ผลการค้นหา :
บีโอไอ ร่วมกับ NIA ขอเชิญร่วมงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นเข้าถึงแหล่งทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วม “งานมหกรรม BCG Startup Investment Day” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) ในวันที่ 24 มีนาคม 2565 เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งจากศักยภาพภายในประเทศ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพโดยนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ด้าน BCG เพื่อยกระดับความสามารถและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกิดขึ้นได้ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดบนฐานรากการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภายในงานมหกรรม BCG Startup Investment Day จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ
พิธีเปิดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
กิจกรรมเสวนาที่รวบรวม Unicorn Startup มากที่สุด มาร่วมถอดรหัสลับความสำเร็จผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์จาก Unicorn ชั้นนำ ในหัวข้อ “ปลุกพลัง Startup ไทย ก้าวไกลสู่ Unicorn” โดย
คุณญาดา ปิยะจอมขวัญ ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Product Officer บริษัท Ajaib จำกัด
คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจแฟลช
คุณวีรภัทร กีรติวุฒิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทรัพยากรบุคคล ของ Bitkub Group
คุณณัฐวดี แซ่เอี้ย ผู้บริหารระดับสูง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และ บลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด ภายใต้บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
กิจกรรม BCG Startup Pitching จาก 23 บริษัท กับโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
กิจกรรม Networking Session โอกาสที่คุณจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พูดคุย เจรจาธุรกิจร่วมกัน
การจัดแสดงบูธนิทรรศการทั้ง Startup และหน่วยงานพันธมิตร
ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน "งานมหกรรม BCG Startup Investment Day " โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยสามารถเข้าร่วมงานได้ 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบ Onsite ที่จัดขึ้น ณ C asean ชั้น 10 อาคาร CW Tower กรุงเทพฯ ขอจำกัดเฉพาะผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วไม่น้อยกว่า 2 เข็ม และเพื่อการปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่างทางสังคม แล้วทางคณะผู้จัดงานมีความจำเป็นในการขอความร่วมมือผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบ Onsite ทุกท่านต้องผ่านจุดตรวจคัดกรอง และมีการตรวจ ATK (ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถเข้ารับการตรวจ ATK ได้ตั้งแต่ 09.30 น. เป็นต้นไป) ตามขั้นตอนที่กำหนดก่อนเข้าสถานที่จัดงาน สำหรับการเข้าร่วมในรูปแบบ Online ไม่มีการจำกัดจำนวน สามารถรับชมได้ที่ Facebook https://www.facebook.com/boithailandnews
Startup มา pitching 24 ราย เช่น ใบยา ไฟโตฟาร์ม, juiceinnov8, Q Box Point, Nabsolute เป็นต้น
วันที่ 24 มีนาคม 2565
เวลา 10.30 -19.00 น.
รูปแบบ Hybrid event
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/BCG-Startup-Investment-Day
BCG
ข่าวหน่วยงานภายนอก
การประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ (Focus group)
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมการประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ วันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การสัมมนาและ focus group ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NSTDA Annual Conference: NAC2022) ภายใต้แนวคิดหลักพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG (Revitalizing Thai Economy through BCG Research and Innovation) ในการประสานความร่วมมือภาครัฐด้วยกลไกการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มาตรการทางการเงิน และ การพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการตลาด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสในการขยายผลเชิงพาณิชย์ให้กับงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพและการแพทย์ และมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
การบรรยาย กลไกภาครัฐสนับสนุนภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ประกอบด้วย
กลไกกลุ่มที่ 1 การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
Thailand Business Innovation Research: TBIR – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
การสนับสนุนทุนวิจัยภายใต้กรอบการแพทย์ – หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
กลไกกลุ่มที่ 2 การส่งเสริมด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาตรการการเงิน
มาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (THAI SME-GP) – สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
โครงการ Made in Thailand (MiT) การขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อสิทธิประโยชน์จากการให้แต้มต่อของภาครัฐ – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โครงการ Merit based Incentives สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม สู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
การขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อสร้างตลาดภาครัฐ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กลไกกลุ่มที่ 3 การสนับสนุนด้านการเงินในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์
โปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง – ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)
โครงการนวัตกรรมมุ่งเป้า (Thematic Innovation) เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมในระดับอุตสาหกรรม – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance program: ITAP) การพัฒนาศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนได้ที่ : https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/b2-30a-12/
BCG
ปฏิทินกิจกรรม
ตอนที่ 29 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/744N2yGZx9Y
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง Honorary Professor
ดร.ณัฎฐิกา แสงกฤช ผลงานเรื่อง “Combinatorial nanomedicine for targeting tumor and tumor microenvironment in prostate cancer”
ดร.ธีระ บุตรบุรี ผลงานเรื่อง “การพัฒนาตัวเร่งปฏิกิริยาอะตอมเดี่ยวที่มีปริมาณโลหะสูง เพื่อเร่งปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีเชิงแสงอย่างมีประสิทธิภาพ”
ดร.อัจฉรา แป้งอ่อน ผลงานเรื่อง “การพัฒนาเส้นใยนาโนคอมพอสิตสำหรับอุปกรณ์กักเก็บพลังงานแบบพกพา”
ดร.พิทักษ์ เอี่ยมชัย และคณะ ผลงานเรื่อง “นวัตกรรมวัสดุนาโนสีเขียวสำหรับตรวจพิสูจน์การปลอมแปลงเอกสารโดยไม่ทำลายตัวอย่าง”
