หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สปสช. ผนึกความร่วมมือ สวทช. รุกพัฒนา “นวัตกรรมบริการสุขภาพระบบบัตรทอง”
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-nhso-team-up-to-develop-innovations-supporting-universal-health-coverage.html สปสช. ผนึกความร่วมมือ สวทช. รุกศึกษา วิจัยพัฒนา และประยุกต์ใช้นวัตกรรม 5 ประเด็น มุ่งเพิ่มศักยภาพบริการด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พร้อมส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและวัตกรรมใหม่ในประเทศ (เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2566) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ลงนามความร่วมมือเพื่อดำเนินการศึกษา การวิจัยพัฒนา และการประยุกต์ใช้นวัตกรรม เพื่อการให้บริการด้านสุขภาพของภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 หน่วยงานเข้าร่วม ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 2 อาคาร B แจ้งวัฒนะ กทม. ภายใต้ความร่วมมือนี้ เบื้องต้นกำหนดการดำเนินการใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การส่งข้อมูลสำหรับเบิกจ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Claim Gateway) 2.การรับเรื่องร้องเรียนระดับเขต และระดับจังหวัด (Traffy Fondue) และจับคู่ความต้องการรักษาพยาบาลกับโรงพยาบาล 3.การให้ปรึกษาด้านการออกแบบคลาวน์ (Cloud Computing) 4.การใช้ประโยชน์จากข้อมูลจำนวนมากและปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & AI) รวมทั้ง Dashboard สำหรับการบริหารจัดการ และ 5.การพัฒนา Roadmap สำหรับการวิจัยพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์และอวัยวะเทียมในรายการสิทธิประโยชน์ มีระยะเวลาความร่วมมือ 2 ปี นับจากนี้ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สปสช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความร่วมมือกับ สวทช. ครั้งนี้ หนึ่งในนโยบายที่ สปสช. ให้ความสำคัญ คือการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่นำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนวัตกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ซึ่ง สวทช. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและมีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมืออันดีในวันนี้ จะยังให้เกิดประโยชน์กับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองทั่วประเทศอย่างแน่นอน สำหรับบทบาทและหน้าที่ของ สปสช. ภายใต้ความร่วมมือนี้ อาทิ การร่วมกำหนดโจทย์การวิจัยที่ต้องการศึกษาและพัฒนา การสนับสนุนข้อมูลและเปิดช่องทางการวางข้อมูล การร่วมพัฒนาหรือปรับปรุงระบบสารสนเทศหรืออุปกรณ์ทางด้านการแพทย์ตามที่เห็นร่วมกัน รวมทั้งร่วมจัดหาทรัพยากรเพื่อดำเนินการ การมอบหมายผู้รับผิดชอบและผู้ประสานงานเข้าร่วมดำเนินการ รวมถึงอำนวยความสะดวกทีมผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. เพื่อดำเนินการตามประเด็นที่ได้กำหนดร่วมกัน “การศึกษา การวิจัยพัฒนา และการประยุกต์ใช้นวัตกรรมทั้ง 5 ประเด็นนี้ ได้ผ่านการหารือและกลั่นกรองและวิเคราะห์ร่วมกันระหว่าง สปสช. และ สวทช. ซึ่งจะเป็นส่วนในการเพิ่มศักยภาพการดำเนินการและบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ ทั้งเป็นการต่อยอดระบบ A-MED Telehealth ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล ในการบันทึกข้อมูลบริการเพื่อส่งเบิกจ่าย และการรับเรื่องร้องเรียนผ่าน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ที่เพิ่มเติมในส่วนของไลน์” เลขาธิการ สปสช. กล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เห็นความสำคัญของการทำงานร่วมกับ สปสช. ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในวงกว้างและเป็นรูปธรรม สำหรับบทบาทและหน้าที่ของ สวทช. ภายใต้ความร่วมมือนี้ สวทช. จะนำพลังความรู้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนักวิจัยเข้ามาช่วยสร้างและพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ สปสช. ที่ผ่านมา สวทช. ได้นำผลงานงานวิจัยและพัฒนามาสนับสนุน ได้แก่ แอปพลิเคชัน ทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) : Dashboard สปสช. เพิ่มช่องทางรับข้อเสนอแนะสิทธิบัตรทอง ในการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนและปัญหาการใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท ระหว่าง สปสช. กับประชาชนให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเรื่องที่ร้องเรียน 766 เรื่อง แบ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิบัตรทอง 470 เรื่อง (61.36%) ซึ่งดำเนินการแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 463 เรื่อง และอยู่ระหว่างดำเนินการ 7 เรื่อง ไม่เกี่ยวข้องและส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 296 เรื่อง (38.64%) เช่น แจ้งเรื่องฝุ่น จราจร และคนทิ้งขยะ เป็นต้น และในปัจจุบัน สปสช. กำลัง เปิดให้ ไลน์ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ที่เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการให้ความคิดเห็นต่อ “กองทุนบัตรทอง” ปี 2566 อีกด้วย นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมกับ สปสช. ในการขยายการทำงานร่วมกันจากแพลตฟอร์ม A-MED Telehealth ไปสู่การออกแบบและพัฒนาระบบ e-Claim Gateway ร่วมกัน ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญภายใต้ความร่วมมือนี้ โดยมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการทำงานเพื่อให้เกิดความคล่องตัว ความรวดเร็ว และความถูกต้องในการเบิกเคลมของโรงพยาบาลกับ สปสช. นอกจากระบบ e-Claim Gateway แล้ว สวทช.ยังได้ร่วมมือกับ สปสช. และ สภาเภสัชกรรม ต่อยอดแพลตฟอร์ม A-MED Telehealth ไปสู่ A-MED Care ระบบบริการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยทั่วไป (Common illnesses) ใน 16 อาการ สำหรับผู้ถือสิทธิบัตรทอง สามารถขอรับยาได้ทันที ปัจจุบันให้บริการมากกว่า 900 ร้านยาคุณภาพ ให้บริการสะสมแล้วมากกว่า 1 แสนครั้ง โดยในปี 2566 ตั้งเป้าหมายขยายผลการให้บริการครอบคลุมร้านยาคุณภาพ 1,500 ร้านยา “ความร่วมมือของ 2 หน่วยงานในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการนำ วทน. ไปใช้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะช่วยนำมาสู่คุณภาพและบริการสุขภาพที่ดีขึ้นไทยในอนาคต” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย ////////////////////////
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมกับ กสทช. เปิดตัว  “โครงการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการ และผลิตภัณฑ์ IoT ของไทยสู่อาเซียน” 
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-launches-uplift-thai%E2%80%99s-service-robots-and-internet-of-things-iot-to-asean-project.html (23 มีนาคม 2566) ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 3 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ (SQUAT) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)  จัดสัมมนาเปิดตัว “โครงการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการและผลิตภัณฑ์ Internet of Things (IoT) ของไทยสู่อาเซียน” Uplift Thai’s Service Robots and Internet of Things (IOT) to ASEAN เพื่อยกระดับผู้ประกอบการ เสริมศักยภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน อีกทั้งเป็นการผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งในด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการและผลิตภัณฑ์ Internet of Things (IoT)  ทัดเทียมนานาประเทศ โดยการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถดำเนินงานได้ดีมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยงานสัมมนาได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน   ทั้งนี้ภายในงานยังจัดสัมมนาพิเศษเรื่อง “โอกาสในการแข่งขันของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการ และผลิตภัณฑ์ Internet of Things (IoT)” นำโดย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ดร.พนิตา เมนะเนตร นักวิจัยห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ (SQUAT) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดร.นิพัทธ์ รัศมีโกเมน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พีทีที เรส จำกัด ดร.