- ศีลธรรมพื้นฐาน ศีลธรรมพื้นฐานของสังคมคือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ศีลธรรมพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การจัดการความรู้มีพื้นฐานอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ความรู้ที่อยู่ในตัวคนทุกคน จึงเป็นรูปธรรมแห่งการปฏิบัติที่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน
- การไม่ใช้อำนาจ การใช้อำนาจจะไปปิดกั้นกระบวนการตามธรรมชาติ คือ การรับรู้ เรียนรู้ งอกงาม ถักทอเครือข่าย เมื่อใช้อำนาจจะทำให้กระบวนการตามธรรมชาติบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
- การฟังอย่างลึก (deep listening) การนำความรู้ที่แฝงเร้นในตัวออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ต้องมีการคุยที่เน้นการฟังอย่างลึก ไม่ใช้โต้เถียงกันโดยหวังเอาชนะ การฟังอย่างลึกและเงียบ จิตใจสงบ มีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เกิดปัญญา
- วิธีการทางบวก คือ เอาความสำเร็จ ความภาคภูมิใจของสิ่งที่เคยทำด้วยดีเป็นตัวตั้ง นำมาเห็นคุณค่าและชื่นชม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดให้งดงามและมีประโยชน์ยิ่งขึ้น วิธีการทางบวกทำให้มีความปิติ มีกำลังใจ มีความสามัคคี และมีพลังสร้างสรรค์ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในอนาคต
- การเจริญธรรมะ 4 ประการ ที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ร่วมกัน ปกติมนุษย์เรียนรู้ร่วมกันยากเพราะกิเลส เช่น ความโกรธ ความเกลียด อหังการ การจะเรียนรู้ร่วมกันควรเจริญธรรมะ 4 ประการ ได้แก่ ความเอื้ออาทร ความเปิดเผย ความจริงใจ และความเชื่อถือไว้วางใจกัน
- การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (interactive learning through action) เป็นอิทธิปัญญา ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่เนื่องด้วยการปฏิบัติและการจัดการความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันทำให้ให้การปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเป็นผลสำเร็จ
- การถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและสังคม การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้บุคคลทั้งโดยตัวบุคคลหรือภายในองค์กรเดียวกันหรือข้ามองค์กรเข้ามาเชื่อมโยงกันโดยความสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ แต่เชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน เกิดเป็นเครือข่ายทั้งภายในองค์กรและข้ามองค์กร
- การเจริญสติในการกระทำ การเจริญสติคือการรู้ตัว ทำให้จิตใจสงบ มีอิสรภาพ เพราะหลุดพ้นจากความบีบคั้น สัมผัสความจริงได้ ควบคุมความคิด การพูดและการกระทำได้ ทำให้เกิดความสำเร็จ เป็นความงาม ความดี และความสุข
แหล่งที่มา : “การจัดการความรู้”. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).
ในกระบวนการการจัดการความรู้ในแต่ละองค์กร ควรประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
- “คุณเอื้อ” คือผู้ที่ทำให้เกิดผลงาน KM มีหน้าที่คัดเลือกหาทีมงานจากหลายสังกัดมาเป็นแกนนำ สนับสนุนทรัพยากรแก่ทีมงานอย่างเต็มที่ ส่งเสริมให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่เกิดจากความสำเร็จหลากหลายรูปแบบ
- “คุณอำนวย” ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งในเชิงกิจกรรม เชิงระบบ และเชิงวัฒนธรรม
- “คุณกิจ” ผู้ดำเนินกิจกรรมจัดการความรู้ร้อยละ 90-95 อาจสรุปได้ว่าคุณกิจคือผู้จัดการความรู้ตัวจริง เป็นผู้มีความรู้ (Explicit Knowledge) และเป็นผู้ต้องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ใช้ หา สร้าง แปลง ความรู้เพื่อการปฏิบัติให้บรรลุถึง “เป้าหมาย/หัวปลา” ที่ตั้งไว้
- “คุณลิขิต” ทำหน้าที่จดบันทึก ในกิจกรรมการจัดการความรู้ อาจทำหน้าที่เป็นการเฉพาะกิจ หรือทำหน้าที่เป็นระยะยาว กึ่งถาวรในกิจกรรมจัดการความรู้ของกลุ่ม หรือ หน่วยงาน หรือองค์กร สิ่งที่ “คุณลิขิต” จดบันทึกได้แก่ เรื่องเล่าจากกิจกรรม ขุมความรู้จากกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ บันทึกการประชุมและบันทึกอื่นๆ
- “คุณวิศาสตร์” คือ นัก IT ที่เข้ามาช่วยเป็นทีมงาน KM คำว่า “วิศาสตร์” มาจากคำว่า “IT wizard” หรือพ่อมดไอที จะเข้ามาช่วยคิดเรื่องการวางระบบ IT ที่เหมาะกับการดำเนินการ KM
- “คุณประสาน” ในการทำ KM แบบเครือข่าย มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามองค์กร “คุณประสาน” จะทำหน้าที่ประสานงานให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกันภายในเครือข่าย ทำให้เกิดการเรียนรู้ฝังลึก เกิดการหมุนเกลียวความรู้ได้อย่างมีพลังมาก เรียกว่า “การหมุนเกลียวความรู้ผ่านเขตแดน”
แหล่งที่มา : “การจัดการความรู้”. สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lib.su.ac.th/km/index.php/kmis (เข้าถึงเมื่อ 24 กันยายน 2557).
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
- ทำให้องค์กรได้ทบทวนองค์ความรู้ขององค์กร (Organization’s Knowledge) ว่าจริงๆ แล้วองค์กรมีความรู้ (ความเก่ง) เรื่องไหน และความรู้นั้นสามารถแข่งกับคนอื่นได้หรือไม่
- สามารถกำหนดจุดขายของตนเองได้ชัดเจนขึ้น เช่น เมื่อรู้ว่าองค์กรมีความรู้ด้านใด ก็นำมากำหนดเป็นผลิตภัณฑ์/บริการหลักขององค์กร
- เพิ่มศักยภาพในการตัดสินใจ เพราะมีข้อมูล สารสนเทศ และความรู้ขององค์กรที่ถูกต้อง
- เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการทำงาน เพราะมีคลังความรู้ที่สามารถดึงความรู้นั้นมาช่วยแก้ปัญหา และทำให้งานประสบผลสำเร็จได้รวดเร็ว และง่ายขึ้น
- ทำให้เกิดนวัตกรรม ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และกระบวนการทำงาน
- ทำให้บุคลากรรู้ว่าจะพัฒนาตนเองไปในทิศทางใด และสามารถนำความเก่ง (ในด้านต่างๆ) มาพัฒนาองค์กรให้ถูกทาง
ที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) คือ การบริหารจัดการความรู้ที่ต้องใช้ ให้แก่คนที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และส่งผลให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนิยม “Right Knowledge Right People Right Time”
แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
การทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ความรู้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าองค์กรจะเล็กหรือใหญ่ ถ้าขาดซึ่งความรู้แล้วโอกาสอยู่รอดในธุรกิจนั้นๆ มีน้อยมาก และในยุคการค้าไร้พรมหมแดนเช่นในปัจจุบัน ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย ใครที่มีคุณภาพดีกว่า ราคาเหมาะสมกว่า คุณภาพคุ้มราคามากกว่าก็สามารถอยู่ในตลาดได้นานกว่าทุกๆ องค์กร จึงควรให้ความสำคัญกับความรู้ และมีระบบการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ “คนที่ต้องใช้ความรู้ สามารถใช้ความรู้ที่ถูกต้องได้ในเวลาที่ต้องการใช้ (Right Knowledge Right People Right Time)”…
บางส่วนจากคำนำ ในหนังสือเรื่อง Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ โดย สุประภาดา โชติมณี
แหล่งที่มา : Modern KM applications in business management : จัดการความรู้อย่างไรให้ใช้ได้ผลกับทุกระบบ. สุประภาดา โชติมณี. (2554). กรุงเทพฯ. พงษ์วรินทร์การพิมพ์ จำกัด.
โมเดลปลาประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว ส่วนตัว และส่วนหาง
ส่วนหัวปลา เรียกว่า KV ย่อมาจาก Knowledge Vision หมายถึงส่วนที่เป็นวิสัยทัศน์ หรือเป็นทิศทางของการจัดการความรู้ กล่าวคือ ส่วนหัวจะทำหน้าที่มองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า “ทำ KM ไปเพื่ออะไร”
ส่วนตัวปลา เรียกว่า KS ย่อมาจาก Knowledge Sharing หมายถึงส่วนที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุดในกระบวนการทำ KM เพราะต้องเกิดจากปัจจัย และสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้คนพร้อมที่จะแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกัน
ส่วนหางปลา เรียกว่า KA ย่อมาจาก Knoeledge Assets หมายถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาความรู้ที่เก็บสะสมไว้เป็น “คลังความรู้” หรือ “ขุมความรู้”
บรรณานุกรม : ประพนธ์ ผาสุขยืด. (2549). การจัดการความรู้ ฉบับมือใหม่หัดขับ (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ: ใยไหม.
