หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
‘WATER FiT’ simple กล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก ตอบโจทย์ ‘เกษตรแบบ Unplug’
For English-version news, please visit : WATER FiT Simple: A battery-powered, Bluetooth-enabled irrigation controller   ‘น้ำ’ ถือเป็นปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตรที่มีความสำคัญมาก ซึ่งการให้น้ำอย่างเหมาะสมไม่เพียงทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ยังส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีอีกด้วย ทั้งยังช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตจากการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ผู้ให้บริการระบบงานเกษตรอัจฉริยะ (Agriculture System Integrator: ASI) เพื่อทำหน้าที่ส่งต่อเทคโนโลยีให้เกษตรกรใช้บริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตของตนเองได้ไม่เว้นแม้บนดอยสูง คุณนที มูลแก้ว เจ้าของ แอดสะเมิง ออร์แกนิกฟาร์ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า กลุ่มสะเมิงออร์แกนิก เป็นกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ดอยสูง จุดมุ่งหมายแรกคือสร้างงานให้คนพื้นถิ่น มีอาชีพดูแลตัวเองได้ ไม่ทิ้งถิ่นฐาน และมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการผลิตพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ที่มีคุณภาพสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนในชุมชน สู่เป้าหมายการสร้างอาหารปลอดภัยกระจายให้ผู้คนในพื้นที่อื่นๆ กลุ่มฯ จึงพยายามขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่อำเภอสะเมิงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบข้อจำกัดมากมาย เช่น การบริหารทรัพยากรน้ำที่มีอย่างจำกัด การเดินทางเข้าไปบริหารจัดการในพื้นที่แปลงปลูก การขนส่งผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่บนดอยสูงมีสภาพเป็นพื้นที่ในหุบเขาหรือพื้นที่ตามเชิงเขาที่มีความลาดชัน อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลจากชุมชน รวมถึงกระแสไฟฟ้า/สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เข้าไม่ถึงพื้นที่แปลงปลูก คุณนที เล่าอีกว่า “เราได้เข้าไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ สวทช.ภาคเหนือ ด้วยโจทย์ที่ต้องการบริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก แต่มีข้อจำกัดสำคัญพื้นที่ห่างไกลชุมชน ไม่มีกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าหน้าที่ สวทช. ภาคเหนือ ริเริ่มจัดฝึกอบรมและให้คำแนะนำการใช้เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน และส่งผู้เชี่ยวชาญอิสระมาช่วยประเมินพื้นที่แปลงปลูกพบว่ามีความเหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยี WATER FiT จึงตัดสินใจนำร่องติดตั้งใช้งาน WATER FiT ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์” ด้าน คุณกิตติศักดิ์ นามบุญ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น กล่าวว่า ตอนนี้เราได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากผลงานวิจัย WATER FiT เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กล่องควบคุมการให้น้ำรุ่นพื้นฐาน (WATER FiT Simple) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระให้ฝ่าย สวทช. ภาคเหนือ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (EST) หน่วยวิจัยระบบอัตโนมัติและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) จากการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ สวทช. มากว่า 2 ปี พบว่าเทคโนโลยีนี้ มีคุณสมบัติและจุดเด่นมากมาย เหมาะกับเกษตรกรยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นดอยสูงหรือพื้นที่เกษตรที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลชุมชน ไม่มีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ติดตั้งและใช้งานง่าย ผมจึงอยากจะผลิตและส่งต่องานวิจัยนี้ให้เกษตรกรที่อยากจะเริ่มต้นปรับตัว เข้ากับยุคเกษตร 4.0 ได้ใช้ประโยชน์เพื่อบริหารจัดการน้ำในการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางเข้าไปดูแลให้น้ำพื้นที่ปลูกอีกด้วย”       เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple มีระบบใช้ควบคุมการให้น้ำแปลงปลูกแบบอัตโนมัติ ตั้งค่าเปิดปิดวาล์วน้ำหรือปั๊มน้ำตามเวลา โดยผู้ใช้งานตั้งค่าผ่านโทรศัพท์สมาร์ตโฟน คุณสมบัติและจุดเด่นของเทคโนโลยี ไม่ใช้ไฟฟ้า ใช้เพียงถ่าน 9 โวลต์ 1 ก้อน เป็นแหล่งพลังงาน (โดยถ่านสามารถใช้งานได้สูงสุด 1 ปี) ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต กำหนดและปรับตั้งค่าได้ง่ายบนแอพพลิเคชันของโทรศัพท์สมาร์ตโฟน (ระบบแอนดรอยด์) ผ่านสัญญาณบลูทูท ต่อควบคุมวาล์วน้ำได้สูงสุด 4 ตัว หรือควบคุมปั๊มน้ำ 1 เครื่องร่วมกับวาล์วน้ำได้สูงสุด 3 ตัว ทำงานอิสระจากกัน กำหนดรูปแบบการให้น้ำได้ทั้งแบบให้น้ำทุกวัน วันเว้นวัน หรือบางวัน กำหนดจำนวนครั้งและระยะเวลาให้น้ำได้หลายช่วงในแต่ละวัน เช่น ให้น้ำ 3 ครั้ง เวลา 8.00 น. ให้น้ำ 10 นาที เวลา 13.00 น. ให้น้ำ 8 นาที และเวลา 15.30 น. ให้น้ำ 5 นาที รองรับเซนเซอร์วัดความชื้นดิน เซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน เซนเซอร์วัดอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์   คุณกิตติศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “สำหรับในส่วนของการติดตั้งยังทำได้ง่าย เพียงนำกล่อง WATER FiT Simple ไป ติดตั้งที่หน้าแปลงปลูกและเดินสายจากโซลินอยด์วาล์วไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดอุปกรณ์ จากนั้นทำการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน “Irrigation Valve” ด้วยบลูธูท เพียงเท่านี้ผู้ใช้ก็สามารถบริหารจัดการการให้น้ำและแปลงปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสั่งการบนแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนได้ทันที” สำหรับประสิทธิภาพการใช้งาน คุณนที เล่าว่า หลังจากนำเทคโนโลยี WATER FiT Simple มาใช้ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ พบว่าพืชเจริญเติบโตไดี เก็บเกี่ยวผลลผลิตได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น คุณภาพดีขึ้นทั้งในเรื่องของกลิ่นสมุนไพรและการแตกใบสวยงาม ต่างจากเดิมที่แม้จะขับรถเข้าดูแลให้น้ำแปลงปลูกทุกวัน ก็ยังพบความเสียหาย ทั้งพืชตาย เหี่ยวเฉา ใบเหลือง ฯลฯ ทั้งนี้อาจจะเกิดช่วงเวลาการให้น้ำไม่เป็นเวลาหรือไม่สม่ำเสมอ บางทีติดธุระเข้าสวนไม่เป็นเวลาบ้าง รวมถึงให้น้ำในปริมาณที่ไม่เหมาะสมบางครั้งเผลอให้น้ำน้อยไปบ้างหรือมากเกินไปบ้าง ซึ่งผมดูแลสวนคนเดียวอาจะมีความผิดพลาดที่เกิดจาก Human Error ได้ นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมบริหารจัดการการให้น้ำอย่างเหมาะสม ยังช่วยผมประหยัดเงินค่าน้ำมันในการเดินทางเข้าสวน มีเวลาเหลือไปหาตลาดเพื่อจัดจำหน่ายผลผลิตของกลุ่มฯ ได้เพิ่มอีกด้วย”     ปีที่ผ่านมา ทีม สวทช. ภาคเหนือ และผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลในเรื่องของต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบก่อนและหลังใช้เทคโนโลยี พบว่าเดิมเกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันในการขับรถเดินทางขึ้นไปรดน้ำแปลงพืชผักสมุนไพรทุกวันสูงถึง 12,960 บาท/ปี แต่หลังจากติดตั้ง WATER FiT Simple ก็เดินทางขึ้นไปดูแปลงเฉลี่ยอาทิตย์ละครั้ง คิดเป็นค่าน้ำมัน 1,728 บาท/ปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางถึง 11,232 บาท/ปี นอกจากนี้ยังมีเวลาเหลือ ทำให้สามารถไปหาลูกค้าและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 5,000 บาท/เดือน หรือ 60,000 บาท/ปี นับเป็นเทคโนโลยีดีๆ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ในพื้นที่ห่างไกลและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง แต่ยังช่วยให้เกษตรกรใช้ทรัพยากรคุ้มค่า เพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี” สำหรับผู้สนใจเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก WATER FiT Simple สามารถขอรับคำปรึกษาและติดต่อสอบถามได้ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ซึ่งได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากในผลงานวิจัยอย่างเป็นทางการ โทรศัพท์ 08 8252 6799 อีเมล KSmartLife2022@gmail.com  
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ศ. ดร.ชูกิจ เปิดวิสัยทัศน์ นโยบายการบริหาร สวทช. ครั้งแรกกับบุคลากร สวทช. ในเวทีกิจกรรม NSTDA DAY
