ผลการค้นหา :
“Size Thailand”สร้างมาตรฐานรูปร่างคนไทย
"Size Thailand"สร้างมาตรฐานรูปร่างคนไทย
บ่อยครั้งที่เราไปซื้อเสื้อผ้าแล้วพบว่า ในแต่ละยี่ห้อ ทั้งที่ผลิตในประเทศไทยและต่างประเทศ ขนาดที่กำหนดมักจะไม่ตรงกัน สร้างความสับสนและทำให้ขาดความแม่นยำในการเลือกซื้อให้เหมาะสมกับรูปร่างของผู้ใช้งาน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จึงพัฒนาโครงการ"Size Thailand" ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2549 เพื่อสำรวจและวิจัยมาตรฐานขนาดรูปร่างของคนไทย ซึ่งมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวติ้ง เพื่อสร้างและจัดเก็บข้อมูลรูปร่างประชากรของประเทศ จากการสำรวจวัดเรือนร่างประชากรกลุ่มตัวอย่างด้วยเทคโนโลยี 3D Body Scanning ที่ทันสมัย
โดยเครื่อง 3D Body Scanner ทำงานโดยการฉายริ้วแสงสีขาว (Light stripe) ไปที่ร่างกายผู้รับการสแกน โดยมีเซนเซอร์ 12 ตัว เป็นตัวจัดเก็บข้อมูลรูปร่าง และส่งผลไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลภาพที่ได้ สร้างเป็นโครงร่างจุดสำคัญต่าง ๆ และเชื่อมโยงจุดทั้งหมดเข้าด้วยกันจนเห็นเป็นพื้นผิวแบบ 3 มิติ
จากนั้นซอฟต์แวร์จะกำหนด Landmark บนร่างกาย และวัดสัดส่วนของร่างกายโดยอัตโนมัติ ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วกว่าการวัดด้วยมือเหมือนที่เคยทำมา หลังจากที่สแกนด้วยเครื่อง มีการนำข้อมูลที่ได้จากการสแกนมาร่วมกับเทคโนโลยีการประมวลผลที่เรียกว่า "Swarm intelligence" ได้เป็นตารางมาตรฐาน "SizeThai"
โครงการ Size Thailand นี้ นับเป็นครั้งแรกที่เนคเทค สวทช. ได้ร่วมมือกับพันธมิตร เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ โรงพยาบาลรามาธิบดี สมาคมช่างตัดเสื้อไทย สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์การอบรมแพทเทิร์น อุตสาหกรรมแพทเทิร์น ไอที ไทยวโก้ โตโยต้า เทสโก้ โลตัส และธนูลักษณ์ พัฒนาขนาดรูปร่างต่าง ๆ (Size chart) ที่เป็นมาตรฐานสำหรับรูปร่างของคนไทยโดยเฉพาะ
ทั้งนี้มาตรฐานสำหรับรูปร่างของคนไทยซึ่งได้จากการทำการสำรวจวัดเรือนร่างกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 13,442 คนทั่วประเทศพร้อมวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่า มาตรฐานไซส์ของผู้ชายมี 9 ไซส์ ได้แก่ ไซส์ 32, 34, 36 , 38, 40, 42, 44, 46 และ 48 โดยกำหนดจากรอบอกและรอบเอว ส่วนมาตรฐานไซส์ของผู้หญิงมี 10 ไซส์ ได้แก่ ไซส์ 8, 30, 32, 34, 36, 38, 40, 42, 44 และ 46 โดยกำหนดจากรอบอก รอบเอว และรอบสะโพก
ขนาดมาตรฐานรูปร่างของคนไทยที่ได้นี้มีการนำไปเผยแพร่สู่สาธารณชนผ่านทางเว็บไซต์ www.sizethailand.org ซึ่งประชาชนทั่วไป นอกจากจะได้ประโยชน์เป็นฐานข้อมูลเชิงสุขภาพที่สามารถเปรียบเทียบขนาดรูปร่างของตนเองกับข้อมูลคนไทยทั้งประเทศพร้อมวิเคราะห์สุขภาพแล้ว ภาคธุรกิจรวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำไปต่อยอดได้ ทั้งด้านอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอ ผู้ผลิตเสื้อผ้าสามารถออกแบบและกำหนดไซส์ของเสื้อผ้า เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดรูปร่างของลูกค้าแต่ละกลุ่มการใช้เทคโนโลยี 3D Body Scanning จะช่วยให้นักออกแบบเสื้อผ้าประหยัดเวลาและงบประมาณในการสำรวจ และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องนุ่งห่มของไทย
อุตสาหกรรมยานยนต์สามารถกำหนดตัวแปรสำหรับการออกแบบเพื่อเพิ่มความพอดีและสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่รถยนต์ เช่น เบาะรองนั่ง สำหรับด้านการยศาสตร์ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการจัดวางรูปแบบของที่ทำงานและออกแบบอุปกรณ์สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันจากองค์ความรู้ที่ได้รับจากการวิจัยมีการต่อยอดพัฒนาเป็นโครงการต่าง ๆ อีกจำนวนมาก เช่น ระบบติดตามสุขภาพและสรีระ (SizeThailand e Health) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างคลังข้อมูลสุขภาพของพนักงานในองค์กรต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดูแลสุขภาพพนักงาน โดยระบบสามารถค้นหาและคัดเลือกผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างคนไข้กับแพทย์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งผู้รับการตรวจและแพทย์ผู้ให้คำปรึกษา นอกจากนี้ระบบยังสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับเครื่อง 3D Body Scanner และเครื่องวัดองค์ประกอบในร่างกายได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้เข้ารับการตรวจได้ตระหนักถึงรูปร่างที่แท้จริง และสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและสุขภาพได้ทันที
นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ค่าเฉลี่ยรูปร่างของจุดวัดหลัก 30 ตำแหน่งในแต่ละไซส์ เพื่อผลักดันให้ข้อมูลขนาดรูปร่างหรือไซส์ไทยสามารถนำไปใช้ออกแบบแพทเทิร์นเสื้อผ้าได้จริง ซึ่งได้มีการนำร่องสร้างหุ่น SizeThailand Mannequinsเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลองเสื้อผ้าบนหุ่นที่ผลิตตามไซส์ไทย และยังมีความร่วมมือกับบริษัทเอพีพี มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในการทดสอบการสวมใส่เสื้อผ้าแบบสามมิติก่อนตัดจริงอีกด้วย
เทคโนโลยี 3D Body Scanning ที่ใช้ในการสำรวจจัดทำมาตรฐานรูปร่างคนไทยนี้ ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทัดเทียมกับเทคโนโลยีที่ใช้ในประเทศชั้นนำต่าง ๆ โดยประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ใช้ผลจากการสำรวจด้วยเทคโนโลยี 3D Body Scanningเพื่อกำหนดไซส์มาตรฐานของประเทศได้สำเร็จ
ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
เซนเซอร์-ไอโอทีเทคโนโลยีตัวเร่ง “สมาร์ตฟาร์มเมอร์”
เซนเซอร์-ไอโอทีเทคโนโลยีตัวเร่ง “สมาร์ตฟาร์มเมอร์”
เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาด้านการเกษตรของไทยตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ก็คือ การยกระดับเกษตรกร “สมาร์ตฟาร์มเมอร์” ที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการทำเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่ “การเกษตรสมัยใหม่” หรือ “Smart farm” ที่เน้นการบริหารจัดการและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและยกระดับมาตรฐานเกษตรกรรมไทย
ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตรของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ปัจจุบันมีการหลอมรวมหลากหลายเทคโนโลยีจากความเชี่ยวชาญของศูนย์แห่งชาติฯ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพตลอดจนสร้างรายได้ ทำให้เกษตรกรไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่จะทำให้เกษตรกรไทยสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ “สมาร์ตฟาร์มเมอร์” ได้อย่างรวดเร็วก็คือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการระบบการผลิตการเกษตรรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ช่วยลดข้อจำกัดในภาคการเกษตร ทั้งในเรื่องแรงงานคน พื้นที่ และความต้องการของตลาด
ทั้งนี้ สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนด้านการเกษตรสมัยใหม่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมุ่งเน้นทำให้เกิดการวางแผนจัดการการผลิตที่ดี ทั้งปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาด และการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะมีทั้งแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงข้อมูลสภาพแวดล้อมทางด้านการเกษตร ระบบควบคุมการเกษตรแม่นยำ ระบบตรวจสอบสภาพของพืชและสภาพแวดล้อม และระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ที่มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เข้ามาช่วย
ที่ผ่านมาเนคเทค สวทช. ได้มีการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น อย่างเช่น สถานีวัดอากาศ อุปกรณ์สำหรับผลิตภัณฑ์ระบบควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กล่องควบคุมวาล์วให้น้ำ และโซลาร์ปั้มอินเวอร์เตอร์มาประกอบรวมเป็นต้นแบบนวัตกรรมพร้อมใช้ให้กับเกษตรกร ที่เรียกว่า “NECTEC FAARM series หรือฟาร์มเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมด้านการเกษตร” ปัจจุบันมีการต่อยอดไปสู่ระบบเกษตรอัจฉริยะต่าง ๆ ที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรผู้ใช้งานจริงในพื้นที่
เช่น “HandySense” (แฮนดี้เซนส์) ระบบเกษตรแม่นยำที่นำเทคโนโลยีเซนเซอร์ (Sensor) ผนวกเข้ากับอุปกรณ์ไอโอที (Internet of Things: IoT)พัฒนาเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชผล ตั้งแต่การปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำให้ปุ๋ย ป้องกันแมลง รวมทั้งควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณแสง
โดยระบบจะเก็บบันทึกผลสภาวะแวดล้อม สามารถควบคุมและสั่งการอุปกรณ์ให้ทำงานอัตโนมัติได้ผ่านแอปพลิเคชันทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์พีซีผู้ใช้งานหรือเกษตรกรสามารถเรียกดูข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการบริหารจัดการ ช่วยการตัดสินใจในกระบวนการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าสามารถเพิ่มคุณภาพและปริมาณของผลผลิตในกระบวนการเพาะปลูกพืชโดยเฉลี่ย 20% ของผลผลิตที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ยังใช้แรงงานโดยเฉลี่ยลดลง 52%
ระบบนี้มีการนำไปใช้งานในพื้นที่ปลูกผักปลอดภัยสูงและฟาร์มสมายเมล่อนจังหวัดฉะเชิงเทรา และขยายผลสู่เกษตรกรในพื้นที่โครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
ขณะที่ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา “Aqua Grow” (อะควาโกรว์) ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะที่ช่วยเกษตรกรติดตามดูแลคุณภาพน้ำในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ โดยใช้ 3 เทคโนโลยีหลัก คือ ระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ำ อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมี และอุปกรณ์ตรวจวัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
มีการบันทึกและรวบรวมข้อมูลทั้ง 3 ด้านแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายไอโอทีระบบสามารถนำข้อมูลที่บันทึกมาวิเคราะห์เพื่อแจ้งเตือน พร้อมทั้งให้คำแนะนำการปรับสภาพบ่อเลี้ยงในเบื้องต้นให้แก่ผู้ใช้เมื่อบ่อเลี้ยงอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงขณะเดียวกันผู้ใช้หรือเจ้าของฟาร์มสามารถติดตามข้อมูล บริหาร และจัดการฟาร์มได้อย่างสะดวกรวดเร็วแบบทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ตโฟน
ด้วยการยกระดับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างต่อเนื่องเนคเทค สวทช. ได้ดำเนินงานโครงการระบบและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับสัตว์น้ำ และขยายผลสู่ “โครงการยกระดับผู้ประกอบการสัตว์น้ำด้วยระบบติดตามแจ้งเตือนสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งทางกายภาพ เคมีและชีวภาพด้วยเทคโนโลยี IoT ในพื้นที่ภาคตะวันออก (Aqua-IoT ภาคตะวันออก)” ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยในการเฝ้าระวัง ส่งเสริมศักยภาพในการผลิตสัตว์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที และสามารถวางแผนป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะต่าง ๆ ในบ่อเลี้ยงได้ โดยเฉพาะในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล และปลากะพง สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างยั่งยืน
ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
ซอฟต์แวร์ภาษาลดช่องว่างของการสื่อสารข้ามพรมแดน
ซอฟต์แวร์ภาษาลดช่องว่างของการสื่อสารข้ามพรมแดน
การพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านภาษาถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการติดต่อสื่อสาร เพราะนอกจากจะเป็นตัวกลางที่แสดงให้เห็นว่าการสื่อสารโดยเฉพาะกับต่างประเทศประสบความสำเร็จหรือไม่แล้วยังสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ทุกคน เนื่องจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ภาษาในรูปแบบต่าง ๆ จะช่วยให้บุคคลที่มีความบกพร่องทางด้านการสื่อสารสามารถที่จะสื่อสารกับบุคคลอื่น ๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งความรู้ แหล่งข้อมูลที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
เช่นเดียวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านภาษาของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ริเริ่มวิจัยและพัฒนาการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) เป็นรายแรก ๆ ในประเทศไทย
โดยการประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ NLP นี้ เป็นวิทยาการแขนงหนึ่งของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและตีความการใช้งานภาษาปกติที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสารได้
ในยุคแรก ๆ เนคเทค สวทช. ได้ร่วมมือกับภาคีทั้งภายในและภายนอกประเทศ จัดตั้งโครงการแปลภาษาด้วยคอมพิวเตอร์ขึ้น โครงการนี้ได้พัฒนาไปเป็นห้องปฏิบัติการวิจัยภาษาและวิทยาการความรู้ (Linguistics and Knowledge Science Laboratory: LINKS) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยภายในเนคเทค สวทช.
การสร้างองค์ความรู้และพัฒนาระบบที่ใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างนวัตกรรมด้านภาษาต่าง ๆ ( ทั้งซอฟต์แวร์แปลภาษา ระบบพจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มีระบบตัดคำ ฟอนต์ภาษาไทยและการตรวจคำผิด และขยายไปสู่ซอฟต์แวร์ ที่ใช้สำหรับการสืบค้นต่าง ๆ ทั้งพจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานในปี พ.ศ. 2536 ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทวันไทย คอมพิวเตอร์ จำกัด และบริษัทถาวรคอมพิวเตอร์ จำกัด ได้นำไปใช้ในภาคธุรกิจได้สำเร็จ รวมไปถึงระบบแปลภาษาบนเว็บไซต์สุภาษิตดอทคอม และโปรแกรมพจนานุกรมเล็กซิตรอน (LEXITRON) ผลงานในปี พ.ศ. 2538 ทั้งยังมีการพัฒนาการวิจัยไปสู่ระบบสืบค้นข้อมูล OCR (Optical Character Recognition) และ Speech (Speech recognition) อีกด้วย
ทั้งนี้ผลงานเด่นทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ภาษาของเนคเทค สวทช. ที่เป็นที่รู้จักกันดีจนถึงปัจจุบันก็คือ ภาษิต (PARSIT) วาจา (VAJA) และพาที (PARTY) ที่สามารถรองรับการสื่อสารของบุคคลในทุกกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การสื่อสารสามารถเข้าถึงบุคคลในทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย
โดย ภาษิต (PARSIT) เป็นชอฟต์แวร์แปลภาษาที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. กับบริษัทเอ็นอีซี ประเทศญี่ปุ่น ให้บริการแปลภาษาจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถกำหนดให้แปลได้ทั้งข้อความสั้น ๆ และข้อความของเว็บเพจทั่วไปที่เป็นภาษาอังกฤษ
ภาษิตทำงานโดยมีโปรแกรมทำการแยกข้อความออกจากรูปแบบของเว็บเพจ แล้วส่งเพียงข้อความอย่างเดียวไปแปล โดยอาศัยกฎทางไวยากรณ์และพจนานุกรมจากนั้นภาษิตจะนำข้อความที่แปลได้รวมเข้ากับรูปแบบของเว็บที่แยกไว้ตอนต้นแล้วส่งกลับไปแสดงผล
ผลที่ได้คือ ผู้ใช้จะสามารถเรียกดูเว็บเพจต่าง ๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ โดยมีการแสดงผลเป็นภาษาไทยทั้งหมด และยังคงรูปแบบของต้นฉบับไว้ทุกประการปัจจุบันเนคเทค สวทช. ยังได้พัฒนาซอฟต์แวร์ภาษิตเพื่อรองรับการแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทยอีกด้วย
สำหรับ วาจา (VAJA) เป็นซอฟต์แวร์สังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทย ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการติดต่อสื่อสาร โดยพัฒนาจากเทคโนโลยีสร้างเสียงพูดจากข้อความ (Text-to-Speech synthesis: TTS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะเป็นเครื่องมือช่วยประชาสัมพันธ์ข่วสารได้ในทุกพื้นที่ สามารถสื่อสารเข้าถึงได้ทั้งกรณีเฉพาะบุคคล หรือการประกาศแบบวงกว้างในที่สาธารณะ โดยให้ระบบคอมพิวเตอร์สร้างเสียงคำพูดเพื่ออ่านข้อความตามที่กำหนดแบบอัตโนมัติ เพื่อตอบสนองผู้รับสารหรือลูกค้าแบบทันทีทันใด ปรับเปลี่ยนได้ทันต่อเหตุการณ์ และเหมาะสมตามสถานการณ์ซึ่งมีจุดเด่นที่เหนือกว่าการใช้เสียงที่บันทึกไว้ล่วงหน้าซอฟต์แวร์วาจานี้ได้มีการวิจัย พัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกระบวนการสร้างเสียงพูดที่ใช้งานอยู่ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนประมวลผล์ข้อความที่เส้นอการใช้งานหน่วยย่อยพื้นฐานของการอ่านมาช่วยในการตัดแบ่งเพื่อสร้างเสียงอ่านให้ถูกต้อง ที่เรียกว่า พยางค์เสมือน (Pseudo sylable) ในส่วนของการแปลงข้อความเป็นสัญรูปหน่วยเสียง ได้วิจัยและนำเสนอแนวทางใหม่โดยอาศัยเทคนิคการรู้จำสายอักษรและคาดเดาสายสัญรูปเสียง (Sequence-to sequence) ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการใช้งานซอฟต์แวร์วาจา สามารถนำมาใช้ในการนำทางการขับรถด้วยเสียง (Voice navigation) อ่านชื่อของผู้โทรศัพท์เข้ามา รวมถึงข้อความ SMS หรืออ่าน E-book โดยใช้เป็นเสียงของผู้ช่วยเสมือนจริง รวมถึงใช้เป็นเสียงอ่านหน้าจอสำหรับผู้พิการทางสายตาจุดเด่นของซอฟต์แวร์วาจาคือช่วยปรับการออกเสียงของคำได้ตามต้องการสามารถตั้งภาษาที่อยากให้ออกเสียงได้ ปรับความดังของเสียงพูดได้ และสามารถสังเคราะห์เสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการอัปเดตเพื่อปรับคุณภาพเสียงและการออกเสียงอย่างสม่ำเสมอ รองรับข้อความทั้งภาษาไทยและอังกฤษด้วยการติดตั้งเพียงครั้งเดียว ติดตั้งง่ายโดยระบบอัตโนมัติ ปัจจุบันซอฟต์แวร์ VAJA เวอร์ชัน 8.0มีความสามารถในการสร้างเสียงใหม่ได้อีกด้วย
