ผลการค้นหา :
มูลนิธิโครงการหลวง – สวทช. ลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนงานวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยี พัฒนาคน ยกระดับอาชีพและคุณภาพชีวิตชุมชนบนพื้นที่สูง
มูลนิธิโครงการหลวง และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามบันทึกความร่วมมือ “การพัฒนางานวิจัยและการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชน” สอดคล้องตามแนวทางของมูลนิธิที่มุ่งให้ "เกษตรกรมีรายได้พอเพียง ชุมชนเข้มแข็ง ป่าต้นน้ำลำธารได้รับการฟื้นฟู”
นายจรัลธาดา กรรณสูต ประธานกรรมการมูลนิธิโครงการหลวง กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานสำคัญของประเทศที่สนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย สอดคล้องตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดงานของมูลนิธิโครงการหลวงให้เป็นไปตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงก่อตั้งโครงการหลวงขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2512 ที่ได้พระราชทานแนวทางสำคัญของการดำเนินงาน คือ "เมื่อไม่รู้ต้องวิจัย" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสู่การพัฒนาพื้นที่สูงสู่ความยั่งยืน
"มูลนิธิโครงการหลวงได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจาก สวทช. ผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมองค์ความรู้ ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ ให้แก่บุคลากรและเกษตรกรของมูลนิธิฯ มาอย่างต่อเนื่อง ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนบนพื้นที่สูงในทุกมิติให้ดีขึ้น การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้ร่วมกับโครงการในการต่อยอดและขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่โครงการหลวง เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและมั่นคงในทุกมิติ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษาและต่อยอดการดำเนินงานของโครงการหลวง เพื่อก่อให้เกิดคุโณปการทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมต่อทั้งพื้นที่สูงและประเทศชาติ”
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ภาคการเกษตรเป็นรากฐานการผลิตที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ สวทช. ได้วิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตร นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้เกษตรกรไทย ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินงานสนับสนุนมูลนิธิโครงการหลวงมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความร่วมมือในงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการผลิตที่ปลอดภัยต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการนำเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถการผลิต เช่น การวิจัยและสังเคราะห์เทคโนโลยีการผลิตไหลสตรอว์เบอร์รี่คุณภาพดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต้นไหลคุณภาพและปริมาณผลผลิตสตรอว์เบอร์รี่ การใช้ไวรัสเอ็นพีวี ทดแทนการใช้สารเคมีในการผลิตผักของโครงการหลวง ระบบโครงสร้างโรงเรือนและพลาสติกคลุมโรงเรือนเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตมะเขือเทศและพริกหวาน รวมทั้งฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ActivePAK Ultra ช่วยยืดอายุเห็ดหอมสดให้ยาวนานขึ้น เพิ่มโอกาสการจำหน่ายให้เกษตรกร เป็นต้น
“จากการดำเนินงานร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวงนำมาสู่การพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระยะเวลา 3 ปี (2565-2567) ภายใต้กรอบความร่วมมือ 3 ด้าน ได้แก่ 1) การวิจัยและพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จะมุ่งเน้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) การวิจัยพัฒนาระบบจัดเก็บ วิเคราะห์ และการเข้าถึงข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของโครงการหลวง 2) การถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและการให้บริการวิชาการ จะเป็นเรื่องการวิจัยกัญชง เกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาชีวภัณฑ์ เทคโนโลยีชีวภาพด้านพืช การพัฒนาสิ่งทอและสินค้าแปรรูปสำหรับวิสาหกิจชุมชน และ 3) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและห้องปฏิบัติการต่างๆ เป็นการฝึกปฏิบัติของบุคลากรเฉพาะด้าน ตลอดจนพัฒนาและขับเคลื่อนกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ของโครงการหลวง การดำเนินงานร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวงในครั้งนี้ สวทช. จะนำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนายกระดับประสิทธิภาพและคุณภาพผลผลิตเกษตรจากบนดอยให้แข็งแกร่งขึ้น เสริมสร้างคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมที่ดีให้พี่น้องเกษตรกรชาวเขา สอดคล้องตามแนวทางของมูลนิธิที่มุ่งเน้นให้เกษตรกรมีรายได้พอเพียง ชุมชนเข้มแข็ง ป่าต้นน้ำลำธารได้รับการฟื้นฟู"
ทั้งนี้ สวทช. โดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ คุณวิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) เข้าร่วมในพิธีลงนามฯ พร้อมนำเสนอนิทรรศการผลงานวิจัยเทคโนโลยีด้านเกษตร เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ และเทคโนโลยีสิ่งทอ ได้แก่ สารชีวภัณฑ์ (บิวเวอเรีย เมตาไรเซียม ไวรัสเอ็นพีวี) ฟิล์มบรรจุภัณฑ์ ActivePAK ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ (Agri Map) แฮนดี้เซ้นต์ (Handy Sense) กล่องควบคุมการให้น้ำ (Water Fit) แอปพลิเคชันชาวเกษตร นวนุรักษ์ (แพลตฟอร์มเพื่อการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ) เอนไซม์เอนอีซ (ENZease) สเปรย์รีดผ้าสะท้อนน้ำ (I Guard Nano) และการผลิตสีผงธรรมชาติจากพืชในท้องถิ่น
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ สวรส. พัฒนา “เปลความดันลบ” สู่นวัตกรรม “เต็นท์ความดันลบ” สู้โควิด-19
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีการระบาดของโควิด-19 นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ยังเดินหน้าพัฒนาเปลความดันลบ PETE เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ล่าสุดทีมนักวิจัยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในการพัฒนาเปลความดันลบ พร้อมต่อยอดเป็นนวัตกรรม "เต็นท์ความดันลบ" ในชื่อ HI PETE เป็นเต็นท์พักคอยสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อที่มีความจำเป็นต้องแยกกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นตามมาตรการ Home Isolation ซึ่งยังสามารถนำไปประยุกต์ปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่
โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ สวรส. ได้นำเปลความดันลบ PETE และต้นแบบเต็นท์ความดันลบ HI PETE ไปมอบให้กับสถานพักฟื้นและดูแลสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ หรือ MJU Well-Being Hospitech และโรงพยาบาลสันทราย ที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า สำหรับนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ศูนย์ SMC สวทช. “ตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0”
