หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
บ.เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จับมือ นาโนเทค สวทช. ยกระดับเกษตรมูลค่าสูง ผลิต ‘น้ำมะนาวคั้นสด’ สดนาน 2 ปี สร้างกระแสบริโภค ‘น้ำมะนาวแช่แข็ง’  
“มะนาว” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจคู่ครัวไทยที่ชูรสชาติอาหารไทยแท้ ๆ ซึ่งทั่วโลกต่างให้การยอมรับในตำรับอาหารไทยที่ปรุงด้วยมะนาวอย่าง ‘ต้มยำกุ้ง’ ทว่าปัญหาราคามะนาวมีความผันผวนทุกปี โดยในบางช่วงมะนาวราคาแพงลูกละ 5-8 บาท ขณะที่บางช่วงเกิดภาวะมะนาวล้นตลาดจนเกษตรกรต้องนำไปทิ้งก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวเป็นประจำทุกปี การยกระดับสินค้าเกษตรเข้าสู่การแปรรูปสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรได้ “มะนีมะนาว” ชูจุดต่าง คงรส-กลิ่น มะนาวคั้นสดด้วยนวัตกรรม  นายเกษคง พรทวีวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจอาหารแปรรูปพืชผลทางการเกษตร เปิดเผยว่า ด้วยบริษัททำธุรกิจแปรรูปอาหารอยู่แล้ว จึงมองเห็นปัญหาความผันผวนของราคามะนาว เมื่อประสบภาวะมะนาวล้นตลาดจะมีราคาตกต่ำ ขณะที่เมื่อเข้าสู่หน้าแล้งมะนาวก็ขาดตลาดราคาต่อลูกสูงขึ้นมาก ทำให้ทั้งผู้บริโภคที่ใช้มะนาวและเกษตรกรต่างได้รับผลกระทบทั้งสองฝ่าย กระทั่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาจึงคิดแปรรูปสินค้าเกษตรโดยนำ “มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ” ไร้เมล็ดมาคั้นสดบรรจุถุงผ่านกระบวนการแช่แข็งให้เป็นน้ำมะนาวที่มีราคาเดียวตลอดทั้งปี ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ใช้ผลิตภัณฑ์สามารถคำนวณเรื่องต้นทุนราคามะนาวได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคามะนาวแพงแล้ว ยังช่วยให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงน้ำมะนาวคั้นสดใช้ปรุงอาหารได้ในครัวเรือน ซึ่งวางจำหน่ายแล้วในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ “มะนีมะนาวคือน้ำมะนาวคั้นสด 100 เปอร์เซนต์ ทำจาก มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ” ไร้เมล็ดซึ่งมีการทำมาตรฐานเกษตรปลอดภัย ปลอดสารเคมีและสามารถนำมาทำในเชิงอุตสาหกรรมได้ แต่ด้วยข้อเสียของมะนาวแท้การเก็บแช่แข็งทั่วไปนั้น รสชาติจะเปลี่ยนไปเนื่องจากกระบวนการเก็บและอุณหภูมิที่เก็บอาจส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นเปลี่ยนไป ทำให้ผู้บริโภคและร้านอาหารทั่วไปไม่นิยมใช้น้ำมะนาวแช่แข็งเท่าไหร่นัก ดังนั้นบริษัทจึงมีการหารือทีมวิจัย นาโนเทค สวทช. ซึ่งมีองค์ความรู้ในการพัฒนาให้มีความแตกต่างจากมะนาวแช่แข็งทั่วไป โดยจุดเด่นอยู่ที่การเก็บด้วยการแช่เยือกแข็งแบบพิเศษ ที่ช่วยให้น้ำมะนาวแช่แข็งเก็บได้นานถึง 2 ปี (เมื่ออยู่ในช่องแช่แข็ง) เมื่อผู้บริโภคนำมาละลายใช้งานทีละนิดจะสามารถเก็บได้ในตู้เย็น (เมื่ออยู่ในช่องแช่ปกติ) ได้นานอีก 3 เดือน แถมยังช่วยแก้ปัญหารสและกลิ่น ที่ไม่เปลี่ยนไปจากน้ำมะนาวคั้นสด ตอบโจทย์ผู้บริโภคในเรื่องของกลิ่นและรสชาติของมะนาวคั้นสด ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมะนาวสดแช่แข็งของมะนีมะนาวในการปรุงอาหารมากขึ้น” นายเกษคง กล่าว ปลูก ‘มะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ’ ปีละล้านกิโล ส่งแปรรูป 90 เปอร์เซนต์ นายอเนก ประสม เจ้าของ “ไร่กาญจนา” จ.ลำปาง กล่าวว่า เริ่มทำสวนมะนาวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยเป็นเกษตรกรรายแรกของจังหวัดลำปางที่นำมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติมาปลูก ด้วยเป็นสายพันธุ์ที่ทนโรค ทนแดด และต้านทานแมลงศัตรูพืชได้ดี ปัจจุบัน มีพื้นที่สวนมะนาวมากกว่า 40 ไร่ “พืชนี้เข้ามาเสริมการเกษตรระดับตำบล สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นตัวสร้างรายได้หลักที่ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ เพราะปลูกขายได้ตลอดปี ในขณะเดียวกัน ก็เกิดการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกมะนาวบ้านแจ้คอน ต.ทุ่งผึ้ง จ.ลำปาง ที่มีสมาชิกอยู่ราว 60 ราย ผลิตมะนาวได้วันละ 10-38 ตัน หรือปีละกว่า 1 ล้านกิโลกรัม โดย 90% ส่งให้กับบริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด มากว่า 5 ปีแล้ว” นายอเนก กล่าว ความสำเร็จจากไร่มะนาว ทำให้เขาตั้งเป้าพัฒนาให้เพื่อนเกษตรกรในพื้นที่ทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดรับเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่จะมาช่วยยกระดับการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เข้ามา ตลาดที่ชัดเจน รายได้ที่มั่นคงจะช่วยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่สืบทอดทำเกษตรกรรม ยืดอายุ น้ำมะนาวคั้นสด ด้วยเทคนิคแช่เยือกแข็งพิเศษ ดร. กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ หัวหน้าทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โจทย์ในด้านการพัฒนาคุณภาพของน้ำมะนาวแช่แข็ง รวมถึงเพิ่มคุณสมบัติในด้านกลิ่นและรสให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ทีมวิจัยนาโนเทคเริ่มทำงาน โดยการทดสอบสมมุติฐานเรื่องของกระบวนการแช่เยือกแข็ง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้กันอยู่แล้วทั่วไป และพบว่า สามารถปรับปรุงกระบวนการฯ ได้ โดยเชื่อมโยงกับการลดการทำงานของเอนไซม์ในน้ำมะนาว ที่จะทำให้คุณภาพของน้ำมะนาวแช่แข็งไม่ลดลง โดยคุณภาพที่ลดลงของน้ำมะนาวแช่แข็งเกิดจากเอนไซม์บางอย่างที่มีอยู่ในน้ำมะนาว ซึ่งส่งผลให้คุณภาพ (กลิ่น สี และรส) เปลี่ยนไป ซึ่งปัจจุบัน การลดการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว จะใช้การพาสเจอไรซ์ (Pasteurization) หรือยูเอชที (Ultra-high-temperature: UHT) ที่ใช้ความร้อน เปรียบเสมือนการต้ม ซึ่งเราไม่อยากใช้ความร้อน เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมะนาว จึงออกแบบกระบวนการแช่เยือกแข็งที่เหมาะสมที่สุด กระบวนการแช่แข็งที่นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ออกแบบนั้น เป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเดิมที่ผู้ประกอบการใช้อยู่ แต่ปรับเปลี่ยนกระบวนการแช่เยือกแข็งในสภาวะที่ควบคุม ในอุณหภูมิที่และเวลาที่ควบคุม ซึ่งส่งผลให้สามารถลดการทำงานของเอนไซม์ได้มากกว่า 50% จากการดูเอนไซม์มาร์คเกอร์ (Enzyme Marker) มากกว่ากระบวนการแช่เยือกแข็งปกติที่ลดการทำงานของเอนไซม์ได้ราว 10-20% เท่านั้น ซึ่งผลการทดสอบด้วยกระบวนการที่นาโนเทค สวทช. ปรับปรุงนั้นคือ กลิ่น สี และรสของน้ำมะนาวแช่แข็งที่นำมาทำละลายเทียบเคียงน้ำมะนาวสด และดีกว่าน้ำมะนาวสดที่เก็บในรูปของเหลวในระยะเวลาเท่ากัน ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลิ่น สี รส ภายใน 2-3 วัน นอกจากนี้ น้ำมะนาวแช่แข็งด้วยกระบวนการที่ปรับปรุง สามารถเก็บได้นานกว่า 2 ปี และเมื่อนำไปทำละลายแล้ว สามารถเก็บในรูปของเหลวได้นาน 1-2 สัปดาห์โดยที่กลิ่น สี และรสเทียบเคียงมะนาวสด และจะเก็บรักษาในอุณหภูมิแช่เย็นได้อีก 2-3 เดือนโดยมีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ยอมรับได้ ตรวจสอบมาตรฐาน รส-กลิ่น อย่างแม่นยำ ด้วยเทคโนโลยี Lime ID “นอกจากนี้ ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตรของนาโนเทคยังได้พัฒนาเครื่องประเมินคุณภาพกลิ่น-รสของน้ำมะนาว ในชื่อ Lime ID ที่ใช้เทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์ (E-Nose) ผสานกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประมวลผล” ดร.กิตติวุฒิเผย พร้อมชี้ว่า เราต้องการสร้างอัตลักษณ์ของน้ำมะนาวที่ชัดเจน เนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพของน้ำมะนาว ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดม การชิม ว่า กลิ่นและรสไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทั้งนี้ การใช้คนมาทดสอบ มีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งในเรื่องของความแม่นยำ ปริมาณการทดสอบ ที่บางครั้งไม่สามารถควบคุมได้ การนำปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีเข้ามาเสริม นับเป็นทางเลือกหนึ่ง Lime ID ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ส่วนรับกลิ่นรส ที่มีเซ็นเซอร์อาเรย์รับกลิ่นรส, ส่วนรวบรวมสัญญาณ ซึ่งจะแปรสัญญาณจากเซ็นเซอร์ให้เป็นดิจิทัล และส่วนประมวลผล ที่จะนำสัญญาณที่มาเปรียบเทียบเชิงสถิติกับฐานข้อมูลที่ทีมวิจัยได้จัดเตรียมชุดข้อมูลกลิ่นและรสเอาไว้ โดยจะแสดงผลการทดสอบเป็นคะแนน 1-9 โดยผลิตภัณฑ์มะนีมะนาว จะอยู่ที่ 7-9 คะแนน ซึ่งเป็นระดับที่ผู้บริโภคและตลาดยอมรับ “ความสำเร็จของการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และเป็นโมเดลที่สามารถต่อยอดเทคโนโลยีไปใช้กับผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้หรือผักสดอื่น ๆ ที่มีกระบวนการเสื่อมเหมือนน้ำมะนาว ในขณะเดียวกัน ก็นับเป็นต้นแบบโมเดลสำหรับแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service Platform for Food & Functional Ingredients) หรือ FoodSERP ของ สวทช. ที่จะช่วยให้การทำงานวิจัยที่ต้องผสานองค์ความรู้สหสาขาสามารถทำได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น เอื้อประโยชน์ให้องค์ความรู้ของ สวทช. ต่อยอดสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น” ดร.กิตติวุฒิ กล่าว ######################## ข้อมูลเพิ่มเติม:  FoodSERP หรือ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service Platform for Food & Functional Ingredients) เป็นหนึ่งใน core business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เครื่องสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service โดยทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากสาขา มีวิทยาการความรู้ (know-how) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่างๆที่พร้อมให้บริการ รวมถึงเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิต ที่จะช่วยผู้ประกอบการในการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม แก้ปัญหาต่างๆในสายการผลิต เพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี การวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน ส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients ) สมุนไพร และเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“เปล – เต็นท์ความดันลบ” นวัตกรรมสู้โควิด-19 สู่การรับมือโรคอุบัติใหม่
MTEC สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก สกสว. - สวรส. - วช. และ ศลช. ร่วมมือกันเดินหน้าผลักดัน ชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รองรับโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ ประกอบด้วย PETE เปลความดันลบ และ HI PETE เต็นท์ความดันลบ เพื่อต่อยอดพัฒนาให้มีความสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น เตรียมพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หลังจาก PETE และ HI PETE เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้ประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
“การแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล”
📌 ประเทศไทยพร้อมแค่ไหน จะไปต่ออย่างไร ในโลกที่ AI แทรกซึมทุกมิติ ❗ครั้งแรกกับแถลงผลการสำรวจความพร้อมด้าน AI ของไทย พร้อมเจาะลึกทุกประเด็นการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีธรรมาภิบาล . 📢 12 ก.ค. นี้… ETDA (โดยศูนย์ AIGC) ร่วมกับ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ชวนติดตาม “การแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล” พร้อมเผยมิติสำคัญที่มีผลต่อการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ . พบกับ 2 Topics ที่ไม่ควรพลาด ✅ ผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล ✅ เสวนารับฟังความคิดเห็นในประเด็นความพร้อมของประเทศไทยในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) . ✨ พร้อมเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำให้เกิดกรอบทิศทางการประยุกต์ใช้งาน AI อย่างสร้างสรรค์ รองรับการขยายตัวของการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในประเทศไทยอย่างมีธรรมาภิบาลได้อย่างเหมาะสม . ปักหมุด❗ ⏰ วันพุธที่ 12 ก.ค. 66  เวลา 09.00 - 13.30 น. 👉 ณ ห้องประชุมชั้น 3 โรงแรม แกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ (Exclusive สำหรับผู้ที่อยากไปชมสดหน้างาน รับจำนวนจำกัด ลงทะเบียนภายในวันที่ 10 ก.ค. นี้ ได้ที่ https://meeting-nstda.webex.com/.../r1b444986208140a9e686... . 👉 หรือชมผ่าน Facebook : ETDA Thailand
ปฏิทินกิจกรรม
 
A-MED Telehealth และ KidBright คว้า 2 รางวัล ‘ค่าของแผ่นดิน’ ประจำปี 2565
วันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล:  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 ให้กับบุคคล หน่วยงาน และโครงการ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีคุณค่าแก่การยกย่อง และมีคุณค่าแก่การชื่นชม เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ และเป็นขวัญกำลังใจที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ รวมทั้งเป็นต้นแบบแห่งการสร้างสรรค์ความดี อันพึงเป็นคุณลักษณะที่ดีแก่สังคมไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับ 2 รางวัล ได้แก่ โครงการระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) สำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข และ โครงการสอนโค้ดดิ้ง วิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน (KidBright) ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมกับผู้ที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565 อันน่าภาคภูมิใจนี้ โดยย้ำว่าทุกคนที่ได้รับรางวัลล้วนเป็นผู้มีความมุ่งมั่นทำประโยชน์และทำความดีเพื่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งการทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของทุกคนในฐานะพลเมืองของประเทศ รวมถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ เสียสละและอุทิศใจกาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน สังคม และชาติบ้านเมือง อย่างไรก็ตามการทำประโยชน์ในแต่ละสาขาอาชีพนั้นต้องใช้ระยะเวลาและกระทำอย่างต่อเนื่อง จนเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เป็นที่ประจักษ์ โดยจะเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนในการทำความดีในโอกาสต่อ ๆ ไป โอกาสนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)สวทช. และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะทาง ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) และ นายวัชรากร หนูทอง หัวหน้าทีมวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ A-MED ที่ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข จากผลงาน “ระบบบริการทางการแพทย์ทางไกล (A-MED Telehealth) สำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19” และ ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EDT) เนคเทค ที่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา จากผลงาน “โครงการสอนโค้ดดิ้ง วิทยาการข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน (Kidbright)” สำหรับการสรรหาบุคคล หน่วยงาน และโครงการ “ค่าของแผ่นดิน” ประจำปี 2565  มีผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อคัดเลือกจำนวน 847 ราย แบ่งเป็นประเภทบุคคล จำนวน 588 ราย ประเภทหน่วยงาน จำนวน 179 และประเภทโครงการ จำนวน 80 ราย โดยคณะอนุกรรมการดำเนินโครงการ “ค่าของแผ่นดิน” และคณะอนุกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์และกลั่นกรองบุคคล หน่วยงาน โครงการ เพื่อคัดเลือกประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” ได้ประชุมร่วมกันและเห็นชอบผลงานที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกได้รับประกาศเกียรติคุณเป็น “ค่าของแผ่นดิน” จำนวน 54 ราย แบ่งเป็นผลงานที่มีความโดดเด่น และมีคุณค่าแก่การยกย่องได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ จำนวน 46 ราย และเป็นผลงานที่มีคุณค่าแก่การชื่นชมได้รับใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 8 ราย ประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. ด้านการพัฒนาสังคมและส่งเสริมคุณภาพชีวิต 2. ด้านการส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3. ด้านการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาสาธารณสุข 5. ด้านการส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม 6. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร 7. ด้านการส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา และ 8. ด้านอื่น ๆ --------- ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ : https://www.thaigov.go.th/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ สคส. ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
วันที่ 6 กรกฎาคม 2566  ณ ห้องบุษกร (ชั้น 1) อาคารศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ลงนามความร่วมมือ (MOU) เพื่อสนับสนุนความเชี่ยวชาญของบุคลากรและสนับสนุนทรัพยกรงานวิจัยร่วมกันเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ และสร้างความตระหนักรู้เชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับภัยคุกคามสารสนเทศทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล สนับสนุนการศึกษาและวิจัย ให้ความช่วยเหลือด้านแผนปฏิบัติการและมาตรการป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้น รวมทั้งดำเนินการพัฒนาหลักสูตรจัดฝึกอบรมการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองส่วนบุคคเพื่อยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยการลงนามในบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการให้ความร่วมมือ แบ่งปันความรู้เพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองข้อมูลและความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อร่วมกันดำเนินงานกิจกรรมด้านวิชาการ งานวิจัย รวมถึงพัฒนาระบบนิเวศวิจัยในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการขับเคลื่อนและส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
For English-version news, please visit : Gunther Bath: Fall detection system in bathroom   เมื่อคนเราก้าวเข้าสู่ช่วงสูงวัย ร่างกายที่เคยทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่างโรยราไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคงประกอบกับสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผู้สูงอายุพลัดตก หกล้ม หรือหมดสติล้มพับไปกับพื้นได้ง่าย ซึ่งหากเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ก็อาจมีปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงตามมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา Gunther Bath (กันเธอร์ บาธ) นวัตกรรมตรวจจับและแจ้งเตือนการพลัดตกหกล้มแบบติดตั้งผนังห้องน้ำ ชนิดไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพสำหรับการประมวลผล เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้สูงอายุและผู้อาศัยในครัวเรือน   [caption id="attachment_44562" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายถึงอุปกรณ์ Gunther Bath ว่า ชุดอุปกรณ์และระบบการทำงานประกอบด้วย Well-mounted ambient sensor (Ultra-wideband) อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแบบติดตั้งผนัง เพื่อนำข้อมูลที่ตรวจจับได้มาประมวลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), LANAH hub อุปกรณ์ศูนย์กลางสำหรับรับข้อมูลจากเซนเซอร์ และจัดส่งข้อมูลที่ต้องสื่อสารไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ, Well-living application แอปพลิเคชันสำหรับรับแจ้งเตือนการพบเหตุพลัดตกหกล้ม, Emergency button ปุ่มสำหรับกดยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน   [caption id="attachment_44574" align="aligncenter" width="250"] Gunther Bath[/caption]     หลักการทำงานของ Gunther Bath คือ การใช้เซนเซอร์ตรวจจับอิริยาบถของผู้ใช้งานห้องน้ำ หากตรวจพบการล้ม ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว หรือนอนหมดสติอยู่กับพื้น ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลทราบภายในหลักวินาที ดร.ศราวุธ เล่าถึงกลไกการทำงานของอุปกรณ์ว่า เมื่อผู้สูงอายุหรือคนในบ้านเดินเข้าห้องน้ำ ระบบจะตรวจจับลักษณะการเคลื่อนไหว (Transition) และอิริยาบถ (Posture) ของผู้ใช้งานด้วย Ambient sensor แล้วส่งสัญญาณที่ตรวจจับได้ไปประมวลผลด้วย AI ซึ่งหาก AI พบท่าทางที่บ่งชี้ถึงการหกล้มหรือหมดสติ ระบบจะตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากเซนเซอร์ต่ออีก 5 วินาที เพื่อยืนยันว่าเกิดเหตุขึ้นจริง จะทำการส่งข้อมูลไปที่ LANAH hub ก่อนส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ (Cloud) เพื่อแจ้งเตือนไปที่ Well-living application ให้ผู้ดูแลได้ทราบถึงอุบัติเหตุภายในเวลาประมาณ 10-15 วินาที “หลังจากผู้ดูแลได้รับแจ้งเหตุแล้ว สามารถส่งข้อความเสียงผ่านแอปพลิเคชันให้ไปดังที่ลำโพงซึ่งติดตั้งไว้ในห้องน้ำเพื่อสื่อสารกับผู้ประสบเหตุ เช่น ขอให้ช่วยกดปุ่ม Emergency button เพื่อยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน, แจ้งว่าทราบการเกิดอุบัติเหตุแล้วกำลังเดินทางไปช่วยเหลือ, ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเบื้องต้น”     Gunther Bath เป็นอุปกรณ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ภายในห้องน้ำเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถานที่และการควบคุมต้นทุนการผลิต ดร.ศราวุธ อธิบายว่า แม้ปัจจุบันจะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายแห่งวางจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจจับการพลัดตกหกล้มแล้วหลากรูปแบบ ทั้งแบบสวมใส่ (Wearable sensor) แบบใช้กล้องตรวจจับภาพ (Vision sensor) และแบบตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม (Ambient sensor) แต่โดยส่วนใหญ่อุปกรณ์เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เช่น ความไม่แม่นยำในการตรวจจับการเคลื่อนไหว ความไม่เป็นส่วนตัว ความไม่สะดวกสบาย ราคาที่ค่อนข้างสูง “เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้งานให้มากที่สุด ทีมวิจัยจึงออกแบบให้ Gunther Bath ตรวจจับการพลัดตกหกล้มด้วย Ambient sensor ที่ไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยการออกแบบและฝึกฝนให้ AI เรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวและการแสดงอิริยาบถต่าง ๆ จนแยกแยะท่าทางการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในห้องน้ำกับการพลัดตกหกล้มได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้จำกัดความสามารถของอุปกรณ์ให้ทำงานตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานครั้งละ 