ส่วน พาที (PARTY) ระบบรู้จำเสียงพูดภาษาไทย เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ หรือการรู้จำเสียงพูด ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เป็นที่น่าสนใจ และมีการนำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารกับสมาร์ตโฟน รวมถึงการถอดความเสียงพูดในโปรแกรมประยุกต์อื่น ๆแม้ในประเทศไทยจะมีงานวิจัยด้านนี้ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา แต่งานวิจัยยังสามารถนำมาต่อยอดเชิงธุรกิจได้อย่างจำกัด เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ต้องลงทุนสูงเพื่อสร้างคลังข้อมูลที่ครอบคลุมการใช้งาน แต่ประสิทธิภาพและความถูกต้องของการรู้จำที่ได้ยังไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าเทคโนโลยีราคาสูง และเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถต่อยอดนวัตกรรมได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ เนคเทค สวทช. ได้มีการต่อยอดงานวิจัยพาทีที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543 มาเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาบริการระบบรู้จำเสียงพูดภาษาไทย โครงการเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2558 โดยช่วยลดข้อจำกัดของระบบเดิม เช่น จำกัดจำนวนคำศัพท์ จำกัดไวยากรณ์ จำกัดสภาวะแวดล้อมของการใช้งาน และจำกัดความสามารถในการขยายบริการขยายความสามารถไปสู่ระบบรู้จำเสียงพูดภาษาไทยแบบไม่จำกัดเนื้อหา ความถูกต้องของการรู้จำทัดเทียมเทคโนโลยีจากต่างชาติโดยเฉพาะการใช้งานผ่านสมาร์ตโฟน สามารถตอบสนองได้รวดเร็วสามารถขยายขนาดของบริการ และต่อยอดไปเป็นระบบประยุกต์ได้ตามต้องการพื้นฐานเทคโนโลยีรู้จำเสียงพูด
พาทีได้ใช้วิทยาการใหม่ที่สร้างขึ้น โดยมีพจนานุกรมในระบบขนาดเพียง40,000 คำ มีความแม่นยำ 80% ภายใต้การทดสอบกับเสียงพูดผ่านช่องทางข้อมูล(Data channel) ด้วยสมาร์ตโฟน และเนคเทค สวทช. ยังได้เพิ่มคำในฐานข้อมูลจำนวน 5 ล้านคำ เพื่อให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นการพัฒนาซอฟต์แวร์ภาษาจึงนับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ นอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารระหว่างบุคคลแล้ว ยังสามารถทำให้การสื่อสารผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
เทคโนโลยีเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมกุ้งไทย
เทคโนโลยีเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมกุ้งไทย
“กุ้ง” เคยเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้หลักให้กับประเทศ แต่หลังจากประสบปัญหาทั้งเรื่องของโรคตายด่วน ปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยจากที่เคยเป็นแชมป์ด้านการส่งออกกุ้งมายาวนาน ต้องเลื่อนอันดับอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแม้ปัจจุบันสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นแต่ผลผลิตก็ยังไม่ถึงเป้าหมาย
ทั้งนี้ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของอุตสาหกรรมกุ้งไทย ก็คือการมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ทั้งด้านค่าแรงงาน อาหารกุ้ง และค่าใช้จ่ายจากผลกระทบวิกฤตโรคระบาดต่าง ๆ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมกุ้งของประเทศไทย ซึ่งจัดเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงทั้งการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศและผลิตเพื่อส่งออก ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน ตลอดจนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง วิจัยและพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้
เริ่มตั้งแต่ “การผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งปลอดโรค” โดยในปี พ.ศ. 2546ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมมือมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และกองทัพเรือ จัดตั้ง “ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (Shirmp GeneticImprovement Center: SGIC)” แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคให้เกษตรกร
ศูนย์วิจัยฯ ดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะอยู่ในพื้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาเพื่อการผลิตและคัดเลือกลูกกุ้งที่มีคุณภาพสูง ปลอดโรค รวมทั้งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคจากรุ่นสู่รุ่นและลูกกุ้งที่ผ่านการคัดเลือกจะส่งไปยังส่วนที่ 2 ที่อยู่ในพื้นที่ของกองทัพเรือที่อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราชจะทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาต้นแบบการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
เบื้องต้นเริ่มจากการเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรค เพื่อใช้ทดแทนพ่อแม่พันธุ์ธรรมชาติที่มีน้อย แก้ปัญหาคุณภาพลูกกุ้ง และการเกิดโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดกับแม่พันธุ์ธรรมชาติได้ ซึ่งการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรคของศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง จะทำในระบบปลอดภัยทางชีวภาพ มีการพัฒนาสายพันธุ์ด้วยการนำกุ้งกุลาดำจากที่ต่าง ๆ ในธรรมชาติมาเข้ากระบวนการ ตั้งแต่หน่วยกักกันโรคที่มีหน้าที่กรองและคัดทิ้งกุ้งที่ติดโรคเพื่อสร้างความมั่นใจว่ากุ้งที่นำมาสู่ระบบจะไม่มีเชื้อโรคติดต่ออย่างน้อย 2 รุ่น หลังจากนั้นจะส่งไปยังศูนย์ผสมและคัดเลือกสายพันธุ์ และศูนย์เพิ่มจำนวนพ่อแม่พันธุ์กุ้ง
เมื่อได้พ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำแล้ว ได้มีการนำไปคัดเลือกหาพ่อแม่พันธุ์ที่ดีที่สุดในรุ่นนั้น ๆ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงสายพันธุ์กุ้งที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นจึงค่อยนำไปสู่ขั้นตอนการคัดเลือกลูกกุ้งจากครอบครัวที่ดี และส่งไปยังศูนย์เพิ่มจำนวนพ่อแม่พันธุ์ที่จะมีหน้าที่เลี้ยงลูกกุ้งจนโตเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ แล้วจึงส่งให้โรงเพาะฟักนำไปผลิตเป็นลูกกุ้งเพื่อส่งให้กับเกษตรกรต่อไป
เทคโนโลยีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำของศูนย์วิจัยแห่งนี้ ช่วยทำให้กุ้งกุลาดำเติบโตเร็วขึ้น ต้านทานโรค และยังมีความอึด ทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นจนเป็นที่พอใจของเกษตรกรทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ไบโอเทค สวทช. ยังมีการตั้งทีมวิจัยและพัฒนาบริการด้านเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture Service Development Research Team: AQST)ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ซึ่งมีการสนับสนุนผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกุ้ง เช่น ให้คำปรึกษาแก่เอกชนในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงกุ้งและสัตว์น้ำชนิดอื่นเพื่อศึกษาต่อยอดงานวิจัย รวมถึงการให้บริการรับจ้างวิจัย
สำหรับอาหารในการเพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 พบว่า อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกุ้งและปลามีความจำเป็นต้องใช้ปริมาณอาหารในการเพาะเลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอุตสาหกรรมอาหารเลี้ยงกุ้งถึง 19,000 ล้านบาท และอาหารเลี้ยงปลา 13,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจุบันการให้อาหารสัตว์น้ำ มักพบปัญหาสัตว์น้ำในวัยอนุบาลต้องการสารอาหารที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว แต่สารสำคัญหลายชนิดมีความไม่คงตัว มักจะละลายไปกับน้ำเมื่อให้อาหาร นอกจากนี้อาหารสัตว์น้ำที่เติมเอนไซม์หรือฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต มักจะไม่เสถียรในกระบวนการผลิตดั้งเดิมที่ต้องใช้อุณหภูมิสูง ประกอบกับนโยบายของสหภาพยุโรปที่ลดการใช้ปลาเป็นวัตถุดิบในอาหารสัตว์ ผู้ประกอบการหลายรายพยายามในการพัฒนาสูตร แต่มักมีข้อจำกัดทั้งทางด้านต้นทุนและวัตถุดิบทดแทนปลา
สวทช. โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) จึงได้มีการพัฒนา “ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีนสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์น้ำ” พัฒนาเป็นสูตรอาหารเลี้ยงลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่นในรูปแบบไฮโดรเจล ซึ่งใช้เทคโนโลยีการกักเก็บสารสำคัญในโครงสร้างแบบเจลมาใช้ในการเพิ่มความสามารถในการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย และช่วยยืดอายุของอาหารไม่ให้เน่าเสียอย่างรวดเร็ว