ปัจจุบันทั่วโลกต่างมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรือยุคที่เครื่องจักรแต่ละเครื่องสามารถสื่อสารถึงกันและกัน (Cyber-physical System) และสื่อสารกับมนุษย์ได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบและสั่งการการทำงานของเครื่องจักรได้สะดวกจากทุกที่ทุกเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในระบบ และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิตอีกด้วย อย่างไรก็ตามการจะยกระดับภาพรวมอุตสาหกรรมของประเทศสู่ระดับ 4.0 ได้อย่างยั่งยืนจะต้องอาศัยความพร้อมจากหลายด้านทั้งผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แรงงานทักษะสูง และเงินทุน ดังนั้นแต่ละประเทศจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมอยู่เสมอ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดำเนินการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ภายใต้การดำเนินงานเมืองนวัตกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และระบบอัจฉริยะ (ARIPOLIS) เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของเนคเทคมาให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยแนวคิด เข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และมีราคาที่จับต้องได้
โดยการดำเนินงานของศูนย์ SMC ประกอบด้วย 5 ด้านหลัก คือ การประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมให้แก่ผู้ประกอบการ (Assess) การให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยี (Consult) การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรม (Implement) การให้บริการเครื่องมือทดสอบระบบ (Testbed) และการพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญ (Training) ทั้งนี้ในขณะที่พื้นที่ EECi กำลังดำเนินการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในปี 2565 ศูนย์ SMC ได้นำร่องการให้บริการก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2563 ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี
ศูนย์ SMC ดูแลส่งเสริมผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยความเข้าใจ
แม้โลกจะก้าวสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมไทยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 3.0 และยากต่อการยกระดับ เนื่องด้วยปัญหาสำคัญ คือ ผู้ประกอบการไม่รู้ถึงปัญหาและสิ่งที่ควรพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขาดความรู้ความเข้าใจในการยกระดับอุตสาหกรรม รวมถึงเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนและการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ต่างๆ
[caption id="attachment_28842" align="aligncenter" width="750"] ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC)[/caption]
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวว่า SMC ตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ จึงมีเป้าหมายหลักที่จะช่วยดูแล ส่งเสริม และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการแบบครบวงจรหรือ One Stop Service เพื่อให้เกิดการดูแลที่ต่อเนื่องและเป็นการดูแลด้วยความเข้าอกเข้าใจ
“3 ขั้นตอนหลักในการช่วยเหลือยกระดับอุตสาหกรรม คือ 1) ช่วยประเมินความพร้อมของสถานประกอบการ ทั้งด้านเทคโนโลยี ทรัพยากรมนุษย์ และการเงิน ผ่านตัวชี้วัดอุตสาหกรรม Thailand i4.0 Index[1] เพื่อช่วยแนะนำการแก้ปัญหาหรือยกระดับอุตสาหกรรมตามลำดับความสำคัญ 2) ให้ความรู้และให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงช่วยแนะนำผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนาระบบ (System Integrator: SI) 3) ช่วยแนะนำแหล่งเงินทุนและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมในการยกระดับอุตสาหกรรม ทั้งในรูปแบบการสนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ”
ศูนย์ SMC พัฒนา Platform Solution หนุนเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมไทย
โดยทั่วไปการยกระดับอุตสาหกรรมผู้ประกอบการหรือองค์กรจะดำเนินการว่าจ้าง SI หรือหน่วยงานวิจัยเพื่อช่วยเหลือเรื่องการพัฒนาระบบหรือเทคโนโลยีในรูปแบบ Custom Solution หรือการว่าจ้างเพื่อพัฒนางานของตนโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะแก่ผู้ที่มีเงินทุนและความพร้อมสูง SMC ตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับอุตสาหกรรมแบบทั่วถึงทั้งประเทศ SMC จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีแบบ Platform Solution หรือการออกแบบและพัฒนาระบบให้เหมาะกับการแก้ปัญหาพื้นฐานในโรงงานทั่วไปควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ที่มีโรงงานขนาดกลางและเล็ก สามารถเข้าถึงการยกระดับโรงงานอุตสาหกรรมได้เช่นกัน และเหมาะแก่การขยายผลในระดับประเทศอย่างแท้จริง
ดร.พนิตา อธิบายว่าที่ศูนย์ SMC มีการให้บริการทั้งรูปแบบ Custom Solution และ Platform Solution เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและความพร้อมของผู้ประกอบการหรือองค์กรมากที่สุด ตัวอย่างงาน Custom Solution ที่นักวิจัยได้ให้บริการไปแล้ว เช่น การพัฒนาระบบส่งกำลังและระบบขับเคลื่อนในต้นแบบเรือไฟฟ้าให้แก่บริษัทสกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด การพัฒนาหุ่นยนต์ตรวจสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการพัฒนาระบบวิเคราะห์เสียงน้ำรั่วด้วยปัญญาประดิษฐ์และบริหารจัดการข้อมูลผ่านเครือข่ายระบบคลาวด์ให้แก่การประปานครหลวง
“ส่วนทางด้าน Platform Solution ที่ศูนย์ SMC ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในการพัฒนา และได้นำร่องการให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทยแล้วคือ แพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and Data Analytics Platform)[2] แพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมการใช้งานระบบ Industrial Internet of Things (IIoT) ในโรงงาน โดยเป็นการติดตั้งระบบ Internet of Things (IoT) ให้กับอุปกรณ์ที่มีการใช้งานทั่วไปในโรงงานส่วนใหญ่ เช่น หม้อต้ม เครื่องทำความเย็น และเครื่องอัดอากาศ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงาน (Energy Efficiency Monitoring) ผ่านแดชบอร์ดแบบเรียลไทม์จากทุกที่ทุกเวลา เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนการทำงาน และพัฒนาให้ระบบภายในโรงงานมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดการอนุรักษ์พลังงาน[3]
ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจใช้งานแพลตฟอร์ม IDA ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการใช้งานระบบ IIoT เพราะศูนย์ SMC ได้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องไว้รองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อการทำงานของเครื่องจักรด้วยระบบ IIoT (IIoT Connectivity and Interoperability) สำหรับใช้เชื่อมต่อเครื่องจักรที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบ PLC (Programmable Logic Controller) ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถเชื่อมต่อการทำงานของเครื่องจักรแบบดั้งเดิมได้ ผู้ประกอบการจึงไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ นอกจากนี้ยังมีระบบ IoT คลาวด์แพลตฟอร์ม NETPIE[4] ซึ่งให้บริการฟรีแก่ผู้ประกอบการไทยมาตั้งแต่ปี 2558 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเรื่องเซิฟเวอร์และผู้ดูแลระบบอีกด้วย
