ผลการค้นหา :

หลักสูตร รู้จริงการออกแบบเชิงความคิดสร้างสรรค์เพื่อธุรกิจอาหารใน 2 วัน
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ใคร่ขอเรียนเชิญเข้าร่วมฝึกอบรม หลักสูตร "รู้จริงการออกแบบเชิงความคิดสร้างสรรค์เพื่อธุรกิจอาหารใน 2 วัน" ระหว่างวันที่22-23 เมษายน 2564 ณโรงแรม เซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ
หากท่านเป็นคนรุ่นใหม่ที่พร้อม และมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังขาดความมั่นใจ หลักสูตรนี้ จะทำให้ท่านกล้าคิด ภายใต้แนวคิด Design Thinking และ "Mood Board" และ “Inspiration Board” โดย ดร.อรช กระแสอินทร์ และอาจารย์ นภาวดี โรจนธรรม อาจารย์ที่มีประสบการณ์ และคร่ำหวอดในการการออกแบบ ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นอกจากนี้ท่านจะได้รับฟังการแชร์ความสำเร็จ จากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 Generation ในหัวข้อ ผ่านทิศทางการลงทุนนวัตกรรมล้ำ “บรรจุภัณฑ์กินได้” โดย คุณอรพิน พิทักษากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.โอ.สวนสระแก้ว จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่าย น้ำผลไม้สด 100% แบรนด์ “Juice Ball” ซึ่งบรรจุในเจลบอลที่ผลิตจากสารสกัดจากสาหร่ายมีคุณสมบัติคล้ายเจลาติน ที่สามารถรับประทานได้ และยังคงความสด สีสัน กลิ่นและรสชาติของน้ำผลไม้ที่ห่อหุ้มไว้ได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษาในตู้เย็นได้นานถึง 3 เดือน
และหัวข้อ ยืดกรอบคิดกับวัตถุดิบเพื่ออนาคตโดย คุณศรวุฒิ กิตติบัณฑร Material Designer หนุ่มไทยที่ดังสนั่นไปทั่วโลก ที่คิดค้นอาหารใหม่ให้กับชาวโลก โดยนำ “ขนไก่” ที่เคย เป็นขยะ ที่มีโปรตีนจากกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย มาทำเนื้อสเต๊ก หรือโปรตีนแทน เนื้อสัตว์ แถมได้รสสัมผัสแบบละลายในปาก เหมือนเคี้ยวก้อนเมฆ
สนใจสมัครลงทะเบียนได้ที่ https://www.career4future.com/cfr
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อริสรา ศรีอุบล 095-764-9803
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต
(Career for the Future Academy)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA)
อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ชั้น 6
73/1 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
0 2644 8150 โทรสาร 0 2644 8110
https://www.facebook.com/Career4FutureAcademy
http://instagram.com/NSTDAacademy
โปรแกรมฝึกอบรม

สวทช. ขอเชิญอบรมเชิงปฏิบัติการ “ฉลาดคิด ฉลาดปลูก ฉลาดขาย ให้ได้มะเขือเทศคุณภาพ”
สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร ขอเชิญอบรมเชิงปฏิบัติการ “ฉลาดคิด ฉลาดปลูก ฉลาดขาย ให้ได้มะเขือเทศคุณภาพ”เพื่อส่งเสริมความรู้ทางการเพาะปลูกมะเขือเทศในสายพันธุ์ที่เหมาะสม ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี รวมทั้งให้ความรู้ในด้านการดูแลบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้งในและนอกโรงเรือน รวมถึงการให้ความรู้ทางด้านโรคและแมลงในมะเขือเทศและการดูแลรักษา เพื่อลดความเสี่ยงและยกระดับองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ในวันที่ 7-8 เมษายน 2564 ณ ห้องบรรยาย 2 อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี รับจำนวน 40 ท่าน ค่าสมัครท่านละ 3,500 บาท (รวมอาหารว่าง อาหารกลางวัน และเอกสารประกอบการอบรม)
เนื้อหาประกอบด้วย
1. เทคนิคการปลูกมะเขือเทศครบวงจร พร้อมลงมือปฏิบัติจริง
2. วิเคราะห์การตลาด แนวคิดการออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการแปรรูปมะเขือเทศ
3.Workshop การแปรรูปมะเขือเทศ
4. แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกูรูด้านมะเขือเทศตัวจริง
5.เรียนรู้การปลูกมะเขือเทศและการประยุกต์ใช้ระบบสมาร์ทเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปลูก จากสถานที่จริง (Agritec Station)
สอบถามเพิ่มเติม คุณกนกพร โทร. 0-2564-7000 ต่อ 1742 (ในวันและเวลาราชการ)
ปฏิทินกิจกรรม

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 (NAC2021) แบบออนไลน์
For English-version news, please visit : Princess Sirindhorn presides over NAC2021 Royal Opening Ceremony
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่25 มีนาคม 2564 ณ วังสระปทุม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จออก ณ วังสระปทุม ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 (NSTDA Annual Conference: NAC2021) ภายใต้แนวคิด “30 ปี สวทช. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 16 ระหว่างวันที่ 25 -30 มีนาคม 2564 ในรูปแบบออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ถ่ายทอดสดจากวังสระปทุมไปยังห้องประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงานของ สวทช. ร่วมรับเสด็จฯ ส่วนนักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และประชาชนทั่วไป สามารถรับชมได้ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/nac และเฟซบุ๊ก: NSTDA-สวทช.
ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 ครั้งที่ 16 ความว่า “ขอแสดงความยินดีในโอกาสที่ สวทช. ดำเนินงานมาครบ 30 ปี มีบทบาททางด้านการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศให้ทันสมัย สวทช. ช่วยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้แก่วงการวิจัยของประเทศ สร้างความเป็นเลิศด้านทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ทำให้ประเทศมีกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ งานของ สวทช. สร้างคุณูปการอย่างดียิ่งให้แก่สังคมไทยมาตลอด 3 ทศวรรษ ขอให้ สวทช. ยึดมั่นในพันธกิจที่ได้รับมอบหมาย มุ่งมั่นพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศชาติให้เจริญอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ปวงชนชาวไทยอย่างทั่วถึง ข้าพเจ้าขอเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ณ บัดนี้ ขอให้การประชุมรับผลสำเร็จสมดังที่มุ่งหมายไว้ทุกประการ ทั้งขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุขสวัสดีทั่วกันตลอดไป”
จากนั้น ทรงแสดงปาฐกถาพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี แห่งความสัมพันธ์ไทย-เซิร์น ตามพระราชดำริฯ ทรงเล่าถึงประสบการณ์ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนเซิร์น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ครั้งแรก เมื่อปี 2543 ครั้งที่ 2 ปี 2546 , ครั้งที่ 3 ปี 2552 , ครั้งที่ 4 ปี 2553 , ครั้งที่ 5 ปี 2558 และครั้งที่ 6 ปี 2562 ทรงพระราชอุตสาหะติดต่อและขอโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ไทยได้มาทำวิจัย ทำให้เกิดความร่วมมือด้านวิชาการและวิจัยร่วมกันระหว่างไทยกับเซิร์น ทรงจัดการให้มีมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีหน้าที่ประสานงานโครงการต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการคัดเลือกนักศึกษาและครูสอนฟิสิกส์เพื่อเข้าร่วมโปรแกรมภาคฤดูร้อนเซิร์น, โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเซิร์น และโครงการส่งเสริมนักศึกษาระดับมหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต และนักวิจัยไปทำงานวิจัยที่เซิร์น เพื่อพัฒนาให้เกิดการทำวิจัยร่วมกับเซิร์น / นอกจากนี้ยังมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างระหว่างเซิร์นกับสถาบันการศึกษาของไทยอีกหลายโครงการ
“ประเทศไทยก็ได้ทำงานนี้ โอกาสนี้มา 20 ปี แล้ว ก็ขอให้เราร่วมมือกันต่อไป เพื่อประโยชน์ทั้งของเราและประชาคมโลกโดยในส่วนร่วม ซึ่งมีการส่งนักวิจัยไปจากเนคเทค สวทช. สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) หรือ อาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น จาก มหาวิทยาลัยสุรนารี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นต้น เพื่อไปร่วมงานวิจัย การทำวิจัยก็มีทั้งนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยต่างประเทศเข้าร่วมด้วย ดังนั้นเราก็ได้ทั้งผลงานวิจัยและผลิตกำลังคนด้วย นักวิจัยของไทยก็ได้มีส่วนร่วมทั้ง 4 สถานีของเซิร์น ทั้ง CMS Alice ATLAS และ LHC รวมทั้งการประชุมร่วมกับประเทศต่างๆ ที่ร่วมมือกับเซิร์น”
“ตอนที่ข้าพเจ้าไปเซิร์นมีประสบการณ์อย่างหนึ่ง คือ เดินสวนกับเด็กกลุ่มเล็กๆ เด็กประถมหรืออนุบาลไม่ทราบ ก็มีผู้ใหญ่คงเป็นครู สงสัยว่าทำไมเขาเอาเด็กเล็กๆ มาศึกษาที่เซิร์น เราก็เอาบ้างสิ ไม่รู้จะไปที่ไหนก็ไปที่แสงสยามซินโครตรอน เอานักเรียนชั้นประถมไป คนที่ซินโครตรอนก็รู้สึกแปลกๆ เพราะว่าเคยสอนแต่นักศึกษามหาวิทยาลัย แต่เด็กประถมไม่เคยสอนก็อยากเคยซะ เพราะเด็กประถมก็สนใจมากและทำได้ดี มีเด็กบางคนที่เรียนรู้ได้ก้าวหน้าไปแล้ว ตอนหลังก็ได้แข่งขันทางวิชาการแล้วเด็กประถมเราชุดนี้ก็ไปชนะเด็กมัธยมในระดับนานาชาติด้วย แต่ตอนนี้จัดการแข่งขันไม่ได้เพราะว่ามีโควิด”
โอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทอดพระเนตรวีดิทัศน์ผู้บริหารระดับสูงของเซิร์นกล่าวแสดงความยินดี ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เซิร์น, วีดิทัศน์นิทรรศการผลงานวิจัย วทน. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และนิทรรศการผลงานนวัตกรรม สวทช. ที่นำไปใช้ในสถานการณ์ COVID-19
สวทช. กำหนดจัดงานประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 16 นี้ ระหว่างวันที่ 25-30 มีนาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ 30 ปี สวทช. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยมีรายได้สูงขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมของประเทศไทย
ในปีนี้ สวทช. ได้ปรับการจัดงานออนไลน์ทุกกิจกรรมให้สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ผู้เข้าร่วมงานสามารถสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับวิทยากรได้โดยไม่ต้องเดินทางไปที่งาน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเข้ารับชมย้อนหลังได้ กิจกรรมภายในงาน เช่น การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบของ สวทช. และบริษัทผู้เช่าในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 8 เส้นทาง กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน นิทรรศการโซนต่างๆ 74 หัวข้อ
และการสัมมนาวิชาการมากกว่า 34 หัวข้อ ที่เกี่ยวเนื่องกับ BCG เช่น ด้านนวัตกรรมอาหาร ด้านสุขภาพและการแพทย์ เน้นเรื่องวัคซีนโควิด-19 ด้านพลังงาน และการพัฒนาประเทศด้วยแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดงาน ‘NAC2021’ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 25-30 มี.ค.นี้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
25 มีนาคม 2564 ณ วังสระปทุม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 (NSTDA Annual Conference: NAC2021) ภายใต้แนวคิด “30 ปี สวทช. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 16 ระหว่างวันที่ 25 -30 มีนาคม 2564 บนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac
เพื่อให้สอดรับวิถี New Normal ในโอกาสนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “20 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เซิร์น โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” จากการที่ประเทศไทยได้มีความร่วมมือทางวิชาการกับเซิร์น (The European Organization for Nuclear Research: CERN) มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก: NSTDA-สวทช.