วงจรการจัดการความรู้ (วงจร KM) ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ทั้ง 6 ได้แก่
- การจัดการการเปลี่ยนแปลงและพฤติกรรม (Transition and Behavior Management)
– ผู้บริหารระดับสูงจะต้องให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่รวมถึงมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
– จัดตั้งทีมงานเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการวางแผนและจัดกิจกรรมต่างๆ
– กำหนดว่าอะไรคือปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Critical Success Factors) ของการจัดการความรู้ และต้องมั่นใจได้ว่าปัจจัยเหล่านี้มีอยู่หรือสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ภายในองค์กร
– ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นแบบอย่างที่ดี (Role model) ในการแลกเปลี่ยนและจัดการความรู้
– สร้างสภาพแวดล้อมภายในองค์กรที่เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถลองผิดลองถูกได้และเปิดกว้างให้มีการทดลองนำเอาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มาปฏิบัติ
- การสื่อสาร (Communication)
– เนื้อหาของเรื่องที่ต้องการจะสื่อสาร
– กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสาร
– ช่องทางในการสื่อสาร
- กระบวนการและเครื่องมือ (Process and Tools)
– ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Community of Practice; COP)
– การสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation) และการยืมตัวบุคคลมาช่วยงาน (Secondment)
– เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ (Knoeledge Forum)
- การฝึกอบรมและการเรียนรู้ (Training and Learning)
- การวัดผล (Measurements)
- การยกย่องชมเชยและให้รางวัล (Recognition and Rewards)
บรรณานุกรม
บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
K.Wiig ได้แบ่งองค์ประกอบ เป็น 3 กลุ่มเรียกว่า เสาหลักของการจัดการความรู้ (Pillar of Knowledge Management) โดยแต่ละเสาจะประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ เพื่อทำให้วงจรความรู้ครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วย การสร้าง (Create) การนำเสนอ (Manifest) การใช้ (Use) และการถ่ายทอด (Transfer)
เสาหลักที่ 1
- สำรวจและแบ่งประเภทของความรู้
- วิเคราะห์ความรู้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
- เรียบเรียงและนำเสนอความรู้
เสาหลักที่ 2
- ประเมินค่าของความรู้และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เสาหลักที่ 3
- สังเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้
- ใช้จัดการและควบคุมความรู้
- เผยแพร่และทำให้นำความรู้ไปใช้ได้ง่าย
บรรณานุกรม
บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
Arthur Anderson และ American Productivity & Quality Center (APQC) ได้นำเสนอกรอบความคิดที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง ซึ่งได้แก่ องค์ความรู้ขององค์กร กระบวนการจัดการความรู้และปัจจัยที่ทำให้องค์กรจัดการความรู้ได้สำเร็จ
องค์ประกอบมี ดังนี้
- องค์ประกอบความรู้ขององค์กร
- กระบวนการจัดการความรู้
แบ่งปัน > สร้าง > กำหนด > รวบรวม > ปรับแต่ง > เรียบเรียง > นำมาใช้ > แบ่งปัน
- ปัจจัยที่ทำให้จัดการความรู้ได้
– ภาวะผู้นำ
– วัฒนธรรมองค์กร
– เทคโนโลยี
– การวัดผล
บรรณานุกรม : บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ, และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.
กรอบความคิดของ Leibowitz นั้น ครอบคลุมถึงวงจรความรู้ไว้ค่อนข้างละเอียดและครบถ้วนดังนี้ คือ
- Identification: การกำหนดความถนัดเฉพาะ กลยุทธ์ การค้นหาแหล่งความรู้ และแหล่งความรู้
- Capture: การดักจับ และเก็บความรู้
- Select: การประเมินความความรู้ว่ามีคุณค่า เป็นจริง และตรงกับความต้องการรวมทั้งการพิจารณาความรู้ที่ขัดแย้งกัน
- Store: การจัดเก็บความรู้ของอค์กรในฐานความรู้
- Share: การกระจายความรู้ไปยังผู้ใช้ โดยดูจากความสนใจ และชนิดของงานที่ทำ
- Apply: การนำความรู้มาใช้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหา ช่วยในการทำงาน หรือการฝึกอบรม
- Create: การสร้างความรู้ใหม่ๆ โดยการวิจัย ทดลอง และการคิดอย่างสร้างสรรค์
- Sell: การพัฒนาและทำการตลาด ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ที่เป็นผลมาจากการใช้ความรู้
บรรณานุกรม
บุญดี บุญญากิจ, นงลักษณ์ ประสพสุขโชคชัย, ดิสพงศ์ พรชนกนาถ และปรียววรณ กรรมล้วน. (2548). การจัดการความรู้…จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ.