คุณธรรม 8 ประการของการจัดการความรู้

  1. ศีลธรรมพื้นฐาน ศีลธรรมพื้นฐานของสังคมคือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ศีลธรรมพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การจัดการความรู้มีพื้นฐานอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ความรู้ที่อยู่ในตัวคนทุกคน จึงเป็นรูปธรรมแห่งการปฏิบัติที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน
  2. การไม่ใช้อำนาจ การใช้อำนาจจะไปปิดกั้นกระบวนการตามธรรมชาติ คือ การรับรู้ เรียนรู้ งอกงาม ถักทอเครือข่าย เมื่อใช้อำนาจจะทำให้กระบวนการตามธรรมชาติบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
  3. การฟังอย่างลึก (deep listening) การนำความรู้ที่แฝงเร้นในตัวออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ต้องมีการคุยที่เน้นการฟังอย่างลึก ไม่ใช้โต้เถียงกันโดยหวังเอาชนะ การฟังอย่างลึกและเงียบ จิตใจสงบ มีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เกิดปัญญา
  4. วิธีการทางบวก คือ เอาความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของสิ่งที่เคยทำด้วยดีเป็นตัวตั้ง นำมาเห็นคุณค่าและชื่นชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดให้งดงามและมีประโยชน์ยิ่งขึ้น วิธีการทางบวกทำให้มีความปิติ มีกำลังใจ มีความสามัคคี และมีพลังสร้างสรรค์ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในอนาคต
  5. การเจริญธรรมะ 4 ประการ ที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ร่วมกัน ปกติมนุษย์เรียนรู้ร่วมกันยากเพราะกิเลส เช่น ความโกรธ ความเกลียด อหังการ การจะเรียนรู้ร่วมกันควรเจริญธรรมะ 4 ประการ ได้แก่ ความเอื้ออาทร ความเปิดเผย ความจริงใจ และความเชื่อถือไว้วางใจกัน
  6. การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (interactive learning through action) เป็นอิทธิปัญญา ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่เนื่องด้วยการปฏิบัติและการจัดการความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ให้การปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเป็นผลสำเร็จ
  7. การถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและสังคม การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้บุคคลทั้งโดยตัวบุคคลหรือภายในองค์กรเดียวกันหรือข้ามองค์กรเข้ามาเชื่อมโยงกันโดยความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แต่เชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นเครือข่ายทั้งภายในองค์กรและข้ามองค์กร
  8. การเจริญสติในการกระทำ การเจริญสติคือการรู้ตัว ทำให้จิตใจสงบ มีอิสรภาพ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น สัมผัสความจริงได้ ควบคุมความคิด การพูดและการกระทำได้ ทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นความงาม ความดี และความสุข

แหล่งที่มา : “การจัดการความรู้”. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).

บุคคลที่มีส่วนร่วมในการจัดการความรู้

ในกระบวนการการจัดการความรู้ในแต่ละองค์กร ควรประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้

  1. “คุณเอื้อ” คือผู้ที่ทำให้เกิดผลงาน KM มีหน้าที่คัดเลือกหาทีมงานจากหลายสังกัดมาเป็นแกนนำ สนับสนุนทรัพยากรแก่ทีมงานอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกิดจากความสำเร็จหลากหลายรูปแบบ
  2. “คุณอำนวย” ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  ทั้งในเชิงกิจกรรม เชิงระบบ และเชิงวัฒนธรรม
  3. “คุณกิจ” ผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ร้อยละ 90-95 อาจสรุปได้ว่าคุณกิจคือผู้จัดการความรู้ตัวจริง เป็นผู้มีความรู้ (Explicit Knowledge) และเป็นผู้ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อการปฏิบัติให้บรรลุถึง “เป้าหมาย/หัวปลา” ที่ตั้งไว้
  4. “คุณลิขิต” ทำหน้าที่จดบันทึก ในกิจกรรมการจัดการความรู้ อาจทำหน้าที่เป็นการเฉพาะกิจ หรือทำหน้าที่เป็นระยะยาว กึ่งถาวรในกิจกรรมจัดการความรู้ของกลุ่ม หรือ หน่วยงาน หรือองค์กร สิ่งที่ “คุณลิขิต” จดบันทึกได้แก่ เรื่องเล่าจากกิจกรรม ขุมความรู้จากกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บันทึกการประชุมและบันทึกอื่นๆ
  5. “คุณวิศาสตร์” คือ นัก IT ที่เข้ามาช่วยเป็นทีมงาน KM คำว่า “วิศาสตร์” มาจากคำว่า “IT wizard” หรือพ่อมดไอที จะเข้ามาช่วยคิดเรื่องการวางระบบ IT ที่เหมาะกับการดำเนินการ KM
  6. “คุณประสาน” ในการทำ KM แบบเครือข่าย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามองค์กร “คุณประสาน” จะทำหน้าที่ประสานงานให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกันภายในเครือข่าย ทำให้เกิดการเรียนรู้ฝังลึก เกิดการหมุนเกลียวความรู้ได้อย่างมีพลังมาก เรียกว่า “การหมุนเกลียวความรู้ผ่านเขตแดน”

