ผลการค้นหา :
อะไรที่ทำให้นักวิจัยยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลวิจัย
รายงานผลการวิจัยโดย the Knowledge Exchange เกี่ยวกับ แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูลวิจัยกับผู้อื่น รวมถึงข้อเสนอแนะซึ่งอาจช่วยผู้กำหนดนโยบาย ผู้ให้ทุนวิจัย หน่วยงานวิจัย และห้องสมุด ในการออกแบบกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลวิจัยในอนาคต
รู้จัก the Knowledge Exchange
Knowledge Exchange (KE) คือ การทำงานร่วมกันของ 5 หน่วยงาน จาก 5 ประเทศ ได้แก่
IT Center for Science (CSC) ในฟินแลนด์
Denmark’s Electronic Research Library (DEFF) ในเดนมาร์ก
German Research Foundation (DFG) ในเยอรมัน
Jisc ในอังกฤษ
SURF ในเนเธอร์แลนด์
เพื่อสนับสนุนการใช้และการพัฒนา ICT ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัย
การวิจัยเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลวิจัย
เมื่อเร็วๆ นี้ the KE ทำการวิจัย เรื่อง “Sowing the seed: incentives and motivations for sharing research data, a researcher's perspective” โดยสัมภาษณ์นักวิจัยจำนวน 22 คน จาก 5 ทีมวิจัย ในสาขาวิชาแตกต่างกัน เช่น มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ชีววิทยา และเคมี เป็นต้น จาก 5 ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ the KE เพื่อค้นหาว่า อะไรคือแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยอยากจะแบ่งปันข้อมูลวิจัยของตนเองกับผู้อื่น ผลจากการวิจัยมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะรูปแบบของการแบ่งปันข้อมูล แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูล และข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลวิจัยในอนาคตสำหรับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบของการแบ่งปันข้อมูล
เมื่อพูดถึงคำว่า การแบ่งปันข้อมูล (Data sharing) นักวิจัยส่วนใหญ่ มักหมายถึง วิธีการที่แตกต่างและหลากหลายที่ข้อมูลวิจัยถูกแลกเปลี่ยนกันระหว่างนักวิจัย 6 โหมดที่แตกต่างกันของการแบ่งปันข้อมูล ได้แก่
Private management sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนภายในกลุ่มวิจัยเดียวกัน
Collaborative sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลภายในสมาคมที่เกี่ยวข้อง
Peer exchange หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนร่วมงานในเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ
Sharing for transparent governance หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับกลุ่มคนภายนอก เช่น ผู้ให้ทุนวิจัยหรือภาคอุตสาหกรรมเพื่อการการตรวจสอบข้อเท็จจริงและความโปร่งใสในการบริหารจัดการ
Community sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับสมาชิกของชุมชนวิจัย
Public sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลทั่วไปที่สนใจ
โหมดที่แตกต่างกันนี้เกิดจากปัจจัยที่หลากหลาย เช่น การแบ่งปันข้อมูลกับกลุ่มคนที่เชื่อใจหรือกลุ่มคนที่ไม่มีความคุ้นเคย การแบ่งปันข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความโปร่งใสหรือเพื่อการวิจัยในอนาคต
แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูล แบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่
การแบ่งปันข้อมูลนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในกระบวนการและขั้นตอนของการวิจัย โดยเฉพาะเมื่อโครงการวิจัยนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างสาขาวิชาหรือหน่วยงาน
การแบ่งปันข้อมูลนั้นเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับผลตอบแทนในหน้าที่การงานของนักวิจัยโดยตรง การแบ่งปันข้อมูลทำให้ผลงานของนักวิจัยเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อาจนำไปสู่การอ้างอิงถึงและการเป็นที่รู้จักมากขึ้น การพัฒนาความมือในการวิจัยใหม่ๆ หรือการพัฒนาปรับปรุงการวิจัยเพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
การแบ่งปันข้อมูลเป็นเรื่องปกติหรือธรรมเนียมปฏิบัติในกลุ่มวิจัยหรือในสาขาวิชา
การแบ่งปันข้อมูลบางกรณีเป็นความคาดหวังหรือนโยบายของผู้ให้ทุนหรือสำนักพิมพ์ที่ต้องการให้มีการแบ่งปันข้อมูล
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกระตุ้นการแบ่งปันข้อมูลของนักวิจัย สำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องในมุมต่างๆ
ผู้ให้ทุนวิจัย