ศาสตราจารย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า สำหรับแนวคิดของการประชุมประจำปี สวทช. ในปีนี้ เป็นไปตามนโยบายประเทศที่ประกาศให้ ระบบเศรษฐกิจแบบ BCG Economy Model (Bio-Circular-Green Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) เป็นวาระแห่งชาติ โดยกำหนด 4 ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน BCG ได้แก่ 1.เกษตรและอาหาร 2. สุขภาพและการแพทย์ 3. พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4. การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วย BCG Economy Model เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2564-2569 โดยใช้ประโยชน์จากฐานความหลายหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมที่ประเทศไทยมีความพร้อมสูง สวทช. จึงได้จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2564 ออนไลน์เต็มรูปแบบทางเว็บไซต์ www.nstda.or.th/nac โดยนำเสนอองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ BCG เพื่อสื่อสารให้กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน เด็กและเยาวชน และประชาชนทั่วไป ให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “20 ปี ความสัมพันธ์ไทย-เซิร์น โครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” จากการที่ประเทศไทยได้มีความร่วมมือทางวิชาการกับเซิร์น (The European Organization for Nuclear Research: CERN) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นด้วยพระกรุณาธิคุณของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระราชดําริและทรงเล็งเห็นว่าหากนักวิทยาศาสตร์ไทยได้มีโอกาสทํางานวิจัยร่วมกับเซิร์น ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาคพลังงานสูงชั้นนําระดับโลก ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การจัดงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 16 หรือ NAC2021 ระหว่างวันที่ 25-30 มีนาคม 2564 นี้นับเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ เพื่อสอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสามารถฟังสัมมนาและร่วมทุกกิจกรรมได้ง่ายเพียงเข้าเว็บไซต์ของงานที่ www.nstda.or.th/nac โดยไม่ต้องเดินทางมาร่วมงานที่ สวทช. โดยภายในงานจะมุ่งเน้นการแสดงผลงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model ผ่านกิจกรรมมากมาย ได้แก่ 1.) การจัดสัมมนาวิชาการ 34 หัวข้อ 2.) การจัดแสดงผลงานในรูปแบบนิทรรศการ 74 หัวข้อ 3.) การเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบของ สวทช. และบริษัทผู้เช่าในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 8 เส้นทาง 4.) กิจกรรมรับสมัครงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า 2,0000 อัตรา จาก 30 บริษัท และ 5.) กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชน โดยตัวอย่างหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ เช่น การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 การพัฒนาประเทศด้วยแพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent, AI) นาโนโรโบติกพิชิตมะเร็ง รวมถึงการเปิดแนวคิด เทรนด์อุตสาหกรรมด้วยหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นคุณค่าและทำให้มนุษย์อยู่กับธรรมชาติได้อย่างสมดุล
ข่าวประชาสัมพันธ์

30th Anniversary Story of NSTDA: 30 ปี สวทช. ผนึกกำลังทุกภาคส่วนขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทย” สู่เวทีโลก
ประเทศไทยมีศักยภาพเป็น “ศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในเอเชียแปซิฟิก” เนื่องจากความได้เปรียบของสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ที่เอื้อต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ที่หลากหลาย ปลูกได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีแรงงานเกษตรกรมีฝีมือ การคมมนาคมสะดวก ทว่าที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ของไทยเติบโตเฉลี่ยเพียงปีละ 5% เท่านั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือกับกรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานต่างๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และเกษตรกร เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในรูปแบบจตุภาคีตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบัน ประสบความสำเร็จสร้างการเติบโตแก่อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยอย่างก้าวกระโดด
สร้าง “เมล็ดพันธุ์แบรนด์ไทย” เพิ่มส่งออก 10% ต่อปี
อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่เป็นหัวใจสำคัญ เพราะมีผลต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตรอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยถือเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีแห่งหนึ่งของโลก แต่ที่ผ่านมาการส่งออกเมล็ดพันธุ์ของไทยยังเป็นเพียงการรับจ้างผลิตเมล็ดพันธุ์ด้วยการนำเข้าเมล็ดพันธุ์มาบรรจุซองขาย ทำให้การเติบโตของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ยังค่อนข้างน้อย โดยในปี 2548 ประเทศไทยมีส่งออกเมล็ดพันธุ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท เท่านั้น
