หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม
เทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับหมักแหนม “แหนม” เป็นผลิตภัณฑ์อาหารหมักแบบพื้นบ้าน ซึ่งใช้กระบวนการหมักเชื้อตามธรรมชาติและอาศัยออกซิเจนเป็นตัวเร่งให้จุลินทรีย์ผลิตกรดแล็กติกออกมาเพื่อให้เกิดความเปรี้ยว ถือเป็นการถนอมอาหารตามภูมิปัญญาชาวบ้านรูปแบบหนึ่งที่นิยมทำสืบต่อกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือแต่ด้วยขั้นตอนการผลิตแหนม ซึ่งจะต้องอาศัยเชื้อจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการหมักแหนมตามธรรมชาติ ส่งผลให้คุณภาพและรสชาติของผลิตภัณฑ์ไม่สม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดต่าง ๆ ทีมนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ศึกษาจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องในระหว่างกระบวนการผลิตแหนมและคัดแยกจุลินทรีย์ พบว่าเชื้อแต่ละตัวให้ความเปรี้ยว สีสัน และกลิ่นรสที่แตกต่างกันพร้อมกันนี้ได้พัฒนาการเพาะเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์จากแหนมป้าย่นจนได้ต้นเชื้อและสูตรต้นเชื้อในการผลิตแหนม 3 สูตร หรือที่เรียกว่า V1 V2 และ V3 โดยทั้ง 3 สูตรประกอบด้วยเชื้อที่แตกต่างกัน สามารถผลิตกรดแล็กติกและเลือกใช้ให้เหมาะสมตามสภาพอากาศได้ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตจุลินทรีย์ปริมาณมากโดยใช้อาหารเลี้ยงราคาถูกทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตต้นเชื้อผงแห้ง เพื่อสะดวกต่อการใช้งานและเก็บไว้ได้นาน ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์แหนมได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค สำหรับต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรต่าง ๆ ที่นำไปใช้ในกระบวนการผลิตแหนม เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรเร่งกระบวนการหมัก โดยใช้แล็กโทบาซิลลัส (Lactobacillus) เร่งการหมักแหนมให้เร็วขึ้น (ความเป็นกรดต่ำกว่า 4.6 ภายใน 36ชั่วโมง) แหนมที่ได้มีรสเปรี้ยวมีเนื้อสัมผัสและคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ดี ส่วนต้นแบบผลิตภัณฑ์เชื้อสูตรแล็กโทบาซิลลัสผสมยีสต์สามารถหมักแหนมให้มีรสเปรี้ยวภายใน 36 ชั่วโมง และแหนมมีกลิ่นรสแรงขึ้น ขณะที่ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อสูตรเพดิโอคอกคัส เอซิดิแล็กติซี (Pediococcus acidilactici) และสแตปฟิโลคอกคัส ไซโลซัส (Staphylococcus xylosus) ใช้หมักแหนมในช่วงอุณหภูมิ 20-50 องศาเซลเซียส ช่วยปรับปรุงสีของแหนม ทำให้แหนมมีสีแดงธรรมชาติตลอดอายุการเก็บรักษาจุดเด่นของการใช้เทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์เหล่านี้ก็คือ ลดระยะเวลาในการหมักแหนมและให้ความเปรี้ยวที่คงที่ มีสีแดงสม่ำเสมอ และเมื่อกระบวนการหมักแหนมมีระยะเวลาคงที่แล้วเชื้อจุลินทรีย์จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นตัวป้องกันที่ช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อก่อโรคในแหนมได้ นอกจากนี้เทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำอาหารประเภทอื่นได้ เช่น ปลาส้ม ซาลามิ หม่ำ หรือการหมักอาหารประเภทอื่น ๆเทคโนโลยีต้นเชื้อบริสุทธิ์สำหรับการผลิตแหนมของไบโอเทค สวทช. ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ให้แก่บริษัททาเลนท์ จำกัด เพื่อกระจายผลิตภัณฑ์ต้นเชื้อจุลินทรีย์สูตรต่าง ๆ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตแหนมต่าง ๆ และสูตรต้นเชื้อผลิตแหนมที่ได้จากงานวิจัยนี้ ไบโอเทค สวทช. ได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรไว้แล้วรวม 6 รายการนอกจากนี้ทีมนักวิจัยฯ ได้นำข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแหนม ที่พบในงานวิจัยอื่น ๆ มาพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์แหนมให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัยทั้งด้านการจัดทำเกณฑ์คุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์แหนม การตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพ คุณสมบัติทางเคมี คุณสมบัติของจุลินทรีย์ก่อโรคและไม่ก่อโรค คุณสมบัติทางประสาทสัมผัสของแหนมที่ผลิตออกจำหน่าย และเกณฑ์คุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แหนมงานวิจัยชิ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นยุคการบุกเบิกของไบโอเทค สวทช. ในการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ปรับปรุงคุณภาพอาหาร แก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการไทยและสะสมองค์ความรู้ด้านจุลินทรีย์ที่ใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร จนกลายมาเป็นจุดแข็งในการวิจัยและพัฒนาของไบโอเทค สวทช. ในปัจจุบันดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“AI FOR THAI” แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย
"AI FOR THAI" แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน "เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์" หรือ "เอไอ"(Artificial Intelligence: Al) เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ผนวกรวมกับข้อมูลมหาศาลที่อยู่ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งข้อความ เสียง ภาพและแผนผังข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เอไอมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า "Machine Learning" หรือการใช้อัลกอริทึม ที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมาก วิเคราะห์ ประเมินผลและคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ได้ "เอไอ" ไม่ได้มีไว้เพื่อแทนที่มนุษย์ แต่มีเป้าหมายที่จะเพิ่มความสามารถของมนุษย์ให้ทำงานที่ทำอยู่ได้ดีขึ้น จึงมีการนำเอไอมาประยุกต์ใช้งานที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตยุคใหม่ โดยการเติบโตของเทคโนโลยีเอไอจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจในอนาคต จาก Global economic effects of AI by 2030 ระบุว่า อุตสาหกรรมเอไออาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจประมาณ 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน)สำหรับประเทศไทย แม้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จะสะสมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทยและเอกลักษณ์ของไทยมากกว่า 20 ปี แต่ก็ยังขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ทั้งในภาครัฐและเอกชนอีกเป็นจำนวนมาก การจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาบุคลากรด้านเอไอในประเทศ สิ่งที่สำคัญก็คือการมีเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มที่เป็นบริบทของประเทศไทยเอง นอกจากจะสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการเห็นว่าข้อมูลสำคัญยังอยู่ภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี และสามารถสร้างแอปพลิเคชันด้านเอไอสำหรับคนไทยได้อย่างรวดเร็ว จากเหตุผลดังกล่าว เนคเทค สวทช. จึงร่วมมือกับพันธมิตรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดตัว "AI FOR THAI" ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ากับบริบทของประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาบุคลากรเอไอเชิงลึก โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี Machine Learning เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลตอบโจทย์ผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและการบริการต่าง ๆ เช่น ภาคธุรกิจกลุ่มค้าปลีก (Retail) สามารถใช้ Chatbot โต้ตอบเพื่อซื้อขายให้บริการแก่ลูกค้าแทนพนักงาน กลุ่มโลจิสติกส์ใช้ Face recognition เพื่อตรวจจับใบหน้าของพนักงานขับรถว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ด้านการแพทย์ที่เริ่มใช้เอไอมาวิเคราะห์แนวโน้มความเสี่ยงของโรคส่วนบุคคล หรือการอ่านฟิล์มเอกซเรย์แทนมนุษย์ และในด้าน Blockchain ได้นำเอไอมาสร้างระบบสำหรับผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตให้สามารถคาดการณ์ได้ว่ามีสินค้าในคลังมากเกินไป หรือมีสินค้าในคลังน้อยเกินไปทั้งนี้เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมาเนคเทค สวทช. ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อพัฒนาต้นแบบปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการตรวจสอบ ที่สามารถส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับข้อมูลที่ผิดปกติ ซึ่งระบบปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือหรือผู้ช่วยให้ผู้ตรวจสอบสามารถตอบสนองต่อความเสี่ยงที่จะเกิดได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ การพัฒนา "AI FOR THAI" แพลตฟอร์มเอไอสัญชาติไทยนี้เนคเทค สวทช. มีเป้าหมายว่าจะเป็นฐานรากทางเทคโนโลยีที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันให้แก่นักธุรกิจนักพัฒนา และนักวิจัยทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ ให้สามารถนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยและก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ฟิล์มบรรจุภัณฑ์หายใจได้ ยืดอายุผัก-ผลไม้สด
ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ฟิล์มบรรจุภัณฑ์หายใจได้ ยืดอายุผัก-ผลไม้สด พฤติกรรมการซื้ออาหารของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยโดยเฉพาะในกลุ่มผักและผลไม้ จากการเลือกซื้อในตลาดสดตามน้ำหนักที่ต้องการ ก้าวมาสู่ยุคปัจจุบันที่ผู้คนหันมานิยมการซื้อผักและผลไม้จากร้านค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือโมเดิร์นเทรดมากขึ้นผักและผลไม้ที่บรรจุในถุงพลาติกใสหรือห่อหุ้มด้วยฟิล์มพลาสติกจึงเป็นที่คุ้นตาเพราะให้ทั้งความสวยงามเป็นระเบียบ ความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยในการบริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ดีขั้นตอนการบรรจุเหล่านี้ก็เพิ่มระยะเวลาภายหลังการเก็บเกี่ยวจากแหล่งปลูกสู่มือผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้มีการนำเทคโนโลยีการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวร่วมกับเทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์เข้ามาช่วยรักษาคุณภาพของผักผลไม้ให้คงคุณภาพจนถึงมือผู้บริโภคกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีของผักและผลไม้ภายหลังการเก็บเกี่ยว เช่น การหายใจ การคายน้ำ การผลิตก๊าซเอทิลีน และเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบเคมี เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียสภาพ รสชาติ และการเน่าเสีย ในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนากระบวนการต่าง ๆ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาพืชผักและผลไม้ โดยหนึ่งในหลักการที่มีประสิทธิภาพคือหลักการของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรักษาสภาวะบรรยากาศให้เหมาะต่อความต้องการของผลิตผลนั้น ๆ หรือบรรจุภัณฑ์ที่ยอมให้มีการแลกเปลี่ยนก๊าซในระดับสูงเพื่อสร้างสภาวะรอบผลิตผลให้เป็นสภาวะสมดุล (Equilibrium Modified Atmosphere, EMA) อันจะส่งผลให้เกิดการลดอัตราการหายใจของพืชผักและผลไม้ ชะลอการสุก ลดการคายน้ำ และยืดอายุการเก็บรักษานักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาคุณภาพผักและผลไม้สดไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2544 และประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรฟิล์ม “ActivePAKTM” ที่มีค่าการผ่านของก๊าซสูง ประกอบด้วยการพัฒนาในส่วนของสูตรเม็ดพลาสติกเข้มข้นและกระบวนการเป่าขึ้นรูปฟิล์มด้วยเครื่องจักรในระดับอุตสาหกรรม และได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้สิทธิแก่เอกชนเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549“ActivePAKTM” หรือที่เรียกกันว่า เป็นถุงหายใจได้ มีสมบัติเด่นคือเป็นฟิล์มที่ยอมให้ก๊าซที่ใช้ในกระบวนการหายใจ ได้แก่ ก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านเข้าออกได้ดี และสอดคล้องกับอัตราการหายใจของผักและผลไม้สดที่บรรจุช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ จึงสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้สดได้นานขึ้น 2-5 เท่า โดยที่ผลิตผลยังคงมีคุณภาพและรสชาติที่ดี นอกจากนี้ถุงที่ทำจากฟิล์ม ActivePAKTM ยังมีลักษณะใส ไม่เกิดฝ้าขณะวางจำหน่าย ทำให้มองเห็นสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค จากประสิทธิภาพดังกล่าวทำให้ ActivePAKTM ถุงหายใจได้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น ท๊อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต เทสโก้โลตัส ทีมนักวิจัยฯ ได้มีการพัฒนาต่อยอดและร่วมมือกับมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผักและผลไม้สด ต่อยอดพัฒนาเป็นฟิล์มบรรจุภัณฑ์ “ActivePAKTM Ultra” ที่เน้นไปที่ผลิตผลสดที่มีอัตราการหายใจสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด ซึ่งเน่าเสียอย่างรวดเร็วหลังการเก็บเกี่ยว และทำให้ยากต่อการจัดการเพื่อกระจายสินค้าและจำหน่าย การใช้หลักการสร้างสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ให้มีความสมดุลควบคุมก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ไหลผ่านเข้า-ออกถุงได้ในระดับที่พอเหมาะ ช่วยให้ผลิตผลสดที่อยู่ในถุงมีอัตราการหายใจลดต่ำลง สามารถยืดอายุความสดได้นานขึ้น เช่น เห็ดหอมสด สามารถคงคุณค่าและรสชาติได้นานถึง 9 วัน ที่อุณหภูมิ 4-8 องศาเซลเซียส ซึ่งจากเดิมเก็บรักษาไว้ได้เพียง 3 วันเท่านั้นการรับโจทย์จากผู้ประกอบการ ผสมผสานกับการพัฒนาและร่วมทดสอบกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ActivePAKTM และ ActivePAKTM Ultra ประสบความสำเร็จ สามารถต่อยอดจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ ที่สำคัญก็คือ สามารถช่วยภาคการเกษตรของไทยในการยืดอายุการเก็บรักษาผลิตผลสด ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วยจากองค์ความรู้และงานวิจัยที่ สวทช. ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นพัฒนาอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทยได้อย่างยั่งยืนดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที             จากวิกฤติโรคระบาดใหม่อย่าง “โควิด-19 (COVID-19)” ที่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนทั่วโลกไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การพกแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัว รวมถึงการตรวจวัดอุณหภูมิที่จุดคัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าไปในอาคารต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งจําเป็นต้องทําทุกพื้นที่ เนื่องจากเป็นวิธีคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นที่สามารถบ่งชี้อาการเบื้องต้นของโควิด-19            อย่างไรก็ดี อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิส่วนใหญ่มีข้อจํากัดที่ไม่สามารถตรวจวัดครั้งละหลายคนพร้อมกันได้ทั้งระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรองยังไม่มากพอ อาจมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรค ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิที่สามารถตรวจวัดได้พร้อมกันหลายคนก็มีอยู่ แต่ต้องนําเข้าในราคาที่สูง            ทีมนักวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงนําเอาความเชี่ยวชาญผสานองค์ความรู้สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานภายในประเทศที่สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศด้วย “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ (µTherm-FaceSense)” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ            มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ใช้เทคโนโลยีกล้องอินฟราเรดผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) โดยไม่มีข้อจํากัดแม้สวมหน้ากากอนามัย ด้วยระบบประมวลผลที่รวดเร็วแม่นยําภายใน 0.1 วินาที และสามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้ครั้งละหลายคนพร้อมกันในระยะห่างสูงสุด 1.5 เมตร จึงช่วยลดระยะเวลารวมถึงลดความเสี่ยงจากความใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรอง พร้อมรองรับการเชื่อมต่อและจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่หลากหลาย            การทํางานของ “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” นั้นเป็นระบบที่สามารถคัดกรองอุณหภูมิบุคคลได้หลายคนพร้อมกันแบบไม่สัมผัสในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยจะแสดงค่าอุณหภูมิเป็นตัวเลขบนจอ หากพบบุคคลที่มีอุณหภูมิเกินค่าที่กําหนดตัวเลขจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและส่งเสียงแจ้งเตือนทันที            จุดเด่นหลักของมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ คือ มีความถูกต้องแม่นยําในการตรวจวัด สามารถตรวจวัดได้หลายคนพร้อมกันในเวลาที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตไทยเข้าถึงได้ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ โดยสามารถติดตั้งใช้งานได้หลากหลายในสถานที่ต่าง ๆ            นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัย (Information technology equipment (IEC60950-1), มาตรฐานการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า CISPR 22 (EMC Standard) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. และผ่านการสอบเทียบค่าอุณหภูมิ Certificate of Calibration จากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติแม้จะเป็นนวัตกรรมเพื่อรองรับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 แต่หากมองในระยะยาวนวัตกรรมนี้สามารถตอบโจทย์โรคระบาดใหม่ในอนาคต เป็นเครื่องมือช่วยเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงการสูญเสียจากผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับภาวะอุณหภูมิของร่างกายที่ผิดปกติ และการระบาดของโรคร้ายแรง ต่อยอดใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงเพื่อออกประกาศการป้องกันและการดูแลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะหรือโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย รวมถึงทํานายอุบัติการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการเกิดธุรกิจใหม่ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ให้บริการอีกด้วย            ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องต้นแบบจํานวน 40 เครื่องไปยังหน่วยงานที่มีความเสี่ยง เพื่อสกัดกั้นการระบาดของโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีการผลิตและจําหน่ายเครื่องมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ รุ่น Limited Edition รวมถึงอยู่ระหว่างดําเนินการร่างสัญญาการขออนุญาตใช้สิทธิ            นวัตกรรมจาก สวทช. นี้ นับเป็นเทคโนโลยีการตรวจวัดอุณหภูมิที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยลดการนําเข้าได้ถึง 3 เท่า ที่สําคัญสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 7,032,023.49 บาท ในปี พ.ศ. 2561 และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 2,619,531.46 บาท ในปี พ.ศ. 2562 อีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“TPMAP”จัดการความยากจนแบบชี้เป้าและตรวจสอบได้
"TPMAP"จัดการความยากจนแบบชี้เป้าและตรวจสอบได้ "ใครคือคนจน คนจนอยู่ที่ไหน ปัญหาของคนจนคืออะไร และจะแก้ไขปัญหาคนจนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร" หากเรายังไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้... แล้วเราจะแก้ปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังระดับชาติและระดับโลกได้อย่างไร ด้วยมองว่า ... "การแก้ปัญหาแบบปูพรม ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืนและตรงจุด" สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จึงร่วมมือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯนำระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า (Big data) มาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ โดยพัฒนาเป็น "TPMAP" (ทีพีแมป) ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า TPMAP 1.0 (Thai Poverty Map and Analytics Platform) หรือทีพีแมปเวอร์ชันแรก ได้รับการพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2561 มีการประยุกต์ใช้การนำเข้าข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้า นำร่องในการให้ความช่วยเหลือและแก้ปัญหาความยากจน โดยมุ่งตอบโจทย์ปัญหาข้างต้นไปพร้อม ๆ กัน จากโจทย์ปัญหา.... เพื่อให้สามารถระบุได้ว่า "ใครคือคนจนที่แท้จริง" ซึ่งความยากจน หรือความขัดสนของประชาชนไม่ได้มีแค่มิติของ "รายได้" เท่านั้น TPMAP ได้นำหลักดัชนี่ความยากจนหลายมิติ หรือ Multidimensional Poverty Index: MPI ซึ่งคิดค้นโดย Oxford Poverty & Human Development Initiative และ United Nation Development Programme (UNDP) มาประยุกต์ใช้กับข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) จากกรมการพัฒนาชุมชนเพื่อหาคนจนหรือคนที่ขัดสนใน 5 มิติตามบริบทของประเทศไทย คือ "ด้านสุขภาพ ความเป็นอยู่ การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการรัฐ" จากข้อมูล จปฐ. ซึ่งเป็นแกนกลาง มีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลการลงทะเบียนภาครัฐของกระทรวงการคลัง เพื่อหาคนจนเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน นอกจากข้อมูลแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่ได้มา ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าอนาไลติกส์ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เครือข่ายข้อมูล มีการบูรณาการข้อมูลเพื่อเป็นการตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกัน และแสดงผลในรูปแบบแผนที่เป็น Dashboard ทำให้เข้าใจฐานข้อมูลความยากจนเชิงพื้นที่ในมิติต่าง ๆ ได้ ปัจจุบันระบบมีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เช่น ข้อมูลการลงทะเบียนคนพิการจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ข้อมูลการรับเบี้ยคนพิการและผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อมูลสิทธิการรักษาพยาบาลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพ(สปสช.) นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการข้อมูลอื่น ๆ จากแต่ละภาคส่วน เพื่อให้ระบบมีความสมบูรณ์มากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาในมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากความยากจน และนำไปสู่การพัฒนาเป็นระบบสำหรับการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต หรือ TPMAP 2.0 (Thai People Map and Analytics Platform) ระบบ TPMAP นี้ เปิดให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงหน่วยงานที่ต้องการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง สามารถเข้าถึงข้อมูลในระดับภาพรวมของประเทศจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านได้ ผ่านทาง https://www.tpmap.in.th/ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลรายครัวเรือนหรือรายบุคคลนั้นจะรั่วไหล เพราะระบบจะให้สิทธิเฉพาะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยเข้าผ่านระบบ "TPMAP Logbook" (ทีพีแมป ล็อกบุ๊ก) หรือ "ระบบแฟ้มบ้านพัฒนาคนไทย" ซึ่งถือเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายแรกของประเทศที่สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายของการพัฒนาได้ทั้งครัวเรือนและบุคคล ทีมวิจัยจากเนคเทค สวทช. ได้ต่อยอดพัฒนา "TPMAP Logbook" ขึ้น เพื่อเป็น"เครื่องมือ" สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ สามารถนำไปใช้ในการดำเนินงานได้สะดวกรวดเร็ว และแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดมากที่สุด เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเบื้องต้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาแล้ว บันทึกแก้ไขปรับปรุงข้อมูลให้ตรงตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ ใช้สอบถามสาเหตุของปัญหาติดตามการแก้ปัญหารายครัวเรือน บันทึกข้อมูลปัญหาและกิจกรรมการให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งยังสามารถรายงานผลการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยตรวจสอบความคืบหน้าของการช่วยกันแก้ไขปัญหาความยากจนได้ ปัจจุบันหลายจังหวัดเริ่มนำระบบ TPMAP และ TPMAP Logbook ไปใช้งานตัวอย่างเช่น สกลนคร สมุทรสงคราม ขอนแก่น มุกดาหาร และนครราชสีมาได้มีการนำเอาช้อมูลจากทั้ง 2 ระบบมาวิเคราะห์ หาข้อมูล ปัญหา และความต้องการเชิงลึกในแต่ละพื้นที่ อันนำไปสู่การจัดทำแนวทางแก้ไขที่สอดคล้อง เหมาะสมกับความต้องการและบริบทการพัฒนาในพื้นที่อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าระบบนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ในการชี้เป้าที่ลงลึกได้ถึงรายบุคคล สามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการพัฒนาคนได้ตลอดในทุกช่วงวัย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่มากขึ้น และสามารถออกแบบนโยบาย หรือโครงการที่ตรงกับความต้องการเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาปัญหาความซ้ำซ้อนของการรับสวัสดิการรวมทั้งปัญหา "ภาวะรั่วไหล" ในคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายแต่ได้รับสวัสดิการ และ "ภาวะตกหล่น" หรือการเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงระบบบริหารจัดการข้อมูล การพัฒนาคนแบบชี้เป้าจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประหยัดการใช้เงินงบประมาณ ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการคลังของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“ไข่ออกแบบได้”สารเสริมอาหารเพิ่มคุณภาพในไข่ไก่
“ไข่ออกแบบได้”สารเสริมอาหารเพิ่มคุณภาพในไข่ไก่ ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และนาโนเทคโนโลยีผนวกกับองค์ความรู้ด้านการเกษตร ทำให้แม้แต่ “ไข่” ที่ทุกคนคุ้นเคยและเป็นอาหารของคนในทุกช่วงวัย ก็สามารถออกแบบให้มีคุณภาพสูงขึ้น จากปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ที่ขาดทุนจากการทำฟาร์มไก่เป็นจำนวนมากทั้งจากสภาพการแข่งขัน ต้นทุนในการผลิตไข่ไก่ และบ่อยครั้งต้องประสบปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด รวมถึงไข่ไก่ที่ผลิตได้ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เพื่อสร้างจุดแข็งด้วยสินค้าที่แตกต่างและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันก็สามารถลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะการลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยใช้สมุนไพรซึ่งเป็นสารจากธรรมชาติทดแทน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับบริษัทเกรนาเดส ไบโอเทค จำกัด (บริษัทคลีน กรีนเทค จำกัด เดิม) วิจัยและพัฒนา“ไข่ออกแบบได้” หรือ “สารเสริมอาหารสำหรับไก่เพื่อเพิ่มคุณภาพไข่ไก่” ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบนำส่งยาหรือสารสำคัญในรูปแบบ Self-Emulsifying Drug Delivery Systems หรือ SEDDS ของน้ำมันโหระพาและน้ำมันออริกาโนให้อยู่ในรูปแบบที่นำไปใช้ได้สะดวกต่อการเป็นสารเสริมอาหารในไก่ “ไข่ออกแบบ” นี้เรียกได้ว่าเป็น “นวัตกรรมระดับโลก” และเป็นครั้งแรกที่มีการใช้นาโนเทคโนโลยีในการนำพาสารสู่อวัยวะเป้าหมายมาพัฒนาเป็นระบบการนำส่งสารสมุนไพรเพื่อพัฒนาคุณภาพของไข่ไก่ตั้งแต่อยู่ในฟอง ด้วยการต่อยอดองค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบนำส่งมาประยุกต์ใช้ในการนำส่งสารสมุนไพรหรือสารสกัดจากธรรมชาติให้สามารถออกฤทธิ์ได้ดีในไก่ เพื่อทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจาก “ไก่” เป็นสัตว์ที่มีลำไส้สั้น การจะให้สารสกัดจากสมุนไพรผ่านวิธีการทานอาหารหรือน้ำ สารสำคัญจะมีเวลาในการออกฤทธิ์ภายในลำไส้ของไก่ได้น้อย ทำให้ประสิทธิภาพต่าง ๆ ลดลง ดังนั้นทีมนักวิจัยฯ จึงออกแบบระบบนำส่งสารสำคัญซึ่งสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติให้เหมาะสมกับสรีระของไก่ โดยการเลือกใช้ “สารสกัดโหระพา” ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อบิดในลำไส้ไก่ และ “สารสกัดออริกาโน่” ที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ ต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นให้สัตว์อยากกินอาหารปกติสารสกัดทั้งสองชนิดนี้จะละลายได้ในไขมัน เพื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้งานเป็นอาหารเสริมในไก่ จึงมีการพัฒนาเป็นสูตรตำรับ Self-Emulsifying Drug DeliverySystem หรือ SEDDS ร่วมกับสารลดแรงตึงผิวและสารลดแรงตึงผิวร่วม เพื่อให้สามารถเกิดเป็นอิมัลชันชนิดน้ำมันในน้ำได้ด้วยตัวเอง มีความคงตัวทางกายภาพสูง และดูดซึมได้เร็ว ผลิตภัณฑ์จากระบบดังกล่าวมีคุณสมบัติเป็นสารเสริมสมรรถนะการผลิตไข่ไก่ ที่มีค่าชีวประสิทธิผลเมื่อให้ทางการกินได้สูงสามารถลดปริมาณการใช้ยาปฏิชีวนะและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย ความโดดเด่นของผลงานที่เป็นนวัตกรรมที่จะสร้างระบบและการปฏิรูปทำให้ธุรกิจเกษตรและอาหารเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ “ไข่ออกแบบได้” ได้รับรางวัลชนะเลิศผลงานนวัตกรรมแห่งชาติด้านเศรษฐกิจประจำปี พ.ศ. 2559 จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (เอ็นไอเอ) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นวัตกรรม “ไข่ออกแบบได้” นี้ นับเป็นนวัตกรรมที่เพิ่มความสามารถให้แก่การแข่งขันให้เกษตรกรไทย สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นและเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งทิศทางนี้สำคัญต่อการผลิตปศุสัตว์ทั่วโลก ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
eMENSCR นวัตกรรมติดตามผลช่วยพัฒนาประเทศ
