Canonical URL คืออะไร ?


Canonical URL หมายถึง URL ที่มีการเข้าถึงในหลากหลาย address แต่มีเนื้อหาที่อาจซ้ำกัน  ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ข่าวหนึ่งชื่อ news.com  สามารถเข้าถึงได้ในรูปแบบดังนี้  https://m.news.com /  https://mobile.news.com  / https://news.com/index/ / https://news.com/  จาก url ดังกล่าว เป็นการเข้าถึงหน้าแรกของเว็บไซต์ทั้งสิ้น ซึ่งผู้จัดทำ SEO จำเป็นต้องเรียนรู้ Conanical URL เพื่อให้การทำอันดับเว็บไซต์ทำได้ดีขึ้น ป้องกันไม่ให้ทาง Google BOT มองว่าเป็น Duplicate content ซึ่งส่งผลเสียต่อการให้คะแนนอันดับในเว็บไซต์  โดยผู้จัดทำระบบต้องต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ <link rel=”canonical” href=”URL” /> ในทุก URL ที่ควรชี้เป็น index URL หลัก เพื่อให้ BOT สามารถให้คะแนนความถูกต้องของ SITE พร้อมทั้งสร้างลำดับคะแนนที่ดีขึ้นอีกด้วย

การสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน

การสร้างเอกสารรูปแบบต่างๆ ในปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมอย่างมาก หลายๆ สื่อมีรูปแบบเป็นดิจิทัลตั้งแต่ต้นกำเนิด เช่น การพิมพ์วิทยานิพนธ์ คำสั่ง เอกสารวิชาการ รายงาน สื่อนำเสนอ สื่อกราฟิก รวมทั้งเส้นทางการดำเนินงานของสื่อดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของดิจิทัล เช่น การเผยแพร่สื่อกราฟิกผ่านระบบเครือข่ายผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) จะเห็นได้ว่าวงจรชีวิตของสื่อในปัจจุบันสามารถอยู่ในระบบดิจิทัลได้เกือบ 100% การบริหารจัดการสื่อดังกล่าว จึงเป็นเรื่องใหม่ และมีความท้าทายมาก เช่น ทำอย่างไรให้สื่อดังกล่าวถูกส่งต่อไปยังผู้ใช้งานได้โดยปราศจากปัญหาการเข้าถึง การแสดงผลถูกต้องตามที่ผู้สร้างสรรค์กำหนดตั้งแต่ต้น และเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังคงสภาพทำงานได้ดังต้นกำเนิดทุกประการ หรือดีที่สุด

สื่อดิจิทัลในปัจจุบัน จึงเกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมากที่มาร่วมกันทำงานผ่านเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน สื่อดิจิทัลจำนวนมากอาจจะเกิดปัญหาจากการใช้งานจากการสร้างสรรค์ เช่น

  • ไม่สามารถเปิดแฟ้มเอกสารดิจิทัลเพราะความต่างของรุ่น (Version) ของโปรแกรมที่ใช้สร้าง/เปิดแฟ้มเอกสาร
  • การจัดหน้าเอกสารที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับ การแสดงผลภาษาไทยที่ผิดพลาดทั้งประเด็นจากแบบอักษร (Font)
  • การเข้ารหัสภาษาไทย (Thai Encoding)
  • ปัญหาจากการละเมิดลิขสิทธิ์

การคงสภาพเอกสารให้สามารถเรียกใช้งานได้อย่างสะดวก ด้วยการจัดการเอกสารรูปแบบ PDF เพื่อคงสภาพของเอกสารให้สามารถเรียกชมได้ โดยไม่มีปัญหาการจัดหน้ากระดาษ การจัดพารากราฟ เอกสารรูปแบบ PDF ยังสามารถกำหนดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้หลายระดับตั้งแต่การเปิดเรียกดูเอกสาร การคัดลอก จึงถึงการสั่งพิมพ์ ในการนี้เพื่อให้เอกสาร PDF รองรับการใช้งานในระบบจัดเก็บองค์ความรู้ของ สวทช. จึงแนะนำให้มีการจัดทำ PDF ด้วยรูปแบบการแปลง (Convert) หรือการส่งออก (Export) เอกสารต้นฉบับที่อยู่ในรูปของแฟ้มดิจิทัล เช่น .doc, .xls, .ppt, .odt ให้เป็นเอกสารดิจิทัลรูปแบบ PDF โดยผ่านซอฟต์แวร์หรือคำสั่งเฉพาะ เช่น การแปลงเอกสารที่สร้างขึ้นด้วย MS Office เป็นเอกสาร PDF ผ่านโปรแกรม Acrobat Processional Pro หรือการส่งออกเอกสารที่สร้างด้วย OpenOffice.org/LibreOffice เป็น PDF ด้วยคำสั่ง Export เป็นต้น ทั้งนี้เอกสารควรจะถูกสร้างด้วย Style เพื่อให้ระบบแปลงเนื้อหา Heading 1, Heading 2, Heading 3,…. เป็น Bookmark ให้แบบอัติโนมัติ การแปลงไฟล์ต้นกำเนิดเป็น PDF ด้วยการ convert หรือ export สามารถนำไปต่อยอดได้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถนำไปต่อยอดได้ เนื่องจากพบปัญหา เช่น การแปลงหรือส่งออกเอกสารต้นฉบับที่มีการใช้ฟอนต์ที่หลากหลาย และหรือฟอนต์ที่ต้องการการติดตั้งเพิ่มเติม ทำให้เอกสาร PDF มีปัญหาเกี่ยวกับการแสดงผลฟอนต์ จึงทำให้ไม่สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้งานต่อยอดได้

ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับเจ้าหน้าที่ของ สวทช. ทั้งสายสนับสนุน และสายวิจัย โดยสายวิจัยได้แนะนำการบริหารจัดการบรรณานุกรมด้วย Zetero : Free Reference Manager เพิ่มเติมเพื่อเป็นทางเลือก ตัวช่วยในการบริหารจัดการการเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรม การจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการมีความมุ่งหวังให้ พนักงาน สวทช. ทุกสายงานสามารถสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลได้อย่างมีมาตรฐาน และสามารถเรียกใช้งานได้ในอนาคต โดยเมื่อจัดเก็บในระบบคลังความรู้ คลังข้อมูลหรืออื่นๆ แล้วไฟล์ที่สร้างสรรค์นั้นจะไม่เป็น “ถังขยะอิเล็กทรอนิกส์” อีกต่อไป การจัดอบรมฯ มีขึ้น 2 รุ่น ดังนี้

  • การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลที่ได้มาตรฐานและยั่งยืนบนพื้นฐานของการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์” สำหรับสายสนับสนุน
    วันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2562 เวลา 09.00 – 15.00น. ณ ห้องฝึกอบรม CC405
  • การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสร้างสรรค์สื่อดิจิทัลที่ได้มาตรฐาน” สำหรับสายวิจัย
    วันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2562 เวลา 09.00 – 15.00น. ณ ห้องฝึกอบรม CC308

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการประกอบด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้สร้างเอกสารงานพิมพ์ที่มีคุณภาพ

  • สร้างเอกสารสื่อนำเสนอที่มีคุณภาพ
  • Style หัวใจสำคัญของการพิมพ์งานในยุคดิจิทัล
  • การบันทึกงานและการฝังฟอนต์
  • การส่งออกและแปลงไฟล์ PDF ที่ถูกต้อง (ไฟล์ PDF จากการแปลงไฟล์ กับ ไฟล์ PDF ที่เกิดจากการสแกน แตกต่างกันอย่างไร)
  • การบริหารจัดการบรรณานุกรมด้วย Zotero: Free Reference Manager
  • เรียนรู้…ประเภทของเอกสารที่รองรับการตรวจด้วยโปรแกรม CopyCatch

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด “หลักและแนวปฏิบัติการจัดการจดหมายเหตุดิจิทัล (แนวปฏิบัติการบริหารจัดการสื่อดิจิทัล)” ได้ที่https://oer.learn.in.th/search_detail/result/103616

เหตุผลที่ทำให้การทำ KM ไม่ประสบผลสำเร็จ

เหตุผลที่ทำให้การทำ KM ไม่ประสบผลสำเร็จ

1. ไม่ได้มีการวางแผน สร้างโปรแกรม KM โดยไม่กำหนดก่อนภารกิจ, จุดมุ่งหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน และกลวิธีที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ประสบผลสำเร็จ
อาการบ่งชี้:

  • ไม่มีใครรู้ว่า KM ใช้การได้หรือไม่
  • ทีม KM ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรต่อไป
  • คนในธุรกิจไม่แน่ใจว่า KM เพื่ออะไร (หรือแม้แต่ KM เป็นอะไร)
  • คนในธุรกิจเชื่อมโยง KM กับเครื่องมือซอฟต์แวร์โดยเฉพาะ

การแก้ปัญหา: กำหนดแผนคุณค่าและกรณีทางธุรกิจสำหรับโปรแกรม KM ต้องตอบคำถาม: ปัญหาทางธุรกิจอะไรที่ KM กำลังจะแก้ และต่อมากำหนดจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำเมื่อเริ่มทำโปรแกรม KM แต่ถ้ายังไม่ได้ทำ เริ่มทำตอนนี้

2. ไม่รู้จักลูกค้า ออกแบบการแก้ปัญหา KM โดยไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้นำธุรกิจหรือผู้ใช้ปลายทาง
อาการบ่งชี้:

  • การวัด KM แสดงกิจกรรมและความผูกพันของพนักงานต่ำ
  • พนักงานแบ่งปันความรู้นอกช่องทาง KM (ตัวอย่าง เช่น ผ่าน email)
  • ผู้นำธุรกิจไม่คิดว่า KM เป็นการใช้ที่มีคุณค่าของเวลาของพนักงาน

การแก้ปัญหา: ใช้เทคนิค เช่น การคิดออกแบบ (design thinking) เพื่อพัฒนาการแก้ปัญหา KM ซึ่งแก้ปัญหาของพนักงาน วิธีการการคิดออกแบบ เช่น การทำแผนที่การเดินทางของลูกค้า (customer journey mapping) ช่วยผู้เชี่ยวชาญ KM เข้าใจอย่างแท้จริงความต้องการของผู้ใช้ปลายทาง

3. คิดแต่การบริหารระเบียบ ทีม KM ยึดติดกับ back office และใช้เวลาทั้งหมดกับงานที่น่าเบื่อ เช่น การทำให้เนื้อหาเป็นรูปแบบ การรักษาเนื้อหาในคลัง
อาการบ่งชี้:

  • ทีม KM รู้สึกท้อแท้และไม่ถูกใจ
  • พนักงานเปรียบ KM กับอินทราเน็ตของบริษัทหรือสิ่งที่น่าเบื่ออื่นๆ
  • ความคิดที่สำคัญสำหรับ KM ควรจะทำอะไรไม่ได้รับความสนใจ

การแก้ปัญหา: มีสามวิธีสามารถช่วยลดภาระของการบริหารระเบียบการจัดการเนื้อหา วิธีแรก คือ ช่วยธุรกิจมีบทบาทในการบริหารเนื้อหาโดยการฝึกหัดเจ้าของเนื้อหาและการสร้างระบบการจัดการที่ชัดเจน วิธีที่สอง คือ ใช้เทคโนโลยี เครื่องมือ เช่น  autotagging และ autoclassification ทำให้การจัดการเนื้อหาง่ายขึ้นมาก วิธีที่สาม คือ สร้างทีมนอกประเทศเพื่อการจัดการเนื้อหา ทีม KM ที่เก่งจะใช้วิธีต่างๆ เหล่านี้ร่วมกันเพื่อให้เวลาที่มากขึ้นสำหรับงานที่มีคุณค่าและสำคัญ

4. เป็นผู้อยู่สันโดษ ทีม KM ทำงานอยู่ในส่วนของตนเอง ไม่ติดต่อกับหุ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ทางธุรกิจ
อาการบ่งชี้:

  • ผู้นำธุรกิจไม่จัดการ KM สำหรับสนับสนุนหรือนำทาง
  • หน้าที่อื่นๆ เสนอเครื่องมือซึ่งเหมือนของ KM อย่างมากและพนักงานสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่จะใช้
  • ความมุ่งมั่นของทีม KM ลดความสำคัญบ่อยๆ โดยการแข่งขันทางธุรกิจ

การแก้ปัญหา: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกว่ากับธุรกิจ ต้องเข้าไปใกล้พอเพื่อชี้ความต้องการที่แท้จริงและต่อมาพิสูจน์ว่า KM สามารถช่วย สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหุ้นส่วนที่เป็นประโยชน์สามารถยุ่งยากกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทีม KM มีประวัติของการเพียงมาหากลุ่มนี้เมื่อมีคำถามและความต้องการ ดังนั้นอย่ารอจนกระทั่งมีความจำเป็นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มเหล่านี้: มองหาหนทางที่จะสร้าง (หรือสร้างใหม่) ความสัมพันธ์ข้ามสายงานวันนี้

