หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
รายงานงานวิจัยโลก สาขาวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยี
รายงานงานวิจัยโลก สาขาวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นรายงานของ Thomson Reuters Global Research Report ที่ให้ความสำคัญในหัวเรื่องมากขึ้นกว่ารายงานฉบับก่อนๆ ที่เคยจัดทำที่เน้นรายงานเฉพาะรายชื่อผู้นำประเทศต่างๆ เท่านั้น  บทความนี้เป็นการวิเคราะห์บทความวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์เป็นหลัก ด้วยงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์มีความสนิทแน่นแฟ้นกับระบบเศรษฐกิจอย่างยิ่ง   เหตุผลเพราะว่ามีศัยกภาพที่สามารถส่งต่อให้แก่กระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมการผลิตและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆ ปี 2011 เป็นปีสากลแห่งเคมีขององค์การยูเนสโก (UNESCO International Year of Chemistry) ซึ่งวัสดุศาสตร์มีความเชื่อมต่อประสานอย่างใกล้ชิดและเมื่อกลางปี 2011 นี้มีการจัดประชุมนานาชาติในเรื่องวัสดุศาสตร์ครั้งที่ 6  ที่ประเทศสิงคโปร์  มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ผู้ได้รับรางวัลโนเบลเป็นผู้บรรยาย  ยิ่งยืนยันถึงอิทธิพลในความสำคัญและการเติบโตของสาขานี้มากยิ่งขึ้น  สถานที่จัดงานประชุมก็มีความสำคัญด้วย  โดยในรายงานนี้ได้สรุปว่าผลงานวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์ในขณะนี้มีกำเนิดมาจากทวีปเอเชียมากที่สุดของโลก  โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนเรื่องนี้มาจาก World Science Map การค้นพบในเรื่องรากฐานของฟิสิกส์  โดดเด่นในช่วงปีแรกๆ ของศตวรรษที่ 20 ในขณะที่ต่อมามีการค้นพบในสาขาชีววิทยาโมเลกุลเช่นโครงสร้างดีเอ็นเอในช่วงศตวรรษที่ 21 ส่วนยุคใหม่ที่ 4 นี้อาจเป็นการปฏิวัติในการค้นพบงานวิจัยด้านวัสดุ สิ่งของ สสารต่างๆ ก็เป็นได้ รายงานชุด Global Research Report ในฉบับนี้ต้องการรายงานแจ้งให้ผู้จัดทำนโยบายทราบถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของงานวิจัยโลก  โดยทำการตรวจสอบถึงการเติบโตในระดับโลกและระบุถึงผู้ที่มีบทบาทสำคัญเป็นผู้นำและนำเสนอหัวข้อที่ร้อนแรง 3 เรื่องคือ  กราฟีน (Graphene) / Metal-Organic Frameworks, MOFs  /  Electrospun Nanofibrous Scaffolds  used  for Tissue Engineering, ENS งานวิจัยวัสดุศาสตร์  คืออะไร สาขาเดิมของวัสดุศาสตร์  คือ  โลหะ  เซรามิก  วิศวกรรม  ซึ่งอยู่ในภาควิชาต่างๆ ของ มหาวิทยาลัย เช่น สาขาฟิสิกส์  เคมี  ชีวเคมี  เป็นต้น ฐานข้อมูล Web of Science, WOS ของบริษัท Thomson Reuters รวบรวมวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 11,500 ชื่อ  แบ่งสาขาวิชาออกเป็น 250 หมวดหมู่และแสดงข้อมูลการอ้างอิงที่สัมพันธ์กันไปมา  เนื้อหางานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์จัดอยู่ใน 8-12  หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงและเชื่อมโยงกัน ภูมิภาคประเทศที่มีการผลิตงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์ พบว่าผลงานวิจัยมีการเติบโตเป็นที่น่าตื่นเต้นในทวีปเอเชียมากที่สุด  จีนเป็นผู้นำจากที่ในปี 1981 มีบทความวิจัยสาขานี้น้อยกว่า 50 บทความ  กลายมาเป็นประเทศที่มีผลงานบทความตีพิมพ์สาขานี้จำนวนมากที่สุด  ไล่แซงไม่เพียงญี่ปุ่น  ยังรวมถึงสหรัฐอเมริกา ด้วย  สหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้นำในสาขานี้เมื่อปี 1980 จนถึงกลางปี 1990 จากนั้นลดจำนวนลง  ส่วนกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเคยมีส่วนแบ่งในสัดส่วนของโลกสูง  ในช่วงปี 1990 แต่จากนั้นก็ลดจำนวนลง ปัจจุบันกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก  มีการผลิตจำนวนบทความวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์นี้  เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งโลก  โดยจีนเป็นประเทศเดียวที่มีถึงครึ่งหนึ่งในกลุ่มเอเชีย ตารางที่ 1 แสดงรายชื่อประเทศผู้นำที่มีผลผลิตบทความวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์  (นับจากประเทศที่มีจำนวนบทความวิจัยมากกว่า 1, 000 เรื่อง ในช่วง 5 ปีล่าสุด) Country Papers Country Papers Country Papers China 55,003 Italy 5,990 Portugal  2,503 USA 38,189 Poland 5,168 Belgium  2,299 Japan 25,473 Australia 4,642 Czech Republic 2,217 Germany 16,832 Turkey  4,142 Austria 2,044 South Korea 15,261 Romania 3,958 Mexico 1,961 India 12,693 Brazil 3,891 Greece 1,663 France 12,344 Ukraine 3,714 Egypt 1,628 UK. 11,611 Sweden  3,176 Finland 1,408 Russia 7,927 Singapore 2,958 Israel 1,323 Taiwan 7,410 Iran  2,942 Slovenia  1,099 Canada 6,593 Switzerland 2,807 Malaysia  1,006 Spain 6,429 The Netherlands 2,785 ตารางที่ 2   แสดงการจัดอันดับประเทศผู้ผลิตงานวิจัยสาขาวัสดุศาสตร์ตามค่าผลกระทบ  ( Impact ) ของการได้รับการอ้างอิง ในช่วงปี 2005-2009 Country Papers Citations  Impact USA.  38,189 222,552 5.83 EU-15 53,283 216,712 4.07 Japan 25,473   85,866 3.37 Taiwan 7,410   23,303 3.14 South Korea 15,261   47,334 3.10 China 55,003 143,665 2.61 India 12,693   32,411 2.55 เมื่อวิเคราะห์ลงถึงรายชื่อสถาบัน  มหาวิทยาลัย  ที่เป็นผู้นำการวิจัยในสาขาวัสดุศาสตร์  โดยวิเคราะห์ในช่วง 10 ปี (2001-2010) แสดงรายชื่อสถาบัน 10 อันดับ  ที่มีผลผลิตจำนวนบทความแสดงการได้รับการอ้างอิงดังแสดงในตารางที่ 3 ตารางที่ 3   จัดลำดับชื่อสถาบัน มหาวิทยาลัย 10 อันดับ ตามจำนวนบทความวิจัย การได้รับการอ้างอิง  ผลกระทบจากการอ้างอิง จากฐานข้อมูล Web of  Science, WOS ในช่วงปี 2001-2011 Institution Papers Rank Institution Citations Rank Institution Impact Chinese Academy of Sciences 14,019   1 Chinese Academy of Sciences  104,104   1 University of Washington 30.41 Russian Academy of Science   6,769   2 Max Planck Society, Germany   56,720   2 University of California Santa Barbara 27.41 Tohoku University   5,511   3 Tohoku University   40,135   3 University of California Berkeley 26.58 Tsinghua University   5,129   4 NIMS, Japan   36,578   4 University of Groningen 25.07 Indian Institute of Technology   4,522   5 MIT, USA   35,329   5 Harvard University 24.46 Harbin Institute of Technology   4,059   6 AIST, Japan    33,868   6 MIT 21.61 AIST, Japan   4,052   7 University of California Berkeley   33,460   7 University of Southern California 21.11 NIMS, Japan   3,952   8 National University of Singapore   31,740   8 University of California Los Angeles 19.23 Osaka University   3,618   9 Tsinghua University   31,698   9 Stanford University 18.34 Central South University   3,464  10 University of Cambridge   27,909  10 University of Minnesota 17.35 งานวิจัยแนวหน้าในสาขาวัสดุศาสตร์ การวิเคราะห์บรรณานุกรม (Bibliometric analysis) สามารถอธิบายได้มากกว่าการแสดงเพียงศักยภาพด้านการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์  องค์กร  ประเทศ  ยังสามารถเปิดเผยแสดงถึงโครงสร้างและความสัมพันธ์ของสาขาวิจัยด้วย  ดังในรูปภาพ 1 ตารางที่ 4 แสดงงานวิจัยแนวหน้า 20 อันดับแรกในสาขาวัสดุศาสตร์  ในช่วงปี 2006 - 2010 เรียงลำดับตามจำนวนรวมการได้รับการอ้างอิงคัดเลือกมาจากงานวิจัยใน 438 หัวข้อ คิดเป็นร้อยละ 6.6 ของงานวิจัยแนวหน้าทั้งหมด 6,641 หัวเรื่อง Rank Field description  within materials science Core  papers Citations Citation  impact  Average year of core   1 Electronic properties of graphene   6 9,524 1587.3 2005   2 Polymer solar cells  15 6,656 443.7 2007   3 Multiferroic and magnetoelectric materials  31 6,509 210.0 2006   4 Titanium dioxide nanotube arrays in dye-sensitized solar cells  47 5,645 120.1 2007   5 ATRP and click chemistry in polymer synthesis  34 5,129 150.85 2006   6 Graphene oxide sheets  16 4,815 300.9 2007   7 Superhydrophobic surfaces  47 4,732 100.7 2007   8 High-Tc ferromagnetism in zinc oxide diluted magnetic semiconductors  48 4,667 97.2 2006   9 Highly selective fluorescent chemosensor  46 4,581 99.6 2007  10 Electrospun nanofibrous scaffolds for tissue engineering  45 4,577 101.7 2006  11 Ductile bulk metallic glasses  41 4,267 104.1 2006  12  Single-molecule magnet  47 4,013 85.4 2007  13 Self-assembling supramolecular nanostructured gel-phase materials  33 3,810 115.4 2007  14 Mesoporous silica nanoparticles for drug delivery and biosensing  applications  34 3,693 108.6 2007  15 Mechanical properties of nanocrystalline metals  45 3,682 81.8 2007  16 Discotic liquid crystals for organic semiconductors  30 3,637 121.2 2006  17 Gold nanorods for imaging and plasmonic photothermal therapy of tumor cells  21 3,506 166.9 2006  18 Highly ordered mesoporous polymer and carbon frameworks  25 3,362 134.5 2006  19 Upconversion fluorescent rare-earth nanocrystals  49 3,351 68.4 2007  20 Molecular logic circuits  47 3,315 70.5 2008 หัวข้องานวิจัยที่พิเศษ (Special topics) Thomson Reuters ได้วิเคราะห์มุ่งเน้นหา 3 สาขาย่อยภายใต้สาขาหลัก วัสดุศาสตร์ ที่มีพลังและสำคัญ พบว่าคือ Graphene, Metal Organic Frameworks, MOFs และ Electrospun Nonfibrous Scaffolds for Tissue Engineering, ENS เป็น  3 สาขานี้มีศักยภาพที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และวิศวกรรมที่เกี่ยวกับชีวการแพทย์ (Biomedical engineering) โดยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หัวข้อที่ 1 วัสดุกราฟีน (Grapheme) คือ วัสดุที่มีโครงสร้างจากการเรียงตัวของคาร์บอนอะตอมแบบหกเหลี่ยมในแนวระนาบ 2 มิติ  เรียงหลายๆ วงต่อกัน  คล้ายตาข่ายกรงไก่  มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า  ใช้ได้ดีกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  แผ่นเก็บข้อมูล  มีการค้นพบเมื่อปี 2004 โดยนักวิทยาศาสตร์ Andre K. Geim กับ Koustantin S. Novosalor แห่ง มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์ ปี 2010 ตารางที่ 5  แสดงลำดับของจำนวนบทความวิจัยตามหมวดหมู่วิชาย่อยในสาขาวัสดุศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับวัสดุกราฟีน ตีพิมพ์ในช่วงปี 2004 - May 2011 (แบ่งหมวดหมู่บนพื้นฐานตามชื่อวารสาร) Rank Fields Papers   1 Physics, Condensed Matter 3,405   2 Materials Science, Multidisciplinary 3,144   3 Physics, Applied 2,577   4 Chemistry, Physical 2,528   5 Nanoscience & Nanotechnology 2,134   6 Chemistry, Multidisciplinary 1,644   7 Physics, Multidisciplinary 1,294   8 Physics, Atomic, Molecular & Chemical 464   9 Engineering, Electrical and Electronic 357  10 Electrochemistry 268 จากฐานข้อมูล WOS พบคำว่า grapheme ครั้งแรกในปี 2004 ในจำนวน 164 บทความ  ต่อมาในปี 2010 พบมีบทความ 3,671 เรื่อง  และยอดรวมสะสมตั้งแต่ปี 2004-ปัจจุบัน  มีบทความรวม 10,527 เรื่อง  (โดยคาดว่าในปี 2011 มีจำนวน 4,800 เรื่อง โดยที่ 2 บทความของนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านที่ได้รับรางวัลโนเบลในเรื่องกราฟีนนี้และได้รับการอ้างอิงเป็นจำนวนมากกว่า 4,300 และ 3,000 ครั้งตามลำดับ เนื่องจากวัสดุกราฟีนมีคุณสมบัติพิเศษใช้ประโยชน์ได้มาก  จึงมีนักวิทยาศาสตร์ในหลากหลายสาขาคิดค้น  มุ่งเน้นในวัสดุใหม่นี้  คือทั้งในสาขาฟิสิกส์  เคมี  วัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์นาโน  และอาจรวมถึงวิศวกรรมศาสตร์ด้วย ในตารางที่ 5 แสดงผลผลิตบทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกราฟีนหากวิเคราะห์ตามประเทศและสถาบันวิจัยพบว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผู้นำ  แต่ว่าผลผลิตบทความวิจัยกราฟีนจากประเทศแถบเอเชียเป็นเรื่องสำคัญมีความหมายนำโดยประเทศจีน (ลำดับที่ 2)  ญี่ปุ่น (ลำดับที่ 3) เกาหลีใต้ (ลำดับที่ 6) และสิงคโปร์ (เป็นลำดับที่ 9) สถาบันวิจัยผู้นำได้แก่ CAS จีน, CSIC สเปน, Russian Academy of Science และ CNRS ฝรั่งเศส ส่วนมหาวิทยาลัยพบว่าผู้นำได้แก่ Univ. California Berkeley, MIT, Univ. Texas Austin  ของอเมริกา ส่วนมหาวิทยาลัยในจีน  ได้แก่ Tsiughua Univ. และ สิงคโปร์ คือ NUS และ NTU   ยังไม่มีสัญญาณใดๆ บอกว่างานวิจัยเรื่องกราฟีนจะมีจำนวนลดลง  จำนวนรวมการอ้างอิงตั้งแต่ปี 2004 มาถึงขณะนี้มากกว่า 163,000 ครั้ง  และ  ยังมีการอ้างอิงต่อเนื่องอีกด้วย หัวข้อที่ 2 สาร Metal – Organic Frameworks (MOFs) งานวิจัยในเรื่อง MOFs นี้  แสดงถึงความเชื่อมโยงที่เข้มแข็งกับสาขาเคมีโดยเฉพาะเคมีระดับโมเลกุล  นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล Sir Harry Kroto ได้อธิบายถึงสาร MOFs ว่าเป็นโมเลกุลที่มีความซับซ้อนที่มีการทำงานในระดับนาโนและเป็นความก้าวหน้าของเคมีในยุคศตวรรษที่ 21 ที่เรียบง่าย  MOFs เป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างเป็นรูพรุน  ประกอบด้วยโลหะและสารประกอบอินทรีย์  มีการคิดค้นสังเคราะห์มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 โดย Omar Yaghi นำไปใช้ประโยชน์สำหรับการดูดซับก๊าซต่างๆ  เช่น   ไฮโดรเจน  มีเทนและอื่นๆ บทความวิจัยในเรื่อง MOFs เริ่มปรากฏในปี 2000 ในจำนวนเพียง 12 บทความ  ต่อมาในปี 2011 มีจำนวนบทความ 1,900 บทความ   คิดจำนวนการได้รับการอ้างอิงรวมมากกว่า 147,000 ครั้งเมื่อดูในสาขาย่อยของการวิจัย MOFs พบว่าเป็นเคมีทั่วไปเป็นสาขา หลักตามด้วย Inorganic & Nuclear chemistry, Crystallography และ Physical chemistry ประเทศผู้นำการวิจัยเรื่อง MOFs ได้แก่ จีน ดังในตารางที่ 6 ที่มีจำนวนบทความเป็น 2 เท่าของประเทศผู้นำที่ 2 คือสหรัฐอเมริกา ส่วนสถาบันวิจัยไม่เป็นที่น่าประหลาดใจ  สถาบันที่โดดเด่นในเรื่อง MOFs ได้แก่สถาบันวิจัย  มหาวิทยาลัยของจีน  ที่มีจำนวนมาก ถึง 5 แห่ง  ถือว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญเป็นหัวข้องานวิจัยนี้เป็นลำดับต้นๆ ตารางที่ 6  จัดอันดับบทความวิจัยเรื่อง MOFs ตามรายชื่อประเทศและสถาบันวิจัย 10 อันดับแรกของโลก  ที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1995 - May 2011 Papers Country Rank Institution Papers 2,584 China   1 Chinese Academy of Sciences 450 1,398 USA   2 Nanjing University 314   477 Germany   3 Nankai University 189   393 Japan   4 Northeast Normal University 156   388 UK   5 Jilin University 130   355 France   6 Sun Yat-sen University 120   292 India   7 Kyoto University 118   250 South Korea   8 University of Michigan 101   240 Spain   9 Northwestern University  96   160 Australia  10 Northwest University, Xian  86 หัวข้อที่ 3 Electrospun Nanofibrous Scaffolds, ENS (โครงแกนแผ่นเส้นใบนาโน อิเล็กโตรสปัน) หัวข้อวิจัยชั้นนำเรื่อง ENs สำหรับงานวิศวกรรมเนื้อเยื่อ (tissue enginering) ถูกจัดอันดับเป็นลำดับที่ 10 ในการได้รับการอ้างอิงในหมวดสาขาวัสดุศาสตร์ทุกสาขาย่อย  ดังในตารางที่ 7 เทคนิคในการทำ electrospinning ไม่ใช่เทคนิคใหม่เมื่อถูกนำไปสร้าง เส้นใยนาโนเพื่อให้เกิด scaffolds ประโยชน์ในทางการแพทย์คือ release drugs ยาประเภท antibiotics หรือ anticancer และยังมีศักยภาพในการช่วยฟื้นฟูซ่อมแซมเนื้อเยื่ออวัยวะอีกด้วย จากฐานข้อมูล WOS สืบค้นด้วยคำว่า (electrospum or electrospin) and (scaffold or tissue) จำกัดให้ปรากฏเฉพาะ tittle, abstracts หรือ keyword พบ 1,899  เรื่องเป็นบทความที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2000 ถึง May 2011 โดยมีจำนวนการอ้างอิงมากกว่า 31,000 ครั้ง  การเติบโตของบทความวิจัยในหัวเรื่องนี้   เริ่มมีบทบาทเกิดขึ้นในปี 2000-2002 และในปี 2011 คาดว่าจะมีบทความเรื่องนี้ในปี 2011 นี้จำนวน 550 เรื่อง กลุ่มประเทศผู้นำ  ได้แก่  สหรัฐอเมริกา  แต่ 3 อันดับตามมาเป็น 3 ประเทศในเอเชีย  ได้แก่  จีน  เกาหลีใต้  สิงคโปร์  ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีจำนวนรวมของบทความเรื่องนี้มีมากกว่าของสหรัฐอเมริกา  โดยประเทศสิงคโปร์เป็นที่น่าจับตามอง  ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ดังรายละเอียดในตารางที่ 7 ตารางที่ 7  จัดลำดับบทความวิจัยเรื่อง ENs ตามรายชื่อประเทศและสถาบันวิจัย 10 อันดับแรกของโลก  ที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 1995 - May 2011 Papers Country Rank Institution Papers   657 USA   1 National University of Singapore   144   448 China   2 Songhua University   120   438 South Korea   3 SUNY Stony Brook    58   161 Singapore   4 Virginia Commonwealth University    56    92 UK   5 Seoul National University    53    80 Italy   6 Chinese Academy of Sciences    42    70 Germany   7 Hungnam National University    35    66 Japan   8 Chulalongkorn University    34    49 Australia   9 Ohio State University    28    39 Thailand  10 University of Pennsylvania    27 เอกสารอ้างอิง Jonathan Adams ; David Pendlebury. (June 2011). Global Research Report Materials Science and Technology. Leeds : Thomson Reuters. Available at : http://researchanalytics.thomsonreuters.com/grr/grr-matscience/
ดัชนีวรรณกรรม
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
ภาคีห้องสมุดเพื่อการบริหารจัดการ National Site License
บทนำ การเปลี่ยนแปลงสารสนเทศวิชาการจากกระดาษสู่อิเล็กทรอนิกส์ มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการในห้องสมุดวิชาการเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 มี e-Journal เกิดขึ้นอย่างมากมายและต่อเนื่อง ความแตกต่างที่สำคัญของวารสารฉบับพิมพ์กับฉบับออนไลน์ คือ ห้องสมุดไม่ได้เป็นเจ้าของอีกต่อไป ไม่สามารถควบคุมการเข้าถึงเนื้อหาได้ แต่การควบคุมการเข้าถึงขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญาการบอกรับเป็นสำคัญ มหาวิทยาลัยต่างๆ จัดซื้อวารสารจากสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ในรูปแบบ bundled site license ในราคาที่ขึ้นกับประวัติค่าบอกรับที่จ่ายในรูปแบบฉบับพิมพ์ ซึ่งมีการตั้งชื่อรูปแบบนี้ว่า Big Deal มีการเจรจาต่อรองกับสำนักพิมพ์และเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ห้องสมุด จึงได้มีการรวมตัวของห้องสมุดเพื่อให้มีความสามารถในการต่อรองกับสำนักพิมพ์  โดยทำหน้าที่หลัก 3 ประการ คือ การต่อรองกับสำนักพิมพ์ (Negotiation) การบริหารจัดการการเข้าใช้ (Access) และการจัดซื้อ (Purchase) โดยบางกลุ่มเป็นถึงระดับประเทศ  (National Scale) เช่นThe National Electronic Site License Initiative, NESLI (สหราชอาณาจักร) Canadian National Site Licensing Project, CNSLP (แคนาดา) South Africa Site License Initiative, SASLI (แอฟริกาใต้) และ CAPES (บราซิล) บทความนี้ขอนำเสนอ ภาคีห้องสมุดเพื่อการบริหารจัดการ  National Site License ของห้องสมุดในต่างประเทศ 3 ประเทศได้แก่ ประเทศสหราชอาณาจักร  ประเทศอิหร่าน และประเทศเกาหลีใต้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ประเทศสหราชอาณาจักร : UK. National Electronic Site License Initiative, NESLI UK. National Electronic Site License Initiative, NESLI  เป็นโครงการย่อยหนึ่งของ Joint Information Systems Committee, JISC  จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนในการจัดการ (Managing Agent) เกี่ยวข้องกับ3 กลุ่ม คือ ผู้ใช้บริการ บรรณารักษ์ และ สำนักพิมพ์ NESLI เริ่มดำเนินการในระยะที่ 2 ในปี ค.