  กิจกรรม NSTDA DAY ตอน “The New Journey Begins” จัดขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม 2565 ในครั้งนี้ ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ท่านที่ 6 ได้มาเปิดวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย พร้อมแนะนำทีมผู้บริหารชุด NSTDA 6.0 กำลังสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการทำงาน และขับเคลื่อน สวทช. ให้เป็นขุมพลังหลักของประเทศ โดยกิจกรรมครั้งนี้ มียอดผู้เข้าร่วมกิจกรรมและรับชมกิจกรรมรวม 2,918 คน/views         ศ. ดร.ชูกิจ กล่าวทิ้งท้ายว่า “จะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการก้าวข้ามอุปสรรค และขับเคลื่อนให้ สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จาก วทน. เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด” พร้อมกันนี้ เน้นย้ำถึง NSTDA Core Values “Nation First” ทีมบริหาร NSTDA 6.0 พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ที่มีประสบการณ์ และจะมุ่งมั่นปฏิบัติงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เริ่มแล้ว! โครงการทดสอบใช้ “ไบโอดีเซล” กับรถใหม่มาตรฐาน EURO 5
เริ่มแล้ว! โครงการศึกษาการใช้น้ำมันไบโอดีเซล กับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO 5 ดำเนินการโดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน   โครงการศึกษาดังกล่าวจะเป็นการนำรถยนต์กระบะรุ่นใหม่มาตรฐานไอเสีย EURO 5 ไปทดสอบการใช้งานบนท้องถนนจริงด้วยการใช้น้ำมันไบโอดีเซล เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบด้านต่างๆ ทั้งในส่วนของเครื่องยนต์ และการปล่อยมลพิษ หรือฝุ่น PM 2.5 ก่อนสรุปเป็นข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในวงกว้างต่อไป โดยเฉพาะจะเป็นประโยชน์กับผู้ใช้รถ และผู้ประกอบการยานยนต์ ที่ยังมีความกังวลในการใช้น้ำมันไบโอดีเซลกับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO 5   ทั้งนี้ในปี พ.ศ.2567 จะเริ่มมีการบังคับใช้มาตรฐานการระบายมลพิษจากรถยนต์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน EURO 5 ควบคู่ไปกับน้ำมันดีเซลมาตรฐาน EURO 5 ที่มีปริมาณกำมะถันต่ำ.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ พร้อมทูตญี่ปุ่น นำทัพเอกชนรายใหญ่กว่า 60 ราย เยี่ยมชมเมืองนวัตกรรม EECi จ.ระยอง
วันที่ 30 สิงหาคม 2565 ณ สำนักงานใหญ่ EECi อ.วังจันทร์ จ.ระยอง :  ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ Mr. Nashida Kazuya (นายนะชิดะ คะสุยะ) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย  Mr. Takeo Kato (นายทาเคโอะ คะโต้) )ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce Bangkok) และ Mr.Shoichi Ogiwara(นายโชอิจิ โอกิวาร่า) Vice President and Chairman of BCG Business Committee, JCC นำภาคเอกชนญี่ปุ่นรายใหญ่กว่า 60 ราย ลงพื้นที่เยี่ยมชมสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง เพื่อดูความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมและแสวงหาความร่วมมือวิจัยและพัฒนาในอนาคต อาทิ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center (SMC) – โครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ (Automation, Robotics and Intelligent Electronics Platform) มีบทบาทเป็นศูนย์กลางการยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 เพื่อตอบสนองการปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ โรงงานแบตเตอรี่ทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูง (Alternative Battery Pilot Plant) – พัฒนาแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่มีความปลอดภัย มีต้นทุนต่ำ ทั้งยังมีบริการเพื่อสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนา อาทิ บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีใหม่และวัสดุขั้นสูง การวิเคราะห์ประสิทธิภาพและคุณสมบัติแบตเตอรี่เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และ Energy Storage System โรงเรือนฟีโนมิกส์ (Phenomics Facility) และโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) - มีเป้าหมายเพื่อเป็น Solution Center ด้าน Plant Phenomics ครบวงจร มีบริการครอบคลุมที่หลากหลาย ตั้งแต่บริการศึกษาสรีรวิทยาของพืชต่อสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อการผลิตสารสำคัญสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปจนถึงการทดลองเพื่อให้ได้ข้อมูลผลผลิต และวิธีการผลิตที่เหมาะสมในเชิงพาณิชย์ รวมถึงสนับสนุนการสร้างบุคลากรด้านเกษตรสมัยใหม่ทั้งการให้คำปรึกษา และเป็นแหล่งฝึกอบรมทางเทคนิคอย่างครบวงจร โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery Pilot Plant) – มีเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรจากการทำเกษตรสมัยใหม่ รวมถึงของเหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น ชานอ้อย กากมันสำปะหลัง ทะลายปาล์ม แกลบ โดยสามารถนำไปผ่านกระบวนการทางชีวเคมีด้วยโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่ เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ  สวทช. ได้นำคณะฯ เยี่ยมชมกลุ่มสำนักงานใหญ่ EECi พร้อมกับกล่าวต้อนรับว่า “สวทช. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมในการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม เข้าร่วมเป็นพันธมิตรใน EECi และร่วมสร้างผลงานวิจัยออกสู่ตลาดร่วมกัน สวทช. ยินดีและภูมิใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยได้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมอย่าง EECi ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เป็นสะพานเชื่อม เพื่อต่อยอดงานวิจัยไปสู่การใช้งานประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้ โดยสามารถขับเคลื่อนให้ภาคอุตสาหกรรมเกิดการพัฒนากระบวนการผลิตที่สร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้เพิ่มขึ้น ภาคเกษตรสามารถทำการเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตรให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสร้างความเข้มแข็งเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สวทช. ในฐานะผู้กำกับดูแล EECi ซึ่งร่วมกับพันธมิตรสำคัญอย่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) วังจันทร์วัลเลย์ จะผนึกกำลังให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้อย่างแท้จริง สวทช. พร้อมแล้วที่จะเดินทางร่วมพันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ภาคประชาสังคม เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) เป็นเขตนวัตกรรมแห่งใหม่ชั้นนำระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ EEC: Eastern Economic Corridor หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมสำคัญและขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการขยายขนาดงานวิจัย (Translational Research) และการปรับแปลงเทคโนโลยีทันสมัยจากต่างประเทศให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย (Technology Localization) สามารถต่อยอดไปสู่การใช้งานได้อย่างแท้จริง ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบในการนำนวัตกรรมเข้าไปผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และปรับฐานอุตสาหกรรมเดิมในพื้นที่ให้เป็นอุตสาหกรรมที่มีฐานนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้น 6 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนี้ 1.เกษตรสมัยใหม่ (Modern Agriculture) 2.ไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery) 3.แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงและการขนส่งสมัยใหม่ (Battery and Modern Transports) 4.ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (Automation, Robotics and Intelligent Electronics) 5.การบิน (Aviation) 6.เครื่องมือแพทย์ (Medical Devices) ทั้งนี้ ผู้สนใจรายละเอียดสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://www.eeci.or.th/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดเต็มสิทธิประโยชน์ หนุนผู้ผ่านคัดเลือกโครงการ SUCCESS 2022
(30 สิงหาคม 2565) ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดกิจกรรม SUXCESS at first sight: Opportunities and Networking ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2565 หรือโครงการ SUCCESS ที่ให้ผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ได้มีโอกาสทำความรู้จักบริการของโครงการ และ เครือข่ายธุรกิจที่จะมาช่วยสนับสนุนและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โดยมี ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธี และแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี กล่าวว่าศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ที่เป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. สนับสนุนผู้ประกอบการที่มีบริการหรือผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยผ่านกระบวนการบ่มเพาะเเละเร่งสร้างการเติบโตโดยมีการวางแผนวินิจฉัยปัญหาทางธุรกิจตามตามศักยภาพ รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายนักลงทุนเเละพันธมิตร ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีเครือข่ายทางธุรกิจทั้งในประเทศเเละต่างประเทศที่เข้มเเข็ง ซึ่งพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยกิจกรรม SUXCESS at first sight: Opportunities and Networking ภายใต้โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2565 