ผลการค้นหา :

คณะผู้บริหาร สวทช. ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
(เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565) ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สวทช. ได้แก่ ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ร่วมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้ ณ โต๊ะด้านหน้าพระฉายาลักษณ์ฯ และลงนามถวายพระพรสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
ข่าวประชาสัมพันธ์

10 Technologies to Watch: การรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel Recycle)
ปัจจุบันเริ่มมีแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์ม และภายในปี พ.ศ. 2593 คาดว่าทั่วโลกจะมีจำนวนแผงโซลาร์เซลล์ทยอยหมดอายุเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 78 ล้านตัน เฉพาะในประเทศไทยอาจมีมากถึง 4 แสนตัน จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการจัดการแผง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เดิมเทคโนโลยีการแยกส่วนประกอบแผงโซลาร์เซลล์ (photovoltaic module) ที่มีกระจก ซิลิคอน อะลูมิเนียม พลาสติก และโลหะอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อ อาศัยการแยกเฟรมอะลูมิเนียมและกล่องสายไฟ จากนั้นจึงบดแผง แยกบางส่วนออก และฝังกลบบางส่วนวิธีการนี้มีจุดอ่อนคือ สัดส่วนวัสดุที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้มีน้อย กระจกนิรภัยที่มีน้ำหนัก 75-85 เปอร์เซ็นต์ของแผงไม่ได้นำมารีไซเคิลด้วย
แต่เทคโนโลยีใหม่นั้น เมื่อแยกเฟรมอะลูมิเนียมและกล่องสายไฟแล้ว จะแยกกระจกออกจากส่วนอื่น โดยยังคงรูปเป็นกระจกทั้งแผ่น ซึ่งขายได้มูลค่าสูง ทำให้มีสัดส่วนวัสดุที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้เรียกว่า heated blade คือใช้ใบมีดที่ร้อนจัดถึง 300 องศาเซลเซียส ตัดแยกกระจกออกจากโซลาร์เซลล์อย่างมีประสิทธิภาพ เปิดโอกาสใหม่ให้ธุรกิจ reuse/ recycle วัสดุ ทำให้เกิดการใช้วัตถุดิบรอบสอง เกิดวงจรเศรษฐกิจแบบ circular economy ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจแบบ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

กพร. จับมือ เอ็มเทค สวทช. โชว์ผลสำเร็จการต่อยอดธุรกิจ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE Design Solution in Practice) เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการไทย สร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืน
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/mtec-and-dpim-introduce-ce-design-solution-to-build-a-low-carbon-society.html
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดผลสำเร็จของการประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการออกแบบของสถานประกอบการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission หรือ Net Zero Carbon) ในงานสัมมนาหัวข้อ “ต่อยอดธุรกิจด้วยการออกแบบตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” (CE Design Solution in Practice)”
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การจัดสัมมนาในหัวข้อในวันนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้ “โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน” โดยได้รับการสนับสนุนจาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมามีการถ่ายทอดองค์ความรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ผ่านการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการภายใต้หลักสูตรเข้มข้น “ติดอาวุธอุตสาหกรรมไทย ด้วยการออกแบบตามหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน” และการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัตถุดิบ ไปจนถึงการจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งานหรือไม่ใช้แล้ว ให้แก่สถานประกอบการที่ได้รับการคัดเลือก นอกจากการให้คำปรึกษาและเป็นพี่เลี้ยงแล้ว เอ็มเทค ยังได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ของกลุ่มวิจัย ผนวกกับการใช้กลไกเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของเอ็มเทคที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการต้นแบบ CE Design Solution เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ประกอบการอื่น ๆ ต่อไป