ศ. 1999  มีระยะเวลา 3 ปี  มีเครือข่ายที่เป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงของสหราชอาณาจักร เข้าร่วมจำนวน 180 แห่ง หน้าที่หลักในการเป็นหน่วยตัวแทน (Managing Agent) โดยการแต่งตั้งผู้ทำงานจาก JISC  (JISC มีสำนักงาน 2 แห่ง ที่ลอนดอนและอ๊อกซ์ฟอร์ด) หน่วยตัวแทนนี้ทำหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างสำนักพิมพ์กับบรรณารักษ์ บทบาทของหน่วยตัวแทน (Managing Agent)  คือ จัดบริการจุดเข้าถึงจุดเดียว (single access point) สำหรับ e-Journal ให้แก่ห้องสมุดและผู้ใช้บริการ เป็นหน่วยงานเดียวในการต่อรองและบริหารจัดการในการขออนุญาตจากสำนักพิมพ์ ต่อรองกับสำนักพิมพ์เรื่องการขอส่วนลดและสถิติการเข้าใช้สำหรับเครือข่ายทั้งหมด จัดเก็บรายได้ให้แก่สำนักพิมพ์ จัดการเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม และ เรื่องการเพิ่มราคาค่าบอกรับ เฝ้าดู สังเกต การเข้าใช้และความมั่นคง รวบรวมสถิติการเข้าใช้ที่ถูกต้อง ครบถ้วน ให้แก่ห้องสมุดเครือข่ายและ JISC ส่งเสริมการดำเนินการของ NESLI กับสถาบันการศึกษาขั้นสูงของประเทศกับสำนักพิมพ์ ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของผู้ใช้บริการ มีหน้าจอเดียว และมีจุดเข้าถึงจุดเดียว สำหรับรายการชื่อฐานข้อมูลที่จัดเตรียมไว้ให้ มีรายการชื่อวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ หลากหลายจากสำนักพิมพ์ต่างๆ จัดเรียงรายชื่อวารสารอิเล็กทรอนิกส์ตามหมวดหมู่สาขาวิชาแบบกว้าง สามารถสืบค้นรายชื่อวารสาร ตามหมวดหมู่สาขาวิชา และคำสำคัญ สามารถปรับเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นไปตามภารกิจหลักของหน่วยงานได ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของห้องสมุด หน่วยตัวแทนจัดทำระบบให้ มีหน้าจอเดียว มีจุดเข้าถึงจุดเดียว มีชุดมาตรฐานทางเทคนิคชุดเดียว หน่วยตัวแทนจัดโซลูชั่นชุดเดียว สำหรับการตกลงการซื้อขายสำหรับสำนักพิมพ์หลายๆแห่ง การอนุญาต การเข้าถึง และระบบความปลอดภัย ข้อความในการอนุญาต  (Licensing terms) เป็นมาตรฐาน หน่วยตัวแทน จะต่อรองขอส่วนลดราคา และสถิติการใช้ ในนามของเครือข่ายขนาดใหญ่ระดับประเทศ หน่วยตัวแทนจัดบริการข้อมูลสถิติการเข้าใช้ให้แก่สมาชิกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การจัดบริการวารสารอิเล็กทรอนิกส์ อาจช่วยลดพื้นที่ในการให้บริการและการจัดเก็บ โครงการนี้อาจช่วยลดบริการการยืมระหว่างห้องสมุด (Inter library loan) ประโยชน์ของโครงการ NESLI ในมุมมองของสำนักพิมพ์ มีโซลูชั่นเดียวในการตกลงการซื้อขายกับมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งทั่วประเทศ การจัดทำวารสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียวของสำนักพิมพ์ จะค่อยๆแทนที่การผลิตวารสารในรูปกระดาษ ซึ่งอาจช่วยสำนักพิมพ์ประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต ผลจากการจัดให้เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางด้วยการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นนั้น เป็นประโยชน์แก่ผู้แต่งบทความ บรรณาธิการวารสาร และ สังคมแห่งการเรียนรู้ต่อไป ฯลฯ ขณะนี้ โครงการ NESLI อยู่ในระยะที่สอง จึงเรียกชื่อว่า NESLi2 เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2004 เป็นโครงการต่อเนื่องมาจากระยะที่ 1 ที่ประสบความสำเร็จ เนื้อหาข้อมูลที่ NESLi2 รวบรวมจัดเตรียมให้มาจากสำนักพิมพ์ชั้นนำ 17 แห่ง เป็นจำนวนวารสารราว 7,000 ชื่อ NESLi2 ได้ใช้จ่ายงบประมาณในปี ค.ศ. 2010ประมาณ 13.5ล้านปอนด์ ประมาณว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ  40 ล้านปอนด์ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี ค.ศ. 2004มีจัดบริการ Subscriptions Help desk เพื่อคอยตอบคำถามหน่วยงานที่เข้าเกณฑ์จะสมัครเป็นสมาชิก NESLi2 – จัดแสดงรายการชื่อแหล่งข้อมูลออนไลน์ (catalogue) ไว้ที่เว็บไซต์ โดยเสนอให้สมาชิกเลือกสมัครบอกรับ ประมาณ 40 ชื่อแหล่งข้อมูล  (ในทุกประเภทของสารสนเทศวิชาการ เช่น archive, database, digital film, digital image, e-books, magazine, map data เป็นต้น) ในการบริหารจัดการมีคณะผู้บริหารหลายชุด คือ Board of management / Advisory groups ประกอบด้วย Stakeholder group, Journal working group, Library advisory forum รูปแบบของ NESLi2  คือ ใช้สัญญาข้อตกลงชุดเดียวระหว่าง NESLI กับสำนักพิมพ์ต่างๆ (single contract signed) โดยสัญญาข้อตกลงมีการแก้ไขใหม่เสมอผ่านการเห็นชอบจากคณะทำงานวารสาร ล่าสุดในปี 2009 มีการแก้ไขเตรียมไว้สำหรับปี 2010ที่หน้าเว็บไซต์มีการแสดงสัญญาข้อตกลงระหว่าง NESLi กับสำนักพิมพ์ต่างๆ ในชุดของปีต่างๆ ตั้งแต่ปี 2004 -2009 รวมทั้งหมด 5 ปี มีแสดงข้อมูลการประชุมสัมมนาที่เกี่ยวข้อง มีแสดงเครื่องมือในชื่อต่างๆ คือ Academic Database Assessment Tool, Interactive copyright tool, Identity management toolkit, Guide to the model license ประเทศอิหร่าน อิหร่านประกอบด้วยมหาวิทยาลัยที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สายการแพทย์ ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยที่ขึ้นกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี (Ministry of Science, Research and Technology -MSRT) โดยในปี ค.ศ. 2008 มีจำนวนนักศึกษาประมาณ 3.5 ล้านคน มหาวิทยาลัยในกลุ่มสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  มีเครือข่ายจำนวน 58 แห่ง โดยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เริ่มรวมตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 จัดซื้อวารสารเป็นชุดในชื่อ  buying club ต่อมาทำความตกลงกับสำนักพิมพ์ Elsevier  ในช่วง 3 ปีแรก (2004-2006) เปิดให้เข้าถึงวารสารจำนวน 1,396 ชื่อ โดยเสนอให้ราคาส่วนลดร้อยละ 70 ในปี ค.ศ. 2004 ลดให้ร้อยละ 50 ในปี ค.ศ.  2005 และ ร้อยละ 30 ในปี ค.ศ. 2006 และเมื่อมีการวางแผนในการบอกรับใน 3 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 2007-2009) พบปัญหา คือ ห้องสมุดอื่นๆ ร้องขอเพื่อเข้าร่วมเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น สำนักพิมพ์ Elsevier แจ้งว่า จะไม่มีส่วนลดให้ในปี ค.ศ. 2007-2009 เครือข่ายชุดเดิม MSRT ไม่มีข้อมูลสนับสนุนในแง่การใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลที่บอกรับ หรือสถิติการใช้ สำนักพิมพ์ Elsevier ได้เสนอ model ในการบอกรับ คือ ให้สมาชิกเข้าถึงเนื้อหาชุดใหญ่ทั้งหมด (Whole Collection) ให้เข้าถึงเนื้อหาชุดเฉพาะ (Specific Collection) ให้เข้าถึงวารสารในชุดคงที่ ชุดหนึ่ง (certain number of Journal) หรือเรียกว่า unique title list, UTL โดยทั้ง 3 รูปแบบ สำนักพิมพ์ เสนอสิทธิ์ในการเข้าถึงเป็นแบบตลอดกาล (Perpetual rights) การพิจารณาข้อตกลงในการจัดซื้อวารสารชุดใหม่ จำเป็นต้องมีข้อมูลสถิติการใช้และค่าบอกรับอย่างละเอียดเพื่อต่อรองกับสำนักพิมพ์  และข้อมูลสถิติการใช้ควรเป็นระบบมาตรฐาน เช่น ระบบ COUNTER ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์สถิติการใช้ของผู้ใช้บริการ ข้อมูลสถิติการใช้ควรมีมาตรฐานของข้อมูล (standardization of the usage report)  สภาพความพร้อมใช้ของข้อมูล  ตัวอย่าง สถิติการใช้ของเครือข่ายประเทศอิหร่านในช่วงปี ค.ศ.  2005-2006 มี 5.6 ล้านเรื่อง และในปี ค.ศ. 2007-2008 มี 11.7 ล้านเรื่อง ข้อมูลสถิติส่วนใหญ่ได้จากสำนักพิมพ์ ซึ่งมักมีปัญหา คือ มีการดาวน์โหลดแบบเป็นระบบต่อเนื่อง (systematic download) โดยนักศึกษาที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลจริง หรือ การดาวน์โหลดของ vendorประเทศอิหร่าน กำลังกำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาการบอกรับจากหลัก cost-benefit analysis  ซึ่งถือว่าเรื่องการวัดหรือประเมินในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ยากเสมอมา ประเทศเกาหลีใต้ Korean Electronic Site License Initiative (KESLI)  ที่จัดตั้งภายใต้โครงการใหญ่ระดับประเทศชื่อ National Digital Science Library ที่มีการจัดทำระบบสถาปัตยกรรมการคัดเลือกวารสารเพื่อจัดเป็นคลังถาวร การกำหนดเมทาดาทา และงานส่วนอื่นๆ โครงการนี้เริ่มในปี ค.ศ. 2007 National Assembly Library, NAL ได้เห็นความสำคัญของความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศในภาควิชาการ ทั้งภาครัฐและอุตสาหกรรม  รัฐบาลจึงกำหนดให้จัดสร้างแหล่งความรู้สำหรับภาควิชาการในระดับประเทศ  โดยถือว่าวารสารวิชาการเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง โดยหน่วยงาน The Korea Institute of Science and Technology  เป็นเจ้าภาพหลัก เริ่มต้นด้วย 2 โครงการหลัก คือ Consortial license purchase และ Journal archiving โครงการ KESLI, Korean Electronic Site License Initiative ในปี ค.ศ. 1999 ได้จัดตั้งโครงการนี้ในระดับชาติโดยมีการกำหนด business model ให้ KESLI ทำหน้าที่เป็นประตูเข้าออก(gateway)  ด้วยการเริ่มติดต่อและต่อรองกับสำนักพิมพ์แต่ละแห่ง เพื่อสรุปข้อตกลง  โดยมี 3 กลุ่มเข้าร่วม คือ สำนักพิมพ์ ห้องสมุด และ KESLI  จากนั้นมีการสร้าง subconsortia เช่น KESLI-Elsevier consortium KESLI-Blackwell consortium KESLI- Springer consortium จากนั้นให้ห้องสมุดสมาชิกคัดเลือกสมัครในชุดตามที่ต้องการ ที่ผ่านมามี 40 สถาบันที่สมัครKESLI- Springer consortium อาจมีสัญญารวม 50ชุด ในปี ค.ศ. 2005 มีห้องสมุดสมาชิก 324 แห่ง ได้ทำข้อตกลงกับสำนักพิมพ์รวม 1,976 ชุด เฉลี่ย 1 สถาบัน มีสัญญาข้อตกลงกับสำนักพิมพ์เท่ากับ 6.19 ชุด KESLI ดำเนินการได้สำเร็จ โดยวัดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนสมาชิกห้องสมุด จำนวนเครือข่าย จำนวนวารสาร จำนวนข้อตกลง และค่าเฉลี่ยข้อตกลง ในช่วงปี 2000-2006 ดังตารางที่ 1, 2 และ 3 จำนวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นตามปี ตารางที่ 1 จำนวนเครือข่าย Description ปี 2000 ปี  2003 ปี 2006 Participating institutions 160 176 317 No. Consortia 6 31 90 No. of E-Journal 2120 5877 9780 No. of contracts 383 1515 1976 Average contract/institution 2.39 5.48 6.1 ตารางที่ 2 ประเภทของหน่วยงานเครือข่ายที่เข้าร่วม Type ปี 2000 ปี 2003 ปี 2006 Academic Library 101(63%) 142(51%) 144(45%) Research Institution 29(18%) 43(16%) 62(20%) Corporate Library 13(8%) 43(16%) 52(16%) Medical Library 12(8%) 39(14%) 47(15%) Public Library 5(3%) 9(3%) 12(4%) Total 160 276 317 ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ยสิ่งพิมพ์และวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่บอกรับโดยสมาชิก Type Print Journals E-Journals Difference % difference Academic Library 382 3520 3138 921 Research Institution 158 2972 2814 1881 Corporate Library 101 1986 1885 1966 Medical Library 257 2473 2216 962 Public Library 141 1731 1590 1227 เกณฑ์ในการคัดเลือกวารสารเพื่อจัดหา ในปี ค.