มหิศร ว่องผาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไฮฟ์กราวนด์ จำกัด และ นายอัครพล สุขตา กรรมการบริหาร สมาคมไทยไอโอที พร้อมด้วย ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์จะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ นั่นคือ หุ่นยนต์ที่ใช้ในโรงงาน ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของแขนกล กับหุ่นยนต์ขนย้ายวัสดุสินค้า AGV (Automatic Guided Vehicle) ที่โดยรวมเรียกว่า หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และหุ่นยนต์บริการ ที่แบ่งออกหลายประเภท เช่น หุ่นยนต์เคลื่อนที่ ที่ใช้ในการขนส่งพัสดุในสำนักงาน เสิร์ฟอาหาร ขนส่ง ขนสินค้าระหว่างอาคาร ทำความสะอาดบ้าน โดยจุดเด่นของการใช้หุ่นยนต์ อยู่ที่ความคล่องตัวในการใช้งาน สามารถปรับแต่งให้ทำงานได้หลากหลาย และเมื่อรวมเข้ากับการทำงานของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ยิ่งทำให้หุ่นยนต์พัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และทำให้อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ก้าวขึ้นมาเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาหุ่นยนต์มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเทคโนโลยีระบบ IoT นี้ ได้เข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมมากมาย เช่น อุตสาหกรรมการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) หรือ แม้กระทั่งเรื่องใกล้ตัวมาก เช่น ความสะดวกสบายในที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการเปิด/ปิดเครื่องปรับอากาศ แสงสว่างในบ้าน เป็นต้น เมื่อมีความต้องการใช้งานเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะพัฒนาฟังก์ชันการทำงานเพื่อให้ใช้งานได้ก่อน ส่วนเรื่องความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งานและเรื่องอื่น ๆ เช่น ความสอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเป็นที่ยอมรับในตลาดสากลนั้น ยังต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรค่อนข้างมาก เพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานดังกล่าว รวมทั้งยังขาดที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำ หากผู้ประกอบการมีความประสงค์ที่จะเข้ารับการทดสอบและรับรองทางด้านความมั่นคง ความปลอดภัยในการใช้งานและข้อมูล ต้องส่งไปทดสอบและขอการรับรองจากต่างประเทศ เพื่อให้ได้รายงานผลการทดสอบและใบรับรองผลิตภัณฑ์ ที่สามารถใช้เป็นหลักฐานในการขออนุญาตส่งออกไปยังต่างประเทศ      ดังนั้นการที่จะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของไทยสามารถออกสู่ตลาดในภูมิภาคนี้ และการนำเข้าสินค้าผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการและผลิตภัณฑ์ IoT จากต่างประเทศเข้ามาใช้งานในประเทศ ให้มีความมั่นคงปลอดภัยและสอดคล้องกับกฎระเบียบต่าง ๆ ของประเทศไทยและในระดับสากลนั้น จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่เป็นกลาง ทำหน้าที่เป็นกลไกในการส่งเสริม พัฒนา ให้คำปรึกษาตลอดจนทดสอบคุณภาพมาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน  ด้าน ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย สวทช. กล่าวว่า โครงการนี้มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการเพื่อยกระดับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการ และผลิตภัณฑ์ IoT สู่อาเซียน เริ่มตั้งแต่การให้บริการพัฒนานวัตกรรม ที่มุ่งเน้นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเข้มข้น การให้คำปรึกษาทั้งทางด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจ การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ห้องปฏิบัติการเพื่อสร้างต้นแบบ โรงประลอง สนามพัฒนาทักษะการนำเสนอ และจัดหาที่ปรึกษาด้านคุณภาพมาตรฐานให้เพียงพอต่อความต้องการ ตลอดจนการทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์บริการ และ ผลิตภัณฑ์ IoT ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากลแบบครบวงจรให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ////////////////////////
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ลุยสวน “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