หรือโครงการ SUCCESS ผู้ประกอบการจะได้รู้จักบริการของโครงการ และ เครือข่ายธุรกิจที่ศูนย์ฯ ได้เตรียมการสนับสนุน เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้มากขึ้น โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปี BIC ได้สนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีให้เติบโตได้มากกว่า 800 บริษัท สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจได้มากกว่า 5,500 ล้านบาท นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า โครงการ SUCCESS ได้ดำเนินงานต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 10 มีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 43 ราย จากการคัดเลือกผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีด้านสุขภาพ ด้านท่องเที่ยว ด้านอาหาร และด้านดิจิทัล โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศแบบ BCG Model ซึ่งในปีนี้มีพันธมิตรจากภาครัฐเเละเอกชนมาร่วมนำกลไกสนับสนุนในรูปเเบบที่หลากหลาย ได้แก่ มาตรการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก SME D Bank เพื่อเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การสนับสนุนเพื่อการส่งออกเเละนำเข้า EXIM BANK และการสนับสนุนจาก Live Platform ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย องค์ความรู้เครื่องมือทางการเงิน เครือข่ายธุรกิจ พร้อมทุนในการพัฒนาองค์กร ทุนละ 50,000 บาท จำนวน 30 ทุน มูลค่ารวม 1,500,000 บาท รวมถึงการเชื่อมโยงโอกาสเข้าถึงบริการจาก สวทช. อาทิ ทุนสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์เเละมาตรฐานจาก ITAP มูลค่าทุนละ 400,000 บาท การสนับสนุนงานวิจัยที่พร้อมใช้ เเละผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางเทคนิคเเละการตลาด จาก AI4Thai มูลค่าทุนละ 35,000 บาท การสร้างต้นแบบรวดเร็วจาก TDX การประเมินมูลค่าเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงแหล่งทุนจาก TTRS การขึ้นบัญชีนวัตกรรมเพื่อเข้าถึงการจัดซื้อภาครัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ทุกบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับการประเมินมูลค่าของธุรกิจ เพื่อที่จะเตรียมร่วมทุน หรือ วางแผนกลยุทธ์บริษัทได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งมีกิจกรรมเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจกับพันธมิตรต่างประเทศที่มีความเข็มเเข็งในการส่งเสริมสตาร์ตอัป ได้แก่ จีน เกาหลี ไต้หวัน ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายตลาด เเละสร้างเครือข่ายความร่วมมือไปประเทศเหล่านี้ได้ในอนาคต ทั้งนี้ ผู้สนใจโครงการสามารถติดตามข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook page: ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. Business Innovation Center, BIC (https://www.facebook.com/NstdaBIC/) อีเมล success@nstda.or.th โทรศัพท์ 02 564 7000 ต่อ 5015 ………………………………………
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วิสัยทัศน์ NSTDA 6.0  
วิสัยทัศน์ NSTDA 6.0   “สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์สำคัญ นำสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. https://www.nstda.or.th/home/introduce/about/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดตัวทีมผู้บริหาร NSTDA 6.0
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดตัวทีมผู้บริหาร NSTDA 6.0 พร้อมนำทัพวิจัยเป็นขุมพลังหลักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมขับเคลื่อนประเทศได้อย่างยั่งยืน ทำเนียบผู้บริหาร NSTDA 6.0
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รัฐมนตรี อว. เปิดตัวผู้อำนวยการ สวทช. คนที่ 6 ปักธง นำวิทย์ฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัย สู่ ภาคอุตสาหกรรม-เกษตร-ประชาสังคม