ผู้ให้ทุนวิจัยนับว่ามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการพัฒนานโยบายของการแบ่งปันข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นทางการเกี่ยวกับการคาดหวังเรื่องการเข้าถึงข้อมูล การส่งเสริมและสนับสนุนบรรยากาศของการแบ่งปันข้อมูลที่ทำให้นักวิจัยสามารถแบ่งปันข้อมูลโดยไม่มีความรู้สึกว่าคนอื่นๆ อาจจะฉวยประโยชน์จากข้อมูลที่ตนได้แบ่งปัน ตัวอย่างเช่น ผู้ให้ทุนวิจัยควรพิจารณาเรื่องช่องทางในการให้รางวัลแก่นักวิจัยที่แบ่งปันข้อมูล การนำเรื่องการแบ่งปันข้อมูลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในมอบทุนวิจัยต่อไป หรือการส่งเสริมการ re-use ข้อมูล การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลอาจช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักวิจัยในการแบ่งปันข้อมูล อีกทั้งยังอาจช่วยสร้างแรงจูงใจทางบวกแก่นักวิจัยในการแบ่งปันข้อมูล อย่างไรก็ตามการให้รางวัลหรือประโยชน์โดยตรงแก่นักวิจัยในลักษณะรายบุคคลอาจจะมีข้อจำกัดหรือประเด็นปัญหา ซึ่งควรคำนึงถึง
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่น คลังข้อมูล ประเภทของโครงสร้างพื้นฐานที่นักวิจัยพบว่ามีประโยชน์อย่างมาก คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลวิจัย เอกสาร และผลลัพธ์อื่นๆ ของการวิจัยเข้าไว้ด้วยกัน
การฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลควรถูกจัดเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมวิธีการวิจัยสำหรับนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้การแบ่งปันข้อมูลเป็นมาตรฐานในขั้นตอนวิจัย
การจัดทำและเสนอเอกสารแนะนำแก่ผู้พิจารณาผลงาน หรือ peer reviewer เพื่อประกอบการประเมินแผนและกลยุทธ์ของการแบ่งปันข้อมูลในข้อเสนอโครงการ
หน่วยงานวิจัย
การตระหนักถึงคุณค่าของการแบ่งปันข้อมูล
การส่งเสริมให้การตีพิมพ์ผลงานเพื่อเผยแพร่และแบ่งปันข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติงานและเลื่อนตำแหน่ง
การเสนอการฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลสำหรับนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัย
การเสนอบริการแบบูรณาการแก่นักวิจัย เช่น one-stop-shop for all research data management
ห้องสมุด
การพัฒนาและส่งเสริมปัจจัยเพื่อการแบ่งปันข้อมูล เช่น การเชิญนักวิจัยมาแบ่งปันข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานที่บริหารจัดการโดยห้องสมุด
การเสนอการฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลแก่นักวิจัย เช่น การฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ Intellectual property Copyright Metadata และมาตรฐานทางเทคนิค
การพัฒนาและบริการระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อการเข้าถึงข้อมูล
การรวบรวมและให้บริการแหล่งข้อมูลอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
การวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลลัพธ์ของการวิจัย เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่และ re-use ข้อมูล
สังคม
ในภาพของสังคมควรส่งเสริมให้มีการหารือเกี่ยวกับการตระหนักที่เป็นทางการเกี่ยวกับการแบ่งปันและเผยแพร่ข้อมูล การกำหนดความคาดหวังในการแบ่งปันข้อมูลผ่าน Code of conduct หรือ Best practice code การส่งเสริมการพัฒนาข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูล การส่งเสริมการพัฒนาแหล่งสำหรับแบ่งปันข้อมูลและมาตรฐานสำหรับการวิจัย
ติดตามอ่านรายงานการวิจัย ฉบับเต็ม: Knowledge Exchange. (2014). Sowing the seed: incentives and motivations for sharing research data, a researcher’s perspective. Retrieved February 9, 2015, from http://repository.jisc.ac.uk/5662/1/KE_report-incentives-for-sharing-researchdata.pdf
การจัดการความรู้ (KM)
วารสาร Nature:จัดอันดับบทความวิจัยตีพิมพ์ 100 อันดับแรกของโลก
วารสาร Nature ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2014 หน้าปก เป็นรูป เลข 100 พร้อมข้อความ The Top 100 papers บทความหลักภายในเล่ม หน้าที่ 550-561 ชื่อเรื่อง The top 100 papers : Nature explores the most-cited research of all time เรียบเรียง โดย ผู้แต่ง 3 ชื่อ คือ Richard Van Noorden, Brendan Maher & Regina Nuzzo เป็นการนำเสนอรายชื่อบทความงานวิจัยตีพิมพ์ 100 เรื่อง 100 อันดับแรกของโลก ที่มีอิทธิพล ในวงการวิทยาศาสตร์ ได้รับการอ้างอิงสูงสุด ซึ่งเป็นบทความวิจัยที่ได้มีการสื่อสาร เผยแพร่ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดการพัฒนาก้าวหน้าตลอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งผู้แต่งบทความส่วนใหญ่ได้รับรางโนเบลวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ อีกด้วย
