ผลการค้นหา :
เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมจากความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด แห่งแรกในประเทศไทย
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops date palm micropropagation technology
จ.สุพรรณบุรี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม จากความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานแห่งแรกในประเทศไทยลดการนำเข้าต้นอินทผลัมจาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศ ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมลดต้นทุนการผลิต ตั้งเป้าผลิตต้นกล้าอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประมาณ 5,000 - 10,000 ต้นต่อปี คาดว่าสามารถผลิตและจำหน่ายกล้าอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ภายในเดือน ตุลาคม 2565
ปัจจุบัน ธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวในวงกว้างมากขึ้นกว่าในอดีต เนื่องจากเป็นไม้ผลที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและมีมูลค่าสูงในตลาด แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของการคัดเลือกสายพันธุ์อินทผลัมเพื่อผลิตต้นพันธุ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการปลูกในประเทศไทย อินทผลัมเป็นพืชที่แยกเป็นต้นตัวเมียและต้นตัวผู้ คุณภาพของผลผลิตส่วนใหญ่จึงมาจากทางต้นแม่มากกว่าต้นพ่อ การพัฒนาต้นแม่พันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะการันตีถึงความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาด
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า การปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์นั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะปลูกด้วยต้นอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยการนำเข้าจากต่างประเทศเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในราคาที่ห้องปฏิบัติการในต่างประเทศเป็นผู้กำหนดส่งผลให้เกษตรกรไทยบางส่วนยังจับต้องไม่ได้มากนัก จึงเป็นที่มาของการร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด
ในการวิจัยและพัฒนาโครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยทุกระดับสามารถใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดนี้ ในการช่วยลดต้นทุนการซื้อต้นแม่พันธุ์ดีจากต่างประเทศ และช่วยในการผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีจากการเพาะเมล็ดในประเทศ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG economy model)
นอกจากนี้ยังเป็นการการันตีในคุณภาพของต้นแม่ที่มีความสม่ำเสมอทางพันธุกรรม อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดองค์ความรู้แนวทางการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขั้นสูงได้ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดให้แก่ ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัน เป็นก้าวแรกในการขยายผลความสำเร็จของโครงการฯ
ซึ่งคุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัท พี โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า “ความสำเร็จของการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. นี้ จะสามารถใช้เป็นฐานการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมพันธุ์ดีในประเทศได้แทนการที่จะสั่งซื้อจากต่างประเทศ อีกทั้ง ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน สวนเอกชน หากมีการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ก็สามารถมาหารือในการลงทุนขยายต้นพันธุ์ของตนเองได้” ในการนี้เพื่อการส่งเสริมให้มีการปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดมีการขยายตัวในวงกว้างขึ้นมากกว่าเดิม
แม้ว่าทางโครงการจะเริ่มต้นจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐาน ราคาไม่สูงมากนั้น แต่นวัตกรรมนี้ยังสามารถต่อยอดเพื่อการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมพันธุ์ดีอื่นๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาด เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ ได้อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกได้ในอนาคต นอกจากนั้น ความก้าวหน้าการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมนี้ ยังส่งผลกระทบต่อวงการการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ทานสดในประเทศไทยอีกด้วย
ด้าน ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค หัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์ กล่าวเกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์อินทผลัมว่า “อินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ การปรับปรุงพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยมีความจำเป็น เนื่องจากอินทผลัมมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงทั้งในด้านระดับความหวาน ความหอม สีผล ความกรอบ อายุการเก็บเกี่ยว และความสดหลังเก็บเกี่ยว ฯลฯ หากมีการพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีสำหรับประเทศไทยได้ ก็สามารถนำเอานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่พัฒนาขึ้นไปใช้ประโยชน์ในการขยายต้นพันธุ์เพื่อปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอินทผลัมไทยได้อย่างยั่งยืน”
จากเหตุดังกล่าว ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด จึงจัดการเฟ้นหาอินทผลัมพันธุ์เพาะเมล็ดที่กลายดีในประเทศไทย หรือที่เกิดจากการพัฒนาพันธุ์โดยฝีมือคนไทย ซึ่งลักษณะของอินทผลัมพันธุ์กลายดีนั้น ควรที่จะมีลักษณะที่ให้หน่อได้ คุณภาพของผลผลิตเป็นที่ต้องการและนิยมของตลาด ต้นแม่ให้ผลผลิต ที่สม่ำเสมอทั้งคุณภาพและปริมาณ มีความต้านทานต่อโรคและเจริญได้ดีในสภาพอากาศของไทย เพื่อนำเอาอินทผลัมเพาะเมล็ดพันธุ์ดีที่ได้รับเลือกมาขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อเป็นการรักษาลักษณะพันธุ์นั้นไว้ เพื่อสร้างผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมไทย นอกจากนี้ ไบโอเทค สวทช. มีแผนที่จะพัฒนาและผลักดันการใช้ระบบไบโอรีแอคเตอร์ในการผลิตต้นอ่อนอินทผลัมพันธุ์ดีในเชิงพานิชย์ เพื่อสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจการปลูกอินทผลัมในประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับการผลิตกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของทางห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถผลิตได้ 5,000 - 10,000 ต้นต่อปี ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด เบอร์โทรศัพท์ 081-3751969 หรือ 081-8759340
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาสท์ด้า โฮลดิ้ง สวทช. ผนึก บ.โมรีน่า รุกตลาดวิจัย ‘ไบโอเบส’ เสริมแกร่งอุตสาหกรรมการเกษตร
For English-version news, please visit : NASTDA Holding invests in biotech firm Morena Solutions
13 กรกฎาคม 2565 ที่นิคมอุตสาหกรรมจรัสเกียรติ ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี: ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายเฉลิมพล ตู้จินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด (NASTDA Holding Co., Ltd.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ผู้บริหารนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ สวทช.
ร่วมแสดงความยินดีกับ นสพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ ในงานเปิดตัวบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทด้านการผลิตและการคงประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ราเพื่อใช้เป็นชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชและโรคพืช ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ช่วยนำส่งสารสำคัญไปยังเป้าหมายได้ตรงจุดโดยไม่สูญเสียสารสำคัญก่อนการนำส่ง จาก ไบโอเทค สวทช. ร่วมลงทุนโดยบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กลไกการร่วมลงทุนก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย โดยบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด ตามนโยบายการสร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการรายใหม่
โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้ประกอบการและการเข้าถึงแหล่งเงิน ตลอดจนการพัฒนาระบบและกลไกภาครัฐและสภาพแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยการจัดทำแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นในการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้นวัตกรรม โดยกิจการเป้าหมาย (Targeted Company) ของบริษัทฯ จะเน้นการลงทุนในกิจการ Deep Tech ที่รับถ่ายทอดองค์ความรู้จากงานวิจัยและพัฒนาจาก สวทช. และหน่วยงานภายนอกทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญต้องเป็นกิจการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
อย่างไรก็ดีการร่วมทุนของ นาสท์ด้า โฮลดิ้ง และ บริษัท โมรีน่าฯ ถือว่าตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายด้านการเกษตร ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชาชนคนไทย ที่ต้องได้รับการดูแลตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ด้วยการนำเอาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่อยอดยกระดับทำให้ภาคเกษตร ผลิตสินค้ามูลค่าสูงและสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรไทย
นายเฉลิมพล ตู้จินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า นาสท์ด้า โฮลดิ้ง มีนโยบายการร่วมลงทุนในกิจการเทคโนโลยีที่อยู่ในระยะเริ่มต้นธุรกิจ (Early stage) และมีเป้าหมายร่วมทุนในสาขาเป้าหมาย เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงานและวัสดุก้าวหน้า โดยมีบทบาทในการผลักดันให้มุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยออกสู่ตลาด ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างธุรกิจที่จะเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงมากกว่าการมุ่งสร้างผลตอบแทนจากราคาขายหุ้นของการลงทุน โดยมั่นใจว่าการผลักดันผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ในครั้งนี้จะสร้างรายได้ใหม่จากอุตสาหกรรมการเกษตรให้แก่ประเทศ สร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองและส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการด้านการเกษตรในภูมิภาคเอเชียและมุ่งหวังว่าบริษัท โมริน่าฯ จะประสบความสำเร็จในธุรกิจสามารถเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีด้านการเกษตรและเติบโตอย่างยั่งยืน
“เราร่วมลงทุนในบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด ด้วยเห็นถึงศักยภาพด้าน Biobased และ เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยนำผลงานวิจัยด้านปัจจัยการผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาด ซึ่งการลงทุนในแพลตฟอร์มนี้จะช่วยปิดช่องว่างของการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นการตัดสินใจในการร่วมลงทุนจะเน้นการตัดสินใจในศักยภาพและความสามารถที่ สวทช. จะมีส่วนร่วมในการผลักดันการเติบโตของบริษัทเป็นหลัก มากกว่าเน้นผลตอบแทนในระยะสั้น ในขณะเดียวกันบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด ถือว่าเป็น VC ภาครัฐที่จะช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงของภาคเอกชนผู้ร่วมลงทุนและถือหุ้นระยะยาวได้”
ด้าน นสพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วยยอดขายกว่า 500 ล้านบาท ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ทั้งนี้ด้วยบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด เป็นบริษัทที่ได้รับการร่วมลงทุนจากภาครัฐคือ บริษัท นาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด จาก สวทช. และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทยิบอินซอยและแย๊คส์ จำกัด และบริษัทจันวาณิชย์ จำกัด และการที่บริษัท โมรีน่าฯ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการคงประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ราเพื่อใช้เป็นชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชและโรคพืช จาก ไบโอเทค สวทช. แล้วนั้น บริษัทโมรีน่าฯ ยังได้ผสมผสานในด้านไบโอเทคโนโลยีเข้าไปในกระบวนการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมหลักที่ชื่อว่า NZT (Nano Zero waste Transportor) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำส่งสารสำคัญไปยังเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและไม่สูญเสียสารสำคัญไปก่อนการนำส่งสารสำคัญ
“เทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ บริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ เป็นผู้นำส่งสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ในการออกผลิตภัณฑ์นั้น บริษัทฯ จะใช้ NZT ในการนำส่งสารอาหารให้กับพืชในกลุ่มกัญชง กัญชา เพื่อทำให้พืชดังกล่าวได้ผลผลิตสูงสุด และบริษัทฯ จะทำงานวิจัยครบวงจรที่เกี่ยวกับกัญชง กัญชา เพื่อนำประโยชน์จากทุกส่วนของพืชดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด รวมถึงงานวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มสารสำคัญ CBD, THC ที่มีในพืชทั้งสองชนิดว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง เพื่อที่จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ NZT นำส่งสารดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
Facebook Live!!! กลับมาอีกครั้งกับ “R&D Sharing 2022: ถอดรหัสงานวิจัย ไขกุญแจสู่ BCG” ตอน “การอนุรักษ์พันธุ์ไม้ไทย ด้วยเทคโนโลยีจีโนม”
Facebook Live!!! กลับมาอีกครั้งกับ “R&D Sharing 2022: ถอดรหัสงานวิจัย ไขกุญแจสู่ BCG”
เวทีแห่งการพบปะพูดคุยกับเหล่านักวิจัย สวทช. เจาะเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานวิจัย และการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในแง่มุมต่างๆ ที่คุณไม่เคยรู้
.
พบกับเรื่องราวของการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ไทย ด้วยเทคโนโลยีจีโนม
โดย ดร. วิรัลดา ภูตะคาม
หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช.
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565
เวลา 10.00 น. - 10.40 น.
ทาง Facebook "NSTDA - สวทช."
ปฏิทินกิจกรรม
เปิดตัวเยาวชนคนเก่ง! คว้าทุน JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4
สวทช. ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดงานแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน หรือโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 โดยมีเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับทุนรวมทั้งสิ้น 14 คน
ภายในงานครั้งนี้ยังมีกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนที่ได้รับทุน รวมทั้งได้พบปะกับรุ่นพี่ JSTP Brothers นอกจากนี้เยาวชนที่ได้รับทุนได้มาเล่าเปิดใจถึงความมุ่งมั่นในการเข้าร่วมโครงการ JSTP ในปีนี้ด้วย
สำหรับโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 มีเยาวชนผ่านการคัดเลือกจำนวน 9 คน จะได้รับทุนการศึกษาระยะยาว ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ได้เข้าร่วมโครงการ จนถึงปริญญาเอก รวมถึงมีโอกาสได้ฝึกวิจัยหลังปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ยกระดับสตรีตฟูดไทย ด้วยนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก
For English-version news, please visit : Street food vendors in Chinatown get upgraded with new food mobiles
มนต์เสน่ห์ของรสชาติและความหลากหลายของอาหารไทย ผลักดันให้ “อาหารริมทาง” หรือ “สตรีตฟูด” มีชื่อเสียงไปทั่วโลก สำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลกถึง 2 ปีซ้อน ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาลิ้มลอง ยิ่งเฉพาะ “เยาวราช” แหล่งสตรีตฟูดอันเลื่องชื่อที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่ขาดสาย ถนนสายมังกรที่ไม่เคยหลับใหล สร้างรายได้ให้แก่ประเทศจำนวนมาก
เพื่อยกระดับ “สตรีตฟูดไทย” ให้ได้มาตรฐาน สร้างการเติบโตทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม “รถเข็นรักษ์โลก” นำเทคโนโลยีมาต่อยอดรถเข็นให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทั้งในด้านความสะอาด ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด
[caption id="attachment_34345" align="aligncenter" width="700"] นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช.[/caption]
นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช. กล่าวว่า เรานำความรู้ทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบเข้ามาช่วยพัฒนารถเข็นรักษ์โลก เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพ ความสะอาด และปลอดภัยของอาหารสตรีตฟูดเต็มรูปแบบ ปัจจุบันได้พัฒนารถเข็นออกมาแล้วถึง 3 รุ่น โดยรถเข็นรุ่นแรกเป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมันและซิงก์น้ำ รถเข็นรุ่นที่ 2 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ และเพิ่มเติมเรื่องระบบดูดควัน สำหรับรถเข็นรุ่นที่ 3 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ ระบบดูดควันและบำบัดควัน รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมหัวเตาแก๊ส 2 หัวด้วย