ศ. 2005 มีการคัดเลือกวารสารไว้ 7,766 ชื่อ คิดเป็นบทความจำนวน 210, 000 บทความ ถูกจัดเก็บไว้ในระบบ มี 4 ปัจจัย ในการพิจารณาคัดเลือก คือ การเข้าใช้ได้แบบตลอดกาล แม้ยกเลิกการบอกรับแล้ว (Perpetuity of use) ค่าผลกระทบในการอ้างอิง หรือค่า IF  (Impact factor) จำนวนผู้ใช้บริการ (No. of users) ค่าใช้จ่ายในการลงทุนต่อหน่วย(Invested unit cost) ประเด็นที่สำคัญที่นำมาพิจารณา กำหนดไว้ 4 ข้อ เนื้อหา (Content collection) คุณภาพการบริการ (Service Quality) การสงวนรักษา (Preservation) เงินทุน (Funding) เป้าหมายสูงสุดของโครงการนี้ คือ มีการเข้าใช้วารสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืนและเพื่อให้มีความมั่นใจว่ามีการสงวนรักษาในระยะยาว โครงการในระยะที่ 2 กำหนด จัดทำ delivery system module มีแผนให้บริการสูงสุด ถึง 8 แสนบทความ ภายในสิ้นปี ค.ศ. 2006  โครงการระยะที่ 3 เริ่มในปี ค.ศ. 2007 กำหนดทบทวนระบบต่างๆและทดสอบการเข้าใช้ประโยชน์  กำหนดให้มีการจัดเก็บจำนวนบทความได้เท่ากับ 12 ล้านบทความ บรรณานุกรม NESLI2. [Online] Available: http://www.jisc-collections.ac.uk Emrani, Ebrahim, Moradi-Salari, Amin and Jamali, Hamid R. 2010 “Usage Data, E-Journal Section, and     Negotiations : An Iranian Consortium experience : Serials Review Volume 36, number 2,  p. 86-92. Ho Nam Choi and Eun G. Park. 2007 “Preserving Perpetual Access to Electronic Journals : A Korean     Consortial Approach. : Library Collections , Acquisitions & Technical Services 31 p. 1-11. แปลและเรียบเรียงโดย   รังสิมา เพชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วันที่  28 กุมภาพันธ์ 2554
ดัชนีวรรณกรรม
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
เทคโนโลยี 3-D ในทุกๆ สิ่งกำลังจะมาเร็วๆ นี้
รายงาน IP Market Report ของบริษัท Thomson Reuters ที่เผยแพร่เมื่อปลายปี 2009 ที่มีคำโปรยหลักว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรสามารถแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมในอุตสาหกรรมความบันเทิงแบบ 3D มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น (Patent data shows rise in 3-D entertainment innovations) แม้ว่าเป็นรายงานนี้เป็นฉบับเก่าแต่ก็น่าสนใจด้วยเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตมากยิ่งขึ้นในขณะนี้ ความนำ ในปี 2009 เป็นปีที่ฮอลลีวูดบันทึกว่าเป็นปีแห่งการผลิตภาพยนต์ 3D ด้วยมีการออกฉายของภาพยนต์แบบ 3D หลายเรื่อง เช่น Avatar, Bolt, Beowulf, Harry Potter ฯลฯ โดยมีการประมาณการว่าจะมีการดำเนินการสร้างหนังแบบ 3-D ราว 7,000 เรื่องทั่วโลก ภายในสิ้นปี 2009 อะไรคือเหตุผลที่มีผลกระทบให้เกิดความสนใจขึ้นมาใหม่ในธุรกิจด้านความบันเทิงแบบ 3D ขึ้นมาอีก เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้ แผนก IP Solution Business ของ บริษัท Thomson Reuters จึงได้ติดตามแกะรอยหากิจกรรมสิทธิบัตรเรื่อง 3D ตั้งแต่ปี 2003 ถึง 2009 ด้วยการวิเคราะห์จำนวนของสิ่งประดิษฐ์ที่เผยแพร่ให้คำขอสิทธิบัตรและสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติระหว่างช่วงปี 2003-2009 ซึ่งทำให้สามารถระบุถึงการพัฒนาการของเทคโนโลยี 3D ว่ามีการเติบโตเร็วมากที่สุดที่ไม่ได้หยุดแค่ที่ฮอลลีวูดเท่านั้นและพบว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยี 3 D ใน 3 กลุ่มหลักอื่นๆอีก คือ 3-D Cinema, 3-D Television และ 3-D Photography  รายงานนี้ได้สรุปถึงผลการค้นพบของการวิจัยในเอกสารสิทธิบัตรโดยแสดงผลเป็นรายชื่อบริษัทที่มีกิจกรรมสิทธิบัตร 3-D สูงสุด และภูมิภาคใดของโลกที่มีการปกป้องขอความคุ้มครองเทคโนโลยี 3-D นี้ วิธีการ ทำการรวบรวมข้อมูลสิทธิบัตรจากฐานข้อมูล Thomson Reuters, Derwent World Patents Index (DWPI) เพื่อระบุหากิจกรรมนวัตกรรมโลกที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี 3-D ด้วยนับจำนวนรวมของสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเอกสารสิทธิบัตรที่เผยแพร่ในคำขอสิทธิบัตรและได้รับอนุมัติปี 2003 กับปี 2008 และ 6 เดือนแรกของ 2009 แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกันเพื่อหาการเติบโตในเทคโนโลยีนี้  เอกสารสิทธิบัตรทั้ง 2 แบบ (การยื่นขอได้รับอนุมัติ) เมื่อนำมาวิเคราะห์รวมกันเพื่อหาช่วงเวลาที่รอคอยในการได้รับอนุมัติ ซึ่งปกติมีช่วงเวลาราว 4-5 ปี ผลการศึกษา จากการค้นหา 3-D Technology ในเรื่องใดที่มีการเติบโตสูงสุด พบว่า ในธุรกิจบันเทิง เช่น บริษัท Blockbuster บริษัท Pixar บริษัท Dream works ได้ให้ความสนใจในเทคโนโลยี 3D มาก ผลการศึกษาพบว่านวัตกรรมที่ร้อนแรงที่สุดคือ ใน โทรทัศน์ การถ่ายภาพและภาพยนต์ ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงจำนวนเอกสารสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D หลัก 3 ด้าน และการจัดลำดับ Technology 2003 2008 2009 (Q1 & Q2) % increase 2003-2008 Ranking 3-D Television 612 1034 486 69% 1 3-D Photography 460 720 368 57% 2 3-D Cinema 103 149 61 45% 3 เทคโนโลยี 3-D Television ธุรกิจที่เกิดจากนวัตกรรมของเทคโนโลยี 3-D มีจุดกำเนิดที่มาจากโทรทัศน์ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นผลักดันให้เกิดนวัตกรรมการประดิษฐ์ 3-D ของภาพยนต์ จากความนิยมอย่างแพร่หลายของโฮมเธียเตอร์และคุณภาพของฟิลม์ DVD ก่อให้เกิดการจุดไฟขึ้นมาอีกรอบสำหรับภาพยนต์แบบ 3D ในช่วงระหว่างปี 2003 กับ 2008 กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่องโทรทัศน์ 3-D เติบโตขึ้นร้อยละ 69 ด้วยจำนวนที่ยื่นขอความคุ้มครองในปี 2008 ที่เมื่อวิเคราะห์หาชื่อบริษัทผู้ขอความคุ้มครองได้แก่ บริษัทซัมซุง ร้อยละ 4 บริษัทพานาโซนิคและบริษัทโตชิบาร้อยละ 2 ดังรายละเอียดในตารางที่ 2 รวม 1,034 เรื่อง ตารางที่ 2    แสดงรายชื่อบริษัทผู้นำที่มีการยื่นขอสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D Television ในสิบอันดับแรก Patent Assignees % of all patents in this technology Samsung 4.15% Panasonic 2.22% Toshiba 1.74% Seiko Epson 1.54% Electronics & Telecom Res. Inst. 1.35% Intel Corp. 1.35% Juji Film Co.LTD. 1.25% Phillips Electronics 1.25% Sharp 1.25% Univ. Zhejiang 1.16% ท่ามกลางการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีใหม่นี้พบว่าในปี 2008 ที่มีการยื่นขอความคุ้มครองมี 30 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ เลนส์ ชนิด Leuticulas lenses ที่ช่วยสร้างภาพ 3-D ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้แว่นตาพิเศษสวมใส่ในเวลาชมภาพต่างๆ นี้เป็นการพัฒนาที่สำคัญยิ่งนำให้เทคโนโลยีโทรทัศน์ 3-D กลายเป็นกระแสหลักของตลาดผู้บริโภค ส่วนในการค้นหาว่าภูมิภาคใดของโลกที่มีการปกป้องขอความคุ้มครองพบว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำตามด้วยญี่ปุ่นและจีน ดังตารางที่ 3 แสดงประเทศลำดับแรกที่มีการยื่นขอ (priority country) ของปี 2008 แสดง 10 ลำดับ คือ ตารางที่ 3   แสดงรายชื่อประเทศที่มีการยื่นจดสิทธิบัตรในเทคโนโลยี 3-D Televisionเป็นครั้งแรก Priority Country % of all patents in this technolgy Number of patents US 34% 347 JP 24% 246 CN 15% 159 KR 14% 140 DE 2.2% 23 GB 1.9% 20 WO* 1.9% 20 TW 1.7% 18 EP 1.6% 17 FR 1.5% 16 เทคโนโลยี ภาพถ่าย 3-D (3-D Photography) มีการคาดการณ์ว่าการส่งออกของกล้องดิจิทัลจะมีการลดลงราว 6% ในจำนวน 129 ล้านหน่วย ในปี 2009 ด้วยมีสัญญาณว่าถึงจุดอิ่มตัวของตลาดแล้ว ขณะที่อุตสาหกรรมนี้ยังคงค้นหานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค 3-D ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของพรมแดนใหม่ในภาพถ่ายดิจิทัล บริษัท Fuji Film เป็นที่หนึ่งในการนำเทคโนโลยีนี้ทดลองนำเข้าตลาดในรุ่น Fine Pix Real 3D W1 ด้วยการถ่ายภาพดิจิทัล 3-D แบบความละเอียด 10 เมกาพิกเซล และแสดงออกมาเป็น 3-D บนจอ Camera’s lenticular screen ในระหว่างปี 2003 กับปี 2008 กิจกรรมสิทธิบัตร 3-D Photography เติบโตขึ้นร้อยละ 57 ด้วยจำนวนสิทธิบัตร 720 เรื่องที่ยื่นในปี 2008 โดยเป็นร้อยละ 8 ที่ยื่นขอความคุ้มครองโดยบริษัท Fuji Film ตามด้วยร้อยละ 3 โดยบริษัทโซนี 368 เรื่อง และซัมซุง โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2009 มีการยื่นขอความคุ้มครอง ตารางที่ 4   แสดงรายชื่อบริษัทผู้ยื่นขอสิทธิบัตรในเรื่อง 3-D Photography Patent Assignees % of all patents in this technology Fuji Film 8.0 Sony 2.9 Samsung 2.6 Seiko Epson 2.5 Nikon 2.2 Panasonic 2.0 Toshiba 1.7 Canon 1.1 Hitachi 1.1 victor Co. 1.1 ท่ามกลางความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญยิ่งนี้มีการแสดงถึงรายชื่อบริษัทต่างๆ ที่กำลังพัฒนาเรื่อง display screens ได้แก่บริษัท Seiko Epson และ NEC และบริษัทที่พัฒนาเรื่อง Image Capture และ Display Systems ได้แก่ Hitachi, Nippon Hoso Kyokai, Sanyo, Toshiba และ Victon ส่วนภูมิภาคที่มีการปกป้องสิทธิบัตรเรื่องนี้พบว่าญี่ปุ่นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งตามด้วยสหรัฐอเมริกาและจีน (เป็นประเทศแรกที่มีการยืจด priority country) ดังรายละเอียดในตารางที่ 5 ตารางที่ 5    ประเทศผู้นำในการยื่นขอสิทธิบัตรเรื่อง เทคโนโลยี 3-D Photography Priority Country % of all patents in this technology No. of Patents JP 49% 356 US 19% 138 CN 8.8% 64 KR 8.0% 58 DE 4.3% 31 TW 3.5% 25 WO* 1.7% 12 FR 1.5% 11 GB 1.4% 10 EP 0.8% 6 เทคโนโลยีภาพยนต์ 3-D  (3-D Cinema) เมื่อช่วงที่ผ่านมา บริษัท Dream Works ได้ให้คำมั่นว่าจะผลิตฟิล์มในรูป 3-D ในขณะที่เป็นการยากสำหรับผู้ชมภาพยนต์จะหลีกหนีการเกิดขึ้นของ 3-D ที่กำลังจะมาเร็วๆนี้ในโรงภาพยนต์ โดยที่ระหว่างปี 2003-2008 กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่อง 3-D Cinema เติบโตขึ้นร้อยละ 45 ในจำนวนสิทธิบัตร 149 เรื่อง ที่ยื่นขอในปี 2008 คิดเป็นของบริษัทต่างๆ คือบริษัท Seiko Epson ร้อยละ 10 บริษัท Sony ร้อยละ 6 บริษัท Real D ร้อยละ 5 และใน 6 เดือนแรกของปี 2009 มีการยื่นขอ 61 เรื่อง ตารางที่ 6  แสดงรายชื่อบริษัทผู้ยื่นขอสิทธิบัตรในเรื่อง 3-D Cinema Patent Assignees % of all patents in this technology Seiko Epson 10 Sony Corp 6.0 RealD 5.4 Thomson Licensing 2.7 Panasonic 2.0 Phillip Electronic 2.0 Light Blue Optics LTD 1.3 Samsung 1.3 Alsin AW Co.LTD 