ผลการค้นหา :

วิสัยทัศน์ NSTDA 6.0
วิสัยทัศน์ NSTDA 6.0
“สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.
https://www.nstda.or.th/home/introduce/about/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดตัวทีมผู้บริหาร NSTDA 6.0
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดตัวทีมผู้บริหาร NSTDA 6.0 พร้อมนำทัพวิจัยเป็นขุมพลังหลักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างยั่งยืน
ทำเนียบผู้บริหาร NSTDA 6.0
ข่าวประชาสัมพันธ์

รัฐมนตรี อว. เปิดตัวผู้อำนวยการ สวทช. คนที่ 6 ปักธง นำวิทย์ฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัย สู่ ภาคอุตสาหกรรม-เกษตร-ประชาสังคม
(29 สิงหาคม 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ แต่งตั้ง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนใหม่ ตามที่กระทรวง อว. เสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ กวทช. โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปีนั้น วันนี้คณะกรรมการ กวทช. ได้มีมติเห็นชอบในเรื่องสำคัญ คือ การแต่งตั้งคณะผู้บริหาร สวทช. ชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงหลายคน และเห็นชอบกำหนดนโยบายเพื่อให้ สวทช. ดำเนินงานเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใช้ศักยภาพเสริมสร้างความเข้มแข็งภาคส่วนต่าง ๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งกระบวนการผลิต กำลังคน และการจ้างงาน ช่วยยกระดับพัฒนาเศรษฐกิจชาติให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยได้กำหนดนโยบายที่ สวทช. มุ่งขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาประเทศในภาคเศรษฐกิจและสังคมบนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระยะแรก ปี 2565-2568 อาทิ
นำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม
ส่งเสริม ผลักดัน และประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน หน่วยวิจัย และภาคประชาสังคมเพื่อร่วมกันยกระดับและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาสาธารณะที่สำคัญ ด้วยการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม โดยในระยะแรกมุ่งเน้นภาคเอกชนที่มีความพร้อมจะพัฒนาด้วยการวิจัย และหน่วยงานในพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร
ขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนมาใช้งานอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือ โครงสร้างพื้นฐาน และความเชี่ยวชาญที่ สวทช. มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
สนับสนุนและร่วมมือให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อม สามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ เข้าร่วมเป็นพันธมิตรใน EECi และร่วมสร้างผลงานวิจัยออกสู่ตลาดร่วมกัน
สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ BCG เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากนโยบายขับเคลื่อน BCG ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
พัฒนาการให้บริการธุรกิจและอุตสาหกรรมแบบครบวงจรในภาพรวมทั้ง สวทช. เพื่อตอบโจทย์ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม อย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และคณะกรรมการ กวทช. ที่ให้ความไว้วางใจในการเข้ารับตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ “ผู้อำนวยการ สวทช.” โดยตนมีความพร้อมและมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยของ สวทช. ที่มีบุคลากรกว่า 3,000 คน โดยมากกว่า 70% เป็นนักวิจัย และเป็นนักวิจัยระดับปริญญาเอกมากกว่า 700 คน ถือว่ามากที่สุดในประเทศ อีกทั้งพร้อมผนึกกำลังความเชี่ยวชาญกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน เสมือนหนึ่งเป็นทีมประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้ตอบโจทย์ที่สำคัญ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดบนสังคมฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งต่อไป
“ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจำเป็นต้องอาศัยกลไกการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภาคธุรกิจ ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับสากล ขณะเดียวกันชุมชนต้องสามารถเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม ก่อเกิดอาชีพ เพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์จากที่ตนเป็นนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ได้มีโอกาสศึกษาและทำวิจัยทั้งสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนในต่างประเทศ และต่อมาเป็นผู้บริหารด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในองค์กรสำคัญระดับประเทศ จึงพร้อมนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีมารับใช้ประเทศ ทั้งรากฐานของการเป็นนักวิจัยและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยจะร่วมกับนักวิจัย สวทช. ขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถและเชื่อมโยงทุกเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่เข้มแข็ง สามารถตอบโจทย์ประเทศให้มากยิ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตนจะทำงานและพร้อมทุ่มเทอย่างเต็มกำลังความสามารถร่วมไปกับทีม สวทช.
......................................