[caption id="attachment_28845" align="aligncenter" width="750"] ชุดสาธิตการเชื่อมต่อและการทำงานร่วมกันของเครื่องจักรด้วย IIoT[/caption]
อีกตัวอย่างเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาไว้รองรับ คือ ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง (Motor and Transmission System) สำหรับใช้พยากรณ์สถานะของมอเตอร์ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบรับทราบการพยากรณ์ความเสียหายของเครื่องจักรล่วงหน้า และสามารถบำรุงรักษาเชิงรุกเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อสายการผลิตได้”
ดร.พนิตา เสริมว่า นอกจากการให้บริการเทคโนโลยี Platform Solution ปัจจุบันศูนย์ SMC ยังมีการบริการอบรมให้ความรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 เช่น การใช้งานชุดระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม และการนำระบบดิจิทัลลีนมาช่วยลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิต โดยทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้มีการจัดให้ความรู้ คำแนะนำ และมี Testbed ให้บริการแล้วที่ศูนย์การเรียนรู้ SMC อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
[caption id="attachment_28844" align="aligncenter" width="750"] ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง (Motor and Transmission System)[/caption]
[caption id="attachment_28843" align="aligncenter" width="750"] ชุดระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม[/caption]
เตรียมพร้อมให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่ EECi - ARIPOLIS
นอกจากการพัฒนา Platform Solution ที่เกี่ยวกับระบบ IIoT เพื่อมุ่งพาอุตสาหกรรมไทยก้าวข้ามสู่ยุค 4.0 แล้ว ศูนย์ SMC ยังมุ่งมั่นพัฒนาอีกหลากหลาย Platform Solution ที่เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้บริการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบที่เมืองนวัตกรรม ARIPOLIS เขตนวัตกรรมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
ดร.พนิตา อธิบายว่า เมื่อมีการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบที่เมืองนวัตกรรม ARIPOLIS ศูนย์ SMC จะเปิดให้บริการในรูปแบบสมาชิก (Membership) แก่ผู้ประกอบการโรงงาน SI ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยี นักวิจัย อาจารย์ นักศึกษา และผู้ที่สนใจ เพื่อสร้างระบบนิเวศในการดำเนินงานยกระดับอุตสาหกรรมไทย
“ตัวอย่างเทคโนโลยีที่จะมีให้บริการเพิ่มเติมที่ EECi เช่น เทคโนโลยีคลังสินค้าสมัยใหม่ เทคโนโลยีระบุตำแหน่งในอาคาร เทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้บริการ เทคโนโลยีการผลิตแบบ Mass Customization หรือการปรับให้เครื่องจักรมีความยืดหยุ่นสามารถผลิตสินค้าได้หลายชนิดในเครื่องจักรเดียว และเทคโนโลยีอัตโนมัติสำหรับเกษตรสมัยใหม่ ฯลฯ ส่วนตัวอย่างงานบริการที่จะมีการเปิดให้บริการเพิ่มเติมอย่างเต็มรูปแบบ เช่น Testbed สำหรับทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบที่จำเป็นในยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการมาของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และบริการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยไซเบอร์สำหรับระบบหรืออุปกรณ์ภายในโรงงานอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ในอนาคตศูนย์ SMC ยังมีแนวคิดที่จะเชิญผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเทคโนโลยีเพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรม (Vendor) มาจัดตั้ง Testbed ในพื้นที่ เพื่อให้สมาชิกที่สนใจได้ทดลองใช้งาน ทั้งเพื่อการศึกษาหาความรู้ และใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกสรรเทคโนโลยีไปใช้งานจริงที่โรงงาน”
สร้างคน สร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้า
นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีและการให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน อีกหนึ่งเป้าหมายหลักในการทำงานของศูนย์ SMC คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับการขยายการเติบโตของอุตสาหกรรมไทยที่ปัจจุบันมีมากกว่า 140,000 โรงงาน
ดร.พนิตา อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า ศูนย์ SMC มีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาดำเนินกิจกรรมพัฒนากำลังคนคู่ขนานไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมอยู่เสมอ นับตั้งแต่เปิดให้บริการมา 1 ปี ศูนย์ SMC ได้ดำเนินงานจัดกิจกรรมให้ความรู้ (Training) แก่ SI ผู้ประกอบการ อาจารย์ และนักศึกษา มาแล้วหลายโครงการ รวมผู้เข้าร่วมอบรมมากกว่า 2,300 คน ตัวอย่างกิจกรรมที่มีการจัดงานไปแล้ว เช่น การอบรม “Industrial Automation Training Systems” ให้แก่บุคลากรในโรงงานอุตสาหกรรม การอบรม “การพัฒนาทักษะด้าน Industrial Internet of Things (IIoT) แบบเข้มข้น” ให้แก่บุคลากรอาชีวศึกษา และการอบรม “AI Innovation JumpStart” ให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี
ดร.พนิตา ทิ้งท้ายว่า การเตรียมความพร้อมเรื่องการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในทุกสถานการณ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติที่โรงงานมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี มิติของการพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และมิติของการทำอุตสาหกรรมในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมไทย ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ที่ : www.nectec.or.th/smc
รายละเอียดเพิ่มเติม
[1] Thailand i4.0 Index คือ ดัชนีชี้วัดความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับประเทศไทย (รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3HCzYg8)
[2] ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and data analytics platform) ได้ที่ https://bit.ly/3EKqyx6
[3] การอนุรักษ์พลังงาน คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า เพื่อลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด
[4] NETPIE คือระบบคลาวด์ (Cloud computing) สัญชาติไทยที่พัฒนาโดย NECTEC สวทช. ปัจจุบันได้ผ่านการยกระดับจากห้องวิจัยไปสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ (Spin-off) แล้วในนามบริษัทเน็กซ์พาย จำกัด (NEXPIE Co. Ltd.) ทั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้การสนับสนุนการให้บริการระบบคลาวด์ NETPIE ฟรีตลอดชีพแก่นักเรียน นักศึกษา นักพัฒนา และภาคอุตสาหกรรมไทย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://netpie.io/
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
30 ปี สวทช.
BCG
THAILAND 4.0
ข่าว
ข่าว 30 ปี สวทช.
บทความ
สวทช. ร่วมกับ 3 หน่วยงาน ผนึกกำลังพัฒนาทักษะวิชาชีพ พัฒนากำลังคนด้าน ICT/Digital ของประเทศ
เมื่อเร็วๆนี้ :: ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อํานวยการ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “การพัฒนาทักษะวิชาชีพเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนากำลังคนด้าน ICT/Digital ของประเทศ” พร้อมด้วย นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ศ.ดร.พฤทธา ณ นคร ผู้อํานวยการสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (SIIT) และนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT)
ทั้งนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือการพัฒนากำลังคนด้าน ICT/Digital ของประเทศให้รองรับ กรอบความตกลงที่เกี่ยวข้องภายใต้ประชาคมอาเซียน โดยร่วมดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลและทักษะความรู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและการจ้างงานในอุตสาหกรรม ICT/Digital เพื่อจัดทำกรอบแนวทางประเมินระดับทักษะความสามารถของนักปัญญาประดิษฐ์อันเป็นที่ยอมรับโดยทุกภาคส่วน และเป็นประโยชน์ต่อแรงงานในการเข้าสู่ระบบแรงงาน ทั้งในระดับประเทศและระดับอาเซียน รวมทั้งสร้างความร่วมมือในการดำเนินการส่งเสริมโอกาสทางวิชาชีพและคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เปิดเวทีเสริมแกร่งผู้ประกอบการอาหาร ร่วมแบ่งปันแนวคิดพัฒนาธุรกิจยุค Covid-19 ในงาน Next step networking & sharing Food Accelerate 2021
ณ อาคารเคเอกซ์ (Knowledge Exchange – KX) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เปิดพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการด้านอาหารได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมเสริมแกร่งความรู้ทางด้านตลาดทุน ในงาน Next step networking & sharing Food Accelerate 2021 โดยมีนางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สวทช. และคุณอดิสัน กันชาติ ผู้บริหารงานฝ่ายกลยุทธ์ธุรกิจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. กล่าวว่า กิจกรรม Next step networking & sharing Food Accelerate 2021 จัดภายใต้โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2564 เป็นเวทีสำหรับการพบปะของผู้ประกอบการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 10 บริษัท เพื่อสร้างเครือข่ายระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมให้เกิดพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ข้อมูลการสนับสนุนองค์ความรู้ในด้านตลาดทุนและโอกาสการเติบโตของธุรกิจการให้บริการ SMEs และการพัฒนาส่งเสริมผู้ประกอบการโดยกลไกจากภาครัฐ สร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจรวมทั้งบทเรียนและประสบการณ์ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจ และสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนต่อไป
งาน Next step networking & sharing Food Accelerate 2021 ครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตร ที่มาร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) สวทช. ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. และฝ่ายบริการนวัตกรรมและคีย์แอคเคานต์ (IKD) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยในช่วงท้ายได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในช่วงสถานการณ์ Covid-19 เพื่อนำไปปรับใช้พัฒนาธุรกิจต่อไป ซึ่งงานในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายผู้ประกอบการด้านอาหาร และเกิดการเชื่อมโยงทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสู่การเข้าใจปัญหาของผู้ประกอบการอาหาร พร้อมแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยความรู้และกลไกจากภาครัฐ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอาหารของไทย สามารถพัฒนาต่อยอด เติบโต และสามารถแข่งขันกับตลาดในประเทศได้อย่างยั่งยืน
//////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวรส. จับมือ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา “เปล-เต็นท์ความดันลบ” ผลงานการต่อยอดวิจัย สู่นวัตกรรมมาตรฐานสากล พร้อมส่งมอบแก่โรงพยาบาลและสถานพักฟื้นช่วยแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานการณ์ที่ยังคงการระบาด
เมื่อเร็วๆนี้ ณ อาคาร ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมนานาชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ : สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พร้อมด้วยคณะวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมส่งมอบนวัตกรรม“ไฮพีท (HI PETE) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย และพีท (PETE) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ” ผลงานจากการ ต่อยอดงานวิจัยพัฒนาชุดอุปกรณ์ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศแบบเคลื่อนย้ายได้ ให้แก่สถานพักฟื้นและดูแลสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ : MJU Well-Being Hospitech และโรงพยาบาลสันทราย
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการรับมือสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ดร.จุไรรัตน์ พรหมใจ ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและดำเนินงานวิจัยพัฒนา ร่วมส่งมอบนวัตกรรม โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. บัญญัติ มนเทียรอาสน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนายแพทย์ยุทธศาสตร์ จันทร์ทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้แทนรับมอบ และได้รับเกียรติจาก นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีส่งมอบนวัตกรรมดังกล่าว ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารโรงพยาบาลสันทราย นายอำเภอสันทราย และทีมงานเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี
ดร.จุไรรัตน์ พรหมใจ ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะที่เป็นหน่วยงานให้การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ กล่าวว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะกับช่วงการแพร่ระบาดที่จำเป็นจะต้องมีห้องแยกผู้ป่วย (Isolation Room) เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ซึ่งทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ได้ผลิตและพัฒนานวัตกรรม “ไฮพีท (HI PETE) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยติดเชื้อ” ขึ้นสำหรับใช้ที่บ้านหรือชุมชนที่มีพื้นที่จำกัดที่ไม่สามารถมีห้องแยกผู้ติดเชื้อออกจากคนทั่วไปได้ หรือใช้สำหรับศูนย์พักคอยหรือโรงพยาบาลสนาม ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวมีการพัฒนาด้านการออกแบบให้เหมาะกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น รวมทั้งการนำเข้าสู่กระบวนการทดสอบจนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมงานวิจัยนี้ยังสามารถขยายผลการใช้งานไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามสถานการณ์การระบาดได้อีกด้วย