cover : Source : http://www.nature.com/nature/journal/v514/n7524/index.html
วารสาร Nature ร่วมมือกับบริษัท Thomson Reuters ทำการจัดอันดับ บทความวิจัยตีพิมพ์ 100 เรื่อง ที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยคัดเลือกบทความจากฐานข้อมูล Web of Science, WOS (Science Citation Index, SCI ในชื่อเดิม) ซึ่งก่อตั้งโดย Eugene Garfield เมื่อปี คศ. 1964 SCI คือแหล่งข้อมูลต้นแบบในการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยจากบทความวิจัยตีพิมพ์ ( assessment of the importance of research papers) ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ของ WOS
ปัจจุบัน ฐานข้อมูล Web of Science ครอบคลุมบทความวิจัยที่มีคุณภาพ จำนวนราว 58 ล้านเรื่อง Nature จัดแสดงเป็นรูปภาพแบบ InfoGraphics ในชื่อว่า The paper mountain โดย สมมุติว่าหากสั่งพิมพ์หน้าแรกของทุกบทความในฐานข้อมูล WOS แล้วจัดเรียงเอกสารบทความซ้อนทับกันขึ้นไปดั่งเช่นภูเขา Kilimanjaro ในแอฟริกา กองเอกสารจะสูงกว่า 5,000 เมตร โดยที่ 100 บทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุดนี้ เปรียบเสมือนจุดสูงสุดของภูเขา ที่มีความหนาเพียง 1 เซ็นติเมตร (เปรียบเทียบกับหอไอเฟล ฝรั่งเศส มีความสูง 301 เมตร และ Burj Khalifa ตึกระฟ้า ใน ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สูง 828 เมตร) หมายความว่าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มีขนาดใหญ่มหึหามากเทียบได้กับภูเขาที่สูงราว 5,500 เมตร
รูปภาพ InfoGraphic
http://www.nature.com/news/the-top-100-papers-1.16224#/mountain
Nature จำแนกชุดของบทความวิจัยตีพิมพ์ ตามจำนวนการได้รับการอ้างอิงเป็น 7 ชุดคือ
ชุดที่ 1 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์เพียง 3 บทความ ที่ได้รับการอ้างอิง มากกว่า 100,000 ครั้ง เสมือนดั่งอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา คือ
Protein measurement with the folin phenol reagent. (1951) - 305,148 citations
Cleavage of structural proteins during the assembly of the head of bacteriophage T4.(1970)- 213,005 citations
A rapid and sensitive method for the quantitation of microgram quantities of protein utilizing the principle of protein-dye binding. (1976)- 155,530 citations
ชุดที่ 2 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 148 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง มากกว่า 10,000 ครั้ง
ชุดที่ 3 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 14,351 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 1,000-9,999 ครั้ง ตัวอย่าง มีบทความวิจัยตีพิมพ์ 3 เรื่อง ในชุดนี้ ที่มีชื่อเสียงมาก คือ
Watson and crick on structure of DNA (1953)- 5,207 citations
Farman, Gardiner & Shanklin discover the ozone hole (1985)- 1,871 citations
Hirsch propose the h index measure scientific productivity (2005) - 1,797 citations
ชุดที่ 4 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 1,066,046 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 100-999 ครั้ง
ชุดที่ 5 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 13,104,875 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 10-99 ครั้ง
ชุดที่ 6 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 18,280,005 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 1-9 ครั้ง
ชุดที่ 7 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 25,332,701 เรื่อง ไม่ได้รับการอ้างอิงเลย เป็นเอกสารที่เสมือนอยู่ดั่งฐานล่างสุดของภูเขา
วารสาร Nature รวบรวมข้อมูลชุดนี้
จาการสืบค้นฐานข้อมูล Web of science เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2014
วารสาร Nature แสดงรายชื่อบทความ 100 เรื่อง เรียงลำดับตามการได้รับการอ้างอิงสูงสุดไล่เรียงลงมา ดังตัวอย่าง 10 บทความแรก ดังนี้
บทความลำดับที่ 1 ได้รับ Citations: 305,148 ครั้ง
Protein measurement with the folin phenol reagent. Lowry, O. H., Rosebrough, N. J., Farr, A. L. & Randall, R. J.