  “มะพร้าวน้ำหอมพันธุ์ก้นจีบ” คือสินค้า GI ของจังหวัดราชบุรี ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติหอมหวานเป็นอัตลักษณ์ และเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาเกษตรกรยังประสบปัญหาเรื่องการจำหน่ายผลผลิต เนื่องด้วยเน้นผลิตแบบผลสด จึงต้องเผชิญกับภาวะสินค้าล้นตลาดและมะพร้าวตกเกรดจากปัญหารอยช้ำระหว่างเก็บเกี่ยวและขนส่ง ทำให้ต้องขายในราคาต่ำกว่าทุนแก่โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป หรือต้องทิ้งจำนวนมาก กลายเป็นปัญหาขยะจากการผลิต (Food loss) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับสถาบันอาหาร และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จัดทำโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจาก “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ภายใต้การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติคัดเลือกจังหวัดราชบุรีให้เป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องการขับเคลื่อน และกำหนดให้มะพร้าวน้ำหอมเป็นหนึ่งใน “สินค้าเกษตรเป้าหมาย”   [caption id="attachment_41416" align="aligncenter" width="650"] ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร (IFBT) ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยุวเรศ มลิลา ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร (IFBT) ไบโอเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า มะพร้าวน้ำหอมของจังหวัดราชบุรี เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูงมาก แต่ยังมีปัญหาเรื่องของสินค้าล้นตลาดที่มักเกิดในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมที่มีผลผลิตจำนวนมาก รวมถึงผลมะพร้าวจำนวนมากที่ถูกคัดทิ้งเนื่องจากมีตำหนิเกินมาตรฐาน อีกทั้งในกระบวนการแปรรูปยังมีเศษเนื้อมะพร้าวและของเสียที่เหลือทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โครงการฯ จึงมีเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี รวมถึงเทคโนโลยีการยืดอายุน้ำมะพร้าวน้ำหอม เพื่อถ่ายทอดให้แก่ชุมชน   [caption id="attachment_41418" align="aligncenter" width="650"] มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี[/caption]     “เราทำงานบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนในพื้นที่ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญของแต่ละหน่วยงานเข้ามาส่งเสริมเกษตรกรให้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่มะพร้าวน้ำหอมได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำบนฐานของการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ปัจจุบันมีการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน้ำหอมหลายรูปแบบที่พร้อมถ่ายทอดให้แก่ชุมชน เช่น  ผลิตภัณฑ์น้ำส้มสายชูหมักจากมะพร้าวน้ำหอมไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีการหมักแบบขั้นตอนเดียว ต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง COCOBIOTIC ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโพรไบโอติกพร้อมดื่ม ที่มีสี กลิ่นหอม รสชาติ และความซ่า คล้ายชาหมักคอมบุชา อุดมไปด้วยกลุ่มจุลินทรีย์โพรไบโอติก ช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหาร ผลิตภัณฑ์มะพร้าวหมักเลียนแบบโยเกิร์ตและโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ที่มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีชีวิต จัดเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกกลุ่ม Plant-based     “นอกจากอาหารยังมีผลิตภัณฑ์ผงน้ำมะพร้าวเร่งการเจริญเติบโตของพืช ใช้กระตุ้นการสร้างสารสำคัญของพืชสมุนไพร เช่น บัวบก ในระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวมทั้งใช้กระตุ้นการงอกและการเจริญของเมล็ดพันธุ์ เช่น กะเพรา ผักกวางตุ้ง ผักชี สำหรับในส่วนของเทคโนโลยีการยืดอายุน้ำมะพร้าวน้ำหอม ทางสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการแปรรูปอาหารออกแบบกระบวนการยืดอายุด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่ กระบวนการแช่เยือกแข็ง กระบวนการสเตอริไลซ์ และกระบวนการ High-Pressure Processing (HPP) ทำให้สามารถเก็บรักษาน้ำมะพร้าวได้นานขึ้น 30 วัน ถึง 1 ปี (ขึ้นกับกระบวนการที่ใช้) โดยที่ผู้บริโภคยังยอมรับกลิ่นรสที่เป็นอัตลักษณ์ของมะพร้าวน้ำหอมราชบุรี”     ด้าน นิตยา พิระภัทรุ่งสุริยา ที่ปรึกษาสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหารมีบทบาทหน้าที่ขับเคลื่อนพัฒนาให้ผู้ประกอบการแข่งขันในตลาดโลก และพร้อมเข้ามาเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติ โดยหลังจากลงพื้นที่ร่วมกับทุกหน่วยงาน ได้นำข้อมูลมาออกแบบกระบวนการทำงานและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปและมูลค่าสูง โดยเน้นใช้ประโยชน์จากมะพร้าวในทุกส่วน รวมทั้งยังจัดทำหลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ชุมชนในพื้นที่ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เจลลีมะพร้าวผสมบุกคาราจีแนน น้ำมะพร้าวผสมน้ำสับปะรด ไอศกรีมมะพร้าวที่ใช้น้ำและเนื้อมะพร้าว “นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาต่อยอดสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการ เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน Aromatic Farm โดยนำเศษเนื้อมะพร้าวอ่อน ซึ่งเดิมจะนำไปใช้ทำอาหารเป็ดมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ฟิลลิงเนื้อมะพร้าว สำหรับใช้เป็นองค์ประกอบกับอาหารอื่น ๆ เช่น ไส้ขนมปัง วัตถุดิบแต่งหน้าเค้ก ผลิตภัณฑ์ทาหน้าขนมคล้ายแยม ส่วนน้ำมะพร้าวก็นำมาพัฒนาเป็นเครื่องดื่มฟังก์ชันมูลค่าสูง เช่น เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวกลิ่นเทอร์พีน นำสารสกัดกลิ่นเทอร์พีนซึ่งพบได้ในพืชตระกูลแคนนาบิส (Cannabis) หรือในกลุ่มกัญชาและกัญชงมาเป็นส่วนผสม มีประโยชน์ช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่น รวมทั้งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เครื่องดื่มน้ำมะพร้าวผสมอินูลิน มีคุณสมบัติเป็นใยอาหารและพรีไบโอติก (Prebiotics) ช่วยให้ลำไส้ย่อยและดูดซึมอาหารช้าลง มีส่วนช่วยให้อิ่มท้อง มีประโยชน์ต่อผู้ที่ควบคุมน้ำหนักหรือจำกัดพลังงาน”     ส่วน นวลลออ เทิดเกียรติกุล Founder & CEO วิสาหกิจชุมชน Aromatic Farm กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการบอกได้เลยว่า มะพร้าวน้ำหอมถือเป็นผลิตภัณฑ์สุขสบายขายดีมากของจังหวัดราชบุรี แต่จะดียิ่งกว่าหากเติมนวัตกรรมเข้าไป เพราะจะกลายเป็นความยั่งยืน การขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอมราชบุรีเข้ามาตอบโจทย์ และเติมเต็มให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างมาก เพราะจากที่เรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นในการแปรรูปพัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เมื่อมีนวัตกรรมมาช่วยก็ทำให้เกิดรายได้เพิ่มและสร้างมั่นคงแก่สินค้าชุมชน     ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร มีเป้าหมายปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทยสู่ 3 สูง คือ ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานบูรณาการระหว่างเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เพื่อร่วมกันพัฒนาทุนมนุษย์ในทุกมิติ นำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้าไปช่วยส่งเสริมในพื้นที่อย่างเหมาะสม และสร้างความเข้มแข็งในด้านการพัฒนาปัจจัยการผลิตด้วยตนเองซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน “จังหวัดราชบุรีเป็นตัวอย่างของจังหวัดนำร่องการขับเคลื่อน BCG และมีสินค้าเกษตรเป้าหมายหลากหลาย ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม กุ้งก้ามกราม โคนม อ้อย สุกร เกษตรอินทรีย์ ซึ่งโครงการจะสำเร็จได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานภาครัฐ แต่อยู่ที่ความเข้มแข็งของเกษตรกรและการสนับสนุนของภาคเอกชนในพื้นที่ด้วย อย่างไรก็ดีการดำเนินการผลักดันขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่จะต้องให้ความสำคัญในทุกมิติ ทั้งในด้านการเกษตร การแปรรูป พลังงานทางเลือก และการท่องเที่ยว จึงจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับรายได้ให้เกษตรกรและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่ง สวทช. จะพยายามใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ขับเคลื่อนการทำงานให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด” สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากมะพร้าวน้ำหอม สามารถชมผลงานวิจัยและตัวอย่างผลิตภัณฑ์ได้ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยติดตามรายละเอียดและลงทะเบียน (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ได้ที่ www.nstda.or.th/nac หรือโทรศัพท์ 0 2564 8000 ทั้งนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานที่สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้ที่ www.bcg.in.th     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