1 คนเท่านั้น (ตามปกติของการใช้ห้องน้ำ) เพื่อให้ Gunther Bath มีความซับซ้อนของอุปกรณ์ไม่สูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์มีราคาที่ไม่สูงเกินไป ช่วยให้คนไทยเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีได้ในวงกว้าง”   [caption id="attachment_44561" align="aligncenter" width="500"] ภาพตัวอย่างการติดตั้งอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ[/caption]   Gunther Bath เป็นหนึ่งในนวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ ที่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อขานรับการเข้าสู่สังสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย ซึ่งเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วในปีนี้ ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
ด้วยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มีความประสงค์จะรับสมัครบุคคล เพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.hii.or.th/ข่าวประชาสัมพันธ์/รับสมัครบุคลากร/2023/06/17/รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเ/
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
เปิดผลทดสอบการใช้น้ำมัน “ไบโอดีเซล” กับรถยนต์ใหม่มาตรฐาน EURO5
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. ร่วมกับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดงานสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษา "การใช้น้ำมันไบโอดีเซล กับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO5" หลังจากดำเนินการศึกษาด้วยการใช้งานจริงเป็นเวลา 1 ปี ขับขี่บนท้องถนนเป็นระยะทางมากกว่า 90,000 กิโลเมตร โดยผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ไบโอดีเซลในรถยนต์สมัยใหม่ รองรับมาตรฐาน EURO5 ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2567
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
4 หน่วยงานวิจัย สกสว. สวรส. วช. ศลช. ร่วมผนึกกำลังทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช.  ต่อยอด ชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ
For English-version news, please visit : MTEC-NSTDA and four research agencies plan to bring patient isolation innovations to local and international markets (3 กรกฎาคม 2566) ที่ห้อง SD 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) พร้อมด้วยคณะวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรับมือโรคโควิด-19 สู่การเตรียมความพร้อมเพื่ออนาคต ร่วมแถลงความสำเร็จของผลการวิจัยและพัฒนาชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ได้แก่ PETE (พีท) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ และ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ที่เริ่มต้นพัฒนาจากประเด็นปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และได้เข้าไปสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั่วประเทศแล้วกว่า 120 แห่ง ซึ่งปัจจุบันยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายผลการนำไปใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เข้าถึงพื้นที่พิเศษอีกด้วย โดยมี นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและดำเนินงานวิจัยพัฒนา และ ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมแถลงบทบาทและการมีส่วนร่วมผลักดันชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ประสบความสำเร็จ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านเครื่องมือแพทย์เพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ที่นอกจากจะมีความปลอดภัย และประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังมีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ 2-3 เท่า ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระบาดระลอกแรกในประเทศไทยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 คณะวิจัยจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์หลายหน่วยงาน อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณเบื้องต้น เพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรม PETE (พีท) เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด และอำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากเปล นำใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล จากนั้นจึงได้ทุนวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม ทำการทดสอบชุดอุปกรณ์ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ จนกระทั่งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด และได้ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์ กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หลังจากนั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บริษัท มติชน จำกัด บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมถึงประชาชนที่ร่วมบริจาคงบประมาณในการพัฒนา เปล PETE ซึ่งได้ส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ต่าง ๆ รวมถึงปัจจุบันแล้วกว่า 120 ชุดทั่วประเทศ และปัจจุบัน เอ็มเทคได้รับทุนวิจัยจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) เพื่อขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ ดร.จุลเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamber for Home Isolation) นั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยทีมวิจัยได้ต่อยอดองค์ความรู้จากการพัฒนาเปล PETE เป็นเต็นท์ความดันลบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับผู้ป่วยสีเขียวที่จำเป็นต้องทำ Home isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ หรือทำการรักษา เช่น พ่นยา ซึ่งก็ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์จนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อเป็นการชั่วคราวได้ ลดระยะเวลา ลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร ตลอดจนชิ้นงานทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ ซึ่งในการส่งมอบแก่หน่วยงานผู้ใช้แต่ละครั้ง เอ็มเทคได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อใช้งานร่วมกับเต็นท์ความดันลบ HI PETE อีกด้วย นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมครั้งนี้ กล่าวว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอย่างโรคโควิด-19 หรือโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดที่จำเป็นต้องมีห้องแยกผู้ป่วย (Isolation Room) และอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Isolation chamber) เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่ง สวรส. ได้สนับสนุนให้ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ผลิตและพัฒนาชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ ที่นอกจากจะมีความถูกต้องเหมาะสมด้านวิศวกรรมและวิชาการแล้ว ชุดนวัตกรรม เปลพีท (PETE) และเต็นท์ไฮพีท (HI PETE) ยังพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเป็นห้องฉุกเฉินที่ติดตั้งได้ง่าย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จัดเก็บได้รวดเร็ว ซึ่งมีการพัฒนาด้านการออกแบบให้เหมาะกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น รวมทั้งการนำเข้าสู่กระบวนการทดสอบจนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าตามมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมวิจัยดังกล่าว ยังสามารถขยายผลการใช้ประโยชน์ไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามสถานการณ์การระบาดได้อีกด้วย นายแพทย์นพพร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ สวรส. บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดการขยายผลสู่การพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวม สวรส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยในเรื่องนี้ เพื่อให้เครือข่ายนักวิจัยสามารถพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ  ตลอดจนสนับสนุนการนำ องค์ความรู้ที่มีอยู่มาทำให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์  ซึ่งในแง่ของการรับมือความรุนแรงและผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำนั้น นวัตกรรมนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศได้เป็นอย่างมาก คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมาตั้งแต่ปี 2563 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในเชิงวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ โดยในส่วนของวิชาการ วช. ได้สนับสนุนการศึกษาวิจัยลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย และสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยโครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและสังคม และส่วนของนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์นั้น วช. ได้ในการสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ในปี 2564 ให้ดำเนินโครงการการขยายผลการใช้งานต้นแบบเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ โดยได้ทำการส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ 16 แห่ง อีกทั้งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยประเมินผลกระทบต่าง ๆ ได้แก่ การลดต้นทุนของหน่วยงาน ด้านงบประมาณในการจัดหา/นำเข้า อุปกรณ์การแพทย์ราคาแพงและมีความจำเป็นในสถานการณ์โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติภารกิจรับส่งผู้ป่วย ที่มีเครือข่ายรถพยาบาลจากทีมอาสากู้ภัย ที่รอรับส่งผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อจากบ้านไปส่งโรงพยาบาล รวมไปถึงการลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บของผู้ป่วยจากการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นร่วมด้วย เช่น ท่อเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ เป็นต้น และจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลหลาย ๆ จุด และจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้า-ออก เปลหลายรอบ ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) หรือ TCELS กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ ศลช. คือการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ (Flagships) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันด้านการแพทย์และสุขภาพ โดยเน้นการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพช่วงปลายน้ำ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่เป็นนวัตกรรมระดับสูงและมูลค่าสูง ให้เป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยในปี 2566 ถึง 2568 ศลช. จะได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค ดำเนินโครงการร่วมกับบริษัทผู้ผลิตในประเทศในการขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ โดยชูประเด็นการผลิตเครื่องมือแพทย์มูลค่าสูงเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาคณะวิจัยได้ดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน อาทิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองบินตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ  พร้อมจัดทำรายงานทางคลินิก (Clinical Safety and