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ ผลงานเรื่อง “การค้นพบและพัฒนาเปปไทด์ต้านจุลชีพจากแบคทีเรียกรดแลคติกและโปรตีนอาหาร สำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร”
ดร.ชูศักดิ์ ธนวัฒโน และคณะ ผลงานเรื่อง “เครื่องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหายใจ” และ “อุปกรณ์ตัวรับรู้แบบสวมใส่เพื่อเฝ้าระวังภาวะเบาหวานและกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยการตรวจวัดจากเหงื่อ”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
นาโนเทคร่วมชุมชนบ้านไหนหนังยกระดับพืชท้องถิ่น ‘ขลู่’ สู่สินค้านวัตกรรม
‘ขลู่’ คือ พืชท้องถิ่นที่พบได้ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นพืชที่คนชุมชนบ้านไหนหนัง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมีการนำมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ สร้างรายได้เสริมมายาวนาน โดยในวันนี้ผลิตภัณฑ์จากขลู่จะผ่านการยกระดับไปอีกขั้น เมื่อชุมชนไหนหนังร่วมมือกับนักวิจัยไทยพัฒนาขลู่สู่ ‘สินค้านวัตกรรม’ ที่คนในชุมชนสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง
[caption id="attachment_30453" align="aligncenter" width="500"] “ขลู่” ที่มาภาพ Forest & Kim Starr, CC BY 3.0, via Wikimedia Commons[/caption]
วลีวัลย์ เอกนัยน์ นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อธิบายว่า ขลู่ หรือ Pluchea indica (L.) Less เป็นไม้พุ่ม วงศ์ Asteraceae พบได้บริเวณพื้นที่ชื้นแฉะของประเทศแถบเอเชีย ในใบขลู่มีสารสำคัญที่มีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารสำคัญในการดูแลร่างกาย คนในพื้นที่จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นชา และทำเป็นอาหาร เช่น ยำไหนหนังหรือยำใบขลู่ สำรับท้องถิ่นเพื่อสุขภาพสำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยือน
[caption id="attachment_30455" align="aligncenter" width="750"] ชาขลู่ ชุมชนบ้านไหนหนัง[/caption]
“ทั้งนี้ชุมชนบ้านไหนหนังมีความต้องการให้ทีมวิจัยนำขลู่มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้โจทย์ 'กระบวนการผลิตที่คนในชุมชนคุ้นเคย’ และผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นจะต้อง ‘เหมาะแก่การวางจำหน่ายในสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของชุมชน’ จึงได้วิจัยและพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ในรูปอนุภาคนาโนเป็นส่วนประกอบ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวสายดูแลสุขภาพที่มองหาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวกาย และเป็นการเพิ่มประเภทของสินค้าเพื่อสุขภาพที่มีจุดเด่นเรื่องการนำพืชท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม”
[caption id="attachment_30454" align="aligncenter" width="750"] วลีวัลย์ เอกนัยน์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส นาโนเทค สวทช.[/caption]
ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ วลีวัลย์อธิบายว่า ทีมวิจัย (รวิวรรณ ถิรมนัส, ชุติกร พึ่งบุญ และสุภัชยา แจ่มใส) พัฒนากระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่ให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน เพื่อลดจุดอ่อนของการนำสารสกัดจากสมุนไพรมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ทั้งเรื่องการแยกชั้น การตกตะกอนของสมุนไพร หรือการทำให้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสี นอกจากนี้การพัฒนาสารสำคัญให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารออกฤทธิ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณการใช้สารสำคัญในผลิตภัณฑ์ให้เหลือเพียง 1% แตกต่างจากการใช้สารสำคัญทั่วไปที่ต้องใช้ในสัดส่วน 2-3% ซึ่งจะส่งผลดีในเรื่องในเรื่องการไม่กระทบต่อสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์ และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี
“กระบวนการสกัดสารต้านอนุมูลอิสระจากใบขลู่และพัฒนาให้อยู่ในรูปอนุภาคนาโน (Nano encapsulation) ทำได้ง่าย เพียงต้มวัตถุดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสมและนำไปผสมกับองค์ประกอบอื่นๆ ตามสัดส่วนที่กำหนด จากนั้นจึงนำอนุภาคนาโนขลู่ที่ได้มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำโดยใช้กระบวนการกวน ซึ่งกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ คนในชุมชนมีทักษะ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงมีอุปกรณ์เป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว”
วลีวัลย์เสริมข้อมูลว่า ปัจจุบันนาโนเทคได้ทำวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการเตรียมถ่ายทอดกระบวนการผลิตสู่ชุมชน โดยในอนาคตชุมชนตั้งเป้าผลิตเป็นสินค้านวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมจุดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวของชุมชน อาทิ ให้บริการแก่ลูกค้าในโรงแรมและสปา และใช้เป็นหนึ่งในสินค้าของฝากที่ชูอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านไหนหนัง เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
“นาโนเทคพร้อมให้บริการการวิจัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ผลิต โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” วลีวัลย์กล่าวทิ้งท้าย
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ตอนที่ 28 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/QI4ayhgx9VUเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.วันนิตา กลิ่นงาม ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุม Global Young Scientists Summitดร.วิวรรณ จรีรัตนชาติ ได้รับคัดเลือกเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ Global Young Scientists Summit (GYSS) 2565 กลุ่ม Viewersดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ ผลงานเรื่อง “โครงการการค้นหาและประเมินศักยภาพของเอนไซม์ไลเกสชนิด E3 ของเชื้อมาลาเรียเพื่อใช้ในเทคโนโลยีฐาน PROTAC (Identification and Validation of Potential Plasmodium E3 Ligases for PROTAC Platform)”ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ได้รับรางวัลรัตนราชสุดาสารสนเทศ ประจำปี 2563ดร.ณัฏฐพร พิมพะ และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการนวัตกรรมกรองน้ำด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งตนเองของชุมชนบ้านสัก ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง”ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ได้รับการแต่งตั้งอีกครั้งให้ดำรงตำแหน่ง Adjunct Faculty “โครงการความร่วมมือพัฒนาบัณฑิตวิจัยคุณภาพสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ดร.สุวัสสา บำรุงทรัพย์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Adjunct Facultyดร.นิศรา การุณอุทัยสิริ ได้รับรางวัลนักเรียนทุนรัฐบาลไทยดาวรุ่งประจำปี พ.ศ. 2564ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี 2563ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ได้รับรางวัลประเภทนักสื่อสารวิทยาศาสตร์