ข่าวประชาสัมพันธ์

สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ขอเชิญเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านเกษตรกรรม และผู้ที่สนใจเข้าร่วมการเรียนรู้ในหลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) ตอน “ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ขอเชิญเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านเกษตรกรรม และผู้ที่สนใจธุรกิจด้านการปลูกพืชผัก ผลไม้ สมุนไพรกัญชากัญชง ในระบบปิดแบบ Indoor Vertical Farm โดยผลผลิตในรูปแบบ Medical Grade เข้าร่วมการเรียนรู้ใน
หลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming)
ตอน “ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
ระหว่างวันที่ 22 – 23 กันยายน 2565 (รวมระยะเวลาอบรม จำนวน 2 วัน)
สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
สถานที่ศึกษาดูงาน : โรงปลูกพืชแนวตั้งของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โดยมีหัวข้อการบรรยาย และศึกษาดูงานที่น่าสนใจ ดังนี้
- ข้อมูลทั่วไปและพฤกษศาสตร์ของฟ้าทะลายโจร
- การปลูกฟ้าทะลายโจรในโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming)
- ขั้นตอนการปลูก และเทคนิคการเพิ่มคุณภาพผลผลิตฟ้าทะลายโจร ด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming)
- การแปรรูปฟ้าทะลายโจรเชิงพาณิชย์
- ทิศทางการผลิตและการตลาดของฟ้าทะลายโจร
- การศึกษาดูงาน การปลูกฟ้าทะลายโจรในโรงปลูกพืชแนวตั้งของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
วิทยากร
ดร. ประเดิม วณิชชนานันท์
นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
Tel. 085 211 9709 (เมธภัค) , 097 297 2563 (สุรีย์)
E-mail : npd@nstda.or.th
เว็บไซต์หลักสูตร www.career4future.com/vfa
ปฏิทินกิจกรรม

ยินดีต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนที่ ๖
๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ : ยินดีต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนที่ ๖
สู่การเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม.....The new journey begins
*** ประวัติผู้อำนวยการ สวทช. คนที่ ๖
https://www.nstda.or.th/.../professor-sukit-limpijumnong/
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศผลรางวัล! การประกวดคลิปวิดีโอ “BCG Happy Story : เรื่องนี้ดีต่อใจ”
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานประกาศผลรางวัลโครงการ "BCG Happy Story : เรื่องนี้ดีต่อใจ" ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีการประกวดที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถด้านการสร้างสรรค์สื่อประเภทคลิปวิดีโอสั้น โดยไม่จำกัดรูปแบบการนำเสนอ ภายใต้เนื้อหาการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG
ในการประกวดครั้งนี้มีผลงานคลิปวิดีโอที่ได้รับรางวัลและคลิปวิดีโอที่ผ่านเข้ารอบรวม 20 ผลงาน สามารถไปติดตามรับชมทุกผลงานได้ที่เพจ Facebook : BCG in Thailand
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ประกาศผลโครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG เรื่องนี้ดีต่อใจ ผลงาน ‘สามตัวตรง’ จากทีม ‘ทุ่งสง โฮมทาวน์’ คว้ารางวัลชนะเลิศ
สวทช. ประกาศผลรางวัล โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ ภายหลังเยาวชนไทยสนใจส่งผลงานร่วมประกวดรวม 119 ทีม ผลปรากฏว่า ทีม ‘Thungsong Hometown’ จาก รร.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช คว้ารางวัลชนะเลิศจากผลงาน ‘สามตัวตรง’ นำเสนออักษร B-C-G ที่ล้อกับค่านิยมในการเสี่ยงดวงของคนไทย เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน สวทช. เตรียมนำผลงานเหล่าเยาวชนไทย นำไปสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ถึงประโยชน์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตต่อไป
เมื่อเร็วๆ นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานพิธีประกาศผลรางวัล โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ โดยผลงานที่ชนะเลิศและรางวัลอื่นๆ คณะกรรมการจะนําไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ต่อไป
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร จัด “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรี หรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อได้ร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้สื่อสารประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจสู่ประชาชน ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการนําโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การประกวดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากน้อง ๆ เยาวชนทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดรวมทั้งสิ้น 119 ผลงาน ซึ่งการแข่งขันรอบแรก คณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีแนวคิดและรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจจำนวน 20 ทีม เพื่อรับทุนสนับสนุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับนำไปผลิตคลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสิน พร้อมทั้งการประกาศรางวัล Popular Vote ซึ่งเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับคลิปวิดีโอที่โดนใจมากที่สุด