5. สิ่งของไม่เป็นที่น่าพอใจ พนักงานเกียจลักษณะ ความรู้สึก และประสบการณ์ผู้ใช้ของเครื่องมือ KM
อาการบ่งชี้:

  • ระบบ KM ไม่อยู่ในตอนต้นปี 2000s
  • พนักงานพูด ทำไมเครื่องมือ KM ไม่สามารถเหมือนมากกว่า (Google, YouTube, Alexa หรือ อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค)
  • ทีม KM ใช้เวลามากในการเก็บคำถามและการร้องเรียนของพนักงานเกี่ยวกับไม่สามารถค้นหาหรือเข้าถึงสิ่งของอย่างไร, เนื้อหาจะไม่ดูแปลกประหลาดในโทรศัพท์

การแก้ปัญหา: เข้าร่วมในการประชุมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (digital transformation) สามารถปลดการให้ทุน KM ซึ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาให้ชุดเครื่องมือ KM ดีขึ้นอย่างจริงจัง  KM มีหลายข้อเสนอให้ทีมดิจิทัล: การเข้าใจการไหลของรายละเอียดและความต้องการความรู้ของพนักงานของ KM เป็นการสนับสนุนที่มีคุณค่าสำหรับการเลือกเครื่องมือที่ถูกต้องและทำให้คนนำมาใช้


ที่มา: Mercy Harper (January 6, 2020). Why KM Initiatives Fail. Retrieved April 5, 2020, from https://www.apqc.org/blog/why-km-initiatives-fail

แหล่ง OER (open educational resource) ที่สำคัญ

1. Open Education Europa
สร้างโดย European Commission ในปี 2013 มีจุดประสงค์เพื่อนำมารวมกันทั้งหมด OER ของยุโรปที่มีอยู่ มีความสามารถในการค้นหาอย่างกว้างขวางและมีทางเลือกในการกรองผลการค้นหาโดยใช้สถาบัน, ภาษา, วิชา และอื่นๆ

2. OER Commons
เริ่มดำเนินการในปี 2007 โดย Institute for the Study of Knowledge Management in Education (ISKME) มีฐานข้อมูลที่ครอบคลุมและหน้าที่ค้นหาที่ซับซ้อน คนซึ่งลงทะเบียนกับ OER Commons สามารถประเมินและตรวจสอบ OER Commons

3. Community College Consortium for Open Educational Resources (CCCOER)
คือสมาคมสถาบันการศึกษาของชาวอเมริกันที่มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาและใช้ OERs, ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) และ open courseware ได้รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ที่สามารถค้นพบทรัพยากรเหล่านี้

ที่มา: open access.nl. Where can you find open educational resources?. Retrieved September 30, 2020, from https://www.openaccess.nl/en/what-is-open-access/open-education

ทรัพยากรการศึกษามีกี่ชนิด

1. การบรรยายผ่านเว็บ (Web lectures)
คือ คลิปวิดีโอการนำเสนอ, การบรรยาย และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งประกอบด้วย PowerPoint presentations, เว็บไซต์ และสิ่งพิมพ์
2. เนื้อหาแบบเปิด (Open content)
คือ งานสร้างสรรค์ เช่น เนื้อหา, รูปภาพ, เสียง หรือวิดีโอ ซึ่งเผยแพร่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด (เช่น Creative Commons) ซึ่งอนุญาตการคัดลอก (copying), การปรับ (adapting) และการกระจาย (distribution) อย่างชัดเจน
3. คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open educational resources, OER)
คือ วัสดุบทเรียนฟรี ซึ่งมีให้ใช้และหรือใช้ซ้ำฟรี วัสดุอาจถูกคัดลอก, ปรับ และกระจายภายใต้การอนุญาตแบบเปิด เช่น Creative Commons
4. Open courseware
คือ หลักสูตรฟรีประกอบด้วยวัสดุบทเรียนแบบเปิด ซึ่งมีให้ใช้หรือใช้ซ้ำฟรี วัสดุอาจถูกคัดลอก, ปรับ และกระจายภายใต้การอนุญาตแบบเปิด เช่น Creative Commons Open courseware เน้นที่วัสดุบทเรียน ดังนั้นนักเรียนไม่ได้รับการดูแลและไม่มีโอกาสที่จะได้หน่วยกิตวิชา (credits)
5. MOOC
MOOC (massive open online course) คือ หลักสูตรออนไลน์ที่ไม่จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม การเข้าถึงฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายถ้าผู้เข้าร่วมไม่ต้องการประกาศนียบัตรที่ถูกต้อง ช่วยให้นักเรียนเข้าถึงวัสดุบทเรียนและมีประสบการณ์เข้าเรียนหลักสูตรอย่างสมบูรณ์ นักเรียนไม่ได้รับหน่วยกิตวิชาอย่างเป็นทางการ

ที่มา: open access.nl. What kinds of educational resources are there?. Retrieved September 30, 2020, from https://www.openaccess.nl/en/what-is-open-access/open-education

ข้อเสียของ OA (open access, การเข้าถึงแบบเปิด)

1. จำนวนวารสารเข้าถึงแบบเปิดที่มีคุณภาพสูงแตกต่างอย่างมากในสาขาวิชาต่างๆ  บางสาขาวิชามีน้อยมาก
2. การตีพิมพ์ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดบางครั้งต้องการการบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ในขณะที่การตีพิมพ์ในวารสารแบบดั้งเดิมปกติสามารถทำได้ง่ายออนไลน์
3. ในช่วงการเปลี่ยนแปลงสถาบันวิจัยยังไม่เตรียมสำหรับการจ่าย Author Processing Charges (APCs) ดังนั้นทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากมายที่เพิ่มขึ้นมากับนักวิจัย อย่างไรก็ตามหลายมหาวิทยาลัยปัจจุบันให้เงินสนับสนุนการเผยแพร่แบบเข้าถึงแบบเปิด
4. การนำเข้าข้อมูลและฉบับเต็มของผลงานไปยังคลังเป็นงานที่เพิ่มขึ้นพิเศษของนักวิจัย
5. บ่อยครั้งที่ไม่ชัดเจนว่าเนื้อหาของผลงานในคลังที่จริงสามารถเผยแพร่เป็นการเข้าถึงแบบเปิดหรือไม่ บางครั้งมีอุปสรรคเรื่องลิขสิทธิ์

ที่มา: open access.nl. Advantages & Disadvantages of open access. Retrieved September 29, 2020, from https://www.openaccess.nl/en/what-is-open-access/pros-and-cons

ข้อดีของ OA (open access, การเข้าถึงแบบเปิด)

OA เป็นประโยชน์มากคือทำให้ผลงานวิจัยได้รับการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง

1. มีคนมากกว่าที่จะสามารถอ่านผลงานวิจัย รวมถึงคนที่ไม่สามารถเข้าถึงผลงานวิจัยเพราะว่าไม่สามารถจ่ายค่าสมัครสมาชิกวารสารที่แพง
2. ความคิดใหม่ๆ สามารถถูกเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาวิจัยใหม่ๆ
3. งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์แสดงว่าการตีพิมพ์ใน OA เพราะว่าความสามารถที่จะมองเห็นได้ทั่วโลกโดยปราศจากอุปสรรค นำไปสู่การอ้างอิงเพิ่มขึ้นและผลกระทบมากขึ้น
4. ธุรกิจยังสามารถเข้าถึงอย่างกว้างขวางความคิดทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ซึ่งดังนั้นสามารถใช้  OA ทำให้เกิดเศรษฐกิจฐานความรู้และการส่งเสริมเศรษฐกิจ
5. เนื่องจาก OA ยังมีความหมายถึงทำให้เกิดการใช้ซ้ำอย่างกว้างขวาง ความรู้ใหม่ๆ สามารถนำขึ้น OER (คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด) เพื่อการใช้ได้ทันทีในการสอน

ที่มา: open access.nl. Advantages & Disadvantages of open access. Retrieved September 29, 2020, from https://www.openaccess.nl/en/what-is-open-access/pros-and-cons

ประโยชน์หลักของ OA (open access, การเข้าถึงแบบเปิด)

– นักวิจัยและสถาบันได้ประโยชน์จากการมีผู้อ่านจำนวนมาก
นักวิจัยให้บทความแก่สำนักพิมพ์โดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพราะการตอบแทนเป็นการค้นพบได้เป็นที่รู้จัก OA หมายถึงมีผู้อ่านมากขึ้น มีผู้ร่วมมือมากขึ้น มีการอ้างอิงงานเพิ่มขึ้น และเป็นที่รู้จักมากขึ้นของตัวนักวิจัยเองและสถาบัน OA ทำให้การเข้าถึงงานวิจัยดีขึ้นสำหรับทุกคน