สวทช. เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธ์ุ จึงได้จัดตั้งโปรแกรมวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมมุ่งเป้าภายใต้คลัสเตอร์อาหารและการเกษตร เพื่อเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมุ่งทำงานร่วมกับกลุ่มคลัสเตอร์เมล็ดพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษา 15 หน่วยงาน และภาคเอกชน 60 บริษัท ตั้งเป้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ระยะที่หนึ่ง ยกระดับมูลค่าการส่งออกเมล็ดพันธุ์ 3,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2553 โดยเพิ่มบทบาทการพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชใหม่ของไทย พร้อมกับมีเครื่องหมายการค้า (Brand Name) ของประเทศ และเชื่อมโยงกลไกการตลาด ส่งผลให้ในปี 2553 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็น 3,101 ล้านบาท ได้สำเร็จ หรือมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นปีละ 10% ช่วยให้เกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์มีอาชีพ สามารถสร้างรายจากการใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี ก้าวพ้นความยากจนสู่ความมั่นคงทางรายได้
ส่งเสริม วทน. เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
ความสำเร็จของตัวเลขมูลค่าการส่งออกของเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็นความหวังและพลังที่นำไปสู่การตั้งเป้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ระยะที่สอง นั่นคือเพิ่มมูลค่าการส่งออกเป็น 5,000 ล้านบาท ในปี 2559 โดยมีกลยุทธ์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันให้ผู้ประกอบการไทย เร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านเมล็ดพันธุ์จาก 30% เป็น 70% พร้อมทั้งสนับสนุนการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ปรับปรุงพันธุ์พืช อาทิ การจัดการและประเมินเชื้อพันธุกรรมพืช การปรับปรุงพันธ์ุพืชให้มีลักษณะตามต้องการ เช่น ความต้านทานต่อโรคและแมลง การทนต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทนแล้ง ทนน้ำท่วม การเพิ่มประสิทธิภาพการปรับปรุงพันธุ์ เช่น การพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดเลือกพันธ์ุได้แม่นยำขึ้น ร่นระยะเวลาการปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและรวดเร็ว การพัฒนาเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ (Seed Technology)เช่น การเคลือบเมล็ดเพื่อป้องกันความสูญเสียอันเนื่องจากโรคและแมลง ปัจจัยเกื้อหนุนเหล่านี้ส่งผลให้ในปี 2559 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็น 5,551 ล้านบาท ได้สำเร็จ
ปักธงส่งออก 10,000 ลบ. ขึ้นแท่นศูนย์กลางการผลิตและการค้าเมล็ดพันธุ์ของภูมิภาค
ปัจจุบัน สวทช. จับมือหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งเป้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ระยะที่สาม เพิ่มการส่งออกเป็น 10,000 ล้านบาท ในปี 2565 มุ่งบูรณาการการทำงานขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ การส่งเสริมการผลิตและการค้า การสร้างและพัฒนานักปรับปรุงพันธุ์ รวมถึงการจัดตั้งหน่วยเก็บรักษาและประเมินเชื้อพันธุกรรมระดับชาติ ที่สำคัญยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมถึงสมาคมเมล็ดพันธุ์เอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายในการส่งออกของไทย ในการร่วมทดสอบพันธุ์ การจับคู่ทางธุรกิจ และการพัฒนาคน
ทั้งนี้ ในปี 2563 ประเทศไทยสามารถส่งออกเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นเป็น 7,300 ล้านบาท ซึ่งลดลงเพียงเล็กน้อยจากปี 2562 ที่มีมูลค่าการส่งออก 7,700 ล้านบาท สะท้อนว่าแม้ทั่วโลกจะเผชิญกับปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการส่งออกเมล็ดพันธุ์และมีโอกาสขยายตัวอย่างมาก อีกทั้งปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกเมล็ดพันธุ์เป็นอันดับที่ 9 ของตลาดโลก และอันดับที่ 3 ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ที่มากขึ้นนี้ ยังส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมพริก มีมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านบาท และการส่งออกของพริกเครื่องแกงยังตลาดต่างประเทศมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยา
ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทย นับเป็นตัวอย่างความสำเร็จของทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันผลักดันตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง สอดคล้องกับการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันแบบจตุภาคี มีการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าทรัพยากรซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ยกระดับให้ไทยเป็นผู้ส่งออกเมล็ดพันธุ์อันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิกในอนาคต ที่สำคัญยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระจายโอกาส สร้างอาชีพให้แก่เกษตรกรกว่า 30,000 ครัวเรือน มีรายได้ครอบครัวละ 120,000 บาทต่อปี มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตด้านการเกษตร ก่อให้เกิดความอยู่ดีมีสุขในชุมชนของตนเองอย่างยั่งยืน
//////////////
ผู้เรียบเรียง: นางสาววัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ผลิตสื่อวิดีทัศน์: ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
กราฟิก: นายกุลพงษ์ อ้นมณี ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อำนวยการผลิต: นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าว
บทความ

สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 3”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 3” ระหว่าง วันที่ 24 - 27 มีนาคม 2564 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเป็นนักประดิษฐ์ มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สร้างพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน เพื่อมุ่งสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ กล่าวว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 3” ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวง ศึกษาธิการ ในการจัดอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ในการใช้งานบอร์ด KidBright ซึ่งเป็นบอร์ดสมองกลฝังตัว ผลงานวิจัยของเนคเทค สวทช. ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย และการเคลื่อนไหวในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศ จำนวน 26 โรงเรียน