eMENSCR นวัตกรรมติดตามผลช่วยพัฒนาประเทศ หน่วยงานภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำโครงการต่าง ๆ ในการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม สารารณะ และประเทศชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนำเครื่องมือที่เรียกว่า "eMENSCR" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระบบสารสนเทศที่สามารถติดตามการทำงาน ประเมินผล และสามารถนำมาช่วยในการวิเคราะห์โครงการต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่จุดหมายและบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน รวมถึงการลดอุปสรรค ข้อจำกัด และกับดักเดิม ๆ ของภาครัฐที่ต่างคนต่างทำงาน "eMENSCR"หรือ Electronic Monitoring and Evaluation System of National Strategy and Country Reform เป็นระบบสารสนเทศที่ใช้ติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานผ่านแผนงาน โครงการหรือการดำเนินการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ โดยเป็นระบบข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนราชการต่าง ๆ ได้อย่างบูรณาการ นอกจากนี้ eMENSCR ยังเป็นระบบ Paperless system เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเผยแพร่รายงานสรุปผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้ประชาชนทราบ ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตามประเมินผล และเป็นระบบฐานข้อมูลกลางที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างบูรณาการ ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมทั้งช่วยลดภาระการให้ข้อมูลเพื่อประกอบการชี้แจงต่าง ๆ ของหน่วยงานอีกด้วย จุดเริ่มต้นของ eMENSCR เกิดขึ้นจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมหารือกันในการนำระบบที่ตอบโจทย์เรื่องนโยบายทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการการจัดทำโครงการ ขั้นตอนการติดตามผล สู่ผลลัพธ์ระยะยาว โดยสามารถสร้างให้ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกันได้ ทุกภาคส่วนสามารถเห็นข้อมูลร่วมกัน เห็นความซ้ำซ้อนของโครงการเพื่อจัดสรรงบประมาณการดำเนินงานที่เหมาะสม หรือสร้างโครงการใหม่ที่ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น โดย eMENSCR จะเป็นระบบ Open data มีเนื้อหาและเครื่องมือใน 7 หัวข้อหลัก ที่ประกอบด้วย ส่วนรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามแผนระดับที่ 1 และ 2 แสดงข้อมูลของแผนแม่บทระดับชาติ ส่วนรายงานผลการดำเนินงานตามเป้าหมายของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมทั้งแสดงโครงการที่มีความสอดคล้องกับแต่ละเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ส่วนสรุปจำนวนโครงการตามยุทธศาสตร์ชาติแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศส่วนรายงานจำนวนโครงการที่สอดคล้องกับแผนแต่ละระดับ ส่วนแสดงจำนวนโครงการจำแนกตามสถานะการอนุมัติโครงการ ส่วนแสดงโครงการทั้งหมด และส่วนแสดงข้อมูลสถานการณ์รายงานความก้าวหน้าของโครงการ เนคเทค สวทช. มีเป้าหมายที่จะให้ eMENSCR เป็นจุดศูนย์กลางของข้อมูลที่แสดงถึงสถานการณ์หรือตัวชี้วัดของระบบรวมทั้งได้วางแผนในอนาคตของ eMENSCRคือ การบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ เป็น One stop service เพื่อให้สามารถติดตามข้อมูลได้ในระบบเดียวกัน ด้วยการสร้างโครงการใหม่จะมีข้อมูลเกิดใหม่ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการบริหารจัดการโครงการ (Operation) ข้อมูลสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลผลกระทบ และผลลัพธ์ ทั้งนี้การเปิดเผยข้อมูลโดย eMENSCR จะเป็นการสร้างความโปร่งใส พร้อมได้รับแนวความคิดใหม่ ๆ จากภาคประชาชนและสังคมเพื่อตอบโจทย์ประชาชนได้ eMENSCR สามารถตรวจสอบโครงการที่รองรับยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เมื่อระบบสารสนเทศติดตามประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) สามารถติดตามและประเมินผลของโครงการภาครัฐต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สามารถเป็นกลไกหลักในการติดตามประเมินผลการทำงานของส่วนราชการได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติอย่างแท้จริงต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชหนุนเกษตรปลอดภัย
ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชหนุนเกษตรปลอดภัย แมลงศัตรูพืชถือเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความเสียหายอย่างมากกับการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของแมลงศัตรูพืช เกษตรกรจึงมีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืชอย่างแพร่หลาย เพราะได้ผลที่รวดเร็ว แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม รวมถึงสุขภาพของตัวเกษตรกรเอง ขณะเดียวกันในปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจสุขภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยในอาหารมากขึ้น การทำ “เกษตรปลอดภัย” ด้วยการใช้ชีวภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่สามารถก่อโรคอย่างจำเพาะในแมลง เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย หรือว่าไวรัส ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ทดแทนการใช้สารเคมีอันตรายในการกำจัดแมลงศัตรูพืชจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ต่อยอดงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ มาพัฒนาเป็นสารชีวภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเกษตรกรไทยในการกำจัดแมลงศัตรูพืชทดแทนสารเคมีอันตรายที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างเช่น การผลิตไวรัสเอ็นพีวี (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)ซึ่งเป็นไวรัสที่เกิดโรคกับแมลงบางชนิด เป็นผลงานวิจัยจากการคัดเชื้อไวรัสที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในประเทศไทยมาทดสอบภาคสนามทั้งด้านความปลอดภัยกับสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม พบว่าเชื้อไวรัส NPV นี้จะทำให้หนอนบางชนิดเท่านั้นที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วป่วยตาย โดยที่มีความจำเพาะสูงมาก คือหนอนกระทู้หอมและหนอนเจาะสมอฝ้าย ซึ่งเป็นหนอนสำคัญที่ได้ทำลายพืชทางเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น องุ่น หอมแดงหอมหัวใหญ่ ส้ม มะเขือเทศ หรือไม้ดอกอย่างกุหลาบ เบญจมาศ ดาวเรือง ปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตไวรัส NPV ของแมลงศัตรูพืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจ 3 ชนิด คือ ไวรัส NPV ของหนอนกระทู้หอม ไวรัส NPV ของหนอนเจาะสมอฝ้าย และไวรัส NPV ของหนอนกระทู้ผัก นอกจากนี้ทีมนักวิจัยของไบโอเทค สวทช. ยังได้พัฒนาชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชจากเชื้อราบิวเวอเรีย บาเซียนา (Beauveria bassiana) ซึ่งเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกับแมลงหลายชนิด โดยจะสร้างเส้นใยและสปอร์สีขาวแพร่กระจายในธรรมชาติและทำลายแมลงทุกระยะ โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยแป้ง หนอนศัตรูพืช และแมลงปากกัดปากดูดทุกชนิด ทำให้ควบคุมการแพร่ระบาดแมลงศัตรูพืช และยังสามารถทำลายปลวก มดคันไฟได้อีกด้วย ทั้งนี้ทีมนักวิจัยฯ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสปอร์ราที่มีคุณภาพสูงสามารถถ่ายทอดให้หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มเกษตรกร และภาคเอกชน นำไปผลิตเพื่อขยายผลการใช้ให้แพร่หลาย โดยชีวภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชจากเชื้อราบิวเวอเรียบาเซียนา มีจุดเด่นคือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ไม่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีอันตรายต่อสัตว์ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถใช้ได้กับแมลงที่ดื้อยาอีกด้วย สำหรับการผลิตชีวภัณฑ์จากแบคทีเรีย ทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงศัตรูพืชเพื่อเกษตรปลอดภัยขึ้นโดยใช้ชื่อว่า “วิปโปร (VipPro) พัฒนาจากโปรตีน Vip3A (Vegetative insecticidal protein)ซึ่งเป็นโปรตีนฆ่าแมลงที่พบได้ในแบคที-เรียบีที (Bacillus thuringiensis) บางสายพันธุ์ โดยโปรตีนจะถูกสร้างและหลั่งออกนอกเซลล์ในระยะที่เซลล์กำลังเจริญก่อนเข้าสู่การสร้างสปอร์ โปรตีนในกลุ่มนี้สามารถออกฤทธิ์ฆ่าหนอนแมลงในกลุ่มหนอนผีเสื้อและหนอนผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นแมลงศัตรูหลักของพืชเกือบทุกชนิด จากการค้นหา Vip3A ตัวใหม่จากบีทีสายพันธุ์ที่คัดแยกได้ในประเทศไทยจำนวนมากกว่า 500 ตัวอย่าง ทำให้ได้โปรตีนที่ออกฤทธิ์ได้ดีต่อหนอนกระทู้หอม (Spodoptera exigua) และหนอนกระทู้ผัก (Spodoptera litura) ซึ่งเป็นแมลงศัตรูพืชที่สำคัญและก่อความเสียหายอย่างมากกับพืชเศรษฐกิจหลายชนิดของประเทศไทย โดยชีวภัณฑ์ VipPro เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สามารถออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเร็ว แมลงหยุดกินอาหารภายในหนึ่งชั่วโมง ลดความสูญเสียและร่องรอยตำหนิบนใบพืช และออกฤทธิ์เสริมกับชีวภัณฑ์อื่น ๆ เช่น ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana) และโปรตีนผลึกจากบีที (Cry toxins) ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ชีวภัณฑ์เหล่านั้นอย่างน้อยสิบเท่า เมื่อใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ VipPro และสามารถใช้ได้กับแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีหรือดื้อต่อโปรตีนผลึก ผลการทดสอบภาคสนามพบว่า ผลิตภัณฑ์ VipPro สามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ดีมากในทุกแปลงทดสอบ และได้ผลผลิตเทียบเท่ากับการใช้สารเคมี งานวิจัยเหล่านี้เป็นการสร้างทางเลือกและรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยที่สนใจทำการเกษตรแบบปลอดภัยและยั่งยืน. ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“What2Grow-FAARMis” แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพการทำเกษตร
“What2Grow-FAARMis”แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพการทำเกษตร การยกระดับเกษตรกรไทยให้เป็น “สมาร์ตฟาร์มเมอร์” (Smart farmer) หรือ “เกษตรกรอัจฉริยะ” นั้น นอกจากจะอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารและส่งผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงองค์ความรู้ที่มีประโยชน์ไปสู่เกษตรกรได้อย่างรวดเร็วปัจจุบันหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนได้บูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตรของเกษตรกรไทย เช่น ผลงาน “What2Grow เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านการเกษตร” ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนาขึ้น“What2Grow” เป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสม เช่น ข้อมูลการผลิต ผลผลิต สภาพพื้นดินข้อมูลแผนที่ พื้นที่ชลประทาน อุปสงค์/อุปทาน ต้นทุน และราคาขายของผลผลิตทางการเกษตร ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์และพัฒนาแบบจำลองในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมที่เหมาะสม บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและบริหารผลผลิตได้ดีขึ้นนอกจากนี้ระบบยังสามารถใช้เก็บข้อมูลรายแปลงของเกษตรกร ทำให้ทราบข้อมูลการผลิตนำไปเชื่อมโยงกับการคาดการณ์ราคาล่วงหน้าและภัยธรรมชาติที่อาจจะส่งผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรแต่ละราย ลดความเสี่ยง ช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและลดภาระรัฐบาลในการจำนำอุดหนุน และชดเชยความสูญเสียให้แก่เกษตรกรได้ทั้งนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2558 รัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกระทรวงหลักในการขับเคลื่อนนโยบายการปฏิบัติงานด้านการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมหรือโซนนิง (Zoning) และอะกรี-แมป (Agri-Map) หรือการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่เชิงรุกในระดับพื้นที่ด้วยการบูรณาการข้อมูลพื้นที่ต่าง ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2558 ทีมนักวิจัยจากเนคเทค สวทช. ได้นำเสนอระบบ What2Grow ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ในทิศทางเดียวกันกับ “Agri-Map” โดยระบบ What2Grow สามารถรับข้อมูลต่าง ๆ จากการบูรณาการให้สามารถนำไปใช้ได้ทั่วประเทศ ด้วยการใช้งานในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งระบบ Agri-Map ก็มีการพัฒนาแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงออนไลน์เช่นกัน What2grow ได้รับการตอบรับให้เป็นระบบที่มีการใช้งานร่วมกับ Agri-Map โดยใช้ชื่อว่า “Agri-Map Online” หรือ “ระบบแผนที่เชิงรุกออนไลน์” และได้มีการต่อยอดพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน รองรับทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และไอโอเอส เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศด้านการเกษตร เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลและสามารถเลือกปลูกพืชเศรษฐกิจทดแทนให้เหมาะสมตามขั้นความเหมาะสมของดิน ตำแหน่งที่สนใจไปยังเฟซบุ๊กและไลน์ได้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลพร้อมติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุมการนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเพาะปลูกผลผลิตด้านการเกษตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและคาดการณ์ในอนาคต ทำให้สามารถใช้งานได้จากทุกที่ ทุกเวลา และสามารถแชร์ข้อมูลนอกจากนี้เนคเทค สวทช. ยังได้พัฒนา “FAARMis” (ฟามิส) แอปพลิเคชันสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรแบบเชิงรุกที่พัฒนาต่อยอดจากระบบ TAMIS รุ่นที่ 1 เพื่อใช้ในการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรด้วยสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ โดยมุ่งเน้นการขึ้นทะเบียนเกษตรกรตามเงื่อนไขของกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งผู้ใช้งานต้องเป็นเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรหรืออาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน โดยใช้เป็นเครื่องมือทำงานในพื้นที่แบบเชิงรุกในการดำเนินการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรหรือปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรในกลุ่มผู้ปลูกพืช ทำนาเกลือและเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ เพื่อต้องการทราบสถานการณ์การเพาะปลูกของเกษตรกรประมาณการผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วแอปพลิเคชัน FAARMis ที่พัฒนาขึ้นนี้มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรแบบทันที ซึ่งมีเงื่อนไขการตรวจสอบรายการข้อมูลที่เข้มงวด รองรับการอ่านบัตรประชาชนแบบสมาร์ตการ์ด สามารถตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิ์กับกรมที่ดิน กรมการปกครอง สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ร่วมกับภาพถ่ายดาวเทียมไทยโชตของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) และกูเกิลแมป ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ทราบตำแหน่งกิจกรรมที่แท้จริงพร้อมกับวาดแปลงกิจกรรมที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ส่งกลับเข้ามายังระบบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร สามารถทราบสถานะของข้อมูลได้ตลอดเวลาแบบทันท่วงที ทั้งแพลตฟอร์ม What2Grow และแอปพลิเคชัน FAARMis ที่ สวทช.โดยเนคเทค ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาขึ้นนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับภาคการเกษตรของไทยและถือเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกษตรกรไทยก้าวสู่การเป็นสมาร์ตฟาร์มเมอร์ได้เร็วขึ้นอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
Thai School Lunch จากดิจิทัลสู่เมนูอาหารกลางวันในโรงเรียน