แหล่งที่มา : “การจัดการความรู้”. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).

ประโยชน์ของการจัดการความรู้

ประโยชน์ของการจัดการความรู้

  • ทำให้องค์กรได้ทบทวนองค์ความรู้ขององค์กร (Organization’s Knowledge) ว่าจริงๆ แล้วองค์กรมีความรู้ (ความเก่ง) เรื่องไหน และความรู้นั้นสามารถแข่งกับคนอื่นได้หรือไม่
  • สามารถกำหนดจุดขายของตนเองได้ชัดเจนขึ้น เช่น เมื่อรู้ว่าองค์กรมีความรู้ด้านใด ก็นำมากำหนดเป็นผลิตภัณฑ์/บริการหลักขององค์กร
  • เพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจ เพราะมีข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ขององค์กรที่ถูกต้อง
  • เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงาน เพราะมีคลังความรู้ที่สามารถดึงความรู้นั้นมาช่วยแก้ปัญหา และทำให้งานประสบผลสำเร็จได้รวดเร็ว และง่ายขึ้น
  • ทำให้เกิดนวัตกรรม ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และกระบวนการทำงาน
  • ทำให้บุคลากรรู้ว่าจะพัฒนาตนเองไปในทิศทางใด และสามารถนำความเก่ง (ในด้านต่างๆ) มาพัฒนาองค์กรให้ถูกทาง

ที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.

การจัดการความรู้ คือ

การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) คือ การบริหารจัดการความรู้ที่ต้องใช้ ให้แก่คนที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และส่งผลให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนิยม “Right Knowledge Right People Right Time”


แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.

Right Knowledge Right People Right Time

การทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ความรู้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าองค์กรจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าขาดซึ่งความรู้แล้วโอกาสอยู่รอดในธุรกิจนั้นๆ มีน้อยมาก และในยุคการค้าไร้พรมหมแดนเช่นในปัจจุบัน ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย ใครที่มีคุณภาพดีกว่า ราคาเหมาะสมกว่า คุณภาพคุ้มราคามากกว่าก็สามารถอยู่ในตลาดได้นานกว่าทุกๆ องค์กร จึงควรให้ความสำคัญกับความรู้ และมีระบบการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ “คนที่ต้องใช้ความรู้ สามารถใช้ความรู้ที่ถูกต้องได้ในเวลาที่ต้องการใช้ (Right Knowledge Right People Right Time)”…

บางส่วนจากคำนำ ในหนังสือเรื่อง Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ โดย สุประภาดา โชติมณี


แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.

โมเดลปลาทูกับการจัดการความรู้

โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง

ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า “ทำ KM ไปเพื่ออะไร”

ส่วนตัวปลา
เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัย และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกัน

ส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น “คลังความรู้” หรือ “ขุมความรู้”


บรรณานุกรม : ประพนธ์ ผาสุขยืด.  (2549).  การจัดการความรู้ ฉบับมือใหม่หัดขับ (พิมพ์ครั้งที่ 8).  กรุงเทพฯ: ใยไหม.