สำหรับรางวัลชนะเลิศ ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ทีม ‘Thungsong Hometown’ จาก รร.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กับผลงาน ‘สามตัวตรง’ ซึ่งเป็นการนำเสนออักษร B-C-G ที่ล้อกับค่านิยมในการเสี่ยงดวงของคนไทย เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ ทีม ‘ข้าวไทอีสาน’ โรงเรียนอนุกูลนารี จ.กาฬสินธุ์ กับผลงาน ข้าวไทอีสาน สู่การพัฒนาด้วย BCG
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับทุนการศึกษา 20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ทีม Foxstar โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี กับผลงาน Foxstar x BCG : ผลผลิตโต โมเดลเศรษฐกิจดี ชาวสวนก็แฮปปี้
รางวัลชมเชย จำนวน 3 ทีม ได้รับทุนการศึกษาทีมละ 10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ 1. ทีม รันงานยันเช้า จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาราชภัฏกาญจนบุรี กับผลงาน คุณค่าของไผ่ที่ใครหลายๆ คนอาจจะมองข้ามไป 2. ทีมคิดส์คิด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับผลงาน BCG ยกระดับชีวิต พลิกเศรษฐกิจไทย และ 3. ทีม AnAnt จากมหาวิทยาลัยศิลปากร กับผลงาน BCG ง่ายนิดเดียว
และรางวัลพิเศษอีก 3 รางวัลได้รับทุนการศึกษา ทีมละ 5,000 บาท ได้แก่ 1. ทีม BJK จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย กับผลงาน BCG มีอะไรดีบอกฉันที 2. ทีม Racha-1(ราชาวัน) จากโรงเรียนบางปะอิน "ราชานุเคราะห์ 1" กับผลงาน ฉ่อย ตอน BCG MODEL และ 3. ทีมแมรี่ซู จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กับผลงานดูดวงประเทศไทย
ทั้งนี้ สวทช. เตรียมนำผลงานเหล่าเยาวชนไทยไปสื่อสารประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ถึงประโยชน์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตต่อไป
///////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ปฐมนิเทศนักศึกษาทุน TGIST ปีการศึกษา 2565
สวทช. ปฐมนิเทศนักศึกษาทุน TGIST ปีการศึกษา 2565 พร้อมประกาศรางวัลนักศึกษาทุนที่มีผลงานวิชาการดีเด่น Outstanding Student Award ประจำปี 2565
เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษาทุนโครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) ประจำปี 2565 โดยจัดในรูปแบบออนไลน์ มี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานกล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีนักศึกษาโครงการทุน TGIST ซึ่งในปีนี้มีจำนวน 25 คน แบ่งเป็นผู้รับทุนระดับปริญญาโทจำนวน 18 คน และผู้รับทุนระดับปริญญาเอกจำนวน 7 คน
ดร.ชฎามาศ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการทุน TGIST เป็นทุนสนับสนุนให้แก่นักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก โดยอาศัยกลไกความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาซึ่งมีความแข็งแกร่งด้านวิชาการ และ สวทช. ที่มีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญและมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา เพื่อร่วมผลิตบัณฑิตคุณภาพสูงสู่สังคม สำหรับในปีนี้ขอต้อนรับและขอขอบคุณนักศึกษาทุนคนที่สมัครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทุน TGIST รวมถึงขอขอบคุณอาจารย์ ผู้ปกครอง และนักวิจัย สวทช. ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและสนับสนุนการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของประเทศ ขอให้นักศึกษานำเอาความรู้และประสบการณ์ที่จะได้รับนำไปประยุกต์ปรับใช้และนำพาตนเองและหมู่คณะไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จและความก้าวหน้าบนเส้นทางอาชีพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อไป