ปัจจุบัน สวทช. ธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด ร่วมกับเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ส่งมอบรถเข็นรักษ์โลกให้แก่ผู้ค้าบริเวณถนนเยาวราช ถนนข้าวหลาม ถนนราชวงศ์ และบริเวณโดยรอบเขตสัมพันธวงศ์ จำนวน 106 คัน (ธนาคารออมสิน จำนวน 77 คัน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด จำนวน 29 คัน) เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจความสะอาด ได้มาตรฐาน และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ตอบโจทย์สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 เพื่อให้เยาวราชยังคงเป็นสวรรค์ของนักชิมที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายอัมพร กล่าวว่า รถเข็นรักษ์โลกที่ส่งมอบให้แก่ผู้ค้าเยาวราช เราได้พัฒนาตกแต่งเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีการตกแต่งลวดลายป้ายร้านค้าแบบจีน เพื่อให้ยังคงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่เยาวราช รวมทั้งยังมีป้ายไฟในตำแหน่งของชื่อร้าน สำหรับสร้างสีสันความโดดเด่นยามค่ำคืน ซึ่งการที่ผู้ค้าย่านเยาวราชได้นำร่องหันมาใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก นับเป็นการปฏิวัติสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และยังตอบโจทย์ยุค New Normal ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยด้วย
“วัสดุของรถเข็นรักษ์โลกทำจากสเตนเลส 304 เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมแบคทีเรียและไวรัส ตัวรถออกแบบเป็นสัดส่วนมีระยะห่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีการออกแบบการใช้เท้าเหยียบเพื่อเปิดก็อกน้ำลดการสัมผัส ที่สำคัญยังมีเคาน์เตอร์บาร์ด้านหน้ารถเป็นจุดสั่งและรับอาหาร ทุกฟังก์ชันคำนึงถึงหลัก Social distancing เสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความสะอาดและปลอดภัย ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารในช่วงวิกฤติโควิด-19 อย่างมาก
อย่างไรก็ดีรถเข็นรักษ์โลกไม่เพียงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อลูกค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานอย่างเหมาะสมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ประกอบการด้วย
น.ส.พรรณภัทร พิมพ์การ เจ้าของร้านเพ้งโภชนา ณ บริเวณตรอกโรงหมู ถนนข้าวหลาม ย่านเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ผู้ใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก กล่าวว่า เดิมขายของบนรถเข็นแบบเดิมๆ มานาน และเมื่อเห็นว่ามีโครงการรถเข็นรักษ์โลก ก็สนใจซื้อโดยใช้เป็นร้านขายมาได้แล้ว 2 ปี ข้อดีกับเราซึ่งทำอาหารอยู่หน้าเตาตลอดคือ ช่วยดูดความร้อน ดูดควัน ดูดกลิ่นได้ดี ซึ่งดีกว่าระบบดูดกลิ่นแบบเดิมของเราที่ดูดแยกข้างนอก ข้อดีกับลูกค้า คือ เขาชมว่ารถสะอาดเรียบร้อยสะอาดกว่ารถคันเก่าเยอะเลย เมื่อเราทำป้ายใหม่ทำรถใหม่ก็ทำให้ลูกค้าเยอะขึ้นด้วยถือว่าดีกับอาชีพเราและผู้บริโภค
ในแต่ละปีสตรีตฟูดสร้างมูลค่าการตลาดสูงกว่า 200,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับอาหารริมทางให้ถูกสุขอนามัย ได้มาตรฐาน ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุค New Normal แต่ยังเพิ่มโอกาสด้านการตลาด เพิ่มเสน่ห์อาหารริมทางของไทยให้ยังคงสร้างรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 8000
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. – ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 เดินหน้าหนุนเยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(11 กรกฏาคม 2565) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดพิธีแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) ระยะยาวรุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. และ คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนหน่วยงานกล่าวแสดงความยินดีและมอบทุนให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือก โดยในปีนี้มีผู้มีคุณสมบัติผ่านและได้รับทุนจำนวน 14 คน ประกอบด้วย ทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 9 คน และ JSTP-SCB จำนวน 5 คน
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า JSTP เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. มีเป้าหมายในการเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรม โดยโครงการ JSTP ระยะยาวรุ่นที่ 24 เยาวชนได้มุ่งมั่นดำเนินโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างๆของโครงการฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ารับการส่งเสริมในระยะยาว จำนวน 9 คน เป็นเยาวชนที่มาจากกลุ่มมัธยมศึกษาตอนต้น 3 คน คัดเลือกโดยมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ส่วนกลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดย สวทช. โดยความร่วมมือจากกรรมการสาขาต่างๆ คัดเลือกเยาวชนจำนวน 6 คน ซึ่งเยาวชนทั้ง 9 คนจะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและการทำวิจัย รวมทั้งการส่งเสริมด้วยกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีเยาวชนในโครงการการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ โครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 จำนวน 5 คน ซึ่งคัดเลือกจากเยาวชนในโครงการ JSTP-SCB ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเข้าสู่การรับทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัยในระดับปริญญาตรี รวมทั้งเชื่อมโยงและส่งต่อการรับทุนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ด้าน คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการศึกษาเป็นหนึ่งในนโยบายทางด้านกิจกรรมเพื่อสังคมที่สำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วยตระหนักว่าเยาวชนคือรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ซี่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้แก่เยาวชนในทุกระดับการศึกษา ให้มีความพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล มีความรู้ ควบคู่การมีคุณธรรม ซึ่ง JSTP-SCB เป็นหนึ่งในโครงการที่ธนาคารฯ ให้ความสำคัญ จึงได้ให้การสนับสนุน สวทช. ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรและมีเจตนารมณ์ร่วมกันดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เยาวชนที่มีศักยภาพสูงได้รับการบ่มเพาะความรู้ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะเยาวชนในศตวรรษที่ 21 รวมถึงเสริมสร้างคุณลักษณะที่ดีของเยาวชน ให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงาน นวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยแบ่งการสนับสนุนเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.การจัดกระบวนการบ่มเพาะศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา (Enrichment Program) แบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 25 คนต่อปี และระดับมัธยมศึกษาปลาย จำนวน 25 คนต่อปี และ 2. การให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี สำหรับเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Scholarship Program) จำนวน 5 ทุนต่อปี
โดยรายชื่อผู้ที่ได้รับทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 9 คนได้แก่ นายวีรวิชญ์ โฮริโนอุชิ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางสาวปิยธิดา รักษามั่น ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นางสาวกชพร จุลศักดิ์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นางสาวนภัสสร หลิดชิววงศ์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย นายฐิติพงศ์ หลานเดช ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี นายสรวิช เตือนตรานนท์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล นายเนติธร ขาวมะลิ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช นายปัณณวิชญ์ ตัณฑวิเชียร ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และนายธนกร สาคุณ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
ในส่วนของโครงการ JSTP-SCB จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกันตพงศ์ วงศ์พานิชย์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นายโชติอนันต์ทรัพย์ โสภาเคน ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นายวุฒิภัทร อินทร์ทองคำ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหิดล นายธนวัต ปาลกะวงศ์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางสาวณภัค สุทธะพินทุ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ทั้งนี้ โครงการ JSTP นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มอบโอกาสทางด้านการศึกษา รวมถึงโอกาสในการเข้าถึง เรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพความเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยให้กับเยาวชนที่มีความสนใจจะประกอบอาชีพสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเยาวชนเหล่านี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างชื่อเสียง พร้อมทั้งพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน
/////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. – กฟผ. เปิดแล็บขยายการทดสอบ EV Charger กำลังสูง รองรับยานยนต์ไฟฟ้า
สวทช. จับมือ กฟผ. ร่วมกันผลักดัน EV Ecosystem แบบครบวงจรในประเทศไทย เปิดแล็บขยายการทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) กำลังสูง 150 กิโลวัตต์ ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รองรับผู้ประกอบการหัวชาร์จไฟฟ้าในไทย
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ pr_egat@egat.co.th และ sales@ptec.or.th
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
15 ก.ค. นี้ พบกับ แล็บทดสอบ EV Charger กำลังสูง 150 kW โดย กฟผ.-สวทช. รองรับธุรกิจหัวชาร์จไฟฟ้า หนุน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย
For English-version news, please visit : EV Charger Testing Lab to open for business
กฟผ. ร่วมมือ สวทช. ผลักดัน EV Ecosystem แบบครบวงจรในประเทศไทย อัพเกรดแล็บทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) กำลังสูง 150 kW ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับผู้ประกอบการหัวชาร์จไฟฟ้าในไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในระบบขนส่งสาธารณะ สู้ราคาน้ำมัน พร้อมเปิดให้บริการทดสอบ 15 กรกฎาคม นี้