Thai School Lunch จากดิจิทัลสู่เมนูอาหารกลางวันในโรงเรียน เนื่องจากการจัดโภชนาการอาหารให้ถูกหลักและเพียงพอเป็นสิ่งที่ภาครัฐตระหนักเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาพบว่าอาหารกลางวันขาดแคลน คุณภาพและปริมาณไม่เพียงพอ อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ทำให้ภาวะการเจริญเติบโตของเด็กไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อช่วยให้โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสามารถจัดอาหารกลางวันที่มีคุณภาพถูกหลักโภชนาการให้แก่เด็ก ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ภายใต้งบประมาณที่จำกัด ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงร่วมมือกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา "ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนแบบอัตโนมัติ" หรือ "Thai School Lunch" ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2555 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของแต่ละโรงเรียนในการคิดเมนูอาหารที่เหมาะสม และมีประโยชน์สูงสุดกับเด็กนักเรียนที่อยู่ในวัยกำลังพัฒนาทั้งด้านร่างกายและสมอง ระบบ Thai School Lunch ใช้เทคโนโลยีบิ๊กดาต้าอนาไลติกส์ (Big dataanalytics) กับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยวิเคราะห์ ประมวลผลสารอาหารและแสดงผลเป็นเมนูมื้อกลางวันได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างเมนูอาหารขึ้นได้เอง หรือให้ระบบจัดสำรับอาหารอัตโนมัติจากข้อมูลเมนูอาหารในระบบที่มีมากกว่า 1,000 ชนิด ระบบจะคำนวณคุณค่าสารอาหาร ประเมินคุณค่าทางโภชนาการจากสำรับที่จัดขึ้น และคำนวณปริมาณของวัตถุดิบในการจัดซื้อแต่ละครั้ง ทำให้สามารถประมาณค่าใช้จ่ายได้ล่วงหน้า และสรุปค่าใช้จ่ายจริงตามราคาวัตถุดิบในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยในการวางแผนจัดการงบประมาณ และจัดทำรายงานประเมินคุณภาพอาหารกลางวันของแต่ละโรงเรียนได้อย่างสะดวก ถูกต้อง และรวดเร็ว ปัจจุบัน Thai School Lunch ได้รับความร่วมมือกับพันธมิตรหน่วยงานต่าง ๆเช่น กองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กรมอนามัย สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการขยายผลการใช้งานระบบให้ครอบคลุมโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ. โดยโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่สนใจระบบดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.thaischoollunch.in.th ส่วนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก(ศพด.) เปิดให้ลงทะเบียนที่ https:/register.kiddiary.in.th/user/register_Childhoodนอกจากนี้ Thai School Lunch ยังได้รับการพัฒนาให้เชื่อมต่อกับระบบติดตามพัฒนาการของนักเรียนที่เรียกว่า "KidDiary" ทำให้สามารถบันทึกน้ำหนักส่วนสูงของเด็กนักเรียน ช่วยให้การดูแลสุขภาพและภาวะโภชนาการของเด็กไทยทำได้ง่ายขึ้น ทั้งยังเชื่อมโยงข้อมูลไปยังผู้ปกครองได้ โดยผู้ปกครองก็จะรู้ว่าบุตรหลานของตนรับประทานอะไรเป็นอาหารกลางวัน ได้รับสารอาหารอะไรบ้างผลงานวิจัยที่เนคเทค สวทช. และพันธมิตรร่วมกันพัฒนาขึ้นนี้ได้สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี พร้อมกันนี้ได้คว้ารางวัลชนะเลิศในหมวด Public Sector andGovernment จากการประกวดซอฟต์แวร์ดีเด่นแห่งชาติ ThailandICT Awards 2019 อีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“Plant Factory”ยกระดับการปลูกพืชสู่เกษตรแม่นยำ
“Plant Factory”ยกระดับการปลูกพืชสู่เกษตรแม่นยำ “Plant factory” หรือ “โรงงานผลิตพืช” คือผลผลิตของความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยีหลากหลายสาขามาประยุกต์ใช้เพื่อพลิกโฉมการปลูกพืชจากดั้งเดิมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ มาสู่การปลูกในระบบปิดที่ควบคุมสภาพแวดล้อม ทำให้ปลอดภัยสูง ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง มีปริมาณผลผลิตที่คงที่ และยังสามารถปลูกได้ทั้งปีโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาล ด้วยข้อดีของ “Plant factory” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการทำการเกษตรทั่วโลก การขาดแคลนแรงงานและความต้องการสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและปลอดภัยมากขึ้น ทำให้เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเทคโนโลยีและใช้ในการปลูกพืชมาแล้วกว่า 20 ปี สำหรับประเทศไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ดำเนินโครงการพัฒนาพิเศษขนาดใหญ่ หรือ Big Rockสนับสนุนงบประมาณให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการจัดทำ “โครงการโรงงานผลิตพืช” ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี มุ่งเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงอย่าง “สมุนไพรไทย” เพื่อให้สามารถสร้างสารออกฤทธิ์สำคัญต่าง ๆได้ในปริมาณสูง Plant factory เป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชในระบบปิดหรือกึ่งปิด ที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่าง ๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ช่วงคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุต่าง ๆรวมถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งแหล่งกำเนิดแสงที่นำมาใช้แทนแสงอาทิตย์คือแสงจากหลอดไฟ LED ที่ให้ความร้อนน้อยกว่าและประหยัดไฟมากกว่าหลอดฟลูออเรสเซนซ์ สิ่งที่สำคัญของ Plant factory ก็คือการเลือกสีและความยาวคลื่นแสงตามความเหมาะสมของชนิดพืชและระยะการเจริญเติบโต ซึ่งจะช่วยให้พืชที่ปลูกให้ผลผลิตสูงและสามารถผลิตสารสำคัญได้ตามต้องการ ไบโอเทค สวทช. ได้ใช้เทคโนโลยีโรงงานผลิตพืชด้วยแสงไฟเทียม (Plant Factories with Artificial Lighting: PFALs) เทคโนโลยีระดับโลกที่ได้รับการถ่ายทอดจากมหาวิทยาลัยชิบะประเทศญี่ปุ่น โดยมี “ศาสตราจารย์โทโยกิ โคไซ” ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาของเทคโนโลยี Plant factory ของโลก ให้เกียรติมาเป็นที่ปรึกษาในโครงการ ปัจจุบันโรงงานผลิตพืชของ สวทช.สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้เริ่มทดลองปลูกพืชสมุนไพร เช่น ใบบัวบกฟ้าทะลายโจร รวมถึงพืชมูลค่าสูงชนิดอื่น ๆ โดยไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินงานวิจัยเพื่อศึกษาปัจจัยการเพาะปลูกที่ทำให้พืชสมุนไพรสร้างสารออกฤทธิ์สำคัญต่าง ๆ ได้ในปริมาณสูง ภายในโรงงานผลิตพืช มีพื้นที่ปลูกพืช 1,200 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนวิจัยและโซนการทดลองระดับ Production scale โดยการทดลองปลูกพืชในโซนวิจัยจะมีการประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากการวิจัยของไบโอเทค สวทช.เกี่ยวกับการจัดการสารอาหารพืช เพื่อเพิ่มเติมอาหารเสริมและวิตามินบางชนิดเข้าไปในระบบสารอาหารหลัก สารอาหารรองร่วมกับการปรับค่า pH ตามความต้องการ ทำให้สามารถออกแบบสูตรสารอาหารที่เหมาะสมตามการเจริญเติบโตของพืช โรงงานผลิตพืชแห่งนี้ได้มีการบูรณาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ทั้งด้านพันธุ์พืชสรีรวิทยาพืช การผลิตและวิศวกรรม และการจัดการเทคโนโลยี ให้เหมาะสมกับประเทศไทย ทำให้สามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี โดยไม่ขึ้นกับฤดูกาล สามารถปลูกพืชในชั้นปลูกซึ่งซ้อนกันได้สูงสุดถึง 10 ชั้น ทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากถึง 10 เท่า ที่สำคัญการปลูกพืชในระบบปิดและมีระบบกรองอากาศทำให้ปราศจากเชื้อโรคและแมลง ไม่ต้องใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชทำให้ได้ผลผลิตที่สะอาด ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพดีและมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปประมาณ 1.3 เท่า ข้อมูลและองค์ความรู้ที่ได้จากการทดลองปลูกพืชในโรงงานผลิตพืชนี้ ได้มีถ่ายทอดไปยังภาคเกษตร ชุมชน และอุตสาหกรรม โดยไบโอเทค สวทช. มี Plant factory ต้นแบบระดับชุมชนอยู่ที่ตำบลนาราชควาย จังหวัดนครพนม ซึ่งช่วยส่งเสริมและพัฒนาระบบการผลิตสมุนไพรของจังหวัดนครพนม ให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสำหรับผลิตยาให้แก่โรงพยาบาลเรณูนคร เพื่อใช้ในโรงพยาบาลและกระจายในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลของจังหวัดนครพนม อีกทั้งยังได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชนนาราชควายของกลุ่มผู้สูงอายุจากโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลนาราชควาย เพื่อส่งเสริมสังคมสุขภาพและเตรียมความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอาย mattis, pulvinar dapibus leo. โรงงานผลิตพืช (Plant factory) ของ สวทช. นี้เป็นต้นแบบทางเลือกในการผลิตพืช และนำประเทศไทยเข้าสู่ฐานการผลิตสารสำคัญของสมุนไพรแบบพรีเมียมเกรดที่มีมูลค่าสูง ซึ่งได้มีการส่งต่อองค์ความรู้และกระจายไปสู่ภาคประชาชน เพื่อยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่การเกษตรแบบแม่นยำในอนาคต ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“KidBright” สร้างแรงบันดาลใจสู่อนาคต