นอกจากนี้ ดร.ชฎามาศ ยังกล่าวแสดงความยินดีและมอบรางวัลผู้มีผลงานวิชาการดีเด่น หรือ Outstanding Student Award 2022 ให้กับ น.ส.จุฑารัตน์ รัตนการันต์ จากโครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) ระดับปริญญาโท คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (TGIST 2561–2563) ผู้ซึ่งได้รับรางวัลผู้มีผลงานวิชาการดีเด่นประจำปีนี้ ภายใต้การดูแลและให้คำปรึกษาของอาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร.เสาวภา ไชยวงศ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ดร.จุรีรัตน์ ประสาน นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ จากโครงการวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่อาจารย์ที่ปรึกษา และนักวิจัยสวทช. ทำงานร่วมกัน เรื่องการประยุกต์ใช้การลดอุณหภูมิด้วยอากาศเย็นร่วมกับวัสดุฉนวนความร้อนในการจัดการห่วงโซ่ความเย็นของผลิตผลสดโดยมีผลงานวิชาการ ประกอบด้วย บทความในวารสารนานาชาติที่อยู่ใน Quartile 1 อ้างอิงจากฐาน Scimago จำนวน 2 ฉบับ และบทความในวารสารนานาชาติตามรายชื่อของ Citation index ที่มี Impact Factor อ้างอิงจากฐาน ISI จำนวน 2 ฉบับ บทความตีพิมพ์ใน Proceedings การประชุมวิชาการนานาชาติที่มีกรรมการพิจารณาคุณภาพ Peer Review จำนวน 1 ผลงาน Abstract Oral การประชุมวิชาการนานาชาติ จำนวน 3 ผลงาน และ Poster Presentation ระดับนานาชาติจำนวน 1 ผลงาน
น.ส.จุฑารัตน์ รัตนการันต์ ผู้ได้รับรางวัล Outstanding Student Award 2022 กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ สวทช. และโครงการ TGIST ที่มอบโอกาสและสร้างพื้นที่ในการเรียนรู้และพัฒนาไปสู่การเป็นนักวิจัยที่ดี นำมาซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยสู่ระดับสากล เป็นที่มาของการได้รับรางวัลในครั้งนี้ พร้อมขอเป็นกำลังใจให้นักศึกษาทุน TGIST รุ่นน้องทุกคน โดยฝากข้อคิดว่า ทุกความพยายามอาจไม่ได้นำมาซึ่งความสำเร็จ แต่ทุกความสำเร็จต้องมีความพยายามเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับ ดร.วันเสด็จ เจริญรัมย์ นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ซึ่งเคยได้รับทุน TGIST ได้มาเล่าประสบการณ์ในระหว่างการได้รับทุนและการเข้ามาเป็นนักวิจัย สวทช. พร้อมแนะนำกุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ โดยต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ทุ่มเทให้มากกว่าคนอื่น และอดทนรู้จักการรอคอย โดยขอเป็นกำลังใจให้กับนักศึกษาทุนในปีนี้ทุกคน.
กลุ่มพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน

สวทช. – องค์การสวนสัตว์ฯ ผนึกความร่วมมือ เตรียมสร้างฐานข้อมูลกลาง ด้านทรัพยากรชีวภาพสัตว์ของไทย
(25 สิงหาคม 2565) ณ ห้อง 403 อาคารศูนย์ประชุม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี : ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และ วิชาการ เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพและฐานข้อมูลของประเทศไทย ระหว่าง องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมี ดร. ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ นักวิจัยและนักวิชาการทั้งสองหน่วยงานร่วมงาน
ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ(National Biobank of Thailand: NBT) เป็นหนึ่งในกิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ที่ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ชั้นนำสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพอันมีค่าของประเทศแบบระยะยาว เพื่อเป็นฐานที่สำคัญของการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อเตรียมพร้อมรับมือสภาวะวิกฤตและการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรชีวภาพอย่างถาวรในธรรมชาติ นอกจากนี้ NBT ยังเป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่น่าเชื่อถือพร้อมกับการนำเอาข้อมูลระดับจีโนมและสารสนเทศอื่นๆ ที่เกิดจากการวิจัยบนทรัพยากรชีวภาพเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นระบบสารสนเทศเพื่อการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำไปสู่การค้นพบองค์ความรู้ใหม่ นอกจากนั้นแล้ว NBT ยังสนับสนุนการเชื่อมโยงของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน องค์กรในประเทศและนานาชาติ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยยังสามารถเก็บรักษาหรืออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพไว้ได้อย่างยั่งยืน
สำหรับความร่วมมือกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพและนำข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอันมีค่ามาใช้ประโยชน์ จะมีการพัฒนาต่อยอดเป็นระบบสารสนเทศที่เป็นฐานข้อมูลกลางด้านทรัพยากรชีวภาพสัตว์ของประเทศไทย สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในงานวิจัยใหม่ๆ นำไปสู่การพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สังคมและสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และยังสามารถรักษาสมดุลในการใช้ทรัพยากรตามกรอบความคิด ‘BCG model’ อันเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย
ด้าน นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้พัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัย และการเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพ เพื่อการอนุรักษ์สัตว์อย่างยั่งยืน ซึ่งมีสวนสัตว์ 6 แห่งในความดูแลรับผิดชอบ ได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์อุบลราชธานี และอีก 1 โครงการ คชอาณาจักรสุรินทร์ โดยมีสัตว์ที่อยู่ในความดูแลกว่า 600 ชนิด 8,000 กว่าตัว ที่มีคุณค่าและส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าหายาก ซึ่งอยู่ในภาวะถูกคุกคามที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และบางชนิดไม่สามารถพบได้แล้วในธรรมชาติ
ดังนั้นจึงถือได้ว่าสัตว์ป่าในสวนสัตว์ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการอนุรักษ์ องค์การสวนสัตว์ฯ จึงมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งด้านบริหารจัดการ อนุรักษ์ วิจัยสัตว์ป่า ทั้งในถิ่น และนอกถิ่นอาศัย โดยพัฒนาการอนุรักษ์วิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างนวัตกรรมที่สนับสนุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ผลงานวิจัย ให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์แก่สาธารณชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์ป่าเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้เพื่อเตรียมรับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่คุกคามการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าในปัจจุบัน ความเชี่ยวชาญของนักวิทยาศาสตร์ และองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งด้านสุขภาพ พันธุศาสตร์ โภชนศาสตร์ สัตวศาสตร์ และวิทยาการสืบพันธุ์ จึงมีความสำคัญและต้องบูรณาการร่วมกันฟื้นฟูประชากรสัตว์ป่าและสนับสนุนให้การอนุรักษ์สัตว์ป่าในธรรมชาติให้มีความยั่งยืน (viable population) ต่อไป
“ตัวอย่างโครงการนกกระเรียนคืนถิ่นที่พลิกวิกฤตการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าในธรรมชาติกลับมาสมบูรณ์ ด้วยศาสตร์หลายแขนง และความร่วมมือของหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน นอกจากนี้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ โดยสถาบันอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ ได้รวบรวมและเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ เซลล์ร่างกาย และสเต็มเซลล์ของสัตว์ป่าหายากในรูปแบบการแช่แข็ง เพื่อเป็นแหล่งสำรองความหลากหลายทางพันธุกรรมและชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษา วิจัยและขยายพันธุ์ต่อไปในอนาคต”
อย่างไรก็ตามจากความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและความต้องการในการพัฒนาองค์ความรู้ในการรักษาทรัพยากรชีวภาพดังกล่าว และนำมาสู่ความร่วมมือกับทาง สวทช. ในการนำเทคโนโลยีซึ่งเป็นจุดเด่นมาใช้เพื่อการเก็บรักษาทรัพยากรสัตว์ที่มีค่าของประเทศร่วมกันครั้งนี้ องค์การสวนสัตว์ฯ หวังว่าจะก่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้จาก การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยร่วมกันเพื่อการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนต่อไป
///////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ส่งมอบผักสดคุณภาพจาก Plant Factory แก่ 4 หน่วยงานโรงพยาบาล-โรงเรียน จ.ปทุมธานี
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำผักสดคุณภาพ Premium Veggies จากการเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในโรงงานผลิตพืช หรือ Plant Factory ของ สวทช. ประกอบด้วย ผักกรีนปัตตาเวีย, ผักเรดคอรัล , คะน้าฮ่องกง และเคล รวมจำนวน 160 ชุด ส่งมอบให้กับ 4 หน่วยงานโรงพยาบาลและโรงเรียนในพื้นที่ จ.ปทุมธานี เพื่อนำไปประกอบอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับเด็กนักเรียน และผู้ป่วย
โดย 4 หน่วยงานที่ได้รับมอบ ได้แก่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มี ผศ.นพ.ปรีดิ์ นิมมานิตย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและงบประมาณ และ นางสุกัญญา คุณกิตติ หัวหน้างานการพยาบาลคัดกรองและรับผู้ป่วยใน เป็นผู้แทนรับมอบ, โรงพยาบาลคลองหลวง มีนางวารุณี แหลมภู่ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ และ น.ส.จรรยาณี ภูนางดาว นักโภชนาการปฏิบัติการ เป็นผู้แทนรับมอบ, โรงเรียนจารุศรบำรุง มีนางกันทิตา บุญมี และ น.ส.ดารุณี ปันคำ เป็นผู้แทนรับมอบ และ โรงเรียนอนุบาลแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนางธิติมา บุญมี ผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นผู้รับมอบ
สำหรับผัก Premium Veggies เป็นผลิตภัณฑ์ BCG Product ปลูกในโรงงานผลิตพืช Plant Factory ของ สวทช. ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำและปลูกพืชด้วยระบบปิด สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างสมบูรณ์ เช่น ช่วงคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งปราศจากการใช้สารเคมีและการปนเปื้อนจากสภาพแวดล้อม ส่งผลให้ผลผลิตผักและพืชชนิดต่างๆ มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยต่อผู้บริโภค.