J. Biol. Chem. 193, 265–275 (1951).
บทความลำดับที่ 2 ได้รับ Citations: 213,005 ครั้ง
Cleavage of structural proteins during the assembly of the head of bacteriophage T4. Laemmli, U. K. Nature 227, 680–685 (1970)
บทความลำดับที่ 3 ได้รับ Citations: 155,530 ครั้ง
A rapid and sensitive method for the quantitation of microgram quantities of protein utilizing the principle of protein-dye binding. Bradford, M. M.
Anal. Biochem. 72, 248–254 (1976).
บทความลำดับที่ 4 ได้รับ Citations: 65,335 ครั้ง
DNA sequencing with chain-terminating inhibitors. Sanger, F., Nicklen, S. & Couslon, A. R.
Proc. Natl Acad. Sci. USA 74, 5463–5467 (1977).
บทความลำดับที่ 5 ได้รับ Citations: 60,397 ครั้ง
Single-step method of RNA isolation by acid guanidinium thiocyanate-phenol-chloroform extraction. Chomczynski, P. & Sacchi, N.
Anal. Biochem. 162, 156–159 (1987).
บทความลำดับที่ 6 ได้รับ Citations: 53,349 ครั้ง
Electrophoretic transfer of proteins from polyacrylamide gels to nitrocellulose sheets: procedure and some applications. Towbin, H., Staehelin, T. & Gordon, J.
Proc. Natl Acad. Sci. USA 76, 4350–4354 (1979).
บทความลำดับที่ 7 ได้รับ Citations: 46,702 ครั้ง
Development of the Colle-Salvetti correlation-energy formula into a functional of the electron density. Lee, C., Yang, W. & Parr, R. G.
Phys. Rev. B 37, 785–789 (1988).
บทความลำดับที่ 8 ได้รับ Citations: 46,145 ครั้ง
Density-functional thermochemistry. III. The role of exact exchange. Becke, A. D.
J. Chem. Phys. 98, 5648–5652 (1993).
บทความลำดับที่ 9 ได้รับ Citations: 45,131 ครั้ง
A simple method for the isolation and purification of total lipides from animal tissues. Folch, J., Lees, M. & Stanley, G. H. S.
J. Biol. Chem. 226, 497–509 (1957).
บทความลำดับที่ 10 ได้รับ Citations: 40,289 ครั้ง
Clustal W: improving the sensitivity of progressive multiple sequence alignment through sequence weighting, position-specific gap penalties and weight matrix choice. Thompson, J. D., Higgins, D. G. & Gibson, T. J
Nucleic Acids Res. 22, 4673–4680 (1994).
