หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560–2579) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) มุ่งในการแก้ไขจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งให้เอื้อต่อการพัฒนาภาคการเกษตรในระยะยาว เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน” โดยมีแนวทางไปสู่เป้าหมาย คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ยุทธศาสตร์ที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ยุทธศาสตร์ที่ 3 เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์ที่ 4 บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
แผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) กระทรวงสาธารณสุข
ปัจจุบันระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญกับสิ่งที่ท้าทายจากรอบด้าน อาทิ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนจากสังคมชนบทสู่สังคมเมือง การเชื่อมต่อการค้าการลงทุนทั่วโลก ตลอดจนความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดยุทธศาสตร์ ที่จะพัฒนาความเป็นเลิศ 4 ด้าน คือ 1) Prevention& Promotion Excellence (ส่งเสริมสุขภาพและความป้องกันโรคเป็นเลิศ ) 2) Service Excellence (บริการ เป็นเลิศ) 3) People Excellence (บุคลากรเป็นเลิศ) 4) Governance Excellence (บริหารจัดการ เป็นเลิศ) อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
แผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจภาพรวม สำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมกรนโยบายรัฐวิสาหกิจ
เป้าหมายและทิศทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจ ปี 2560 – 2564 ยุทธศาสตร์ที่ 1 กำหนดบทบาทรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจนเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 2 เร่งการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว ยุทธศาสตร์ที่ 4 สนับสนุนการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับ Thailand 4.0 และ แผน DE ยุทธศาสตร์ที่ 5 ส่งเสริมระบบธรรมาภิบาลให้มีความโปร่งใส และมีคุณธรรม อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
พิมพ์เขียว Thailand 4.0
พิมพ์เขียว Thailand 4.0 โมเดลขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน โดย กองบริหารงานวิจัยและประกันคุณภาพการศึกษา สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม  เอกสารนำเสนอใน 7 หัวข้อเรื่องหลัก คือ โมเดลขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน ห้าวาระในการขับเคลื่อน Thailand 4.0 การปฏิรูประบบวิจัยเพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 การปรับเปลี่ยนกลไกภาครัฐเพื่อรองรับ Thailand 4.0 ระบบการบริหารจัดการขับเคลื่อน Thailand 4.0 อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
ประเทศไทย 4.0
เอกสารวิชาการ ประเทศไทย 4.0 โดย สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เอกสารนำเสนอใน 7 หัวข้อเรื่องหลัก คือ ที่มาและความหมาย โมเดลประเทศไทย 4.0 แนวคิดประเทศไทย 4.0 กลไกขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ข้อสังเกตสำหรับประเทศไทย สรุปแนวคิดเกี่ยวกับประเทศไทย 4.0 บทสรุปและข้อเสนอแนะของผู้ศึกษา อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) โดย กระทรวงอุตสาหกรรม เอกสารนำเสนอใน 3 หัวข้อเรื่องหลัก คือ แนวคิดในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ระยะ 20 ปี แผนที่นำทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย ระยะ 20 ปี อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