ดร.ธีรวุธ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กพร. กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมาพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของเศรษฐกิจเส้นตรง (Linear Economy) ทำให้ผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ถูกออกแบบโดยไม่ได้คำนึงถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำ การรีไซเคิล หรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle) ของผลิตภัณฑ์ แต่เน้นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ระยะสั้น เช่น ต้นทุนการผลิต และยอดขาย เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบในลักษณะที่ทำให้อายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์สั้นกว่าที่ควรจะเป็น รวมถึงการจูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่กว่า ส่งผลให้ปริมาณขยะหรือของเสียทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามในการนำวัตถุดิบที่มีค่ากลับมาใช้ประโยชน์ใหม่โดยการรีไซเคิล แต่เมื่อพิจารณาจากลำดับขั้นในการจัดการของเสีย (Waste Management Hierarchy) การรีไซเคิลถือเป็นขั้นปลายทางในการจัดการของเสียที่ต้องใช้พลังงานและต้นทุนเป็นอย่างมาก โดยความยาก-ง่ายของกระบวนการรีไซเคิลจะขึ้นกับการออกแบบว่าได้คำนึงถึงการนำผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุการใช้งานหรือของเสียที่เกิดขึ้นกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่หรือไม่ ดังนั้นการคิดใหม่/การออกแบบใหม่ (Rethink/Redesign) จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อก่อให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน
กพร. ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบ ทั้งวัตถุดิบจากแหล่งแร่ธรรมชาติ (Primary Raw Materials) วัตถุดิบทดแทนที่ได้จากการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย (Secondary Raw Materials) จึงได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น โดยได้มอบหมายเอ็มเทค เป็นที่ปรึกษาดำเนินโครงการ เพื่อมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อให้ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเป้าหมายของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission หรือ Net Zero Carbon) ภายในปี ค.ศ. 2065 ต่อไป
ดร. ธีรวุธ กล่าวต่อว่า เป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 6 ราย โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาทต่อปี และหากมีการนำต้นแบบที่ได้พัฒนาตามแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ จะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ไม่ต่ำกว่า 6,000 ตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (เทียบเท่า) ต่อปี ทั้งนี้ยังไม่นับรวมมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากการลดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ โครงการยังก่อให้เกิดตัวอย่างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิดผลสำเร็จร่วมกัน สร้างสังคมคาร์บอนต่ำโดยใช้หลักการออกแบบที่มีการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนได้อีกด้วย
ดร. นุจรินทร์ รามัญกุล ผู้เชี่ยวชาญวิจัย เอ็มเทค หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า โครงการนี้สำเร็จลุล่วงได้ ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ ของผู้ประกอบการนำร่องทั้ง 6 ราย ได้แก่ บจก. อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ บจก. สันติภาพ (ฮั่วเพ้ง1958) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ บจก. ซิกเวอร์ค (ประเทศไทย) บจก. บี เอช พลาสติก และ TPE บริษัทในเครือ เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน)
“การประยุกต์ใช้แนวคิด CE ในการออกแบบในช่วงต้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก เพราะเรายังติดกับดัก Linear Economy อยู่ ทำให้จำกัดการคิดการพัฒนาอยู่แต่ในกรอบรั้วโรงงาน และไม่ได้ติดตามจะคงคุณค่าหรือหมุนเวียนทรัพยากรที่ส่งออกจากโรงงานให้อยู่ในระบบเศรษฐกิจให้ได้นานที่สุดได้อย่างไร โดยปล่อยให้กลายเป็นปัญหากับคนรุ่นต่อไปที่ต้องมาแก้ไข แต่เมื่อผู้ประกอบการนำร่องทั้ง 6 รายได้นำหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ ได้ใช้การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) โดยคำนึงการเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรในโซ่อุปทานแล้วจะเริ่มเห็นชัดว่า เศรษฐกิจหมุนเวียนจะดำเนินการองค์กรเดียวไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือกันเป็นเครือข่ายคุณค่าหรือ Value network เมื่อทุกฝ่ายยอมถอยจากจุดยืนของตนเองกันคนละก้าว แล้วมาเดินบนเส้นทางใหม่พร้อมกัน ทำให้เห็นแนวทางชัดเจนขึ้น ซึ่งจากโครงการนี้ ด้วยความร่วมมือกันทำให้ Solution ที่ออกแบบไว้ประสบความสำเร็จได้เร็วและไกลกว่าที่คาดกันไว้ตั้งแต่ต้น”
ข่าวประชาสัมพันธ์

ห้ามนำตราสัญลักษณ์ สวทช. ไปใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ขายผลิตภัณฑ์หรือสินค้าใดๆ
ห้ามนำตราสัญลักษณ์ สวทช. ไปใช้ในการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ขายผลิตภัณฑ์หรือสินค้าใดๆ
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการที่มีความร่วมมือและประสงค์จะอ้างอิงถึง สวทช. สามารถส่งคำขออนุมัติเพื่อใช้ "เครื่องหมายแสดงความร่วมมือกับ สวทช."