MycoSMART ชุดตรวจสารพิษจากรา ตัวช่วยคัดกรองผลผลิตทางการเกษตร
MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบด้วยเทคนิค Microarray สำหรับตรวจหาสารพิษจากราในอาหารหรือผลผลิตทางการเกษตร ร่วมวิจัยและพัฒนาโดยนักวิจัยจาก BIOTEC, NECTEC, MTEC, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ School of Biological Sciences, Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร โดยมีจุดเด่นสามารถตรวจหาสารพิษในกลุ่มไมโครทอกซินได้หลายชนิดพร้อมกัน อีกทั้งใช้งานง่าย ให้ผลที่รวดเร็ว และมีขนาดที่พกพาไปใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตร ปศุสัตว์ และการแปรรูปอาหาร โดยเฉพาะอาหารสัตว์ สามารถนำไปใช้ตรวจคัดกรองผลผลิตทางการเกษตร ก่อนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการบริโภคสารพิษจากราได้   พบกับทีมนักวิจัยผู้พัฒนา MycoSMART ได้ในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เยาวชนไทยคว้ารางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award แข่งขันนำเสนอผลการทดลองบนอวกาศ
  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนเยาวชนไทยร่วมแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติ ภายใต้โครงการ Asian Try Zero-G 2022 ร่วมกับเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ผ่านระบบออนไลน์ ผลปรากฏว่านางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ คว้ารางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award ได้รับโล่และเกียรติบัตรจากนักบินอวกาศขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA)   [caption id="attachment_41401" align="aligncenter" width="650"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]   ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ตามที่ สวทช. ร่วมกับแจ็กซาดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2022 เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเข้าร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งแจ็กซาได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 5 ประเทศ จำนวน 6 เรื่อง ขึ้นไปทดลองจริงในห้องทดลองคิโบะ โมดูล (Kibo Module) บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดย นายโคอิจิ วะกาตะ นักบินอวกาศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ล่าสุดวันที่ 17 มีนาคม 2566 แจ็กซาได้จัดเวทีแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติในรูปแบบออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนได้ฝึกรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และสรุปผล โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม “ในจำนวนข้อเสนอการทดลองที่ได้รับคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติและร่วมแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทั้งหมด 6 เรื่องนั้น มีผลงานของเยาวชนไทยจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการทดลองเรื่อง การศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในการแข่งขันนำเสนอผลการทดลอง เยาวชนไทยทั้ง 2 คน ได้ค้นคว้าหาข้อมูลถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนสมมติฐานและผลการทดลองที่ได้เห็นจากการรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองจากสถานีอวกาศนานาชาติแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ภายหลังเยาวชนทั้ง 5 ประเทศนำเสนอผลการทดลองผ่านระบบออนไลน์เสร็จสิ้น น่ายินดีว่า คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศต่าง ๆ ได้คัดเลือกให้ นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และทีมเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ได้รับรางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ Crew Award คือ Mr. Jr-Chiun Tsai เยาวชนจากสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)”   [caption id="attachment_41402" align="aligncenter" width="450"] นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม)[/caption]   นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) เล่าความรู้สึกว่า