บทความ 100 อันดับแรกชุดนี้ มีเนื้อหาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสาขาย่อย คือ
Biological Techniques (Protein Biochemistry, PCR)
Bioinformatics (genetic sequencing)
Phylogenetics (genetic variation)
Statistics
Density functional theory, DFT
Crystallography (scattering patterns of X-rays)
ติดตามอ่านเนื้อเรื่องฉบับเต็ม ได้ที่วารสาร Nature ฉบับพิมพ์ หรือออนไลน์ที่ http://www.nature.com/news/the-top-100-papers-1.16224
อ้างอิง
Richard Van Noorden, Brendan Maher & Regina Nuzzo (2014) The Top 100 papers : nature explore the most-cited research of all time. Nature Volume 514 No.7524 p.550-553
Online Available at : http://www.nature.com/nature/journal/v514/n7524/index.html
สารสนเทศวิเคราะห์
สารสนเทศวิเคราะห์
โมเดลปลาตะเพียน
"โมเดลปลาตะเพียน" เป็นบทขยายความของ "โมเดลปลาทู" ว่า "หัวปลาใหญ่" เป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานย่อยร่วมกันกำหนด ที่เรียกว่า วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หรือปณิธานความมุ่งมั่นร่วม (Common Purpose) หรือเป้าหมายร่วม (Common Goal) เมื่อร่วมกันกำหนดแล้ว ก็ร่วมกันดำเนินการตามเป้าหมายนั้นเปรียบเสมือนการที่ "ปลาเล็ก" ทุกตัว "ว่ายน้ำ" ไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่แต่ละตัวมีอิสระในการ "ว่ายน้ำ" ของตนเอง เปรียบได้กับผู้บริหารระดับสูงจะต้องเปิดโอกาสให้ "ปลาเล็ก (พนักงาน)" ได้มีอิสระในการ "ว่ายน้ำ (ทำงาน คิด ริเริ่ม)" โดยผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่ "บริหารหัวปลา" และคอยดูแล "บ่อน้ำ" ให้เหล่า "ปลาเล็ก" ได้มีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของตนในการ "ว่ายสู่เป้าหมายร่วม" ทุกหน่วยงานย่อยเองก็ต้องคอยตรวจสอบว่า "หัวปลาเล็ก" ของตนหันไปทางเดียวกับ "หัวปลาใหญ่" ขององค์กรหรือไม่
แหล่งที่มา : KM วันละคำ "จากนักปฏิบัติ KM สู่นักปฏิบัติ KM" : โมเดลปลาตะเพียน. วิจารณ์ พานิช. (2549). กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.
การจัดการความรู้ (KM)
คุณธรรม 8 ประการของการจัดการความรู้
ศีลธรรมพื้นฐาน ศีลธรรมพื้นฐานของสังคมคือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ศีลธรรมพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การจัดการความรู้มีพื้นฐานอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ความรู้ที่อยู่ในตัวคนทุกคน จึงเป็นรูปธรรมแห่งการปฏิบัติที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน
การไม่ใช้อำนาจ การใช้อำนาจจะไปปิดกั้นกระบวนการตามธรรมชาติ คือ การรับรู้ เรียนรู้ งอกงาม ถักทอเครือข่าย เมื่อใช้อำนาจจะทำให้กระบวนการตามธรรมชาติบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
การฟังอย่างลึก (deep listening) การนำความรู้ที่แฝงเร้นในตัวออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ต้องมีการคุยที่เน้นการฟังอย่างลึก ไม่ใช้โต้เถียงกันโดยหวังเอาชนะ การฟังอย่างลึกและเงียบ จิตใจสงบ มีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เกิดปัญญา
วิธีการทางบวก คือ เอาความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของสิ่งที่เคยทำด้วยดีเป็นตัวตั้ง นำมาเห็นคุณค่าและชื่นชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดให้งดงามและมีประโยชน์ยิ่งขึ้น วิธีการทางบวกทำให้มีความปิติ มีกำลังใจ มีความสามัคคี และมีพลังสร้างสรรค์ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในอนาคต
การเจริญธรรมะ 4 ประการ ที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ร่วมกัน ปกติมนุษย์เรียนรู้ร่วมกันยากเพราะกิเลส เช่น ความโกรธ ความเกลียด อหังการ การจะเรียนรู้ร่วมกันควรเจริญธรรมะ 4 ประการ ได้แก่ ความเอื้ออาทร ความเปิดเผย ความจริงใจ และความเชื่อถือไว้วางใจกัน
การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (interactive learning through action) เป็นอิทธิปัญญา ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่เนื่องด้วยการปฏิบัติและการจัดการความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ให้การปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเป็นผลสำเร็จ
การถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและสังคม การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้บุคคลทั้งโดยตัวบุคคลหรือภายในองค์กรเดียวกันหรือข้ามองค์กรเข้ามาเชื่อมโยงกันโดยความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แต่เชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นเครือข่ายทั้งภายในองค์กรและข้ามองค์กร
การเจริญสติในการกระทำ การเจริญสติคือการรู้ตัว ทำให้จิตใจสงบ มีอิสรภาพ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น สัมผัสความจริงได้ ควบคุมความคิด การพูดและการกระทำได้ ทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นความงาม ความดี และความสุข
แหล่งที่มา : "การจัดการความรู้". สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).
