หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แบบสำรวจบทบาทของห้องสมุดในการจัดการสารสนเทศการวิจัย โดย OCLC
การจัดการสารสนเทศการวิจัย (Research Information Management-RIM) คือการรวบรวม การจัดการ และการใช้ประโยชน์ข้อมูลเมทาดาทาเกี่ยวกับกิจกรรมการวิจัย ซึ่งสามารถช่วยเชื่อมโยง landscape การสื่อสารเชิงวิชาการที่ซับซ้อนของนักวิจัย รวมถึงหน่วยงานต้นสังกัด ผลงานตีพิมพ์ ชุดข้อมูล ทุน โครงการ และรหัสประจำตัวของนักวิจัยเหล่านั้น ปัจจุบันห้องสมุดกำลังมีบทบาทสำคัญในการจัดการสารสนเทศการวิจัยในสถาบันต่างๆ ทั่วโลก OCLC Research ตระหนักถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการจัดการสารสนเทศการวิจัยต่อห้องสมุดวิจัย และกำลังดำเนินการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจบทบาทของห้องสมุดและความต้องการของสถาบันในเรื่องการจัดการสารสนเทศการวิจัย โดย OCLC Research and euroCRIS (Current Research Information Systems) กำลังร่วมมือกันทำการสำรวจแนวทางการจัดการสารสนเทศการวิจัยในระดับนานาชาติ เป้าหมายของการสำรวจเพื่อช่วยให้เข้าใจและรายงานสถานะของกิจกรรมการจัดการสารสนเทศการวิจัยทั่วโลก และเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับ ทำไมสถาบันจึงมีการนำ (กำลังพิจารณา) การจัดการสารสนเทศการวิจัยมาใช้ อะไรคือตัวขับเคลื่อนหลัก สถาบันกำลังใช้ฟังก์ชั่นการทำงานของการจัดการสารสนเทศการวิจัยอย่างไร อะไรคือการใช้งานหลัก ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และอะไรคือบทบาทของห้องสมุด อะไรคือกระบวนการและระบบซึ่งใช้งานอยู่ กระบวนการและระบบดังกล่าวทำงานร่วมกับระบบภายในและภายนอกอย่างไร อะไรคือขอบเขตของการทำงานร่วมกัน อะไรคือความแตกต่างเกี่ยวกับตัวขับเคลื่อน การใช้ และกระบวนการการจัดการสารสนเทศการวิจัยระหว่างระดับประเทศและระหว่างประเทศ กลุ่มเป้าหมายของการสำรวจนี้ คือ มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และองค์กรอื่นๆ ที่สนับสนุนการวิจัยและการจัดการวิจัย (1 หน่วยงาน : 1 แบบสำรวจ) ตอบแบบสำรวจ คลิกที่นี่ ผลการสำรวจจะถูกเผยแพร่ในปี ค.ศ. 2018 ละข้อมูลการสำรวจจะถูกเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา (CC – BY) ที่มา OCLC Research. (2017, October 10). An increasing role for libraries in research information management [Web page]. Retrieved from http://www.oclc.org/research/themes/research-collections/rim.html
นานาสาระน่ารู้
 
เอกสารจดหมายเหตุจำนวนมากของ Noam Chomsky จะถูกเผยแพร่ออนไลน์โดย MIT
สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT (Massachusetts Institute of Technology) กำลังแปลงเอกสารของ ดร. โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและจะเผยแพร่ออนไลน์ (Digitization) ดร. โนม ชอมสกี เป็นนักภาษาศาสตร์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากการเสนอทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ที่ชื่อเรียกว่าไวยากรณ์ปริวรรตเพิ่มพูน (Transformative-Generative Grammar) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญที่สุดของวงการภาษาศาสตร์ ดร.ชอมสกี ยังเป็นนักปรัชญาและนักกิจกรรมทางการเมือง มีผลงานเขียนที่มีอิทธิพลอย่างมากจากการไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อมวลชน ลัทธิจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ อนาธิปไตย การเมืองสงครามเย็น และสงครามเวียดนาม ปัจจุบัน ดร.ชอมสกี เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์และได้รับรางวัลศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ปี ค.ศ. 2012 บรรณารักษ์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์เริ่มต้นศึกษาเอกสารของ ดร.ชอมสกี หลังจากที่หอจดหมายเหตุของสถาบันฯ (MIT Libraries Institute Archives) ได้รับเอกสารส่วนตัวของ ดร.ชอมสกี จำนวน 260 กล่อง ตัวอย่างเอกสารจดหมายเหตุของ ดร.ชอมสกี เช่น บทความเรื่อง Systems of Syntactic Analysis ในปี ค.ศ.1953 ซึ่งนำไปสู่การตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญคือทฤษฎี Transformative-Generative Grammar  บันทึกจากการบรรยายเรื่อง Manufacturing Consent ในปี ค.ศ. 1984 ที่มหาวิทยาลัยรัทเจอส์ (Rutgers University) เอกสารโครงร่างแนวคิดที่ภายหลังถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเรื่อง The Political Economy of the Mass Media ในปี ค.ศ. 1988 จดหมายข่าวที่เผยแพร่โดย RESIST องค์กรต่อต้านสงครามที่ชอมสกีร่วมก่อตั้งในช่วงปี ค.ศ. 1967 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หวังที่จะดิจิไทซ์เอกสารของ ดร.ชอมสกี กว่าแสนรายการเพื่อเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ให้ผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าถึง คลิกที่นี่เพื่อเข้าดูตัวอย่าง unBoxing the Chomsky Archive ที่มาJones, J. (2017, November 3). MIT is digitizing a huge archive of Noam Chomsky’s lectures, papers and other documents & will put them online [Web log post]. Retrieved from http://www.openculture.com/2017/11/mit-is-digitizing-a-huge-archive-of-noam-chomskys-lectures.html
นานาสาระน่ารู้
 
ศาลสั่งเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตขวาง Sci-Hub