ติดต่อได้ที่ email : partnership@nstda.or.th
- ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่
https://zebra.nstda.or.th/req_logo/index.php/doc/manual?doc=ext
- ตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์/สินค้าที่ได้รับการอนุมัติอ้างอิงความร่วมมือจาก สวทช.
https://zebra.nstda.or.th/req_logo/index.php/doc/home
หากพบเห็นการนำตราสัญลักษณ์ สวทช. หรือศูนย์แห่งชาติ (ไบโอเทค เนคเทค เอ็มเทค นาโนเทค และเอ็นเทค)
ไปใช้ประกอบโฆษณาการขายผลิตภัณฑ์ สามารถแจ้งได้ที่ pr@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมจัดงานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชีย ASIAN Seed Congress 2022
ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับงานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชีย ASIAN Seed Congress 2022 ซึ่งเป็นทั้งเวทีการประชุมและเวทีเจรจาการค้าด้านเมล็ดพันธุ์ระหว่างประเทศครั้งยิ่งใหญ่ โดย สวทช. ได้มีส่วนร่วมในการจัดงาน พร้อมนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์พืชไปจัดแสดง ประกอบด้วย เทคโนโลยีการตรวจเมล็ดพันธุ์ จากศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ และเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรคพืช จากไบโอเทค มีนักลงทุนผู้ค้าเมล็ดพันธุ์จากหลายประเทศต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช.เปิดบ้านต้อนรับคณะสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชีย
18 พฤศจิกายน 2565 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : นำโดย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับคณะผู้เข้าเยี่ยมชมจากบริษัทเมล็ดพันธุ์ทั้งในและต่างประเทศที่เป็นสมาชิกของสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค ที่ได้มาเข้าร่วมงานประชุมวิชาการเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย ประจำปี 2565 (Asian Seed Congress 2022) และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานจากทุกประเทศได้เข้าศึกษาดูงาน (Post Congress Tour)ในองค์กรภาครัฐที่มีศักยภาพและความโดดเด่นทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทย
ซึ่ง สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มีพันธกิจในการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ พัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของประเทศ มีการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านเกษตรและอาหาร มีผลงานวิจัยมากมายที่ได้ถ่ายทอดให้แก่ภาคเอกชนและรัฐนำไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในการวิจัยและเชิงการค้า รวมถึงการพัฒนางานวิจัยร่วมกับภาคเอกชน ทั้งนี้ สวทช. ได้นำเสนอผลงานต่าง ๆ ต่อคณะผู้เข้าเยี่ยมชมฯ จำนวน 100 คน ซึ่งพาเยี่ยมชม อาทิ เช่น
1. เทคโนโลยีการพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยด้านโรคพืช จากห้องปฏิบัติการกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
2. นวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
3. นวัตกรรมการปลูกพืชสมุนไพร (บัวบก ฟ้าทะลายโจร กระเพรา) และผักมูลค่าสูง (Superfood)ในระบบปิด ของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
4. เทคโนโลยีโอมิกส์ ของศูนย์โอมิกส์แห่งชาติห้องปฏิบัติการ (National Omics Center:NOC)
5. เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เทคโนโลยีการปลูกกัญชาและกัญชงในระบบปิด เทคโนโลยีการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชในระยะยาว ของธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand:NBT)
