข้ามาช่วย อย่างเช่น “HandySense” ระบบเกษตรแม่นยำ “Aqua Grow” (อะควาโกรว์) ระบบอัจฉริยะที่ช่วยเกษตรกรติดตามดูแลคุณภาพน้ำ และได้พัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตรในภาพรวม เช่น “What2Grow เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านการเกษตร” และ “ FAARMis” (ฟาร์มมิส) แอปพลิเคชันสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรแบบเชิงรุก รวมถึงจัดทำ “โครงการโรงงานผลิตพืช” หรือ “Plant Factory” ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี เพื่อพลิกโฉมการปลูกพืชจากดั้งเดิมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติมาสู่การปลูกในระบบปิดที่ควบคุมสภาพแวดล้อม ทำให้ปลอดภัยสูง ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง มีปริมาณผลผลิตที่คงที่ และยังสามารถปลูกได้ทั้งปีโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาล นอกจากนี้ได้ต่อยอดงานวิจัยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพพัฒนาสารชีวภัณฑ์เพื่อช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชทดแทนสารเคมีอันตรายที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น การผลิตไวรัสเอ็นพีวี และวิปโปร เป็นต้น

สำหรับการวิจัยและพัฒนาอาหาร สวทช. เริ่มต้นจากเทคโนโลยีการหมัก เนื่องจากมีองค์ความรู้ด้านจุลินทรีย์ จึงมีการนำความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบในประเทศไทย ซึ่งเริ่มจากการหมักอาหารพื้นบ้าน โดยเทคโนโลยีการใช้ต้นเชื้อบริสุทธิ์ ซึ่งจากการหมักต่าง ๆ ทำให้ทีมวิจัยเข้าใจและมีองค์ความรู้ของเชื้อแต่ละกลุ่มในอาหารแต่ละอย่างมากขึ้น เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา“ไข่ออกแบบได้” หรือ “สารเสริมอาหารสำหรับไก่เพื่อเพิ่มคุณภาพไข่ไก่” ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบนำส่งยา หรือสารสำคัญ ให้อยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ได้สะดวกต่อการเป็นสารเสริมอาหารในไก่ และฟิล์มบรรจุภัณฑ์หายใจได้ ยืดอายุผัก-ผลไม้สด ActivePAKTM และ ActivePaKTM Ultra 

2. ด้านวัสดุ พลังงานและสิ่งแวดล้อม

สวทช. มุ่งวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่การพัฒนามาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยงานวิจัยด้านวัสดุครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาวัสดุ การขึ้นรูปวัสดุให้เป็นชิ้นส่วนที่มีรูปร่างและสมบัติตามความต้องการในการใช้งานซึ่งมีหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ในด้านต่าง ๆ

ที่ผ่านมา สวทช. มีผลงานเด่นด้านวัสดุ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก เช่น การพัฒนากระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิด ที่ได้รับการต่อยอดขยายการผลิตในระดับอุตสาหกรรมและมีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว การพัฒนา “กราฟีน” วัสดุแห่งอนาคต ซึ่งมีการต่อยอดไปผลิตหมึกนำไฟฟ้าจำหน่ายเชิงพาณิชย์ และนำไปทำเซนเซอร์ พัฒนาเป็นชุดตรวจต่าง ๆ รวมถึงประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน และสร้างต้นแบบแบตเตอรีต่าง ๆ

นอกจากนี้ สวทช. ยังได้การพัฒนาสารเคลือบอนุภาคนาโน เพื่อใช้งานกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการพัฒนาต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งเป็นยานพาหนะสมัยใหม่ประหยัดพลังงานและร่วมวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้งานน้ำมันดีเซล B10 อย่างแพร่หลาย โดยนำเทคโนโลยี H-FAME มาใช้ ซึ่งมีการทดสอบร่วมกับบริษัทผู้ผลิตรถกระบะและเป็นที่ยอมรับทั่วไป

ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม มีการพัฒนา “เอนไซม์เอนอีซ” (ENZease) หรือเอนไซม์ดูโอที่สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียว นอกจากนี้ สวทช. ได้สร้าง “ห้องทดสอบการย่อยสลายได้ทางชีวภาพของวัสดุ” เพื่อให้บริการวิเคราะห์ทดสอบวัสดุการเสื่อมสภาพของวัสดุอันเนื่องจากสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบพยากรณ์และจำลองเหตุการณ์เพื่อบริหารจัดการปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็มสำหรับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

3. ด้านสุขภาพและการแพทย์

ที่ผ่านมา สวทช. มีบทบาทในการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับด้านสุขภาพและการแพทย์ทั้งการพัฒนาชุดตรวจ วัสดุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาวัคซีน การรับมือโรคอุบัติใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดสมุนไพรและตำรับเวชสำอางต่าง ๆ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมรับมือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย โดยมีผลงานเด่น ๆ เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น ความสำเร็จในการพัฒนาสารต้านมาลาเรียชนิดใหม่ของโลก ที่มีชื่อเรียกว่า “สาร P218” ซึ่งเป็นสารต้านมาลาเรียตัวแรกที่นักวิจัยไทยออกแบบและสังเคราะห์ขึ้นเอง และการพัฒนา“เดนตีสแกน” (DentiiScan) เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบลำแสงทรวงกรวยสำหรับงานทันตกรรมและศัลยกรรมบริเวณช่องปากและใบหน้าขึ้นเป็นรายแรกในไทย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาชุดตรวจอย่างง่ายเพื่อคัดกรองผู้เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย และการพัฒนา “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยีกล้องอินฟราเรดผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ สามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วภายใน 0.1 วินาที

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ทั้งเตียงตื่นตัว (JOEY) และ M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อเปลี่ยนรถเข็นธรรมดาเป็นรถเข็นไฟฟ้า รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมอาหาร เช่น ผงปรับความหนืดในอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้มีภาวะกลืนลำบาก ช่วยลดอาการสำลัก นวัตกรรมอาหารที่บดเคี้ยวและกลืนง่ายสำหรับผู้สูงอายุ และขนมปังแซนด์วิชและครัวซองปราศจากกลูเตน ที่ใช้ฟลาวข้าวเจ้าเป็นองค์ประกอบหลักเพื่อลดการเกิดอาการแพ้ต่อผู้บริโภค

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสกัดและกักเก็บสารออกฤทธิ์สำคัญในอนุภาคระดับนาโน สวทช.ได้มีการวิจัยและพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดจากสมุนไพรไทยในอาหารเสริมและตำรับเวชสำอางต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันเมล็ดงาม้อนบรรจุแคปซูลนิ่ม ที่อุดมไปด้วยปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพลิโคซานอลจากสารสกัดไขอ้อยจากกระบวนการผลิตน้ำตาล ช่วยลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เจลลดการอักเสบสิวจากบัวบก มังคุด และกานพลู การพัฒนาเซรั่มบำรุงผิวหน้าเซริซิน และอนุภาคสารสกัดใบหมี่และบัวบกสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง

4. ด้านดิจิทัล

ที่ผ่านมาการวิจัยและพัฒนาด้านดิจิทัลของ สวทช. มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างสมองค์ความรู้ นักวิจัย และสร้างระบบนิเวศให้งานวิจัยเพื่อให้เทคโนโลยีไปถึงมือผู้ใช้มากขึ้น และที่สำคัญ สวทช. ได้มีโอกาสทำงานสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ใน “โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ซึ่งมี สวทช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการฯ โครงการนี้มีการดำเนินกิจกรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคมทั้งเด็กในชนบท ผู้พิการ เด็กป่วยในโรงพยาบาล และผู้ต้องขัง

นอกจากนี้ สวทช. มีส่วนช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำและลดช่องว่างในการศึกษาหาความรู้ของนักเรียนไทยทั่วประเทศด้วย “SchoolNet Thailand: โครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย” และร่วมดำเนินการโครงการจัดทำเนื้อหาระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ขึ้น หรือ “อีดีแอลทีวี” (eDLTV) รวมถึงมีการต่อยอดการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ให้อยู่ใน “ระบบการศึกษาออนไลน์แบบเปิดเพื่อมหาชน” (MOOC) พร้อมทั้งเปิดให้เชื่อมต่อกับ “ระบบคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด” (OER) อีกทั้งยังร่วมมือกับพันธมิตรริเริ่มสนับสนุนด้านไอทีให้กับโรงเรียนมัธยมในจังหวัดแม่ฮ่องสอนใน “โครงการแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์” เพื่อสร้างคน สร้างงาน และสร้างเครือข่ายให้กับพื้นที่ห่างไกล

ขณะเดียวกัน สวทช. ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านภาษาโดยริเริ่มวิจัยและพัฒนาการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เป็นรายแรก ๆ ในประเทศไทย ซึ่งมีผลงานเด่นที่รู้จักกันดีจนถึงปัจจุบัน เช่น ภาษิต (PARSIT) ซอฟต์แวร์แปลภาษา วาจา (VAJA) ซอฟต์แวร์สังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทย และพาที (PARTY) ระบบรู้จำเสียงพูดภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการ “Size Thailand” เพื่อสำรวจและวิจัยมาตรฐานขนาดรูปร่างของคนไทย การพัฒนาบอร์ดสมองกลฝังตัว ”KidBright” (คิดไบร์ท) ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือให้เด็ก ๆ เรียนรู้เรื่องโค้ดดิ้งได้โดยง่ายและสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มระดับใช้งานในระดับประเทศ เช่น Thai School Lunch ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ “eMENSCR” ระบบสารสนเทศที่ใช้ติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานผ่านแผนงาน โครงการ หรือการดำเนินงานต่างๆ ของประเทศ “TPMAP” ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า และ “AI FOR THAI” แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทยที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรเอไอเชิงลึกให้กับประเทศอีกด้วย

5. ด้านความมั่นคงของประเทศ การรับมือโรคระบาดและภัยพิบัติ

สวทช. ทำงานทางด้านความมั่นคงมาระดับหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ร่วมมือกับสำนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ในการพัฒนาเครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่เรียกว่า “ทีบ็อกซ์” เครื่องรบกวนสัญญาณไร้สาย เพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัยมากขึ้น และทดแทนเทคโนโลยีนำเข้าราคาแพงจากต่างประเทศ จากผลงาน “ทีบ็อกซ์” ที่สามารถใช้งานได้จริง ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศเกิดความเชื่อมั่นในผลงานของนักวิจัยไทยและต่อยอดความร่วมมือไปยังเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น เกราะกันกระสุน เสื้อเกราะกันกระสุน วิจัยและพัฒนาคุณภาพใบพัดยางและยางกันกระแทกท่าเรือ ต้นแบบคัพปลิ้งแบบยืดหยุ่นที่ใช้ในเรือตรวจการณ์ ต้นแบบอาหารพลังงานสูงน้ำหนักเบาสำหรับพกพา E-nose ในการตรวจวัดกลิ่นแทนสุนัขทหาร และระบบติดตามผุ้ต้องสงสัย เป็นต้น

สวทช. ยังสร้างความปลอดภัยให้กับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชัน Traffy ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านสมาร์ตซิตี้ หรือเมืองอัจฉริยะ เช่น Traffy Waste” (ทราฟฟี่ เวสต์) หรือ ระบบจัดการการเก็บขยะอัจฉริยะ และ “Traffy Fondue” (ทราฟฟี่ ฟองดูว์) แพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นสำหรับสื่อสารปัญหาของเมืองระหว่างประชาชนและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมด้วยการออกแบบและพัฒนา “ห้องโดยสารรถพยาบาลให้ได้โครงสร้างความแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับแรงกระทําที่เกิดขึ้นกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ” และระบบ “SOS Water” เพื่อแก้ปัญหาน้ำดื่มยามประสบภัยพิบัติ

สำหรับในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2563 สวทช. ได้ประยุกต์ใช้ “Traffy Fondue” ในแพลตฟอร์มไลน์แชตบอท เพื่อให้ประชาชนใช้ในการรายงานข้อมูลบุคคลเดินทางจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดโควิด-19 และพื้นที่กรุงเทพมหานคร เดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างรวดเร็ว และมีการพัฒนาแอปพลิเคชันดีดีซี-แคร์ ติดตามและประเมินสุขภาพผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรควิด-19 ร่วมกับกรมควบคุมโรค

นอกจากนี้เพื่อเตรียมความพร้อมประเทศไทยให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในยามเผชิญภาวะวิกฤต สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาต้นแบบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาการตรวจคัดกรองผู้ป่วยเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 ด้วยวิธีสกัด RNA เชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 แบบง่าย และเทคโนโลยีโคซี-แอมป์ ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งช่วยให้การตรวจคัดกรองมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ยับยั้งการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น รวมถึงพัฒนานวัตกรรมสำหรับการป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อ เช่น “PETE เปลปกป้อง” เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อแรงดันลบแบบปลอดภัย อุปกรณ์ “MagikTuch” ปุ่มกดลิฟต์ไร้สัมผัส และ “นวัตกรรมอุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี (Girm Zaber Robot) ซึ่งมีทั้งรุ่นที่เป็น Station และหุ่นยนต์ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี – ซี (UV-C) สามารถเข้าถึงการฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เฉพาะและจุดเสี่ยงโรคต่าง ๆ ได้ดี

6. ด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สวทช. ริเริ่มการสนับสนุนภาคเอกชนด้วยการพัฒนาโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือไอแทป (ITAP ) ภายใต้การดูแลของศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ในการสนับสนุนและผลักดันให้เอสเอ็มอี สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้อย่างเหมาะสม สามารถยกระดับการผลิต สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ และมีการวิจัย พัฒนาและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถสร้างรายได้ที่แท้จริง และต่อยอดส่งเสริม สนับสนุนภาคเอกชนในการสร้างขีดความสามารถเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศด้วยนิคมวิจัยสำหรับเอกชนแห่งแรกในไทย “อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย” ซึ่งเป็นนิคมวิจัยที่มีความสำคัญและขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน

TMC สวทช. ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงงานวิจัยกับผู้ประกอบการ SMEs ในภาคอุตสาหกรรมและมีบริการสนับสนุนที่ครบวงจรทั้งด้านการพัฒนาธุรกิจและด้านการเงิน เช่น ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ให้การสนับสนุนบ่มเพาะและเป็นพี่เลี้ยงให้กับสตาร์อัปด้านเทคโนโลยีที่มีไอเดียแล้วต้องการต่อยอดธุรกิจ การร่วมลงทุน การดำเนินการด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และการอนุญาตใช้สิทธิผลงานวิจัย (Licensing) ซึ่งเป็นกลไกผลักดันงานวิจัยสู่ตลาด การประเมินจัดลำดับเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการไทยฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมรับทราบถึงขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ และบัญชีนวัตกรรมไทย
นอกจากนี้ สวทช. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการวิจัยของประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นตัวเชื่อมโยงนักวิจัยกับผู้ประกอบการแล้ว ยังมีโครงการจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ณ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีผลงานวิจัยและนวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการขยายผลงานวิจัย ทดสอบ ประเมินความเป็นไปได้สู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์และเชิงสาธารณประโยชน์