วันนี้ (7 กรกฎาคม 2565) นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ Project Management Office การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายสาธิต ครองสัตย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. นางเกศวรงค์ หงส์ลดารมภ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านกิจการพิเศษ และ ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้ากำลังสูงตามมาตรฐาน IEC 61851 ณ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
นายวฤต รัตนชื่น เปิดเผยว่า การร่วมมือครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการผลักดัน EV Ecosystem ในประเทศไทย โดยทั้งสองหน่วยงานภาครัฐที่มีเป้าหมายเดียวกันได้ร่วมมือขับเคลื่อนอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในการสร้างบรรทัดฐานด้านความปลอดภัยของระบบชาร์จสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยสารสาธารณะ ทั้งบนถนนและแม่น้ำให้ได้ระดับมาตรฐานสากล สถานีชาร์จจัดเป็นองค์ประกอบหลักของ EV Ecosystem นอกจากต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม ปลอดภัย ครอบคลุมพื้นที่การเดินทางแล้ว สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ “มาตรฐาน” ของสถานีชาร์จที่ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ ทั้งยานยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง
“กฟผ. จึงได้ร่วมมือกับ สวทช. สร้างความมั่นใจ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการผลิตหัวชาร์จไฟฟ้าในประเทศ โดยการพัฒนาแล็บทดสอบหัวชาร์จไฟฟ้า ที่มีมาตรฐานสากลรองรับ ณ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จากเดิมที่สามารถทดสอบได้เพียง 60 กิโลวัตต์ ขยายการทดสอบเพิ่มเป็น 150 กิโลวัตต์ เพื่อให้ผู้สนใจผลิตหัวชาร์จไฟฟ้าสามารถนำมาทดสอบเพื่อให้ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาองค์ความรู้การทดสอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้าในประเทศไทยด้วย โดยจะเปิดให้บริการทดสอบ 15 กรกฎาคม 2565 นี้ ศูนย์ทดสอบแห่งนี้จะมีประโยชน์ในวงกว้างต่อประเทศชาติ และเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป” นายวฤต ย้ำในตอนท้าย
ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ กล่าวเสริมว่า จากนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานในการผลิตยานยนต์แบบเดิมและยานยนต์ไฟฟ้าของโลกนั้น หลายหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลัง ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ การประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และการนำยานยนต์ไฟฟ้าไปใช้ขนส่งในระบบสาธารณะ PTEC เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการสร้างระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) จึงได้ร่วมมือกันพัฒนาแล็บทดสอบดังกล่าวขึ้น โดยเน้นไปที่การทดสอบหัวชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรงขนาดใหญ่ 150 กิโลวัตต์ สำหรับการใช้งานของรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้า หัวรถลากไฟฟ้า และเรือเฟอร์รี มุ่งหวังลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการในการส่งหัวชาร์จไปรับรองมาตรฐานที่ต่างประเทศ ลดต้นทุนในการผลิต ลดระยะเวลาในการพัฒนา ส่งผลให้ราคาของหัวชาร์จไฟฟ้าไม่สูงมาก สามารถแข่งขันในตลาดได้
นอกจากนี้ สวทช. โดย PTEC ยังให้บริการทดสอบชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานสากลอีกหลายชนิด ทั้งเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียม โมดูลแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แบตเตอรี่แพ็กของยานยนต์ไฟฟ้า การทดสอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเบอร์ 5 การทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงการทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EV) สำหรับยานยนต์ทั้งคัน PTEC และ กฟผ. พร้อมสนับสนุน EV Ecosystem ของประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนต่อไป
โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมทางเมลที่ pr_egat@egat.co.th และ sales@ptec.or.th
-------------------------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
นักเรียนพิการโชว์ผลงานโค้ดดิ้ง! สร้างสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวจากบอร์ด KidBright
สวทช. ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และ สพฐ. จัดกิจกรรม KidBright for All : โครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright ของนักเรียนพิการ มีครูและนักเรียนพิการจาก 26 โรงเรียนทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์จากการนำบอร์ด KidBright ของเนคเทค สวทช. ไปต่อยอดการเรียนรู้เรื่องการโค้ดดิ้งเพื่อประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ตามความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เกิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์หลายโครงงาน.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมิถุนายน 2565