การจัดการความรู้ (KM)
บุคคลที่มีส่วนร่วมในการจัดการความรู้
ในกระบวนการการจัดการความรู้ในแต่ละองค์กร ควรประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
"คุณเอื้อ" คือผู้ที่ทำให้เกิดผลงาน KM มีหน้าที่คัดเลือกหาทีมงานจากหลายสังกัดมาเป็นแกนนำ สนับสนุนทรัพยากรแก่ทีมงานอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกิดจากความสำเร็จหลากหลายรูปแบบ
"คุณอำนวย" ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งในเชิงกิจกรรม เชิงระบบ และเชิงวัฒนธรรม
"คุณกิจ" ผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ร้อยละ 90-95 อาจสรุปได้ว่าคุณกิจคือผู้จัดการความรู้ตัวจริง เป็นผู้มีความรู้ (Explicit Knowledge) และเป็นผู้ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อการปฏิบัติให้บรรลุถึง “เป้าหมาย/หัวปลา” ที่ตั้งไว้
"คุณลิขิต" ทำหน้าที่จดบันทึก ในกิจกรรมการจัดการความรู้ อาจทำหน้าที่เป็นการเฉพาะกิจ หรือทำหน้าที่เป็นระยะยาว กึ่งถาวรในกิจกรรมจัดการความรู้ของกลุ่ม หรือ หน่วยงาน หรือองค์กร สิ่งที่ “คุณลิขิต” จดบันทึกได้แก่ เรื่องเล่าจากกิจกรรม ขุมความรู้จากกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บันทึกการประชุมและบันทึกอื่นๆ
"คุณวิศาสตร์" คือ นัก IT ที่เข้ามาช่วยเป็นทีมงาน KM คำว่า "วิศาสตร์" มาจากคำว่า "IT wizard" หรือพ่อมดไอที จะเข้ามาช่วยคิดเรื่องการวางระบบ IT ที่เหมาะกับการดำเนินการ KM
"คุณประสาน" ในการทำ KM แบบเครือข่าย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามองค์กร "คุณประสาน" จะทำหน้าที่ประสานงานให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกันภายในเครือข่าย ทำให้เกิดการเรียนรู้ฝังลึก เกิดการหมุนเกลียวความรู้ได้อย่างมีพลังมาก เรียกว่า "การหมุนเกลียวความรู้ผ่านเขตแดน"
แหล่งที่มา : "การจัดการความรู้". สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).
การจัดการความรู้ (KM)
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
ทำให้องค์กรได้ทบทวนองค์ความรู้ขององค์กร (Organization's Knowledge) ว่าจริงๆ แล้วองค์กรมีความรู้ (ความเก่ง) เรื่องไหน และความรู้นั้นสามารถแข่งกับคนอื่นได้หรือไม่
สามารถกำหนดจุดขายของตนเองได้ชัดเจนขึ้น เช่น เมื่อรู้ว่าองค์กรมีความรู้ด้านใด ก็นำมากำหนดเป็นผลิตภัณฑ์/บริการหลักขององค์กร
เพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจ เพราะมีข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ขององค์กรที่ถูกต้อง
เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงาน เพราะมีคลังความรู้ที่สามารถดึงความรู้นั้นมาช่วยแก้ปัญหา และทำให้งานประสบผลสำเร็จได้รวดเร็ว และง่ายขึ้น
ทำให้เกิดนวัตกรรม ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และกระบวนการทำงาน
ทำให้บุคลากรรู้ว่าจะพัฒนาตนเองไปในทิศทางใด และสามารถนำความเก่ง (ในด้านต่างๆ) มาพัฒนาองค์กรให้ถูกทาง
ที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
การจัดการความรู้ (KM)
การจัดการความรู้ คือ
การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) คือ การบริหารจัดการความรู้ที่ต้องใช้ ให้แก่คนที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และส่งผลให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนิยม "Right Knowledge Right People Right Time"
แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
การจัดการความรู้ (KM)
Right Knowledge Right People Right Time
การทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ความรู้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าองค์กรจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าขาดซึ่งความรู้แล้วโอกาสอยู่รอดในธุรกิจนั้นๆ มีน้อยมาก และในยุคการค้าไร้พรมหมแดนเช่นในปัจจุบัน ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย ใครที่มีคุณภาพดีกว่า ราคาเหมาะสมกว่า คุณภาพคุ้มราคามากกว่าก็สามารถอยู่ในตลาดได้นานกว่าทุกๆ องค์กร จึงควรให้ความสำคัญกับความรู้ และมีระบบการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ "คนที่ต้องใช้ความรู้ สามารถใช้ความรู้ที่ถูกต้องได้ในเวลาที่ต้องการใช้ (Right Knowledge Right People Right Time)"...
บางส่วนจากคำนำ ในหนังสือเรื่อง Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ โดย สุประภาดา โชติมณี
แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
การจัดการความรู้ (KM)
โมเดลปลาทูกับการจัดการความรู้
โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง
ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า "ทำ KM ไปเพื่ออะไร"
ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัย และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกัน
ส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น "คลังความรู้" หรือ "ขุมความรู้"
บรรณานุกรม : ประพนธ์ ผาสุขยืด. (2549). การจัดการความรู้ ฉบับมือใหม่หัดขับ (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ: ใยไหม.
การจัดการความรู้ (KM)
วงจรการจัดการความรู้ (วงจร KM) ของบริษัท Xerox Corporation
วงจรการจัดการความรู้ (วงจร KM) ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ทั้ง 6 ได้แก่
การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (Transition and Behavior Management)
- ผู้บริหารระดับสูงจะต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่รวมถึงมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
- จัดตั้งทีมงานเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการวางแผนและจัดกิจกรรมต่างๆ
- กำหนดว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Critical Success Factors) ของการจัดการความรู้ และต้องมั่นใจได้ว่าปัจจัยเหล่านี้มีอยู่หรือสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ภายในองค์กร
- ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี (Role model) ในการแลกเปลี่ยนและจัดการความรู้
- สร้างสภาพแวดล้อมภายในองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถลองผิดลองถูกได้และเปิดกว้างให้มีการทดลองนำเอาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาปฏิบัติ
การสื่อสาร (Communication)
- เนื้อหาของเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร
- กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสาร
- ช่องทางในการสื่อสาร
กระบวนการและเครื่องมือ (Process and Tools)
- ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Community of Practice; COP)
- การสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation) และการยืมตัวบุคคลมาช่วยงาน (Secondment)
- เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ (Knoeledge Forum)
การฝึกอบรมและการเรียนรู้ (Training and Learning)
การวัดผล (Measurements)
การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (Recognition and Rewards)
บรรณานุกรม
บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้...จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
การจัดการความรู้ (KM)
เสาหลักของการจัดการความรู้ ของ K.Wiig
K.Wiig ได้แบ่งองค์ประกอบ เป็น 3 กลุ่มเรียกว่า เสาหลักของการจัดการความรู้ (Pillar of Knowledge Management) โดยแต่ละเสาจะประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อทำให้วงจรความรู้ครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วย การสร้าง (Create) การนำเสนอ (Manifest) การใช้ (Use) และการถ่ายทอด (Transfer)
เสาหลักที่ 1
สำรวจและแบ่งประเภทของความรู้
วิเคราะห์ความรู้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
เรียบเรียงและนำเสนอความรู้
เสาหลักที่ 2
ประเมินค่าของความรู้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เสาหลักที่ 3
สังเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้
ใช้จัดการและควบคุมความรู้
เผยแพร่และทำให้นำความรู้ไปใช้ได้ง่าย
บรรณานุกรม
บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้...จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
การจัดการความรู้ (KM)
กรอบความคิด Arthur Anderson และ APQC
Arthur Anderson และ American Productivity & Quality Center (APQC) ได้นำเสนอกรอบความคิดที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง ซึ่งได้แก่ องค์ความรู้ขององค์กร กระบวนการจัดการความรู้และปัจจัยที่ทำให้องค์กรจัดการความรู้ได้สำเร็จ
องค์ประกอบมี ดังนี้
องค์ประกอบความรู้ขององค์กร
กระบวนการจัดการความรู้
แบ่งปัน > สร้าง > กำหนด > รวบรวม > ปรับแต่ง > เรียบเรียง > นำมาใช้ > แบ่งปัน
ปัจจัยที่ทำให้จัดการความรู้ได้
- ภาวะผู้นำ
- วัฒนธรรมองค์กร
- เทคโนโลยี
- การวัดผล
บรรณานุกรม : บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้...จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
การจัดการความรู้ (KM)