โดยจัดการอบรมการใช้งานบอร์ด KidBright 3 หลักสูตรได้แก่ การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นกลาง และการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลด้วยบอร์ด KidBright ทั้งนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการออกเป็น 3 รุ่น เพื่อให้สามารถจัดอบรมให้กลุ่มครูและนักเรียนในจำนวนที่เหมาะสมอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาได้จัดอบรมการใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานมาแล้ว จำนวน 2 รุ่น
ซึ่งที่ผ่านมานักเรียนพิการโดยเฉพาะนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจะมีความยากลำบากในการเข้าใจการเขียนโค้ดที่ต้องใช้ภาษาที่ยุ่งยาก เนื่องจากนักเรียนมีปัญหาในการอ่านและเขียนภาษาไทย และเป็นกลุ่มที่ใช้ภาษามือเป็นหลัก ดังนั้นการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งด้วยบอรด์สมองกล KidBright ซึ่งมีการออกแบบโปรแกรมที่เป็นคำสั่งแบบบล็อกคำสั่ง ที่ดึงบล็อกคำสั่งมาต่อๆ กันและสามารถแสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นบนบอร์สมองกล KidBright ได้ทันทีทำให้นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เกิดความเข้าใจจากภาพที่เห็นและสามารถต่อยอดที่จะไปเขียนโค้ดด้วยคำสั่งอื่นต่อไปได้ และยังสามารถจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลเพื่อแก้ไขปัญหาโจทย์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ผลจากการดำเนินงานปรากฏว่านักเรียนที่เข้าร่วมอบรมสามารถเขียนโค้ดคำสั่ง อีกทั้งสามารถจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวจากบอร์ด KidBright เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ทางวิทยาศาสตร์ได้
นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า การอบรมการใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 3 นี้ ให้แก่ครูและนักเรียนพิการจากโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษทั่วประเทศ จำนวน ๒๖ โรงเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้มีการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดเชิงสร้างสรรค์ ขยายโอกาสให้ครูและนักเรียนมีบอร์ด KidBright ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนทางด้านวิทยาการคำนวณ ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาค้นคว้า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้นักเรียนยังได้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวเข้าร่วมประกวดและได้รับรางวัลในประกวดจากหลายเวที จึงทำให้เกิดการขยายผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ในครั้งนี้ ซึ่งโปรแกรมที่ใช้ในการเขียนโค้ดคำสั่งเพื่อสั่งงานบอร์ด KidBright ได้ออกแบบให้เป็นการเขียนด้วยบล็อกคำสั่งที่เป็นรูปภาพ ไม่ต้องใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน ซึ่งง่ายต่อการเรียนรู้ในการเริ่มต้นการเขียนโค้ดคำสั่งด้วยคอมพิวเตอร์ของนักเรียนพิการ โดยเฉพาะนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่หลายคนอ่านและเขียนภาษาไทยได้ไม่ดีนัก นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่นักวิจัยของ สวทช. สามารถพัฒนาผลงานวิจัยและนำมาใช้ในการพัฒนาความรู้ให้กลุ่มนักเรียนพิการที่เป็นกลุ่มเยาวชนอีกกลุ่มหนึ่งของประเทศไทย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright สำหรับนักเรียนพิการถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนพิการเป็นอย่างมาก เปิดโอกาสให้นักเรียนพิการได้เรียนรู้เท่าทันเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันอย่างเท่าเทียม ในฐานะผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษและเลขานุการคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ยินดีสนับสนุนการให้มีการจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนพิการร่วมกับ สวทช.และมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป นางภัทริยาวรรณ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2564
ข่าว
สวทช. ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 หวังช่วยลดควสมเสี่ยงจากการแพร่เชื้อ
สวทช. 3 ทศวรรษ งสนวิจัยด้านเกษตรและอาหาร ความรู้ ความเชี่ยวชาญ สู่ความยั่งยืน
EECi จับมือเอกชนจีน ขับเคลื่อนศูนย์นวัตกรรม SMC มุ่งเป้ายกระดับขีดความสามารถโรงงานไทย สู่อุตสาหกรรม 4.0
ไบโอเทค สวทช. ค้นพบราแมลงชนิดใหม่ของโลก (new species) 47 สายพันธุ์
สวทช. จับมือ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ นำ Digital Healthcare ยกระดับโรงพยาบาลสู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital)
นาโนเทค สวทช. พัฒนา ‘ปุ๋ยคีเลต’ เสริมธาตุอาหารพืชทางใบ
สวทช. เปิดแล็บเทสต์มาตรฐาน ‘กัญชา-กัญชง’ ‘เพ ลา เพลิน’ จ.บุรีรัมย์ ประเดิมทดสอบ ‘สารสำคัญ’ คัดเกรด-เพิ่มมูลค่า
เอ็มเทค สวทช. พัฒนา “Para Plearn” นวัตกรรมของเล่นจากยางพารา เสริมพัฒนาการเด็ก เล่นและเรียนรู้อย่างปลอดภัย
เนคเทค สวทช. จัดกิจกรรม “รวมพลคน KidBright Online” ครั้งที่ 3 พบกับการแข่งขัน KidBright AI Bot Tournament ด้วยภาษาถิ่น
โรงเรียนเกษตรสมบูรณ์วิทยาคม จังหวัดชัยภูมิ สุดเจ๋ง! คว้ารางวัลชนะเลิศ KidBright AI Bot Tournament ด้วยภาษาถิ่น
สวทช.-ม.เกษตรศ“สตร์-ชุมชนบ้านดอนหว“ย เป‘‘ตเมล็ดพันธุ์ถั่วเข’‘ตเมล็ดพันธุ์คุณภ“พแห่งแรก พร้อมส่งต่อแปลงปลูกทั่วไทย
บทความ
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โอกาสสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model
Download เอกสารฉบับเต็ม [19.6 MB]
จดหมายข่าว สวทช.

ประกาศผลการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 23 (Young Scientist Competition: YSC 2021)
ประกาศผลการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 23 (Young Scientist Competition: YSC 2021)
กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และพันธมิตรมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มาวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร จัดการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 23 (Young Scientist Competition: YSC 2021) ภายใต้การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1 หรือ NSTIF2021 โดยได้จัดให้มีการแข่งขัน YSC2021 รอบชิงชนะเลิศ เมื่อพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยผู้พัฒนาผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ YSC2021 จะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน Regeneron International Science and Engineering Fair (Regeneron ISEF) ณ สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 3 - 6 พฤษภาคม 2564 ซึ่งถือเป็นเวทีประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในระดับโลก
บัดนี้ โครงการ YSC ประกาศผลการตัดสิน ดังนี้
ไฟล์ PDF คลิกที่นี่ >>> ประกาศผลการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 23 (Young Scientist Competition: YSC 2021)
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – APSA ขยายระยะเวลาความร่วมมือด้านเมล็ดพันธุ์พืช เดินหน้าสู่เป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของโลก
For English-version news, please visit : NSTDA and the Asia Pacific Seed Alliance extend MOU to advance the development of quality seed
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงขยายระยะเวลาความร่วมมือด้านเมล็ดพันธุ์พืช ระหว่างสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค APSA) และ สวทช. โดยมี ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. นางวรรณิพา ทองสิมา ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ (RNS) สวทช. นายวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ประธานคณะกรรมการ สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA) และ ดร.กนกวรรณ ชดเชย ผู้อำนวยการบริหาร APSA
ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงขยายระยะเวลาความร่วมมือด้านเมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในระดับเอเชีย ทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ ซึ่งเดิมมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ถึง 30 กรกฎาคม 2565 ให้ขยายระยะเวลาบันทึกข้อตกลงจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2570 เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของโลกและต่อสู้กับปัจจัยที่ท้าทายในอนาคต
ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว สวทช. และ APSA ได้ดำเนินการร่วมกันทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาบุคลากร และ ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการประชาสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมประชุม The 26th Asian Seed Congress (ASC2019) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมี APSA เป็นเจ้าภาพ ได้สนับสนุนให้ สวทช. ออกบูธประชาสัมพันธ์ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีด้านเมล็ดพันธุ์ที่จะให้บริการแก่บริษัทเมล็ดพันธุ์ทั้งภายในประเทศไทยและต่างประเทศ
อีกทั้ง การเข้าร่วมประชุม The Third Asian Solanaceous Round Table (ASRT) 2019 ณ เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ที่จัดโดย APSA นั้น ได้เชิญนักวิจัย สวทช. 2 ท่าน นำเสนอผลงานและร่วมประชุมฯ ได้แก่ ดร.อรประไพ คชนันทน์ (ศช.) ได้นำเสนอภาคบรรยาย เรื่อง “Development of immunochromatographic strip tests for a rapid detection of plant pathogenic bacteria and viruses” และ ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล (ศช.) นำเสนอภาคบรรยาย เรื่อง “Tospovirus Research in Thailand: Challenges and Opportunities” ซึ่งการเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ดร.ชาญณรงค์ ได้ดำเนินเสนอข้อเสนอโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ “Development of Inoculation Protocol for PBNV resistance screening in tomato” และ “Screening for Tomato necrotic ringspot virus (TNRV) and Capsicum chlorosis virus (CaCV)-resistant sources in tomato and pepper germplasm” โดยมีบริษัทเมล็ดพันธุ์สมาชิก APSA ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวหลายบริษัทฯ
จากการประชุมครั้งนี้ ได้เกิดโครงการร่วมวิจัยระหว่าง สวทช. และ APSA เรื่อง “การค้นหาแหล่งความต้านทานต่อเชื้อ Tomato necrotic ringspot virus (TNRV) และ Capsicum chlorosis virus (CaCV) ในเชื้อพันธุกรรมพริก” ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานในปี พ.ศ.2564 และจะสิ้นสุดโครงการในปี พ.ศ.2566 อีกทั้ง สวทช. และ APSA ยังมีแผนงานที่จะดำเนินงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในอนาคต
นายวิชัย เหล่าเจริญพระกุล ประธานคณะกรรมการสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชเอเชียและแปซิฟิค กล่าวว่า การลงนามบันข้อตกลงในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชนซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญขององค์กร โดยใช้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์พืช เป็นจุดเริ่มต้นที่มุ่งสู่การพัฒนาทางเทคโนโลยี เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ เดินหน้าสู่เป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของโลกต่อไป อย่างไรก็ตามทั้งสององค์กรได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน ในการเสริมสร้างศักยภาพ ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์พืช เพื่อต่อสู้กับปัจจัยที่ท้าทายในอนาคต จึงได้ขยายระยะเวลาบันทึกข้อตกลงจนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2570
ทั้งนี้เนื่องจากงานวิจัยที่ได้ดำเนินการร่วมกัน มีลักษณะเป็นโครงการระยะยาว และเป็นงานวิจัยต่อเนื่อง การขยายระยะเวลาความร่วมมือด้านเมล็ดพันธุ์พืชนี้ จะช่วยยกระดับขีดความสามารถ ของภาคอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ ในประเทศไทยสู่ระดับสากล อีกทั้งยังช่วยต่อยอดความร่วมมือด้านการวิจัย และพัฒนากับองค์กรอื่น ๆ ของ APSA โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานวิจัยต่อเนื่อง หัวข้อการค้นหาแหล่งความต้านทานต่อเชื้อ Tomato necrotic ringspot virus (TNRV) และ Capsicum chlorosis virus (CaCV) ในเชื้อพันธุกรรมพริก ที่ได้รับความร่วมมือด้าน Germplasm จากองค์กรทั้งในและต่างประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น New Mexico State University และ World Vegetable Center ความร่วมมือเหล่านี้จะช่วยให้นักปรับปรุงพันธุ์พืชสามารถพัฒนาเมล็ดพันธุ์คุณภาพ ที่มีคุณลักษณะต้านทานโรค และทนต่อสภาวะต่างๆ สู่ท้องตลาดได้โดยใช้ระยะเวลาสั้นกว่าปกติ เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ความร่วมมือดังกล่าวทำให้ APSA ในฐานะตัวแทนองค์กรเมล็ดพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และ สวทช. ได้มีโอกาสแบ่งปันแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ และแนวโน้มการเติบโตของตลาดเมล็ดพันธุ์โลก และในเรื่องการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ในอนาคตได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น “โครงการความร่วมมือที่กำลังดำเนินการและโครงการความร่วมมือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต จะเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มผลผลิตเมล็ดพันธุ์ ที่มีคุณภาพในประเทศ และในต่างประเทศ เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศไทยและในตลาดโลก” นายวิชัย กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. ได้รับสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) 2 โครงการกว่า 27 ล้านบาท
ไบโอเทค สวทช. ได้รับสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) 2 โครงการกว่า 27 ล้านบาท
โครงการ Train-the-Trainer Program under Lancang – Mekong Cooperation to Enhance Production Capacity and People’s Livelihood by Improving the Value Chain for Cassava Cultivation and Application: Clean Cassava Chips, Native Starch, Modified Starch, Ethanol and Biogas Production ได้รับทุนสนับสนุน 13,732,488.11 บาท
มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกผลผลิตมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลกมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 68% ทั้งนี้หากรวมผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มแม่น้ำโขงจะพบว่ามีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 90%
ดร.วรินธร สงคศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ไบโอเทค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตแป้งมันสำปะหลัง จึงมุ่งสร้างองค์ความรู้ ดำเนินงานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การใช้พลังงานและทรัพยากรตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน จนสามารถช่วยยกระดับอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทย จากความสำเร็จของโครงการและองค์ความรู้ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี เรามีความพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปยังอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งประกอบด้วยประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม ประเทศไทย และจีน (CLVT and China)”
ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ Train-the-Trainer Program ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญของห่วงโซ่มันสำปะหลัง ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลัง นักวิชาการ บุคลากรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตลอดห่วงโซ่อุปทานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่การผลิต ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการผลิตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของภูมิภาค
ดร. กาญจนา แสงจันทร์ นักวิจัยทีมวิจัยการจัดการและใช้ประโยชน์จากของเสียอุตสาหกรรมการเกษตร ไบโอเทค หัวหน้าโครงการร่วม กล่าวเพิ่มเติมว่าหลักสูตรการอบรมในโครงการแบ่งเป็น 4 หลักสูตร ครอบคลุมหัวข้อสำคัญเริ่มตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือ การบริหารจัดการเทคโนโลยีการปลูกมันสำปะหลังและการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการเพิ่มผลผลิตและทำให้มันสำปะหลังมีคุณสมบัติเหมาะกับการแปรรูปหรือใช้งานในอุตสาหกรรมเฉพาะ “กลางน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้พลังงาน ทรัพยากร และการปล่อยของเสียจากอุตสาหกรรม จนถึง “ปลายน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีในการนำของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต ได้แก่ น้ำเสียและกากมันสำปะหลังมาผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลัง”
โดยโครงการดังกล่าว คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการอบรมทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากกว่า 120 คน จากประเทศในแถบลุ่มน้ำโขง และเมื่อเสร็จสิ้นโครงการคาดว่าจะสามารถขยายเครือข่ายการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังจากประเทศไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
โครงการพัฒนาดัชนีจุลินทรีย์ด้วยวิธีทางอณูชีววิทยาและดีเอ็นเอบาร์โค้ดเพื่อการประเมินสถานภาพของระบบนิเวศในลุ่มน้ำแม่โขง-ล้านช้าง (A Microbial-based Index to Assess the Ecological Status of the Lancang-Mekong River based on Molecular Approaches and DNA Barcoding) หรือโครงการ MekongDNA ได้รับทุนวิจัยจำนวน 13,690,937.46 บาท
โครงการ MekongDNA มีวัตถุประสงค์เพื่อนำวิธีการเมตาจีโนมิกส์และดีเอ็นเอบาร์โค้ดมาใช้พัฒนาดัชนีจุลินทรีย์เพื่อการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำบริเวณลุ่มน้ำแม่โขง-ล้านช้างอย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.สุภาวดี อิงศรีสว่าง นักวิจัยอาวุโส ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติและหัวหน้าโครงการ MekongDNA ให้ข้อมูลว่าวิธีการเมตาจีโนมิกส์และดีเอ็นเอบาร์โค้ดเป็นวิธีการวิเคราะห์ประเมินความหลากหลายและความชุกชุมของจุลินทรีย์ทั้งหมดหรือไมโครไบโอมที่มีอยู่ในตัวอย่างน้ำจากพื้นที่ 3 ส่วนหลักของลุ่มน้ำแม่โขง-ล้านช้าง ได้แก่ ส่วนต้นของแม่น้ำที่อยู่ในประเทศจีน ส่วนกลางของแม่น้ำที่ไหลผ่านประเทศไทยและส่วนปลายของแม่น้ำที่ไหลลงทะเลจีนใต้ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ไมโครไบโอมของตัวอย่างน้ำบริเวณลุ่มน้ำแม่โขง-ล้านช้างจะถูกนำมาบูรณาการกับข้อมูลด้านอื่นๆ เช่น คุณสมบัติทางกายภาพและเคมีของน้ำเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และฤดูกาลของความหลากหลายและความชุกชุมของจุลินทรีย์ในแม่น้ำและพัฒนาดัชนีชีวภาพในการบ่งชี้คุณภาพน้ำในแม่น้ำซึ่งเป็นประโยชน์กับการพัฒนาแหล่งน้ำและการกำหนดนโยบายอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้โครงการยังมุ่งสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและให้ความรู้ด้านการประเมินระบบนิเวศของแม่น้ำด้วยดัชนีจุลินทรีย์ผ่านการมีส่วนร่วมในรูปแบบนักวิทยาศาสตร์พลเมืองและการสร้างขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาการติดตามประเมินสถานภาพทางชีวภาพที่มีประสิทธิภาพของระบบนิเวศแม่น้ำ
โครงการ MekongDNA เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติร่วมกับพันธมิตรหลายหน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช., ศูนย์ป้องกันวิกฤติน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทย, Institute of Microbiology, Chinese Academy of Sciences (IMCAS), Lancang-Mekong Environmental Cooperation Center, กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (Ministry of Ecology and Environment) สาธารณรัฐประชาชนจีน และ Vietnam National University, Ho Chi Minh City, University of Science ประเทศเวียดนาม
กองทุนพิเศษแม่โขง- ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) จัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง โดยเน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน
ผู้ส่งข่าว
ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศและประชาสัมพันธ์ ไบโอเทค
: โทร 02-564-6700 ต่อ 3325 ศีตลา (086-7688607)
: โทร 02-564-6700 ต่อ 3326 สุภาวดี (088-642-1648)
: โทร 02-564-6700 ต่อ 3332 สุดาวลัย (091-770-1585)
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศแล้ว ผู้ชนะการประกวดผลงาน วทน. ‘NSTIF 2021’ ครั้งที่ 1 สวทช.- วช. หนุนสร้าง ‘นวัตกร’ พัฒนากำลังคนของประเทศ
วันที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศผล “การประกวดผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (วทน.) ครั้งที่ 1 (The 1st National Science Technology and Innovation Fair 2021 หรือ NSTIF 2021)” เป็นผลงานที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาจากเวทีการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) ครั้งที่ 23 และจากเวทีการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ครั้งที่ 23 ในรูปแบบออนไลน์ โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ นายธีรวัฒน์ บุญสม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ร่วมงานประกาศรางวัลแบบออนไลน์ถ่ายทอดสดผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก NSTDA-สวทช. https://www.facebook.com/NSTDATHAILAND
(more…)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึก มธ. เสริมแกร่งบริการ-วิเคราะห์ทดสอบ ยกระดับอุตสาหกรรมและงานวิจัยตามมาตรฐานสากล
19 มีนาคม 2564 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC: NSTDA Characterization and Testing Service Center) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแถลงข่าวการลงนามการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ระหว่าง สวทช. กับ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเสริมแกร่งในการพัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาคี
โดยมี ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. และ รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนาม ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาคี ณ ชั้น 1 Towe-C Hall อาคาร INC 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. เป็นองค์กรที่มุ่งสร้างเสริมการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรมให้สามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็น โดยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ (National Quality Infrastructure: NQI) ดำเนินงานเพื่อให้เกิดมาตรฐานของประเทศไทยที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล ผ่านศูนย์ NCTC ซี่งเป็นผู้ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานสากล ซึ่ง NCTC เป็นศูนย์เครื่องมือกลางของ สวทช. สนับสนุนงานวิจัยและให้บริการวิเคราะห์ทดสอบและพัฒนาวิธีการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเทคนิคต่าง ๆ ร่วมกัน (Share use) ลดภาระการลงทุนซ้ำซ้อนของเครื่องมือ สวทช. และประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามวิธีมาตรฐานต่าง ๆ สนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูง เพื่อเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ควบคุมระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ISO/IEC17025 เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานขององค์กร
ปัจจุบัน สวทช. และภาคเอกชนในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย รวมถึงเครือข่ายและพันธมิตรที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและความจำเป็นในด้านการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์และมาตรฐานชิ้นงานที่สร้างความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ จึงได้พัฒนาบริการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และการตรวจประเมินให้การรับรองที่ได้มาตรฐานสากลให้กับภาคเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ทั้งมาตรฐาน ISO มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานเฉพาะทางอื่น ๆ โดย สวทช. มีเครื่องมือวิเคราะห์ทดสอบเพื่อรองรับการวิเคราะห์ทดสอบงานวิจัยและพัฒนาครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งสนับสนุนการทำวิจัยที่มีนักวิจัยและเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้ามูลค่าสูงให้กับภาครัฐและเอกชนในหลายอุตสาหกรรม
“การสนับสนุนการวิจัย วิเคราะห์ทดสอบ และการบริการ ให้มีมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับในระดับประเทศ ของ สวทช. นั้น จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ หากขาดความร่วมมือและบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เป็นสถาบันการศึกษาและวิจัยขั้นสูง สวทช. จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือ เพื่อการวิเคราะห์ทดสอบเครื่องมือวิทยาศาสตร์ พัฒนาวิธีการและบริการแบบทวิภาค ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพกระบวนการวิจัยและพัฒนาการวิเคราะห์ทดสอบด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยขั้นสูง เพิ่มโอกาสให้ร่วมกันพัฒนาศักยภาพของห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบให้ได้มาตรฐาน ทำให้ศักยภาพการวิจัยและพัฒนาวิเคราะห์ทดสอบในประเทศเทียบเท่ามาตรฐานสากล รวมถึงบูรณาการความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิต ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ของประเทศต่อไป” ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ด้าน รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การลงนามร่วมกันครั้งนี้ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมี ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัยขั้นสูง ศูนย์วิจัยค้นคว้าและพัฒนายา ศูนย์สัตว์ทดลอง ศูนย์ทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้บริการเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการ สัตว์ทดลอง ทางด้านการวิจัยและให้บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนศูนย์ NCTC สวทช. เป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงและเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีคุณภาพห้องปฏิบัติการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของสังคมซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นโอกาสให้หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้มีความร่วมมือทางด้านวิเคราะห์ทดสอบ เกิดความร่วมมือในการพัฒนาวิธีการและบริการด้วยเครื่องวิทยาศาสตร์แบบทวิภาคีร่วมกัน เกิดองค์ความรู้ที่บูรณาการระหว่างบุคลากร การประยุกต์ใช้เครื่องมือและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ จนนำไปสู่นวัตกรรมอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์