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
ตอนที่ 27 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/sdsg9SncWKk
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.วรรณวิทู วรรณโมลี ผลงานเรื่อง “Controlled catalytic depolymerization of lignin to produce functionalized oligomers in a one-pot process as versatile building blocks for bio-based materials”
ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการการศึกษาความสัมพันธ์ของชุมชนจุลินทรีย์ในอากาศและฝุ่นละอองในระบบรถไฟใต้ดิน”
ดร.มัตถกา คงขาว ผลงานเรื่อง “โครงการ Development of Preparation Technology of Polymer Nanohydrogels for Unique Physicochemical Properties Using Machine Learning Approach Prior Experimental Maner”
ดร.สัญชัย คูบูรณ์ ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสามัญสมาคมนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ ประจำไปี 2564
ดร.ชูศักดิ์ ธนวัฒโน และคณะ ผลงานเรื่อง “อุปกรณ์ตัวรับรู้แบบสวมใส่เพื่อเฝ้าระวังภาวะเบาหวานและกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยการตรวจวัดจากเหงื่อ”
ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “เอนอีซ (ENZease) เอนไซม์อัจฉริยะทูอินวันสำหรับกระบวนการผลิตสิ่งทอที่สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียว”
สวทช. ได้รับรางวัลประเภทองค์กรสื่อสารวิทยาศาสตร์ (Science Communicator Award for Organization)
ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล และคณะ ผลงานเรื่อง “ระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงแบบทันต่อเวลา”
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล และคณะ ผลงานเรื่อง “สมบัติทางกลและการขึ้นรูปโลหะผสมจำรูปสำหรับการใช้งานทางด้านการแพทย์และทันตกรรม”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
‘eLysozyme’ สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาว สร้างความปลอดภัยทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์
เมื่อต้นทางของอาหารส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ การทำให้วัตถุดิบสะอาด ปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนตั้งแต่ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการสูญเสียสัตว์เศรษฐกิจจากโรคต่างๆ ในฟาร์มด้วย
ล่าสุดนับเป็นความสำเร็จอีกขั้นของนักวิจัยไทย เมื่อผลงานวิจัยเรื่อง “eLysozyme (เอนฮานซ์ ไลโซไซม์) สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์” ได้รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ประเภทผลงานประดิษฐ์คิดค้น ระดับดีมาก สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ในงานวันนักประดิษฐ์แห่งชาติ 2564-2565 พัฒนาโดย ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแหงชาติ (สวทช.) และคณะวิจัยไบโอเทค ประกอบด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. ดร.สิทธิรักษ์ รอยตระกูล นางจันทิมา จเรสิทธิกุลชัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีโปรตีโอมิกส์เชิงหน้าที่ กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร นายสุรพล เค้าภูไทย บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด และ Dr. Fabien De Meester บริษัทดีเอ็มเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด
[caption id="attachment_30120" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัย eLysozyme สารยับยั้งแบคทีเรียจากโปรตีนไข่ขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์[/caption]
ดร.วีระพงษ์ วรประโยชน์ เปิดเผยว่า ผลงานดังกล่าวเป็นการพัฒนาสารยับยั้งแบคทีเรียจากธรรมชาติ โดยใช้ไลโซไซม์ที่แยกจากไข่ไก่เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทำการปรับปรุงคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียให้ดีขึ้นจนได้เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ eLysozyme ซึ่งประกอบด้วยโปรตีนและเปปไทด์หลายชนิดที่เสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ช่วยในการยับยั้งแบคทีเรียทั้งแกรมบวกและแกรมลบ โดยแบคทีเรียแกรมลบ เช่น เชื้ออีโคไล เชื้อซาลโมเนลลา เชื้อวิบริโอ ยังเป็นปัญหาใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ ขณะที่ไลโซไซม์ที่มีจำหน่ายทั่วไปในปัจจุบันยังไม่สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเหล่านี้ได้ โดยฟังก์ชันเดิมของไลโซไซม์จะเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียอย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยองค์ความรู้ของทีมวิจัยไบโอเทค สามารถศึกษาและคิดค้นดัดแปลงให้ไลโซไซม์ออกฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียผ่านกลไกอื่นนอกเหนือจากการเร่งการย่อยสลายผนังเซลล์แบคทีเรียได้ด้วย เช่น การเจาะและสร้างรูพรุนบนผนังเซลล์แบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียแกรมลบได้ดีทั้งในอาหารและการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดย eLysozyme ที่ทีมวิจัยคิดค้นขึ้นขณะนี้มี 2 สูตร ได้แก่ eLysozyme-T2 (eLYS-T2) สำหรับใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์ สามารถผสมกับอาหารสัตว์ เพื่อใช้ลดปริมาณเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้ง กระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและการต้านอนุมูลอิสระในกุ้ง เพิ่มอัตราการรอด และควบคุมอาการขี้ขาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
[caption id="attachment_30121" align="aligncenter" width="750"] การทดสอบ eLysozyme ในห้องปฏิบัติการ[/caption]
“ช่วงที่ทีมทำวิจัยนั้น กุ้งในฟาร์มเลี้ยงเป็นโรคตายด่วนค่อนข้างมาก ซึ่ง eLysozyme-T2 ที่เราพัฒนาขึ้นมา สามารถยับยั้งเชื้อวิบริโอในลำไส้กุ้งที่เป็นสาเหตุของโรคตายด่วนในกุ้งได้ด้วย แม้ภายหลังโรคตายด่วนในกุ้งลดลงจนไม่ได้เป็นปัญหาในอุตสาหกรรมแล้ว แต่ก็มีโรคขี้ขาวเข้ามาแทน ซึ่งสาเหตุเกิดจากเชื้อวิบริโอเช่นกัน ทำให้ทีมวิจัยประยุกต์ใช้ eLysozyme-T2 ไปจัดการโรคขี้ขาวในกุ้งในฟาร์มเลี้ยงทั้งภาคตะวันออกและภาคกลาง โดยทดลองให้กุ้งที่มีอาการขี้ขาวได้กินอาหารที่มีส่วนผสมของ eLysozyme-T2 พบว่าช่วยหยุดอาการขี้ขาวได้ภายใน 3-5 วัน จากการเก็บข้อมูลหลายฟาร์ม ช่วยเพิ่มอัตราการรอดของกุ้งได้ 200 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 500 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเทียบกับบ่อกุ้งที่ไม่ได้ใช้ eLysozyme-T2 ในการแก้ไขปัญหาโรคขี้ขาว ที่สำคัญ eLysozyme-T2 ยังทำหน้าที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันของกุ้งเลี้ยงทำให้กุ้งแข็งแรงและป้องกันเชื้อโรคใหม่ที่จะเข้ามาได้ดีขึ้น”
[caption id="attachment_30122" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme กับกุ้งขาว[/caption]
[caption id="attachment_30123" align="aligncenter" width="750"] การทดลองใช้ eLysozyme ในบ่อเลี้ยงกุ้งขาว[/caption]
ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ให้แก่ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด เป็นผู้ผลิต และบริษัทไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่าย ภายใต้ผลิตภัณฑ์ ‘เมจิค ดีพลัส’ (Magic DePlus) ช่วยสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ และการเพาะเลี้ยงสัตว์ โดยสามารถเพิ่มมูลค่าส่วนผสมฟังก์ชันจากโปรตีนไข่ขาว 400 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มผลตอบแทนให้แก่การเพาะเลี้ยงกุ้งขาวกว่า 300 เปอร์เซ็นต์ เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นแล้วอย่างน้อย 36.5 ล้านบาท ซึ่งทีมวิจัยและผู้ประกอบการเตรียมนำทดลองไปใช้ในอุตสาหกรรมสัตว์ประเภทอื่นๆ เช่น ไก่ สุกร ต่อไป
[caption id="attachment_30124" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
[caption id="attachment_30125" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
[caption id="attachment_30126" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ eLysozyme[/caption]
ดร.วีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา eLysozyme อีก 1 สูตร โดยร่วมวิจัยกับ บริษัทโอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด คือ eLysozyme-T1 (eLYS-T1) สำหรับใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร มีประสิทธิภาพยับยั้งแบคทีเรียสูงกว่าไลโซไซม์ที่พบได้ในไข่ขาวทั่วไป 2–100 เท่า (ขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรีย) สามารถทดแทนวัตถุกันเสียเพื่อใช้ควบคุมเชื้อแบคทีเรียในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ โดยสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์ในระหว่างการเก็บรักษาแบบแช่เย็นจากเดิม 4 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของไข่รวมเหลวพาสเจอร์ไรซ์
“ไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์ คือ การนำไข่ไก่ไปผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนในอุณภูมิพอเหมาะ ช่วยให้การเก็บรักษาไข่เหลวอยู่ได้ประมาณ 4 สัปดาห์ หลังจากครบกำหนดแล้วอาจมีเชื้อแบคทีเรียต่างๆ เจริญเติบโตขึ้น แต่ทีมวิจัยอาศัยความเชี่ยวชาญโดยใช้ eLysozyme ซึ่งมีต้นกำเนิดจากไข่ไก่ ผสมกลับไปเพื่อช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ จากการทดลองพบว่าช่วยยืดอายุไข่เหลวพาสเจอร์ไรซ์เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 4 สัปดาห์ รวมเป็น 8 สัปดาห์ ทำให้ยืดอายุสินค้าวางขายบนเชลฟ์วางสินค้าได้นานขึ้น เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อไปใช้ในครัวเรือนได้นานขึ้น โดยไม่ต้องรีบใช้ให้หมดในครั้งเดียว ถือเป็นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ลดการใช้สารเคมีกันเสียหรือสารกันบูด สร้างความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร โดยใช้ไลโซไซม์ซึ่งเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์มาช่วยยืดอายุอาหาร”
eLysozyme นับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคในสัตว์เพื่อทำให้สุขภาพสัตว์ดี มีความปลอดภัยตั้งแต่ต้นทางที่ฟาร์มเพาะเลี้ยง สู่ความปลอดภัยในการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ตอนที่ 26 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/jn4lcn_Tb7E
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย
ระดับนานาชาติ และชาติ
ดร.ศศิธร เอี้อวิริยะวิทย์ ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้แทนนักวิจัยหญิง 1 ใน 5 ราย จากประเทศในภูมิภาคอาเซียนและแอฟริกา เข้าร่วมโครงการ Young Female Scientist Programmer
ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. ผลงานเรื่อง “แพลตฟอร์ม AMED Telehealth”
ดร.ศศิธร ศรีสวัสดิ์ ผลงานเรื่อง “The World Academy of Sciences (TWAS) Young Affiliates”
ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการพัฒนาดัชนีจุลินทรีย์ด้วยวิธีทางอณูชีววิทยาและดีเอ็นเอบาร์โค้ดเพื่อการประเมินสถานภาพของระบบนิเวศในลุ่มน้ำแม่โขง-ล้านช้าง (A Microbial-based Index to Assess the Ecological Status of the Lancang-Mekong River based on Molecular Approaches and DNA Barcoding: MekongDNA)”
ดร.วรินธร สงคศิริ และคณะ ผลงานเรื่อง “โครงการ Train-the-Trainer Program under Lancang – Mekong Cooperation to Enhance Production Capacity and People’s Livelihood by Improving the Value Chain for Cassava Cultivation and Application: Clean Cassava Chips, Native Starch, Modified Starch, Ethanol and Biogas Production”
ดร.ธวิน เอี่ยมปรีดี ผลงานเรื่อง “Development of a platform for rapid screening of senolytic agents and discovery of novel-aging compounds from Thai plants” และ “Bovine colostrum (ผลงานวิจัยของบริษัท เดวิด เอนเตอร์ไพรส์ แอนด์ ดีวีลอปเม้นท์ จำกัด)”
ดร.รัตน์จิกา วงศ์วนากุล ผลงานเรื่อง “Fenugreek extract (ผลงานวิจัยของ บริษัท ไอเดียทูเอ็กซ์เพิร์ท จำกัด)”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2564
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับที่ 8 เดือน สิงหาคม 2564
การประชุมประจำปี 2564
สมาคมนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา (ATSA) ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน (OHESI) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสมาคมนักวิชาชีพไทยในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา (ATPAC) ได้จัดการประชุมสมาคมนักเรียนไทยในสหรัฐฯ และนักเรียนทุน พสวท. และทุนวิชาการโอลิมปิก ประจำปี 2564 20 – 22 สิงหาคม 2564 ณ โรงแรม Boston Marriott Copley Place นครบอสตัน รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ ซึ่งจัดแบบระบบทางไกลและการประชุมในห้อง
การบรรยายช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564
ศาสตรจารย์นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเปิดงานและให้โอวาท
ปอว. ได้ให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตในต่างประเทศ กับนักเรียนไทย ให้ใช้ชีวิตแบบ “ไปให้ถึงอเมริกา” หมายถึงนอกจากเก็บเกี่ยววิชาความรู้แล้ว ให้รู้จักศึกษาเรียนรู้สภาวการณ์ในประเทศนั้นๆ แสวงหาประสบการณ์ที่มีคุณค่าในมิติอื่นๆ เช่นด้านสุนทรียศาสตร์ และการผูกมิตรเพื่อให้เป็นคนที่มีความสุข และมีเครือข่ายมิตรและเพื่อนร่วมงานในระยะยาว
นายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตันกล่าวให้โอวาท
ให้นักเรียนได้ให้ความตระหนักและร่วมมุ่งแก้ไขปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ เช่นโรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งติดตามการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ การศึกษาเรียนรู้ไม่ได้จบแค่วันสำเร็จวันรับปริญญาบัตร
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. บรรยายในหัวข้อ “โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และนิคมวิจัยสำคัญของไทย แหล่งพัฒนาองค์ความรู้และกำลังคน”
บรรยายถึงภาพรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของไทย ในปี 2564 ไทยมีอันดับความสามารถทางการแข่งขัน (IMD World Competitiveness 2021) อยู่ในอันดับที่ 28 จาก 64 อันดับ ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 38 โดยค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.11 ของ GDP ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.14 ของ GDP ในปี 2564 รัฐบาลได้ให้การสนับสนุน
ดร.กิติพงศ์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการ สอวช. บรรยายในหัวข้อ “นโยบาย BCG Economy กับความจำเป็นต่อการเตรียมบุคลากรรุ่นใหม่”
บรรยายเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model) เป็นแนวทางการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยมุ่งเน้น 4 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ 3) สุขภาพและการแพทย์ 4) การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี KMITL บรรยายในหัวข้อ “แนวทางพัฒนาอาจารย์และนักวิจัยในสถาบันการอุดมศึกษายุคใหม่”
กล่าวแนะนำในการพัฒนาความเป็นผู้นำ โดยหลักการสำคัญ คือต้องเป็นผู้กล้าที่จะทำในสิ่งที่ใหม่ที่ดี เน้นมิติการเป็นนักวิจัย เป็นกลุ่มบุคคลที่สร้างนวัตกรรมให้กับประเทศ และแนะนำให้อ่านหนังสือ How to Lead ของ David Rubenstein เป็นตำราชี้แนะแนวทางการมุ่งสู่ความเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สสวท. บรรยายในหัวข้อ “บทบาท สสวท. กับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี”
ศ.ดร.ชูกิจฯ กล่าวถึงภารกิจหลัก 3 ด้านของสสวท. คือ 1) มีหน้าที่ในการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทของประเทศ 2) พัฒนาครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทุกสังกัด ทุกระดับชั้น และยกมาตรฐานโรงเรียน 3) พัฒนาส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
รศ.ดร.วีระ จันทร์คง รองประธานสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (ATPAC) บรรยายในหัวข้อ “นักวิชาชีพไทยในสหรัฐฯ กับการสนับสนุนงานของบ้านเมืองในบริบทโลกใหม่”
กล่าวถึงความสำคัญและหลักการที่นวัตกรรมสามารถนำประเทศไทยไปสู่ ประเทศไทย 4.0 ประเทศไทยต้องพัฒนากำลังมันสมองที่จะเป็นเชื้อเพลิงที่จะนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมสำคัญ 10 อย่าง
Plenary และ Short Talk จากวิทยากรและนักเรียน
การบรรยายในรูปแบบ Plenary Talk เป็นการบรรยายเชิงวิชาการที่มีงานวิจัยสองหัวข้อหลักคือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิชาด้านสังคมศาสตร์
Plenary Talk 1 - ศ.ดร.วาสนา ยันตะสี ศาสตราจารย์จาก Oregon Health and Science University, School of Medicine, CEO ของบริษัท PDX Pharmaceuticals
บรรยายเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยี Nanoparticles เป็นเทคโนโลยีในการรักษามะเร็งยุดใหม่ สำหรับการรักษามะเร็งระยะรุกลาม อาศัยการรักษาเชิงรุก เนื่องจากเซลล์มะเร็งสามารถเข้าไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้ง่าย และไม่ได้รุกลามไปเฉพาะเซลล์มะเร็ง ดังนั้นต้องให้ยากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน โดยใช้การส่งยาที่เรียกว่า multiple pathways delivery
Plenary Talk 2 - ศ.ดร Ian Baird ประธานศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ประจำมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison
บรรยายหัวข้อ Covid-19: Spatial Strategies and Politics in Thailand and the United States ซึ่งบรรยายเรื่องราวการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดตามพื้นที่ โดยสหรัฐฯ มีนโยบายการกระจายวัคซีนจากรัฐบาลกลางไประดับท้องถิ่นผ่านรัฐบาลท้องถิ่นในระดับ Counties เป็นผู้กำหนดนโยบาย ระดับองค์กรและบุคคล สำหรับวัคซีนนั้นไม่ใช่เฉพาะเรื่องคุณภาพของวัคซีน แต่หากมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ชี้ให้เห็นว่าการเกิดโรคโควิด-19 นี้ ทำให้เกิดการเพิ่มอำนาจของรัฐบาลเกือบทุกประเทศ
จาก Plenary Talks นี้ มุมมองของนักวิชาการสองศาสตร์ให้ข้อคิดกับประเทศไทยที่ยังมีข้อแตกต่างกับสหรัฐฯ ในด้านเงินสนับสนุนงานวิจัย การส่งเสริมงานวิจัยชั้นแนวหน้า ในด้านสังคมศาสตร์ชี้ให้เห็นของการบริหารจัดการระดับประเทศที่มีการรวมอำนาจและมีการกระจายอำนาจที่แตกต่างกัน
การนำเสนอผลงานแบบกลุ่มย่อยโดยนักเรียนทุน พสวท. และทุนโอลิมปิก
นักเรียนทุน พสวท. และทุนโอลิมปิกวิชาการจำนวน 20 คนได้นำเสนอผลงานแบบกลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อย ตามสาขาการวิจัย ดังนี้
คณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 4 คน
นักเรียนได้กล่าวถึงงานวิจัยเรื่องวิทยาการเข้ารหัสลับสมัยใหม่ (modern cryptography) และการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) มาใช้ในการประมวลผล สกัดข้อมูลจากเว็บเพจ นอกจากนี้ยังมีการสนทนาผลลัพธ์ใหม่ของปัญหาดอกทานตะวัน (sunflower problem) ปัญหาเกี่ยวกับความต่อเนื่องบนพื้นผิวในปริภูมิสามมิติ อาจทำให้เกิดการพัฒนาด้านความเร็วในการวิเคราะห์ข้อมูลของคอมพิวเตอร์ได้ในอนาคต
เคมี จำนวน 8 คน
นักเรียนได้นำเสนอผลงานวิจัยในหัวข้อเคมีบริสุทธิ์ การวิจัยในหัวข้อความสมดุลทางเคมีในระบบซับซ้อน และการกระตุ้นปฏิกิริยาในโมเลกุลขนาดเล็ก งานวิจัยนาโนการทดลองจุดนาโน (nanodots) ในย่านใกล้อินฟราเรด และการส่องภาพวัสดุนาโนด้วยเลเซอร์ งานวิจัยสารละลายประจุไฟฟ้าต้านแบคทีเรีย การบำบัดด้วยแสง การรู้จำแบบ (pattern recognition) ของโครงสร้างในเซลล์ประสาท และ การลดของเสียประเภทเคมีการทำการทดลอง
ฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์กายภาพ จำนวน 5 คน
นักเรียนนำเสนองานวิจัยเรื่องเทคนิคใหม่ทางฟิสิกส์ควอนตัม ในการวัดค่าฟังก์ชั่นคลื่น และงานวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ในแกลเลียม ออกไซด์ (Gallium (III) Oxide) และการทดลองในกราฟีนสามชั้น (Trilayer graphene) งานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพโดยการสร้างโมเดลการผุกร่อนของหน้าดิน และการศึกษาพายุรุนแรงในแถบเอเชียตะวันออกเขตร้อน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ประเทศไทยอีกด้วย
ชีววิทยา จำนวน 3 คน
นักเรียนนำเสนองานวิจัยเรื่องการย้ายถิ่นฐานของกุ้งและโอกาสของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างยั่งยืน (sustainable ecotourism) งานวิจัยไวรัส เนื้อเยื่อของไวรัสในปลาม้าลายสองสายพันธุ์ และความสำคัญของโปรตีนที่มีต่อถุงห่อหุ้มของไวรัส (envelope glycoproteins)
การเสวนาในหัวข้อ “วิจัยไทย ทำอะไรกันอยู่”
รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) บรรยายในหัวข้อ “การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ของประเทศไทย”
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) มีจุดประสงค์หลักคือการสร้างนวัตกรรมและบริการเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ และเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในอาเซียนภายใน 5 ปี ปัจจุบัน การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์หลักของ สทน. ประกอบด้วย เภสัชรังสีรักษามะเร็ง การยกระดับสินค้าเกษตร การฉายรังสีอาหารและผลไม้ และการยกระดับอุตสาหกรรม เป้าหมายในอนาคต คือ การเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องเร่ง และพลังงานธรรมชาติที่สะอาด และยั่งยืนที่เกิดในดวงอาทิตย์ หรือพลังงานฟิวชั่น
รศ.ดร.พิมพ์ผกา ฮาร์ดิง บรรยายในหัวข้อ “ศูนย์ความเป็นเลิศด้านวัสดุเชิงฟังก์ชันและนาโนเทคโนโลยี (FuNTech)”
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านวัสดุเชิงฟังก์ชันและนาโนเทคโนโลยี (FuNTech) เป็นองค์กรที่มีผู้ประสานงานในการทำวิจัยอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน หัวข้อการวิจัยหลักได้แก่ การประยุกต์ใช้พลาสม่าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การจัดเก็บพลังงาน อุปกรณ์แปรรูปอาหาร
และนาโนเทคโนโลยี อยู่ระหว่างการขยายทรัพยากรทางการวิจัย และระบบตีพิมพ์ผลงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผศ.ดร.สัมพันธ์ เนตยานันท์ ประธานบริหารหลักสูตรการเงิน คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร บรรยายในหัวข้อ “งานวิจัยด้านคณิตศาสตร์การเงิน”
ผศ.ดร.สัมพันธ์ฯ ได้แบ่งปันประสบการณ์การใช้ชีวิต การเรียนและทำงานกับบุคลากร ชั้นนำระดับโลก และอธิบายงานวิจัยในสาขาคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งนำแนวคิดมาจากงานวิจัยในแขนงอื่น อาทิ ฟิสิกส์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ และการเงิน และได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน การสร้างเครือข่ายทางสังคม การใช้ชีวิต
พิธีปิดประชุม
อทป.อว. ได้ให้ข้อคิดในการดำรงชีวิตและดำรงตน 5 ประการ ดังนี้
1. Positivist หรือการเป็นผู้นิยมเหตุผล (ไม่ได้แปลว่า การเป็นผู้คิดบวก)
คือการแสวงหาประสบการณ์การรับรู้โดยตรง รู้จักวิเคราะห์ ทดสอบ พิสูจน์ จะทำให้การพัฒนาวิธีคิดมีความถูกต้องและเป็นธรรม นำไปสู่การประสบความสำเร็จ มากกว่าที่จะคล้อยตามหรือเชื่อเพียงแต่การรับรู้ตามสื่อหรือกระแสต่าง ๆ
2. Optimist หรือการเป็นผู้มองโลกในแง่ดี (ซึ่งต่างจากโลกสวย)
การมองโลกในแง่ดี คือการที่เห็นทางออกของปัญหา มีความพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่และคิดว่าปัญหาที่มีจะสามารถแก้ไขได้ รวมทั้งพยายามช่วยคิดแก้ไขปัญหาในทางสร้างสรรค์ และไม่ใช้ความก้าวร้าว หรือวาจาไม่เหมาะสม
3. Humanist หรือการมีความเป็นมนุษย์
มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวไปมากในปัจจุบัน จะลดลงได้ ถ้าผู้คนลดการเอาเปรียบผู้อื่น และที่มีโอกาสมากหันมาช่วยเหลือคนที่มีโอกาสน้อยกว่าตน โดยไม่จำเป็นต้องคิดว่าหน้าที่ดังกล่าวเป็นของรัฐบาลหรือองค์กรกลางเท่านั้น
4. Environmentalist หรือการเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
หลักการของคนรุ่นใหม่ เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายด้านได้ทวีความรุนแรงขึ้น คนรุ่นใหม่ต้องใส่ใจกับการดำเนินชีวิตที่เป็นมิตรและรักษาสิ่งแวดล้อม
5. Gratitudist หรือการรู้คุณ
ฐานคิดด้านการรู้คุณ ช่วยสร้างความภูมิใจในชาติและบรรพบุรุษ และประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานดังกล่าวที่แน่นหนามีโอกาสเจริญเติบโตได้รวดเร็ว โดยเฉพาะ คนรุ่นใหม่ เห็นได้ที่จีนเป็นชนชาติที่ยึดมั่นในหลักการนี้แรงกล้า มีตัวเลขหลายอย่างเจริญแซงหน้ามหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้น สังคมผู้สูงอายุที่เรากำลังเผชิญมีความจำเป็นต้องใส่ใจในค่านิยมนี้ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://static1.squarespace.com/static/5f7e0e2e76a05248ed76e064/t/617add868046607e1b232cdd/1635442060641/OST+Science+Review+September+2021+small.pdf
นานาสาระน่ารู้
เพิ่ม GDP 2 แสนล้านบาท ลดความเหลื่อมล้ำ 10 ล้านคน ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในปี 2566
ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล 7 กุมภาพันธ์ 2565 - พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2565
นายกรัฐมนตรี แสดงความเชื่อมั่นว่าการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาประยุกต์ใช้ภายใน 2 ปี จะเพิ่ม GDP ได้เป็น 2 แสนล้านบาท จากการลงทุนของภาคเอกชน โดย 9 เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าโครงการที่ขอรับการการส่งเสริมการลงทุนสูงกว่า 128,000 ล้านบาท ตัวอย่าง เช่น บริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ซึ่งมีแผนลงทุน 15,000 ล้านบาท เพื่อการผลิตพอลิเมอร์ย่อยสลายได้ด้วยเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพที่ดีที่สุดในโลก และบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ลงทุนเพิ่ม 3 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่ลงทุนในกิจการโปรตีนทางเลือก และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เช่น บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด ซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดเพื่อการรักษาโรคสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด รวมถึงการออกมาตรการส่งเสริมการอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์แปลงสภาพ และการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแต่กิจการ BCG ที่ลงทุนในภูมิภาค
ตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนให้ได้ 10 ล้านคน เป็นต้นว่า การปรับเปลี่ยนจากการผลิตพืชไปสู่การผลิตเมล็ดพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรจำนวน 30,000 ครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ย 120,000 บาท/ครัวเรือน ทำรายได้ให้ประเทศ 7,400 ล้านบาท ทั้งนี้การมีเมล็ดพันธุ์ดีเป็นพื้นฐานสำคัญในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิตเกษตร นอกจากนี้ มีเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ก้าวพ้นความยากจน พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มีเกษตรกรที่เกี่ยวข้อง 20,000 คน และมีคนจนในมิติเศรษฐกิจ 2,329 คน ด้วยการนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปพัฒนาทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ตลอดจนพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ นวัตกรชุมชน เชื่อมโยงการตลาดกับภาคเอกชน รวมถึงยกระดับเกษตรกรเพื่อการเป็นผู้ประกอบการ โดยมุ่งหวังว่าจะลดคนจนในมิติเศรษฐกิจลงได้ร้อยละ 50 ในระยะเวลา 3 ปี
เพิ่มจำนวนผู้เข้าถึงยา เวชภัณฑ์และเครื่องมือราคาแพงจำนวน 100,000 คน ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ประเทศไทยพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นทุนในการรักษาต่ำลง ดังเห็นได้จากการที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีมติเห็นชอบให้สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับ BCG ใหม่ 2 รายการ ได้แก่ 1) การตรวจยีน BRCA1/BRCA2 ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 2) การผ่าตัดใส่รากฟันเทียม การรักษาที่มีความแม่นยำสูงจากการใช้ประโยชน์จากโครงการจีโนมิกไทยแลนด์ และระบบบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
เพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานไม่น้อยกว่า 1,000 ชุมชน โดยการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นชีวมวล หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ดังกรณีตัวอย่างของวัดศรีแสงธรรมและหมู่บ้านศรีแสงธรรมที่สามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เพียงพอและส่วนที่เหลือที่สามารนำไปสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชน
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า จากการปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ในระบบการผลิต การใช้พลังงานทางเลือกในภาคขนส่ง ลดการสูญเสียขยะอาหาร การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้เพื่อให้ลดการใช้ การนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการปลูกป่า
การเพิ่มพื้นที่ป่า 1 ล้านไร่ โดยเน้นการปลูกในพื้นที่เป้าหมายของรัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจำนวน 2 แสนไร่ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง Society for Mangrove Ecosystems (ISME) World Climate Foundation 1 แสนไร่
พัฒนาให้มีผู้มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นทั้งในเกษตรกร แรงงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และผู้ประกอบการโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs รวมกันไม่น้อยกว่า 3 แสนคน นอกจากนี้เป้าหมายการพัฒนาสตาร์ทอัพและผู้ประกอบที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG จำนวน 1,000 ราย
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน 4 ด้านที่สำคัญ ได้แก่
การจัดสรรงบประมาณ ได้มอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ พัฒนาแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน BCG ให้สอดคล้องกับแนวทาง มาตรการและโครงการบูรณาการสำคัญที่บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติการ BCG เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้สูงสุด สามารถเก็บเกี่ยวผลของการลงทุนที่ได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว และขยายแบบอย่างความสำเร็จไปในวงกว้างเพื่อให้สามารถผลักดันให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติได้สำเร็จ
ภาครัฐปรับยุทธศาสตร์บูรณาการ BCG เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ ในเรื่องนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่บูรณาการการทำงานในลักษณะจตุภาคีเพื่อพัฒนาโครงการ BCG เชิงพื้นที่โดยให้นำความต้องการของพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้งเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ และสร้างความมั่งคั่งแบบทั่วถึง
การสร้างระบบนิเวศเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน มีมาตรการที่เกี่ยวข้องรวม 7 มาตรการ ได้แก่
การปลดล็อกอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์แปลงสภาพ เพื่อการต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับเอทานอลสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เรื่องนี้จะได้มอบให้กรมสรรพสามิตไปดำเนินการ
การลงทุนโครงสร้างคุณภาพเพิ่มเติม เพื่อผลักดันสินค้าไทยสู่มาตรฐานสากลหรือเป็นสินค้าพรีเมียม โดยเน้นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพที่สำคัญ
เร่งรัดการออก พ.ร.บ. ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ… เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชีวภาพ สำหรับอุตสาหกรรม BCG ที่ไม่ใช่อาหาร เพื่อให้มีกลไกการกำกับดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (LMOs) และเพิ่มความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจากความชัดเจนของนโยบาย
การให้อุตสาหกรรมนวัตกรรม BCG ในพื้นที่นำร่องได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อการกระตุ้นให้ภาคเอกชนที่พร้อมลงทุนในธุรกิจ BCG โดยเฉพาะกลุ่มนวัตกรรมเร่งรัดการลงทุนที่มีแผนลงทุนมูลค่าไม่น้อยกว่า 150,000 ล้านบาท ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวจะกระตุ้นการใช้วัตถุดิบและการจ้างในพื้นที่
การสนับสนุนการผลิตและการใช้ออโต้จีเนียสวัคซีน (Autogenous Vaccine) หรือ วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อโรค (เชื้อไวรัสและแบคทีเรีย) ในร่างกายของสัตว์ที่ป่วย สำหรับปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด ด้วยการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการผลิต Autogenous vaccine สำหรับปศุสัตว์และสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐาน GMP รวมถึงประกาศ Sandbox
การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ฉลากสินค้า BCG เพื่อการขยายตลาด เพื่อให้ง่ายในการจดจำ เช่นเดียวกับฉลากสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5
การสนับสนุนให้ TAGTHAi เป็น Thailand Digital Tourism Platform หลักของประเทศ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
4 การสนับสนุนภาคประชาสังคม ด้วยการให้การสนับสนุนการ จัดตั้ง National Food Bank การจัดตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการผลิตอาหาร การให้ภาคเอกชนร่วมกันพัฒนาระบบสนับสนุนต่าง ๆ เช่น ระบบ Logistics และระบบบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน รวมถึงปรับกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการบริจาคอาหารส่วนเกินในลักษณะเดียวกับ พ.ร.บ. บริจาคอาหารของประเทศเกาหลีใต้
นายกรัฐมนตรี ฝากทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม (จตุภาคี) ร่วมกันดำเนินงานขับเคลื่อน BCG ให้เกิดผลโดยเร็ว รวมถึงทำงาน BCG เชื่อมโยงกันเพื่อการเป็นเจ้าภาพ APEC ที่สัมฤทธิ์ผล ทั้งนี้ผลของมาตรการดังกล่าวจะเอื้อให้ทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างเป็นเอกภาพ ผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต ภายใต้การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนอันเป็นหลักการสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
HI PETE เต็นท์ความดันลบ ลดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
การระบาดของไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายเชื้อรวดเร็วและหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา และกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศแทนสายพันธุ์เดลตาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ในอนาคตยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีไวรัส SARS-CoV-2 กลายพันธุ์สู่สายพันธุ์ที่น่ากังวลเพิ่มขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และอำนวยความสะดวกในการแยกหรือกักตัวให้แก่ผู้ป่วยและผู้ดูแล
[caption id="attachment_29798" align="aligncenter" width="642"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_29799" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.[/caption]
