ในยุคสังคมข่าวสารที่ต้องแข่งขันกันด้วย ICT ย่อมหนีไม่พ้นกระแสการจัดการความรู้ การพัฒนาให้องค์กรก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ทุกหน่วยงานต่างแสวงหาทั้งกระบวนการและเครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการความรู้ของตนเอง หากท่านลองหันมามองที่ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สซึ่งส่วนมากเริ่มต้นด้วยหลักศูนย์บาท ท่านอาจจะพบว่า Dokuwiki ซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งในกลุ่มโอเพนซอร์สนี้เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ในการจัดการความรู้
คำว่า Wiki อาจจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยประทับใจของผู้ใช้จำนวนมากเพราะรู้สึกยุ่งยากซับซ้อนกับชุดคำสั่ง แต่ Dokuwiki จัดได้ว่าเป็น Wiki Tools ตัวหนึ่งที่ใช้งานได้ง่าย ชุดคำสั่งไม่ซับซ้อนเท่ากับ MediaWiki ที่ถูกนำไปใช้พัฒนาสารานุกรมเสรีระดับโลกอย่าง Wikipedia ทั้งนี้มีผู้พัฒนาเครื่องมือแปลงเอกสาร Word เป็น Dokuwiki ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับท่านที่ไม่ต้องการศึกษาคำสั่งของ Dokuwiki ก็ได้
Dokuwiki ทำงานบนเครื่องแม่ข่ายเว็บมาตรฐานทั่วไป โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบฐานข้อมูล ไม่ต้องอาศัยระบบจัดการฐานข้อมูลบนเว็บแต่มีระบบจัดการสมาชิก เว็บไซต์ และโปรแกรมเสริม (Plug-ins) ผ่านหน้าเว็บ สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเว็บไซต์ หน้าเนื้อหาได้อิสระ แต่พร้อมด้วยความสามารถที่ซอฟต์แวร์วิกิต่างๆ ควรจะมีทั้งระบบติดตามการแก้ไข (History, Review) ระบบตรวจสอบการแก้ไขเนื้อหาล่าสุด (Recent Change)
ด้วยโปรแกรมเสริมที่หลากหลาย ทำให้ Dokuwiki สามารถประยุกต์ใช้กับการจัดการความรู้และงานต่างๆ ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเสริมจัดการเกี่ยวกับสูตรสมการ การวาดภาพออนไลน์ การสร้างผังงานออนไลน์ การพิมพ์โน้ตเพลง การสใส่สูตรทางเคมี ทำให้สามารถใช้พัฒนาการเรียนรู้แบบร่วมมือของนักเรียน นักศึกษาตามแนวทาง Child Centered ได้เป็นอย่างดี ลองดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ http://www.stks.or.th/botany/wiki ที่ให้ครู อาจารย์ร่วมกันนำเนื้อหาทั้งข้อความ ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพสแกน บทความ บทกลอน บทเพลงมานำเสนอในลักษณะความร่วมมือภายใต้งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการพันธุกรรมพืชตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นอกจากนี้ Dokuwiki ยังช่วยให้การจัดการเอกสารสำนักงานเป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม เห็นภาพการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่การที่ทุกคนในองค์กรต้องเรียนรู้การใช้งานไปพร้อมๆ กัน ร่วมกัน และผสานกับการทำงานปกติ อันนี้น่าจะเป็นแนวทางการก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม มากกว่าการที่จะให้เหตุผลที่ไม่ใช้ Dokuwiki ว่า ต้องลงรหัสคำสั่ง ทำให้ยากในการใช้งาน เป็นแบบนี้แล้วจะก้าวสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ต้องเริ่มจากตัวคนได้อย่างไร
ขณะนี้หลายๆ องค์กร ประสบปัญหา Internet Traffic ที่ค่อนข้างเต็ม รวมถึงพื้นที่การใช้งาน Storage ของ Mail Server ที่ใกล้จะเต็ม เพราะทุกคนเอาแต่แนบไฟล์ไปกับอีเมล ไปกับระบบ e-Office ทั้งๆ ที่ข้อความในเอกสารแนบ มีไม่มาก หรือไม่เหมาะสมที่จะแนบ หากลองหันมาใช้ Dokuwiki จะพบว่าปริมาณพื้นที่ Storage และ Internet Traffic อาจจะลดลงได้ (ลองดูกันไหมครับ) อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะการเขียน การสื่อสาร และการสนทนา (ออนไลน์) กันมากขึ้น รวมถึงการยอมรับการปรับแก้ไขโดยผู้อื่น เพราะ Dokuwiki ยอมให้ทุกคนร่วมกันแก้ไขได้ (แต่หากองค์กรใดไม่มีลักษณะนี้ ก็คงไม่สามารถใช้ Dokuwiki หรือซอฟต์แวร์ในกลุ่ม Wiki ได้อย่างแน่นอน)
แล้วทำไมต้องเป็น Dokuwiki จริงๆ แล้ว สวทช. โดย STKS ภายใต้คำแนะนำของ ดร.ทวีศักดิ์ ไม่ได้คาดหวังว่าทุกหน่วยงานต้องใช้ Dokuwiki หรอกครับ จะใ้ช้ Wiki Tools ตัวใดก็ได้ หรือเครื่องมือใดก็ได้ที่เหมาะสมกับบุคลากร องค์กร สำหรับเหตุผลที่ STKS เลือกใช้ Dokuwiki ก็คงจะต้องเริ่มจากการเข้าไปศึกษา Wiki Tools ต่างๆ ผ่านเว็บ http://www.wikimatrix.org/ แล้วเปรียบเทียบความสามารถของ Wiki Tools ต่างๆ จากนั้นจึงนำมาทดลองใช้งาน พบว่าชุดคำสั่งของ Dokuwiki ไม่ซับซ้อน การจัดการต่างๆ ผ่านเว็บทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการ มีโปรแกรมเสริมหลากหลายนั่นเอง
สำหรับท่านที่สนใจศึกษาว่ามีใครบ้างใช้ Dokuwiki ลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ดังนี้ดูนะครับ
- วิกิห้องสมุดสตางค์ มงคลสุข ม.มหิดล
- สารานุกรมวิทยาศาสตร์ เพื่อประชาชน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- Knowledge and Collaboration Platform for the KINDML Lab
ผู้เขียนคาดหวังว่า Dokuwiki น่าจะเป็นเครื่องมือในใจของท่านหรือองค์กรท่าน ทั้งนี้ท่านที่สนใจ Dokuwiki สามารถศึกษาโปรแกรมได้จากเว็บไซต์ของ STKS



ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง มักจะส่งผลให้กระแสไฟฟ้าในพื้นที่ประสบภัยถูกตัดและดับเป็นระยะเวลาอันยาวนาน การติดต่อสื่อสารเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากผู้ประสบภัยเป็นไปได้อย่างลำบาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค / สวทช. จึงแนะนำวิธีการสร้างเครื่องชาร์จไฟโทรศัพท์ในยามฉุกเฉินด้วยการนำแบตเตอรี่ 12 โวลท์จากรถยนต์มาประยุกต์ใช้สร้างเป็นเครื่องชาร์จไฟโทรศัพท์เพื่อให้สามารถติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือผ่านทางมือถือได้ โดยวิธีการเริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์แบตเตอรี่ 12 โวลท์จากรถยนต์ อินเวอร์เตอร์แปลงแรงดันจาก 12 โวลท์ดีซี เป็น 220 โวลท์เอซี โดยขนาดของอินเวอร์เตอร์ในท้องตลาดมีตั้งแต่ขนาด 80 วัตต์ จนถึง 1000 วัตต์ซึ่งสายไฟสำหรับต่อกับแบตเตอรี่มักจะติดมากับอินเวอร์เตอร์อยู่แล้ว จากนั้นต่อพ่วงสายแบตเตอรี่สีแดงเข้าที่ขั้วบวก (+) และสายสีดำเข้าที่ขั้วลบ (-) ของทั้งฝั่งอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ เท่านั้นก็สามารถเสียบเครื่องชาร์จโทรศัพท์มือถือได้หลายเครื่องพร้อมๆ กันแล้ว แม้ว่าถ้าคำนวณประสิทธิภาพพลังงานจะพบว่าต่ำมาก แต่ในยามคับขันที่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกก็ถือว่ายอมรับได้ มีข้อควรคำนึงในการใช้งานคือ หากไม่ได้ใช้งานอย่าเสียบเครื่องชาร์ททิ้งไว้ เพราะแบตเตอรี่จะหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้ องค์ความรู้ข้างต้น แม้ในสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วไปก็สามารถนำไปใประยุกต์ใช้งานได้ เช่น เวลาแบตหมดในพื้นที่ห่างไกลชุมชน ฉะนั้น ควรหาซื้ออุปกรณ์แปลงแรงดันอินเวอร์เตอร์สำหรับต่อพ่วงเตรียมไว้ใช้งานพร้อมติดในรถเสมอๆ
แม้ว่าเราสามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้แล้วก็ตาม แต่ในยามเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ นั้น จะพบว่ามีความยากลำบากในการสื่อสารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากระบบสื่อสารล่ม การรายงานความเสียหาย ความต้องการในการติดต่อระหว่างพื้นที่ประสบภัยกับพื้นที่ภายนอกไม่สามารถทำได้ การสื่อสารเพื่อสอบถามทุกข์สุขจะเกิดขึ้นอย่างมากจนบ่อยครั้งทำให้ระบบสื่อสารหยุดทำงาน นอกจากนี้ คนจำนวนมากต้องติดต่อเพื่อร้องขอความช่วยเหลือและคนอีกจำนวนมากก็กำลังขอรับบริจาคและจัดหาความช่วยเหลือมายังพื้นที่อุบัติภัยเหล่านั้น ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวระบบสื่อสารต้องทำงานหนักขึ้นกว่าสิบเท่าตัวของการใช้งานตามปกติและบ่อยครั้งระบบสื่อสารที่มีอยู่ก็ล่มสลายหรือชำรุดไปกับการโจมตีของภัยเหล่านั้นอีก ด้วยต้องใช้เวลาหลายวัน จึงจะสามารถบริการประชาชนได้ หากระบบโทรศัพท์สามารถใช้งานได้ปกติ ก็อาจประสบปัญหาช่องสัญญาณโทรศัพท์มีไม่เพียงพอ เพราะความต้องการใช้งานโทรศัพท์ในยามฉุกเฉินสูงกว่าปกติเป็นอย่างมาก
ขึ้นโดย เนคเทค / สวทช. ที่ได้นำมาประยุกต์ใช้เพื่อเตือนภัยน้ำท่วมสำหรับประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย โดยโปรแกรม Traffy เป็นระบบประเมินและรายงานสภาพจราจรแบบ Real Time ทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลจราจรที่แจ้งระดับความติดขัด การก่อสร้าง และอุบัติเหตุ พร้อมแสดงรูปภาพและพิกัดตำแหน่ง ช่วยวางแผนก่อนออกเดินทางและตรวจสอบสภาพจราจรเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีความติดขัด ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งในภาวะฉุกเฉินอย่างสถานการณ์น้ำท่วมยังสามารถใช้เตือนภัยในเส้นทางที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นๆ ได้ด้วย การใช้งานให้เข้าไปที่หน้าเว็บ
แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ ๒) ของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๖ ฉบับเสนอผ่านความเห็นชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมือวันที ๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ โดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