ระบบราชการไทยในบริบทไทยแลนด์ 4.0
ระบบราชการไทยในบริบทไทยแลนด์ 4.0 โดย สำนักวิจัยและพัฒนาระบบงานบุคคล สำนักงาน ก.พ. เอกสารนำเสนอใน 5 หัวข้อเรื่อง คือ การปฏิรูประบบราชการไทย ความท้าทายใหม่ของการพัฒนาภาครัฐใต้บริบทระบบราชการ 3.0 ไปสู่ระบบราชการ 4.0 องค์ประกอบของการก้าวไปสู่ระบบราชการ 4.0 กรอบแนวทางการปฏิรูประบบราชการเพื่อรองรับไทยแลนด์ 4.0 ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของการพัฒนาไปสู่ระบบราชการ 4.0 อ่านเอกสารฉบับเต็ม
THAILAND 4.0
 
ที่ดินของฉันปลูกอะไรดีหนอ ? what2grow จาก สวทช. มีคำตอบ
           ลองสังเกตกันไหมครับว่าสมัยก่อนเกษตรกรโดยส่วนมากมักปลูกพืชอิงราคาขายที่สูงหรืออิงการปลูกต่อเนื่องกันมายาวนานในครอบครัวแล้วก็พบว่าสินค้าการเกษตรเมื่อเก็บเกี่ยวมักได้ราคาขายต่ำกว่าที่คาดการณ์มากอันเกิดจากผลผลิตที่มีมากเกินความต้องการหรือการปลูกที่ยังขาดกลไกการแนะนำที่ดีจากข้อมูลสารสนเทศจากหน่วยงานภาครัฐและอีกมากมายหลายเหตุผลที่พี่น้องเกษตรกรยังคงต้องพบเจอ ทำให้ความทุกข์ยากยังคงเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทางของเกษตรกรไทยไปแล้ว (ทั้ง ๆ ที่เกษตรกรเราเองก็ไม่ได้อยากมีเพื่อนแบบนี้ซักเท่าไร)             แต่สำหรับเกษตรกรยุค 4.0 ไม่เหมือนก่อนแล้วนะครับ ก่อนจะปลูกอะไรก็ตามแต่ วันนี้เรามีตัวช่วยเพื่อหาคำตอบว่า "ปลูกอะไรดีหนอเพื่อที่จะได้ผลผลิตที่ดีบนพื้่นที่ของเรา" ฟังไม่ผิดครับ หาคำตอบด้วยข้อมูลบนพื้นที่ของเราจริง ๆ  เช่นภาพด้านล่างนี้จะเป็นการใช้งานส่วนของโมเดลแนะนำพืชทดแทน Agri-Map Online ที่อิงข้อมูลบนแผนที่กันเลยครับ       ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนทำได้ยากแต่ทำได้แล้วจาก โครงการบูรณาการข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านการเกษตร ในความร่วมมือของ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์และอีกหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องเช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ดังนั้นข้อมูลที่สำคัญในทุกกระทรวงจะถูกบูรณาการเพื่อนำไปใช้ได้อย่างแท้จริง  แล้วทำได้อย่างไร? คำตอบนั้นเกิดจากการบูรณาการข้อมูลเชิงพื้นที่เชิงการจัดการด้านอุปสงค์และอุปทานของสินค้าการเกษตรในแต่ละพื้นที่ บนพื้นฐานการจัดการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบ BIG DATA รวมถึงแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและวิเคราะห์โมเดลพืชทดแทนได้อีกด้วย ถ้าคุณเป็นเกษตรกรยุคใหม่หรือใส่ใจพัฒนาการเกษตร วันนี้อย่าลืมเข้าไปเยี่ยมชมโครงการนี้กันที่เว็บไซต์  https://www.what2grow.in.th และสามารถทดลองใช้ระบบดังกล่าวได้อย่างอิสระกันแล้ววันนี้ผ่านเว็บไซต์และ Smart Device ต่างๆ  เห็นไหมครับเข้าถึงได้ง่ายหลายช่องทางและสะดวกมากทีเดียว หรือถ้าคุณยังไม่เข้าใจว่า what2grow ตกลงช่วยเกษตรกรได้อย่างไร เราก็มีคลิปจาก what2grow มาให้รับชมกันสั้น ๆ ด้วยครับ ไปชมกันเลยอย่าลืมนะครับ เกษตรกรไทย ยุค 4.0 มีข้อมูลและระบบช่วยเหลือคุณอย่างบูรณาการแล้ววันนี้ ก่อนจะปลูกอะไร อย่าลืมใช้ข้อมูลสารสนเทศให้เป็นประโยชน์เพื่อให้การลงทุนของคุณคุ้มค่ามากกว่าที่เคยครับ หากคุณยังมีข้อสงสัยต่าง ๆ สามารถติดต่อทีมงานได้เลยครับ ติดต่อทีมงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ 112 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 โทรศัพท์ 02-564-6900 ต่อ 2225, 2224