American Chemical Society (ACS) ชนะคดีที่ยื่นฟ้อง Sci-Hub เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2017 Sci-Hub คือเว็บไซต์ที่รวบรวมบทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์จำนวนหลายล้านฉบับจากการละเมิดลิขสิทธิ์และให้บริการบทความดังกล่าวแก่ผู้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย ACS ได้ยื่นฟ้อง Sci-Hub ด้วยข้อกล่าวหาการละเมิดลิขสิทธิ์ การปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า และการละเมิดเครื่องหมายการค้า ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลในรัฐเวอร์จิเนียตัดสินให้ Sci-Hub จ่ายเงินชดเชยแก่ ACS จำนวน 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากที่ตัวแทนของ Sci-Hub ไม่ได้เข้าร่วมศาล คำพิพากษาของศาลล่าสุดยังกล่าวว่าเสิร์ชเอนจิน (Search engine) เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการรับจดโดเมนเนม (Domain name registrar) และผู้ใช้บริการจดโดเมนเนม (Domain name registry) หยุดการสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกแก่ทุกโดเมนเนมและเว็บไซต์ที่ Sci-Hub มีส่วนในการเข้าถึง การใช้ การทำซ้ำ และการแจกจ่ายงานอันมีเครื่องหมายการค้าหรืองานอันมีลิขสิทธิ์ของ ACS อย่างผิดกฎหมาย Daniel Himmelstein นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย แสดงความคิดเห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้สามารถนำคำพิพากษาของศาลมาเป็นมาตรฐานในการตัดสินคดีต่อๆ ไป สำหรับบุคคลที่สามบนอินเทอร์เน็ตซึ่งจะต้องถูกบังคับใช้คำสั่งการเซ็นเซอร์ของรัฐบาล ความต้องการของ ACS เกี่ยวกับเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสร้างความวิตกกังวลแก่สมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (Computer and Communications Industry Association - CCIA) Stephen McLaughlin นักศึกษาปริญญาเอกด้านสารสนเทศศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน ผู้ติดตามคดี ACS อย่างใกล้ชิดกล่าวว่า ในหลักการแล้วเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสามารถเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งได้ทันที แต่หากไม่ปฏิบัติตาม ACS ก็สามารถออกจดหมายเพื่อขอให้เสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหยุดการทำงานของโดเมนต่างๆ ของ Sci-Hub เมื่อต้นปีนี้ Sci-Hub ถูกศาลสั่งให้จ่ายเงินจำนวน 1.5  ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าเสียหายแก่สำนักพิมพ์ Elsevier แต่ดูเหมือนว่า Alexandra Elbakyan นักประสาทวิทยาผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Sci-Hub จะจ่ายค่าเสียหายเพียงบางส่วน เพราะ Elbakyan ดำเนินงานเว็บไซต์ในรัสเซียซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจหรือคำสั่งศาล ศาลอื่นของสหรัฐฯ ตัดสินในปี 2015 ว่า Sci-Hub ละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์และควรจะปิดตัวลง แต่เว็บไซต์ก็ยังโผล่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยการใช้โดเมนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้ของ Himmelstein แสดงให้เห็นว่า Sci-Hub มีเนื้อหาทางวิชาการของ ACS 98.8% และเนื้อหาในวารสารที่บริการโดย Crossref 85% การเคลื่อนไหวอย่างมีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตจะให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องนี้ ที่มาChawla, D. S. (2017, November 6). Court demands that search engines and internet service providers block Sci-Hub [Web log post]. Retrieved from http://www.sciencemag.org/news/2017/11/court-demands-search-engines-and-internet-service-providers-block-sci-hub?utm_source=sciencemagazine&utm_medium=facebook-text&utm_campaign=scihubblock-16248
นานาสาระน่ารู้
 
25 อันดับแรกเมืองไฮเทคที่สุดในโลก
Business Insider ให้บริษัท 2thinknow จัดอันดับเมืองไฮเทคที่สุดในโลก บริษัทดังกล่าวได้พิจารณา 10 ปัจจัยที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น จำนวนการยื่นสิทธิบัตรต่อคน startups นักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง การใช้สมาร์ทโฟน และจัดอันดับ 85 เมือง ได้ 25 อันดับแรกเมืองไฮเทคที่สุดในโลก ดังข้างล่าง 1. ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นที่ตั้งของ Silicon Valley ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทคโนโลยีทั้งหมด มีวัฒนธรรม startup ที่ใหญ่โต มีการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง มีจำนวนมากของนักออกแบบและนักเขียนโปรแกรม มีสายการจัดหาของนวัตกรรม 2. นิวยอร์กเป็นเมืองไฮเทคมากที่มีลักษณะพิเศษคือ มีโครงสร้างพื้นฐานล้าสมัยมาก แต่ในขณะเดียวกันมีความก้าวหน้ามาก ตามสำนักงานตรวจการเงินการบัญชีของรัฐ เกือบ 7,000 บริษัทไฮเทคในเมืองนิวยอร์กมีงานมากกว่า 100,000 งาน ระหว่างไตรมาสที่ 3 ของปี 2013 นอกจากตั้งบริษัทใหม่ ยังเป็นเมืองที่มีโครงการ LinkNYC (บริการ Wifi ฟรี) มีมากกว่า 500 จุด รอบๆ แมนแฮตตัน มีให้ใช้แบบสาธารณะ 3. ลอนดอน ประเทศอังกฤษตั้งแต่มีโครงการ Crossrail เมื่อปีที่แล้ว ลอนดอนกลายเป็นเมืองความฝันของการขนส่งมวลชน ประมาณปี 2018 จะมี 10 เส้นทางรถไฟใหม่เชื่อม 30 สถานี ด้วยใช้เงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จึงเป็นโครงการการก่อสร้างใหญ่ที่สุดในยุโรป 2thinknow พบว่า ลอนดอนมี startup และนักเขียนโปรแกรมเกือบจะมากที่สุดในโลก โดยอาจมีงานด้าน IT มากกว่าแคลิฟอร์เนีย และจะมี 11,000 งานด้านเทคโนโลยีใหม่เพิ่มขึ้นใน 10 ปีข้างหน้า 4. ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียภาพยนตร์ไม่ใช่อุตสาหกรรมเดียวของเมือง ในปี 2014 รายงานโดย LA County Economic Development Corporation แนะนำว่า เป็นเมืองมีงานด้านไฮเทคมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 58 พันล้านดอลลาร์ ผลการวิเคราะห์ของ 2thinknow พบเหมือนกัน คือ startups และการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงมีส่วนสำคัญในความเจริญของเทคโนโลยี 5. โซล เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งอนาคต ใช้นวัตกรรมในงานออกแบบ เหมือนกับที่ระบบรถไฟใต้ดินอาจจะเหนือกว่าของนิวยอร์ก ตาม 2thinknow โดยประมาณเป็นเมืองยื่นสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก มีการพัฒนาเทคโนโลยีพบได้ทั่วไปแล้ว เช่น LTE ที่ใช้กับสมาร์ทโฟน และรวมถึงเทคโนโลยียังอยู่ในระยะเริ่มต้น เช่น ร้านค้าเสมือน (virtual stores) ที่ซึ่งคุณสแกนภาพสิ่งของเพื่อส่งต่อ 6. ไทเป ประเทศไต้หวันจากการวิเคราะห์ของ 2thinknow ไทเปเป็นผู้นำชัดเจนในการออกแบบอุตสาหกรรมเป็นเวลาหลายปี สนใจมากในการศึกษาฮาร์ดแวร์อย่างละเอียด เป็นที่ตั้งของบางบริษัท PC ใหญ่ที่สุด ได้แก่ Asus MSI Gigabyte และ Acer ตาม 2thinknow ยังเป็นเมืองมีจำนวนมากของนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง 7. บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์มีเทคโนโลยีน่าตื่นเต้นจำนวนมากเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาจากมหาวิทยาลัยเชี่ยวชาญด้าน STEM ได้แก่ MIT Harvard Tufts และ Northeastern ส่วนใหญ่ในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพและหุ่นยนต์ มีบริษัทลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงอยู่จำนวนหนึ่ง ได้แก่ Battery Ventures  Atlas Venture  Bessemer Venture Partners  Matrix Venture Partners ซึ่งลงทุนในห้องปฏิบัติการนวัตกรรมและ university startups และเป็นที่ตั้งของสำนักงานด้านวิจัยและพัฒนาของบริษัทที่มีชื่อเสียงมากเช่น Facebook และ Amazon 8. สิงคโปร์มีจำนวนมากของนักเขียนโปรแกรมและนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง มีโครงสร้างพื้นฐานใหม่และอาคารสูงไฮเทคเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่วมมือกับ MIT สร้างการขนส่งที่ดีขึ้น โดยใช้รถส่วนตัวน้อยลงและใช้รถไฟสาธารณะมากขึ้น 9. โทรอนโต ประเทศแคนาดามี startup และโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรมจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของ 30% ของบริษัท IT ของแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน หมายความว่ากลุ่มของบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีผลกระทบหลักในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยสรุปหลายบริษัทมีรายได้ต่อปีประมาณ 52 พันล้านดอลลาร์ 10. ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าอิลลินอยส์มีงานไฮเทคจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของสหรัฐ ในการนี้ชิคาโกมีส่วนอย่างมาก สถาบัน Brookings ยังพบเป็นเมืองแหล่งเพาะของนวัตกรรมวางแผนเมือง เห็นได้ชัดในโครงการ City Digital เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งพลังงานและการขนส่ง 11. ดัลลาส-ฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเทกซัสเพียงในสองปีที่ผ่านมา กลายเป็นเมืองศูนย์กลาง startup จากการวิเคราะห์ของ 2thinknow เลื่อนจากอันดับที่ 28 ในปี 2016 เป็นเพียงนอก 10 อันดับแรกเล็กน้อยเพราะการเพิ่มขึ้นอย่างเร็วจำนวนของนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงและการนำเทคโนโลยีไปใช้ในภูมิประเทศของเมือง 12. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการขนส่ง อย่างเช่น ระบบรถไฟใต้ดินของโตเกียวซึ่งมีคนใช้ถึง 2.3 พันล้านคนทุกปี เป็นเมืองเด่นมากในการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง และมีโครงการใหญ่ทางเทคโนโลยีจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เตรียมสำหรับโอลิมปิกเกมส์ปี 2020 13. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนด้วยพันธกิจที่จะปราศจากเงินสด (cash-free) และน้ำมัน (oil-free) ภายใน 5 ปีข้างหน้า สตอกโฮล์มกำลังทำการปฏิวัติทางดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เมืองมี billion-dollar startup มากที่สุดในยุโรปและตลาดสำหรับการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงที่เจริญเร็วเป็นอันดับสองของโลก นอกจากนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นของนักเขียนโปรแกรม 14. แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาในปี 2014 ได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley North จาก CBC เพราะมีวัฒนธรรม startup เด่น มีมากกว่า 600 บริษัทสื่อดิจิทัลซึ่งมีรายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และมีมหาวิทยาลัยทางเทคโนโลยีและอัตราภาษีเกี่ยวกับบริษัทต่ำทำให้เป็นเมืองดึงดูดทั้งวิศวกรหน้าใหม่และผู้บริหารที่เป็นที่ยอมรับ 15. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยเทคโนโลยีทางการเงิน ประสิทธิภาพด้านพลังงาน และวัฒนธรรม startup ทำให้เป็นเมืองมหาอำนาจในยุโรป ถึงแม้มีขนาดเล็กกว่าเมืองอื่นๆ มาก (มีประชากรเพียงหนึ่งในสามของเบอร์ลิน) ในเดือนเมษายนผู้ร่างกฎหมายประกาศว่าต้องการไม่ให้ใช้รถยนต์ประเภทก๊าซและดีเซลประมาณปี 2025 โดยให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน 16. ปักกิ่ง ประเทศจีนถึงแม้ไม่มีวัฒนธรรม startup เหมือนเมืองอื่นๆ แต่มีชื่อเสียงในเรื่องของการใช้สมาร์ทโฟนทั่วเมืองและจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นต่อคน นอกจากนี้การลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา ปักกิ่งเลื่อนขึ้น 15 อันดับตั้งแต่การจัดอันดับในปี 2016 17. เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนใกล้กันเป็น Zhangjiang Hi-Tech Park มีคนทำงานมากกว่า 100,000 คนจากบริษัททางเทคโนโลยีหลายพัน  เหมือนเมืองไฮเทคของจีนส่วนใหญ่ เป็นเมืองเด่นในเรื่องสิทธิบัตรและการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง อาจเป็นเพราะการผลิตเป็นจุดเด่นของจีนและบริษัทกระตือรือร้นจะป้องกันและลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา 18. มอนทรีออล ประเทศแคนาดาถ้าต้องการจะเป็นนักออกแบบอุตสาหกรรมหรือนักเขียนโปรแกรม ควรจะย้ายไปอยู่มอนทรีออล เป็นที่ตั้งของ Vrvana ผู้ผลิตหูฟัง VR และบริษัท Hexoskin และ OMSignal ทั้งสองผลิตเสื้อวัดสัญญาณทางชีวภาพของผู้สวมใส่ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองมีวัฒนธรรม startup ที่ค่อนข้างเด่น  19. บังกาลอร์ ประเทศอินเดียเลื่อนจากอันดับที่ 49 ในปี 2016 เป็น 19 ในปีนี้ ทำให้เป็นเมืองที่เลื่อนอันดับขึ้นมากที่สุด เนื่องจากการไหลทะลักเข้ามาของบริษัท IT และมีนักเขียนโปรแกรมจำนวนมาก ครึ่งหนึ่งของประชากรเป็นคนอายุน้อยกว่า 25 และส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่ส่วนเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต 20. เซินเจิ้น ประเทศจีนสิทธิบัตรกำลังถูกผลิตออกไปจากเซินเจิ้นซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของจีนมีประชากร 11 ล้านคน เนื่องจากเด่นในเรื่องการผลิตของประเทศ เป็นเมืองเจริญอย่างชัดเจนเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมาโดยเป็นศูนย์กลางของโรงงานและวิทยาการหุ่นยนต์ และเป็นที่ตั้งของโครงการโทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่หลายโครงการ 21. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมันมีวัฒนธรรม startup เด่นและบางครั้งมีอัตราสูงสุดของการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงในยุโรป ยังเป็นเมืองมีอุตสาหกรรมรถยนต์มากในยุโรป เป็นเพียงเมืองเดียวในโลกเป็นที่ตั้งของ brand รถยนต์สำคัญทั้งหมด 22. ฮ่องกง มีความก้าวหน้าในหลายด้าน มีการลงทุนในงานวิจัยและการพัฒนาจำนวนมากและนวัตกรรมทั่วไปในเมือง บางครั้งมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุดในจีน มีการส่งออกสินค้าไฮเทคทั้งหมด 243 พันล้านดอลลาร์ หรือ 51% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด 23. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กมีการวางแผนเมืองด้วยนวัตกรรมและมีนักออกแบบอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทำให้ 2thinknow ให้ชื่อว่าเป็นเมืองมีการผลิตที่ smart ประมาณปี 2025  มีการวางแผนจะไม่ใช้เชื้อเพลิง fossil แต่ใช้พลังงานลม ด้วยวัฒนธรรมใช้รถจักรยานและมีบริษัทรถโดยสารทำให้เป็นเมืองไม่เพียงสีเขียวแต่ยังสวย 24. บาร์เซโลน่า ประเทศสเปนติด 25 อันดับแรกเป็นครั้งแรกตั้งแต่การจัดอันดับเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของนักออกแบบอุตสาหกรรมและมีการใช้สมาร์ทโฟนชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานของสมาร์ทโฟนซับซ้อนมาก โดยคอมพิวเตอร์ใช้อยู่ทั่วเมืองใช้เพื่อตรวจจับระดับเสียง รูปแบบการจราจร และจำนวน selfies 25. วอชิงตัน ดีซีมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีใน 10 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นจำนวนทั้งหมดของงานด้านเทคโนโลยีที่ 50% นอกจากนี้มีมากกว่า 1,000 startups มีจำนวนมากของบริษัทลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงทำให้เริ่มมี world-changing company เป็นภาพที่ดึงดูดของเมือง ที่มา: Chris Weller (2017, August 16). These are the 25 most high-tech cities in the world. World Economic Forum. Retrieved November 3, 2017, from https://www.weforum.org/agenda/2017/08/these-are-the-25-most-high-tech-cities-in-the-world?
นานาสาระน่ารู้
 
OER สามารถลดค่าใช้จ่ายของการศึกษาในอุดมศึกษา ถ้าทำ 4 ขั้นตอนนี้
คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources – OER) สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้สอนแต่ละคนสามารถปรับแต่งและปรับปรุงลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ได้ตามความต้องการของตนเองและให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน OER ก็เปิดโอกาสให้ผู้เรียนร่วมสร้างและมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนและการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้สามารถทำให้การเรียนรู้ได้ผลดียิ่งขึ้น แต่ OER เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้ ผู้สอนจำนวนมากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพของ OER เช่น อาจเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาและดูแล OER อาจมีเนื้อหาที่ OER ไม่ครอบคลุม และอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ OER ได้อย่างเต็มที่ตามลักษณะวิธีการใช้ที่มีประสิทธิภาพ Cengage (บริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับเนื้อหา เทคโนโลยี และบริการทางการศึกษา ซึ่งดำเนินงานในประเทศต่างๆ กว่า 20 ประเทศทั่วโลก) เสนอแนะ 4 ขั้นตอนเพื่อเพิ่มมูลค่าของ OER จัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักสูตรและทักษะที่จำเป็นในการทำงาน: หนึ่งในความท้าทายอันดับแรกของ OER คือ เนื้อหา การกำหนดเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและทักษะที่จำเป็นในการทำงานคือสิ่งสำคัญข้อหนึ่งสำหรับ OER นอกเหนือจากคุณภาพและความถูกต้องของเนื้อหา  สนับสนุนด้วยเทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์: การรวบรวมเนื้อหาที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่เปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถสามารถปรับแต่งลักษณะของการเรียนการสอนและการเรียนรู้ได้ตามที่ผู้สอนต้องการคือประเด็นสำคัญสำหรับ OER ขณะเดียวกัน OER ควรถูกเสริมด้วยเทคโนโลยีสำหรับการวิเคราะห์ ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนผู้สอนและสถาบัน: การช่วยเหลือและการสนับสนุนทางเทคนิคแก่ลูกค้าคือสิ่งสำคัญ ผู้สอนต้องการการช่วยเหลือและการสนับสนุนของทีมที่เน้นเรื่องการประยุกต์ใช้และการฝึกอบรมเกี่ยวข้องกับ OER เช่นเดียวกัน เน้นการเรียนรู้และความเชี่ยวชาญด้านการสอน: เนื้อหาและเทคโนโลยีคือซึ่งสำคัญ แต่ความสามารถในการพิจารณาประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งกระบวนการเพื่อให้ OER มีศักยภาพมากที่สุดก็เป็นสิ่งสำคัญ นักออกแบบการเรียนการสอน ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนและหัวข้อเรื่อง และผู้เขียนมองไปไกลกว่าแค่สื่อตามหลักสูตรและสามารถออกแบบโซลูชั่นที่ช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม เนื้อหาที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่ง เนื้อหาที่ดีควรให้อิสระและความยืดหยุ่นแก่ผู้ใช้ เนื้อหาที่ดีควรให้อำนาจแก่ผู้ใช้ในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหานั้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการเรียนการสอน พร้อมประหยัดเงิน นั่นคือเหตุผลที่ Cengage เปิดตัว OpenNow ซึ่งเป็น digital content platform ใหม่ที่ใช้งานง่ายและใช้ OER ได้อย่างง่ายดาย ค่าใช้จ่ายต่อนักเรียนต่อหลักสูตรเริ่มต้นที่เพียง 25 เหรียญสหรัฐ เป้าหมายของ OpenNow คือการทำให้การศึกษาในระดับอุดมศึกษามีราคาไม่แพงสำหรับผู้เรียน แต่ที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมในเนื้อหาต่อชุมชน ไม่ว่าจะเป็นข้อความฉบับเต็ม แบบประเมิน คำถาม หรือ OER ที่ถูกปรับแต่ง เพื่อให้ชัดเจนขึ้น ถูกต้อง หรือเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ผลงานทั้งหมดที่ให้บริการใน OpenNow อยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons Licence: CC) ชนิดอ้างอิงแหล่งที่มา (CC-BY) ซึ่งหมายความว่าครูผู้สอนและสถาบันอุดมศึกษาสามารถนำทรัพยากรทางการศึกษาใน OpenNow ไปใช้ซ้ำและดัดแปลงแก้ไขตามที่ต้องการ แต่ต้องอ้างอิงถึงแหล่งที่มา บทความที่เกี่ยวข้อง Cengage เปิดตัว OpenNow ระบบเพื่อช่วยให้การเข้าถึงและใช้งาน OER เป็นเรื่องง่าย ที่มา: Costantini, C. (2017, November 1). OER can lower the cost of higher ed-but only if 4 steps are taken [Web log post]. Retrieved from https://www.ecampusnews.com/campus-administration/oer-lower-cost-higher-ed/?all
นานาสาระน่ารู้
 
25 ล้านภาพจาก 14 สถาบันทางศิลปะจะถูกดิจิไทซ์และเผยแพร่ในคลังจดหมายเหตุทางวิชาการขนาดใหญ่
Pharos คือสมาคมภาพจดหมายเหตุระดับนานาชาติ (International Consortium of Photo Archives) ซึ่งเกิดจากความพยายามในการร่วมมือกันของสถาบันทางศิลปะ 14 แห่ง เช่น Getty and Frick National Gallery of Art Yale Center for British Art Rome’s Bibliotheca Hertziana และ Courtauld Institute จะจัดให้บริการภาพผลงานศิลปะหายาก 25 ล้านภาพผ่านระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผลงานศิลปะและวัสดุเสริมอื่นๆ จำนวน 17 ล้านรายการจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ภายในปี 2563 นี้เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลงานศิลปะหายากที่ถูกรวบรวมและจัดแสดงในสถาบันทางศิลปะต่างๆ Claire Voon นักเขียนและนักข่าวของ Hyperallergic ได้เขียนใน Hyperallergic ว่าแม้ว่าฐานข้อมูลของ Pharos จะเปิดให้บริการแก่ทุกคนทั่วไปที่สนใจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ฐานข้อมูลนี้ก็มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการและทุ่มเทให้กับการเผยแพร่ผลงานทางศิลปะที่รวบรวมได้จากที่ต่างๆ โดยเผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์ รวมถึงงานด้านการอนุรักษ์และนิทรรศการ เป็นต้น ตัวอย่างผลงานทางศิลปะจากสถาบันศิลปะต่างๆ ที่ถูกรวบรวม เผยแพร่และให้บริการในรูปแบบออนไลน์ผ่านฐานข้อมูลของ Pharos เช่น ศิลปะคลาสสิคและไบเซนไทน์ (Byzantine) จากสถาบันศิลปะ Frick ผลงานเกี่ยวกับคริสเตียนในช่วงต้นจาก National Gallery ของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงภาพของเครื่องปั้นดินเผา ประติมากกรมและรูปปั้นโรมันจาก Bibliotheca Hertziana แม้ว่าในขณะนี้สถาบันทางศิลปะที่ร่วมในโครงการนี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในอเมริกาเหนือและยุโรป แต่โครงการและฐานข้อมูลของ Pharos ก็มีแผนที่จะขยายความร่วมมือไปยังสถาบันในพื้นที่อื่นๆ เพื่อรวบรวมรายการผลงานทางศิลปะจากทั่วโลก คลิกที่นี่เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ที่มา Jones, J. (2017, November 11). 25 Million Images from 14 art institutions to be digitized & put online in one huge scholarly archive [Web log post]. Retrieved from http://www.openculture.com/2017/11/25-million-images-from-14-art-institutions-to-be-digitized-put-online-in-one-huge-scholarly-archive.html Ted Loos, T. (2017, MARCH 14). Photo archives are sleeping beauties. Pharos is their prince. The New York Time. Retrieved from https://www.nytimes.com/2017/03/14/arts/design/art-history-digital-archive-museums-pharos.html
นานาสาระน่ารู้
 
ปฏิญญาอาเซียนด้านนวัตกรรม (ASEAN Declaration on Innovation)
จากเอกสารปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่าด้วยอาเซียน ๒๐๒๕: มุ่งหน้าไปด้วยกัน ได้กล่าวถึง การส่งเสริมการเติบโตทางผลิตภาพที่เข้มแข็ง โดยการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนาระดับภูมิภาคเพื่อนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนในการยกระดับภูมิภาคสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลกในอุตสาหกรรมการบริการและการผลิตที่ใช้ (อ้างอิง http://www.mfa.go.th/asean/contents/files/asean-media-center-20160203-160850-836205.pdf หน้า126-127) โดยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ขั้นสูงขึ้นความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของอาเซียนจะขึ้นอยู่กับการปรับปรุงผลิตภาพของแรงงานและผลการดำเนินงานด้านผลิตภาพของปัจจัยการผลิตโดยรวม หากในขณะนี้อาเซียนกำลังเพิ่มการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าโลก โดยผลิตภาพแรงงานและผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวมจะถูกกำหนดโดยประสิทธิภาพในการใช้ปัจจัยการผลิต รวมทั้งความก้าวหน้าขององค์ความรู้ นวัตกรรมและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ทำให้เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนโยบายและแผนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ รายละเอียดดังนี้ เรื่อง การร่วมรับรองเอกสารภายใต้ความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบต่อเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation 2. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation ASEAN Declaration on Innovation เป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การสร้างงาน และการส่งเสริมการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีในสังคม โดยใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค ในการจัดทำเอกสารดังกล่าวข้างต้น พณ. ในฐานะหน่วยงานประสานงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้มีการประสานและหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีข้อขัดข้องต่อเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ ในส่วนของเอกสาร ASEAN Declaration on Innovation หน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นผู้เจรจาร่วมกับประเทศอาเซียนเอง โดย AEC Council จะให้การรับรองเอกสารความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (รวมถึง เอกสาร ASEAN Declaration on Innovation ) ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (อ้างอิง http://www.naewna.com/politic/300370 หัวข้อที่8)
นานาสาระน่ารู้
 
แบคทีเรียในทางเดินอาหาร (gut bacteria) ซึ่งสื่อสารกับเซลล์คนอาจนำไปสู่การรักษาแบบใหม่
งานวิจัยของ Rockefeller University และ Icahn School of Medicine at Mt. Sinai ซึ่งเผยแพร่ในวารสาร Nature ช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ค้นพบว่าแบคทีเรียในทางเดินอาหารและเซลล์คน ถึงแม้แตกต่างในหลายด้าน สื่อสารด้วยภาษาทางเคมีที่เหมือนกัน บนพื้นฐานของโมเลกุลที่เรียกว่า ligands โดยอาศัยข้อมูลนี้นักวิจัยได้พัฒนาวิธีการเพื่อตัดต่อยีนของแบคทีเรียเพื่อให้ผลิตโมเลกุลซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาความผิดปกติโดยไปเปลี่ยนขบวนการเผาผลาญในคน เมื่อทดสอบระบบนี้กับหนู การนำเสนอของแบคทีเรียในทางเดินอาหารที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนำไปสู่การลดลงของระดับน้ำตาลในเลือดและการเปลี่ยนแปลงของขบวนการเผาผลาญในหนู นักวิจัยได้ตัดต่อยีนของแบคทีเรียในทางเดินอาหารให้ผลิต ligands จำเพาะ ที่มีชื่อว่า N-acyl amides ซึ่งจับกับตัวรับ (receptor) ที่จำเพาะของคน ได้แก่ GPR 119 ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเกี่ยวข้องกับการควบคุมกูลโคสและความอยากอาหาร และก่อนหน้านี้เป็นเป้าหมายสำหรับการรักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน Louis Cohen หนึ่งในนักวิจัย กล่าวว่า ligands ของแบคทีเรียที่พวกเขาสร้างขึ้นมีโครงสร้างเกือบจะเหมือนกับ ligands ของคน ที่มา: Rockefeller University (2017, August 30). Gut bacteria that 'talk' to human cells may lead to new treatments. ScienceDaily. Retrieved October 31, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/08/170830141248.htm
นานาสาระน่ารู้
 
นวัตกรรมของเวียดนาม – เวียดนามเสือตัวใหม่ของอาเซียน?
จากรายงานการจัดอันดับผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรมของ 127 ประเทศ/เศรษฐกิจทั่วโลกครั้งล่าสุดในปี  2560 (Global Innovation Index 2017) โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization – WIPO) มหาวิทยาลัยคอร์เนล (Cornell University) ของสหรัฐอเมริกา และสถาบันด้านบริหารธุรกิจชั้นนำอย่าง INSEAD โดยใช้ตัวชี้วัดกว่า 80 ตัว เช่น สภาพแวดล้อมทางการเมือง การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และความซับซ้อนทางธุรกิจ เป็นต้นพบว่าประเทศเวียดนามมีการก้าวกระโดดทางนวัตกรรมที่น่าจับตามอง โดยก้าวขึ้นมาที่ลำดับที่ 47 จาก 127 ประเทศ/เศรษฐกิจทั่วโลกและขยับดีขึ้นมา 12 อันดับเมื่อเทียบกับการจัดอันดับเมื่อปี 2559 เมื่อพิจารณาตัวเลขของการจดสิทธิบัตร (Patent) ของเวียดนามจากสถิติในปี 2558 พบว่าชาวเวียดนามขอจดสิทธิบัตรกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก 679 สิทธิบัตร แม้จะเป็นตัวเลขที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน เช่น มาเลเซียและไทย โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งถือครองอันดับ 1 ทางด้านนวัตกรรมและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนียหรือกลุ่มประเทศและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ตัวเลขการขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวของเวียดนามขยับเพิ่มขึ้นจาก 5 ปีก่อนหน้านี้ถึง 2 เท่า คือ 325 สิทธิบัตร ในทำนองเดียวกันปี 2558 ชาวเวียดนามขอจดเครื่องหมายการค้า (Trademarks) 32,212 รายการ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Industrial designs) 1,677 ชิ้น โดยทั้งหมดมากกว่าสถิติในปี 2557 ซึ่งมีสิทธิบัตร 561 สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า 28,231 รายการ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ 1,592 