หน้าแรก คลังความรู้ 30 ปี สวทช. งานวิจัย 30 ปี สวทช. “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที
11 มิ.ย. 2564
0
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น

“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ มองหาใบหน้าตรวจวัดอุณหภูมิรู้ผลภายใน 0.1 วินาที

            จากวิกฤติโรคระบาดใหม่อย่าง “โควิด-19 (COVID-19)” ที่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของคนทั่วโลกไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การพกแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัว รวมถึงการตรวจวัดอุณหภูมิที่จุดคัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าไปในอาคารต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งจําเป็นต้องทําทุกพื้นที่ เนื่องจากเป็นวิธีคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นที่สามารถบ่งชี้อาการเบื้องต้นของโควิด-19

            อย่างไรก็ดี อุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิส่วนใหญ่มีข้อจํากัดที่ไม่สามารถตรวจวัดครั้งละหลายคนพร้อมกันได้ทั้งระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรองยังไม่มากพอ อาจมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรค ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิที่สามารถตรวจวัดได้พร้อมกันหลายคนก็มีอยู่ แต่ต้องนําเข้าในราคาที่สูง

            ทีมนักวิจัยของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงนําเอาความเชี่ยวชาญผสานองค์ความรู้สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการใช้งานภายในประเทศที่สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศด้วย “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ (µTherm-FaceSense)” เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ

            มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ใช้เทคโนโลยีกล้องอินฟราเรดผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) โดยไม่มีข้อจํากัดแม้สวมหน้ากากอนามัย ด้วยระบบประมวลผลที่รวดเร็วแม่นยําภายใน 0.1 วินาที และสามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้ครั้งละหลายคนพร้อมกันในระยะห่างสูงสุด 1.5 เมตร จึงช่วยลดระยะเวลารวมถึงลดความเสี่ยงจากความใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรอง พร้อมรองรับการเชื่อมต่อและจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่หลากหลาย

            การทํางานของ “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” นั้นเป็นระบบที่สามารถคัดกรองอุณหภูมิบุคคลได้หลายคนพร้อมกันแบบไม่สัมผัสในระยะเวลาที่รวดเร็ว โดยจะแสดงค่าอุณหภูมิเป็นตัวเลขบนจอ หากพบบุคคลที่มีอุณหภูมิเกินค่าที่กําหนดตัวเลขจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและส่งเสียงแจ้งเตือนทันที

            จุดเด่นหลักของมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ คือ มีความถูกต้องแม่นยําในการตรวจวัด สามารถตรวจวัดได้หลายคนพร้อมกันในเวลาที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา ในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการผลิตไทยเข้าถึงได้ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ โดยสามารถติดตั้งใช้งานได้หลากหลายในสถานที่ต่าง ๆ

            นอกจากนี้ ยังผ่านมาตรฐานการทดสอบความปลอดภัย (Information technology equipment (IEC60950-1), มาตรฐานการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า CISPR 22 (EMC Standard) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. และผ่านการสอบเทียบค่าอุณหภูมิ Certificate of Calibration จากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ

แม้จะเป็นนวัตกรรมเพื่อรองรับโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19 แต่หากมองในระยะยาวนวัตกรรมนี้สามารถตอบโจทย์โรคระบาดใหม่ในอนาคต เป็นเครื่องมือช่วยเฝ้าระวังและลดความเสี่ยงการสูญเสียจากผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับภาวะอุณหภูมิของร่างกายที่ผิดปกติ และการระบาดของโรคร้ายแรง
ต่อยอดใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงเพื่อออกประกาศการป้องกันและการดูแลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะหรือโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย รวมถึงทํานายอุบัติการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการเกิดธุรกิจใหม่ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ให้บริการอีกด้วย

            ปัจจุบันมีการผลิตเครื่องต้นแบบจํานวน 40 เครื่องไปยังหน่วยงานที่มีความเสี่ยง เพื่อสกัดกั้นการระบาดของโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีการผลิตและจําหน่ายเครื่องมิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์ รุ่น Limited Edition รวมถึงอยู่ระหว่างดําเนินการร่างสัญญาการขออนุญาตใช้สิทธิ

            นวัตกรรมจาก สวทช. นี้ นับเป็นเทคโนโลยีการตรวจวัดอุณหภูมิที่ผลิตด้วยฝีมือคนไทยในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยเข้าถึงได้ ซึ่งช่วยลดการนําเข้าได้ถึง 3 เท่า ที่สําคัญสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 7,032,023.49 บาท ในปี พ.ศ. 2561 และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมูลค่า 2,619,531.46 บาท ในปี พ.ศ. 2562 อีกด้วย

ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม

แชร์หน้านี้: