ผลการค้นหา :

FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อุตสาหกรรมอาหารจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ปัจจุบันทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลกกำลังมุ่งสู่ “อาหารแห่งอนาคต (Future food)” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” ขึ้น เพื่อให้บริการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต แบบ One-stop Service โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขา ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล
FoodSERP เป็น 1 ใน 4 Core business ของ สวทช. ทำหน้าที่ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงวิธีการผลิตที่เหมาะสมในระดับห้องปฏิบัติการ การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การให้บริการขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
FoodSERP พร้อมให้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ
1) วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์
2) วิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือขยายกำลังการผลิต
3) บริการวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4) บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพตามความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เป็นเทรนด์อุตสาหกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน โดยให้บริการแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญ และใช้เครื่องมือมาตรฐานสากลในการวิจัยและพัฒนาแบบ One-stop service เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตที่พัฒนา จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมผลิตและจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
FoodSERP พร้อมให้บริการโรงงานต้นแบบมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบการผลิตผลิตภัณฑ์ก่อนขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยโรงงานต้นแบบที่พร้อมให้บริการมี 2 ประเภท คือ
1) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (Food-grade manufacturer) สถานที่ผลิตอาหารสำหรับขยายขนาดการผลิตจากจุลินทรีย์และการแปรสภาพทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามมาตรฐานสากล Codex GHPs, HACCP และ GILSP ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม
2) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการพัฒนาและผลิตอนุภาคนาโนของสารสกัด และเวชสำอาง ด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP
นอกจากโรงงานต้นแบบทั้ง 2 ประเภทที่พร้อมรองรับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว FoodSERP ยังพร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบก่อนขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างเครื่องมือแรก คือ เครื่องเอกซ์ทรูเดอร์แบบสกรูคู่ (Twin-screw extruder) สำหรับแปรรูปและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ กัน สามารถใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ทั้งในรูปแบบความชื้นต่ำและความชื้นสูง รวมถึงอาหารประเภทขบเคี้ยว เป็นต้น อีกตัวอย่าง คือ เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติ (3D food printer) ที่เป็นเครื่องมือขึ้นรูปอาหารแบบสามมิติ ที่สามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีส่วนประกอบ รูปร่าง และเนื้อสัมผัสของอาหาร ให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายด้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าอาหารที่ผลิตตรงตามโจทย์ความต้องการ ตัวอย่างการให้บริการ เช่น
- Molecular sensomics: การทดสอบด้านกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์
- Food texture and characterization: การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม
- Peptidome and proteome: การวิเคราะห์ชนิดและโพรไฟล์ของเพปไทด์และโปรตีนในตัวอย่างทดสอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- Dynamically simulated gut model: การทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหารของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่
ทางด้านเวชสำอาง FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบการออกฤทธิ์ของส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients) และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ทั้งด้วยเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (2D human skin test) เนื้อเยื่อผิวหนังมนุษย์ (3D human skin tissues) ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ที่ได้รับบริจาคจากอาสาสมัคร (Ex vivo human skin) และการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยใช้แบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ (Intestinal tissue model) และแบบจำลองปลาม้าลาย (Zebrafish model) ตัวอย่างการทดสอบ เช่น การออกฤทธิ์ลดการอักเสบ การต้านอนุมูลอิสระ การชะลอการเสื่อมสภาพของผิวหนัง การเพิ่มความกระจ่างใส การศึกษาพิษเฉียบพลัน และการดูดซึมด้วยแบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้สามมิติ (In vitro)
FoodSERP พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน หนุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่และการยกระดับของอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อการยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน
FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ก.ล.ต. – สวทช. หนุนผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SMEส่งเสริมกลไกการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
2 สิงหาคม 2566 ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซนทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดสัมมนา “การเผยแพร่บทศึกษาระบบนิเวศ และนโยบายที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME” โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำทีมโดย ศ. วิทวัส รุ่งเรืองผล และ รศ. ดร.พีระ เจริญพร นำเสนอผลการศึกษาซึ่งได้ระบุถึงปัญหาและอุปสรรคในการระดมทุนของผู้ประกอบการในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับต่อยอดในการกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการระดมทุน พร้อมกันนี้ได้จัดสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “แนวทางและความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน”
โดยมี ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสาวประภารัตน์ ตังควัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิทรอน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVE Exchange) และนายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ของภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผ่านการทำงานโดยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของนักวิจัยศูนย์แห่งชาติ 5 ศูนย์แห่งชาติ ที่สามารถนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสานต่อให้เป็นเทคโนโลยีเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ สำหรับ BCG สวทช. เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ BCG ของประเทศ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อกำหนดนโยบาย BCG ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ ESG และ SDGs แนวทางการขับเคลื่อนให้การให้เติบโตของโลกอย่างสมดุล
“การจะเข้าสู่ SDGs หรือ ESG แต่ละประเทศบริบทไม่เหมือนกัน ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตด้าน Bioeconomy มีได้สูง ขณะเดียวกันเรื่อง Circular economy และ Green economy เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปได้ด้วยฐานของเทคโนโลยี เพราะจะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เทคโนโลยีเสมอ
“BCG หรือ Bio-Circular-Green เป็นคำใหญ่ แต่คีย์เวิร์ดคือ Economy ดังนั้น BCG economy เรากำลังจะบอกว่าอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตขึ้น วิสัยทัศน์ 4 ด้าน 1.ต้องสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต้องโตอย่างเข้มแข็ง 3.เทคโนโลยีใหม่ต้องถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4.ต้องยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมพรีเมียม และให้ของเสียเป็นศูนย์
ทั้งนี้ด้วยตัวอุตสาหกรรม BCG นั้น จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น คือ Circular-Green economy ซึ่งหลายอุตสาหกรรมกำลังปรับแปลงอุตสาหกรรมของตนเองให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีขึ้นช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม สวทช. มีผลงานที่ออกมาก็จดเป็น IP Licensing เพื่ออนุญาตใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดมากกว่า 300 IP ต่อปี มีการร่วมกับบริษัทเพื่อวิจัย และการจ้าง สวทช. วิจัยมากกว่า 400 โครงการต่อปี แต่ละปีจะมี IP Market Place ในงาน Thailand Tech Show รวมมากกว่า 1,300 ผลงาน จาก 45 พันธมิตรทั่วประเทศ ทั้งหน่วยวิจัยภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน รวมทั้งโครงการ ITAP ที่ช่วยเป็นกลไกการสนับสนุน SMEs ออกกันคนละครึ่ง