ภายใต้การดำเนินงานของ สวทช. ยังมี “ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย” (TBRC) ศูนย์กลางในการให้บริการชีววัสดุที่มีมาตรฐานระดับนานาชาติ ครอบคลุมบริการชีววัสดุประเภทต่าง ๆ แบบครบวงจร “ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ” (NBT) ที่ให้บริการและเป็นแหล่งจัดเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพระยะยาว และการพัฒนา “ฐานข้อมูลวัฏจักรชีวิตแห่งชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลาง ในการเพิ่มศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สวทช. ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (NQI) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถสินค้าและบริการไทย โดยจัดตั้งห้องปฏิบัติการให้บริการด้านการวิเคราะห์และทดสอบตามมาตรฐานสากล เช่น ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC) ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) และศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES)

7.ด้านการพัฒนากำลังคน

นอกจากการวิจัยและพัฒนาแล้ว สวทช. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ด้วย ที่ผ่านมาสามารถแยกภารกิจด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. ได้เป็น 3 ด้านหลักคือ การพัฒนาบุคลากรวิจัย การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม หรืออัพสกิล-รีสกิล สำหรับผู้ที่ใช้ วทน. ทั้งในภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ สวทช. ได้พัฒนาบุคลากรวิจัยผ่านกลไกในการให้ทุน ซึ่งมีทั้งการบ่มเพาะเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาผ่านโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน” (JSTP) โครงการสร้างปัญญาวิทย์ ผลิตนักเทคโน (YSTP) สำหรับนำนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยมาบ่มเพาะให้มีทักษะกระบวนการวิจัยที่มีความสามารถในการทำงานวิจัยที่มีคุณภาพ สำหรับระดับปริญญาโท – ปริญญาเอก มีจะทุนการศึกษาที่เรียกว่า โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) ซึ่งโปรแกรมการให้ทุนหลัก ๆ เหล่านี้ สวทช. ให้ทุนไปแล้วกว่า 3,000 ทุน และจบการศึกษาแล้วกว่า 2,200 คน

สวทช.ยังมีทุนที่เป็นความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในต่างประเทศ รวมถึงทุนที่เกิดจากความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาบุคลากรด้าน STEM รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และยังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพื่อพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูง

สำหรับการสร้างแรงบันดาลใจ สวทช. เน้นการให้ความรู้ที่เสริมกับการเรียนในห้องเรียนผ่านกิจกรรมค่ายต่าง ๆ ของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และเฟ้นหานักวิทย์รุ่นเยาว์ผ่านการอบรมและการประกวดที่สามารถต่อยอดไปสู่เวทีนานาชาติได้ เช่น การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) โครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) โครงการพัฒนาทักษะการออกแบบและสร้างหุ่นยนต์แห่งประเทศไทย (RDC) นอกจากนี้ยังร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยไทย จัดกิจกรรมในโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เพื่อปูพื้นฐานเด็กไทยให้รักและสนใจการเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตลอดจนเกิดแรงบันดาลใจที่จะไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ในอนาคต

ส่วนการอัพสกิล-รีสกิล สวทช. มีหลักสูตรการอบรมและการสอบมาตรฐาน ที่จะช่วยส่งเสริมและเพิ่มทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ รวมถึงนักวิจัยที่ใช้ วทน. ในการประกอบอาชีพอีกด้วย

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญขององค์กรระหว่างประเทศ

บริษัท company2newmarket ได้นำเสนอ 5 ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญขององค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งได้ข้อมูลจากการวิจัยของบริษัทและหลายโครงการเกี่ยวกับลูกค้าของหลากหลายตลาดและอุตสาหกรรม

ปัจจัยที่ 1: ความสามารถระหว่างวัฒนธรรม (Intercultural Competence)

จากประสบการณ์ของบริษัท soft skills เช่น ความสามารถในการพัฒนาและทำให้เครือข่ายระหว่างประเทศเติบโต, จัดการทีมระหว่างวัฒนธรรม, ได้ลูกค้าในตลาดต่างประเทศ หรือเรียนรู้และปรับเข้าอย่างประสบผลสำเร็จกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกำลังเพิ่มความสำคัญมากขึ้น

 

ปัจจัยที่ 2: ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Products and Services)

ไม่มีลูกค้าจะซื้อผลิตภัณฑ์และบริการจากผู้ผลิตต่างประเทศ ถ้าผลิตภัณฑ์และบริการไม่มีประโยชน์เฉพาะ เช่น ราคาถูกกว่า คุณภาพดีกว่า หรือความสามารถสูงกว่า

 

ปัจจัยที่ 3: การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดในด้านต่างๆ ทำให้การตัดสินใจมีคุณภาพ (Market Intelligence drives the Quality of Decisions)

 

ปัจจัยที่ 4: กระบวนการพัฒนาตลาดที่มีโครงสร้าง (Structured Market Development Process)

การประยุกต์ใช้กระบวนการพัฒนาตลาดที่มีโครงสร้างโดยองค์กรระหว่างประเทศจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ดังนั้นบริษัทได้พัฒนากระบวนการ company2newmarket ซึ่งช่วยสนับสนุนลูกค้าให้ได้ลูกค้าใหม่ในตลาดต่างประเทศใหม่ในเวลาสั้นกว่า ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า และมีความเสี่ยงต่ำกว่า

 

ปัจจัยที่ 5: การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Risk Management)

 

ที่มา: company2newmarket. Five Key Success Factors of International Organizations. Retrieved January 23, 2021, from https://www.company2newmarket.com/company2newmarket/aktuelles/BlogEnglish/2015-08-11-Five-key-success-factors-of-international-organizations.php

 

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญขององค์กรฐานความรู้ ศึกษาจากการตอบแบบสอบถามของผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในอิหร่าน

1. จาการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตอบแบบสอบถามของ 30 ผู้สอนในเรื่องการจัดการรัฐบาลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติและมหาวิทยาลัย Azad ในอิหร่าน สามารถแบ่งปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญเป็น 3 ประเด็นหลัก และ 18 ประเด็นย่อย ดังนี้

1. โครงสร้างองค์กร (Structural) ประกอบด้วย 8 ประเด็นย่อย

1.1 การลื่นไหลของความรู้ (fluidity)

โครงสร้างองค์กรควรทำให้เกิดการลื่นไหลของความรู้

1.2 กำจัดขอบเขต (eliminate of boundary)

องค์กรฐานความรู้ต้องเป็นอิสระจากขอบเขตที่จำกัด ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไม่มีข้อห้ามจากการควบคุมและอำนาจที่เป็นทางการ

1.3 ความยืดหยุ่น (flexibility)

โครงสร้างองค์กรต้องมีความยืดหยุ่น ทำให้จัดระเบียบความรู้ได้เหมาะสม

1.4 เทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology)

เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรฐานความรู้เพิ่มคุณค่า เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมและเผยแพร่ความรู้

1.5 ใช้ทีมและมอบรางวัลให้ (applying teams and awarding them)

การประเมินความสามารถและการให้ผลตอบแทนเป็นทีมจะทำให้สมาชิกช่วยกันพัฒนาความสามารถและแบ่งปันความรู้ระหว่างกัน