(29 สิงหาคม 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ แต่งตั้ง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนใหม่ ตามที่กระทรวง อว. เสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ กวทช. โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 3 ปีนั้น วันนี้คณะกรรมการ กวทช. ได้มีมติเห็นชอบในเรื่องสำคัญ คือ การแต่งตั้งคณะผู้บริหาร สวทช. ชุดใหม่ ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงหลายคน และเห็นชอบกำหนดนโยบายเพื่อให้ สวทช. ดำเนินงานเป็นขุมพลังหลักของประเทศในการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ใช้ศักยภาพเสริมสร้างความเข้มแข็งภาคส่วนต่าง ๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งกระบวนการผลิต กำลังคน และการจ้างงาน ช่วยยกระดับพัฒนาเศรษฐกิจชาติให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยได้กำหนดนโยบายที่ สวทช. มุ่งขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาประเทศในภาคเศรษฐกิจและสังคมบนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในระยะแรก ปี 2565-2568 อาทิ นำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปพัฒนาประเทศและแก้ปัญหาที่สำคัญของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ส่งเสริม ผลักดัน และประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน หน่วยวิจัย และภาคประชาสังคมเพื่อร่วมกันยกระดับและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือแก้ปัญหาสาธารณะที่สำคัญ ด้วยการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม โดยในระยะแรกมุ่งเน้นภาคเอกชนที่มีความพร้อมจะพัฒนาด้วยการวิจัย และหน่วยงานในพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานคร ขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนมาใช้งานอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เครื่องมือ โครงสร้างพื้นฐาน และความเชี่ยวชาญที่ สวทช. มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ สนับสนุนและร่วมมือให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อม สามารถสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ เข้าร่วมเป็นพันธมิตรใน EECi และร่วมสร้างผลงานวิจัยออกสู่ตลาดร่วมกัน สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ BCG เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากนโยบายขับเคลื่อน BCG ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาการให้บริการธุรกิจและอุตสาหกรรมแบบครบวงจรในภาพรวมทั้ง สวทช. เพื่อตอบโจทย์ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม อย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ                 ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และคณะกรรมการ กวทช. ที่ให้ความไว้วางใจในการเข้ารับตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ “ผู้อำนวยการ สวทช.” โดยตนมีความพร้อมและมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้กำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยของ สวทช. ที่มีบุคลากรกว่า 3,000 คน โดยมากกว่า 70% เป็นนักวิจัย และเป็นนักวิจัยระดับปริญญาเอกมากกว่า 700 คน ถือว่ามากที่สุดในประเทศ อีกทั้งพร้อมผนึกกำลังความเชี่ยวชาญกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน เสมือนหนึ่งเป็นทีมประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้ตอบโจทย์ที่สำคัญ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดบนสังคมฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งต่อไป “ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีบทบาทอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจำเป็นต้องอาศัยกลไกการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภาคธุรกิจ ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตและแข่งขันได้ในระดับสากล ขณะเดียวกันชุมชนต้องสามารถเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม ก่อเกิดอาชีพ เพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนได้อย่างยั่งยืน”           ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์จากที่ตนเป็นนักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ได้มีโอกาสศึกษาและทำวิจัยทั้งสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนในต่างประเทศ และต่อมาเป็นผู้บริหารด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในองค์กรสำคัญระดับประเทศ จึงพร้อมนำความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีมารับใช้ประเทศ ทั้งรากฐานของการเป็นนักวิจัยและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยจะร่วมกับนักวิจัย สวทช. ขับเคลื่อนองค์กรอย่างเต็มกำลังความสามารถและเชื่อมโยงทุกเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศที่เข้มแข็ง สามารถตอบโจทย์ประเทศให้มากยิ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตนจะทำงานและพร้อมทุ่มเทอย่างเต็มกำลังความสามารถร่วมไปกับทีม สวทช. ......................................