0.7 Bluvis Inc. 0.7   โดยที่ 3 บริษัทคือ Seiko, Epson Sony และ Philips พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ Projection ส่วนเทคโนโลยี Anti-Piracy system พัฒนาโดยบริษัท Thomson Licensing และเทคโนโลยี 3-D Editing apparatus พัฒนาโดย บริษัท Bluvis ส่วนบริษัท Real D มีความสามารถในหลายเรื่องคือ projection systems, specialist glasses, cleaning & glass registration system และ polarization for projection ภูมิภาคที่มีการขอปกป้องนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์เป็นประเทศแรกได้แก่ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอันดับ 1 ตามด้วยญี่ปุ่นและเกาหลี ดังในตารางที่ 7 แสดง 10 อันดับแรกประเทศแรกที่มีการยื่นจด ตารางที่ 7  ประเทศผู้นำในการยื่นขอสิทธิบัตรเรื่อง เทคโนโลยี 3-D Cinema Priority Country % of all patents in this technology No.of Patents US 46% 69 JP 29% 43 KR 6.0% 9 WO 5.4% 8 CN 4.7% 7 FR 4.0% 6 EP 2.0% 3 GB 1.3% 2 TW 1.3% 2 DE 0.7% 0 สรุป ในช่วงปีที่ผ่านมาในโรงภาพยนต์ ประเภท Cineplex เริ่มมีการแสดงภาพเคลื่อนไหวในลักษณะ 3 มิติ ซึ่งต่อไปในเวลาอันใกล้นี้ผู้บริโภคอาจได้ชมภาพ 3 มิติ บนจอของโทรทัศน์และภาพ 3 มิติ ในอัลบั้มภาพถ่าย ลักษณะการพัฒนาเทคโนโลยี 3 มิติในต่อไปเป็นเส้นโค้ง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัยโตเกียวได้พัฒนาระบบการแสดงเทคนิคที่เหมือนมีชีวิต 3 มิติ โฮโลแกรม (Hologram) ด้วยการสัมผัสจากมนุษย์ ด้วยการใช้เทคนิค airbone ultrasound ที่ทำการตรวจจับการเคลื่อนที่ขยับไปมา และ การเป่าลมไปยังมือผู้เล่นเพื่อให้เสมือนสัมผัสกับวัตถุนั้น (blows air jets onto the user’s hand to mimic the feel of the object) ซึ่งระบบนี้ยังไม่ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตร แต่ว่าใช้สิทธิบัตรในเทคโนโลยีเรื่องรีโมทเซ็นเซอร์ (remote sensor) ที่คล้ายคลึงกับที่ใช้ในระบบเกมส์ Ninteudo Wii และภาพแสดงโฮโลแกรมที่ได้รับสิทธิบัตรใหม่ในเดือนสิงหาคม 2009 โดยบริษัทในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Provision Interactive Technologies ซึ่งกำลังพัฒนาเทคโนโลยีแรกเริ่มสำหรับสาขาการแพทย์ที่อาจเป็นการนำเสนอขอบเขตใหม่ของเทคโนโลยีวินิจฉัยโรคด้วยภาพ รวมถึงอาจมีบทบาทเป็นผู้นำในการเช่าภาพยนต์ Blockbuster ต่อไป ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เราคงต้องเฝ้ามองดูต่อไปของการพัฒนานวัตกรรมที่ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยแผนก IP ของบริษัท Thomson Reuters จะติดตามและรายงานในอนาคตต่อไป อ้างอิง Thomson Reuters - IP Market Report  Dec.2009 : Coming Soon in 3-D …… Everything !  Patent data shows rise in 3-D entertainment innovations. Available at : http://img.en25.com/Web/ThomsonReutersScience/3DTechnology.pdf
สารสนเทศวิเคราะห์
 
แผนที่สิทธิบัตร
 
แผนที่สิทธิบัตร อุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง
Thomson Reuters ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ในชื่อเรื่อง Investing in Intelligence to stay successful through Innovation :  The Role of patents in the Petro-Chemical Intermediates industry มีเนื้อหาสรุปได้ดังนี้ สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันสำคัญ อยู่รอบๆ ตัวเรา (Daily essentials : All around us) อุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น แป้นคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ ขวดน้ำดื่ม  เสื้อเชิตจากไนลอน เป็นต้น ล้วนมาจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่มนุษย์ใช้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรมและเป็นของมีค่าสำหรับธุรกิจตามน้ำของการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง (Petro-Chemical Intermediates application) บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเหล่านี้ยังคิดค้นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เข้มข้น และ รวดเร็ว  เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันสำหรับธุรกิจของบริษัทตนเอง โดยในขณะนี้มีจำนวนบริษัทมากขึ้นที่ตระหนัก เข้าใจถึงความสำคัญ ของระบบสิทธิบัตร โดยที่สิทธิบัตรเป็นรูปแบบหนึ่งของทรัพย์สินทางปัญญาที่สำคัญและยังเป็นตัวชี้วัดถึงระดับนวัตกรรมขององค์กรอีกด้วย เศรษฐกิจของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ ถือว่าความรู้เป็นเสาหลักที่สำคัญสำหรับการเติบโต  เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท DuPont Zytel  Plus Nylon  ได้คิดค้นนวัตกรรมที่สำคัญยิ่ง คือวัสดุที่ทนทาน แข็งแรง ถูกนำไปใช้ในบริษัท General Motors, GM เป็นที่คลุมเครื่องยนต์ของรถยนต์ Car-engine hood cover) ซึ่งได้รับรางวัล SPE most innovative use of plastic awards 2010  บริษัท Yokohama ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก  ได้ผลิตยางรถยนต์สีเขียว ( Green performance tyres)  ที่ส่วนประกอบเป็นสารปลอดปิโตรเลียม ร้อยละ 80 ผลกระทบทางตรงของนวัตกรรมต่อบริษัทและเศรษฐกิจ  (Innovation directly impacts the company and economy) นวัตกรรมช่วยสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงขึ้นและมีผลโดยตรงต่อบริษัทและประเทศ ในทศวรรตที่ผ่านมาประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก นวัตกรรมเป็นเรื่องที่มีบทบาทเพิ่มขึ้น ถูกนำไปเป็นแรงดึงดูดอย่างมากในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เดิมได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตสิ่งของราคาถูกของโลก  มาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1990s เป็นต้นมา ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนการเคลื่อนที่ เป็นรูปร่างตัวยู  เน้นในเรื่องนวัตกรรม และเพิ่มคุณค่าด้วยการผลิตสิ่งของส่งออกแบบไฮเทคมากยิ่งขึ้น พบว่ามีการโคลงเคลงถึงร้อยละ 300 ในช่วงปี 1995 - 2005 ส่วนประเทศสิงคโปร์ก็ให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในการส่งออกสินค้าไฮเทค คิดเป็นร้อยละสูงสุด และยังเป็นสถานที่ดึงดูดแก่บริษัทเทคโนโลยี เช่นบริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำของโลก  ที่เข้ามาจัดตั้งโรงงานผลิตและมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยและพัฒนาที่เกาะแห่งนี้ สำหรับประเทศไทย พบว่ามีการเบี่ยงเบน หันเหจากปกติไม่มากนัก โดยตั้งแต่ปี 1990 คิดเป็นร้อยละ 28  ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ  ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นจากประวัติเดิมในความสามารถของโรงงานผลิตรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์  ที่ได้ช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมมากขึ้น ในการขับเคลื่อนและสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น  หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือน มีนาคม 2011 ยิ่งก่อให้เกิดการสร้างโอกาสให้แก่ ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ที่อาจเกิดการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม  และงานด้านวิจัยและพัฒนายิ่งขึ้น  ซึ่งเป็นไปตามการคาดหมายของ BOI ประเทศไทย (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีท้องถิ่นของประเทศไทยมีความเกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มก้อน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด บริษัทเอสซีจี  จำกัด เริ่มมีการเฝ้ามอง เพ่งพินิจเรื่องนวัตกรรมใหม่อย่างเข้มข้น  และได้ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น เช่น มีการยื่นขอจดสิทธิบัตร ดำเนินการหาโอกาสในการเป็นพันธมิตรกับนานาชาติ  เพื่อที่จะรักษาไว้ในความยั่งยืนของธุรกิจ ไว้ จากแนวคิดเดิมธุรกิจเทคโนโลยีไม่สามารถยั่งยืนอยู่ได้ด้วยการลดราคาและจัดการประสิทธิภาพในต้นทุนได้อีกต่อไป รูปภาพที่ 1 แสดงสินค้าเทคโนโลยีส่งออก เป็นร้อยละของประเทศต่างๆ Source : Thomson Reuters : Investing in Intelligence to stay successful through Innovation นวัตกรรมคือกุญแจสำคัญในการทำให้เกิดความแตกต่างของเทคโนโลยี (Innovation is key to Technology Differentiation) นวัตกรรมคือทักษะ ความสามารถในการนำสิ่งประดิษฐ์ออกสู่ตลาดได้สำเร็จ ในยุคนี้บริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยี ต่อสู้กันด้วยการลงทุนด้านวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม รูปภาพที่ 2 แสดงขั้นตอนห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation. ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลางดังแผนภาพที่แสดง  แสดงถึงขั้นตอนห่วงโซ่ทั้งหมดตั้งแต่ปิโตรเลียมดิบ ถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค  ที่ได้แก่ สี พลาสติก ยาง ผงซักฟอก สีย้อม ปุ๋ย สิ่งทอ และตัวทำละลายต่างๆ พบว่ามีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการเติบโตแบบอัตราเพิ่มแบบยกกำลัง เมื่อมองดูคุณค่าของทั้งห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พบว่ามีการเติบโตรวดเร็ว มากกว่า จีดีพี  ของประเทศส่วนใหญ่  นี้เป็นเพราะผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ได้เข้าแทนที่ สับเปลี่ยน ในวัสดุที่ใช้ในชีวิตประจำวันปัจจุบันอย่างกว้างขวาง และเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง สำหรับสาร Polyester เป็นเทคโนโลยีที่ยกเว้นในการถูกแทนที่  นำไปใช้ประโยชน์แทน ผ้าฝ้าย และ ขนสัตว์ ในขณะที่พลาสติกถูกนำไปใช้แทนที่  แก้ว โลหะ กระดาษสำหรับห่อ และวัสดุประกอบรถยนต์ พลาสติกและ สาร Polyester เป็นวัสดุหลักสำคัญที่สามารถทำการนวัตกรรมเห็นผลได้ชัดเจน เป็นการปรับปรุงเทคนิคของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง วิธีการสืบค้นหาเทคโนโลยีจากเอกสารสิทธิบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Technology Searching through Patents) ในรายงานฉบับนี้ มีการวิเคราะห์สิทธิบัตรในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ด้วยวัตถุประสงค์แสดงจุดสำคัญในทิศทางแนวโน้มของอุตสาหกรรม และเพื่อเข้าใจถึงสถานภาพการแข่งขัน นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูล ในเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ ที่ทำให้ทราบถึงสาขาวิชาหลักในการวิจัยพัฒนาของโลก ภูมิทัศน์ของสิทธิบัตร คือ รูปภาพแสดงที่เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลสิทธิบัตรที่ได้จากการสืบค้นและประมวลผลด้วยเทคนิค text mining  จากฐานข้อมูล Thomson Innovation, TI ถือเป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยม ดีเลิศในขณะนี้ ได้เปิดให้บริการแก่ภาคธุรกิจ เพื่อให้ได้ข้อมูลช่วยในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในชุดฐานข้อมูล Thomson Innovation ยังให้บริการฐานข้อมูลสิทธิบัตรที่สำคัญยิ่งอีกชื่อหนึ่ง คือ Derwent World Patent Index, DWPI  เป็นชุดฐานข้อมูลที่มีบริการมายาวนานกว่า 50 ปี ที่เป็นที่ยอมรับแก่ชุมชนวิจัยสิทธิบัตรทั่วโลก ด้วยคุณลักษณะพิเศษของ DWPI ที่มีการเขียนขึ้นใหม่ (rewritten) ในส่วนของชื่อเรื่อง บทคัดย่อ ของเอกสารสิทธิบัตรในแต่ละฉบับ ที่สามารถช่วยให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นด้วยการใช้หลักการเขียนใหม่ ด้วย ชัดเจน สม่ำเสมอ ใช้คำศัพท์เฉพาะทางอุตสาหกรรม ( clear, consistent, industry-specific term) DWPI แหล่งข้อมูลสิทธิบัตรที่สำคัญ ช่วยให้เกิดความฉลาดในเรื่องเทคโนโลยี (Derwent Worldwide Patents Index The Essential Patent Source for Technology Intelligence) จากแผนผังที่ 3 แสดงจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรในหัวเรื่องของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มของแข็ง และกลุ่มสารละลายและส่วนประกอบของเหลว แผนผังที่ 3  แสดงครอบครัวสิทธิบัตรในสารขั้นกลางหลายๆ ชนิด Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation. ความสำคัญของเนื้อหาสิทธิบัตรในฐานข้อมูล DWPI  ดังแสดงในแผนผังที่ 3 นั้น แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากเอกสารสิทธิบัตรต้นฉบับ กราฟแท่งสีฟ้าแสดงจำนวนครอบครัวสิทธิบัตร (Patent family)  ที่สืบค้นได้จากที่ฐาน DWPI แห่งเดียว ไม่สามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้เลย ตัวอย่าง สืบค้นด้วยคำศัพท์ plastic OR resin OR polymer ผลการสืบค้นพบเอกสารสิทธิบัตรเป็นหลักพันเรื่อง โดยตัวอย่างในแผนผังที่ 4 เป็นเอกสารสิทธิบัตรการยื่นขอของประเทศสหรัฐอเมริกา เลขที่ US20080103278A1  โดยฐานข้อมูล DWPI ได้เขียนขึ้นใหม่ ในส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง (title) พบว่ามีคำใหม่เกิดขึ้นมาคือ polystyrene ที่ในเอกสารต้นฉบับไม่มี สะท้อนให้เห็นว่ามีการซ่อน ปิดบัง ไว้ (hidden) ซึ่งหากไม่มีฐานข้อมูล DWPI จะไม่พบเอกสารฉบับนี้  ซึ่งในเรื่อง polystyrene จะไม่พบถึง 7 ใน 10 เรื่องทีเดียว ที่คิดเป็นร้อยละ 70 รูปภาพที่ 4 Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation. รวมทั้งยังแสดงให้เห็นความชัดเจนด้วยการพรรณาให้เป็นภาพในแผนผังที่ 3 ที่คำว่า Styrene / Polystyrene เป็นชุดคำศัพท์ที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของนวัตกรรมใหม่นี้ และยังแสดงว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่เป็นผลิตภัณฑ์ของแข็ง (Solid products) โดดเด่นกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารละลายของเหลว (liquid solvent) แผนผังที่ 5   แสดงการยื่นขอจดสิทธิบัตรแบบ Compound annual Growth Rate (CAGR)  ของสารต่างๆ ที่ได้จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation ในแผนผังที่ 5 ความสำคัญของนวัตกรรมจากสาร Styrene / Polystyrene  ยังสามารถยืนยันได้ในแผนผังที่ 4 ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นสารที่มีอัตราการเติบโตต่อปีสูงที่สุด Compound annual Growth Rate (CAGR)  ที่ร้อยละ 3.5  ของสิทธิบัตรที่มีการขอยื่นจดในระหว่างปี 2005 ถึง 2009 โดยในเส้นข้างๆ ของข้อมูล CAGR ยังแสดงถึงการเพิ่มขึ้นของสาร Acetone  และ Ethyl acetate  รวมถึงสารละลายและสารประกอบอีกหลายๆ ชนิดด้วย การเอาชนะในความท้าทายในการวิเคราะห์สิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  ในจำนวนหลักหมื่น (Overcoming the challenge of having to analyze more than 16,000 Styrene / Polystyrene Patents) การวิเคราะห์สิทธิบัตรด้วยแผนที่ ที่ชื่อว่า Themescape Map ของฐานข้อมูล Thomson Innovation เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถแสดงออกมาเป็นภาพแบบแผนที่ แบบระยะห่างของพื้นที่ภูมิประเทศ (Topographic space) ที่สามารถแสดงภาพสิ่งที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นภาพได้ ที่ช่วยให้เห็นเรื่องสำคัญในการเปิดเผยออกมาในเรื่องเทคโนโลยีรองได้ ที่บริษัทอุตสาหกรรมผู้เล่นเกมส์ในเรื่องนี้สามารถใช้เป็นความสามารถในการแข่งขันได้ (Competitive Intelligence) ในขณะที่พื้นที่สีขาวช่วยให้เห็นแนวโน้มทิศทาง ที่จะช่วยให้เรามุ่งเป้าในการตัดสินใจได้ หากเราทำการวิเคราะห์แบบวิธีปกติอาจใช้เวลาอย่างน้อย 8 วัน ในขณะที่แผนที่ Themescape สามารถสั่งให้ทำได้ในเวลาเพียง 8 วินาที  รวมถึงสามารถจัดหมวดหมู่เทคโนโลยีหลัก เทคโนโลยีรอง ของสิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  แสดงได้ในรูปภาพที่ 5 รูปภาพที่ 6 แสดงแผนที่ Themescape Map ที่แสดงถึงกิจกรรมสิทธิบัตรด้วยภาพ เปรียบเทียบระหว่างบริษัทอุตสาหกรรมคู่แข่ง ที่สามารถช่วยพัฒนากลยุทธ์ด้านธุรกิจได้ Source : Thomson Reuters :  Investing in Intelligence to stay successful through Innovation. จากรูปภาพที่ 6  ในแต่ละจุด แสดงถึงเอกสารสิทธิบัตร 1 ฉบับ ความสำคัญอยู่ที่ตำเหน่งของแต่ละจุด ที่แสดงความสัมพันธ์กัน  เช่นหากมีจุดจำนวนมากอยู่ในตำเหน่งใกล้กัน แสดงนัยได้ว่ามีความคล้ายคลึงของเทคโนโลยี (Technologically Similar) สูง  แผนที่ Themescape แสดงภาพออกมาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่วนในประเด็นเรื่องเทคโนโลยีรองที่เกิดใหม่ล่าสุด ในการขอยื่นจดสิทธิบัตรเรื่อง Styrene / Polystyrene  ได้แก่ หมวดพันธุศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และวัสดุนาโน เป็นต้น จากแผนที่ เห็นได้ว่า บริษัท BASF ถือครองแฟ้มข้อมูลสิทธิบัตรจำนวนมากในเรื่อง Thermoplastics (ดังในพื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า) ในขณะที่เป็นคำขอยื่นสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ LCD  (ดังในพื้นที่รูปสามเหลี่ยม) ด้วย Themescape Map กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญของภาคธุรกิจ ที่สามารถช่วยให้ค้นพบแนวโน้มของสิทธิบัตร  ช่วยในการวางกลยุทธ์เทคโนโลยี ผู้ใช้บริการจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า การแสดงข้อมูลที่เป็นข้อความออกมาให้เป็นรูปภาพเชิงกราฟ ช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าใจได้ง่ายขึ้นช่วยวิเคราะห์สรุปถึงสิทธิบัตรที่มีหลักพันฉบับ ขณะนี้สิทธิบัตรของประเทศออสเตรเลีย 17 ล้านเรื่อง ก็มีการจัดทำแผนที่ลักษณะนี้เช่นกัน หนทางข้างหน้า (The way forward) ความรู้เรื่องนวัตกรรม สามารถหาได้จากสารสนเทศสิทธิบัตร  ซึ่งระบบสืทธิบัตรเป็นเรื่องสำคัญในการขอความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง  ที่ช่วยให้เข้าใจในความก้าวหน้าและทันสมัยของเทคโนโลยี แต่ด้วยจำนวนสิทธิบัตรที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา มนุษย์ไม่สามารถอ่านชุดสิทธิบัตรขนาดใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ฐานข้อมูล DWPI มีการใช้งานในจำนวนมากๆ จากสำนักงานสิทธิบัตรประเทศต่างๆทั่วโลก รวมถึงบริษัทและองค์กรวิจัยชั้นนำของโลก ได้ประโยชน์ในเรื่อง Technology Intelligence องค์กรใดที่จะประสบความสำเร็จในการใช้ฐานข้อมูลสิทธิบัตร DWPI  จากรายชื่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก  500 อันดับแรก จาก Fortune รวมถึงมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกต่างใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล DWPI เทคนิคที่ทำให้มองเห็นเป็นภาพ เช่นแผนที่ Themescape เป็นเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยตีความ ให้ความหมาย (Interpret) ชุดเอกสารสิทธิบัตรจำนวนมากได้ ช่วยให้เห็นแนวโน้มของอุตสาหกรรมได้ และยังช่วยในการตัดสินใจ ในการลงทุนวิจัย พัฒนา ด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีสิทธิบัตรครอบครัวมากกว่า 1.5 แสนเรื่อง (1ชุดครอบครัวมีหลายฉบับที่ยื่นจดในหลายๆ ประเทศ)  ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นกลาง สารจำพวก Polystyrene / Styrene / Polyester / Polyurethane และ  Synthetic Rubber เป็นสิทธิบัตรที่มีการยื่นขอจดในอันดับต้นๆ  รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นในทศวรรษหน้า และจะมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่องด้วย อ้างอิง Allen Yeo , June 2011.  Thomson Reuters Report - Investing in Intelligence to stay successful through Innovation - The role of  Patents in The Petro-Chemical Intermediates Industry. Available at http://science.thomsonreuters.sg/
สารสนเทศวิเคราะห์
 
แผนที่สิทธิบัตร
 
กิจกรรมสิทธิบัตรของจีน