1.6 ความเป็นทางการ (formality)

1.7 การรวมอำนาจมาอยู่ส่วนกลาง (centralization)

1.8 ความซับซ้อน (complexity)

 

2. พฤติกรรมองค์กร (Behavioral) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย

2.1 การแก้ประเด็นและปัญหาอย่างเป็นระบบ (issues and problem solving in a systemic way)

องค์กรต้องยอมรับปัญหาและประเด็นและประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาโดยการตั้งสมมติฐานและการทดสอบ

2.2 การทดสอบและประสบการณ์ (test and experience)

การทดสอบและประสบการณ์เป็นการค้นหาและทดสอบความรู้ใหม่ ก่อให้เกิดความรู้

2.3 เรียนรู้จากอดีต (learning from past)

องค์กรเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต โดยการทบทวนความล้มเหลวและความสำเร็จและค้นหาเหตุผลให้ความรู้อย่างมาก และต้องทำให้ความรู้ที่ได้เข้าถึงได้โดยสมาชิกทุกคนเมื่อต้องการใช้ประโยชน์

2.4 เลียนแบบสิ่งที่ดีที่สุด (imitating the best)

องค์กรฐานความรู้ให้ความรู้จากการเรียนรู้จากบุคคลอื่น

2.5 การถ่ายทอดและกระจายความรู้ (transmitting and distributing knowledge)

องค์กรฐานความรู้ต้องสามารถสร้าง บันทึก และกระจายความรู้อย่างเหมาะสม ความรู้ไม่ควรจำกัดอยู่กับกลุ่มจำเพาะ ควรจะกระจายไปทั่วทั้งองค์กรและสมาชิกทุกคน ความคิดมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อกระจายไปทั่วทุกคน

 

3. วัฒนธรรมองค์กร (cultural) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย

3.1 ค่านิยมอิสลามและศาสนา (Islamic and religious values)

สังคมอิหร่านขึ้นอยู่กับค่านิยมอิสลาม ต้องพิจารณาในนโยบายระบบราชการ

3.2 การมีส่วนร่วม (participation)

การมีส่วนร่วมของสมาชิกในองค์กรจะช่วยส่งเสริมการพัฒนา รักษาไว้ แบ่งปัน และประยุกต์ใช้ความรู้

3.3 ความไว้วางใจ (trust)

ความไว้วางใจเป็นความยินดีที่จะแบ่งปันความรู้

3.4  knowledge fostering leading

3.5 คุณธรรมนิยม (meritocracy)

คุณธรรมนิยมหมายถึงการใช้คนที่ดีที่สุดในตำแหน่งที่เหมาะสมในองค์กร

 

2. จัดอันดับความสำคัญของ 3 ประเด็นหลักและ 18 ประเด็นย่อยโดยใช้ซอฟต์แวร์คำนวณค่าน้ำหนักความสำคัญ (weight significance) ของแต่ละประเด็น ผลเป็นดังนี้

2.1 ผลการจัดอันดับความสำคัญของ 3 ประเด็นหลัก พบว่า วัฒนธรรมองค์กรมีความสำคัญเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ โครงสร้างองค์กร และตามด้วยพฤติกรรมองค์กร

2.2 ผลการจัดอันดับความสำคัญของ 18 ประเด็นย่อย เรียงลำดับจากอันดับ 1 ถึงอันดับ 18 ได้ดังนี้ trust ในวัฒนธรรมองค์กร, participation ในวัฒนธรรมองค์กร, information technology ในโครงสร้างองค์กร, meritocracy ในวัฒนธรรมองค์กร, flexibility ในโครงสร้างองค์กร, Islamic and religious values ในวัฒนธรรมองค์กร, fluidity ในโครงสร้างองค์กร, eliminate of boundary ในโครงสร้างองค์กร, team depending and awarding them ในโครงสร้างองค์กร, knowledge fostering leading ในวัฒนธรรมองค์กร, formality ในโครงสร้างองค์กร, issues and problem solving in a systemic way ในพฤติกรรมองค์กร, complexity ในโครงสร้างองค์กร, centralization ในโครงสร้างองค์กร, imitating the best ในพฤติกรรมองค์กร, transmitting and distributing knowledge ในพฤติกรรมองค์กร, test and experience ในพฤติกรรมองค์กร และ learning from past ในพฤติกรรมองค์กร ตามลำดับ

 

ที่มา: Somayeh Hosseinzadeh, Toraj Mojibi, Seyyed Mehdi Alvani and Javad Rezaeian (2019).  Prioritizing and Analyzing Key Factors of Succeeding Knowledge-Based Organizations Using Analytical Hierarchy Process (AHP). Retrieved January 18, 2021, from https://ijol.cikd.ca/article_60471_11124a8e6a5ce213a7207294875d1a7e.pdf

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของสถาบันวิจัย

ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของสถาบันวิจัย มี 5 ปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่

1. ความสามารถและแรงจูงใจของมนุษย์ (Human competence and motivation) ประกอบด้วย 4 ประเด็นย่อย

นอกจากคุณภาพและความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่วิจัยมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของสถาบันวิจัย เจ้าหน้าที่วิจัยยังต้องมีแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่

1.1 ความสามารถส่วนบุคคล (Individual capability)

1.2 Critical mass or collegiality

1.3 ความเป็นผู้นำทางวิชาการ (Academic leadership)

1.4 แรงจูงใจและความมุ่งมั่นส่วนบุคคล (Personal motivation and commitment)

 

2. ความชัดเจนของวัตถุประสงค์และความสามารถในการปรับตัว (มุมมองด้านอุปทาน) (Clarity of objectives and capacity to adapt (the supply perspective)) ประกอบด้วย 7 ประเด็นย่อย

ความชัดเจนของวัตถุประสงค์ช่วยให้สถาบันวิจัยมีความแตกต่างจากคู่แข่ง และความสามารถในการปรับตัวของสถาบันวิจัยต่อสภาพแวดล้อมมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของสถาบันวิจัย

2.1 ความชัดเจนของภารกิจและวัตถุประสงค์ (A clarity of mission and objectives)

2.2 A niche in a specific, differentiated area of knowledge

2.3 ระดับความสอดคล้องร่วมกันของสถาบัน (An institutionally shared level of congruence)

2.4 ข้อสรุปของการวิจัยและการสอนและความต้องการทางสังคมสำหรับความรู้ (An articulation of research and instruction, and a social need for knowledge)

2.5 การวิจัยเชิงทฤษฎีภายในองค์กร (In-house theoretical research)

2.6 ความสามารถใน assimilate และปรับตัว (Capacity to assimilate and adapt)

2.7 การเข้าถึงข้อมูล (Access to information)

 

3. แรงกดดันภายนอก (มุมมองของอุปสงค์) (External pressure (the demand perspective)) ประกอบด้วย 8 ประเด็นย่อย

แรงกดดันภายนอก ได้แก่ peers, ผู้ให้การสนับสนุน (sponsors), ผู้ใช้บริการ (users) และคู่แข่ง (competitors) หน่วยงานให้ทุนมีผลอย่างมากต่อการบริหารจัดการ, หัวข้อการวิจัย และจุดประสงค์ของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รัฐบาลทำให้เกิดการพัฒนาของสถาบันทางวิทยาศาสตร์และวิชาการผ่านทางนโยบายและการให้การสนับสนุนโดยตรง อุตสาหกรรม, การค้า, การบริการทางสังคม และความเห็นสาธารณะเป็นผู้ใช้บริการที่มีศักยภาพทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ สถาบันไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ถ้าไม่ติดตามการพัฒนาของภาคส่วนอื่น การแข่งขันระหว่างศูนย์วิจัยช่วยทำให้มีความแตกต่างของการผลิตทางวิทยาศาสตร์, ทำให้เกิดงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง, ทำให้เกิดชุมชนทางวิทยาศาสตร์ที่จำเพาะ และการเพิ่มโอกาสสำหรับนักวิจัย