ดร.จุไรรัตน์ กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ สวรส. บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดการขยายผลสู่การพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวมได้ต่อไป สวรส. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยชิ้นนี้ เพื่อให้เครือข่ายนักวิจัยสามารถพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาทำให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์ ซึ่งในแง่ของการลดความรุนแรงจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 นั้น นวัตกรรมนี้ยังสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งในครอบครัว ชุมชน ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์หน้างานที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ในทุกๆ วัน ได้อีกด้วย
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร เร่งพัฒนานวัตกรรม PETE (พีท) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ เพื่อช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด และอำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากเปล ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล ซึ่งได้ส่งมอบเปล PETE (พีท) ดังกล่าวให้กับโรงพยาบาลและหน่วยงานผู้ใช้ทั่วประเทศไปแล้วกว่า 70 ชุดในล็อตแรก“หลังจากนั้น เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับ สวรส. และ สกสว. ในฐานะหน่วยสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamber for Home Isolation) โดยทีมวิจัยได้ต่อยอดองค์ความรู้จากการพัฒนาเปล PETE เป็นเต็นท์ความดันลบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับผู้ป่วยสีเขียว ที่จำเป็นต้องทำ Home Isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ จุดเด่นที่พัฒนาต่อยอดงานชิ้นนี้ แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก โดยการพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่ได้มาตรฐานสากล กล่าวคือ มีการทดสอบผลิตภัณฑ์จนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ ปัจจุบัน พีท (PETE) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1.4 แสนบาท/ชุด (โดยยังไม่รวมค่าอะไหล่ ค่าซ่อมบำรุง) และ ไฮพีท (HI PETE) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นบาท/ชุด โดยในอนาคตจะทำการลดต้นทุน ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ให้ พีท (PETE) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ มีต้นทุนต่ำกว่า 1 แสนบาท/ชุด และ ไฮพีท (HI PETE) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย มีต้นทุนไม่เกิน 3 หมื่นบาท/ชุด ซึ่งจะทำให้สถานพยาบาล และหน่วยการแพทย์ฉุกเฉินทั่วไปจะสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น รวมทั้งมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อเป็นการชั่วคราวได้ มีช่องหน้าต่างสำหรับสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน ลดระยะเวลาลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร ตลอดจนชิ้นงานทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ ทั้งนี้การส่งมอบครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อใช้งานร่วมกับเต็นท์ความดันลบ HI PETE” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บัญญัติ มนเทียรอาสน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า ในการรับมือการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งเป็นการสนองนโยบายกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อว. ที่ให้มหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคสนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม โดยได้ทำงานร่วมมือประสานกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โรงพยาบาลสันทราย ทีมแพทย์ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่ยังคงพบผู้ป่วยติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จึงร่วมกับอำเภอสันทราย และโรงพยาบาลสันทราย ได้ดำเนินการเปิด MJU Well-Being Hospitech เป็นศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว (Community Isolation หรือ CI) เพื่อแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากผู้ใกล้ชิดที่ไม่ติดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในครอบครัวที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่เนื่องจากศูนย์พักคอยไม่มีห้องแยกผู้ป่วย ทำให้ยังมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจภายในศูนย์ได้
ทั้งนี้ เต็นท์ความดันลบ HI PETE จำนวน 5 ชุด ซึ่งได้รับมอบจาก เอ็มเทค สวทช. ที่ร่วมกับ สวรส. และ สกสว. สนับสนุนให้เกิดการพัฒนางานวิจัยจนเป็นนวัตกรรมในครั้งนี้ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับศูนย์พักคอยในการช่วยแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อออกจากผู้ที่ไม่ติดเชื้อ เพราะนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงการสัมผัสเชื้อระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัวตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีหน้าที่ดูแลและรักษาผู้ป่วยแล้ว ยังช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติงานในศูนย์พักคอย รวมทั้งช่วยลดสถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมของจังหวัดไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการพบว่า ผู้ติดเชื้อ 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อและเกิดเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้มากถึง 8 คน หรือหากสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อ แน่นอนว่าก็จะสามารถกระจายเชื้อให้กับทุกคนในครอบครัวได้ ดังนั้น จึงขอขอบคุณทาง เอ็มเทค สวทช. , สวรส. และ สกสว.ที่ร่วมกันสนับสนุนให้เกิดการพัฒนางานวิจัยนวัตกรรมชิ้นสำคัญ ตลอดจนขอขอบคุณทางบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่สนับสนุนเตียงและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นเพื่อใช้งานร่วมกับเต็นท์ HI PETE ในครั้งนี้ด้วย
ด้าน นายแพทย์ยุทธศาสตร์ จันทร์ทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เปลความดันลบมีความจำเป็นอย่างมากต่อทุกโรงพยาบาล ปัจจุบันโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่มีเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ ในวันนี้ โรงพยาบาลได้รับมอบนวัตกรรมดังกล่าว จะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับบุคลากรผู้อยู่หน้างานได้อย่างมาก เนื่องจากจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของทีมเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด หรืออวัยวะส่วนอื่นๆ เพราะไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปล ทั้งนี้หากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โรงพยาบาลสามารถใช้เปลดังกล่าวกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ได้ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ รับมอบโล่ชูเกียรติหน่วยงานสนับสนุนบริการถ่ายทอดการสื่อสารดีเด่น
21 ธ.ค. 2564 ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ เลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายวีรพนธ์ ศรีนวล ผู้อำนวยการส่วนจัดให้มีบริการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์ทางสังคม สำนักงาน กสทช. และศาสตราจารย์ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ
ร่วมเป็นประธานขึ้นมอบรางวัลเชิดชูเกียรติหน่วยงานสนับสนุนบริการถ่ายทอดการสื่อสารดีเด่น จำนวน 27 หน่วยงาน ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ได้ขึ้นรับมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติหน่วยงานสนับสนุนบริการถ่ายทอดการสื่อสารดีเด่น
"โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ" ซึ่งเป็นความร่วมมือดำเนินงานของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. – บ.ธนัทธร เปิดตัว ‘กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ ขานรับภาคอุตสาหกรรม ผสมยางพารา 30 % ‘ทนทาน-ไม่แตกหักง่าย-ลดการใช้พลาสติก’กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก
21 ธันวาคม 2564 ห้องแถลงข่าวกระทรวง อว. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)
เปิดตัวกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ที่ได้จากการผสมยางธรรมชาติและพลาสติก ทดแทนกรวยจราจรแบบเดิมที่ผลิตจากพลาสติก ทำให้ใช้เวลาในการฉีดขึ้นรูปกรวยจราจรต่อรอบต่อชิ้นน้อยลงกว่าเดิม สามารถแกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ฉีดได้ง่ายกว่า ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้กรวยจราจรที่มีความยืดหยุ่น ไม่แตกหักเมื่อถูกรถชนหรือทับ ทั้งยังช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิตขณะนี้ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงจากผู้ประกอบการ อีกทั้งได้เข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายแล้ว
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy Model ที่ต้องการให้อุตสาหกรรมไทยหันมาใช้วัสดุสีเขียว (Green Materials) ซึ่งได้มาจากธรรมชาติมากขึ้น “ยางพารา หรือยางธรรมชาติ” ถือเป็นวัสดุที่อุตสาหกรรมให้ความสนใจ และในกรณีนี้คือ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่ เอ็มเทค สวทช. มีอยู่ในรูปความลับทางการค้า จึงสามารถตอบโจทย์ของบริษัทเอกชนที่ต้องการผลิตกรวยจราจรที่มียางธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เพื่อผลิตเป็นกรวยจราจรเกรดพิเศษโดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic Natural Rubber, TPNR) จากเดิมที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเอทิลีนไวนิลแอซีเทตโคพอลิเมอร์ (Ethylene Vinyl Acetate Copolymer, EVA)
“จากที่ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ยางพาราหรือยางธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางสำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อให้เพิ่มชนิดและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้มากขึ้น จึงเกิดการส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในการคมนาคมภายในประเทศมากขึ้น เช่น หลักกิโลเมตร แนวกันโค้ง และแผ่นยางกันชนครอบแบริเออร์คอนกรีต เป็นต้น กรวยจราจรก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีการใช้งานแพร่หลายในปริมาณมาก และเป็นโจทย์วิจัยที่ผู้ประกอบการต้องการให้ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นกรวยจราจรที่มีส่วนผสมของยางธรรมชาติ มีสมบัติยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายเมื่อถูกรถเหยียบ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตอบโจทย์ภาคเอกชนและต่อยอดไปจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้” ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าว
นายวษุวัต บุญวิทย์ ผู้บริหาร บริษัท ธนัทธร จำกัด กล่าวถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาของ บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จราจรฯ ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามาบริษัทพยายามสนับสนุนการใช้ยางพาราในผลิตภัณฑ์ต่างๆ หากทำได้ เช่น การผลิตหลักกิโลเมตรจากยางพารา ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะผลิตกรวยจราจรซึ่งมีส่วนผสมของยางพารา เพื่อสร้างความแตกต่างและปรับปรุงสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น เนื่องจากกรวยจราจรผลิตอยู่นั้นทำจากพลาสติก 100% ถึงแม้จะเลือกใช้พลาสติกที่มีความยืดหยุ่น เช่น EVA แต่หากสามารถผลิตกรวยจราจรจากยางธรรมชาติได้ น่าจะทำให้กรวยจราจรนั้นยืดหยุ่น และทนทานมากขึ้นหากโดนรถทับหรือเฉี่ยวชน เมื่อใช้งานจริงบนท้องถนน จึงได้ติดต่อกับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. เพราะทราบว่า มีผลงานนี้พร้อมถ่ายทอดฯ จากนั้นจึงได้ร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก นำมาสู่การผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” ซึ่งได้จัดจำหน่ายกรวยยางชนิดใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อจดแจ้งผลิตภัณฑ์ “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” ให้อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยอีกด้วย
“บริษัทฯ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. ในการเตรียมยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกสำหรับผลิตกรวยจราจรเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้บริษัทได้ทดลองผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” และได้ทดสอบการใช้งานจริง พบว่า สมบัติที่ได้ตรงตามความต้องการของบริษัท นอกจากนี้การที่ “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น เวลารถวิ่งผ่าน ไม่ปลิวไปได้ง่ายเหมือนกรวยพลาสติก ทั้งนี้จากที่บริษัทฯ ได้ผลิตและจัดจำหน่ายกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก บริษัทได้การตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี จึงได้เพิ่มการผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการผลิต “ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” นี้ ส่งผลให้บริษัทเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการตลาดได้มากขึ้นอีกด้วย”
ดร.ภาสรี เล้ากิจเจริญ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. กล่าวถึงเทคโนโลยีการผลิตยางผสมพลาสติก หรือ ‘ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ (Thermoplastic Natural Rubber, TPNR) ว่าเป็นการผสมยางธรรมชาติและพลาสติกเข้าด้วยกันในเครื่องอัดรีดสกรูคู่ (Twin Screw Extruder) ร่วมกับเทคนิคไดนามิกวัลคาไนเซชันทำให้ได้ ‘ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ เมื่อนำไปฉีดขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding Machine) จึงได้ผลิตภัณฑ์กรวยจราจรที่มีลักษณะและผิวสัมผัสเหมือนยางซึ่งมาจากส่วนผสมยางธรรมชาติ 30 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาได้ร่วมทดสอบสมบัติเบื้องต้นและสมบัติการใช้งานจริง กับ บริษัท ธนัทธร จำกัด ประมาณ 1 ปี ขณะนี้ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัทแล้ว และบริษัทฯ ได้เดินหน้านำไปผลิตตามมาตรฐานทันทีอีกกว่า 7 ตัน โดยผู้ประกอบการได้ซื้อยางแท่งจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พันธมิตรภาครัฐที่สำคัญของ เอ็มเทค สวทช. มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการใช้งานและแปรรูปยางพาราในประเทศไทย
“เหตุผลแรกที่ผู้ประกอบการเดินเข้ามาหา ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. เพราะต้องการหาเทคโนโลยีที่จะใช้ยางธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมของกรวยจราจรพลาสติกซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท เมื่อ ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. มีองค์ความรู้ ทั้งสูตรและกระบวนการที่สามารถทำได้ จึงทดลองปรับสูตรให้ตรงกับสมบัติที่บริษัทต้องการ ร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ และถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก จำนวน 500 กิโลกรัมได้สำเร็จ ในระหว่างนั้น บริษัทฯ ได้นำยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกไปผลิตเป็นกรวยจราจร และทดลองใช้งานจริงได้พบว่ากรวยจราจรชนิดใหม่นี้ ทนต่อการฉีกขาด และทนทานต่อการแตกหักได้สูงขึ้น เนื่องจากมีส่วนผสมของยางพารา นอกนั้นยังสามารถขึ้นรูปได้สะดวก รวดเร็วขึ้น แกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ได้ง่าย ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และยังเกิดของเสียในกระบวนการผลิตน้อยลง”
ดร.ภาสรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม นวัตกรรม ‘กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ นี้ นอกจากเพิ่มความทนทานต่อการแตกหัก และพับงอ ยังทำให้กรวยจราจรยึดเกาะพื้นผิวถนนได้ดีขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นราว 0.2 กิโลกรัมต่อชิ้น และมียางพาราหรือยางธรรมชาติที่ยืดหยุ่นเป็นส่วนผสม อีกประเด็นที่สำคัญคือ การเลือกใช้งานวัสดุประเภท “ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” นี้ ยังสามารถทำให้ขึ้นรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เหมือนพลาสติก ถือว่าสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ตามนโยบาย BCG Economy Model ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้ยางพาราในประเทศ โดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากยางพารา และส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำอีกด้วย
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สนับสนุนและส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ รวมถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยที่ผ่านมา กยท. ดำเนินโครงการและกิจกรรมที่สนับสนุนให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้น ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยาง การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ รวมถึงการสนับสนุนทุนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปยาง เช่นครั้งนี้ กยท. สนับสนุนและส่งเสริมโครงการจัดทำ (ร่าง) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ให้แก่ เอ็มเทค สวทช. ในปี 2565 นี้ ถือเป็นการนำยางพาราเข้าไปทดแทนพลาสติกซึ่งเป็นวัสดุพอลิเมอร์ที่มาจากปิโตรเคมี ถึง 30% โดยน้ำหนัก ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงานที่มุ่งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ยางของไทยมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ขณะนี้ กยท. มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจยางพาราโดยวางแนวทางการพัฒนายางพาราสู่ความยั่งยืน ลดความเสี่ยงเรื่องผลผลิต รวมถึงปรับปรุงวิธีการทำสวนยางของเกษตรกรรายย่อยในประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้องและมาตรฐานสากล เพื่อให้ผลผลิตยางของไทยเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการในตลาด ซึ่งปัจจุบัน กยท. ดำเนินกิจกรรม Rubber Way โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสวนยางรวมถึงตัวเกษตรกรเองให้ตรงตามมาตรฐานและความต้องการของบริษัทผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่ เบื้องต้น กยท. ได้ลงนามความร่วมมือกับมิชลินแล้ว แน่นอนว่าสิ่งนี้ถือเป็นการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสด้านการแข่งขันทางธุรกิจ เกิดความมั่นคงด้านรายได้แก่เกษตรกรฯ
“การพัฒนายางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่า เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกภาคส่วนควรกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ ตั้งแต่การบริหารจัดการและสร้างมาตรฐานภายในสวนยาง (ต้นน้ำ) ไปจนถึงกระบวนการผลิตในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา (ปลายน้ำ) สอดคล้องกับนโยบาย BCG MODEL ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (Green Economy) ก่อให้เกิดความยั่งยืนกับยางธรรมชาติทั้งห่วงโซ่อุปทาน”
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
เปิดงาน NanoThailand 2021
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะ อุปนายกสมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้รับเกียรติร่วมกับ รศ. ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวเปิดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติทางนาโนเทคโนโลยี ครั้งที่ 7 (NanoThailand 2021) ที่จัดขึ้นโดย สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และคณะวิทยาศาสตร์ มจธ. ในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “Nanotechnology in Times of Disruptive Transformation” ระหว่างวันที่ 16 – 17 ธันวาคม 2564
พร้อมไฮไลท์เรื่อง Nanotechnology in mRNA COVID-19 Vaccine” ที่ได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ “Nucleoside-modified mRNA-LNP therapeutics” โดย Prof. Drew Weissman จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา รวมถึงหัวข้อที่น่าสนใจอีกมากภายในงาน
ข่าวประชาสัมพันธ์
นักวิจัยไบโอเทคพัฒนาเทคโนโลยีผลิต Cider Vinegar จากผลไม้ไทย รวดเร็ว – ประหยัดต้นทุน
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เผยความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมัก Cider Vinegar ที่ได้จากการหมักผลไม้หรือผลผลิตทางการเกษตรของไทย โดยพัฒนากระบวนการผลิตที่ลดขั้นตอนการหมัก ทำให้ได้ผลผลิตในระยะเวลาที่รวดเร็วขึ้น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของนักวิจัยไบโอเทคในการคัดเลือกจุลินทรีย์ที่เหมาะสมในคลังจุลินทรีย์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันทีมนักวิจัยไบโอเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Cider Vinegar ให้กับผู้ประกอบการนำไปผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์แล้ว เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่ง Cider Vinegar เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่กำลังได้รับความนิยม และมีแนวโน้มมูลค่าทางการตลาดที่สูงขึ้น.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
Para Dough ของเล่นจากยางพาราไทย พร้อมตีตลาดส่งออกของเล่นโลก
สำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญให้แก่เด็กๆ ในเทศกาลแสนพิเศษทั้งคริสมาสต์ ปีใหม่ รวมถึงวันเด็กที่กำลังใกล้เข้ามา ไม่ควรพลาด ‘Para Dough (พาราโด)’ ผลิตภัณฑ์ของเล่นยางสำหรับปั้น มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน แต่ปลอดภัย ไร้กลิ่น ปราศจากสารเคมีอันตราย ผลิตจาก ‘ยางพารา’ พืชเศรษฐกิจของไทย ผลงานวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม หนุนตีตลาดของเล่นทางเลือกเพื่อสุขภาพระดับโลก
[caption id="attachment_28705" align="aligncenter" width="750"] คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]
คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค อธิบายว่า Para Dough เป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นแป้งปั้นหรือโด (Dough) ผลิตขึ้นจากยางพาราชนิดยางแท่งและยางแผ่น ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการปรับลักษณะทางกายภาพให้มีสมบัติความหนืดที่เหมาะสม ก่อนนำมาผสานรวมเข้ากับสารจากธรรมชาติอื่นๆ อาทิ แป้งประกอบอาหาร น้ำมันพืช และสี
“Para Dough มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างกลูเตนจากแป้งสาลีและสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ ไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด อีกทั้งยังสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก่อนและหลังการเล่นด้วยการฉีดพ่นแอลกอฮอล์แล้วนวดก้อนแป้งจนแอลกอฮอล์ระเหยโดยไม่ทำให้โดเสียสภาพ นอกจากนี้ Para dough ยังไม่มีกลิ่น ไม่แห้งแข็งและไม่ละลายเยิ้มเมื่อวางไว้ภายนอกบรรจุภัณฑ์อีกด้วย
Para Dough สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้อย่างน้อย 2 ปี มีอายุการใช้งานหลังแกะบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 1 ปี หากไม่สัมผัสน้ำหรือความชื้น และภายหลังหมดอายุการใช้งานสามารถทิ้งผลิตภัณฑ์ลงในถังขยะเปียก เพราะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม”
[caption id="attachment_28706" align="aligncenter" width="500"] ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]
ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัย IRM เอ็มเทค เสริมว่าผลิตภัณฑ์ Para Dough เหมาะแก่ผู้ที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป สามารถใช้เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการเด็ก กระตุ้นให้เกิดการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine motor) พัฒนาทักษะการทำงานประสานกันระหว่างตาและมือ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมอง และทักษะความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังเหมาะแก่การใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำกิจกรรมศิลปะบำบัด เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยบำบัดให้เกิดความผ่อนคลาย กล่าวได้ว่า Para Dough เป็นแป้งปั้นที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
“ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทำให้ Para Dough มีโอกาสเข้าถึงตลาดส่งออกหลักของไทย ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่มีความปลอดภัยสูง และได้มาตรฐานสากล โดยตามการรายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการส่งออกผลิตภัณฑ์ของเล่นสูง ซึ่งเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมามีการคาดประมาณว่าในปี 2564 ไทยจะมีตัวเลขมูลค่าการส่งออกของเล่นรวมสูงถึง 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เนื่องจากการขยายตัวของตลาดออนไลน์[1]
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ปัจจุบันเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Para Dough ในระดับอุตสาหกรรม โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตมีราคาไม่สูง เนื่องจากใช้เครื่องจักรทั่วไปในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร รวมถึงใช้วัตถุดิบที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปในประเทศ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพร้อมร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย เช่น การปรับระดับความแข็งและความคงรูปของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้ในงานประเภทอื่นๆ อาทิ การทำเป็นดินปั้นสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องประดับหรือของตกแต่งบ้าน
การพัฒนา Para Dough มีส่วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพาราไทยได้สูง 5-6 เท่า ถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น และเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราไทย ส่งเสริมการยกระดับสินค้าการเกษตรไทยตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
ปัจจุบัน สวทช. ได้นำร่องผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Para Dough ต้นแบบแล้วที่ศูนย์หนังสือ สวทช. ในราคา 99 บาท ปริมาณ 240 กรัม หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ http://nstdabookstore.lnwshop.com/p/214 นอกจากผลิตภัณฑ์ Para Dough แล้ว นักวิจัยยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Para Note และ Para Sand ซึ่งพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/para-plearn/
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.
โทรศัพท์: 0 2564 6500 ต่อ 4782-4789
E-mail: BDD-IBL@mtec.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม
[1]ตลาดที่ประเทศไทยส่งออกสินค้าประเภทของเล่นเป็นหลัก คือ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.30 ส่วนตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ เกาหลีใต้ร้อยละ 964.90 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 105.89 และรัสเซียร้อยละ 73.22 โดยสินค้าที่มีการขยายตัวเพิ่มอย่างน่าสนใจ คือ ของเล่นที่มีล้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.58 และของเล่นประเภทอื่นๆ ร้อยละ 20.16 ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้ของเล่นไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดสากลคือเป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นที่มีความปลอดภัยสูง เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการ ได้มาตรฐานสากล และมีคุณภาพของสินค้าที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ขอเชิญสมัครเข้ารับการอบรมเรื่อง “จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (Human Research Ethics)” วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2565 ผ่านระบบออนไลน์ (หมดเขตรับสมัคร 28 ม.ค. 2565)
การอบรม “จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (Human Research Ethics)”
วันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ 2565 ผ่านระบบออนไลน์ Cisco Webex Meeting
หลักสูตร ที่นักวิจัยมืออาชีพทุกท่านต้องมี !! ไม่ว่าจะอยู่ในองค์กรใดๆ หรือ ส่วนบุคคล !!
เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ ด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เกี่ยวกับหลักจริยธรรมพื้นฐาน
เพื่อทบทวนพิจารณาโครงการวิจัย ให้แก่นักวิจัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อทราบถึงวิธีปฏิบัติในการยื่นข้อเสนอโครงการวิจัย เพื่อขอรับการพิจารณารับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์
เพื่อทราบบทบาทหน้าที่ของนักวิจัยและการดำเนินการหลังได้รับการรับรองด้านจริยธรรมการวิจัย
สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 มกราคม 2565 ด่วน!! รับจำนวนจำกัด 60 คนเท่านั้น
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.career4future.com/hre65
หรือ สอบถามข้อมูลได้ที่ คุณอริสรา โทร. 095-764-9803
ปฏิทินกิจกรรม