6. Smart greenhouse & Smart farm technology ของสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.)
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยแพร่เอกสารเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูก เบซูโตะ เคลียร์ (Besuto Qlears nasal spray)
ตามที่มีการแถลงข่าวในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 เปิดตัวผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูก เบซูโตะ เคลียร์ (Besuto Qlears nasal spray) จากสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยยับยั้งและป้องกันเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจ เช่น SARs-COV-2 (COVID-19) ไข้หวัดใหญ่ (H1N1) และ RSV จากนั้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 อย.ได้แถลงข่าวถึง ผลิตภัณฑ์เบซูโตะ เคลียร์ นาเซิล สเปรย์ (Besuto Qlears nasal spray) ว่าได้รับการจดแจ้งเครื่องมือแพทย์ เลขที่ 65-1-3-2-0000818 มีวัตถุประสงค์การใช้งานและข้อบ่งใช้ คือ สำหรับพ่นจมูก ใช้เมื่อเริ่มมีอาการเป็นหวัดหรือมีอาการคล้ายหวัด เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูกเนื่องจากอากาศแห้ง ช่วยลดและบรรเทาอาการคัดจมูก ซึ่งภายหลังปรากฏตามสื่อต่างๆ ว่ามีการแถลงผลการทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งอยู่ในสูตรส่วนประกอบ ควบคู่กับการแอบแฝงโฆษณาผลิตภัณฑ์ ทำให้เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์สามารถยับยั้งหรือฆ่าเชื้อ SARs-COV-2 (COVID-19) ไข้หวัดใหญ่ (H1N1) และ RSV ต้านการอักเสบ ฯลฯ ได้ ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนกับผู้บริโภค ทาง สวทช. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงถึงความเกี่ยวข้องของ สวทช. กับผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูก เบซูโตะ เคลียร์ (Besuto Qlears nasal spray) จากสารสกัดจากธรรมชาติ ดังนี้
.
บริษัทเอกชนได้ว่าจ้าง สวทช. โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ให้ดำเนินโครงการศึกษากระบวนการไบโอรีไฟเนอรีของเปลือกมะนาว เพื่อให้ได้สารลิโมนีนคุณภาพสูง เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสารชีวเคมีภัณฑ์ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ (ระยะเวลาโครงการ 20 ธันวาคม 2564 -19 ธันวาคม 2565)
.
ต้นเดือนกรกฎาคม 2565 สวทช. ตรวจพบว่าได้มีภาพถ่ายของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกับผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูก เบซูโตะ เคลียร์ (Besuto Qlears nasal spray) และมีการเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวชื่อสเปรย์พ่นจมูก เบซูโตะ (Besuto nasal spray) มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อการค้า และมีการใช้ตราสัญลักษณ์ของ สวทช. ติดอยู่บนกล่องผลิตภัณฑ์ ซึ่งทาง สวทช. ไม่ได้อนุญาตให้ผู้ผลิตใช้ตราสัญลักษณ์ของ สวทช.แต่อย่างไร จึงได้แจ้งให้ผู้ผลิตระงับการเผยแพร่และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในทันที
.
ไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินโครงการศึกษากระบวนการไบโอรีไฟเนอรีของเปลือกมะนาว เพื่อให้ได้สารลิโมนีนคุณภาพสูง เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตสารชีวเคมีภัณฑ์ ตามสัญญาการว่าจ้าง ซึ่งทีมนักวิจัยได้ศึกษากระบวนการแยกสารทางชีวภาพหลายชนิดจากเปลือกมะนาวตามกรอบที่ผู้ว่าจ้างได้ระบุให้ศึกษาว่าสามารถสกัดออกมาได้หรือไม่ โดยผลการศึกษาพบว่าในเปลือกมะนาว นอกจากจะมีสารลิโมนีนที่เป็นเป้าหมายหลักของการศึกษาแล้ว ยังมีสารสำคัญชนิดอื่นด้วย โดยไบโอเทค สวทช. ได้ส่งมอบผลให้บริษัทเอกชนที่ว่าจ้าง และจากผลการศึกษาดังกล่าว ทางบริษัทเอกชนได้คัดเลือกสารฟลาโวนอยด์ชนิดหนึ่งที่พบในเปลือกมะนาว และสารชนิดอื่นๆ ให้ทีมวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งไวรัสโดยใช้เทคโนโลยีไวรัสเสมือนในระดับห้องปฏิบัติการ และทางทีมวิจัยได้ส่งผลการทดสอบให้กับบริษัทฯ เพื่อทางบริษัทฯ จะได้นำไปพัฒนาและทดสอบทางคลินิคต่อไป โดยเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในวงการวิชาการว่าการทดสอบการทำงานของสารออกฤทธิ์ในระดับห้องปฏิบัติการมีภาวะเงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากการใช้งานจริงในร่างกายมนุษย์มาก โดยมีสารออกฤทธิ์จำนวนหลายชนิดที่ทดสอบได้ผลดีในระดับห้องปฏิบัติการแต่ใช้งานจริงไม่ได้ผลในร่างกายมนุษย์ จึงเป็นความรับผิดชอบของบริษัทที่ต้องนำผลิตภัณฑ์ไปทดสอบตามกระบวนการรับรองของ อย. ให้ครบถ้วนก่อนผลิตและจำหน่าย
.