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ขอเชิญเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านเกษตรกรรม และผู้ที่สนใจเข้าร่วมการเรียนรู้ในหลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) ตอน “ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) สังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านเกษตรกรรม และผู้ที่สนใจธุรกิจด้านการปลูกพืชผัก ผลไม้ สมุนไพรกัญชากัญชง ในระบบปิดแบบ Indoor Vertical Farm โดยผลผลิตในรูปแบบ Medical Grade เข้าร่วมการเรียนรู้ใน หลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) ตอน “ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) ระหว่างวันที่ 22 – 23 กันยายน 2565 (รวมระยะเวลาอบรม จำนวน 2 วัน) สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ สถานที่ศึกษาดูงาน : โรงปลูกพืชแนวตั้งของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีหัวข้อการบรรยาย และศึกษาดูงานที่น่าสนใจ ดังนี้ - ข้อมูลทั่วไปและพฤกษศาสตร์ของฟ้าทะลายโจร - การปลูกฟ้าทะลายโจรในโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) - ขั้นตอนการปลูก และเทคนิคการเพิ่มคุณภาพผลผลิตฟ้าทะลายโจร ด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) - การแปรรูปฟ้าทะลายโจรเชิงพาณิชย์ - ทิศทางการผลิตและการตลาดของฟ้าทะลายโจร - การศึกษาดูงาน การปลูกฟ้าทะลายโจรในโรงปลูกพืชแนวตั้งของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิทยากร ดร. ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ Tel. 085 211 9709 (เมธภัค) , 097 297 2563 (สุรีย์) E-mail : npd@nstda.or.th เว็บไซต์หลักสูตร www.career4future.com/vfa      
ปฏิทินกิจกรรม
 
ยินดีต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนที่ ๖
๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๕ : ยินดีต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คนที่ ๖ สู่การเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม.....The new journey begins *** ประวัติผู้อำนวยการ สวทช. คนที่ ๖ https://www.nstda.or.th/.../professor-sukit-limpijumnong/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ประกาศผลรางวัล! การประกวดคลิปวิดีโอ “BCG Happy Story : เรื่องนี้ดีต่อใจ”
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานประกาศผลรางวัลโครงการ "BCG Happy Story : เรื่องนี้ดีต่อใจ" ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีการประกวดที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความสามารถด้านการสร้างสรรค์สื่อประเภทคลิปวิดีโอสั้น โดยไม่จำกัดรูปแบบการนำเสนอ ภายใต้เนื้อหาการสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG   ในการประกวดครั้งนี้มีผลงานคลิปวิดีโอที่ได้รับรางวัลและคลิปวิดีโอที่ผ่านเข้ารอบรวม 20 ผลงาน สามารถไปติดตามรับชมทุกผลงานได้ที่เพจ Facebook : BCG in Thailand
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ประกาศผลโครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG เรื่องนี้ดีต่อใจ ผลงาน ‘สามตัวตรง’ จากทีม ‘ทุ่งสง โฮมทาวน์’ คว้ารางวัลชนะเลิศ