สูตรอาหารเลี้ยงลูกกุ้งดังกล่าวใช้กากถั่วเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนปลาป่น ซึ่งสามารถเติมสารสำคัญอื่น ๆ รวมถึงไขมันเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำได้มากกว่าอาหารที่มีขายในท้องตลาด ผ่านการทดสอบเลี้ยงลูกกุ้งในภาคสนามมาแล้วกว่า 6 ล้านตัว โดยเปรียบเทียบกับอาหารลูกกุ้งที่เป็นผู้นำตลาดโลก พบว่ามีอัตราการรอดและอัตราการเจริญเติบโตสูง ใกล้เคียงกับอาหารกุ้งวัยอนุบาลที่มีขายในท้องตลาด แต่มีอัตราการสิ้นเปลืองลดน้อยลงกว่า 20%เพราะเป็นอาหารเม็ดที่ไม่สลายตัวในบ่อเลี้ยง อีกทั้งดูดซึมได้เร็ว ไม่สูญเสียสารสำคัญในระหว่างการย่อยเหมือนอาหารกุ้งทั่วไป
อาหารไฮโดรเจลสูตรไร้ปลาป่นดังกล่าว ปัจจุบันมีได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนำไปขยายผลในเชิงพาณิชย์ ต่อยอดใช้งานกับการเพาะเลี้ยงกุ้งแบบครบวงจร
นอกจากการพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงลูกกุ้งที่ตอบโจทย์นโยบายทางการค้าและเพิ่มประสิทธิภาพเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว ในช่วงที่อุตสาหกรรมกุ้งไทยประสบปัญหาวิกฤตโรคตายด่วน หรือโรคกุ้งอีเอ็มเอส สวทช. โดยไบโอเทค ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พัฒนา “ชุดตรวจเชื้อก่อโรคตับตายฉับพลันสาเหตุหนึ่งของโรคกุ้งอีเอ็มเอส” หรือ “Amp-Gold” ขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการผู้เพาะเลี้ยงหรือกลุ่มเกษตรนำไปใช้เพื่อป้องกันการระบาดของโรคด้วยเทคนิคที่ใช้งานได้ง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผล
ชุดตรวจ “Amp-Gold” เป็นการพัฒนาวิธีตรวจเชื้อแบคทีเรียวิบริโอพาราฮีโมไลติคัสด้วยการใช้เทคนิคแลมป์ ซึ่งเป็นเทคนิคเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอที่มีความจำเพาะต่อยีนที่สร้างสารพิษของเชื้อดังกล่าว โดยอาศัยการทำงานของเอ็นไซม์ที่อุณหภูมิ 65องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที ต่อจากนั้นนำสารละลายที่ได้มาตรวจจับกับดีเอ็นเอที่ติดฉลากด้วยอนุภาคทองคำนาโน ทำให้ใช้เวลาในการตรวจรวมทุกขั้นตอนเพียงแค่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งมีความไวกว่าเทคนิคเดิมคือ พีซีอาร์ (PCR) ถึง 100% ช่วยให้เกษตรกรประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนการผลิต เพราะไม่ต้องนำเข้าจากชุดตรวจโรคกุ้งจากต่างประเทศผลงานวิจัย “Amp-Gold” นี้ ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นระดับดีมากในสาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยาจากสภาวิจัยแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2560
ด้วยผลงานวิจัยในการแก้วิกฤตโรคระบาดให้กับอุตสาหกรรมกุ้งไทย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนการผลิต การนำเข้าชุดตรวจจากต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าผลผลิตและเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมกุ้งต่อไป
ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
“แม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์” โอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีของเมืองสามหมอก
"แม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์" โอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีของเมืองสามหมอก
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีอย่างเช่น "โครงการแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์" โครงการที่ได้รับพระราชทานรางวัลโครงการดีเด่นของชาติ สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ประจำปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศของนักเรียนและครูผู้สอนวิชาคอมพิวเตอร์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมสร้างเครือข่ายและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงการพัฒนาด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก"เมืองหลังเขา 1,864 โค้ง" คือ คำจำกัดความที่แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดด้านภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทำให้ในอดีต เด็กและเยาวชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่ดี ขณะที่ภาคธุรกิจก็ไม่สามารถสร้างงานในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนเนคเทค สวทช. จึงร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค สวทช.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ริเริ่มการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปช่วย โดยเริ่มจากการสนับสนุนด้านไอทีให้แก่โรงเรียนมัธยมในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยเป็นโครงการที่จัดเป็นประจำทุกปีในชื่อว่า "งานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับวิถีชีวิตเมืองสามหมอก" ต่อมาโครงการได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2549 และเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการภายใต้
แผนยุทธศาสตร์ 3 ด้านคือ สร้างคน เพื่อสนับสนุนและพัฒนาทักษะด้านคอมพิวเตอร์และไอทีของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและครูผู้สอนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างงาน เพื่อให้เกิดการจ้างงานด้านการพัฒนาไอทีและเกิดร้ายได้ในท้องถิ่น และสร้างเครือข่าย เพื่อสร้างความตระหนักด้านคอมพิวเตอร์และไอที่ให้แก่ภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เกิดการนำระบบไอทีไปใช้ดำเนินงานภายในหน่วยงานต่าง ๆในปี พ.ศ. 2550 โครงการแม่ฮ่องสอนไอที่วัลเล่ย์ได้รับการนำเสนอเข้าร่วมโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อต่อยอดพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศในจังหวัดแม่ฮ่องสอนให้เข้มแข็งขึ้น ภายใต้ชื่อโครงการว่า "โครงการแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"มีกิจกรรมและโครงการหลัก 5 โครงการ คือ โครงการพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ของครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โครงการพัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์เมืองในหมอก โครงการส่งเสริมการใช้ Open source software และ e-Learning ใน จังหวัดแม่ฮ่องสอน โครงการนำร่องระบบเตือนภัยดินถล่ม และโครงการสื่อสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่น เฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับโรงเรียนมัธยมระหว่าง 2 ประเทศผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ตทั้งนี้โครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีที่สนับสนุนโครงการแม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์ ในระยะแรกนั้น เนื่องจากที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางการเดินทางค่อนข้างยากลำบาก ใช้เวลาเดินทางนาน อินเทอร์เน็ตที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานราชการต่าง ๆ เนคเทค สวช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้ไวแมกซ์ (WIMAX) ซึ่งเป็นการออกแบบโครงสร้างและอุปกรณ์แบบไร้สายที่ได้พัฒนามาจากไวไฟ (WiFi) มาใช้ในการติดต่อสื่อสาร เนื่องจากมีความเหมาะสมกับพื้นที่แม่ฮ่องสอน เพราะเสาต้นหนึ่งสามรถปล่อยสัญญาณรัศมีได้ไกล 10 กิโลเมตรที่ผ่านมามีการนำเทคโนโลยีไวแมกซ์ไปใช้ประโยชน์ทั้งด้านการเรียนการสอนผ่านระบบ e-Leaning และการลดอุปสรรคด้านการทำงานในพื้นที่ห่างไกล ได้แก่ การประชุมทางไกล Video conference เช่น ที่สถานีตำรวจภูธร จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ในขณะนั้นได้รับการสนับสนุนจากเนคเทค สวทช. ในการใช้โปรแกรมระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ สร้างความสะดวกและลดภาระการเดินทาง ทั้งการประชุมระหว่างสถานี ไปจนถึงการประชุมพิจารณาคดีผัดฟ้องและฝากขังระหว่างศาลกับสถานีตำรวจในพื้นที่ ซึ่งช่วยให้ประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมากแม้ปัจจุบันแม่ฮ่องสอนจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูงขึ้นและครอบคลุมแล้วในหลายพื้นที่ แต่จากจุดเริ่มต้นของโครงการ "แม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์" ซึ่งมีการดำเนินงานที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐภาคการศึกษา ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ทำให้โครงการนี้สร้างโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชนในการพัฒนาศักยภาพของตนเองโดยใช้ไอทีเป็นเครื่องมือ และมีหลาย ๆ คนที่สามารถชื่อมต่อตัวเองเข้าสู่ธุรกิจด้านไอทีทั้งในและนอกจังหวัดได้อย่างน่าภาคภูมิใจ สมดังเจตนารมณ์ของผู้ร่วมก่อตั้งโครงการในยุคบุกเบิกที่บอกว่า สิ่งที่โครงการนำมาให้ไม่ใช่คอมพิวเตอร์แต่เป็น "ความรู้และโอกาส"จึงนับได้ว่า โครงการ "เม่ฮ่องสอนไอทีวัลเล่ย์" เป็นต้นแบบของการใช้ไอทีในการสร้างคนและสร้างโอกาส ซึ่งช่วยแก้ปัญหาและสร้างงานในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
เทคโนโลยีสำหรับระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบปิด
เทคโนโลยีสำหรับระบบเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบปิด
ระบบเลี้ยงสัตว์น้ำแบบปิด ไม่ว่าจะเป็นตู้แสดงสัตว์น้ำ หรือบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีระบบบำบัดเพื่อควบคุมคุณภาพน้ำในระบบให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ โดยทั่วไปจะใช้ถังตัวกรองชีวภาพไนตริฟิเคชัน (Nitrification biofilter) ทำหน้าที่กำจัดแอมโมเนียที่เป็นพิษสูง ด้วยการเปลี่ยนให้เป็นไนเตรตที่เป็นพิษต่ำกว่า ซึ่งสามารถยืดอายุการเปลี่ยนน้ำออกไปได้ อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอยู่บ่อยครั้ง เพราะเมื่อปริมาณไนเตรตสะสมมากขึ้นจะก่อให้เกิดความเครียดและกระทบต่อการเจริญพันธุ์ของสัตว์น้ำได้ทีมนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาระบบบำบัดไนเตรตแบบท่อยาว (Tubular Denitrification Reactor:TDNR) ขึ้น โดยใช้กระบวนการดีไนตริฟิเคชันในการกำจัดไนเตรตให้เปลี่ยนเป็นแก๊สไนโตรเจน สามารถใช้ได้ทั้งระบบน้ำจืดและน้ำทะเล และเมื่อใช้ร่วมกับระบบบำบัดตัวกรองชีวภาพไนตริฟิเคชัน (Nitrification) จะสามารถบำบัดของเสียไนโตรเจนในรูปแบบของแอมโมเนีย ไนไตรต์ และไนเตรตออกจากระบบบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างสมบูรณ์ เหมาะกับระบบควบคุมโรคหรือไบโอซีเคียว (Biosecure) สำหรับการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำและการผลิตลูกพันธุ์สัตว์น้ำที่ปลอดโรคงานวิจัยนี้หลังจากผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการใช้งานจริงของระบบเลี้ยงสัตว์น้ำให้แก่บริษัทต่าง ๆ เช่นใช้กับตู้ปลาสวยงามขนาดใหญ่ ใช้ในระบบผลิตลูกปลาในบ่อความหนาแน่นสูงและใช้ติดตั้งในบ่อทดสอบอาหารสัตว์น้ำ ซึ่งสามารถช่วยยืดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำในระบบเลี้ยงสัตว์น้ำแบบปิด ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและแรงงาน
นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยไบโอเทคสวทช. ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีระบบหมุนเวียนน้ำ (Recirculating Aquaculture System: RAS) เพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิด ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำ และปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ภายใต้แนวทาง “ยกกระชัง ขึ้นบก” โดยพัฒนาบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำความหนาแน่นสูงเพื่อทดแทนการเลี้ยงปลาในกระชังที่มักจะได้รับความเสียหายจากภาวะมลพิษในแหล่งน้ำ ทำให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียลูกปลา และช่วยเพิ่มผลผลิตในขณะที่ใช้พื้นที่น้อยลงมีการออกแบบและสร้างต้นแบบระบบถังบำบัด ซึ่งมีส่วนประกอบที่จำเป็นต่อการควบคุมคุณภาพน้ำ พร้อมปรับปรุงระบบให้มีความง่ายต่อการใช้งานและมีประสิทธิภาพที่ดี ผ่านการทดสอบใช้งานในสภาวะการทำงานจริง โดยจะหมุนเวียนน้ำจากบ่อปลา ออกมาบำบัดในถังตัวกรองชีวภาพไนตริฟิเคชัน (Nitrification biofilter) ก่อนที่จะนำน้ำกลับไปใช้เลี้ยงปลาโดยถังเลี้ยงปลามีขนาด 10,000 ลิตร (10 ตัน) สามารถผลิตปลานิลน้ำหนักตัวละ 1 กิโลกรัมได้ 350-400 ตัว คิดเป็นความหนาแน่นของปลา 35-40 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ระบบต้นแบบผ่านการทดสอบการใช้งานอย่างต่อเนื่อง พบว่าสามารถเลี้ยงปลานิลและปลากะพงขาวได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำตลอดระยะเวลาการเลี้ยง ลดความเสียหายของผลผลิตปลาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ลดโอกาสติดเชื้อโรคจากภายนอก ส่งผลให้อัตราการรอดของปลาอยู่ในระดับที่ดีมากหรือประมาณ 90-100% ช่วยลดการใช้ยาและสารเคมี รวมถึงลดปัญหาการทิ้งน้ำเสียและการแพร่ระบาดของโรคสัตว์น้ำไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก โดยปลาที่เลี้ยงมีคุณภาพเนื้อที่ไม่แตกต่างกับปลาที่เลี้ยงในระบบปกติทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้นำองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนน้ำดังกล่าว มาต่อยอดพัฒนาร่วมกับทีมวิศวกรจากบริษัทพรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทฟาร์มสตอรี่ จำกัด หรือป.เจริญฟาร์ม จังหวัดฉะเชิงเทราพัฒนาเป็น “ถังเลี้ยงปลานิลความหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียน” ซึ่งมีการนำไปทดสอบใช้งานจริงที่ป.เจริญฟาร์มการทำงานของถังเลี้ยงปลานิลความหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียน เริ่มจากการออกแบบตัวถังเลี้ยงปลา ให้มีพื้นที่ผิวต่อความลึกของน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงลูกปลานิล โดยระบายน้ำเสียและตะกอนของเสียออกจากบ่อได้อย่างสมบูรณ์มีระบบเติมอากาศและการหมุนเวียนน้ำภายในถังเลี้ยงอย่างทั่วถึง เมื่อมีตะกอนขี้ปลาปลาตาย หรือปลาป่วย จะถูกดึงออกจากบ่อโดยอัตโนมัติ ผ่านทางท่อลำเลียงไปยังถังแยกปลาตายทำให้ผู้เลี้ยงสามารถติดตามจำนวนปลาที่ตาย และสามารถแยกปลาป่วยออกไปตรวจโรคเพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงทีหลังจากนั้นน้ำจะลำเลียงไปยังระบบแยกตะกอน ก่อนที่จะถูกบำบัดในถังบำบัดระบบไนตริฟิเคชัน (Nitrification) ด้วยการเปลี่ยนแอมโมเนียเป็นไนไตรต์และไนเตรต แล้วจะเก็บในถังและนำไปหมุนเวียนใช้ในบ่อต่อไป โดยมีการหมุนเวียนน้ำกับระบบบำบัดตลอดเวลา ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำหรือเติมน้ำเพิ่มเข้าไปใหม่ช่วยลดการใช้น้ำถึง 95% สามารถดูแลบำรุงรักษาและล้างทำความสะอาดระบบทั้งหมด โดยใช้คนงานเพียงคนเดียวเท่านั้นถังเลี้ยงปลานิลฯ ดังกล่าว ยังได้รับการออกแบบให้เป็นระบบประหยัดพลังงานให้น้ำไหลตามแรงโน้มถ่วง ถังสามารถรองรับปลาได้กว่า 30 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรซึ่งมากกว่าบ่อดิน 20-30 เท่า แต่ใช้พื้นที่ที่น้อยกว่าบ่อดินการพัฒนาถังเลี้ยงปลานิลความหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียนนี้เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาอย่างยั่งยืน สร้างทางเลือกใหม่ของผู้เลี้ยงปลากระชังและปลาในบ่อดิน นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยง เรื่องของการจัดหาและควบคุมคุณภาพน้ำภายในบ่อเลี้ยงแล้วยังสามารถประยุกต์ไปใช้กับสัตว์น้ำชนิดอื่น เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
ชุดตรวจ HybridSure ทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกไทย
ชุดตรวจ HybridSure ทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกไทย
ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสม (F1 hybrid seeds)ที่สำคัญของโลก เนื่องจากได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง ความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม และภูมิอากาศที่เหมาะสม ตลอดจนความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญคือเกษตรกรไทยมีทักษะความชำนาญด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์สูงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ได้เจริญเติบโตอย่างมาก โดยในแต่ละปีประเทศไทยส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งการค้าเมล็ดพันธุ์ลูกผสมทั้งในและต่างประเทศจะมีข้อกำหนดหลักด้านคุณภาพ โดยระบุค่าความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่ส่งออกจำหน่ายจะต้องสูงกว่า 98%ดังนั้นการทดสอบเอกลักษณ์ของเมล็ดพันธุ์พืช จึงมีความจำเป็นต่อการยืนยันความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสม ซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายโดยตรงที่ผ่านมาบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์ลูกผสมยังตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์จากเกษตรกรผู้ผลิตด้วยวิธีการดั้งเดิม คือนำเมล็ดพันธุ์ไปปลูกในแปลงเพื่อตรวจสอบลักษณะทางกายภาพ ซึ่งใช้ระยะเวลานาน 3-6 เดือนและใช้แรงงานในการตรวจสอบสูง โดยเฉพาะในกรณีที่มีเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการตรวจสอบปริมาณมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ด้วยเทคนิคการใช้เครื่องหมายโมเลกุลสนิป เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากในจีโนมพืชมีเครื่องหมายโมเลกุลสนิป อยู่เป็นจำนวนมาก ทีมนักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาชุดตรวจ “HybridSure” (ไฮบริดชัวร์) ขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอแบบลําดับเบสเดี่ยว (Single Nucleotide Polymorphism: SNP) หรือ “สนิป” เพื่อทดสอบเอกลักษณ์พันธุ์พืช ทำให้สามารถแยกความแตกต่างของสายพันธุ์ลูกผสมได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ชุดตรวจ HybridSure ที่พัฒนาขึ้นนี้ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะ ให้มีความจำเพาะกับสายพันธุ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย จึงสามารถตรวจเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่ปลูกในประเทศไทยได้เกือบทุกสายพันธุ์เบื้องต้นได้พัฒนาชุดตรวจสำหรับพืชเศรษฐกิจของไทย เช่น พริก แตงกวาแตงโม แตงเทศ เมลอน และมะเขือเทศ เพื่อให้สามารถแยกความเป็นเอกลักษณ์ระหว่างสายพันธุ์ได้
โดยการทดสอบเอกลักษณ์ของเมล็ดพันธุ์พืช เริ่มจากการนำตัวอย่างสายพันธุ์พ่อและสายพันธุ์แม่ที่ใช้ในการผลิตลูกผสมมาวิเคราะห์ลําดับนิวคลีโอไทด์ของจีโนมิกดีเอ็นเอของตัวอย่างแต่ละพันธุ์ และค้นหาตําแหน่งของสนิปที่ครอบคลุมทั้งจีโนมด้วยวิธี Genotyping-by-sequencing (GBS) ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถค้นหา และจีโนไทป์ได้ครั้งละหลายพันเครื่องหมาย สามารถแยกความเป็นเอกลักษณ์ระหว่างสายพันธุ์ได้ และนำมาใช้ในการยืนยันความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ได้เมื่อได้ตําแหน่งของสนิปที่มีความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์พ่อกับแม่แล้วจึงนำไปทดสอบกับของตัวอย่างลูกผสมโดยใช้เทคนิค MassARRAY System ทำให้สามารถตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ที่อาจมีการปนเปื้อนจากเมล็ดที่ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ลูกผสมได้
นอกจากนี้ ในการตรวจประเมินความบริสุทธิ์ ตั้งแต่การสกัดดีเอ็นเอไปจนถึงการวิเคราะห์ผลใช้เวลาไม่ถึง 1 วัน สามารถตรวจความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ปริมาณมากได้รวดเร็วกว่าวิธีดั้งเดิมที่ใช้เวลา 3-6 เดือน มีความแม่นยำสูง ใช้แรงงานน้อย และมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าวิธีดั้งเดิมนวัตกรรมนี้ได้สร้างศักยภาพในการตรวจสอบเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ขึ้นภายในประเทศไทย ช่วยอำนวยความสะดวกให้บริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ไทย สามารถตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมก่อนส่งออกจำหน่ายได้อย่างรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายในราคาที่ไม่สูงชุดตรวจ HybridSure ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลชนะเลิศจากการนำเสนอผลงานในโครงการ Leaders in Innovation Fellowships Programme (LIF) ประจำปี พ.ศ. 2562 ซึ่งสนับสนุนโดย Newton Fundและ The Royal Academy of Engineering (RAEng) สหราชอาณาจักรและได้รับรางวัล The Most Fundable Innovation Award ในงานThe Asia Innovates Summit 2019 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมพ.ศ. 2562 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย อีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
ชุดตรวจ “เดกซ์แทรน” ปนเปื้อนในการผลิตน้ำตาล
ชุดตรวจ “เดกซ์แทรน” ปนเปื้อนในการผลิตน้ำตาล
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาให้แก่อุตสาหกรรมอย่างครบวงจรตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบในภาคการเกษตรไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในโรงงานโดย “การพัฒนาชุดตรวจวิเคราะห์เดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล” เป็นหนึ่งในผลงานของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาขึ้น เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของบริษัทผู้ผลิตน้ำตาลในระดับอุตสาหกรรม“เดกซ์แทรน” เป็นสารชีวโมเลกุลซึ่งเป็นพอลิเมอร์ของกลูโคสที่ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล หากพบว่ามีการปนเปื้อนของเดกซ์แทรน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำอ้อย จะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำตาล 1.123 กิโลกรัมต่อตันอ้อยซึ่งปริมาณเดกซ์แทรนที่ปนเปื้อนจะสัมพันธ์กับปริมาณน้ำตาลที่สูญเสียไปในลักษณะสมการเชิงเส้น ทำให้โรงงานต้องสูญเสียผลผลิตน้ำตาลทรายและเป็นปัญหาสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล ที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องถึงผลกำไรของโรงงานอุตสาหกรรมและรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมนอกจากนี้ โมเลกุลของเดกซ์แทรนที่ปรากฏในน้ำอ้อยยังส่งผลต่อการอ่านค่า Pol (ร้อยละของน้ำตาลซูโครสที่วัดจากเครื่อง Polarimeter) ที่คลาดเคลื่อนเกินความเป็นจริง ส่งผลกระทบต่อการวางแผนควบคุมคุณภาพการผลิตโมเลกุลเดกซ์แทรนยังทำให้การเคี่ยวน้ำตาลยากขึ้นเกิดน้ำตาลตกค้างในกากน้ำตาลสูง อีกทั้งยังขัดขวางการโตของผลึกน้ำตาลและมีผลให้ผลึกน้ำตาลมีรูปร่างเรียวแหลมเกิดโอกาสในการสูญเสียจากการเก็บเกี่ยวน้ำตาลสูง
การแก้ปัญหาหรือกำจัดโมเลกุลเดกซ์แทรนที่ปรากฏในน้ำอ้อยอย่างรวดเร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของกระบวนการผลิตจึงมีความสำคัญกับโรงงานน้ำตาลเป็นอย่างมาก วิธีทดสอบเพื่อวิเคราะห์ปริมาณเดกซ์แทรนในน้ำอ้อยของโรงงานน้ำตาลที่นิยมใช้เป็นการวิเคราะห์ปริมาณสสารในเชิงเคมีปฏิบัติ ซึ่งจะต้องทำในห้องปฏิบัติการและใช้เวลาในการวิเคราะห์ค่อนข้างมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและแม่นยำทีมนักวิจัยห้องปฏิบัติการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโนจากนาโนเทค สวทช. ได้พัฒนาชุดตรวจวิเคราะห์เดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล ขึ้น โดยใช้หลักการ Competitive immunoassay ซึ่งเป็นการแย่งจับระหว่างเดกซ์แทรนที่ต้องการตรวจหาและเดกซ์แทรนที่เคลือบไว้บนแถบทดสอบกับอนุภาคนาโนทองคำที่ถูกเชื่อมต่อด้วยแอนติบอดีที่มีอยู่ในปริมาณจำกัด โดยใช้แอนติบอดีที่มีขายในท้องตลาดทำให้สามารถวิเคราะห์ปริมาณเดกซ์แทรนในรูปแบบชุดตรวจแบบรวดเร็ว มีค่าคัตออฟของชุดตรวจที่ 1,000 ppm/brixโดยมีค่าความไว ความจำเพาะ และความถูกต้องในการตรวจวัดมากกว่า 90%ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ด้วยเทคนิคการใช้เครื่องหมายโมเลกุลสนิป เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากในจีโนมพืชมีเครื่องหมายโมเลกุลสนิป อยู่เป็นจำนวนมาก ทีมนักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาชุดตรวจ “HybridSure” (ไฮบริดชัวร์) ขึ้นโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอแบบลําดับเบสเดี่ยว (Single Nucleotide Polymorphism: SNP) หรือ “สนิป” เพื่อทดสอบเอกลักษณ์พันธุ์พืช ทำให้สามารถแยกความแตกต่างของสายพันธุ์ลูกผสมได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทยแถมการใช้งานชุดตรวจยังทำได้ง่าย ไม่ต้องมีขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างก่อนตรวจ วิเคราะห์ผลได้โดยสังเกตสีที่เกิดขึ้น สามารถรู้ผลได้รวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม และไม่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญ ทำให้พนักงานในโรงงานผลิตน้ำตาลสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก
นาโนเทค สวทช. ได้มีการส่งมอบชุดตรวจวิเคราะห์เดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาลให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำตาลนำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพการผลิตของโรงงานผลิตน้ำตาลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ซึ่งสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำตาลในกระบวนการผลิต สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาทต่อปีดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
การค้นหาจีโนมอ้อยความหวานสูง
การค้นหาจีโนมอ้อยความหวานสูง
“อ้อย” เป็นพืชเขตร้อนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นแหล่งวัตถุดิบขนาดใหญ่ของการผลิตน้ำตาลและพลังงานชีวภาพ ซึ่งอ้อยเป็นแหล่งชีวมวล (Biomass) ขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆแต่ด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในประเทศ และมีการเก็บเกี่ยวเพียงปีละ 1 ครั้ง จึงจำเป็นต้องปรับปรุงพันธุ์อ้อยเพื่อให้ได้พันธุ์ที่มีผลผลิตอ้อยและน้ำตาลต่อพื้นที่สูง แต่วิธีการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีมาตรฐานแบบเดิมนั้นต้องใช้เวลาทดสอบและคัดเลือกพันธุ์นานถึง 10-12 ปี อีกทั้งยังใช้งบประมาณสูงและมีความแม่นยำต่ำทีมวิจัยจากศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงนำองค์ความรู้ด้านการถอดรหัสพันธุกรรมจากจีโนมพืช ซึ่งเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระดับโลกในขณะนั้นมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์อ้อยโดยนำเครื่องหมายโมเลกุล Marker Assisted Selection หรือ MAS มาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อย เพื่อลดระยะเวลาการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งจะใช้เวลาในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่ดีเพียง 6 ปี และมีความแม่นยำสูง