วงจรการจัดการความรู้ (วงจร KM) ของบริษัท Xerox Corporation

วงจรการจัดการความรู้ (วงจร KM) ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ทั้ง 6 ได้แก่

  1. การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (Transition and Behavior Management)
    – ผู้บริหารระดับสูงจะต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่รวมถึงมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
    – จัดตั้งทีมงานเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการวางแผนและจัดกิจกรรมต่างๆ
    – กำหนดว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Critical Success Factors) ของการจัดการความรู้ และต้องมั่นใจได้ว่าปัจจัยเหล่านี้มีอยู่หรือสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ภายในองค์กร
    – ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี (Role model) ในการแลกเปลี่ยนและจัดการความรู้
    – สร้างสภาพแวดล้อมภายในองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถลองผิดลองถูกได้และเปิดกว้างให้มีการทดลองนำเอาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาปฏิบัติ
  2. การสื่อสาร (Communication)
    – เนื้อหาของเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร
    – กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสาร
    – ช่องทางในการสื่อสาร
  3. กระบวนการและเครื่องมือ (Process and Tools)
    – ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Community of Practice; COP)
    – การสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation) และการยืมตัวบุคคลมาช่วยงาน (Secondment)
    – เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ (Knoeledge Forum)
  4. การฝึกอบรมและการเรียนรู้ (Training and Learning)
  5. การวัดผล (Measurements)
  6. การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (Recognition and Rewards)

บรรณานุกรม

บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.

เสาหลักของการจัดการความรู้ ของ K.Wiig

K.Wiig ได้แบ่งองค์ประกอบ เป็น 3 กลุ่มเรียกว่า เสาหลักของการจัดการความรู้ (Pillar of Knowledge Management) โดยแต่ละเสาจะประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อทำให้วงจรความรู้ครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วย การสร้าง (Create) การนำเสนอ (Manifest) การใช้ (Use) และการถ่ายทอด (Transfer)

เสาหลักที่ 1

  • สำรวจและแบ่งประเภทของความรู้
  • วิเคราะห์ความรู้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
  • เรียบเรียงและนำเสนอความรู้

เสาหลักที่ 2

  • ประเมินค่าของความรู้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เสาหลักที่ 3

  • สังเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้
  • ใช้จัดการและควบคุมความรู้
  • เผยแพร่และทำให้นำความรู้ไปใช้ได้ง่าย

บรรณานุกรม

บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.

กรอบความคิด Arthur Anderson และ APQC

Arthur Anderson และ American Productivity & Quality Center (APQC) ได้นำเสนอกรอบความคิดที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง ซึ่งได้แก่ องค์ความรู้ขององค์กร กระบวนการจัดการความรู้และปัจจัยที่ทำให้องค์กรจัดการความรู้ได้สำเร็จ

องค์ประกอบมี ดังนี้

  1. องค์ประกอบความรู้ขององค์กร
  2. กระบวนการจัดการความรู้
    แบ่งปัน > สร้าง > กำหนด > รวบรวม > ปรับแต่ง > เรียบเรียง > นำมาใช้ > แบ่งปัน
  3. ปัจจัยที่ทำให้จัดการความรู้ได้
    – ภาวะผู้นำ
    – วัฒนธรรมองค์กร
    – เทคโนโลยี
    – การวัดผล

บรรณานุกรม : บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.

กรอบความคิดของ Leibowitz

กรอบความคิดของ Leibowitz นั้น ครอบคลุมถึงวงจรความรู้ไว้ค่อนข้างละเอียดและครบถ้วนดังนี้ คือ

  • Identification: การกำหนดความถนัดเฉพาะ กลยุทธ์ การค้นหาแหล่งความรู้ และแหล่งความรู้
  • Capture: การดักจับ และเก็บความรู้
  • Select: การประเมินความความรู้ว่ามีคุณค่า เป็นจริง และตรงกับความต้องการรวมทั้งการพิจารณาความรู้ที่ขัดแย้งกัน
  • Store: การจัดเก็บความรู้ของอค์กรในฐานความรู้
  • Share: การกระจายความรู้ไปยังผู้ใช้ โดยดูจากความสนใจ และชนิดของงานที่ทำ
  • Apply: การนำความรู้มาใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหา ช่วยในการทำงาน หรือการฝึกอบรม
  • Create: การสร้างความรู้ใหม่ๆ โดยการวิจัย ทดลอง และการคิดอย่างสร้างสรรค์
  • Sell: การพัฒนาและทำการตลาด ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ที่เป็นผลมาจากการใช้ความรู้

บรรณานุกรม

บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ และปรียววรณ กรรมล้วน.  (2548).  การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ.  กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.