ทั้งนี้ ทีมนักวิจัยของไบโอเทค และนาโนเทค สวทช. ได้ดำเนินการวิจัยและทดสอบตามที่ได้รับการว่าจ้างและส่งมอบผลการศึกษาเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์และตามหลักมาตรฐานสากลเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่าย รวมถึงการจดแจ้งเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์เบซูโตะ เคลียร์ นาเซิล สเปรย์ แต่อย่างใด
หมายเหตุ
ลิโมนีน (limonene) เป็นสารในกลุ่มอะโรมาติกโมโนเทอร์ปีนที่เป็นองค์ประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย (essential oil) ที่ได้จากเปลือกผลไม้ตระกูลส้มและมะนาวโดยมีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์โภชนเภสัชภัณฑ์ (nutraceutical) สารต้านจุลินทรีย์ สารกำจัดแมลง และใช้เป็นตัวทำละลายอินทรีย์และสารเติมแต่งในการผลิตน้ำหอม ผลิตภัณฑ์สุขภาพอาหารและเครื่องดื่มโดยจัดเป็นสารที่มีความปลอดภัยและมีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี โดยสามารถเปลี่ยนเป็นสาร building block ต่างๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมซึ่งทำให้มีความต้องการสารลิโมนีนเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดงานเสวนา “นวัตกรรมแบตเตอรี่ยุคใหม่เพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next generation battery technologies powering the future industries)”
เมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้อง MR 213 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) นำโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ สถานศึกษา หน่วยงานวิจัย และองค์กรเอกชน กำหนดจัดงานเสวนา “นวัตกรรมแบตเตอรี่ยุคใหม่เพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next generation battery technologies powering the future industries)” ภายใต้งาน METALEX 2022 มหกรรมเทคโนโลยีเครื่องจักรกลโลหการอันดับหนึ่งของอาเซียน เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ทั้งในเชิงนโยบายภาครัฐ และเชิงเทคนิค รวมทั้งแนวโน้มเทคโนโลยีในมุมมองของภาคเอกชน
การเสวนาในครั้งนี้จึงเป็นเวทีให้ผู้มีประสบการณ์ในสายงานนวัตกรรม เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ทั้งนักวิจัย ผู้บริหาร และนักนโยบาย มาให้คำแนะนำ และถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้ผู้เข้าร่วมฟังเสวนาทุกท่านได้มีแนวคิดใหม่ที่สามารถนำไปต่อยอด ในสายงานวิจัย สร้างการเติบโตและความได้เปรียบในเชิงธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่คุณค่าของเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานได้
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การเสวนาภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมแบตเตอรี่ยุคใหม่เพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต” เป็นการช่วยส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio, Circular and Green Economy) อันเป็นโจทย์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจเมื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)
ระบบกักเก็บพลังงานคือระบบ อุปกรณ์ วิธีการ หรือเทคโนโลยีที่ใช้ในการกักเก็บพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมากทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่มีการดำเนินการกำกับดูแลหรือมีธุรกิจที่เกี่ยวกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Grid energy storage) ทั้งนี้เนื่องจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก ระบบกักเก็บพลังงานนั้นสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าให้สามารถตอบสนองต่อระดับความต้องการผลิตและความต้องการใช้ที่มีความผันแปรได้อย่างทันท่วงที เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานโดยเฉพาะแบตเตอรี่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน
รูปแบบหนึ่งของอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่มีการประยุกต์ใช้งานอย่างแพร่หลายคือ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่มีสมรรถนะที่ดีและได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีน้ำหนักเบาและสามารถประยุกต์ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ อย่างไรก็ตามแบตเตอรีลิเธียมยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน ในเรื่องของความปลอดภัย ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความจำกัดของแหล่งวัตถุดิบและทรัพยากรที่ใช้
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มว่า หนึ่งในสิ่งส่งมอบผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) คือ การรับมือต่อความมั่นคงและเสถียรภาพแหล่งจ่ายพลังงาน ซึ่งมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแนวโน้มการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานในปัจจุบัน โดยมีการดำเนินการจัดตั้งโรงงานต้นแบบวิจัยแบตเตอรี่วัสดุทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูง ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยแบตเตอรี่วัสดุทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูง และสามารถเป็นโครงสร้างพื้นฐาน (Platform) สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ปลอดภัยทางเลือกใหม่เพื่อความมั่นคงและการใช้งานเชิงพาณิชย์ และสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ทางเลือกภายในประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาแบตเตอรี่ทางเลือกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงาน (Energy storage system) ที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบพลังงานหมุนเวียน
นอกจากนี้ NSD ยังมีเครือข่ายพันธมิตรจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ สถานศึกษา หน่วยงานวิจัย และองค์กรเอกชน ที่มีการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมพลังงาน และการพัฒนาเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน โดยเฉพาะแบตเตอรี่ มีส่วนร่วมผลักดันงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การวิจัยพัฒนาวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการทำงานของอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าความจุสูงที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงโดยพึ่งพาทรัพยากรและการผลิตภายในประเทศ ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ ร่วมกับบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด, และการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่สังกะสี-แมงกานีสไดออกไซด์ในประเทศไทย กับ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ดร.อดิสร กล่าวตอนท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการเดินรถไฟฟ้า รุ่นที่ 3 (Railway System Operation: RSO)
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช.
ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการเดินรถไฟฟ้า รุ่นที่ 3 (Railway System Operation: RSO)
อบรมระหว่างวันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ 2566
สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย
- การเดินรถไฟฟ้า (Railway Operation)
- การศึกษาดูงานการบริหารและควบคุมระบบการเดินรถไฟฟ้า
- การศึกษาดูงานโครงการระบบการเรียนรู้การบริหารและควบคุมระบบการเดินรถไฟ
- Workshop: ระบบการเรียนรู้การบริหารและควบคุมระบบการเดินรถไฟ
- ระบบอาณัติสัญญาณ (Railway Signaling System)
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/rso
สอบถามข้อมูลที่
โทร. 0 2644 8150 ต่อ 81894 และ 085 324 2684 (นพมล)
E-mail: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า รุ่นที่ 3 (Railway System Maintenance: RSM)
ช.
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า รุ่นที่ 3 (Railway System Maintenance: RSM)
อบรมระหว่างวันที่ 22-24 มีนาคม 2566
สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย
- การซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า (Railway System Maintenance)
* การซ่อมบำรุงขบวนรถไฟ
* การซ่อมบำรุงทางรถไฟ
* การซ่อมบำรุงระบบควบคุมการเดินและระบบบอาณัติสัญญาณ
* การซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้า
- การศึกษาดูงานการซ่อมบำรุงระบบรถไฟฟ้า
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/rsm
สอบถามข้อมูลที่
โทร. 0 2644 8150 ต่อ 81894 และ 085 324 2684 (นพมล)
E-mail: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

TechBiz Starter 2022 สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม
สวทช. โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการ สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม หรือ TechBiz Starter 2022 เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ได้โชว์ผลงานผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดมาจากนวัตกรรมและเทคโนโลยี นำเสนอต่อคณะกรรมการที่เป็นนักธุรกิจและนักลงทุนตัวจริง ซึ่งได้คัดเลือกผลงานที่มีความน่าสนใจ พร้อมมอบรางวัล TechBiz Starter Funds เป็นทุนสนับสนุน 20,000 บาท จำนวน 10 รางวัล
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจ สามารถติดตามโครงการได้ที่ https://www.facebook.com/NstdaBIC
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2565) เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) Headquarters ณ วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงาน และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเฝ้า ฯ รับเสด็จ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กราบบังคมทูลถวายรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation, EECi) ว่า สวทช. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนา EECi เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการต่อยอดผลงานวิจัยและนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการไปสู่การใช้ประโยชน์ใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ (1) เกษตรสมัยใหม่และเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (2) เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (3) แบตเตอรี่และการขนส่งสมัยใหม่ (4) ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (5) การบินและอวกาศ และ (6) เครื่องมือแพทย์ ทั้งนี้ พื้นที่ EECi ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ที่จะช่วยยกระดับมูลค่าภาคเกษตร สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไทย และรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ
จากนั้นทรงประกอบพิธีกดแผ่นป้ายเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก บริเวณลานสัญลักษณ์แห่งการขยายผลนวัตกรรม หรือ ที่เรียกว่า Innovation Amplifier ซึ่งเป็นการนำบางส่วนของตราสัญลักษณ์เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มาใช้เป็นภาพการสื่อสารหลัก (Key Visual) เพื่อสร้างภาพจำและสื่อสารแนวคิดให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “ระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ซึ่งผลงานวิจัยและนวัตกรรมนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาคมอย่างยั่งยืน”
สัญลักษณ์แห่งการขยายผลนวัตกรรม จำลองปรากฎการณ์กระเพื่อมของน้ำเป็นวงระลอกคลื่น เปรียบได้กับการสร้างผลกระทบขยายออกไปในวงกว้างต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ซึ่งแต่ละวงของสัญลักษณ์ ยังจำลองแถบโมเบียส (Möbius strip) เพื่อสื่อถึงการพัฒนาอย่างไม่สิ้นสุด และลูกกลมที่เชื่อมต่อระหว่างวงของสัญลักษณ์ฯ สื่อถึงการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในการขับเคลื่อนการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและความอยู่ดีกินดีของประชาคมอย่างยั่งยืน