อย่างไรก็ตามการใช้เทคนิค MAS นี้ยังมีข้อจำกัดสำหรับอ้อย ซึ่งเป็นพืชที่มีจำนวนโครโมโซมหลายชุด (Polyploid) และยังมีจำนวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นหรือลดลงในบางโครโมโซม (Aneuploid)ทีมนักวิจัย สวทช. ร่วมมือกับบริษัทมิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาลจำกัด ดำเนินงาน “โครงการปรับปรุงพันธุ์อ้อยแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำตาล” เพื่อค้นหายีนที่เกี่ยวกับกระบวนการเมแทบอลิซึมของน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวกำหนดความหวานในอ้อย และยีนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของผลผลิต โดยใช้เทคโนโลยีทรานสคริปโตมิกส์ (Transcriptomics) และโปรตีโอมิกส์ (Proteomics) ในการพัฒนาเครื่องหมายพันธุกรรมสำหรับคัดเลือกลักษณะความหวานยีนทั้งหมดที่ค้นหาได้ถูกนำมายืนยันความสัมพันธ์กับความหวานและองค์ประกอบผลผลิตโดยการวิเคราะห์ด้วยวิธี Association Mapping และใช้เทคโนโลยีชีวสถิติและสารสนเทศ (Biostatistics and bioinformatics) มาช่วยประมวลข้อมูลจีโนมอ้อยที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน เพื่อค้นหารูปแบบแฮปโพลไทป์ (Haplotype) ของยีนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะความหวานและองค์ประกอบผลผลิต และพัฒนาเป็นเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับยีนความหวาน
ปัจจุบันได้ 3 เครื่องหมายโมเลกุลที่มีศักยภาพสัมพันธ์กับความหวาน คือ SEM358, ILP10 และ ILP82 ที่พัฒนาจาก Candidate gene ในการวิเคราะห์การแสดงออกของยีนในอ้อยที่สะสมน้ำตาลสูงเทียบกับอ้อยที่สะสมน้ำตาลต่ำเครื่องหมายโมเลกุลต่อลักษณะความหวานที่ได้ ทีมนักวิจัยฯ นำมาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยลูกผสมที่มีความหวานสูงร่วมกับการวิเคราะห์ลักษณะที่แสดงออกของลูกผสมทุกต้น เพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพของเครื่องหมายโมเลกุลที่ได้จากการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ทำให้ได้ฐานข้อมูล Transcriptome ของอ้อย ซึ่งประกอบด้วยยีนมากกว่า 46,000 ทรานสคริปต์ ซึ่งใช้เป็น Reference transcript ในการวิเคราะห์การแสดงออกของยีน Transcript profiling และ Protein profiling พัฒนาออกมาเป็นเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับความหวาน ซึ่งได้มีการจดสิทธิบัตรแล้ว ทั้งเรื่อง “ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอที่มีความจำเพาะต่อเครื่องหมายยีนในวิถีเมแทบอลิซึมของน้ำตาลในอ้อย” และ “กระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์อ้อยที่มีพันธุกรรมหวานโดยใช้ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอ”ฐานข้อมูลที่ได้นี้นอกจากจะทำให้ได้พันธุ์อ้อยที่มีศักยภาพจำนวน 9 สายพันธุ์ซึ่งมีสายพันธุ์ 14-1-772 และ 14-1-188 ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์ได้แก่ ภูเขียว 2 และภูเขียว 3 ตามลำดับแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กว่า 550 ไร่ในปี พ.ศ. 2563 และจะขยายผล 5,500 ไร่ในปี พ.ศ. 2564 แล้ว ยังมีองค์ความรู้ที่สำคัญในการค้นหายีนใหม่ในโครงการวิจัยในอนาคต เช่น ใช้สำหรับการค้นหายีนที่เกี่ยวข้องกับ Biomass productivity การแตกกอและการตอบสนองต่อภาวะแล้งนอกจากนี้ทีมนักวิจัยฯ ยังได้พัฒนาโปรแกรมการวิเคราะห์และประมวลภาพ Gel electrophoresisแล้ว ยังได้ยื่นจดสิทธิบัตร “การวิเคราะห์แถบภาพของอิเล็กโทรโฟรีซิสเจลด้วยเทคนิคการประมวลภาพ” ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์ภาพ Polyacrylamide gelให้สามารถทำได้ง่าย และแปลงข้อมูล Genotype profile เป็นข้อมูลดิจิทัลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ทางสถิติได้อย่างง่าย
โครงการนี้นอกจากจะได้อ้อยสายพันธุ์ดีแล้ว ยังได้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีของการปรับปรุงพันธุ์อ้อยแบบบูรณาการ ซึ่งช่วยลดเวลาในการปรับปรุงพันธุ์อ้อยลง 50% จาก 10-12 ปี เหลือเพียง 6-7 ปีเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ของประเทศต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
DDC-Care ติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงโควิด-19
DDC-Care
ติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงโควิด-19
จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ด้วยความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างเร่งด่วนช่วยรับมือวิกฤติการณ์ครั้งนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดตาม เฝ้าระวัง กลุ่มเสี่ยง ที่เป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
ทีมนักวิจัยจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (เอ-เมด) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาแอปพลิเคชัน "DDC-Care" ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขึ้น ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ไวรัสโควิด-19 ระลอกแรกในประเทศไทย ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2563 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทางด้านสาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ เตรียมการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงการรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงทีโดยการทำงานของระบบ "DDC-Care" แบ่งออกเป็น 3 แอปพลิเคชัน คือ1. DDC-Care REGISTRY: เว็บแอปพลิเคขันสำหรับลงทะเบียนใช้งานระบบผ่าน SMS หรือ QR Code ที่มีการยืนยันตัวตน ให้ลงทะเบียนได้เฉพาะผู้ที่เจ้าหน้าระบุเท่านั้น2. DDC-Care APP: แอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออุปกรณ์พกพาอื่น ๆ ที่สามารถดึงพิกัดผู้ใช้งานแบบอัตโนมัติผ่านระบบ GPS และแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบ เมื่อมีการออกนอกพื้นที่กักตัวที่ปักหมุดไว้เกินกว่าที่กำหนด นอกจากนี้แอปพลิเคชันจะประเมินความเสี่ยงของผู้ใช้งานพร้อมให้คำแนะนำตามเกณฑ์ของกรมควบคุมโรคแบบอัตนมัติ เมื่อผู้ใช้งานกรอกแบบคัดกรองสุขภาพตนเองรายวัน หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโควิด-19 ระบบจะแนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมแสดงเลขหมายโทรศัพท์ซึ่งสามารถโทรฯ ออกผ่านแอปพลิเคชันได้ทันที โดยสามารถใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดผ่าน Huawei AppGallery (สำหรับเครื่อง Huawei ที่ไม่มี Google PlayStore) รองรับ 4 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ จีน และพม่า รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จากเว็บไชต์ https://ddc-care.com/และ 3. DDC-Care DASHBOARD: เว็บแอปพลิเคชันสนับสนุนการติดตามสุขภาพและการกักตัวของกลุ่มเสี่ยงแบบเรียลไทม์ (Real-time) ในรูปแผนที่แสดงตำแหน่งที่อยู่ของกลุ่มเสี่ยงในภาพรวม พร้อมสถานะแสดงระดับความเสี่ยงการออกนอกที่พัก และการปิด GPS ตารางแสดงข้อมูลสุขภาพในระยะเวลา 14 วันของกลุ่มสี่ยงแต่ละราย แผนที่แสดงประวัติการเดินทาง และตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของกลุ่มเสี่ยงรายคน โดยเจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูข้อมูลของกลุ่มเสี่ยงตามสิทธิ์ที่ได้รับมอบหมาย
ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2563 กรมควบคุมโรคได้นำร่องใช้งานระบบ DDC-Care กับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่สถาบันบำราศนราดูรเป็นแห่งแรก จากนั้นได้ขยายการใช้งานไปยังโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพมากกว่า 60 แห่ง สำนักงานป้องกันและควบคุมโรค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและอำเภอมากกว่า 20 แห่งทีมนักวิจัยฯ ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบ DDC-Care อย่างต่อเนื่อง และได้นำมาใช้ในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการติดตามการกักตัวของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงปลายปี พ.ศ. 2563 ทั้งผู้ที่ต้องกักตัวที่บ้าน (Home quarantine) และกลุ่มพนักงานโรงงานในจังหวัดสมุทรสาครที่มีการกักตัวในรูปแบบ Bubble and Seal คือยอมให้มีการเดินทางระหว่างบ้านและโรงงานเท่านั้นนอกจากนี้ระบบ DDC-Care ยังได้การนำไปใช้สำหรับการติดตามและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ต้องกักตัวที่บ้าน เช่น คนขับรถบรรทุกที่รับส่งของจากชายแดน ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถทราบการเดินทางและสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ด้วยความความโดดเด่นของงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน ทำให้ระบบ "DDC-Care" ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัล "ผลงานวิจัยและนวัตกรรมดีเด่นตอบรับชีวิตวิถีใหม่และการปรับตัวอันเนื่องมาจากภาวะวิกฤตโควิด-19" จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
ฟลาวมันสำปะหลังไร้กลูเตนแปรรูปพืชมีพิษ สู่นวัตกรรมอาหาร
ฟลาวมันสำปะหลังไร้กลูเตนแปรรูปพืชมีพิษ สู่นวัตกรรมอาหาร