นอกจากนี้ สวทช. ยังมีเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษี 200% สำหรับการลงทุนวิจัยการพัฒนาและนวัตกรรม ซึ่ง สวทช. ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองโครงการวิจัยให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีกับกรมสรรพกร และการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัย เป็นจำนวน 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง รวมทั้งรับรองธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในกระบวนการผลิตและให้บริการ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี กิจการร่วมลงทุน ที่ลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีสำหรับผลตอบแทนจากการลงทุน 10 ปี และ นักลงทุน ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ที่ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
นายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” ตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน ก.ล.ต. (ปี 2566 – 2568) ที่มุ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายตามแนวนโยบายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกของตลาดทุนซึ่งจะช่วยให้การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 4 ด้านการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลเพื่อลดอุปสรรคการเข้าถึงตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเกณฑ์การระดมทุนสำหรับ SME และ Startup ผ่านช่องทางที่สะดวก มีทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการเงินทุน เช่น ระบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) การเสนอขายในวงจำกัด (PP-SME) และการเสนอขายบุคคลทั่วไปแบบ PO-SME ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจและมีมูลการระดมทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนหลักเกณฑ์รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามเกณฑ์มูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาด (เกณฑ์ Market Capitalization) เพื่อส่งเสริมให้บริษัทไทยที่ประกอบธุรกิจในกลุ่ม BCG รวมถึงบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย
ทั้งนี้ภายในงานมีการออกบูธของ ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อให้ข้อมูล ตอบข้อซักถามและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการระดมทุนแก่ผู้ที่สนใจ
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์

นาโนเทค สวทช. วิจัยเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดใบบัวบกด้วยระบบการนำส่ง ต่อยอดสู่เวชสำอางมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Nanocarrier as a delivery system for bioactive compounds in Centella asiatica
บัวบก (Centella asiatica) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย และนิยมใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจากประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นกำเนิดแบรนด์เวชสำอางชั้นนำของโลกก็มีการใช้ใบบัวบกเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่นกัน เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารออกฤทธิ์บำรุงรักษาที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำความเชี่ยวชาญและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานวิจัยพัฒนา ‘ประสิทธิภาพการนำส่ง’ และ ‘การคงตัว’ ของสารสกัดใบบัวบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง มุ่งยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยให้ยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_45209" align="aligncenter" width="750"] ดร.อรพรรณ คิง (ซ้าย) และคุณสักรินทร์ ดูอามัน (ขวา)[/caption]
ดร.อรพรรณ คิง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ใบบัวบกเป็นพืชที่มีสารสำคัญหลัก 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ Asiaticoside และ Madecassoside เป็นสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ แต่สารสกัดสมุนไพรยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์เวชสำอาง 2 ด้าน ด้านแรกคือเป็นสารกลุ่มละลายน้ำได้ดี จึงซึมผ่านชั้นผิวหนังได้น้อยกว่าสารกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่งคือเป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active ingredient) ในเครื่องสำอาง เนื้อของผลิตภัณฑ์อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหากโดนแสงหรือความร้อน เช่น สีเปลี่ยนไปก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพ และเกิดความไม่สบายใจที่จะใช้สินค้าต่อ
[caption id="attachment_45507" align="aligncenter" width="450"] บัวบก (Centella asiatica)[/caption]
“เพื่อยกระดับสารสกัดจากใบบัวบก ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน (Nanoencapsulation) ด้วยสารห่อหุ้มที่มีความจำเพาะในกลุ่ม Lipid-based nanocarrier ช่วยให้สารซึมผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และออกฤทธิ์ยังบริเวณเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้งานจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้การห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารมีความคงตัว ผลิตภัณฑ์จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีและจะยังคงมีปริมาณสารออกฤทธิ์ตามที่กำหนดจนถึงวันหมดอายุด้วย”
ภายหลังการวิจัยและพัฒนากระบวนการยกระดับสารสกัดใบบัวบกจนได้มาตรฐานพร้อมนำไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. จะรับช่วงต่อนำสารสกัดที่ได้พัฒนาในรูปของ Lipid-based nanocarrier มาสร้างสรรค์เป็น ‘ตำรับเวชสำอางใหม่’ ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานทั้งในไทยและต่างประเทศ
คุณสักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าถึงกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยจะนำโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์ร่วมกับคุณสมบัติของสารสำคัญ เพื่อพิจารณาว่าควรผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใด ก่อนผสานความเชี่ยวชาญด้านวิทย์และศิลป์ สร้างสรรค์ออกมาเป็นเวชสำอางที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในการใช้งาน
“ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 4 ผลิตภัณฑ์ คือ Facial Serum, Facial Sleeping mask, Emulgel และ Hand cream ทุกผลิตภัณฑ์ล้วนโดดเด่นด้านการชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวหนังและลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย โดยแต่ละตำรับจะใส่สารสำคัญอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงด้วย เช่น สารตรึงความชุ่มชื้นและเคลือบผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำระหว่างวัน สารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยกระบวนการตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มนี้แล้ว 2 บริษัท ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางของสื่อสารของแบรนด์ Herb Miracle และ iNSIEME
นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดและเวชสำอางเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมคือการให้บริการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเวชสำอางตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพสารสกัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์และความปลอดภัย ภายใต้ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’
ดร.อรพรรณ อธิบายว่า ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนายกระดับประสิทธิภาพการนำส่งและการคงตัวของสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน ด้วยเทคโนโลยีนาโนการห่อหุ้มหรือกักเก็บ (Nanoencapsulation) และพร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาตำรับเวชสำอางประสิทธิภาพสูงสูตรเฉพาะของแบรนด์ตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ
นอกจากความพร้อมด้านการให้บริการวิจัยแล้ว นาโนเทค สวทช. ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ โรงงานต้นแบบสำหรับผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ภายใต้มาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP สำหรับให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบและสินค้าด้วย
“ที่นี่เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พร้อมให้บริการเครื่อง High-pressure homogenizer หรือเครื่องลดขนาดอนุภาคของสารในระดับนาโนเพื่อการผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรมแก่ภาคเอกชน นอกจากนี้นาโนเทคยังมีความเชี่ยวชาญด้านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วยการผ่านการทดลองทางคลินิก (Clinical test) และมีผู้เชี่ยวชาญด้านเงื่อนไขข้อบังคับ (Regulation) การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ช่วยพิจารณาส่วนประกอบและกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของแต่ละประเทศด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนาจะมีคุณภาพสูง มีศักยภาพที่จะจำหน่ายได้จริงทั้งในไทยและประเทศเป้าหมาย คุณสักรินทร์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย
การพัฒนากระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งสารสกัดจากสมุนไพร รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเวชสำอาง เป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญที่นาโนเทค สวทช. ภูมิใจและพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตหรือร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากใบบัวบก ติดต่อได้ที่ ฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100 ต่อ 6610, 6680 หรืออีเมล bitt-ind@nonotec.or.th สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ไทยเดินหน้า “เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน” มุ่งสนับสนุนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
วันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี คือ “วันสากลของการอนุรักษ์ป่าชายเลนโลก (International day for the conservation of the mangrove ecosystem)” หรือที่นิยมเรียกว่า “วันป่าชายเลนโลก” เป็นวันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ระบบนิเวศในแนวเชื่อมต่อระหว่างทะเลกับผืนแผ่นดิน พบได้ในแถบเขตร้อน (tropical) และกึ่งเขตร้อน (subtropical) ของโลก ป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนและสัตว์ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน แหล่งกักเก็บคาร์บอน และยังเป็นแนวกำแพงช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลม ภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดำเนินโครงการการศึกษาชีพลักษณ์และการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนของไทยในสภาพปลอดเชื้อ โดยมุ่งหวังพัฒนาวิธีการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนแบบระยะยาว เพื่อเป็นคลังความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนในประเทศ
[caption id="attachment_45227" align="aligncenter" width="450"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันมีการอนุรักษ์พันธุ์พืชป่าชายเลนด้วยการจัดทำศูนย์รวบรวมพันธุ์ทั้งแบบอนุรักษ์ในพื้นที่ (in situ) และแบบนอกพื้นที่ (ex situ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ด้วยสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน ภัยแล้ง น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ยากแก่การวางแผนรับมือล่วงหน้า ต่างส่งผลโดยตรงต่อการกระจายพันธุ์ของพืชบางชนิด ทำให้การเก็บรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จในระยะยาว ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญพันธุ์ของพืชในธรรมชาติ ทีมวิจัย NBT จึงได้ศึกษาวิจัย “การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชชายเลนด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ” ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว
“การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการเพิ่มจำนวนต้นพืชแบบไม่อาศัยเพศในสภาพปลอดเชื้อ เหมาะแก่การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคที่มีคุณลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ สามารถเพิ่มปริมาณได้รวดเร็วในพื้นที่ขนาดจำกัด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดเก็บเชื้อพันธุกรรมพืชที่มีเมล็ดแบบ Recalcitrant หรือเมล็ดชนิดที่ไม่สามารถลดความชื้นเพื่อการเก็บรักษาระยะยาวในสภาวะเยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส) ได้ ซึ่งเมล็ดชนิดนี้พบมากในพืชพรรณที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อน”
[caption id="attachment_45228" align="aligncenter" width="450"] การสำรวจป่าชายเลนเพื่อการทำวิจัย[/caption]
ถึงกระนั้นแม้จะเป็นที่ทราบกันดีในวงการวิจัยว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการอนุรักษ์พืชป่าชายเลนที่มีประสิทธิภาพ แต่จนถึงปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยด้านนี้ออกมาไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจาก “ความยากในการเพาะเลี้ยง”
ดร.ปัญญาวุฒิ อธิบายว่า ความยากของการวิจัยด้านนี้คือต้องค้นหาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เหมาะสมแบบจำเพาะ เนื่องจากพืชแต่ละชนิด (species) ต้องการอาหารและสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน อีกทั้งพืชป่าชายเลนบางชนิดยังมีอัตราการเจริญเติบโตช้า ทำให้การวิจัยแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลานานหลักปี ซึ่งหากไม่ประสบความสำเร็จจะต้องเริ่มต้นกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก
[caption id="attachment_45229" align="aligncenter" width="750"] ภาพการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]
[caption id="attachment_45232" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]
“ตัวชี้วัดความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือการทำให้ชิ้นส่วนพืชปลอดเชื้อและเจริญเติบโตต่อบนอาหารสังเคราะห์ภายหลังการฟอกฆ่าเชื้อได้สำเร็จ ส่วนที่สองคือยอดใหม่ของพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ผ่านการสับเปลี่ยนอาหารแล้ว 2 ครั้ง (subculture) หลังจากผ่านทั้งสองขั้นตอนที่สำคัญเหล่านี้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่ากระบวนการเตรียมตัวอย่างพืชและสูตรอาหารมีความเหมาะสมต่อการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมชนิดนั้น ๆ ในระยะยาว ทั้งนี้เป็นการอิงตามหลักกระบวนการวิจัย (protocol) ที่ NBT ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรมากว่า 200 ชนิดพันธุ์”
สำหรับการวิจัยเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลนในสภาพปลอดเชื้อในเฟสแรก สวทช. และ ทช. ได้ร่วมกันคัดเลือกพันธุ์พืชป่าชายเลนมาศึกษากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 16 ชนิด คือ หงอนไก่ใบเล็ก พังกา-ถั่วขาว ใบพาย โปรงขาว ลำแพน หลุมพอทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ โปรงแดง ฝาดดอกแดง พังกาหัวสุมดอกแดง และลำแพนหิน ซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงตามประกาศของ IUCN Red List ตั้งแต่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ในระดับต่ำ (least concern) จนถึงใกล้สูญพันธุ์ (endangered)
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าถึงสถานการณ์การวิจัยเพาะเลี้ยงพืชป่าชายเลนในเฟสนี้ว่า ผลจากการดำเนินงานทำให้ทีมพบปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชป่าชายเลนที่เก็บตัวอย่างจากธรรมชาติ คือ ตัวอย่างเหล่านี้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์สูง โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Endophytic microbial หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยในชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่สามารถทำให้ตายผ่านการฆ่าเชื้อที่พื้นผิวตามปกติ ทีมวิจัยจึงได้นำต้นกล้าที่จัดเก็บตัวอย่างจากป่ามาปลูกในโรงเรือนที่มีความชื้นน้อยกว่าธรรมชาติเพื่อลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ ก่อนฆ่าเชื้อด้วยรูปแบบและวิธีการที่ปรับให้เหมาะสม จนทำให้ต้นพันธุ์ปลอดเชื้อได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการวิจัยสูตรอาหารเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชพันธุ์ต่าง ๆ ต่อไป
[caption id="attachment_45230" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน[/caption]
[caption id="attachment_45231" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร[/caption]
ขณะเดียวกันกับการมุ่งมั่นเพาะเลี้ยงพืชชายเลนทั้ง 16 ชนิด ทีมยังได้วิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่พบบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อประโยชน์ด้านการอนุรักษ์คู่ขนานกันไปด้วย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงแล้ว 6 ชนิดพันธุ์ คือ ผักเบี้ยทะเล ผักหวานทะเล ขลู่ เทพี สำง้ำ และสำมะงา
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าภายในธนาคารพืช NBT มีการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พรรณพืชป่าชายเลนอีกหลายด้าน เช่น การศึกษาลักษณะเรณูหรือละอองเกสร (pollen) เพื่อการระบุชนิดพันธุ์ของพืช เพราะปริมาณและความหลากหลายของเรณูที่ตรวจพบบ่งชี้ถึงความสามารถด้านการกระจายพันธุ์ของพืชในบริเวณนั้นได้ อีกตัวอย่างคือการศึกษา DNA barcode หรือรหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญที่บ่งชี้ถึงชนิดพันธุ์พืช เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการระบุชนิดพันธุ์ ซึ่งการตรวจสอบชนิดพันธุ์พืชผ่านรูปแบบ DNA barcode เป็นวิธีการที่มีความแม่นยำสูง ตรวจสอบง่าย และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงนักอนุกรมวิธานในการวิเคราะห์ผล