หลังจากข้อเสนอที่ได้รับคัดเลือกถูกทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ต้องจัดทำข้อมูลสรุปผลและเตรียมสไลด์เพื่อนำเสนอกับทางแจ็กซา ซึ่งมีการศึกษาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างมาก เนื่องจากผลการทดลองที่ได้มีทั้งที่เป็นไปตามสมมติฐานและแตกต่างออกไป รวมถึงในบางประเด็นก็ต้องใช้ความรู้เชิงลึกด้านวัสดุศาสตร์และของไหลมากขึ้น ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกสืบค้นงานวิจัยหรือหาหนังสือฟิสิกส์มาอ่านจนเจอหลักการที่ใช่สำหรับอธิบายการทดลองของเรา นอกจากนี้ยังได้ส่งอีเมลไปปรึกษาอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่โรงเรียนด้วย ซึ่งอาจารย์ได้ให้คำแนะนำว่าควรสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไร   [caption id="attachment_41403" align="aligncenter" width="650"] ภาพบรรยากาศการนำเสนอออนไลน์[/caption]   [caption id="attachment_41400" align="aligncenter" width="650"] ภาพการทดลองเรื่องการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ[/caption]   “ในช่วงการนำเสนอจริงตื่นเต้นมาก พอนำเสนอเสร็จกรรมการมีคำแนะนำ และมีคำถามเรื่องการนำผลการทดลองไปประยุกต์ใช้ ซึ่งรู้สึกดีใจที่กรรมการให้ความสนใจ แต่ตอนตอบคำถามก็เหงื่อตกเหมือนกัน พอทางแจ็กซาประกาศผลว่าได้รางวัล Kibo-ABC Award ก็รู้สึกทึ่งมากที่คณะกรรมการประเมินว่างานของเราน่าสนใจ ต้องขอบคุณทั้ง สวทช. และแจ็กซา ที่สนับสนุนให้พวกเรามีโอกาสมาร่วมกิจกรรม Asian Try Zero-G โครงการดี ๆ ที่ช่วยเปิดประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศซึ่งไกลตัวมาก อีกทั้งยังได้พบองค์ความรู้ใหม่ ๆ ได้เรียนรู้เทคนิคการนำเสนอผลงานของเพื่อน ๆ กลุ่มอื่น ที่สำคัญคือเพื่อนจากประเทศต่าง ๆ มีความสนใจและกระตือรือร้นต่อเรื่องอวกาศมาก เป็นแรงบันดาลใจและผลักดันให้เราได้พัฒนาตัวเองและเรียนรู้เพื่อตอบข้อสงสัยต่อไปในอนาคต” ติดตามโครงการ Asian Try Zero-G ได้ที่เฟซบุ๊ก NSTDA Space Education   เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
Rachel เทคโนโลยีชุดเสริมแรงช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พัฒนาชุดช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ เรียกว่า "Rachel" (เรเชล) Motion-Assist Bodysuit เป็นชุดที่มีวัสดุเสริมแรงพยุงร่างกายคล้ายเป็นกล้ามเนื้อจำลอง ตั้งแต่บริเวณสะบัก หลัง สะโพก และต้นขา ช่วยในการเคลื่อนไหวและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บจากการหกล้ม เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่เริ่มมีภาวะมวลกล้ามเนื้อลดลง สามารถสวมใส่ทำกิจวัตรปกติได้ตลอดวัน เนื่องจากชุดถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบา สวมใส่ง่าย ระบายอากาศได้ดี และกระชับร่างกายสามารถสวมใส่เสื้อผ้าทับได้   พบกับชุด Rachel และทีมนักวิจัยผู้พัฒนาได้ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“ลิกนิน” ชีวมวลจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สู่การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. โชว์ตัวอย่างผลงานการนำ "ลิกนิน" องค์ประกอบหลักของชีวมวลจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร มาประยุกต์ใช้กับวัสดุต่าง ๆ สามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการนำลิกนินไปผลิตเป็นเม็ดสีในอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งลิกนินมีโทนสีน้ำตาล มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและป้องกันรังสียูวี ทำให้นอกจากจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับผลิตภัณฑ์แล้ว ยังเป็นการใช้เม็ดสีที่ผลิตจากชีวมวลธรรมชาติ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   พบกับตัวอย่างผลิตภัณฑ์จาก "ลิกนิน" และทีมนักวิจัยผู้พัฒนาได้ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งสารสกัด CBD ด้วยเทคโนโลยีการสังเคราะห์อนุภาคนาโน
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนากระบวนการสังเคราะห์อนุภาคนาโน เพื่อนำส่งสารสกัด CBD จากพืชตระกูล กัญชง-กัญชา เพิ่มประสิทธิภาพทางเภสัชวิทยา และลดข้อจำกัดในการทำละลายหรือการดูดซึมของสาร CBD สามารถนำไปประยุกต์เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเวชสำอาง , สปา , เวลเนส หรือแพทย์ทางเลือก   พบกับผลงานการสังเคราะห์อนุภาคนาโน และพบนักวิจัยผู้พัฒนาได้ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับศิษย์เก่าดีเด่นบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ประจําปี 2565