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรความคืบหน้าการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ณ บริเวณโถงพลาซ่า ประกอบด้วย นิทรรศการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและพันธมิตรสำคัญ โดย สวทช. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) Bio Base Europe Pilot Plant VZW กรมวิทยาศาสตร์บริการ และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยังอาคาร D ชมความคืบหน้าของศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center, SMC) ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนวัตกรรมหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และระบบอัจฉริยะ (EECi ARIPOLIS) มีภารกิจหลักในการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมไทยก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 โดยส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม สามารถนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของโรงงาน มุ่งเน้นการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ นวัตกร นักวิจัยตลอดจนนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้และการทดลองปฏิบัติจริง รวมไปถึงกิจกรรมวิจัยเพื่อการสร้างนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการแล้ว
ทั้งนี้ SMC ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย เพื่อมุ่งไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) และส่งแรงขับเคลื่อนถึงการเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Thailand 4.0)
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนิน โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังอาคาร S ทอดพระเนตรนิทรรศการด้านนวัตกรรมการเกษตรของเมืองนวัตกรรมชีวภาพ (EECi BIOPOLIS) ณ อาคารกรีนเฮ้าส์ ภายในปลูกฟ้าทะลายโจร บัวบก ขมิ้นชัน และกระชายดำ มีเป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งทดสอบการปลูกพืชมูลค่าสูง เพื่อให้ได้ข้อมูลผลผลิต และวิธีการผลิตที่เหมาะสมในเชิงพาณิชย์
EECi ถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการนำนวัตกรรมเข้าไปผลักดันอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศด้วยการปิดช่องว่างทางเทคโนโลยีผ่านการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและกลไกที่จะรองรับงานวิจัยขยายผล (Translational Research) ตลอดจนการปรับแปลงเทคโนโลยีจากต่างประเทศให้เข้ากับบริบทของไทย (Technology Localization)
สำหรับกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่ EECi มีพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร ได้มีพิธีเปิดหน้าดินเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ภายในพื้นที่ประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนา โดยในปี 2565 มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมเปิดให้บริการ ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน และโรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ และจะทยอยเปิดโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อาทิ โรงเรือนฟีโนมิกส์ (Phenomics Greenhouse) โรงงานผลิตพืช (Plant Factory) โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery Pilot Plant) และโรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ทางเลือก (Alternative Battery Pilot Plant) ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดำเนินการโดย สวทช. แล้ว ภายในพื้นที่ EECi ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตซึ่งดำเนินการโดยพันธมิตร อีก 3 รายการ ประกอบด้วย 1. สนามทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ ดำเนินการโดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ 2. เครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนรุ่นที่ 4 ขนาด 3 กิกะอิเล็กตรอนโวลต์ ดำเนินการโดยสถาบันวิจัยแสงซินโครตอน (องค์การมหาชน) และ 3. สนามทดสอบอากาศยานไร้คนขับ ดำเนินการโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา EECi ให้เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสนับสนุนการดึงดูดการลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าสู่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ผ่านการพัฒนาคลัสเตอร์นวัตกรรมใหม่ ที่เกิดจากการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทใหญ่ ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สถาบันวิจัย สถาบันศึกษา และภาคประชาสังคม รวมถึงการขับเคลื่อนความร่วมมือและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศให้กับหน่วยงานและผู้ประกอบการในประเทศไทย
################
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์