ข่าว
สวรส. ร่วมกับ เอ็มเทค สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่
ไบโอเทค สวทช. แถลงความสำเร็จการขยายผลการผลิตต้นกล้าอินทผลัมในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสู่เกษตรกรไทย
เอ็นเทค สวทช. กฟผ. เอกชนไทย-จีน ผนึกกำลังเดินหน้าโครงการนำร่องวิน มอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า 50 คัน ภายใต้บันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ และการเริ่มโครงการความร่วมมือด้านงานวิจัย
เยาวชนไทยจากโครงการ YSC สุดปัง! กวาด 7 รางวัลโครงงานวิทย์ฯ บนเวทีโลก 5 รางวัล Grand Awards และ 2 รางวัลพิเศษ ‘ISEF2022’ สหรัฐอเมริกา
กระทรวง อว. ปลื้ม นักวิทย์ฯ-ทีมเยาวชนไทย กวาด 10 รางวัลเวทีโลก โครงงานวิทย์ฯ ‘ISEF2022’ จากสหรัฐอเมริกา
“กร ทัพพะรังสี” เยี่ยมชมแล็บ NCTC สวทช. ถกแผนผลักดัน 57 วิสาหกิจชุมชนปลูกพืช “กระท่อม” ให้ได้คุณภาพ เพิ่มรายได้เกษตรกร
สวทช.-อุบลไบโอเอทานอล เดินหน้า “อุบลโมเดลพลัสนวัตกรรม” ยกระดับมันสำปะหลังอินทรีย์
สวทช. ร่วมกับ อพวช. สรุปผลการสำรวจของ “กิจกรรมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมือง (City Nature Challenge 2022)”
สวทช. เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต’ ครบ จบ คุ้ม ราคาเดียว
ครั้งแรกในไทย! สวทช. - เครือข่ายรถโดยสารไฟฟ้าไทย เปิดตัวและส่งมอบ ‘4ต้นแบบ EV BUS’ เตรียมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมการผลิตและออกแบบการบริการในอนาคต
บทความ
“9 ดีปเทคสตาร์ทอัป” ก้าวใหม่ สวทช. ดันวิจัยจากแล็บสู่ธุรกิจ
Download เอกสารฉบับเต็ม (13.7MB)
จดหมายข่าว สวทช.
เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ประกาศผลผู้ชนะ “การแข่งขันหุ่นยนต์ ไร้การบังคับอัจฉริยะ RoboInnovator Challenge 2022” ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (Software Park Thailand: SWP) และ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ประกาศผลโครงการ “การแข่งขันหุ่นยนต์ ไร้การบังคับอัจฉริยะ RoboInnovator Challenge 2022 By Software Park Thailand ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดยมีพลโท สมเกียรติ สัมพันธ์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ภัทราวดี พลอยกิตติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เข้าร่วมงาน
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การแข่งขันนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจากการแข่งขันครั้งแรกในปี 2563 ที่ได้รับการตอบรับและเป็นการปลุกกระแสการแข่งขันหุ่นยนต์อัจฉริยะไร้การบังคับให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ก้าวข้ามกฎ กติกาเดิมๆ ให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรมทำให้หุ่นยนต์เดินทางด้วยตัวเอง โดยต้องนำทางอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไปยังจุดหมายที่ต้องการ ไม่ชนอุปสรรค หรือสิ่งกีดขวางใดๆ อีกทั้งยังต้องส่งพัสดุให้ถูกต้องตรงตามโจทย์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในโจทย์อุตสาหกรรมได้จริงต่อไป และเป็นก้าวเริ่มต้นของการพัฒนากำลังคนโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสร้างนวัตกรรมนำประเทศต่อไป ซึ่ง สวทช. ไม่เพียงแค่ให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาแต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคลากรวิจัย การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม หรืออัพสกิล-รีสกิล ทั้งในภาครัฐและเอกชน
โดยในปีนี้มีทีมที่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายจำนวน 13 ทีม จากผู้เข้าแข่งขัน 63 ทีมทั่วประเทศ และทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศ และได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมถึงโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ ทีมล้านนา จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายกัญจน์ นาคเอี่ยม นายคมสัน ทองบุญ นายเสกข์ ขอดแก้ว และนายนฤมิต ศรีเยาว์เรือน
ในส่วนของรางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 20,000 บาท ผู้ชนะได้แก่ ทีม SIGMA จาก THE NINE ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายเจตนิพิฐ จตุรงคโชค และนายสุที เกิดจันอัด
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ได้รับโล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล 10,000 บาท ผู้ชนะได้แก่ ทีม EasyKids-Jigsaw จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายภัคพล ปรีชาวนา นายอารถนนท์ จักรวาล และนายนายปภังกร นิรวัชร์สุวรรณ
รางวัล Best Technique ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 3 รางวัล ผู้ชนะได้แก่ ทีม KMIDS ZAA จาก โรงเรียนสาธิตนานาชาติสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายปุณโชติ แก้วสุวรรณ และนายสิรดนัย ตันไล้ ทีม SIGMA จาก THE NINE ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายเจตนิพิฐ จตุรงคโชค และนายสุที เกิดจันอัด และทีม SKR-CS ROBOT จากโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล ผู้พัฒนาประกอบด้วย นางสาวเสาวลักษณ์ สุวรรณรงค์ นายโชติวัฒน์ แต้ศิริเวชช์ นายสกลรัฐ แซ่เตีย และนายชุติวัต วิสามารถ