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ร่วมบรรยายพิเศษในเวทีการประชุม APEC Health Week
For English-version news, please visit : Thailand presents BCG Health program to APEC Health Working Group
(24 สิงหาคม 2565) ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ ได้รับเกียรติให้นำเสนอในเวทีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส (Senior Officials’ Meeting: SOM) ของคณะทำงานสุขภาพ APEC ถึงแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในด้านการพึ่งพาตนเองและการลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุขของไทย พร้อมกันนี้ได้นำเสนอตัวอย่างผลงานด้านเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์แก่ทีมผู้บริหารและผู้แทนสมาชิกเขตเศรษฐกิจ APEC จำนวนกว่า 80 คน ที่เยี่ยมชมศึกษาดูงานที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในประเด็นการขับเคลื่อนด้านการแพทย์และสาธารณสุขในรูปแบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ก้าวหน้าทันสมัย สอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy model : BCG) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการประชุม APEC Health Week ของคณะทำงานด้านสุขภาพ (Health Working Group : HWG) APEC ที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการแพทย์และสาธารณสุขระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ได้รับเชิญให้บรรยายพิเศษในหัวข้อ Bio-Circular-Green Economy and Health โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุขและเครื่องมือแพทย์นั้นถือเป็น 1 ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมภายใต้นโยบาย BCG ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ภายในปี 2570 ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ โดยสนับสนุนให้มีการพัฒนาเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเจ็บป่วยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุรวมทั้งผลกระทบของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ยังได้บรรยายสรุปถึงแนวทางพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Model ในภาพรวม ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญ และผลักดันอย่างเต็มที่ ในส่วนของสาขาเครื่องมือแพทย์ได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนใน 4 มิติ ได้แก่ สร้างการพึ่งพาตนเองเพื่อความมั่นคงทางสาธารณสุข ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในการดูแลสุขภาพ เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์ไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศได้อย่างยั่งยืน
สำหรับการศึกษาดูงานของคณะทำงานสุขภาพ APEC มีการนำเสนอนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีความสอดคล้องกับนโยบาย BCG ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นอาคารใต้ดินลึก 15 เมตร ให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งทางรังสีด้วยอนุภาคโปรตอน นับเป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการรักษาจะใช้เครื่องเร่งอนุภาคไซโคลตรอน ซึ่งจะเร่งอนุภาคโปรตอนไปทำลายก้อนมะเร็ง โดยเนื้อเยื่อปกติที่อยู่หน้าก้อนมะเร็งจะได้รับปริมาณรังสีน้อย และเนื้อเยื่อที่อยู่หลังก้อนมะเร็งแทบไม่ได้รับรังสีเลย ทำให้การรักษามีความแม่นยำสูง ช่วยลดผลข้างเคียง เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีคุณภาพชีวิตที่ดีและยาวนานขึ้น
2.ศูนย์สมเด็จพระเทพรัตนฯ แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ นับเป็นศูนย์กลางการแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้การดูแลช่วยเหลือผู้ที่มีความผิดปกติบนใบหน้าตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตที่มีคุณภาพในสังคมได้ โดยมีผู้ป่วยส่งต่อมาจากสถาบันทางการแพทย์ทั่วประเทศ ให้การดูแลรักษาผ่าตัดผู้ป่วยที่มีความผิดปกติบนใบหน้าและศีรษะหลากหลายประเภทมากกว่า 3,000 ราย จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการรักษาผู้ป่วยโรคงวงช้าง โดยมีเทคนิคการผ่าตัดแก้ไขความพิการด้วยวิธี “จุฬาเทคนิค” และถูกนำไปใช้ทั่วโลก
3.สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ให้การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยอย่างครบวงจร ทั้งการเตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย การจัดการขณะเกิดภัย และการฟื้นฟูบูรณะสู่ภาวะปกติ บรรเทาทุกข์ผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนการประชานามัยพิทักษ์ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้มั่นคง ทัดเทียม อย่างยั่งยืน สอดคลองกับยุทธศาสตร์สภากาชาดไทยในด้านบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เป็นเลิศครบวงจร โดยให้บริการทางการแพทย์ผ่านทางสถานีกาชาด 13 แห่ง ให้บริการด้านรักษาพยาบาล ฟื้นฟูสภาพ ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคแก่ประชาชน อีกทั้งการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ด้านจักษุศัลยกรรมฯ ศัลยกรรมตกแต่งแก้ไขปากแหว่งเพดานโหว่ และความพิการอื่นๆ รวมถึงหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ เป็นต้น