Thomson Reuters World IP today ได้จัดทำรายงานเรื่อง Patented in China: The present and future state of innovation in china เมื่อเดือนตุลาคม 2010 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงขอถ่ายทอดและสรุปสาระสำคัญคือ เศรษฐกิจของประเทศจีนได้เคลื่อนย้ายจุดสำคัญจากภาคการเกษตรแบบดั้งเดิม และอุตสาหกรรมการผลิตไปในทิศทางที่ไปสู่กิจกรรมนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น บทนำ เมื่อปี 2008 กรุงปักกิ่ง ได้จัดกีฬาระดับโลกโอลิมปิกเกมส์ได้อย่างยอดเยี่ยมที่ผ่านมาประเทศจีนมีการเจริญเติบโตที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมาก ทั่วโลกต่างจับตามองอย่างอยากรู้อยากเห็น การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน เริ่มในปี 1987 ต่อมาได้เห็นผลปรากฎออกมาจากประเทศที่ยากจนกำลังพัฒนากลายมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา ทั้งในแง่ความเท่าเทียมกันในกำลังซื้อและในแง่ GDP และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้กระตุ้นส่งเสริมให้ประเทศนำระบบนวัตกรรมมาใช้ด้วยหลายๆ มาตรการ เช่น การเพิ่มงบประมาณการวิจัยพัฒนาของประเทศ (increased overall R&D budget) ใช้ระบบหักลดภาษี (introduced tax breaks) ระบบแรงจูงใจทางการเงินเพื่อเพิ่มนวัตกรรมท้องถิ่น (Monetary incentives to increase indigenous innovation) ลงทุนสถาบันวิชาการของประเทศ (Investing in the nation's academic institutions) ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นตัวขับเคลื่อนเบื้องหลังกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน ขณะนี้ระบบกฎหมายสิทธิบัตรของจีนมีอายุได้ 25 ปี หลังจากเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1985 ขณะนี้ สำนักงานสิทธิตรจีนได้กลายเป็น สำนักงานใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกที่มีการรับการยื่นขอจดสิทธิบัตรรองจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ในช่วงปี 2003 ถึง 2007 จีนมีค่า GDP เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.75/ปี ในขณะที่จำนวนการยื่นขอจดสิทธิบัตรเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 28.4 ต่อปี หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จีนจะกลายเป็นผู้นำในกิจกรรมสิทธิบัตรของโลกในอนาคตอันใกล้นี้     รายงานนี้เป็นการนำเสนอแนวโน้มกิจกรรมสิทธิบัตรของจีน และจินตนาการถึงว่าสารสนเทศสิทธิบัตรของโลกจะมีภาพเป็นอย่างๆรในช่วง 5 ปีต่อไปนี้ สมรรถภาพในอดีต สำนักงานสิทธิบัตร 5 แห่งที่สำคัญของโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลีใต้ และ จีน คิดรวมแล้วมีการยื่นจำนวนสิทธิบัตรราวร้อยละ 75 ของโลก และมีการอนุมัติสิทธิบัตรราวร้อยละ 74 ของทั่วโลก การวิเคราะห์จำนวนสิทธิบัตรช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาจาก 5 สำนักงานข้างต้นนั้นพบว่าจีนมีการเติบโตในอัตราที่เร็วมากที่สุด หน่วยนับที่ใช้วัด (attributes) ในการศึกษาครั้งนี้ของ Thomson Reuters ได้แก่ ค่า Total volume of patents หมายถึงจำนวนรวมของสิทธิบัตรที่มีการยื่นที่ประเทศตนเองก่อน และต่อมามีการยื่นในประเทศอื่นๆ อีกเพื่อป้องกันการผลิต ที่เรียกว่า equivalent ค่า Basic patent volume หมายถึงจำนวนสิทธิบัตรที่ประดิษฐ์คิดค้นด้วยพลเมืองของประเทศนั้น และมีการยื่นจดครั้งแรกในประเทศ Ratio of basic of total volume สัดส่วนระหว่างจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นในประเทศครั้งแรกกับจำนวนที่ไปยื่นในประเทศอื่นๆ ต่อ ในการศึกษานี้ใช้ข้อมูลดิบจำนวนสิทธิบัตร เปรียบเทียบ 5ประเทศหลัก คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และ จีน จากฐานข้อมูล Thomson Reuters : Derwent World Patent Index Total Patent Volume 2003-2009 JP มีจำนวนสูงสุด 4.6 ล้านเรื่อง ร้อยละ 35 US มีจำนวน 3.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 27 CN มีจำนวน 1.8 ล้านเรื่อง ร้อยละ 14 EP มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12 KR มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12 Basic Patent Volume 2003-2009 JP มีจำนวนสูงสุด 4.6 ล้านเรื่อง ร้อยละ 35 US มี จำนวน 3.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 27 CN มีจำนวน 1.8 ล้านเรื่อง ร้อยละ 14 EP มีจำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12 KR มี จำนวน 1.5 ล้านเรื่อง ร้อยละ 12 Basic/Total Patent Volume Ratios Ratio of Basic/Total 2003 2004 2005 2006 2007 2008 2009 Average JP 59.4% 58.2% 55.9% 54.2% 49.6% 46.4% 43.6% 52.5% US 47.8% 43.0% 48.6% 46.1% 47.0% 45.8% 41.9% 45.8% EP 19.2% 20.3% 20.2% 18.1% 18.0% 14.5% 15.7% 18.0% KR 46.5% 45.6% 44.1% 41.2% 42.7% 47.0% 54.4% 45.9% CN 32.7% 30.2% 36.3% 37.7% 40.6% 44.2% 43.3% 37.9% นโยบายของรัฐบาลและบทบาทในเรื่องนวัตกรรม งบประมาณวิจัยและพัฒนา (R&D Budget) รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนวางแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยวิทยาศาสตร์และพัฒนาให้เพิ่มอย่างรวดเร็วโดยมีเป้าหมายให้เป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP ในปี 2020 โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปี 1996 ลงทุนเพียงร้อยละ 0.6 ของ GDP และในปี 2006 ลงทุนร้อยละ 1.4 ของ GDP ในเวลาเดียวกันจีนมีแผนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มีเป้าหมายให้มีการเติบโตของ GDP ในอัตราที่ มากกว่าร้อยละ 7.5 ในทุกๆ ปี จนถึงปี 2010 และเป็นร้อยละ 7.0 จนถึงปี 2020 นี้เป็นผลให้เกิดความสัมพันธ์ในทางบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ระหว่างจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรกับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการส่งเสริมค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างเป็นอิสระจะเป็นเชื้อเพลิงที่กระตุ้นระบบนวัตกรรมของประเทศอย่างต่อเนื่อง ระบบการเงินและภาษี (Tax and Financing) รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการขอหักลบภาษี (tax deduction) สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนารวมถึงมีการให้เพิ่มการขอกู้เงินจากรัฐบาล (lending) และ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (discounted interest rates) ซึ่งแน่นอนทั้ง 3 มาตรการนี้มีส่วนผลักดันให้จีนมีสถิติในสิทธิบัตรอย่างน่าทึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจะเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีกในปีต่อๆ ไป นวัตกรรมของท้องถิ่นและมาตรฐานเทคโนโลยี (Indigenous innovation and Technology Standard) นายกรัฐมนตรีจีน นาย Weu Jiabao ได้กล่าวว่า “เทคโนโนโลยีหลักไม่สามารถซื้อขายกันได้ มีวิธีเดียวคือต้องมีความสามารถอย่างเข้มแข็งในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้วยการได้มาในสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง ซึ่งเราสามารถส่งเสริมความสามารถการแข่งขันและได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมนานาชาติได้” นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน กระตุ้นส่งเสริมนวัตกรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น (indigenous innovation) เพื่อปรับปรุงความสามารถในการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศเอง และเพื่อลดความเชื่อถือในเทคโนโลยีต่างประเทศที่มีมากมายในปัจจุบัน  การคิดสร้างสรรค์เทคโนโลยีนวัตกรรมภายในประเทศเองช่วยให้เกิดการจ่ายค่าสิทธิแก่ผู้ประดิษฐ์ภายในประเทศโดยตรง ขณะนี้รัฐบาลได้เริ่มมีการเข้าจัดการในอุตสาหกรรมต่างๆ คือ โทรคมนาคม อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึง โทรศัพท์เซลลูล่าห์ โทรศัพท์ดิจิทัล ชิปคอมพิวเตอร์ วิดีโอดิสก์ กล้องถ่ายรูปดิจิทัลและเครือข่ายในยุคใหม่ บทบาทของรัฐบาลในภาคส่วนวิชาการและวิสาหกิจ (Government role in Academia and Enterprise) เกือบทั้งหมดของภาคส่วนวิชาการที่สำคัญของประเทศอันได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ ขึ้นโดยตรงกับรัฐบาล จากการศึกษาของ Thomson พบว่า ภาคส่วนวิชาการของจีนเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่มีสัดส่วนจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรสูงมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 16 ในขณะที่เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ คือ ญี่ปุ่น มีเพียงร้อยละ 1 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ 4 เกาหลีใต้ ร้อยละ 2 ส่วนประเทศที่มีความคล้ายคลึงกับประเทศจีนในประเด็นนี้คือ ประเทศรัสเซีย โดยทั้ง 2 ประเทศปกครองแบบมีศูนย์รวมอำนาจตรงกลาง ซึ่งในการคัดเลือกโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการให้ทุน เป็นอำนาจและการควบคุมจากรัฐบาลกลางโดยตรง นอกจากนี้รัฐบาลยังมีบทบาทสำคัญและชี้นำรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในปี 2007 รัฐบาลลงทุนให้แก่วิสาหกิจส่วนกลางที่เป็นของรัฐจำนวน 150 แห่ง เป็นจำนวนเกือบ 100 พันล้านหยวน (14.27 พันล้าน USD) คิดเป็นร้อยละ 27 ของงบประมาณการวิจัยและพัฒนาของประเทศร้อยละ 27 แรงจูงใจทางการเงิน (Menetary Incentive) รัฐบาลให้เงินอุดหนุนแก่นักประดิษฐ์นิติบุคคลภายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน หน่วยงานของรัฐในส่วนจังหวัดหรือเมืองใหญ่ๆ ส่วนใหญ่กระตือรือร้นที่จะบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลส่วนกลางที่มักจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้บ่อยๆ และคืนเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ กลับให้เพื่อการกระตุ้นการยื่นสิทธิบัตรในขณะที่รัฐบาลส่วนท้องถิ่นอาจจะอนุมัติทุนอุดหนุนให้อีกร้อยละ 50 ถือว่าเป็นแรงจูงใจที่สำคัญ มองไปข้างหน้า (Looking forward) Thomson ทำนายเรื่องภูมิทัศน์สิทธิบัตรของจีนด้วยการใช้ข้อมูลค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของจีนแบบรายปีของปี 2003-2009 และฉายภาพแบบเส้นตรงเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ โดยจีนได้กำหนดให้ล้ำหน้ากับสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นในปี 2011 Average Annual Patent Growth Rates Region Average total Volume Annual Growth Rate (2003-2009) Average basic Volume Annual Growth Rate (2003-2009) JP 1.0% -3.7% US 5.5% 4.0% EP 4.0% -2.1% KR 4.8% 7.5% CN 26.1% 31.6% แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังของการเพิ่มขึ้นของสิทธิบัตรของจีน การยื่นขอสิทธิบัตรในประเทศ และ ต่างประเทศ สำนักงานสิทธิบัตรของจีน (State Intellectual Property Office, SIPO) ได้รายงานว่าจีนมีสิทธิบัตรทั้ง 2 ประเภท ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยที่สิทธิบัตรในประเทศมีอัตราเพิ่มมากกว่า โดยที่มีค่าแตกต่างระหว่าง 2 ประเภท กว้างมากขึ้นทุกปีและในปี 2003 เริ่มมีความแตกต่างกัน ในปี 2006 สาธารณรัฐประชาชนจีน กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศซึ่งเป็นแผนที่ 11 รัฐบาลจีนเน้นความสนใจในเรื่องของนวัตกรรมร่วมกับความปรองดองของสังคม สิ่งแวดล้อม ความสมดุลของเศรษฐกิจระดับมหภาค การควบคุมการตลาด ส่วนแผนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เชื่อมต่อกับเป้าหมายที่ทะเยอทะยานที่จะให้จีนเป็นสังคมที่มีตำแหน่งด้านนวัตกรรม (innovation – oriented society) ในปี 2020 จีนได้ขยายจำนวนการยื่นขอสิทธิบัตรในต่างประเทศแสดงข้อมูลในตาราง Patent Oversea Invention Application by