สวทช. ประกาศผลรางวัล โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ ภายหลังเยาวชนไทยสนใจส่งผลงานร่วมประกวดรวม 119  ทีม ผลปรากฏว่า ทีม ‘Thungsong Hometown’ จาก รร.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช คว้ารางวัลชนะเลิศจากผลงาน ‘สามตัวตรง’ นำเสนออักษร B-C-G ที่ล้อกับค่านิยมในการเสี่ยงดวงของคนไทย เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG  ด้าน สวทช. เตรียมนำผลงานเหล่าเยาวชนไทย นำไปสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ถึงประโยชน์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตต่อไป เมื่อเร็วๆ นี้  ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานพิธีประกาศผลรางวัล โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ โดยผลงานที่ชนะเลิศและรางวัลอื่นๆ คณะกรรมการจะนําไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่ต่อไป นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร จัด “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรี หรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อได้ร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้สื่อสารประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจสู่ประชาชน ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการนําโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การประกวดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากน้อง ๆ เยาวชนทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมประกวดรวมทั้งสิ้น 119 ผลงาน ซึ่งการแข่งขันรอบแรก คณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีแนวคิดและรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจจำนวน 20 ทีม เพื่อรับทุนสนับสนุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับนำไปผลิตคลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสิน พร้อมทั้งการประกาศรางวัล Popular Vote ซึ่งเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับคลิปวิดีโอที่โดนใจมากที่สุด สำหรับรางวัลชนะเลิศ ได้รับทุนการศึกษา 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ทีม ‘Thungsong Hometown’ จาก รร.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กับผลงาน ‘สามตัวตรง’ ซึ่งเป็นการนำเสนออักษร B-C-G ที่ล้อกับค่านิยมในการเสี่ยงดวงของคนไทย เปลี่ยนมาเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับทุนการศึกษา  30,000 บาท  พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ ทีม ‘ข้าวไทอีสาน’ โรงเรียนอนุกูลนารี จ.กาฬสินธุ์ กับผลงาน ข้าวไทอีสาน สู่การพัฒนาด้วย BCG รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับทุนการศึกษา  20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ทีม Foxstar โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี กับผลงาน Foxstar x BCG : ผลผลิตโต โมเดลเศรษฐกิจดี ชาวสวนก็แฮปปี้ รางวัลชมเชย จำนวน 3 ทีม ได้รับทุนการศึกษาทีมละ  10,000 บาท  พร้อมโล่รางวัล ได้แก่ 1. ทีม รันงานยันเช้า จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาราชภัฏกาญจนบุรี กับผลงาน คุณค่าของไผ่ที่ใครหลายๆ คนอาจจะมองข้ามไป 2. ทีมคิดส์คิด จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับผลงาน BCG ยกระดับชีวิต พลิกเศรษฐกิจไทย และ 3. ทีม AnAnt จากมหาวิทยาลัยศิลปากร กับผลงาน BCG ง่ายนิดเดียว และรางวัลพิเศษอีก 3 รางวัลได้รับทุนการศึกษา ทีมละ  5,000 บาท ได้แก่ 1. ทีม BJK จากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย กับผลงาน BCG มีอะไรดีบอกฉันที 2. ทีม Racha-1(ราชาวัน) จากโรงเรียนบางปะอิน "ราชานุเคราะห์ 1" กับผลงาน ฉ่อย ตอน BCG MODEL และ 3. ทีมแมรี่ซู จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  กับผลงานดูดวงประเทศไทย ทั้งนี้ สวทช. เตรียมนำผลงานเหล่าเยาวชนไทยไปสื่อสารประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ถึงประโยชน์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิตต่อไป   ///////////////////  
ข่าวประชาสัมพันธ์