นานาสาระน่ารู้
 
แบบสำรวจบทบาทของห้องสมุดในการจัดการสารสนเทศการวิจัย โดย OCLC
การจัดการสารสนเทศการวิจัย (Research Information Management-RIM) คือการรวบรวม การจัดการ และการใช้ประโยชน์ข้อมูลเมทาดาทาเกี่ยวกับกิจกรรมการวิจัย ซึ่งสามารถช่วยเชื่อมโยง landscape การสื่อสารเชิงวิชาการที่ซับซ้อนของนักวิจัย รวมถึงหน่วยงานต้นสังกัด ผลงานตีพิมพ์ ชุดข้อมูล ทุน โครงการ และรหัสประจำตัวของนักวิจัยเหล่านั้น ปัจจุบันห้องสมุดกำลังมีบทบาทสำคัญในการจัดการสารสนเทศการวิจัยในสถาบันต่างๆ ทั่วโลก OCLC Research ตระหนักถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการจัดการสารสนเทศการวิจัยต่อห้องสมุดวิจัย และกำลังดำเนินการวิจัยเพื่อทำความเข้าใจบทบาทของห้องสมุดและความต้องการของสถาบันในเรื่องการจัดการสารสนเทศการวิจัย โดย OCLC Research and euroCRIS (Current Research Information Systems) กำลังร่วมมือกันทำการสำรวจแนวทางการจัดการสารสนเทศการวิจัยในระดับนานาชาติ เป้าหมายของการสำรวจเพื่อช่วยให้เข้าใจและรายงานสถานะของกิจกรรมการจัดการสารสนเทศการวิจัยทั่วโลก และเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับ ทำไมสถาบันจึงมีการนำ (กำลังพิจารณา) การจัดการสารสนเทศการวิจัยมาใช้ อะไรคือตัวขับเคลื่อนหลัก สถาบันกำลังใช้ฟังก์ชั่นการทำงานของการจัดการสารสนเทศการวิจัยอย่างไร อะไรคือการใช้งานหลัก ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และอะไรคือบทบาทของห้องสมุด อะไรคือกระบวนการและระบบซึ่งใช้งานอยู่ กระบวนการและระบบดังกล่าวทำงานร่วมกับระบบภายในและภายนอกอย่างไร อะไรคือขอบเขตของการทำงานร่วมกัน อะไรคือความแตกต่างเกี่ยวกับตัวขับเคลื่อน การใช้ และกระบวนการการจัดการสารสนเทศการวิจัยระหว่างระดับประเทศและระหว่างประเทศ กลุ่มเป้าหมายของการสำรวจนี้ คือ มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และองค์กรอื่นๆ ที่สนับสนุนการวิจัยและการจัดการวิจัย (1 หน่วยงาน : 1 แบบสำรวจ) ตอบแบบสำรวจ คลิกที่นี่ ผลการสำรวจจะถูกเผยแพร่ในปี ค.ศ. 2018 ละข้อมูลการสำรวจจะถูกเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบให้เผยแพร่ ดัดแปลง โดยต้องระบุที่มา (CC – BY) ที่มา OCLC Research. (2017, October 10). An increasing role for libraries in research information management [Web page]. Retrieved from http://www.oclc.org/research/themes/research-collections/rim.html
นานาสาระน่ารู้
 
เอกสารจดหมายเหตุจำนวนมากของ Noam Chomsky จะถูกเผยแพร่ออนไลน์โดย MIT
สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ MIT (Massachusetts Institute of Technology) กำลังแปลงเอกสารของ ดร. โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลและจะเผยแพร่ออนไลน์ (Digitization) ดร. โนม ชอมสกี เป็นนักภาษาศาสตร์ ซึ่งได้รับการยกย่องจากการเสนอทฤษฎีทางภาษาศาสตร์ที่ชื่อเรียกว่าไวยากรณ์ปริวรรตเพิ่มพูน (Transformative-Generative Grammar) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในงานชิ้นสำคัญที่สุดของวงการภาษาศาสตร์ ดร.ชอมสกี ยังเป็นนักปรัชญาและนักกิจกรรมทางการเมือง มีผลงานเขียนที่มีอิทธิพลอย่างมากจากการไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อมวลชน ลัทธิจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ อนาธิปไตย การเมืองสงครามเย็น และสงครามเวียดนาม ปัจจุบัน ดร.