(18 มีนาคม 2566) ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ สะพานกรุงธน : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)และกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิก พญ.โฉมศรี โฆษิตชัยวัฒน์ อธิการบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และกรรมการบริหารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ภายในพิธีมอบโล่และคำประกาศเกียรติคุณ ศิษย์เก่าดีเด่นบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปี 2565
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เทคโนโลยี SynBio ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิต-เพิ่มมูลค่าทรัพยากรชีวภาพ
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. โชว์ตัวอย่างผลงานจากความเชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ หรือ SynBio (Synthetic Biology Technology) ในการออกแบบและปรับแต่งพันธุกรรมในระดับเซลล์ให้ผลิตสารชีวโมเลกุล (Bio-based product) ชนิดต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งในปัจจุบัน SynBio เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโลกอุตสาหกรรมที่ต่างต้องการนำทรัพยากรชีวภาพไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร , เคมีพลังงาน , ยาและการแพทย์ เป็นต้น   พบกับผลงานเทคโนโลยี SynBio จากฝีมือทีมนักวิจัยไบโอเทค ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สมัครเข้าร่วม “โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter)” ประจำปี 2566
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ขอเชิญนักวิจัย/ผู้ประกอบการใหม่ ที่สนใจจะสร้างธุรกิจหรือขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนผู้สนใจที่มีผลิตภัณฑ์ต้นแบบและต้องการจัดตั้งธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม สมัครเข้าร่วม “โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม "(TechBiz Starter)" ประจำปี 2566 เพื่อเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะที่สำคัญของการเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วยแนวคิดนวัตกรรมให้ประสบความสำเร็จ วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจทั้งด้านการตลาด การเงิน วางแผนธุรกิจ การบริหารจัดการ และเพิ่มความเข้มแข็งแก่วิสาหกิจเริ่มต้นในช่วงก่อตั้งกิจการ (3 ปีแรก) ให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทางและสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ­• สมัครเข้าร่วมโครงการ TechBiz Starter คลิกที่นี่ ดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม • ข้อมูลโครงการ TechBiz Starter คลิกที่นี่ หมายเหตุ: เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2566 (ด่วน! รับจำนวนจำกัด) ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) โทร : 081 122 2428 (คุณพลอย) E-mail : techbiz.starter@nstda.or.th  
ปฏิทินกิจกรรม
 
ยกระดับชุมชนด้วย Smart Micro Grid & ETP ต้นแบบโครงข่ายพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ
นักวิจัย สวทช. ร่วมกับหลายหน่วยงานจากภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนา ต้นแบบโครงข่ายพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะขนาดเล็ก และพัฒนา แพลตฟอร์มตลาดกลางซื้อขายพลังงานไฟฟ้า เรียกว่า Smart Micro Grid and ETP เป็นความร่วมมือในการสร้างโครงข่ายการบริหารจัดการไฟฟ้า นำร่องในพื้นที่ระดับชุมชน เริ่มตั้งแต่การสนับสนุนให้ชุมชนผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ และใช้ร่วมกับพื้นที่ทางการเกษตรด้วยการปลูกพืชมูลค่าสูงใต้แผงโซลาร์ อีกทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าของชุมชนผ่านแพลตฟอร์ม ETP เป็นการยกระดับชุมชน เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมกับสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอย่างยั่งยืน   พบกับทีมนักวิจัยและผู้พัฒนา Smart Micro Grid and ETP ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์