– งานวิจัยได้ประโยชน์เมื่อเทคนิคล่าสุดสามารถใช้ได้ง่าย
เป็นเวลาหลายปีที่มีเครื่องมือ text and data mining ที่มีประสิทธิภาพซึ่งสามารถวิเคราะห์งานเขียนเกี่ยวกับงานวิจัยทั้งหมด, บอกแนวโน้มและการเชื่อมต่อที่ผู้อ่านไม่สามารถทำได้ ในขณะที่อุปสรรคเกี่ยวกับกฎหมายและเทคนิคของสำนักพิมพ์จำกัดการใช้ในวงกว้าง OA ทำให้ใครก็ได้สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ ซึ่งมีศักยภาพทำให้เปลี่ยนการทำวิจัย

– ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาจากที่ที่ไม่คาดหวัง
OA เพิ่มจำนวนนักวิจัยทำวิจัยจากเพียงสถาบันที่สามารถจ่ายได้สำหรับการสมัครสมาชิกวารสารไปเป็นที่ที่มีเพียงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

– ผู้ให้ทุนลงทุนในงานวิจัยเพื่อพัฒนาความรู้สำหรับคนทั่วไปและสุดท้ายทำให้ชีวิตดีขึ้น
OA เพิ่มผลตอบแทนจาการลงทุนโดยทำให้ผลจากงานวิจัยที่ได้รับทุนสามารถอ่านและใช้โดยใครก็ได้ รวมถึงอุตสาหกรรมและสังคม

– ความคิดที่ดีที่สุดสามารถถูกแบ่งปันและใช้โดยคนอื่น
ยิ่งมีคนจำนวนมากสามารถเข้าถึงและใช้งานวิจัยใหม่ๆ ทำให้งานวิจัยมีคุณค่ามากขึ้นและมีประโยชน์มากขึ้นต่อสังคม

ที่มา: SPARC Europe. Key OA benefits. Retrieved September 24, 2020, from https://sparceurope.org/what-we-do/open-access/oa-benefits/

สร้าง Mobile Application เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

AppSheet เป็นเครื่องมือช่วยพัฒนา Application Mobile เมื่อพัฒนาเสร็จเเล้ว สามารถ Upload ขึ้น Playstore หรือ Appstore เพือติดตั้งที่ Smartphone หรือจะใช้งานผ่านเว็บ browser  โดยที่ท่านไม่ต้องรู้การเขียนโปรแกรม เพียงมีความคิด สิ่งที่อยากทำ เเละการเชื่อมโยงข้อมูลการทำงาน  ก็สามารถสร้าง Application ใน Plateform AppSheet เพื่อนำไปใช้งานได้

appsheet Mobile Application

Continue reading “สร้าง Mobile Application เก็บข้อมูลโดยไม่ต้องเขียนโค้ด”

ข้อเสียของ OER (open educational resource, คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด)

– เรื่องคุณภาพ
เนื่องจากคลัง OER ปล่อยให้ผู้ใช้ใครก็ได้สามารถสร้าง account และ post วัสดุ บาง post อาจไม่เข้าประเด็นและหรือไม่ถูกต้อง

– เป็นอุปสรรคทางวัฒนธรรมและภาษา
ถึงแม้จะมีความตั้งใจสร้าง OER ให้มีหลายภาษา แต่ส่วนใหญ่จะมีเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นไม่มีประโยชน์ต่อผู้ที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ไม่ใช่ OER ทั้งหมดจะเหมาะสมต่อวัฒนธรรมของผู้นำไปใช้ทุกคน

– เรื่องเทคโนโลยี
OER ต้องการการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มั่นคงและบางครั้งอาจต้องการซอฟต์แวร์ถึงจะใช้งานได้

– เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาหรือลิขสิทธิ์
เนื้อหาทั้งหมดที่เผยแพร่ออนไลน์ต้องได้รับการตรวจสอบว่าไม่ละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์

– เรื่องความยั่งยืน
เนื่องจากผู้สร้างสรรค์ OER โดยปกติไม่ได้รับค่าตอบแทนสำหรับการสร้าง ดังนั้นอาจมีแรงจูงใจน้อยสำหรับการ update หรือทำให้ OER มีอยู่ออนไลน์

ที่มา: Felician University Libraries (April 22, 2020). Advantages & Disadvantages of OER. Retrieved September 24, 2020, from https://felician.libguides.com/OER/proscons