3.1 การระบุผู้อื่นที่สำคัญ (The identification of significant others)

3.2 กลไกสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง (Mechanisms for ongoing interaction with the environment)

3.3 การปรากฏตัวของการแข่งขัน (The presence of competition)

3.4 การมีส่วนร่วมในชุมชนวิทยาศาสตร์ (Participation in the scientific community)

3.5 ความสามารถในการเจรจากับผู้ให้ (Capacity to negotiate with donors)

3.6 ความยั่งยืนของท้องถิ่น (รัฐบาล, นโยบายเอกชน) (Local sustainability (government, private policy))

3.7 การระบุลูกค้าและความเข้าใจว่าลูกค้าได้รับความรู้อย่างไร (Identification of clients and an understanding of how they acquire knowledge)

3.8 สภาพแวดล้อมที่เป็นประชาธิปไตย (ในสังคมศาสตร์) (A democratic environment (in the social sciences))

 

4. วัฒนธรรมแห่งความรู้ (The culture of knowledge) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย

สถาบันซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกมากกว่าขอบเขตของสถาบันโดยให้เข้าร่วมในงานที่จัดขึ้นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในที่ต่างๆ, การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ, การเผยแพร่ผลงาน และติดต่อโดยตรงกับสำนักงานนานาชาติและระดับชาติ จะช่วยรักษาวัฒนธรรมแห่งความรู้และบรรยากาศการเรียนรู้

4.1 บรรยากาศการเรียนรู้ (A climate of learning)

4.2 คุณค่าทางปัญญา (Intellectual values)

4.3 ความรู้สึกเป็นเจ้าของ (A sense of belonging)

4.4 ความรู้สึกเป็นเจ้าของงานที่ทำ (A sense of ownership for work done)

4.5 การยอมรับรางวัลล่าช้า (An acceptance of delayed rewards)

 

5. กลยุทธ์การจัดการ (Management strategies) ประกอบด้วย 6 ประเด็นย่อย

5.1 ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and adaptability)

5.2 กระตุ้นเศรษฐกิจ (Economic stimulus)

5.3 การลดข้อบังคับที่เข้มงวด (Reduction of red tape)

5.4 กลไกสำหรับการแก้ไขด้วยตนเอง (Mechanisms for self-correction)

5.5 กลยุทธ์ทางการเงินระยะยาว (Long-term financial strategies)

5.6 การกระจายอำนาจการตัดสินใจ (Decentralization of decision-making)

 

ที่มา: Benjamin Alvarez. Factors affecting institutional success. Retrieved January 18, 2021, from http://www.nzdl.org/gsdlmod?e=d-00000-00—off-0hdl–00-0—-0-10-0—0—0direct-10—4——-0-1l–11-en-50—20-about—00-0-1-00-0–4—-0-0-11-10-0utfZz-8-10&cl=CL1.10&d=HASH019c0e86f4dbd3878541a3a5.5.1&gt=1

 

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของศูนย์วิจัยสุขภาพจากการศึกษาเชิงคุณภาพและปริมาณของ 22 ศูนย์วิจัยในหนึ่งมหาวิทยาลัยด้านการแพทย์ในอิหร่าน

1. การศึกษาเชิงคุณภาพทำให้ได้ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของศูนย์วิจัยโดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 10 คนจากศูนย์วิจัย 22 แห่ง และจัดกลุ่มปัจจัยที่ได้เป็น 9 ประเด็นหลัก และ 42 ประเด็นย่อย ดังนี้

ประเด็นหลักที่ 1 คือ การวางแนวกลยุทธ์ (strategic orientation) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย คือ

1. แผนกลยุทธ์ (Strategic plan)

2. แผนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and technology roadmap)

3. การประเมินความต้องการการวิจัย (Research needs assessment)

4. ดัชนีการประเมินผล (Evaluation indexes)

5. นโยบายการวิจัย (ระดับรัฐและระดับมหาวิทยาลัย) (Research policy (the state and university level))

 

ประเด็นหลักที่ 2 คือ ทุนมนุษย์ (Human Capital) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย คือ

1. นักวิจัยที่มีความสามารถ (Capable researchers)

2. นักเรียนและชนชั้นสูงในท้องถิ่น (Local students and elites)

3. อาจารย์และนักศึกษาต่างชาติ (Foreign professors and students)

4. สัดส่วนทรัพยากรบุคคลกับวัตถุประสงค์ (Human resources proportion with the objectives)

5. Committed human resources

 

ประเด็นหลักที่ 3 คือ การสนับสนุน (Support) ประกอบด้วย 5 ประเด็นย่อย คือ

1. การสนับสนุนทางการเมือง (Political support)

2. การสนับสนุนทางการเงินและงบประมาณ (Financial and budget support)

3. การสนับสนุนทางศีลธรรมของเจ้าหน้าที่ (Officials’ moral support)

4. เงินอุดหนุน (Grants)

5. การกระจายเงินอุดหนุน (Grants distribution)

 

ประเด็นหลักที่ 4 คือ การสื่อสารและความร่วมมือ (Communication and Collaboration) ประกอบด้วย 4 ประเด็นย่อย คือ

1. การทำงานเป็นทีม/การทำงานเป็นกลุ่ม (ระหว่างสมาชิก – ระหว่างศูนย์) (Teamwork/group work (among members – among centers))

2. เครือข่าย (Networking)

3. การทำงานร่วมกันและการวิจัยระหว่างประเทศ (International interactive and researches)

4. การวิจัยร่วมกันระดับชาติ (National collaborative researches)

 

ประเด็นหลักที่ 5 คือ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructures) ประกอบด้วย 4 ประเด็นย่อย คือ

1. โครงสร้างพื้นฐานทางความคิด (กฎระเบียบ, ขั้นตอน, ค่านิยม) (Conceptual infrastructure (rules, procedures, values))

2. โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล (Information infrastructure)

3. โครงสร้างพื้นฐานพื้นที่ทางกายภาพ (Physical space infrastructure)

4. โครงสร้างพื้นฐานอุปกรณ์ (Equipment infrastructure)

 

ประเด็นหลักที่ 6 คือ การจัดการ (Management) ประกอบด้วย 6 ประเด็นย่อย คือ

1. การจัดการและพัฒนาทุนมนุษย์ด้านการวิจัย (Management and development of research human capital)

2. ระบบการจ่ายผลตอบแทนและการให้รางวัล (Compensation and rewarding system)

3. การประเมินทางวิทยาศาสตร์ของศูนย์และบุคคล (Scientific evaluation of centers and individuals)

4. จริยธรรมการวิจัยและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (Research ethics and intellectual property rights)

5. การดำเนินการตามกฎหมาย, ระเบียบ และแนวปฏิบัติ (Implementation of laws, regulations and guidelines)

6. การบริหารระบบราชการ (Administrative bureaucracy)

 

ประเด็นหลักที่ 7 คือ กระบวนทัศน์/ความคิด (Paradigm/Ideological) ประกอบด้วย 3 ประเด็นย่อย คือ

1. การคิดอย่างเป็นระบบของเจ้าหน้าที่ (Officials’ systematic thinking)