Performance Study) และจัดทำผลการเก็บข้อมูลการติดตามเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ หลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในประเทศ ตาม พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานจริง จากสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน มูลนิธิกู้ภัย ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดเตรียมข้อมูลเพื่อขยายผลผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ การจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) สำหรับเครื่องมือแพทย์อีกด้วย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าโครงการ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ประกอบด้วยเปล PETE ที่ปัจจุบันพัฒนามาได้ถึงรุ่นที่ 9 แล้ว และเต็นท์ HI PETE โดยเฉพาะรุ่น Balloon (บอลลูน) ที่ได้นำเสนอในครั้งนี้ มีจุดเด่นเรื่อง “ติดตั้งง่าย ปลอดภัย และได้มาตรฐาน” จึงสามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที ผลสำเร็จของผลงานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน และร่วมให้ความเห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลวิภาวดี แหล่งทุนวิจัยต่าง ๆ  ได้แก่ สกสว. สวรส. วช. ศลช. สวทช. รวมถึงภาคเอกชน ได้แก่ เครือมติชน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน และประชาชนที่ให้การบริจาค ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความถูกต้องทางวิศวกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนให้ต่อยอดขยายผลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการได้รับคำแนะนำด้านการทดสอบมาตรฐานจากกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) มาตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลดีต่อบุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมั่นได้ว่ามีมาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับบุคลากรผู้อยู่หน้างานได้อย่างมาก อย่างไรก็ดีทั้งเปลและเต็นท์ความดันลบนี้ จะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของทีมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำหัตถการ อำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด หรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปล ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ชุดผลงานนวัตกรรมก็สามารถใช้รองรับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ได้ หรือหากวันใดที่เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อื่น ๆ ขึ้นประเทศไทยก็จะพร้อมรับมือ โดยไม่ต้องตื่นตะหนกและสามารถลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศและช่วยให้พึ่งพาระบบสาธารณสุขในประเทศได้อย่างแท้จริง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 25 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 5 ผลักดัน..!! เยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(วันที่ 3 กรกฎาคม 2566) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง จัดพิธีแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) ระยะยาวรุ่นที่ 25 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 5 โดยสนับสนุนทุนการศึกษาและทุนวิจัยให้แก่เด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการคัดเลือก จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกจากสถาบันการศึกษาในประเทศ และดำเนินโครงการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (JSTP-SCB) โดยหลังจากกิจกรรมปฐมนิเทศแล้ว เยาวชนทั้งหมดจะได้เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรม ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ หาดตะวันรอน จ.ชลบุรี วันที่ 3 -5 กรกฎาคม 2566 โดยวิทยากรจากธนาคารไทยพาณิชย์ จะมาให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนในเรื่อง “ความรู้ทางการเงินและการวางแผนทางการเงิน และการจัดการสินทรัพย์” พร้อมด้วยกิจกรรมทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ อีกด้วย ทั้งนี้ ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.  และ นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนหน่วยงานกล่าวแสดงความยินดีและมอบทุนให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือก โดยในปีนี้มีผู้มีคุณสมบัติผ่านและได้รับทุนจำนวน 11 คน ประกอบด้วย ทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 6 คน และ JSTP-SCB จำนวน 5 คน ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. มีเป้าหมายในการเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยให้คำดูแล แนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรมต่อไปในอนาคต เยาวชนได้มุ่งมั่นดำเนินโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างๆของโครงการฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ารับการส่งเสริมในระยะยาว จำนวน 6 คน ซึ่งเป็นเยาวชนที่มาจากกลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดย สวทช. โดยความร่วมมือจากกรรมการสาขาต่างๆ ซึ่งเยาวชนกลุ่มนี้จะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและการทำวิจัย รวมทั้งการส่งเสริมด้วยกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์/นักวิจัยต่อไปในอนาคต นอกจากเยาวชนในโครงการ JSTP รุ่นที่ 25 ยังมีเยาวชนในโครงการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (โครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 5) ซึ่งคัดเลือกจากเยาวชนในโครงการ JSTP-SCB ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้รับทุน จำนวน 5 คน