นอกจากข้าว ยางพารา อ้อย และ “มันสำปะหลัง” ก็ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกผลผลิตมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลกมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 68% โดยผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังเป็นสินค้าส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาทอุตสาหกรรมมันสำปะหลังจึงเกี่ยวโยงทั้งกลุ่มเกษตรผู้ปลูกมันประมาณ 3 ล้านคน และมีโรงงานผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังกระจายอยู่ทั่วประเทศ ด้วยปัญหาหลักของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยอยู่ที่ต้นทุนการผลิตที่ยังสูงอยู่ ตั้งแต่ขั้นการผลิตวัตถุดิบ ซึ่งมันสำปะหลังจะมีโรคอุบัติใหม่ที่กระทบต่อการเพาะปลูก ขณะที่ผลิตภัณฑ์แปรรูปยังมีกระบวนการผลิตที่มีต้นทุนสูง และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเฉพาะเรื่องของน้ำเสียที่มีกลิ่นเหม็นที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง ทั้งแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง ด้วยการพัฒนา “น้ำยาสำหรับตรวจสอบไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง” โดยใช้เทคนิคอิไลซ่า (ELISA) ซึ่งมีความแม่นยำสูงและมีราคาถูกกว่าการนำเข้าหลายเท่าตัว
ส่วนปัญหาน้ำเสียจากโรงงานผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พัฒนา “ระบบบำบัดน้ำเสียและผลิตก๊าซชีวภาพแบบตรึงฟิล์มสำหรับโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง” ซึ่งมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้โรงงานต่าง ๆ ได้นำไปใช้งาน พบว่านอกจากจะสามารถกำจัดกลิ่นเหม็นได้แล้วยังได้เป็นพลังงานหรือก๊าซชีวภาพกลับคืนมาอีกด้วย
สำหรับปัญหาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมันสำปะหลังที่ยังมีต้นทุนในการผลิตสูงโดยเฉพาะการผลิตฟลาวมันสำปะหลังสำหรับใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งควรใช้มันสำปะหลังชนิดหวานเนื่องจากมีปริมาณไซยาไนด์ต่ำ แต่เนื่องจากมันสำปะหลังชนิดหวานมีปริมาณการปลูกน้อยและราคาสูงกว่ามันชนิดขม ทำให้ต้นทุนการผลิตมีราคาสูง ขณะที่การผลิตฟลาวมันสำปะหลังจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง แม้จะมีข้อได้เปรียบเรื่องราคาวัตถุดิบที่ต่ำกว่า เพราะมีการเพาะปลูกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดคือ จำเป็นต้องมีกระบวนการผลิตที่ช่วยลดปริมาณไซยาไนด์ให้ปลอดภัยต่อการนำไปบริโภค ซึ่ง FAO/WHO กำหนดไว้ไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักแห้ง ปัจจุบันการผลิตฟลาวมันสำปะหลังจากมันสำปะหลังชนิดขมจึงเป็นการผลิตในระดับครัวเรือน ที่ใช้แรงงานในการปอกเปลือกมันสำปะหลังที่มีปริมาณไซยาไนด์สูงออกก่อนนำมาผลิต ทำให้ต้นทุนในการผลิตยังคงสูงอยู่หน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยีแปรรูปมันสำปะหลังและแป้ง ไบโอเทค สวทช. จึงร่วมกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังในระดับอุตสาหกรรมจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง โดยใช้เครื่องจักรกลมาช่วยในการผลิต (Mechanisation process) โดยประยุกต์จากกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง จนสามารถผลิตฟลาวมันสำปะหลังที่มีปริมาณไซยาไนด์ต่ำและปลอดภัยต่อการบริโภคในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จ
ฟลาวมันสำปะหลังที่ผลิตได้นี้ นอกจากมีคุณค่าสารอาหารเทียบเท่าฟลาวสาลีแล้ว ยังสามารถควบคุมคุณภาพด้านความหนืดให้มีคุณสมบัติที่ค่อนข้างสม่ำเสมอได้ จึงมีศักยภาพในการนำไปเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารทั้งอุตสาหกรรมแป้งประกอบอาหาร สามารถทดแทนแป้งสาลีที่นำเข้าจากต่างประเทศปีละกว่า 1,500 ล้านบาทนอกจากนี้ คุณสมบัติของฟลาวมันสำปะหลังที่ผลิตได้ยังปราศจากกลูเตนเหมาะที่จะนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ที่มีมูลค่าสูงสำหรับผู้บริโภคที่แพ้แป้งสาลีและผู้ป่วยที่เป็นโรคซีลิแอคที่เกิดจากกลูเตน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในข้าวสาลีอีกด้วยปัจจุบันไบโอเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตฟลาวมันสำปะหลังในระดับอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทชอไชยวัฒน์อุตสาหกรรมจำกัด ผลิตจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ โดยใช้เครื่องหมายการค้าว่า“ซาว่า (SAVA) แป้งเอนกประสงค์ไร้กลูเตน” ซึ่งนับเป็นผู้ผลิตฟลาวแป้งมันสำปะหลังรายแรกในประเทศไทยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น
Girm Zaber UV-C Sterilizer อุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี-ซี
Girm Zaber UV-C Sterilizer
อุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี-ซี
ในยามที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก หลายประเทศได้นำ "หุ่นยนต์" มาเป็นตัวช่วยไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่มีการใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติปล่อยรังสีUV-C ฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งโควิด-19 โดยไม่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับอันตรายจากรังสี ซึ่งมีผลต่อผิวหนังและเยื่อบุตา
ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาและทดสอบ "นวัตกรรมอุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี" (Girm Zaber) ซึ่งมีทั้งวุ่นที่เป็น Station และหุ่นยนต์ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อก่อโรคโควิด-19 ด้วยแสงยูวี-ซี (UV-C) สามารถเข้าถึงการฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่เฉพาะและจุดเสี่ยงโรคต่าง ๆ ได้ดี
"Girm Zaber Robot" ที่พัฒนาขึ้นนี้ ประกอบด้วยหลอดยูวี-ซี (UV-C) ขนาดพลังงานรวม 300 วัตต์ พร้อมชุดควบคุมไฟ มีความพิเศษตรงที่สามารถบังคับให้ขับเคลื่อนไปยังจุดต่าง ๆ ควบคุมผ่านโปรแกรมบนแอนดรอยด์แอปพลิเคชันเพื่อสั่งการให้หุ่นยนต์เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และหมุนตัวแบบ 360 องศา เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคแบบเข้าถึงในทุกสภาพพื้นที่
สำหรับ "รังสีอัลตราไวโอเล็ตหรือแสง UV" เป็นสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง 10 นาโนเมตร ถึง 400 นาโนเมตร ซึ่งมีความถี่ที่สูงกว่าที่ตาเรามองเห็นได้ โดย Gim Zaber Robot นี้ ใช้แสงยูวี-ชี มีความยาวคลื่นอยู่ในย่านความถี่ประมาณ 254 นาโนเมตร เป็นแสงยูวีที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก หรือเชื้อโรคต่าง โดยเฉพาะความยาวคลื่นนี้ แสงยูวีจะทำลายดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น ไวรัส แบคที่เรีย เชื้อรา และเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ รวมทั้งหยุดยั้งประสิทธิภาพในการแพร่พันธุ์และฆ่าพาหะของเชื้อโรคเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ Girm Zaber ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีนั้น เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ไม่มีคนอยู่ เพราะการใช้แสงยูวี แม้ว่าจะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ดี แต่หากนำไปใช้ไม่ถูกวิธีอาจเป็นอันตรายต่อคนที่สัมผัส ซึ่งจะมีผลต่อผิวหนังและเยื่อบุตาได้นอกจากนี้ ทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาระบบอัตโนมัติที่ควบคุมให้เคลื่อนที่ไปทำความสะอาดในจุดที่เสี่ยงแทนคน โดยเครื่องดังกล่าวสามารถฆ่าเชื้อในจุดต่าง ๆ จุดละประมาณ 15-30 นาทีฆ่าเชื้อโรคได้ในรัศมีโดยรอบ 1-2 เมตรข้อดีของหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อคือ ประหยัดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่อาจมีการขาดแคลน ลดการตกค้างหรือปนเปื้อนของสารเคมีและน้ำยาฆ่าเชื้อ เหมาะสำหรับใช้งานฆ่าเชื้อในพื้นที่ต่าง ๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่สามารถโดนน้ำ หรือน้ำยาเคมีได้และสามารถฆ่าเชื้อละอองฝอยที่ลอยในอากาศได้
อุปกรณ์ดังกล่าวผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผ่านการทดสอบมาตรฐาน Lighting (มอก. 1955/EN55015) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช.ปัจจุบันนวัตกรรมนี้นอกจากจะมีการทดสอบใช้งานจริงที่โรงพยาบาลสนามจุฬาลงกรณ์แล้ว สวทช. ยังได้สนับสนุนเครื่อง Girm Zaber UV-C ให้กับสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดตากและโรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสาคร นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานที่เลือกนวัตกรรมนี้ไปใช้แล้วได้แก่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี ศูนย์สัตว์ทดลอง คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลระยองดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น