2. จริยธรรมและจิตวิญญาณ (Ethics and spirituality)

3. วิธีการอาศัยคุณค่าในการวิจัยและนักวิจัย (Value based approach to research and researcher)

 

ประเด็นหลักที่ 8 คือ นวัตกรรม (Innovation) ประกอบด้วย 3 ประเด็นย่อย คือ

1. นวัตกรรมในการวิจัยและการนำไปใช้ (Innovation in research and implementation)

2. การต่อยอดผลิตภัณฑ์วิจัยในเชิงพาณิชย์ (The commercialization of research products)

3. บรรยากาศการแข่งขัน (ระหว่างสมาชิกและศูนย์) (Competitive climate (among members and centers))

 

ประเด็นหลักที่ 9 คือ โครงการ (projects) ประกอบด้วย 7 ประเด็นย่อย คือ

1. คุณภาพของโครงการ (Quality of projects)

2. ปริมาณของโครงการ (The quantity of projects)

3. เขตวิจัยพิเศษ (Special research areas)

4. การเผยแพร่ผล (Publication of results)

5. ระยะเวลาในการอนุมัติโครงการ (Time for project approval)

6. การวิจัยตามลำดับหรือแบบอนุกรม (Sequential or serial researches)

7. ความหลากหลายของหัวข้องานวิจัยใหม่ (Diversity of new research titles)

 

2. การศึกษาเชิงปริมาณเพื่อจัดอันดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ที่ได้จาการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามของสมาชิก 54 คนจาก 22 ศูนย์วิจัย และการจัดอันดับความสำคัญของปัจจัยได้จากการใช้การทดสอบ Friedman ผลเป็นดังนี้

2.1 การจัดอันดับความสำคัญของประเด็นหลักที่มีผลต่อการประสบผลสำเร็จของศูนย์วิจัย ได้ผลดังนี้ซึ่งเรียงตามลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย ได้แก่ Strategic orientation, Management, Human capital, Support/Advocacy, Projects, Infrastructures, Communication and collaboration, Paradigm/Ideological และ Innovation ตามลำดับ

2.2 การจัดอันดับความสำคัญของประเด็นย่อยในแต่ละประเด็นหลัก ได้ผลคือประเด็นย่อยที่มีความสำคัญมากที่สุดในแต่ละประเด็นหลักคือ Science and technology roadmap ใน Strategic orientation, Scientific evaluation of centers and members ใน Management, Committed human resources ใน Human capital, Financial and budget support ใน Support/Advocacy, Quality of projects ใน Projects, Equipment infrastructure ใน Infrastructures, Teamwork ใน Communication and collaboration, Value based approach to research and researcher ใน Paradigm, Innovation in research and implementation ใน Innovation

2.3 การจัดอันดับความสำคัญของประเด็นย่อยทั้งหมด 42 ประเด็น พบ 10 อันดับแรกประเด็นย่อยที่มีความสำคัญมากต่อการประสบความสำเร็จของศูนย์วิจัย โดยเรียงตามลำดับจากอันดับ 1 ถึงอันดับ 10 ได้แก่ Science and technology roadmap ใน Strategic orientation, Strategic plan ใน Strategic orientation, Evaluation indexes ใน Strategic orientation, Committed human resources ใน Human capital, Scientific evaluation of centers and members ใน Management, Innovation in research and implementation ใน Innovation, Financial and budget support ใน Support, Capable researchers ใน Human capital, Equipment infrastructure ใน Infrastructures และ Teamwork ใน Communication and Collaboration ตามลำดับ

 

ที่มา: Shahram Tofighi, Ehsan Teymourzadeh and Majid Heydari (August 25, 2017). Key success factors of health research centers: A mixed method study. Retrieved January 14, 2021, from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5614283/

ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของสถาบันวิจัยในการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์และการเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม ศึกษาจากการสำรวจลูกค้าในเยอรมันและออสเตรเลีย

จากการสำรวจลูกค้าของสถาบันวิจัยในเยอรมันและออสเตรเลีย พบว่า

เพื่อหาปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของสถาบันวิจัยในมุมมองของลูกค้า หาได้จากการให้ความสำคัญของแต่ละความต้องการของลูกค้าโดยลูกค้า ซึ่งความต้องการของลูกค้าที่มีความสำคัญมากจะมีความสำคัญต่อการดำเนินการที่ประสบผลสำเร็จของสถาบันวิจัย พบว่า มีความคล้ายกันของปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญของในเยอรมันและออสเตรเลีย โดยปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญในเยอรมัน ได้แก่ ผลลัพธ์ (Outcome), ความสามารถ (Competence), อัตราส่วนต้นทุนต่อการปฏิบัติที่ดี (Good cost/performance ratio), การนำเสนอผลลัพธ์ที่เข้าใจง่าย (Intelligible presentation of results), การตอบสนองหรือความเข้าใจ (Responsiveness/understanding), การเข้าถึงง่ายและรวดเร็ว (Fast, easy accessibility), มุ่งไปที่การแก้ปัญหา (Focus on resolving problems), มุ่งไปที่ความสนใจของบริษัท (Focus on company interests), มุ่งไปที่ผลประโยชน์ของบริษัท (Focus on company benefits), รักษาสัญญา (Keep Promises), การปฏิบัติตามกำหนดเวลา (Adherence to deadlines), การยึดมั่นในงบประมาณ (Adherence to budget) และปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญในออสเตรเลีย ได้แก่ Competence, Outcome, Good cost/performance ratio, Intelligible presentation of results, การสื่อสารส่วนตัว (Personal communication), Responsiveness/understanding, การถ่ายทอดความรู้ (Knowledge transfer), Focus on resolving problems, Focus on company benefits, Keep Promises, Adherence to budget, Adherence to deadlines

 

ที่มา: Thomas Baaken and Carolin Plewa (January 2007). Key Success Factors for Research Institutions in Research Commercialization and Industry Linkages: Outcomes of a German/Australian cooperative project. Retrieved January 9, 2021, from https://www.researchgate.net/publication/242627300_Key_Success_Factors_for_Research_Institutions
_in_Research_Commercialization_and_Industry_Linkages_Outcomes_of_a_GermanAustralian_cooperative_project

เมล็ดพันธุ์ที่งดงาม: จุฬารัตน์ อยู่เย็น (โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่)

โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่  เป็นความร่วมมือของ สวทช. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ และบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่มุ่งเน้นบ่มเพาะคนรุ่นใหม่สู่การเป็น “ผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์” ที่จะสร้างเครือข่ายการผลิตเมล็ดพันธุ์สู่ชุมชน

ความฝัน ความหวัง ความยั่งยืน: ศรวรพิม เมืองอนันต์กิจ (โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่)

โครงการพัฒนาทักษะผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ เป็นความร่วมมือของ สวทช. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ และบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่มุ่งเน้นบ่มเพาะคนรุ่นใหม่สู่การเป็น “ผู้ประกอบการเมล็ดพันธุ์” ที่จะสร้างเครือข่ายการผลิตเมล็ดพันธุ์สู่ชุมชน

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2564

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2564

การดำเนินงานด้านอวกาศของสหภาพยุโรป

ปัจจุบันชีวิตประจำวันของประชาชนล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบนำทางอัตโนมัติในรถยนต์ และการดูโทรทัศน์ผ่านระบบดาวเทียม เป็นต้น มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อการพยากรณ์อากาศและความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ไฟป่า และอุทกภัย ส่งผลให้ภาครัฐสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวได้

 