4.หมอพร้อม แอปพลิเคชัน เป็นการพัฒนาด้านสาธารณสุขดิจิทัลที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วงแรกเพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารกับประชาชนในช่วงการระบาด ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลวัคซีนของตนเองได้ พร้อมประเมินติดตามอาการภายหลังการรับวัคซีน โดยปัจจุบัน “หมอพร้อม” ถือว่าเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในด้านสาธารณสุขของประเทศไทย มีประชาชนมากกว่า 32 ล้านคน เข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ทั้งแอปพลิเคชันและ Line OA และมีการพัฒนาต่อยอดอย่างไม่สิ้นสุด
ทั้งนี้การประชุมคณะทำงานสุขภาพ APEC ถือเป็นการประชุมด้านสุขภาพระดับนานาชาติครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 โดยมีเป้าหมายคือการช่วยสร้างความตื่นตัวในระดับสากลทั่วภูมิภาคเอเปค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสุขภาพหลังวิกฤตโควิด 19
///////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

“หอมสยาม” ข้าวหอมพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ ตอบโจทย์เกษตรกรไทย ถูกใจผู้บริโภค
For English-version news, please visit : Hom Siam: A new fragrant rice variety
ต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ต้านทานโรค เก็บเกี่ยวง่าย คือลักษณะเด่นของ “ข้าวหอมสยาม” ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาพันธุ์โดยทีมนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ยทนแล้ง ต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ช่วยลดการใช้สารเคมี ที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้วข้าวสวยมีความหอม นุ่ม อร่อยเทียบเคียงข้าวหอมมะลิ ตอบโจทย์ทั้งเกษตรกร โรงสี และผู้บริโภค ช่วยยกระดับการผลิตและการส่งออกข้าวไทยในอนาคต
พัฒนาพันธุ์ 10 ปี ได้ข้าวหอม นุ่ม สู้โรคภัย ให้ผลผลิตสูง
ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค ผู้พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมสยาม เปิดเผยว่าทีมวิจัยใช้เวลากว่า 10 ปีในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมให้มีความทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพการหุงต้มดีเหมือนข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้วิธีการปรับปรุงพันธุ์แบบผสมกลับร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ซึ่งเป็นข้าวเจ้าหอมนุ่มที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง จนกระทั่งได้พันธุ์ข้าวหอมสยามในที่สุด
[caption id="attachment_35196" align="aligncenter" width="650"] ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค[/caption]
“ข้าวหอมสยามมีคุณลักษณะเด่น 3 ประการ หนึ่ง เราพัฒนาให้ความสูงของต้นข้าวมีลักษณะเตี้ยลง ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ปกติมีความสูงที่ประมาณ 150 เซนติเมตร มีปัญหาหักล้มง่าย สร้างความเสียหายต่อผลผลิต แต่เราทำให้ข้าวหอมสยามมีความสูงลดลงเหลือ 120 เซนติเมตร และมีลำต้นแข็งแรง เพื่อให้ทนทานต่อการหักล้ม สอง ความต้านทานต่อโรคไหม้ ซึ่งปกติแล้วข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 อ่อนแอต่อโรคไหม้ แต่เราพัฒนาข้าวหอมสยามให้ต้านทานต่อโรคไหม้ และสาม เราทำให้ข้าวหอมสยามมีผลผลิตสูง สูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105ประมาณ 2 เท่า ซึ่งปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากการแตกกอดีของข้าวหอมสยามเมื่อเทียบกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 แล้วก็มีจำนวนเมล็ดต่อรวงมากกว่าด้วย นอกจากนี้ข้าวหอมสยามยังมีระบบรากลึก สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย จึงเหมาะสมสำหรับพื้นที่ปลูกข้าวอาศัยน้ำฝนซึ่งมักประสบปัญหาน้ำแล้ง”
[caption id="attachment_35189" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ต้นเตี้ย ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ต้านทานโรคใบไหม้ และให้ผลผลิตสูง[/caption]
พันธุ์ข้าวดี เกษตรกรยอมรับ โรงสีรับซื้อ