เพื่อเข้าสู่การรับทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัยในระดับปริญญาตรี รวมทั้งเชื่อมโยงและส่งต่อการรับทุนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เป็นสถานที่บ่มเพาะเด็กและเยาวชน ให้มีใจไฝ่รักในวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของ สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนทุกท่านจะได้รับความรู้ความเข้าใจในกระบวนการส่งเสริมนักเรียนทุนของ สวทช. ได้รับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับวิทยากร และสร้างเครือข่ายในกลุ่มเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษร่วมกัน เพื่อที่จะได้บูรณาการองค์ความรู้ ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ มุ่งมั่นสู่การเป็นนักวิจัยที่ดีต่อไปในอนาคต ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย ด้าน นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะ เยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ธนาคาร ให้ความสำคัญ ด้วยตระหนักดีว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการพัฒนา ประเทศ ซึ่งต้องวางรากฐานตั้งแต่เป็นเยาวชน ธนาคารจึงได้ให้การสนับสนุนโครงการพัฒนา อัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชนของ สวทช. JSTP-SCB ตั้งแต่ ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อค้นหา บ่มเพาะ และส่งเสริมพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้มีความสามารถ สูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของวงการวิทยาศาสตร์ การวิจัยและ นวัตกรรมของประเทศ ที่จะเกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับน้อง ๆ ทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเข้มข้น จนได้รับเป็นนักเรียนทุนในโครงการ JSTP และ JSTP-SCB ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ พิเศษในระดับอัจฉริยะ จึงขอฝากให้น้อง ๆ ทุกคนที่ได้รับโอกาสแสวงหาความรู้ และเก็บเกี่ยว ประสบการณ์จากกิจกรรมค่ายต่าง ๆ ที่ได้รับการบ่มเพาะของโครงการที่จะจัดขึ้นมาเป็นต้นทุนชีวิตใน การพัฒนาทักษะ ความรู้ และความสามารถของตนเอง และสามารถสร้างสรรค์ผลงานด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโอกาสศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่สูงขึ้นในอนาคต ตลอดจนค้นพบ เส้นทางในการประกอบอาชีพ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรมของประเทศไทยต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 12 ประจำเดือนมีนาคม 2566
ข่าว สวทช. จับมือ มรภ. ลำปาง ลงนามความร่วมมือสู่ชุมชน มุ่งเน้นเกษตร บริหารจัดการน้ำ กำลังคน สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน “วันนักประดิษฐ์ 66” สวทช. นำ “แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ผลงานวิจัยสายกรีนให้เยาวชน วาดลวดลายอวดงานศิลปะ ‘วันนักประดิษฐ์ 66’ สวทช. ร่วมศูนย์ SEAMEO STEM-ED เสริมแกร่งครูไทย จัดอบรมความรู้ 'วัคซีนสู้โรค' เนคเทค สวทช. ผนึกพันธมิตรจัดงานวันรวมพลคน KidBright ครั้งที่ 4 หวังชู “KidBright” เป็นแพลตฟอร์มการศึกษา เตรียมพร้อมเยาวชนไทยสู่พลเมืองดิจิทัล นักวิจัย สวทช. รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ในงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 สวทช. ผนึกกำลัง สสน. หนุนระบบนิเวศวิจัย ด้านการบริหารจัดการน้ำ เกษตร และพลังงานของประเทศ คณะรัฐบาลกรุงมอสโก ลงพื้นที่สำนักงานใหญ่ EECi จ.ระยอง หารือโอกาสความร่วมมือด้านการพัฒนานวัตกรรม สวทช. ร่วมกับองค์กรพันธมิตร อัปเดตเทรนด์เทคโนโลยี  เตรียมแผนรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ต้องระวัง ปี 66 สวทช. ผนึก กรมการขนส่งทางราง และ สทร. หนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน Thailand International Science Fair: TISF 2023 สวทช. เปิดพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ สรพ. เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล EECi สวทช. เดินหน้าขยายผลนวัตกรรม “ถุงห่อทุเรียน” เพิ่มคุณภาพสู่ ทุเรียนพรีเมี่ยม ด้วย วทน. สวทช. จัดงานสัมมนา “Sustainability in Food Industry” เสริมแกร่งธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร สวทช. เปิดเวทีต่อยอดผลงาน โครงการ SUCCESS 2022 เชื่อมโยงการใช้ระบบนิเวศวิจัย ด้าน วทน. บทความ ลุยสวน “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” ใช้เทคโนโลยีพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง  Download เอกสารฉบับเต็ม (15MB)  
จดหมายข่าว สวทช.
 
สัมมนาวิชาการที่ไม่ควรพลาด! “ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 ด้วยสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา”
ปักหมุด สัมมนาวิชาการที่ไม่ควรพลาด! "ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 ด้วยสิทธิบัตรและทรัพย์สินทางปัญญา" . ชวนทุกท่านร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ โดยนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจในเรื่อง ประเภททรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรและความสำคัญ, แนวทางการจดทะเบียนสิทธิบัตร และแนวทางการนำสิทธิบัตรไปใช้ประโยชน์ โดย คุณนนทพจน์ อิสสริยะกุล นักวิชาการตรวจสอบสิทธิบัตรชำนาญการ กรมทรัพย์สินทางปัญญา . กล่าวเปิดงานและนำเสนอบริการ สวทช. เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย สู่ Industry 4.0 โดย ดร.รวีภัทร ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ . วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 – 16.30 ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/FXXR5LUEFxEdLm3K9 โดยทีมงานจะส่ง link เข้าร่วมสัมมนาทางอีเมล์ของท่าน
ปฏิทินกิจกรรม