[caption id="attachment_45236" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นหลุมพอทะเล[/caption]
[caption id="attachment_45235" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นฝาดดอกแดง[/caption]
[caption id="attachment_45234" align="aligncenter" width="750"] กระบวนการสกัด DNA เพื่อทำ DNA barcode[/caption]
“ทั้งนี้เป้าหมายการทำงานในระยะยาวของทีมวิจัยจากธนาคารพืช NBT คือ การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านการทำงานเป็นเครือข่าย เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำวิจัย มุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ของประชากรโลก คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” ดร.ปัญญาวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
หากคุณสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือร่วมทำวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพไทยทั้งด้านพืชและจุลินทรีย์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT และติดต่อได้ที่ www.nationalbiobank.in.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สีหมวกนิรภัย
รู้หรือไม่ ! การเลือกใช้หมวกนิรภัยสีขาวหรือสีอ่อน สามารถลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุจากจักรยานยนต์ได้
เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ
NSTDA Infographic

นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570)
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้จัดทำนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 - 2570)
- แผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570)
- นโยบายและแผนระดับชาติฯ ฉบับพกพา (Booklet)
- แผนบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2566-2570)
- ผลการดำเนินงานสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
เอกสารเผยแพร่

Research performance หัวข้อ Telehealth
ภาพรวมข้อมูลความสามารถด้านการวิจัย (research performance) หัวข้อเรื่อง Telehealth จากการวิเคราะห์ข้อมูลการตีพิมพ์ผลงานวิจัยและวิชาการที่ถูกทำดัชนีในฐานข้อมูล Scopus ทั้งในภาพรวมโลกและประเทศไทย ในช่วงปี ค.ศ. 2020-ปัจจุบัน เพื่อติดตามสถานภาพของการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยในเรื่องดังกล่าว จากการตีพิมพ์ผลงานวิจัยและวิชาการที่มีการรวบรวมและเผยแพร่ รวมถึงจากการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อติดตามสถานภาพและแนวโน้มของการแข่งขัน
(more…)
คลังความรู้
สารสนเทศวิเคราะห์
สารสนเทศวิเคราะห์

เปลี่ยน ‘ลิกนิน’ ของเสียอุตสาหกรรมกระดาษ สู่สารสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดปล่อยคาร์บอนใน ‘ผลิตภัณฑ์พลาสติก’
For English-version news, please visit : Lignin recovered from paper industry gets utilized in plastic manufacturing
‘ลิกนิน’ เป็นสารประกอบในวัตถุดิบชีวมวลที่อุตสาหกรรมกระดาษจำเป็นต้องกำจัดออก เพราะเป็นสารที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์กระดาษ ทั้งด้านสี ผิวสัมผัส และการทนทานต่อความชื้น ซึ่งสารปริมาณมหาศาลนี้มักมีจุดจบเพียงการเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดลู่ทางการใช้ประโยชน์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และพันธมิตร พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ‘สารลิกนิน’ ที่ได้จากกระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ (Organosolv process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมวิจัยและบริษัทร่วมกันพัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้การผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
โดยผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้จากการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยวิธีการนี้มีจุดเด่นสำคัญที่แตกต่างจากกระบวนการทั่วไปซึ่งใช้สารเคมี คือ การคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการดูดกลืนรังสียูวี การต้านทานสารอนุมูลอิสระ และความบริสุทธิ์ของสาร ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแนวทางเพื่อการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติกแล้ว
[caption id="attachment_44175" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการผลิตกระดาษชนิดที่ต้องควบคุมสี ผิวสัมผัส รวมถึงการทนทานต่อความชื้น เช่น กระดาษฟอกขาวสำหรับงานพิมพ์ โรงงานจะกำจัดสารลิกนินที่อยู่ในวัตถุดิบชีวมวล (ประมาณร้อยละ 20-30) ออกตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยกระบวนการทางเคมี หลังจากนั้นจะบำบัดลิกนินออกจากน้ำดำหรือน้ำเสียจากการผลิตกระดาษก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษ หรือบางโรงงานอาจแยกสารลิกนินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงกระบวนการผลิตต่อไป อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ค่อนข้างก่อให้เกิดมูลค่าต่ำ
“เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษจากวัตถุดิบชีวมวลด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อขึ้น ประโยชน์ด้านแรกคือเป็นกระบวนการผลิตที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านที่สองคือเป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารลิกนินจนเสียคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ ทำให้สารลิกนินที่เคยเป็นของเสียหรือสารมูลค่าต่ำกลายเป็นสารที่มีมูลค่าสูงขึ้น เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากการสกัดสารลิกนินออกมาแล้ว จะมีการปรับขนาดโมเลกุลให้เหมาะสม แยกสิ่งเจือปนออก เพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์พร้อมใช้งาน”
[caption id="attachment_44176" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]
[caption id="attachment_44177" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]
[caption id="attachment_44178" align="aligncenter" width="400"] สารลิกนิน (Lignin)[/caption]
สำหรับอุตสาหกรรมแรกที่ทีมวิจัยมุ่งนำผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้ไปใช้เจาะตลาด คือ ‘พลาสติก’ เพราะประเทศไทยมีผู้ผลิตในอุตสาหกรรมนี้มากหลักพันราย สารชนิดนี้ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความกรีนให้แก่ผลิตภัณฑ์ เหมาะแก่การเริ่มต้นขยายฐานลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง
ดร.ชญานนท์ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการนำสารลิกนินที่สกัดจากอุตสาหกรรมกระดาษมาใช้เสริมคุณสมบัติเด่นให้กับพลาสติกหลายประเภทที่นิยมใช้งานในประเทศอย่าง PE, PP, HDPE และ LLDPE ทั้งชนิดที่ใช้เม็ดพลาสติกจากปิโตรเลียมและชนิดที่ใช้ไบโอพลาสติกเป็นส่วนผสมแล้ว ตัวอย่างเด่นของการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้งานภายนอกอาคาร โดยนำคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีของลิกนินมาช่วยปกป้องเนื้อพลาสติกไม่ให้กรอบและแตกก่อนเวลาอันควร การใช้ลิกนินเป็นสารให้สีเอิร์ทโทนหรือสีเฉดน้ำตาลกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมทดแทนการใช้สีเคมีที่ผลิตจากออกไซด์ของโลหะ โดยปรับเฉดสีได้ตามต้องการ การเพิ่มคุณสมบัติยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการป้องกันการส่องผ่านของรังสียูวีให้แก่ผลิตภัณฑ์ฟิล์มห่อหุ้มอาหารเพื่อช่วยยืดอายุอาหารสดลดอัตราการเน่าเสีย ทำให้วางจำหน่ายได้ยาวนานขึ้น
[caption id="attachment_44173" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างเฉดสี[/caption]
“ทั้งนี้ล่าสุดทีมวิจัยได้พัฒนาการใช้ลิกนินเป็นสารประกอบเชิงหน้าที่ในพลาสติก PLA หรือพลาสติกที่ใช้ในการขึ้นรูปเส้นพลาสติก (PLA filament) เพื่อใช้ในงานพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์นี้ใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติทุกประเภท งานพิมพ์ที่ได้จะมีโทนสีน้ำตาลทอง โปร่งแสง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการประยุกต์ใช้ลิกนินเป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์พลาสติก สามารถนำแบบชิ้นงานมาทดลองขึ้นต้นแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิตินี้ ก่อนตัดสินใจลงทุนพัฒนาแม่พิมพ์สำหรับรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปได้”
[caption id="attachment_44174" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างงานพิมพ์สามมิติ[/caption]
ผลดีจากการพัฒนากระบวนการสกัดลิกนินเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง ลดต้นทุน และสร้างความโดดเด่นให้แก่สินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น การนำสารลิกนินซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมกระดาษไปใช้ประโยชน์ ยังช่วย ‘ลดการปลดปล่อยคาร์บอน’ สู่ชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
ดร.ชญานนท์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การนำสารลิกนิกไปเผาทั้งเพื่อกำจัดขยะและผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากการเผามาใช้ประโยชน์ต่อ จะทำให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนจากลิกนินสู่ชั้นบรรยากาศ แต่หากนำสารลิกนินมาใช้ประโยชน์โดยคงสภาพของสารประกอบไว้ จะเป็นการกักเก็บคาร์บอนไว้ในสารดังเดิม ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุโลกร้อนได้เป็นอย่างดี โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ตัวเลขการกักเก็บคาร์บอนหักลบค่าการปลดปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาษีคาร์บอนและการเพิ่มจุดขายเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ด้วย
ผลงานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำวิจัยที่ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดการสารส่วนเกินในอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงการพัฒนาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ พลาสติก รวมถึงประเภทอื่น ๆ ได้เห็นถึงแนวทางบูรณาการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ในการร่วมกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งด้านกระบวนการสกัดสารลิกนินและการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติก ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่คุณตะวัน เต่าพาลี ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล tawan.tao@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ระยะอันตราย
ระยะทาง 5 กม.แรกจากที่พัก ถือเป็นระยะทางที่เกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ส่งผลให้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด เนื่องจากผู้ขับขี่คิดว่าเดินทางระยะทางใกล้ๆ ไม่ต้องสวมหมวกนิรภัยก็ได้
เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะครับ
NSTDA Infographic

ลุยพัฒนา-สร้างมาตรฐาน “แพ็กแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้” หนุนไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน
วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาขาดแคลนพลังงานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ คือแรงขับดันให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งเตรียมปักหมุดเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนตามเป้าหมายนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของรัฐบาล
[caption id="attachment_43978" align="aligncenter" width="700"] ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยนโยบาย 30@30 คือตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจในการพัฒนาเพื่อให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเติบโตถึง 100% โดยมียอดจดทะเบียนใหม่ประมาณ 7,300 คัน แต่ยังถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศกว่า 2 ล้านคันต่อปี เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงและยังไม่ตอบสนองความต้องการการใช้งานได้เต็มรูปแบบ
“ในประเทศไทยและอาเซียนมีการใช้งานมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก เฉพาะประเทศไทยมีผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์มากถึง 21 ล้านคัน และมีการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ และบริการส่งผู้โดยสาร ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็มีความหลากหลายเช่นกัน อีกทั้งพลังงานของแบตเตอรี่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระยะการขับขี่แต่ละรอบเวลาการบริการ โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน และยังมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ใช้ในการเติมพลังงาน โดยอาจใช้เวลาอย่างต่ำ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อผู้ใช้งาน จึงเกิดแนวคิดการสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ หรือ battery swapping โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน”
“อย่างไรก็ตาม การสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังจำกัดอยู่เพียงการสับเปลี่ยนภายในมอเตอร์ไซค์จากผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดกลางด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า เราจึงเริ่มทำโครงการวิจัยพัฒนารูปแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่สลับเปลี่ยนใช้งานได้เมื่อแบตเตอรี่หมดและอยู่ระหว่างการชาร์จ เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ให้ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลายรุ่น หลายผู้ผลิต รวมถึงสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ข้ามสถานีกันได้”
ทั้งนี้ โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับบริษัทเบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด, บริษัทจีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัทไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด, บริษัทกริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด และสวทช. โดยวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานระดับสากลแล้ว 1 รุ่น ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ รวม 15 คัน และต้นแบบตู้สับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 3 รุ่น รวม 3 ตู้ สำหรับติดตั้งที่สถานีชาร์จ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณหน้าศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ปั๊มน้ำมันบางจาก เอกมัย-รามอินทรา คู่ขนาน 4 กรุงเทพมหานคร และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบการใช้งานภาคสนาม เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป
ดร.พิมพา บอกถึงข้อดีของการมีแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานว่าจะทำให้เราสามารถผลิตแพ็กแบตเตอรี่รูปแบบเดียวที่ใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นหลายผู้ผลิต รวมถึงใช้งานสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้หลากหลายผู้ให้บริการ เกิดการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ลดราคาการติดตั้งสถานีหลายรุ่นหลายแห่ง เพิ่มความสะดวกในการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้แก่ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และผู้ขับขี่ยังเข้าถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล่าสุดที่สถานีสับเปลี่ยนได้ และที่สำคัญคือช่วยให้ราคาต้นทุนของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและแพ็กแบตเตอรี่ลดลง
“เมื่อเรามีมาตรฐานทางเทคนิคกลางระหว่างแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตู้ประจุไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และตู้ประจุไฟฟ้าในแต่ละราย ดำเนินการระหว่างกันได้ผ่านมาตรฐานกลางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต การถือครองมอเตอร์ไซค์ แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า และจะส่งผลให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าแพร่หลายมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง แบตเตอรี่ที่สิ้นสุดการใช้งานจากมอเตอร์ไซค์อาจจะมีการนำไปใช้ต่อได้หรือจะถูกจัดการได้ง่ายขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ และที่สำคัญคือเราได้องค์ความรู้ที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศ เกิดการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน สามารถต่อยอดให้เกิดอุตสาหกรรมและบริการรูปแบบใหม่ตามมาอีกมากมาย”
ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงวิจัยพัฒนาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างคนสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ
เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับ Telehealth ในต่างประเทศ
จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพหันมาใช้ telehealth โดยเฉพาะเพื่อรับมือกับการต้องเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) แต่เมื่อสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ (post-pandemic) มีการคาดการณ์ว่า telehealth จะยังได้รับความสนใจในการนำมาใช้เพื่อการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ โดยไม่เพียงมอบประสบการณ์ที่สะดวกมากขึ้นให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังขยายการเข้าถึงการดูแลไปยังผู้ที่อาจมีปัญหาในการเข้าถึงบริการอีกด้วย โดยในบทความนี้นำเสนอตัวอย่างผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับ telehealth ในต่างประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ 10 กลุ่มหลัก และตัวอย่างที่เกี่ยวข้องในแต่ละกลุ่ม
การคัดกรองผู้ป่วยและการมีส่วนร่วมกับผู้ป่วยจากระยะไกลก่อนเข้าสู่สถานพยาบาล
โรงพยาบาลและหน่วยงานดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (home care organization) ได้ใช้แบบสอบถามออนไลน์เพื่อคัดแยกและติดตามผู้ป่วยที่สงสัยว่าติดเชื้อ COVID-19 โดยมีคอลเซ็นเตอร์ติดต่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่จะส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้ให้บริการหรือเจ้าหน้าที่ดูแลที่เหมาะสม สิ่งนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยต้องเผชิญความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น แม้ว่าความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจะลดลงเมื่อการระบาดของ COVID-19 ลดลง แต่ยังมีเหตุผลอื่นที่ทำให้เครื่องมือคัดกรองออนไลน์และการมีส่วนร่วมออนไลน์จะยังคงถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เช่น ความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยที่มากขึ้น และศักยภาพในการลดระยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยการดูแล ติดตาม และแนะนำการดูแลสุขภาพทางไกล
บริษัทสตาร์ทอัพในสิงคโปร์เปิดตัวแอปพลิเคชันมือถือ HeHealth ที่ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์รูปอวัยวะเพศ สำหรับสัญญาณของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ยังสามารถระบุสภาวะต่างๆ เช่น การติดเชื้อราและมะเร็งองคชาตได้ ผู้ใช้สามารถส่งภาพอวัยวะเพศของตนโดยไม่ระบุตัวตนและรับผลทันทีสำหรับปัญหา STD โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยอ้างคะแนนความแม่นยำ 90% เมื่อตรวจคัดกรองไวรัส HPV อีกทั้งผู้ใช้จะเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มชุมชนที่สามารถขอคำแนะนำและการสนับสนุนโดยไม่เปิดเผยตัวตน ในอนาคตมีแผนที่จะรวมคุณสมบัติ telehealth ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นการส่วนตัวเพื่อจัดการการดูแลที่จำเป็นและส่งการรักษาตรงถึงบ้าน (Mintel, 2022D)
mWell PH https://www.mwell.com.ph/ เป็นแอปพลิเคชันด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีที่เปิดตัวเพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของชาวฟิลิปปินส์ แอปพลิเคชัน mWell PH ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญและคำแนะนำทางการแพทย์ที่จำเป็นได้อย่างสะดวกโดยไม่ต้องออกจากบ้านไปที่คลินิกหรือโรงพยาบาล สมาชิกแอปพลิเคชันยังได้รับแผนออกกำลังกายและโภชนาการรายวัน วิดีโอออกกำลังกาย และสูตรอาหารควบคุมแคลอรี่บนแพลตฟอร์ม เครื่องติดตามสุขภาพส่วนบุคคลยังใช้งานได้กับผู้สมัครใช้งานแอปพลิเคชัน โดยพวกเขาจะได้รับคะแนน mWellness รายวันตามการวิเคราะห์ของโปรแกรมเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายและการนอนหลับโดยรวม (Mintel, 2022I)
Sublimed บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคจัดการกับความเจ็บปวดเรื้อรังผ่านอุปกรณ์ที่ใช้แรงกระตุ้นไฟฟ้า เพิ่งได้รับการอนุมัติสำหรับตลาดสหรัฐฯ อุปกรณ์ดังกล่าวเรียกว่า actiTENS ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) และทำงานโดยการเชื่อมต่อแผ่นอิเล็กโทรดที่วางอยู่บนร่างกายเข้ากับระบบกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง (TENS) ระบบจะส่งแรงกระตุ้นไปยังแผ่นอิเล็กโทรด ช่วยลดความเจ็บปวดเป็นระยะเวลานาน และดำเนินการโดยแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันนี้ยังรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้เพื่อติดตามการพัฒนาของความเจ็บปวดสำหรับแพทย์และผู้ป่วย (Mintel, 2021E)
Mon4t Montfort บริษัทสตาร์ทอัพด้านการแพทย์ในอิสราเอลได้สร้างแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งดำเนินการตรวจสอบสมองจากระยะไกลเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตเวช แอปพลิเคชัน Montfort Brain Monitor (Mon4t) ดำเนินการทดสอบระบบประสาทแบบดิจิทัลที่ได้รับการรับรองจาก FDA เพื่อช่วยวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตเวชต่างๆ ด้วยการใช้ AI และ machine learning ระบบจะรวบรวมตัวบ่งชี้ที่หลากหลายเพื่อสร้างกลไก การรับรู้ และความรู้สึกหรือ biomarkers ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ สิ่งเหล่านี้สามารถทำนายการรบกวนการเชื่อมต่อของสมองที่เชื่อมโยงกับความผิดปกติ (Mintel, 2021M)
Anura ของ NuraLogix (NuraLogix, 2022) แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนแอปแรกของโลกที่สามารถแจ้งข้อมูลสุขภาพโดยรวมของผู้ใช้ภายใน 30 วินาที แอปพลิเคชันใช้กล้องบนอุปกรณ์มือถือของผู้ใช้เพื่อประเมินสุขภาพทั่วไปและสุขภาวะที่ดี โดยให้การตรวจวัดระดับทางการแพทย์โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากวิดีโอเซลฟีความยาว 30 วินาที
Jumia แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเปิดตัว e-doctor ซึ่งเป็นบริการ telemedicine แบบสมัครสมาชิกซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพดิจิทัลที่มีคุณภาพและราคาไม่แพงในไนจีเรีย มีให้บริการในแอปพลิเคชัน JumiaPay ผู้ใช้เพียงแค่สมัครใช้บริการ e-doctor ด้วยค่าสมัครเริ่มต้นที่ N1,500 (US$3.61) สำหรับเวลาสามเดือน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบความสะดวกสบายและช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องแออัดยัดเยียดหรือรอนาน (Mintel, 2022S) หรือ Med247 https://med247.vn/ คือ สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพที่มีแผนจะใช้แอปพลิเคชัน telehealth ใหม่เพื่อให้คำปรึกษาทางการแพทย์และการรักษาเป็นส่วนตัวมากขึ้น Med247 ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอยกำลังขยายเครือข่ายศูนย์การดูแลเบื้องต้นสำหรับครอบครัวทั่วเวียดนาม ซึ่งจะเสริมด้วยแพลตฟอร์มแบบผสมผสานระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ (Mintel, 2021H)
Voice Therapy App แอปพลิเคชันที่ให้การบำบัดด้วยเสียงสำหรับผู้ที่เป็นโรคพาร์กินสัน แอปนี้เป็นบริการที่ตรวจสอบโดยแพทย์และช่วยให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันสามารถเข้าถึงการบำบัดด้วยเสียงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ นี่คือสิ่งที่ผู้ก่อตั้งระบุว่าจะช่วยรักษาเสียงของผู้ป่วยได้นานถึงสองปีเมื่อเทียบกับการไม่ใช้บริการ ผู้ใช้แอปจะได้รับอีเมลและข้อความเพื่อเตือนให้ฝึก และแพทย์จะติดต่อกลับหากไม่ได้ฝึกภายใน 2-3 วัน (Mintel, 2021V) หรือ Smart Speakers for Seniors โดย JD Health ได้เปิดตัวลำโพงอัจฉริยะซึ่งมาพร้อมกับบริการ telehealth ที่ปรับแต่งสำหรับผู้ใช้สูงอายุที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านการโทรด้วยเสียงและวิดีโอแทนการพิมพ์ การใช้คำสั่งเสียง ผู้สูงอายุสามารถเปิดใช้งานบริการสุขภาพทางไกล “family doctor” ของ JD Health ได้ทุกเมื่อ เพื่อรับคำปรึกษาทางการแพทย์และสุขภาพไม่จำกัด AI-based speaker สามารถเข้าใจภาษาถิ่นที่หลากหลาย นอกจากคำปรึกษาทางการแพทย์แล้ว ผู้ใช้ระดับสูงยังสามารถโทรออกและตรวจสอบสภาพอากาศได้ด้วย รวมถึงฟังก์ชั่นอื่นๆ แพทย์ยังสามารถติดต่อบุตรหลานของผู้ป่วยสูงอายุเพื่อพูดคุยได้ เนื่องจากแพทย์สามารถเข้าถึงรายงานสุขภาพของผู้ปกครองได้จากสมาร์ทโฟน (Mintel, 2021S)
Lidl Polska ได้เปิดตัวการทดสอบทางการแพทย์ 12 รายการที่ออกแบบมาเพื่อตรวจสอบสุขภาพที่บ้าน การทดสอบรวมถึงการวินิจฉัยโรคเซลิแอค (celiac disease) การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ตลอดจนการตรวจหาระดับวิตามินดีและธาตุเหล็ก และกิจกรรมของต่อมไทรอยด์ ผู้บริโภคยังสามารถซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์ การตกไข่ และวัยหมดระดูก่อนกำหนดได้อีกด้วย การทดสอบแสดงให้เห็นความแม่นยำ 87%-98.9% และราคาอยู่ระหว่าง PLN24.99-29.99 ต่อแพ็ค หรือ 198.54-238.27 บาท (Mintel, 2022D)
ทีมนักวิจัยของ Universidad Católica San Pablo พัฒนาชุดชั้นในที่สามารถช่วยแพทย์ในการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้นได้ อุปกรณ์นี้อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งออกโดยเรดาร์และรับสัญญาณจากเสาอากาศ ข้อมูลทั้งหมดนี้รวบรวมและวิเคราะห์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ ต้องสวมใส่อุปกรณ์สวมใส่เป็นระยะเวลา 10 นาทีเพื่อทำการสแกนเต้านมให้สมบูรณ์ สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม telemedicine ได้ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อการจัดการด้านสุขภาพในพื้นที่ห่างไกล (Mintel, 2022MO)
AnswersNow แพลตฟอร์มออนไลน์ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กออทิสติกเข้าถึงแพทย์ด้านการบำบัดด้วย tele-ABA (Applied Behavior Analysis) สำหรับเด็กออทิสติก (Mintel, 2021A)
Duck Group บริษัทตู้จำหน่ายยาอัตโนมัติ จับมือ Dietz ผู้ให้บริการ telemedicine พัฒนาตู้คีออสที่ผู้บริโภคสามารถปรึกษาแพทย์และรับยาได้ด้วยตนเองจากระยะไกล เครื่องดังกล่าวจะถูกติดตั้งในชุมชนเพื่อช่วยให้คนทุกวัยเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ง่ายขึ้น (Mintel, 2022M) อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ E-pharmacy ร้านขายยาอิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของไนจีเรียเปิดตัวโดย HealthPlus Limited บริการนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคชาวไนจีเรียสามารถเข้าถึงเภสัชกรหรือแพทย์ได้ทันทีทางออนไลน์ การเปิดตัวครั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการในการซื้อยาออนไลน์ เนื่องจากบริษัทสังเกตเห็นว่าสิ่งนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก ทั้งในด้านความสะดวกและความปลอดภัยในช่วงที่เกิดโรคระบาด (Mintel, 2021E)
การต้อนรับผู้ป่วยสู่สถานพยาบาลผ่านประตูดิจิทัล
ในยุคที่เราสามารถจองเที่ยวบินหรือห้องพักโรงแรมทางออนไลน์ได้ภายในไม่กี่วินาที การนัดหมายสถานพยาบาลก็กำลังปรับเปลี่ยนให้รวดเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยเครื่องมือจัดตารางเวลาออนไลน์ (online scheduling) ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเลือกช่วงวันและเวลาการนัดหมายมายังสถานพยาบาลที่เหมาะกับตารางงานของตนเองได้อย่างง่ายดาย การมีส่วนร่วมกับผู้ป่วยทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องสามารถนำพาผู้ป่วยไปสู่การดูแลรักษา อีกทั้งยังมี ห้องรอเสมือนจริง (virtual waiting room) ช่วยให้ผู้ป่วยรออย่างเพลิดเพลินและสะดวกสบายจนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย
การสนับสนุนการรับภาพทางการแพทย์จากระยะไกล
นอกเหนือจากเครื่องมือ telehealth ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้บริการดูแลแล้ว การใช้ telehealth ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ให้บริการยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรทางการแพทย์มีวิธีการใหม่ๆ ในการทำงานร่วมกันแม้ว่าจะอยู่ห่างกันก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการถ่ายภาพสามารถฝึกอบรม แนะนำ และช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์น้อย ช่วยให้สามารถทำงานร่วมกันและให้การสนับสนุนแบบเรียลไทม์ผ่าน telehealth
การนำความเชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวด์มาไว้ข้างเตียงด้วยการทำงานร่วมกันทางไกลแบบไลฟ์สด เทเลอัลตราซาวนด์ (tele-ultrasound)
เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างที่เกิดขึ้นใหม่ของ telehealth ที่สามารถช่วยให้ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญแพร่หลายมากขึ้นทั่วทั้งเครือข่ายสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งอาจมีเจ้าหน้าที่เฉพาะทางไม่เพียงพอ แม้ว่าเทคโนโลยีอัลตราซาวนด์จะทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ก็ยังต้องการทักษะการใช้มือที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีทางคลินิกที่ซับซ้อนมากขึ้น การใช้แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบไลฟ์สดที่ผสานเข้ากับระบบอัลตราซาวนด์ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ที่โรงพยาบาลในเมืองสามารถสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลได้ เช่น การการอธิบายผลการตรวจจากระยะไกล ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเครียดกับการต้องรอผลเป็นเวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์
Pulsenmore (https://pulsenmore.com/) ผู้พัฒนา Pulsenmore ES™ ซึ่งเป็นโซลูชันอัลตราซาวนด์ทารกในครรภ์ที่บ้าน ที่สามารถให้บริการผู้ป่วยและผู้ดูแลในพื้นที่ห่างไกล และได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพทางคลินิกและการดำเนินงาน Pulsenmore ได้รับรางวัล People’s Choice Award และ American Telemedicine Association (ATA) Telehealth Innovators ประจำปี 2022 (American Telemedicine Association, 2022)
การช่วยให้แพทย์ผู้รักษาสามารถเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องออกจากห้องปฏิบัติการ (peer-to-peer education)
ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการรักษาแบบใหม่และเฉพาะทางสูงอาจถูกจำกัดอยู่ในแพทย์กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น โดยปกติแล้ว ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะอยู่ใน interventional room เพื่อให้การฝึกอบรมภาคปฏิบัติแก่ผู้ที่มีประสบการณ์น้อย การทำงานร่วมกันแบบเสมือนจริง สามารถเรียนรู้และทำงานร่วมกันผ่านเว็บแคมที่ติดตั้งบนเพดานของ interventional room ในทำนองเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคซึ่งรู้รายละเอียดทั้งหมดของอุปกรณ์การรักษาเฉพาะหรือระบบแทรกแซง สามารถเรียกขอรับการสนับสนุนทางไกลได้ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังขั้นตอน ตัวอย่างเช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแคนาดาประสบความสำเร็จในการควบคุมการใช้สิ่งปลูกฝังชนิดใหม่ในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเพื่อรักษาหลอดเลือดโป่งพองในสมอง ผ่านการสตรีมภาพและเสียงแบบสองทิศทาง ในอนาคต สามารถจินตนาการถึงการใช้เครื่องมือดังกล่าวในวงกว้างขึ้นเพื่อการเผยแพร่ความรู้อย่างรวดเร็ว โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาเป็นผู้สั่งการ อธิบายประกอบ และแชร์วิดีโอการศึกษาของตนเอง
การช่วยเหลือผู้ป่วยหนักจากระยะไกล (tele-ICUs)
tele-ICUs เป็นอีกตัวอย่างของการที่ telehealth สามารถขยายสายตาของแพทย์ไปยังโรงพยาบาลใดๆ ในประเทศ หรือแม้แต่ทั่วโลก นำโดยทีมดูแลผู้ป่วยหนักในศูนย์ตรวจสอบส่วนกลางที่ทำหน้าที่คล้ายกับศูนย์ควบคุมการจราจรทางอากาศ tele-ICUs ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจสอบจากระยะไกล ผู้ป่วยหนักและพยาบาลในศูนย์กลางได้รับการสนับสนุนโดยกล้องความละเอียดสูง การวัดและส่งข้อมูลทางไกล และการแสดงภาพข้อมูลขั้นสูงเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานข้างเตียงไม่ว่าจะอยู่ที่ใด การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์จะแจ้งเตือนทีมดูแลถึงสัญญาณเริ่มต้นของการทรุดลงของผู้ป่วย ทำให้สามารถเข้าแทรกแซงได้อย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น ในช่วงที่เกิดโรคระบาด tele-ICUs มีบทบาทสำคัญในการให้การสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยระยะเฉียบพลัน เนื่องจากห้องไอซียูมีผู้ป่วยล้นหลาม
การดูแลผู้ป่วยด้วยไบโอเซนเซอร์ที่สวมใส่ได้
เซ็นเซอร์ที่หน้าอก สามารถวัดและส่งสัญญาณชีพ เช่น ข้อมูลการหายใจและอัตราการเต้นของหัวใจ ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ ของผู้ป่วย เช่น ท่าทางและระดับกิจกรรม หลังจากการระบาดของ COVID-19 และการขาดแคลน PPE ที่เกิดขึ้นในช่วงแรก โรงพยาบาลได้รับประโยชน์อย่างมากจากการใช้ไบโอเซนเซอร์แบบสวมใส่เพื่อติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วย COVID-19 โดยเฉพาะ โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น
Biobeat (https://www.bio-beat.com/) ระบบที่ออกแบบมาเพื่อแปลงการรวบรวมข้อมูลและการสนับสนุนการตัดสินใจโดยการวัดสัญญาณชีพ 13 รายการโดยอัตโนมัติและส่งผลลัพธ์ไปยังเว็บแอปพลิเคชันและ EMR
การมอบความสะดวกสบายให้กับหญิงมีครรภ์ผ่านการตรวจสอบระยะไกล
ประชากรกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งที่จะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการตรวจติดตามแบบใหม่คือคุณแม่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการติดเชื้อ COVID-19 ต่อการตั้งครรภ์ การแพร่ระบาดได้เน้นย้ำถึงคุณค่าของการดูแลก่อนคลอดทางไกล การใช้แผ่นอิเล็กโทรดไร้สายและแผ่นแปะอิเล็กโทรดแบบใช้แล้วทิ้งที่วางบนท้องของสตรี ผู้ดูแลสามารถตรวจสอบสัญญาณชีพของทั้งแม่และลูกจากระยะไกลเพื่อลดการมีปฏิสัมพันธ์ทางร่างกายที่ไม่จำเป็น
บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศส ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคจัดการกับความเจ็บปวดเรื้อรังผ่านอุปกรณ์ที่ใช้แรงกระตุ้นไฟฟ้า เพิ่งได้รับการอนุมัติสำหรับตลาดสหรัฐฯ อุปกรณ์ดังกล่าวเรียกว่า actiTENS ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) และทำงานโดยการเชื่อมต่อแผ่นอิเล็กโทรดที่วางอยู่บนร่างกายเข้ากับระบบกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง (TENS) ระบบจะส่งแรงกระตุ้นไปยังแผ่นอิเล็กโทรด ช่วยลดความเจ็บปวดเป็นระยะเวลานาน และดำเนินการโดยแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชันนี้ยังรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้เพื่อติดตามการพัฒนาของความเจ็บปวดสำหรับแพทย์และผู้ป่วย (Mintel, 2021E)
การส่งเสริมสุขภาพช่องปากผ่านการพบทันตแพทย์เสมือนจริง (tele-dentistry)
tele-dentistry ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาทันตแพทย์ที่มีใบอนุญาตผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ด้วยการแชร์ภาพถ่ายความละเอียดสูงของฟันและระบุข้อกังวล เพื่อรับการประเมินส่วนบุคคลและคำแนะนำเพื่อพัฒนาสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่อง
การให้การเข้าถึง telehealth ได้ง่ายผ่านสถานีดูแลเสมือน (virtual care station)
สภาพแวดล้อมด้านการแพทย์ทางไกลแบบพ็อดที่ให้บริการการดูแลเสมือนจริงในละแวกใกล้เคียงที่สะดวกสบาย เช่น สถานประกอบการค้าปลีก ผู้ป่วยสามารถนั่งในห้องส่วนตัวเพื่อสนทนาเสมือนจริงกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ โดย virtual care station มีกล้อง แสง และลำโพงคุณภาพสูง ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการได้รับมุมมองที่ดีเกี่ยวกับปัญหาของผู้ป่วย เช่น บาดแผลหรือปัญหาผิวหนัง
ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวอย่างผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับ telehealth เพื่อช่วยดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของมนุษย์ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลที่นำไปสู่การบรรจบกันของผู้คน ข้อมูล เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อเพื่อปรับปรุงการดูแลสุขภาพและผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้น
ที่มาข้อมูล
American Telemedicine Association. (2022, June 15). Groundbreaking innovations in telehealth and virtual care recognized during ATA2022. https://www.americantelemed.org/press-releases/groundbreaking-innovations-in-telehealth-and-virtual-care-recognized-during-ata2022
Mintel. (2023, January 30). COVID health app upcycled. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1175023?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drelevant%26resultPosition%3D10
Mintel. (2022, February 8). Diagnosis at home. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1124291?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelemedicine%26sortBy%3Drecent
Mintel. (2022, April 5). I’m Well App. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1132365?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drelevant%26resultPosition%3D28
Mintel. (2022, June 14). Subscription healthcare service. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1141675?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drelevant%26resultPosition%3D14
Mintel. (2022, June 24). Chronic illness telehealth. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1143317?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drelevant%26resultPosition%3D8
Mintel. (2022, July 22). Dick pics for dick Health. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1147933?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drelevant%26resultPosition%3D12
Mintel. (2022, September 20). More than just a bra. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1154269?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelemedicine%26sortBy%3Drecent%26resultPosition%3D1
Mintel. (2022, September 30). Medicine vending machine. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1158437
Mintel. (2021, March 19). Smart speakers for seniors. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1071249
Mintel. (2021, April 16). ABA therapy now. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1074303?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drecent%26resultPosition%3D2
Mintel. (2021, May 14). Mon4t. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1079839?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drecent%26resultPosition%3D2
Mintel. (2021, July 14). Electric drug management. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1089833?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelehealth%26sortBy%3Drecent%26resultPosition%3D1
Mintel. (2021, October 21). E-pharmacy. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1106123?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelemedicine%26sortBy%3Drecent%26resultPosition%3D1
Mintel. (2021, October 28). Hybrid healthcare. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1107497
Mintel. (2021, December 7). Voice therapy app. Mintel. https://reports.mintel.com/trends/#/observation/1114641?fromSearch=%3Ffreetext%3Dtelemedicine%26sortBy%3Drecent
NuraLogix. (2023, April 17). Anura. https://info.nuralogix.ai/?utm_term=tele%20medicine&utm_campaign=B2B+Acquisition+2020-2021&utm_source=adwords&utm_medium=ppc&hsa_acc=2586007201&hsa_cam=19166196449&hsa_grp=147218288587&hsa_ad=639709685961&hsa_src=g&hsa_tgt=kwd-297997696766&hsa_kw=tele%20medicine&hsa_mt=b&hsa_net=adwords&hsa_ver=3&gclid=EAIaIQobChMI_sCjpZyN_gIVCyQrCh2EIQaOEAMYAiAAEgL5LfD_BwE
Philips. (2021, April 1). 10 innovative examples of telehealth in action. Philips. https://www.philips.com/a-w/about/news/archive/features/2021/20210401-10-innovative-examples-of-telehealth-in-action.html
คลังความรู้
นานาสาระน่ารู้

“นวัตกรรมข้าวเหนียวไทย” ผลงานจากโครงการ BCG Naga Belt Road กวาด 13 รางวัล การประกวดผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรม ในเวทีนานาชาติ “EUROINVENT 2023”
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/glutinous-rice-innovations-collect-multiple-awards-at-euroinvent-2023.html
สุดทึ่ง 3 ผลงาน “นวัตกรรมข้าวเหนียวไทย” สู่รางวัลวิจัยระดับโลก กวาด 13 รางวัล ซึ่งเป็นผลงานการเพิ่มมูลค่าการผลิตข้าวเหนียวบนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงฯ จากโครงการบีซีจี นาคาเบลต์โรด (BCG-NAGA Belt Road)
(26 พฤษภาคม 2566) ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้
สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมและการประดิษฐ์ไทย (Association of Thai Innovation and Invention Promotion – ATIP) สนับสนุนและส่งเสริมการนำผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติ EUROINVENT 2023 (European Exhibition of Creativity and Innovation) ณ เมืองยาช ประเทศโรมาเนีย ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งในงานดังกล่าวมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 600 ผลงาน จาก 40 ประเทศ โดยการเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติ EUROINVENT 2023 ดังกล่าว
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ที่ปรึกษาโครงการ “การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่ บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง” หรือ BCG-NAGA Belt Road พร้อมด้วย ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร และนายมาโนช คุ้มพนาลัยสถิต นักวิจัยจากหน่วยวิจัยและพัฒนาด้านการบริหารเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง ได้นำ 3 ผลงานเข้าร่วมแสดงนิทรรศการและประกวด
ได้แก่ 1.แป้งไข่มุกข้าวก่ำ (Black Rice Pearls Powder for Molecular Gastronomy Recipes) 2.แป้งข้าวเม่าสำเร็จรูป (Green Rice Flour) และ 3.เบอร์เกอร์ข้าวเหนียวข้าวกล้องจิ้งหรีด (Healthy and Eco-friendly Cricket Burger) ผลงานวิจัยและนวัตกรรมของกลุ่มนักวิจัยในโครงการ “การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่ บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง” หรือ BCG-NAGA Belt Road โครงการดังกล่าวได้ร่วมดำเนินงานกับ สวทช. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มเกษตรกร ในจังหวัดลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม โดยทีมวิจัยจาก มทร.ล้านนา จ.ลำปาง ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 13 รางวัล จาก 3 ผลงานวิจัย ดังนี้
แป้งไข่มุกข้าวก่ำ (Black Rice Pearls Powder for Molecular Gastronomy Recipes) รับ 5 รางวัล ได้แก่
รางวัล GOLD MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT
รางวัล Special Award จาก STOWARZYSZENIA PROMOCJI POLSKIEJ NAUKI, TECHNIKI
I INNOWACJI
รางวัล Special Award จาก UNIVERSITATEA POLITEHNICA TIMISOARA
4.รางวัล GOLD MEDAL จาก UNIVERSITY POLITEHNICA OF BUCHAREST
5.รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMACY IASI
แป้งข้าวเม่าสำเร็จรูป (Green Rice Flour) รับ 4 รางวัล ได้แก่
รางวัล GOLD MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT
รางวัล Award a Special Prize จาก "LUCIAN BLAGA" UNIVERSITY OF SIBIU
รางวัล Excellence Award and GOLD MEDAL จาก THE NATIONAL INSTITUTE FOR RESEARCH & DEVELOPMENT IN CHEMISTRY AND PETROCHEMISTRY-ICECHIM BUCHAREST
รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMAC YIAS
และ 3.เบอร์เกอร์ข้าวเหนียวข้าวกล้องจิ้งหรีด (Healthy and Eco -friendly Cricket Burger) รับ 4 รางวัล ได้แก่
รางวัล SILVER MEDAL จากเวทีการประกวดผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวทีนานาชาติ EUROINVENT
2.รางวัล SPECIAL AWARD จาก TORONTO INTERNATIONAL SOCIETY OF INNOVATION AND ADVANCED SKILLS (TISIAS) CANADA
รางวัล The Excellence Invention จาก ASSOCIATION OF EROPEAN INVENTORS
4.รางวัล Excellence Award จาก GRIGORE T.POPA UNIVERSITY OF MEDICINE AND PHARMACY IASI
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์