โครงการชั้นนำระดับโลกด้านอวกาศของสหภาพยุโรป

สหภาพยุโรปมีโครงการชั้นนำระดับโลกด้านอวกาศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอยู่ 3 โครงการคือ

1.โครงการสำรวจโลก Copernicus

2.โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo

3.โครงการระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS

 

โครงการการเฝ้าระวังกิจกรรมทางอวกาศ (Space Situational Awareness, SSA)

นอกจาก 3 โครงการดังกล่าว สหภาพยุโรปยังมี โครงการเฝ้าระวังกิจกรรมทางอวกาศ (Space Situational Awareness, SSA) ซึ่งมีระบบ Space Surveillance and Tracking (SST) ในการตรวจจับวัตถุในอวกาศรวมถึงเศษชิ้นส่วนดาวเทียมในอวกาศ ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรนั้น อาจจะมีชิ้นส่วนจรวดที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ร่วงหล่นลงมา
ทำให้พลเมืองในประเทศต่างๆ อาจได้รับอันตราย ด้วยเหตุนี้จึงต้องระมัดระวังและมีการเฝ้าระวังภัยจากวัตถุอวกาศเหล่านี้เป็นพิเศษ ทางสหภาพยุโรปจึงได้มีการพัฒนาระบบ Space Surveillance and Tracking (SST) เพื่อใช้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์กิจกรรมอวกาศอย่างใกล้ชิด และเตือนภัยล่วงหน้า

โครงการสำรวจโลก Copernicus

โครงการสำรวจโลก Copernicus เป็นโครงการสังเกตการณ์และตรวจสภาพแวดล้อมโลกด้วยชุดดาวเทียมสำรวจธรณีวิทยาที่ให้ภาพความละเอียดสูง ดาวเทียมที่ใช้เป็นดาวเทียมสำรวจโลก (earth observation satellites) ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการสำรวจ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพพื้นโลก ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การทำแผนที่ และผลกระทบจากภัยพิบัติ

โครงการ Copernicus มุ่งพัฒนาการให้บริการข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ นำข้อมูลจำนวนมากทั้งจากดาวเทียม ข้อมูลภาคพื้นดิน ข้อมูลจากการบินสำรวจ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดทางทะเลมาจัดทำเป็น
แอพพลิเคชั่น เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน โดยให้บริการ 6 สาขา ได้แก่  การติดตามสภาพบรรยากาศ การติดตามสภาพแวดล้อมทางทะเล การติดตามการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการให้บริการด้านความมั่นคง โดยให้บริการฟรีไม่คิดค่าใช้จ่าย

 

ดาวเทียม Sentinel

ดาวเทียม Sentinel ดาวเทียมหลักที่โครงการ Copernicus ใช้ในการสำรวจโลก คือ ดาวเทียม Sentinel ประกอบด้วย Sentinel-1-2-3-4-5 และ -6 ซึ่งจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งบนผืนดิน ในมหาสมุทร และในชั้นบรรยากาศ เช่น การบันทึกภาพพื้นผิวส่วนบนบกของโลกและพื้นที่ชายฝั่งทั้งหมด ภาพแสงความละเอียดสูงของป่าไม้และการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงในแหล่งน้ำต่างๆ บนโลก และการตรวจสอบองค์ประกอบบรรยากาศของโลก

ข้อมูลที่ถูกส่งมาจากดาวเทียม Sentinel จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเมินการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศ เพื่อนำมาใช้วิจัยการพยากรณ์สภาพอากาศเชิงตัวเลข ประเมินการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่า นำไปสู่การแก้ปัญหาและการพัฒนา เช่น แก้ปัญหาการทำลายป่า การพัฒนาการเกษตร และการวิจัยเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางด้านอาหารและความยั่งยืนของประชากรสิ่งมีชีวิต

โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo

โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo เป็นระบบดาวเทียมนำทางและบอกตำแหน่งหรือเรียกว่า ดาวเทียม
นำร่อง (Navigation satellites) ซึ่งใช้คลื่นวิทยุและรหัสจากดาวเทียมไปยังเครื่องรับสัญญาณบนพื้นผิวโลก สามารถหาตำแหน่งบนพื้นโลกที่ถูกต้องได้ทุกแห่ง และตลอดเวลา โดยดาวเทียมประเภทนี้โคจรเป็นกลุ่มหลายดวงเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณได้ในลักษณะ Real Time

 

ที่มาของการพัฒนาโครงการ Galileo

ก่อนที่สหภาพยุโรปจะมีการพัฒนาโครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo สหรัฐอเมริกาได้มีการพัฒนาระบบ GPS และประเทศรัสเซียมีการพัฒนาระบบ GLONASS ขึ้นมาเพื่อใช้ในการนำทางและระบุตำแหน่ง อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการทหารทั้งสิ้น และอาจถูกแทรกแซงจากหน่วยทหารของทั้งสองประเทศได้ทุกเวลา นอกจากนี้บางกรณีระบบดาวเทียมทั้งสองอาจถูกจำกัดการใช้งานไว้สำหรับการรักษาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ซึ่งส่งผลให้พลเรื่อนทั่วไปใช้ประโยชน์จากระบบ
ดาวเทียมได้อย่างจำกัด เหตุนี้ทางสหภาพยุโรปจึงมีความต้องการที่จะพัฒนาระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมที่เป็นของสหภาพยุโรปเอง โดยมีความอิสระในการใช้งานปราศจากการควบคุมทางทหาร และเป็นระบบดาวเทียมของพลเรือนอย่างแท้จริง แต่ยังสามารถปฏิบัติการร่วมกับระบบ GPS และ ระบบ GLONASS ได้ ซึ่งจะทำให้โครงการ Galileo เป็นระบบหลักในการนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมของโลกได้ ถึงแม้โครงการ Galileo ก่อตั้งโดยคณะกรรมาธิการยุโรปและองค์การอวกาศยุโรป แต่มีประเทศอื่นเข้าร่วมด้วย เช่น ประเทศอินเดีย อิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย และเกาหลีใต้ ทำให้โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียมกลายเป็นระบบนำร่องนานาชาติ

ดาวเทียมในโครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo

โครงการระบบนำทางและบอกตำแหน่งด้วยดาวเทียม Galileo ประกอบไปด้วยดาวเทียม 30 ดวง แบ่งเป็นดาวเทียมนำทาง 24 ดวง และดาวเทียมสำรอง 6 ดวง เพื่อใช้ในกรณีดาวเทียมดวงอื่นเกิดขัดข้องหรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงซ่อมแซม จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด โดยดาวเทียวนำทางดวงแรกถูกส่งขึ้นวงโคจรเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 2011

การประยุกต์ระบบดาวเทียมของโครงการ Galileo ไปใช้ประโยชน์

ปัจจุบันระบบดาวเทียม Galileo นำไปใช้ในด้านการนำทางของการเดินเรือ การเดินทางบก และการเดินทางทางอากาศ รวมถึงงานด้านการสำรวจด้วย และเทคโนโลยีหลายๆ ชนิดก็ใช้ประโยชน์จากระบบนำทางและระบุตำแหน่งของระบบดาวเทียม Galileo โดยระบบระบุตำแหน่งแม่นยำสามารถดัดแปลงไปใช้ในการป้องกันดูแลเรื่องความปลอดภัยของการใช้โทรศัพท์หรือป้องกันข้อมูลส่วนตัวได้ โดยบริษัทด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมได้พัฒนาเทคโนโลยีไมโครชิพที่สามารถใช้ร่วมกับระบบนำทางของระบบดาวเทียม Galileo เพื่อนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องนำทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ

นอกจากนี้ยังใช้เพื่อค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยดาวเทียมจะติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณตอบรับ ซึ่งแปลงสัญญาณขอความช่วยเหลือส่งมาสจากผู้ประสบภัยแล้วส่งต่อไปยังศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Rescue Coordination Center) เพื่อที่
จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือต่อไป และขณะเดียวกันดาวเทียมจะส่งสัญญาณให้กับผู้ประสบภัยทราบว่าทางศูนย์ประสานงาน
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้ว

โครงการระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS

ระบบนำทางด้วยดาวเทียมส่วนภูมิภาค EGNOS เป็นระบบดาวเทียมนำทางที่ใช้เฉพาะในภูมิภาคยุโรปเท่านั้น

การประยุกต์ระบบดาวเทียมของโครงการ EGNOS ไปใช้ประโยชน์

ปัจจุบันดาวเทียมโคงการ EGNOS นำไปใช้ประโยชน์ ในด้านการบิน โดยสนามบิน จำนวน 247 แห่งใน 23 ประเทศในสหภาพยุโรป ในการนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นในสถานการณ์ที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ช่วยลดอัตราความล่าช้าในการบินและลดจำนวนของการเปลี่ยนเส้นทางการบิน

สำหรับการเดินทางบนท้องถนน รถยนต์ที่นำมาขายในยุโรปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 จะต้องสามารถใช้งานร่วมกับระบบนำทางของระบบดาวเทียม Galileo และ โครงการ EGNOS ได้เพื่อรองรับระบบตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน (eCall emergency response system)
ได้ และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 เป็นต้นไประบบนำทางได้ถูกนำไปใช้ในระบบวัดความเร็วแบบดิจิทัลของรถบรรทุก เพื่อช่วยควบคุมการปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยเรื่องระยะเวลาในการขับ และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ท้องถนน

ระบบดาวเทียมของ EGNOS ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในภาคเกษตรกรรมอีกด้วย ร้อยละ 80 ของเกษตรกรในยุโรปได้ใช้ข้อมูลจากระบบนำร่องของดาวเทียม EGNOS ในการทำการเกษตรแบบแม่นยำ

เทคโนโลยีการปลูกพืชในโรงเรือนของประเทศเนเธอร์แลนด์

ประเทศเนเธอร์แลนด์มีชื่อเสียงด้านการเกษตรเป็นอันดับต้นของโลก มีมูลค่าการส่งออกสินค้าทางการเกษตรสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา เป็นมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ไม้ดอก พริกหยวก มะเขือเทศ มันฝรั่ง นมและไข่ ประเทศเนเธอร์แลนด์มีพื้นที่ 21 ล้านไร่ ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลสภาพอากาศอยู่ในเขตหนาว ไม่เหมาะกับการทำการเกษตร สิ่งสำคัญที่ทำให้สามารถผลิตอาหารได้คือการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการเพาะปลูก เริ่มต้นตั้งแต่การปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ดี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น การปลูกพืชในโรงเรือนและควบคุมด้วยระบบที่มีความแม่นยำสูง ตลอดจนถึงเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาของผลผลิต เกิดจากงานวิจัยและการพัฒนาจากการสนับสนุนของรัฐบาล อีกทั้งยังมีการจัดตั้ง Wageningen University and Research ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เกษตรเป็นอันดับต้นของโลก ทำหน้าที่ผลิตกำลังคนและสร้างสรรค์งานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ภาคการเกษตรโดยเฉพาะ เนเธอร์แลนด์จึงสามารถทำผลิตพืชผลทางการเกษตรได้มากขึ้นในทุกๆ ปี แต่ใช้ทรัพยากรน้อยลงในพื้นที่จำกัด

การปลูกพืชในโรงเรือนในประเทศเนเธอร์แลนด์

การใช้โรงเรือนในการปลูกพืชช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำการเกษตรได้อย่างดี โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมสภาพแวดล้อม เช่น โรงเรือนกระจกในประเทศเขตหนาวสามารถกักเก็บความร้อนภายในได้ ทำให้ปลูกพืชในอุณหภูมิต่ำได้ ช่วยป้องกันโรคและแมลง ควบคุมระบบให้น้ำและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำของพืช

ภายในโรงเรือนประกอบด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาจากองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อควบคุมปัจจัยแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น โครงสร้างของโรงเรือนต้องมีความแข็งแรง รองรับการใช้งานหลายสิบปี ทนต่อลมพายุ หลังคาผลิตจากวัสดุที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านทั่วทั้งโรงเรือน และมีการติดตั้งระบบให้แสงสว่างเพิ่มเติมจากหลอดไฟเพื่อทดแทนความยาวนานของช่วงวันในฤดูหนาว มีระบบหมุนเวียนอากาศ ควบคุมอุณหภูมิโดยมีระบบตรวจวัดตามจุดต่างๆ ของโรงเรือน

ภายในโรงเรือนมีระบบการให้น้ำที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด เช่น ระบบ springer หรือ ระบบน้ำหยด ที่จะให้น้ำในเวลาและปริมาณที่เหมาะสม ระบบโรงเรือนต้องใช้พลังงานสูงในการทำงาน ปัจจุบันมีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อทดแทนพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าจากลม แสงอาทิตย์และความร้อนจากพื้นพิภพ

การนำเทคโนโลยีโรงเรือนมาใช้ในประเทศไทย

ประเทศไทยทำเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน สร้างรายได้คิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ การปลูกพืชส่วนใหญ่เป็นการปลูกพืชในพื้นที่เปิด ดังนั้นการเพาะปลูกและผลผลิตที่ได้จึงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูกาล การนำเทคโนโลยีโรงเรือนมาใช้เป็นที่สนใจ แต่จำเป็นจะต้องปรับรูปแบบให้เหมาะสมต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย เช่น การเลือกใช้วัสดุหลังคา ได้แก่ พลาสติกชนิดพิเศษที่แสงส่องผ่านได้แต่ไม่สะสมความร้อน การใช้มุ้งในกส่วนผนังทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก การใช้ตาข่ายพรางแสง การติดตั้งระบบระบายความร้อน เช่น ระบบพ่นหมอก (evaporative air cooling system, EVAP) การปลูกพืชในโรงเรือนช่วยลดการเข้าทำลายของโรคและแมลงได้ จะสามารถช่วยลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชลงได้

เนื่องจากการสร้างโรงเรือนมีต้นทุนสูง ปัจจุบันมีการใช้โรงเรือนปลูกพืชในประเทศไทย เช่น ต้นกล้าผัก เมล่อน มะเขือเทศ และกล้วยไม้ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูกได้เพียงระดับหนึ่ง แต่หากต้องการควบคุมสภาพอากาศอย่างแม่นยำสูงสุดสามารถทำได้ในระบบโรงงานการปลูกพืชอัจฉริยะ หรือ Plant factory ซึ่งเป็นสภาพปิดทั้งหมด สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างอิสระ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำ และแสงสว่างจากหลอดไฟ การปลูกพืชในระบบ Plant factory จะให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ มีต้นทุนการผลิตสูงมาก จึงเหมาะกับการทำงานวิจัยหรือการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น พืชสมุนไพร ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ปลูกจะได้ผลผลิตที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ทางยาที่สำคัญในพืชเท่ากันทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการรักษาโรค ทั้งยังมีความสะอาดและปลอดภัยแก่ผู้ป่วย

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/20210318-newsletter-brussels-no02-feb64.pdf