การจัดการความรู้ของ Dave Snowden

Dave Snowden กล่าวว่า องค์กรต้องมีการจัดความรู้ เพื่อปรับปรุงประสิทธิผลของการตัดสินใจในองค์กร และเพื่อสร้างนวัตกรรม ทั้งนี้มีการจัดการความรู้อยู่ 3 ประเภท คือ

  1. Content Management คือ การจัดการความรู้ประเภท Explicit โดยเน้นการจัดระเบียบเอกสาร หรือโครงสร้างต่างๆ
  2. Narrative Management เป็นการจัดการความรู้โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่รู้มา ภายใต้แนวคิดที่ว่าเราไม่สามารถเขียนทุกเรื่องออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการเขียน ดังกล่าวที่ว่า “We know more than we can say, we’ll always say more than we can write down: เรารู้มากกว่าเราพูดและเราพูดมากกว่าเขียน” การใช้เทคนิคนี้ต้องเชื่อมต่อระหว่างวิธีการสื่อที่น่าสนใจและเนื้อหาสาระที่ต้องการสื่อ
  3. Context Management เป็นการจัดการความรู้โดยใช้กิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้โดยเครือข่ายทางสังคม

การจัดการความรู้ในแนวคิดนี้ เน้นทั้งด้านการจัดการกับสาระและการสร้างการแลกเปลี่ยนไหลเวียนของความรู้ ดังนั้น จะให้ความสำคัญกับการจัดการในละลักษณะ Context และ Narrative มากกว่า Content Management

บรรณานุกรม

บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.

ประเภทความรู้แนวคิด ASHEN

การจัดการความรู้ต้องอาศัยหลักศิลปะหรือธรรมชาติมากกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์ของ Dave Snowden โดยให้แนวคิดว่าความรู้มีตั้งแต่ประเภทที่เป็นนามธรรมยากต่อการบริหารจัดการ จนกระทั่งถึงที่เป็นรูปธรรม หรือเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน สามารถจัดการได้ง่ายๆ เรียกว่า “ASHEN” ซึ่งมาจากคำว่า

  • Artefacts: เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบของเอกสาร ลายลักษณ์อักษร
  • Skills: เป็นทักษะ หรือสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถทำงานได้ หรือประสบความสำเร็จ
  • Heuristics: ความรู้ซึ่งเกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ หรือจากเหตุผลต่างๆ ที่มี
  • Experience: ประสบการณ์ ซึ่งยากในการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะตน
  • Natural Talent: พรสวรรค์  หรือสิ่งที่ธรรมชาติให้มา ซึ่งยากที่จะบริหารจัดการได้ เป็นความรู้ที่ฝังลึกและยากในการถ่ายทอดมากที่สุด

บรรณานุกรม

บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.

หลักการจำแนกความรู้ (Trapp, 1999)

Trapp (1999) ได้ให้หลักการจำแนกความรู้ตามการเน้นที่แตกต่างกันใน 4 ลักษณะดังนี้

  1. จำแนกตามแหล่ง (Location) แบ่งเป็นความรู้ภายในกับความรู้ภายนอก (internal vs. external knowledge)
  2. จำแนกตามเวลา (Time) แบ่งเป็นความรู้ในปัจจุบันกับความรู้ในอนาคต (actual vs future knowledge)
  3. จำแนกตามรูปแบบ (From) แบ่งเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดแจ้ง กับความรู้โดยนัย (explicit vs. tacit knowledge)
  4. จำแนกตามเจ้าของ (Owner) แบ่งเป็นความรู้เฉพาะตัวบุคคล กับความรู้สาธารณะ (private vs. common knowledge)

แหล่งที่มา : พรธิดา วิเชียรปัญญา. การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ “แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความรู้”. กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2547.

ลักษณะต่างๆ ของความรู้

1. ความรู้ที่เกิดจากวัฒนธรรม (Cultural Knowledge)
เป็นความรู้ที่เกิดจากศรัทธา หรือความเชื่อที่ทำให้กลายเป็นความจริง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ การเฝ้าสังเกต และการสะท้อนผลกลับของตัวความรู้และของสภาพแวดล้อม องค์การที่พัฒนามาเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันอย่างยาวนาน จะพัฒนาความเชื่อร่วมกันในเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมชาติของธุรกิจ ความสามารถหลักขององค์กรการตลาด และคู่แข่งขัน

2. ความรู้ที่แฝงอยู่ในองค์การ (Embedded Knowledge)
เป็นความรู้ที่อยู่ในวิธีการทำงาน คู่มือการทำงาน วัฒนธรรมองค์การ กฎระเบียบ กระบวนการผลิต เป็นต้น


แหล่งที่มา : พรธิดา วิเชียรปัญญา. การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ “แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความรู้”. กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2547.

ประเภทของความรู้

การแบ่งประเภทของความรู้ มองได้ในหลายมิติ แต่มิติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือมองในด้าน “รูปแบบที่มองเห็น” ซึ่งมี 2 ประเภทดังนี้ (Choo, 2000; วิจารณ์ พานิช, 2546; คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544)

1. ความรู้โดยนัยหรือความรู้ที่มองเห็นไม่ชัดเจน (Tacit Knowledge)
จัดเป็นความรู้อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นทักษะหรือความรู้เฉพาะตัว ของแต่ละบุคคลที่มาจากประสบการณ์ ความเชื่อหรือความคิดสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน เช่น การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ผ่านการสังเกต การสนทนา การฝึกอบรม ความรู้ประเภทนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ เนื่องจากความรู้ประเภทนี้เกิดจากประสบการณ์ และการนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนั้น จึงไม่สามารถจัดให้เป็นระบบหรือหมวดหมู่ได้ และไม่สามารถเขียนเป็นกฎเกณฑ์หรือตำราได้ แต่สามารถถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ได้โดยการสังเกตและเลียนแบบ

2. ความรู้ที่ชัดแจ้งหรือความรู้ที่เป็นทางการ (Explicit Knowledge)
เป็นความรู้ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และใช้ร่วมกันในรูปแบบต่างๆ เช่น สิ่งพิมพ์ เอกสารขององค์การ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ อินทราเน็ต ความรู้ประเภทนี้เป็นความรู้ที่แสดงออกมาโดยใช้ระบบสัญลักษณ์ จึงสามารถสื่อสารและเผยแพร่ได้อย่างสะดวก


แหล่งที่มา : พรธิดา วิเชียรปัญญา. การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ “แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความรู้”. กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2547.

ช่องว่างของความรู้ (Knowledge Gaps)

Davenport and Prusak (1988) กล่าวว่า “ความรู้ หมายถึง ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ ที่เป็นสภาพแวดล้อมและกรอบการทำงานสำหรับการประเมินและรวมกันของประสบการณ์และสารสนเทศใหม่”

Srinivas กล่าวว่า “ช่องว่างของความรู้ (Knowledge Gaps) โดยสรุปว่า ช่องว่าของความรู้ที่แสดงให้เห็นถึง “ตนเองไม่มีความรู้” เป็นหนทางหนึ่งขององค์การในการพัฒนาบุคคล โดยใช้กระบวนการของการจัดการความรู้เพื่อลดช่องว่างและเติมเต็มความรู้ให้กับบุคลากรเหล่านั้น

ภาพช่องว่างความรู้ของ Srinivas

gb-km

แหล่งที่มา : พรธิดา วิเชียรปัญญา. การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ “แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดการความรู้”. กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2547.

กระบวนการของการจัดการความรู้

ขอขอบเขตของการจัดการความรู้มีความกว้างขวางและซับซ้อนครอบคลุมถึงศาสตร์ต่างๆ จำนวนมาก ได้แก่ การบริหารจัดการ การปฏิบัติและหลักปรัชญา เทคโนโลยี กลยุทธ์ และลักษณะพฤติกรรมของมนุษย์ ทั้งนี้โดยมีแกนหลักที่สำคัญคือ “กระบวนการของการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process)” ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการหลักๆ ที่สำคัญ คือ

  1. การจัดหาความรู้ (Knowledge Acquisition)
  2. การจัดเก็บและค้นคืนความรู้ (Knowledge Storage and Retrieval)
  3. การใช้ความรู้ (Knowledge Usage/Utilization)
  4. การเคลื่อนย้าย/กระจายการ/การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Transfer/Distribution/Sharing)
  5. การสร้างความรู้ใหม่ (New Knowledge Creation) เป็นวัฏจักรที่สืบเนื่องกัน

(Sveiby, 2003; Wiig, 2003; Kucza, 2001; Probst & Others, 2000; Trapp, 1999; Marquardt, 1996)


แหล่งที่มา : พรธิดา วิเชียรปัญญา. การจัดการความรู้ : พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ “การจัดการความรู้สำคัญและจำเป็นอย่างไรสำหรับสังคมแห่งความรู้และองค์การยุคใหม่”. กรุงเทพมหานคร : ธรรกมลการพิมพ์, 2547.

อะไรคือกลยุทธ์ของคุณในการจัดการความรู้

บริษัทต่างๆ ที่สามารถใช้ความรู้อย่างมีประสิทธิผล ได้เลือกใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้อันใดอันหนึ่งขึ้นมาเป็นหลักเสียก่อน และใช้กลยุทธ์อันที่สองเป็นตัวสนับสนุน แต่ถ้าคุณพยายามใช้มันทั้งสองอย่างแบบพอๆ กัน คุณก็เสี่ยงที่จะล่มทั้งสองแนวทาง!

คำถาม 3 ประการดังต่อไปนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า แนวทางใดเหมาะสมที่สุดสำหรับกลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรของคุณ

  1. สิ่งที่คุณนำเสนอต่อลูกค้าคืออะไร ผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานหรือผลิตภัณฑ์ตามสั่ง?
  2. คุณมีผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แล้ว หรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระหว่างการสร้างสรรค์ใหม่ๆ
  3. คนของคุณพึ่งพิงกับความรู้ที่ชัดแจ้ง หรือความรู้โดยนัยในการแก้ไขปัญหา?

สาระสำคัญของเรื่องนี้
“บางบริษัทมีการจัดการความรู้โดยระบบอัตโนมัติ ในขณะที่บริษัทอื่นๆ กลับพึ่งพาบุคคลเพื่อแบ่งปันความรู้ผ่านทางวิธีการเดิมๆ ที่เคยใช้มา การเน้นกลยุทธ์ที่ผิด หรือการพยายามที่จะนำเอาแนวทางทั้งสองนี้ไปใช้ในเวลาเดียวกัน ก็อาจจะทำลายธุรกิจของคุณได้!” … Morten T. Hanse, Nitin Nohria และ Thomas Tierney

 


ที่มา : หนังสือ องค์กรชั้นยอดการจัดการคน + ความรู้. ส่วนที่ 1 : อะไรคือกลยุทธ์ของคุณในการจัดการความรู้?.

องค์กรชั้นยอดการจัดการคน+ความรู้ : How Organization Get Smart-and Stay Smart

องค์กรยุคใหม่จะยอดเยี่ยมและยั่งยืนได้ จะต้องมีการกำหนดกลยุทธ์ใน “การจัดการความรู้” และมีวิธีดำเนินการใน “การสร้างความรอบรู้” ที่ลึกล้ำ ตลอดจนต้องมีกลยุทธ์ใน “การจัดการกับคน” ทุกๆ ระดับ ทั้ง ผู้จัดการ หัวหน้าหน่วยงาน และคนทำงาน

ที่มา : (ข้อความจากปกหน้า) หนังสือ องค์กรชั้นยอดการจัดการคน+ความรู้ : How Organization Get Smart-and Stay Smart

เมื่อพูดถึงความรู้ เราหมายถึงอะไร

เมื่อเราพูดถึงความรู้ เราหมายถึงอะไร?

ความรู้คือ กรอบของการประสมประสานระหว่างประสบการณ์ ค่านิยม ความรอบรู้ในบริบท และความรู้แจ้งอย่างช่ำชอง เป็นการประสมประสานที่ให้กรอบสำหรับการประเมินค่า และการนำเอาประสบการณ์กับสารสนเทศใหม่ๆ มาผสมรวมเข้าด้วยกัน มันเกิดขึ้นและถูกนำไปประยุกต์ในใจของคนที่รู้ สำหรับในแง่ขององค์กรนั้น ความรู้มักจะสั่งสมอยู่ในรูปของเอกสาร หรือแฟ้มเก็บเอกสารต่างๆ รวมไปถึงสั่งสมอยู่ในการทำงาน อยู่ในกระบวนการ อยู่ในการปฏิบัติงานและอยู่ในบรรทัดฐานขององค์กรนั่นเอง


แหล่งที่มา : โทมัส เอช. ดาเวนพอร์ท. และ ลอเรนซ์ พรูแซค. การจัดการความรู้ : เทคนิคในการแปรความรู้สู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน. แปลโดย นิทัศน์ วิเทศ. กรุงเทพมหานคร : เออาร์ บิซิเนสเพรส, 2542.