"KidBright" สร้างแรงบันดาลใจสู่อนาคต การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนทำให้เกิดการเรียนรู้และคิดอย่างสร้างสรรค์ เป็นระบบซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาด้านต่าง ๆ ในอนาคตต่อไป ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงพัฒนาบอร์ดสมองกลฝังตัว ที่เรียกว่า "Kid Bright" (คิดไบรท์) ขึ้น โดยเน้นให้เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายเป็นบล็อก แค่ลากมาต่อ แม้เด็ก ๆ ที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์มาก่อนก็สามารถทำได้ KidBright ผ่านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการนำไปให้เด็ก ๆ ทดลองใช้ และนำมาปรับปรุงจนกระทั่งได้รับการผลักดันจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ปัจจุบันเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ให้เป็นหนึ่งในโครงการบิ๊กร็อกที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล โดยดำเนินการเป็นโครงการ "KidBright: Coding at School" ขึ้น เพื่อสร้างเครื่องมือช่วยสอนโค้ดดิ้งและสะเต็ม รวมถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดังกล่าวในโรงเรียนมัธยม โดยเฉพาะโรงเรียนในชนบทและโรงเรียนด้อยโอกาส ทั้งนี้ Kid Bright มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดเชิงตรรกะร่วมกับความคิดสร้างสรรค์ สามารถต่อยอดการเรียนรู้สู่การพัฒนาแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีด้วยตนเองในอนาคต โดยผู้เรียนสามารถสร้างชุดคำสั่งควบคุมการทำงานของบอร์ดผ่านโปรแกรมสร้างชุดคำสั่งที่ใช้งานง่าย เพียงการลากบล็อกคำสั่งมาวางต่อกัน (Drag and drop) รวมถึงมีการนำ Blockly มาผสมผสานเป็นบล็อกคำสั่งอย่างง่าย มีให้เลือกภาษาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ช่วยลดความกังวลเรื่องการพิมพ์ชุดคำสั่งผิด ชุดคำสั่งที่ถูกสร้างดังกล่าวจะส่งไปที่บอร์ดให้ทำงานตามที่กำหนดไว้ เช่น รดน้ำต้นไม้ตามระดับความขึ้นที่กำหนด หรือเปิด-ปิดไฟตามเวลาที่กำหนด นอกจากนี้ KidBright ยังเป็นบอร์ดที่พัฒนาขึ้นเพื่อกระตุ้นศักยภาพการคิดเชิงระบบและการคิดเชิงสร้างสรรค์ในเด็กวัยเรียนผ่านการเรียนรู้แบบ Learn and Play บอร์ดได้รับการออกแบบให้มีการแสดงผลและเซนเซอร์แบบง่าย โดยผู้เรียนสามารถออกแบบและสร้างชุดคำสั่งแบบ Block-structured programming ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนจุดเด่นทางด้านเทคโนโลยีของ KidBright ก็คือ เซนเซอร์พื้นฐาน จอแสดงผล Real-time clock ลำโพง ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย และการสร้างชุดคำสั่งแบบ Block-structured programming ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ชุดคำสั่งส่งไปยังบอร์ดสมองกลฝังตัวผ่านเครือข่ายไร้สาย ทำให้ใช้งานได้ง่ายไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อสาย สำหรับองค์ประกอบของ KidBright ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ส่วนหลัก ที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ คือ 1. บอร์ด KidBright ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นระบบอัตโนมัติที่ใช้งานได้จริง เหมาะสำหรับเป็นเครื่องมือการเรียนโค้ดดิ้งและสะเต็มในอุปกรณ์เดียว โดยไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มและสอดคล้องกับการเรียนรู้ในวิชาวิทยาการคำนวณ 2. Firmware ส่วนควบคุมการทำงานของบอร์ดKidBright ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่บริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งบนบอร์ดKidBright และบริหารจัดการการเชื่อมต่อกับเซนเซอร์และอุปกรณ์ภายนอก และ 3. โปรแกรมสร้างชุดคำสั่ง KidBright IDE ออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย โดยออกแบบบล็อกให้ใช้งานง่าย ลดความซับซ้อน มีส่วนดูแลการรับส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ อย่างไรก็ดีในโครงการ "KidBright: Coding at School" ได้มีพัฒนาบอร์ดKidBright จำนวน 200,000 ชุด ส่งมอบให้แก่โรงเรียนมัธยมและสถานศึกษานำร่องจำนวน 2,200 แห่งทั่วประเทศ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ ) และวิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมถึงมหาวิทยาลัยเครือข่าย พร้อมอบรมการสอนโค้ดดิ้งให้แก่บุคลากรผู้ฝึกสอน (Trainer) และคุณครูตามภูมิภาคจำนวนกว่า 4,000 คน เพื่อทำหน้าที่กระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดการเรียนการสอนโค้ดดิ้งในโรงเรียนประถมและมัธยมของไทย รวมถึงได้มีการจัดทำเครื่องมือในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่งเสริมการเรียนสะเต็ม พร้อมทั้งจัดกิจกรรมประกวดโครงงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์ใช้งานบอร์ด KidBrightนอกจากนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาบอร์ด ขยายความสามารถในกลุ่มนวัตกรไทย เนคเทค สวทช. มีการส่งเสริมให้เกิดเป็น "คิดไบรท์ คอมมูนิตี้" (KidBright Community) ในรูปแบบความร่วมมือจากเมกเกอร์ใน 4 ภาค ซึ่งประกอบด้วย เชียงใหม่เมกเกอร์คลับ ภูเก็ตเมกเกอร์คลับ ขอนแก่นเมกเกอร์คลับ และเมืองหลวงเมกเกอร์คลับ ซึ่งเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาบอร์ดขยายความสามารถเพื่อเชื่อมต่อกับ KidBright IDEซึ่งเมกเกอร์ทั้ง 4 ภาคนี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมเพื่อรวมกลุ่มนวัตกรไทยในแต่ละพื้นที่ แล้วนำพลังของคอมมูนิตี้ มาสร้างให้เกิด "KidBright: Community base STEM Education Platform" ของประเทศ นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศที่จะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย เพื่อทดแทนการนำเข้าอุปกรณ์บอร์ดอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ ก่อเกิดรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการที่โครงการได้เปิด Open source ทั้งส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้แก่นักพัฒนาที่สนใจพัฒนาบอร์ดขยายความสามารถ และ Plugins มาเชื่อมต่อกับบอร์ด KidBright และ KidBright IDE แล้วผลิตจำหน่ายภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาและขยายการใช้งานบอร์ด KidBright อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถพัฒนาเยาวชนให้มีศักยภาพในกระบวนการคิดพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยกระดับการศึกษาของประเทศให้ทัดเทียมประเทศต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดสังคมนวัตกรรม และส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ อีกทั้งยังลดการนำเข้ามากกว่า 600 ล้านบาทKidBright จึงนับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในด้านการเรียนการสอนสร้างแรงบันดาลใจ และทำให้เยาวชนไทยสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้ออกมาเป็นรูปธรรม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายแบบไม่มีขีดจำกัดดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น