ในปี 2563 ทีมวิจัยได้ทำงานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรของบริษัทบางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด นำพันธุ์ข้าวหอมสยามไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ และ จ.ศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 14%) สูงกว่าข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ประมาณ 2.1 เท่าที่ปลูกในแปลงเดียวกัน ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมทดสอบพันธุ์ จำนวน 31 คน
[caption id="attachment_35195" align="aligncenter" width="650"] ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม[/caption]
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม กล่าวว่า พันธุ์ข้าวหอมสยาม ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดีเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข15 เป็นการลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรค
[caption id="attachment_35190" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยามในแปลงปลูกของเกษตรกร[/caption]
[caption id="attachment_35191" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
“พอเราได้พันธุ์แล้ว เรายังไม่เรียกว่าสำเร็จ ความสำเร็จต้องอยู่ที่การยอมรับของผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว เกษตรกร และเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่างดีจริง ซึ่งข้าวหอมสยามก็ได้พิสูจน์แล้ว โดยผ่านกระบวนการทดสอบในเชิงวิจัยมา 2 ปีก่อนหน้า และก็เข้าสู่กระบวนการทดสอบในแปลงเกษตรกรทั้งหมด 31 แปลง 12 จังหวัด ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การปรับปรุงพันธุ์จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรยอมรับ และเมื่อเกษตรกรยอมรับแล้วนั้นก็ต้องส่งต่อให้กับผู้ประกอบการ โรงสี และกระบวนการทางการตลาด เพราะฉะนั้นพันธุ์ข้าวที่ดีต้องให้ประโยชน์ต่อชาวนาได้ แล้วต้องส่งต่อให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่งต่อให้กับประเทศได้”
“หอมสยาม” ความหวังของชาวนาและประเทศไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ข้าวไทย” มีชื่อเสียงและคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งมีรางวัลการันตีหลายปีต่อเนื่องว่าเป็นข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกจากการประกวดข้าวโลก (World’s Best Rice Award) แต่สถานการณ์การผลิตและส่งออกข้าวไทยกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ข้าวไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง
[caption id="attachment_35194" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร[/caption]
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร และหัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค กล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤตของข้าวไทย การพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมนุ่ม ผลผลิตสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ “หอมสยาม” ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ผลผลิตสูง ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ยทนการหักล้ม ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ลำต้นแข็ง ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่ใช้เครื่องจักรมากขึ้น
[caption id="attachment_35192" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
[caption id="attachment_35193" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105[/caption]
“เราต้องการให้มีข้าวที่ตอบโจทย์ประเทศ คือข้าวที่มีคุณภาพดี ผลผลิตสูง เพื่อแข่งขันได้ เรารู้จักข้าวขาวดอกมะลิ เรายอมรับว่านี่คือข้าวคุณภาพดีที่หนึ่ง เราก็อยากได้ข้าวที่เหมือนขาวดอกมะลิ แต่ว่าไม่ล้มได้มั้ย ผลผลิตสูงได้มั้ย ใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวได้มั้ย ต้านทานโรคไหม้ได้มั้ย นั่นคือเป้าหมายที่เราพัฒนาข้าวหอมสยาม เพื่อแก้ประเด็นปัญหาของพันธุ์ข้าวดีที่เรามีอยู่ ในเรื่องของคุณภาพ เรามีพันธุ์ข้าวคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ลดปัญหาความเสียหายจากโรค การหักล้ม และเหมาะสำหรับการทำเกษตรสมัยใหม่”
ปัจจุบันทาง ไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนพันธุ์พืช ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 กับกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว โดยข้าวพันธุ์หอมสยามนี้ จะเป็นข้าวหอมไทยคุณภาพอีกพันธุ์หนึ่งที่สามารถส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการข้าวหอมคุณภาพดีในราคาที่ไม่สูงเกินไป สามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกร สร้างเศรษฐกิจชุมชมเข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น