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม (DIST) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. อธิบายว่า จากการที่ทีมวิจัยได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุปกรณ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้แก่ประเทศมาตลอด 2 ปี ทำให้ตระหนักว่าปัจจุบันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศยังคงมีความต้องการห้องความดันลบสำหรับใช้แยกผู้ป่วยสูง เพราะนอกจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 แล้ว ยังมีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ที่ติดต่อได้ง่ายและมีความร้ายแรงอย่าง วัณโรค ซาร์ส และเมอร์ส ที่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน ทีมจึงได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการสร้างระบบความดันลบ (Negative pressure unit) หรือระบบป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ จากการพัฒนา “PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)” อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย มาต่อยอดในการผลิตอุปกรณ์สำหรับกักตัว โดยระบบสร้างความดันลบที่ทีมพัฒนาขึ้นมีจุดเด่นเรื่องระบบควบคุมการไหลเวียนของอากาศภายในพื้นที่ปิดที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกสบาย และอากาศจากภายในพื้นที่กักตัวผู้ป่วยจะผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C และกรองด้วย HEPA Filter แผ่นกรองคุณภาพสูง ซึ่งสามารถกรองอนุภาคได้ถึง 99.995% ทำให้มั่นใจได้ว่าอากาศที่ปล่อยสู่ภายนอกสะอาดและปลอดภัย
[caption id="attachment_29806" align="aligncenter" width="701"] PETE เปลปกป้อง (Patient Isolation and Transportation Chamber)[/caption]
“เต็นท์ความดันลบหรือผลิตภัณฑ์ HI PETE ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 3 รูปแบบหลัก คือ เต็นท์สนาม เต็นท์แอร์ และเต็นท์พองลม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการใช้งานที่หลากหลาย ทั้งเรื่องขนาดพื้นที่และการดูแลผู้ป่วย ซึ่งการพัฒนา HI PETE ทีมวิจัยได้เลือกนำเต็นท์สำเร็จรูปมาออกแบบการติดตั้งระบบป้องกันการรั่วไหลของอากาศและระบบสร้างความดันลบ เพื่อช่วยลดต้นทุนในการผลิต และช่วยให้ผู้ติดตั้งประกอบอุปกรณ์ได้ง่ายเพราะเป็นเต็นท์รูปแบบมาตรฐานที่มีการใช้งานทั่วไป”
[caption id="attachment_29804" align="aligncenter" width="700"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]
ดร.ศราวุธ อธิบายถึงรูปแบบการใช้งานและจุดเด่นของเต็นท์ HI PETE ทั้ง 3 แบบว่า เต็นท์สนามมีจุดเด่นคือมีขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 2 x 1.5 เมตร ติดตั้งง่ายด้วยคนเพียงคนเดียว เหมาะแก่การใช้งานในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด แบบที่สองคือเต็นท์แอร์จะมีขนาดใหญ่กว่า มีลักษณะเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ 2 x 2.5 เมตร สามารถวางฟูกขนาด 3.5 ฟุต มีพื้นที่ให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืนหรือเดินภายในเต็นท์ มีช่องพลาสติกใสให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลสื่อสารกันได้สะดวก ส่วนด้านอื่นๆ ของเต็นท์มีลักษณะปิดทึบเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเป็นส่วนตัว เต็นท์รูปแบบนี้ใช้คนในการติดตั้ง 3-4 คน เต็นท์ทั้งสองรูปแบบข้างต้นเหมาะแก่การใช้งานในโรงพยาบาลสนาม พื้นที่กักตัวของชุมชน รวมถึงที่พักอาศัยของผู้ป่วย โดยต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
[caption id="attachment_29805" align="aligncenter" width="701"] “HI PETE” เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ[/caption]
“ส่วนรูปแบบที่สามคือเต็นท์พองลม เต็นท์ชนิดนี้มีขนาดประมาณ 2 x 1.5 เมตร เหมาะแก่การใช้เป็นห้องความดันลบฉุกเฉินในสถานพยาบาล เพราะติดตั้งได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถติดตั้งได้ด้วยคนเดียว และใช้เวลาในการติดตั้งไม่เกิน 5 นาที มีช่องสำหรับทำหัตถการ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ดูแลผู้ป่วยได้สะดวกลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ระบบความดันลบของเปลประเภทนี้จะมี Smart Controller เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อควบคุมแรงดันภายในเปลแบบอัตโนมัติ ตรวจจับการรั่วไหลของอากาศสู่ภายนอก และมีระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศเมื่อถึงกำหนด ราคาต้นทุนในการผลิตเต็นท์รูปแบบนี้อยู่ที่ประมาณ 150,000 บาท ซึ่งถูกกว่าเต็นท์ความดันลบที่จำหน่ายทั่วไปในตลาด 2-3 เท่า และถูกกว่าการสร้างห้องความดันลบที่ได้มาตรฐานอย่างมาก
HI PETE ทั้ง 3 รูปแบบที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นผ่านการทดสอบมาตรฐานการรั่วซึม ISO14644 มาตรฐานความปลอดภัยทางไฟฟ้า IEC 6001-1: 2012 ความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า IEC 60601-1-2 และผ่านการทดสอบใช้งานจริงโดยผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่า HI PETE เป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ผู้ป่วยและผู้ดูแลรักษาได้รับความสะดวกสบายในการใช้งานตามความเหมาะสม”
ดร.ศราวุธ เสริมว่า หากสถานพยาบาลใดไม่มีห้องความดันลบหรือมีความเสี่ยงว่าห้องความดันลบจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน สามารถใช้เต็นท์ความดันลบ HI PETE เพื่อทดแทนห้องความดันลบได้ทันที เพราะ HI PETE ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา HI PETE ยังอยู่ในระดับสาธารณประโยชน์ มุ่งบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นหลัก อย่างไรก็ดีในอนาคตทีมวิจัยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนเพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานไปสู่วงกว้างเพื่อสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมต่อไป
ผู้ที่สนใจสนับสนุนการส่งมอบ “เต็นท์ความดันลบ HI PETE” ให้แก่สถานพยาบาล ติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. หรืออีเมล์ pete@mtec.or.th ร่วมสนับสนุนการเข้าถึงอุปกรณ์การแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้แก่คนไทย
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ตอนที่ 25 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://youtu.be/xau3FLCbO0Aเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.จักรพล สุนทรวราภาส ผลงานเรื่อง “พี ลิกนิน แคร์ (P Iignin care)”ดร.ธีรพงศ์ ยะทา ผลงานเรื่อง “นวัตกรรมการนำส่งยาต้านจุลชีพทิลมิโคซินด้วยพาหะนำส่งระดับนาโนผ่านระบบทางเดินอาหารประสิทธิภาพสูงตรงเป้าหมาย”ดร.สรวง สมานหมู่ ผลงานเรื่อง “G-breath” หรือ เครื่องตรวจและบอกชนิดเบาหวาน”ดร.อภิรดา สุคนธ์พันธุ์ ผลงานเรื่อง “Herbal Extracts and Formulation Development of Nano-emulsions for Hair Growth”คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาการวินิจฉัยการติดเชื้อวัณโรคชนิดมัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส ด้วยดีเอ็นเอเซนเซอร์”ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ และคณะ ผลงานเรื่อง “การตรวจหาเชื้อก่อโรคในอาหารหลาย ๆ ชนิดพร้อมกันด้วยแอนติบอดีอะเรย์”
30 ปี สวทช.
คลัง VDO