ชอมสกี เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์และได้รับรางวัลศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา (University of Arizona) ปี ค.ศ. 2012 บรรณารักษ์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์เริ่มต้นศึกษาเอกสารของ ดร.ชอมสกี หลังจากที่หอจดหมายเหตุของสถาบันฯ (MIT Libraries Institute Archives) ได้รับเอกสารส่วนตัวของ ดร.ชอมสกี จำนวน 260 กล่อง ตัวอย่างเอกสารจดหมายเหตุของ ดร.ชอมสกี เช่น บทความเรื่อง Systems of Syntactic Analysis ในปี ค.ศ.1953 ซึ่งนำไปสู่การตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญคือทฤษฎี Transformative-Generative Grammar  บันทึกจากการบรรยายเรื่อง Manufacturing Consent ในปี ค.ศ. 1984 ที่มหาวิทยาลัยรัทเจอส์ (Rutgers University) เอกสารโครงร่างแนวคิดที่ภายหลังถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อเรื่อง The Political Economy of the Mass Media ในปี ค.ศ. 1988 จดหมายข่าวที่เผยแพร่โดย RESIST องค์กรต่อต้านสงครามที่ชอมสกีร่วมก่อตั้งในช่วงปี ค.ศ. 1967 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หวังที่จะดิจิไทซ์เอกสารของ ดร.ชอมสกี กว่าแสนรายการเพื่อเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ให้ผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าถึง คลิกที่นี่เพื่อเข้าดูตัวอย่าง unBoxing the Chomsky Archive ที่มาJones, J. (2017, November 3). MIT is digitizing a huge archive of Noam Chomsky’s lectures, papers and other documents & will put them online [Web log post]. Retrieved from http://www.openculture.com/2017/11/mit-is-digitizing-a-huge-archive-of-noam-chomskys-lectures.html
นานาสาระน่ารู้
 
ศาลสั่งเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตขวาง Sci-Hub
American Chemical Society (ACS) ชนะคดีที่ยื่นฟ้อง Sci-Hub เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2017 Sci-Hub คือเว็บไซต์ที่รวบรวมบทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์จำนวนหลายล้านฉบับจากการละเมิดลิขสิทธิ์และให้บริการบทความดังกล่าวแก่ผู้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย ACS ได้ยื่นฟ้อง Sci-Hub ด้วยข้อกล่าวหาการละเมิดลิขสิทธิ์ การปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า และการละเมิดเครื่องหมายการค้า ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลในรัฐเวอร์จิเนียตัดสินให้ Sci-Hub จ่ายเงินชดเชยแก่ ACS จำนวน 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากที่ตัวแทนของ Sci-Hub ไม่ได้เข้าร่วมศาล คำพิพากษาของศาลล่าสุดยังกล่าวว่าเสิร์ชเอนจิน (Search engine) เว็บโฮสติ้ง (Web hosting) ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการรับจดโดเมนเนม (Domain name registrar) และผู้ใช้บริการจดโดเมนเนม (Domain name registry) หยุดการสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกแก่ทุกโดเมนเนมและเว็บไซต์ที่ Sci-Hub มีส่วนในการเข้าถึง การใช้ การทำซ้ำ และการแจกจ่ายงานอันมีเครื่องหมายการค้าหรืองานอันมีลิขสิทธิ์ของ ACS อย่างผิดกฎหมาย Daniel Himmelstein นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย แสดงความคิดเห็นว่า กรณีที่เกิดขึ้นนี้สามารถนำคำพิพากษาของศาลมาเป็นมาตรฐานในการตัดสินคดีต่อๆ ไป สำหรับบุคคลที่สามบนอินเทอร์เน็ตซึ่งจะต้องถูกบังคับใช้คำสั่งการเซ็นเซอร์ของรัฐบาล ความต้องการของ ACS เกี่ยวกับเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสร้างความวิตกกังวลแก่สมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร (Computer and Communications Industry Association - CCIA) Stephen McLaughlin นักศึกษาปริญญาเอกด้านสารสนเทศศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ออสติน ผู้ติดตามคดี ACS อย่างใกล้ชิดกล่าวว่า ในหลักการแล้วเสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสามารถเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งได้ทันที แต่หากไม่ปฏิบัติตาม ACS ก็สามารถออกจดหมายเพื่อขอให้เสิร์ชเอนจินและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหยุดการทำงานของโดเมนต่างๆ ของ Sci-Hub เมื่อต้นปีนี้ Sci-Hub ถูกศาลสั่งให้จ่ายเงินจำนวน 1.5  ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นค่าเสียหายแก่สำนักพิมพ์ Elsevier แต่ดูเหมือนว่า Alexandra Elbakyan นักประสาทวิทยาผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Sci-Hub จะจ่ายค่าเสียหายเพียงบางส่วน เพราะ Elbakyan ดำเนินงานเว็บไซต์ในรัสเซียซึ่งอยู่นอกเขตอำนาจหรือคำสั่งศาล ศาลอื่นของสหรัฐฯ ตัดสินในปี 2015 ว่า Sci-Hub ละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์และควรจะปิดตัวลง แต่เว็บไซต์ก็ยังโผล่ขึ้นมาอีกครั้งด้วยการใช้โดเมนอื่นๆ การวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อเร็วๆ นี้ของ Himmelstein แสดงให้เห็นว่า Sci-Hub มีเนื้อหาทางวิชาการของ ACS 98.8% และเนื้อหาในวารสารที่บริการโดย Crossref 85% การเคลื่อนไหวอย่างมีเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตจะให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องนี้ ที่มาChawla, D. S. (2017, November 6). Court demands that search engines and internet service providers block Sci-Hub [Web log post]. Retrieved from http://www.sciencemag.org/news/2017/11/court-demands-search-engines-and-internet-service-providers-block-sci-hub?utm_source=sciencemagazine&utm_medium=facebook-text&utm_campaign=scihubblock-16248
นานาสาระน่ารู้
 
25 อันดับแรกเมืองไฮเทคที่สุดในโลก
Business Insider ให้บริษัท 2thinknow จัดอันดับเมืองไฮเทคที่สุดในโลก บริษัทดังกล่าวได้พิจารณา 10 ปัจจัยที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น จำนวนการยื่นสิทธิบัตรต่อคน startups นักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง การใช้สมาร์ทโฟน และจัดอันดับ 85 เมือง ได้ 25 อันดับแรกเมืองไฮเทคที่สุดในโลก ดังข้างล่าง 1. ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียเป็นที่ตั้งของ Silicon Valley ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทคโนโลยีทั้งหมด มีวัฒนธรรม startup ที่ใหญ่โต มีการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง มีจำนวนมากของนักออกแบบและนักเขียนโปรแกรม มีสายการจัดหาของนวัตกรรม 2. นิวยอร์กเป็นเมืองไฮเทคมากที่มีลักษณะพิเศษคือ มีโครงสร้างพื้นฐานล้าสมัยมาก แต่ในขณะเดียวกันมีความก้าวหน้ามาก ตามสำนักงานตรวจการเงินการบัญชีของรัฐ เกือบ 7,000 บริษัทไฮเทคในเมืองนิวยอร์กมีงานมากกว่า 100,000 งาน ระหว่างไตรมาสที่ 3 ของปี 2013 นอกจากตั้งบริษัทใหม่ ยังเป็นเมืองที่มีโครงการ LinkNYC (บริการ Wifi ฟรี) มีมากกว่า 500 จุด รอบๆ แมนแฮตตัน มีให้ใช้แบบสาธารณะ 3. ลอนดอน ประเทศอังกฤษตั้งแต่มีโครงการ Crossrail เมื่อปีที่แล้ว ลอนดอนกลายเป็นเมืองความฝันของการขนส่งมวลชน ประมาณปี 2018 จะมี 10 เส้นทางรถไฟใหม่เชื่อม 30 สถานี ด้วยใช้เงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จึงเป็นโครงการการก่อสร้างใหญ่ที่สุดในยุโรป 2thinknow พบว่า ลอนดอนมี startup และนักเขียนโปรแกรมเกือบจะมากที่สุดในโลก โดยอาจมีงานด้าน IT มากกว่าแคลิฟอร์เนีย และจะมี 11,000 งานด้านเทคโนโลยีใหม่เพิ่มขึ้นใน 10 ปีข้างหน้า 4. ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียภาพยนตร์ไม่ใช่อุตสาหกรรมเดียวของเมือง ในปี 2014 รายงานโดย LA County Economic Development Corporation แนะนำว่า เป็นเมืองมีงานด้านไฮเทคมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังพบว่ามีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 58 พันล้านดอลลาร์ ผลการวิเคราะห์ของ 2thinknow พบเหมือนกัน คือ startups และการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงมีส่วนสำคัญในความเจริญของเทคโนโลยี 5. โซล เกาหลีใต้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งอนาคต ใช้นวัตกรรมในงานออกแบบ เหมือนกับที่ระบบรถไฟใต้ดินอาจจะเหนือกว่าของนิวยอร์ก ตาม 2thinknow โดยประมาณเป็นเมืองยื่นสิทธิบัตรมากที่สุดในโลก มีการพัฒนาเทคโนโลยีพบได้ทั่วไปแล้ว เช่น LTE ที่ใช้กับสมาร์ทโฟน และรวมถึงเทคโนโลยียังอยู่ในระยะเริ่มต้น เช่น ร้านค้าเสมือน (virtual stores) ที่ซึ่งคุณสแกนภาพสิ่งของเพื่อส่งต่อ 6. ไทเป ประเทศไต้หวันจากการวิเคราะห์ของ 2thinknow ไทเปเป็นผู้นำชัดเจนในการออกแบบอุตสาหกรรมเป็นเวลาหลายปี สนใจมากในการศึกษาฮาร์ดแวร์อย่างละเอียด เป็นที่ตั้งของบางบริษัท PC ใหญ่ที่สุด ได้แก่ Asus MSI Gigabyte และ Acer ตาม 2thinknow ยังเป็นเมืองมีจำนวนมากของนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง 7. บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์มีเทคโนโลยีน่าตื่นเต้นจำนวนมากเกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมาจากมหาวิทยาลัยเชี่ยวชาญด้าน STEM ได้แก่ MIT Harvard Tufts และ Northeastern ส่วนใหญ่ในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพและหุ่นยนต์ มีบริษัทลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงอยู่จำนวนหนึ่ง ได้แก่ Battery Ventures  Atlas Venture  Bessemer Venture Partners  Matrix Venture Partners ซึ่งลงทุนในห้องปฏิบัติการนวัตกรรมและ university startups และเป็นที่ตั้งของสำนักงานด้านวิจัยและพัฒนาของบริษัทที่มีชื่อเสียงมากเช่น Facebook และ Amazon 8. สิงคโปร์มีจำนวนมากของนักเขียนโปรแกรมและนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง มีโครงสร้างพื้นฐานใหม่และอาคารสูงไฮเทคเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร่วมมือกับ MIT สร้างการขนส่งที่ดีขึ้น โดยใช้รถส่วนตัวน้อยลงและใช้รถไฟสาธารณะมากขึ้น 9. โทรอนโต ประเทศแคนาดามี startup และโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรมจำนวนมาก เป็นที่ตั้งของ 30% ของบริษัท IT ของแคนาดา ซึ่งส่วนใหญ่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน หมายความว่ากลุ่มของบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นจะมีผลกระทบหลักในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยสรุปหลายบริษัทมีรายได้ต่อปีประมาณ 52 พันล้านดอลลาร์ 10. ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าอิลลินอยส์มีงานไฮเทคจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของสหรัฐ ในการนี้ชิคาโกมีส่วนอย่างมาก สถาบัน Brookings ยังพบเป็นเมืองแหล่งเพาะของนวัตกรรมวางแผนเมือง เห็นได้ชัดในโครงการ City Digital เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งพลังงานและการขนส่ง 11. ดัลลาส-ฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเทกซัสเพียงในสองปีที่ผ่านมา กลายเป็นเมืองศูนย์กลาง startup จากการวิเคราะห์ของ 2thinknow เลื่อนจากอันดับที่ 28 ในปี 2016 เป็นเพียงนอก 10 อันดับแรกเล็กน้อยเพราะการเพิ่มขึ้นอย่างเร็วจำนวนของนักลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงและการนำเทคโนโลยีไปใช้ในภูมิประเทศของเมือง 12. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการขนส่ง อย่างเช่น ระบบรถไฟใต้ดินของโตเกียวซึ่งมีคนใช้ถึง 2.3 พันล้านคนทุกปี เป็นเมืองเด่นมากในการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง และมีโครงการใหญ่ทางเทคโนโลยีจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เตรียมสำหรับโอลิมปิกเกมส์ปี 2020 13. สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนด้วยพันธกิจที่จะปราศจากเงินสด (cash-free) และน้ำมัน (oil-free) ภายใน 5 ปีข้างหน้า สตอกโฮล์มกำลังทำการปฏิวัติทางดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เมืองมี billion-dollar startup มากที่สุดในยุโรปและตลาดสำหรับการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงที่เจริญเร็วเป็นอันดับสองของโลก นอกจากนี้กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นของนักเขียนโปรแกรม 14. แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาในปี 2014 ได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley North จาก CBC เพราะมีวัฒนธรรม startup เด่น มีมากกว่า 600 บริษัทสื่อดิจิทัลซึ่งมีรายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ และมีมหาวิทยาลัยทางเทคโนโลยีและอัตราภาษีเกี่ยวกับบริษัทต่ำทำให้เป็นเมืองดึงดูดทั้งวิศวกรหน้าใหม่และผู้บริหารที่เป็นที่ยอมรับ 15. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยเทคโนโลยีทางการเงิน ประสิทธิภาพด้านพลังงาน และวัฒนธรรม startup ทำให้เป็นเมืองมหาอำนาจในยุโรป ถึงแม้มีขนาดเล็กกว่าเมืองอื่นๆ มาก (มีประชากรเพียงหนึ่งในสามของเบอร์ลิน) ในเดือนเมษายนผู้ร่างกฎหมายประกาศว่าต้องการไม่ให้ใช้รถยนต์ประเภทก๊าซและดีเซลประมาณปี 2025 โดยให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน 16. ปักกิ่ง ประเทศจีนถึงแม้ไม่มีวัฒนธรรม startup เหมือนเมืองอื่นๆ แต่มีชื่อเสียงในเรื่องของการใช้สมาร์ทโฟนทั่วเมืองและจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นต่อคน นอกจากนี้การลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา ปักกิ่งเลื่อนขึ้น 15 อันดับตั้งแต่การจัดอันดับในปี 2016 17. เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนใกล้กันเป็น Zhangjiang Hi-Tech Park มีคนทำงานมากกว่า 100,000 คนจากบริษัททางเทคโนโลยีหลายพัน  เหมือนเมืองไฮเทคของจีนส่วนใหญ่ เป็นเมืองเด่นในเรื่องสิทธิบัตรและการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยง อาจเป็นเพราะการผลิตเป็นจุดเด่นของจีนและบริษัทกระตือรือร้นจะป้องกันและลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญา 18. มอนทรีออล ประเทศแคนาดาถ้าต้องการจะเป็นนักออกแบบอุตสาหกรรมหรือนักเขียนโปรแกรม ควรจะย้ายไปอยู่มอนทรีออล เป็นที่ตั้งของ Vrvana ผู้ผลิตหูฟัง VR และบริษัท Hexoskin และ OMSignal ทั้งสองผลิตเสื้อวัดสัญญาณทางชีวภาพของผู้สวมใส่ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองมีวัฒนธรรม startup ที่ค่อนข้างเด่น  19. บังกาลอร์ ประเทศอินเดียเลื่อนจากอันดับที่ 49 ในปี 2016 เป็น 19 ในปีนี้ ทำให้เป็นเมืองที่เลื่อนอันดับขึ้นมากที่สุด เนื่องจากการไหลทะลักเข้ามาของบริษัท IT และมีนักเขียนโปรแกรมจำนวนมาก ครึ่งหนึ่งของประชากรเป็นคนอายุน้อยกว่า 25 และส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่ส่วนเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต 20. เซินเจิ้น ประเทศจีนสิทธิบัตรกำลังถูกผลิตออกไปจากเซินเจิ้นซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของจีนมีประชากร 11 ล้านคน เนื่องจากเด่นในเรื่องการผลิตของประเทศ เป็นเมืองเจริญอย่างชัดเจนเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมาโดยเป็นศูนย์กลางของโรงงานและวิทยาการหุ่นยนต์ และเป็นที่ตั้งของโครงการโทรคมนาคมและอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่หลายโครงการ 21. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมันมีวัฒนธรรม startup เด่นและบางครั้งมีอัตราสูงสุดของการลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงในยุโรป ยังเป็นเมืองมีอุตสาหกรรมรถยนต์มากในยุโรป เป็นเพียงเมืองเดียวในโลกเป็นที่ตั้งของ brand รถยนต์สำคัญทั้งหมด 22. ฮ่องกง มีความก้าวหน้าในหลายด้าน มีการลงทุนในงานวิจัยและการพัฒนาจำนวนมากและนวัตกรรมทั่วไปในเมือง บางครั้งมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุดในจีน มีการส่งออกสินค้าไฮเทคทั้งหมด 243 พันล้านดอลลาร์ หรือ 51% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด 23. โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กมีการวางแผนเมืองด้วยนวัตกรรมและมีนักออกแบบอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทำให้ 2thinknow ให้ชื่อว่าเป็นเมืองมีการผลิตที่ smart ประมาณปี 2025  มีการวางแผนจะไม่ใช้เชื้อเพลิง fossil แต่ใช้พลังงานลม ด้วยวัฒนธรรมใช้รถจักรยานและมีบริษัทรถโดยสารทำให้เป็นเมืองไม่เพียงสีเขียวแต่ยังสวย 24. บาร์เซโลน่า ประเทศสเปนติด 25 อันดับแรกเป็นครั้งแรกตั้งแต่การจัดอันดับเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของนักออกแบบอุตสาหกรรมและมีการใช้สมาร์ทโฟนชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานของสมาร์ทโฟนซับซ้อนมาก โดยคอมพิวเตอร์ใช้อยู่ทั่วเมืองใช้เพื่อตรวจจับระดับเสียง รูปแบบการจราจร และจำนวน selfies 25. วอชิงตัน ดีซีมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีใน 10 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มขึ้นจำนวนทั้งหมดของงานด้านเทคโนโลยีที่ 50% นอกจากนี้มีมากกว่า 1,000 startups มีจำนวนมากของบริษัทลงทุนในกิจการที่มีความเสี่ยงทำให้เริ่มมี world-changing company เป็นภาพที่ดึงดูดของเมือง ที่มา: Chris Weller (2017, August 16). These are the 25 most high-tech cities in the world. World Economic Forum. Retrieved November 3, 2017, from https://www.weforum.org/agenda/2017/08/these-are-the-25-most-high-tech-cities-in-the-world?
นานาสาระน่ารู้