ชิ้น ที่ถูกขอยื่นจด จากสถิติขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ในเดือนพฤษภาคม 2560 พบว่าระหว่างปี 2554-2558 เฟอร์นิเจอร์และเกมส์ คือ กลุ่มของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เวียดนามมีการจดสิทธิบัตรมากที่สุด คิดเป็น 13.79% ตามมาด้วยกลุ่มเทคโนโลยีทางการแพทย์ (6.90%) กลุ่มวิศวกรรมโยธา (6.63%) กลุ่มเครื่องจักรเกี่ยวกับสิ่งทอและกระดาษ (5.84%) และกลุ่มเครื่องยนต์ ปั๊ม และกังหัน (5.57%) นับตั้งแต่ช่วงปี 2523 สิงคโปร์ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเสืออาเซียน สิงคโปร์ยังคงพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องจนก้าวขึ้นเป็น 1 ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ดูได้จากการติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่มีการเติบโตทางนวัตกรรมจากรายงานของดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index) ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปัจจุบัน แม้สิงคโปร์จะยังคงรักษาตำแหน่งอันดับที่ 1 ของการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมโลกทั้งของทวีปเอเชียและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ข้อมูลจากรายงานของดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2560 มีบางประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่าสิงคโปร์ เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ รวมถึงเวียดนาม ที่พยายามไล่ตามสิงคโปร์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเวียดนามที่พบว่ามีตัวเลขของจำนวนเงินที่ใช้เพื่อการลงทุนทางด้านการศึกษาในระดับที่สูง คือ อันดับที่ 26 ของโลกซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อการแข่งขันในอนาคต นอกจากนี้ยังมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของชาวเวียดนาม และตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความพยายามในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รายจ่ายเพื่อการสะสมทุนเบื้องต้น (Gross capital formation) ที่ก่อให้เกิดผลผลิตในอนาคต ที่สำคัญเวียดนามมีตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ในอันดับที่น่าสนใจ คือ อันดับที่ 26 ของโลก โดยเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ คือ อัตราค่าจ้างแรงงานที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงมีจุดอ่อนที่สำคัญหลายด้านซึ่งต้องเร่งแก้ไข เช่น สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ การพึ่งพาการนำเข้าบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจากต่างประเทศในปริมาณตัวเลขที่สูง และการขาดแคลนจำนวนของบริษัทและเงินที่ใช้ลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น เมื่อพิจารณาตัวเลขการขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของเวียดนามในปี 2558 ตามที่กล่าวไปข้างต้น พบว่า จำนวนการยื่นจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาของเวียดนามค่อนข้างเน้นไปในการจดเครื่องหมายการค้าและการออกแบบอุตสาหกรรมมากกว่าสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งอาจสะท้อนถึงระดับความแข็งแกร่งเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาของภาคธุรกิจในเวียดนาม ที่มาข้อมูล: Dutta, S., Lanvin, B., & Wunsch-Vincent, S. (Ed.). (2017). the Global Innovation Index 2017.  Retrieved from https://www.globalinnovationindex.org/gii-2017-reportWorld Intellectual Property Organization. (2017). Statistical country profiles: Viet Nam. Retrieved October 10, 2017 from http://www.wipo.int/ipstats/en/statistics/country_profile/profile.jsp?code=VN
นานาสาระน่ารู้
 
ใช้การหายใจแทนการใช้วิธีทดสอบด้วยเลือด (blood test)
นักวิทยาศาสตร์จาก ETH Zurich และ University Hospital Zurich ขณะนี้ได้พัฒนาวิธีติดตามการสลายไขมันที่ใช้ได้สะดวกมากและให้ผลทันทีโดยทดสอบการหายใจออกระหว่างการออกกำลังกาย เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันจะให้ผลิตผลพลอยได้เป็น acetone ซึ่งระเหยได้ คณะนักวิจัยได้พัฒนาตัวตรวจจับก๊าซขนาดเล็ก (small gas sensor) ซึ่งวัดการมีอยู่ของ acetone ตัวตรวจจับนี้มีความไวมากกว่ามากตัวตรวจจับก่อนหน้านี้ (สามารถตรวจจับโมเลกุลของ acetone โมเลกุลเดียวจากร้อยล้านโมเลกุล) นอกจากนี้ยังวัด acetone ได้เพียงตัวเดียว ดังนั้นส่วนประกอบที่ระเหยได้ที่เป็นที่รู้จักอื่นๆ มากกว่า 800 ตัว ในการหายใจออกจะไม่ส่งผลต่อการวัด ด้วยความร่วมมือกับ University Hospital Zurich คณะนักวิจัยได้ทดสอบประสิทธิภาพของตัวตรวจวัดที่ได้พัฒนาขึ้นกับอาสาสมัครในขณะที่ออกกำลังกาย โดยกลุ่มอาสาสมัครต้องปั่นจักรยานออกกำลังกายเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งและหยุดพักระยะสั้นสองช่วง นอกจากนี้อาสาสมัครต้องเป่าในหลอดซึ่งเชื่อมกับตัวตรวจจับ acetone เป็นช่วงสม่ำเสมอ วิธีการวัดใหม่นี้ไปในทางเดียวอย่างชัดเจนกับความเข้มข้นของตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (biomarker) ได้แก่  beta-hydroxybutyrate ในเลือดของอาสาสมัคร การวิเคราะห์เลือดนี้เป็นหนึ่งวิธีการมาตรฐานสำหรับติดตามการสลายไขมันในปัจจุบัน ตัวตรวจจับ acetone พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ใช้ chip ที่เคลือบด้วยฟิล์มที่เป็นรูของอนุภาคนาโนกึ่งนำไฟฟ้าชนิดพิเศษ อนุภาคเหล่านั้นคือ tungsten trioxide ซึ่งคณะนักวิจัยได้ฝังซิลิคอน 1 อะตอม การพัฒนา chip เริ่มเมื่อเจ็ดปีที่ผ่านมา เมื่อคณะนักวิจัยค้นพบว่าอนุภาคนาโน tungsten trioxide ทำปฏิกิริยากับ acetone ถ้าอะตอมของอนุภาคนาโนจัดเรียงเป็นโครงสร้างผลึกที่แน่นอน ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้ความต้านทานไฟฟ้าของ chip ที่เคลือบด้วยอนุภาคนาโนลดลง และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้สามารถวัดได้ chip ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มีขนาดเท่ากับเหรียญยูโร 1 เซ็น (cent) แต่คณะนักวิจัยกำลังทำงานเพื่อพัฒนา chip ที่มีขนาดเล็กกว่านี้มากๆ วิธีทดสอบ acetone ในลมหายใจแบบพกพามีให้เห็นแล้ว แต่สามารถเพียงใช้ครั้งเดียวและใช้เวลาหลายนาทีก่อนจะแสดงผล Andreas Guntner หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า เทคโนโลยีของพวกเรามีข้อดีหลักคือ ราคาไม่แพง สามารถจัดการได้ และมีความไวของการวัดสูง นอกจากนี้สามารถวัดได้ผลทันที คณะนักวิจัยขณะนี้กำลังวางแผนที่จะพัฒนาวิธีการนี้เพื่อในที่สุดจะได้ออกสู่ตลาด คณะนักวิจัยมีต้นแบบของอุปกรณ์นี้แล้ว นอกจากนี้คณะนักวิจัยยังกำลังทำงานในการพัฒนาตัวตรวจจับก๊าซของโมเลกุลที่สำคัญทางการแพทย์อื่นๆ ในการหายใจออก เช่น ammonia เพื่อทดสอบการทำงานของไต ที่มา: ETH Zurich (2017, October 10). Breath instead of a blood test. ScienceDaily. Retrieved October 30, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171010124118.htm
นานาสาระน่ารู้
 
การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป แม้แต่คนสุขภาพแข็งแรงมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคหัวใจ
การศึกษาของ University of Surrey พบว่ากลุ่มประชากรแม้แต่ผู้ชายที่มีสุขภาพแข็งแรงมีระดับของไขมันในเลือดและไขมันเก็บในตับเพิ่มขึ้นหลังจากบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง การศึกษานี้เผยแพร่ในวารสาร Clinical Science มองไปที่สองกลุ่มของผู้ชายด้วยระดับไขมันในตับสูงหรือต่ำ และให้อาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือต่ำ เพื่อค้นหาว่าปริมาณของไขมันในตับมีผลต่อผลกระทบของน้ำตาลต่อสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจหรือไม่ อาหารที่มีน้ำตาลต่ำมีไม่มากกว่า 140 แคลอรี่ต่อวันของน้ำตาล เป็นปริมาณใกล้เคียงแนะนำให้บริโภค ในขณะที่อาหารที่มีน้ำตาลสูงมี 650 แคลอรี่ หลังจาก 12 สัปดาห์ที่ได้รับอาหารที่มีน้ำตาลสูง ผู้ชายที่มีระดับไขมันในตับสูง เรียกภาวะนี้ว่า non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญไขมัน (fat metabolism) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ  ผลการทดลองยังแสดงว่าเมื่อกลุ่มของผู้ชายสุขภาพแข็งแรงที่มีระดับไขมันในตับต่ำบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูง ไขมันในตับจะเพิ่มขึ้นและกระบวนการเผาผลาญไขมันกลายเป็นเหมือนกับผู้ชายที่มีภาวะ NAFLD ศาสตราจารย์ Bruce Griffin กล่าวว่า การค้นพบของพวกเราให้หลักฐานใหม่ว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณสูงสามารถเปลี่ยนกระบวนการเผาผลาญไขมันซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ ที่มา: University of Surrey (2017, October 4). Too much sugar? Even 'healthy people' are at risk of developing heart disease. ScienceDaily. Retrieved October 25, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171004202008.htm
นานาสาระน่ารู้
 
รางวัลโนเบลสาขาเคมีปี 2017: Cryo-electron microscopy
The Royal Swedish Academy of Sciences ตัดสินรางวัลโนเบลสาขาเคมีประจำปี 2017 แก่ Jacques Dubochet จาก University of Lausanne สวิตเซอร์แลนด์  Joachim Frank จาก Columbia University สหรัฐอเมริกา และ Richard Henderson จาก MRC Laboratory of Molecular Biology Cambridge สหราชอาณาจักร สำหรับการพัฒนา cryo-electron microscopy เพื่อใช้สำหรับแสดงโครงสร้างที่มีความละเอียดสูงของชีวโมเลกุลในสารละลาย นักวิจัยสามารถปัจจุบันทำให้ชีวโมเลกุลเคลื่อนที่ได้พอประมาณและเห็นขบวนการซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งช่วยทั้งการเข้าใจพื้นฐานทางเคมีของชีวิตและการพัฒนายา กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscopy) เชื่อมาเป็นเวลานานว่าเหมาะเพียงให้ภาพสำหรับวัตถุไม่มีชีวิตเพราะว่าลำแสงอิเล็กตรอนที่ทรงพลังทำลายวัสดุทางชีววิทยา แต่ในปี 1990 Richard Henderson ประสบความสำเร็จในการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนเพื่อสร้างภาพสามมิติของโปรตีนชนิดหนึ่งที่ความละเอียดระดับอะตอม ความสำเร็จครั้งนี้พิสูจน์ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ Joachim Frank ทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้ทั่วไป โดยระหว่างปี 1975 และ 1986 ได้พัฒนาวิธีการจัดการกับภาพซึ่งภาพสองมิติที่คลุมเครือของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้รับการวิเคราะห์และรวมเข้าด้วยกันเพื่อทำให้ได้โครงสร้างสามมิติที่คมชัด Jacques Dubochet เติมน้ำไปยังกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน น้ำระเหยในสูญญากาศของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ซึ่งทำให้ชีวโมเลกุลเสียหาย ในช่วงต้นของปี 1980 Dubochet ได้ทำให้น้ำเย็นอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้น้ำอยู่ในรูปของเหลวรอบๆ สิ่งตัวอย่างชีวโมเลกุล ทำให้ชีวโมเลกุลนั้นคงรูปตามธรรมชาติแม้อยู่ในสูญญากาศ หลังจากการค้นพบเหล่านี้ พื้นฐานของกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้รับการพัฒนาให้เหมาะสม ความละเอียดระดับอะตอมที่ต้องการทำสำเร็จในปี 2013 และปัจจุบันนักวิจัยสามารถผลิตโครงสร้างสามมิติของชีวโมเลกุลเป็นประจำ    ที่มา: Nobel Foundation (2017, October 4). Nobel Prize in Chemistry 2017: Cryo-electron microscopy. ScienceDaily. Retrieved October 24, 2017, from https://www.sciencedaily.com/releases/2017/10/171004090218.htm
นานาสาระน่ารู้