รางวัล Best Performance ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 2 รางวัล ผู้ชนะได้แก่ ทีม CPK Sc. จาก โรงเรียนไชยปราการ ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายอนุรักษ์ ปาทา นายสิทธิโชค สุริยะวงค์ นายเจษรินทร์ ใจมาตุ่น และนายธนาชัย ศรีใส และทีม EasyKids-Jigsaw จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายภัคพล ปรีชาวนา นายอารถนนท์ จักรวาล และนายปภังกร นิรวัชร์สุวรรณ
และรางวัลสุดท้าย รางวัล Best Design ได้รับเกียรติบัตร และเงินรางวัล 5,000 บาท จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ ทีม EasyKids-Janjam จาก ศูนย์การเรียนรู้ Easykids Robotics ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายกันต์ กาญจนพิพัฒน์กุล นายพรศักดิ์ ลี นายธีรวุฒิ อินถา และนายดนุพัฒน์ ปานประดิษฐ์ และ ทีม SKJ Robot 02 จาก โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (จิรประวัติ) นครสวรรค์ ผู้พัฒนาประกอบด้วย นายพฤกษา สิทธิไพศาล นางสาววันดี ศรีสุข นางสาวณัฐวรรณ แช่มสะอาด และนายวัฒนทร รักชนะงาม
การแข่งขัน RoboInnovator Challenge 2022 ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนไทยและผู้สนใจได้แสดงศักยภาพ อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังความเป็นนวัตกรให้กับเยาวชนรุ่นต่อไป นับเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนากำลังคนโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสร้างนวัตกรรม ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
/////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ยกระดับความเข้าใจและอัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ใน 1 เดือนแรก พร้อมเวทีเสวนาถึงผลกระทบที่ภาคธุรกิจและประชาชนที่ได้รับ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย และบริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมจัดงานสัมมนาหัวข้อ "PDPA พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชน" เพื่ออัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมายใน 1 เดือนแรก และแนวทางการสร้างความเข้าใจให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน รวมไปถึงแผนการดำเนินงานในอนาคต พร้อมจัดเวทีเสวนาเพื่อตอบคำถามและสร้างความเข้าใจให้กับภาคธุรกิจและประชาชน ณ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
จากงานสัมมนาดังกล่าว ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และภาครัฐ โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 ท่าน และภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. เป็นประธานเปิดงาน และได้แนะนำบริการพื้นที่ใหม่ของเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย อย่าง ARI Co-InnoSpace ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้มาทดลองใช้บริการพื้นที่ อีกทั้งรับบริการการเชื่อมโยงเทคโนโลยีสู่พาร์ทเนอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งยัง ได้รับเกียรติจาก ดร.สุนทรีย์ ส่งเสริม นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มาอัปเดตความคืบหน้าของการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ใน 1 เดือนแรก และแนวทางการสร้างความเข้าใจให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชน รวมไปถึงแผนการดำเนินงานในอนาคต
นอกจากนี้ในงานมีเวทีเสวนาระหว่างตัวแทนจากภาครัฐผู้บังคับใช้กฎหมาย โดย พล.ต.ต.ปภัชเดช เกตุพันธ์ ผบก. กองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ อ.ปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย PDPA บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด ที่มาให้ความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติเรื่อง PDPA ว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริงหรือไม่จริงเกี่ยวกับบทลงโทษทางกฎหมาย PDPA และข้อผ่อนปรน และฝั่งตัวแทนภาคธุรกิจเอกชน โดยคุณยศกร ฟอลเล็ต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด และคุณนิวัฒน์ กัณวเศรษฐ์ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด มาร่วมแบ่งปันแนวทางปฏิบัติ ปัญหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยมี ดร.จริญญา จันทร์ปาน บริษัท เอซิส โปรเฟสชั่นนัล เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา
สำหรับท่านที่สนใจในบริการทางด้านการพัฒนาบุคลากร หรือพัฒนาผู้ประกอบการ บริการพื้นที่ หรือกิจกรรมต่างๆ ของทางเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม และติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook Fanpage: Software Park Thailand เว็บไซต์ swpark.or.th หรือ โทร. 02-583-9992 02-564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์