China 2008 Increase from 2007 by China Increase from 2007 by all Application WIPO 6,126 12.1% 2.1% US 4,455 14.1% 5.1% EP 1,503 33.5% 17.7% JP 772 15.9% 2.3% ในปี 2008 จีนทำการขอยื่นจดสิทธิบัตรที่สำนักงาน WIPO เป็นจำนวนสุงสุด WIPO บริหารจัดการด้วยระบบ PCT ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถขอยื่นจดในประเทศที่เป็นสมาชิกได้พร้อมๆ กันในหลายๆ ประเทศ โดยบริษัทของจีนที่ชื่อ Huawel Technologies เป็นบริษัทที่ทำการยื่นจดที่ WIPO เป็นจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ยังถือว่าเป็นจำนวนน้อย คือ อเมริกาทำการยื่นต่อ WIPO ในปี 2008 มากถึง 51,673 คำขอ ส่วนจีนมีจำนวนเพียง 6,126 คำขอ จีนเคลื่อนย้ายเทคโนโลยีที่สำคัญ อัตราการเพิ่มขึ้นในจำนวนสิทธิบัตรของจีนดูเหมือนไปในทิศทางขนานกับประเทศสำคัญอื่นๆ ในแง่ประเภทเทคโนโลยี จากข้อมูลสถิติของสำนักงาน WIPO ในปี 2007 พบว่าจีนประดิษฐ์เทคโนโลยีหลักอันได้แก่   จัดอันดับของโลก Information technology ที่ 5 Audio-visual technology ที่ 4 Electrical devices, Electrical ที่ 4 Consumer goods & equipment ที่ 5 Analysis, Measurement Control ที่ 5 Agriculture & food ที่ 7 Telecom ที่ 5 Chemical engineering ที่ 2 เทคโนโลยี 5 อันดับแรกของจีน Year Top 5 Fields Patent Applications 1998 Natural Products & Polymers Digital computers Telephone & data Transmission system Broadcasting, Radio & Line Transmission system Audio/Video Recording & System 2,864 2,161 2,067 1,986 1,592 2008 Digital Compute Telephone & Data transmission system Broadcasting, Radio & Line Transmission system Natural Products & Polymers Electro-(in) organic Materials 44,588 29,510 19,750 17,250 17,107 สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทางเลือกของจีน (Alternative IP rights in China) อัตราการขอยื่นจดสิทธิบัตรในจีนมีมากขึ้นเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 24 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา เมื่อปี 2009 มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรที่ SIPO มากกว่า 3.1 แสนเรื่อง นั้นยังเป็นเรื่องราวที่ยังไม่จบสมบูรณ์ลง นยังมีระบบการป้องกันทางเลือก (Alternative Protection) ที่เปิดให้บริการแก่นักประดิษฐ์โดยผ่านช่องทางชื่อ Chinese Utility model patents นี้เป็นการจัดบริการเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งสำหรับนักประดิษฐ์ท้องถิ่นมีการขอยื่นจดมากเป็นหลัก 3 แสนเรื่อง คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 18 ต่อปี เฉพาะปี 2009 มีอัตราการเพิ่มถึงร้อยละ 37 ระบบสิทธิบัตรในจีนมี 3 ประเภท คือ Invention patents / Utility model patents / Design patents โดยแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้ Invention patents เป็นระบบปกป้องคุ้มครองให้แก่สิ่งประดิษฐ์ที่ยื่นขอที่เป็นลักษณะการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคใหม่ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ / ขบวนการ หรือการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น รัฐให้สิทธิคุ้มครอง 20 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและมีการตรวจสอบความใหม่อย่างเป็นสาระสำคัญ Utility model patents (หรือเป็นระบบ petty patent ของประเทศอื่น) เป็นระบบการให้สิทธิคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์ที่มีความใหม่ในเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับรูปร่าง และหรือโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถปฏิบัติตามได้ รัฐให้ความคุ้มครองเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่ยื่นขอและไม่มีการตรวจสอบความใหม่ Design patents เป็นระบบให้ความคุ้มครองการออกแบบในรูปร่าง รูปแบบ การรวมกัน (เช่น ส่วนผสม สี กับ รูปร่าง รูปแบบ) ผลิตภัณฑ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาที่ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นศิลปะที่สุนทรียศาสตร์ และเหมาะที่จะประยุกต์กับอุตสาหกรรม รัฐให้ความคุ้มครอง 10 ปี ปริมาณและคุณภาพของสิทธิบัตรจีน (Patent quality VS. quality) บทความหนึ่งในวารสารชื่อดัง Financial Times กล่าวว่าจำนวนตัวเลขการขอยื่นจดสิทธิบัตรของจีนสะท้อนถึงการณรงค์อย่างมากของรัฐบาล (Concerted government campaign) ที่ชักชวนบริษัทของจีนให้ใช้ระบบปกป้องสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาด้วยกฎหมาย รวมถึงรัฐบาลได้ช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่ายในการยื่นขอนี้เป็นปัจจัยสำคัญ เป็นการขยายตัวแบบปลอมๆ จึงทำให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพย์สินทางปัญญา Chen Naiwei แห่งมหาวิทยาลัย Shanghai Jiaotong ให้ความเห็นว่ามีเหตุผลมาจากหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นได้จัดบริการให้ค่าธรรมเนียมในการยื่นจดแก่วิสาหกิจและสถาบันวิทยาศาสตร์ สิทธิบัตรจีนที่ยื่นขอจดส่วนใหญ่เป็นเรื่องการออกแบบใหม่ (new design appearance or new model) ที่ไม่ได้ใช้ความรู้ทางเทคนิคขั้นสูง Utility model patent เป็นที่ยอดนิยมมากเพราะการจัดเตรียมเอกสารยื่นของ่ายและสะดวกรวดเร็วมากกว่า ดังนั้นสิทธิบัตรประเภทนี้จึงมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ที่สำนักงานสิทธิบัตรจีน SIPO มีผู้ตรวจสอบมากกว่า 2,000 คน ที่ผ่านการฝึกอบรมมาจากสำนักงาน EPO โดยจัดฝึกอบรมปีละ 60 คน เมื่อกลางปี 1990s SIPO ได้นำระบบ EPOQUE มาใช้ซึ่งคือฐานข้อมูลสากลที่ช่วยในการยื่นขอแบบอัตโนมัติทางออนไลน์ คุณภาพของสิทธิบัตรการประดิษฐ์สามารถประเมินด้วยค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงจากเอกสารสิทธิบัตรประเภทยื่นขอที่กลายเป็นเอกสารสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ ด้วยวิธีการวัดนับจำนวนสิทธิบัตรที่ยื่นขอในแต่ละปี (filing year) และนับจำนวนอย่างมีสาระสำคัญ กลายเป็นสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ (grants) ตัวอย่างในปี 2000 จีนมีการ filing 56,392 เรื่องกลายเป็น application 22,756 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วนเปลี่ยนแปลง = ร้อยละ 40.4 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อัตราการปรับเปลี่ยนจากการยื่นขอเป็นอนุมัติช้ากว่าอัตราในยุโรป สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม SIPO รายงานว่าคุณภาพของสิทธิบัตรจีนมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ บทสรุป สาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นดินแดนที่มีระดับสุดยอด เมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2010 จีนได้ล้ำหน้าญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการกลายเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา ด้วยค่า GDP ที่ 1.33 แสนล้านเหรียญอเมริกา และยังแซงหน้าผ่านประเทศเยอรมนี เมื่อปี 2009 กลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนยังเป็นประเทศผู้บริโภคพลังงานสูงสุด ประชาชนจีนซื้อรถยนต์ถึง 1.3 พันล้านคน ข้อมูลที่แสดงมานี้ได้ให้ความชัดเจนอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของจีน ได้เห็นถึงวิวัฒนาการอย่างเป็นระบบของเศรษฐกิจของจีน บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น General Motor, General Electronic (GE), Siemen ได้เข้าไปจัดตั้งฐานการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ที่มีวัฒนธรรมในการสร้างนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ที่เติบโตได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามเป้าหมายแบบมีเอกภาพ จากฐานข้อมูลการทำนายด้วยหลักทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นที่ชัดเจนว่าจีนจะเป็นผู้นำนวัตกรรมของโลกในอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน เอกสารอ้างอิง Thomson Reuters. “Patentd in China : The present and future state of innovation in china” By Eve.Y. Zhou and  Bob Stembridge - October 2010. Available at http://thomsonreuters.com/news_ideas/white_papers/?itemId=25763 แปลและเรียบเรียงโดย รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วันที่ 31 มกราคม 2554
สารสนเทศวิเคราะห์
 
แผนที่สิทธิบัตร
 
สภาพการณ์นวัตกรรมปี 2010
ฐานข้อมูล Derwent World Patents Index (DWPI) นำเสนอผลการวิเคราะห์กิจกรรมสิทธิบัตรที่แสดงถึง 12 เทคโนโลยีหลักที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมสำคัญของโลกในปี 2010 เป็นรายงานแบบรายปีครั้งที่ 2 ของแผนก IP Solutions business ของบริษัท Thomson Reuters เพื่อเป็นการเปรียบเทียบกับรายงานปีก่อน ข้อมูลกิจกรรมสิทธิบัตรสามารถใช้เป็นเครื่องวัดการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมด้วยการวัดถึงจำนวนสิทธิบัตร ผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์สิทธิบัตรของ บริษัท Thomson Reuters ได้ศึกษาจำนวนสิทธิบัตรประเภทการยื่นขอ (patent applications) และสิทธิบัตรประเภทที่ได้รับอนุมัติ (granted patents) ของปี 2010 นับจำนวนสิทธิบัตรเพียงครั้งเดียวไม่นับซ้ำ นับชื่อประเทศจากประเทศแรกที่มีการยื่นครั้งแรกเท่านั้น ผลการนับหรือวัดนี้สามารถให้ภาพที่น่าเชื่อถือที่สุดของกิจกรรมสิทธิบัตรและนวัตกรรมของโลก รายงานนี้นำเสนอนวัตกรรมในแต่ละสาขาของเทคโนโลยีหลักมีสาขาย่อยที่เป็นชุดเรียงลำดับลงมา โดยนำเสนอจำนวนสิทธิบัตรในหมวดเทคโนโลยีย่อยพร้อมทั้งเจ้าของสิทธิบัตรผู้ถือครองในแต่ละเทคโนโลยีด้วย ผลการวิเคราะห์พบบทสรุปที่สำคัญ คือ กิจกรรมสิทธิบัตรเรื่องอวกาศ ยานอวกาศ (Aerospace) มีจำนวนเพิ่มสูงมากขึ้นราวร้อยละ 25 จากปี 2009 ถึง 2010 ด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีย่อย คือ ยานพาหนะในอวกาศและเทคโนโลยีดาวเทียม บริษัทผู้ถือสิทธิ์คุ้มครองจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ ชาร์ป ตามด้วยบริษัทเกาหลีชื่อ บริษัท LG กับ Samsung กิจกรรมสิทธิบัตรอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductor) ลดลงร้อยละ 9 จากปี 2009 ถึง 2010 ในเทคโนโลยีหมวดย่อย 3 หมวดคือ Integrated circuits, discrete devices และ memories, film and hybrid circuits สิทธิบัตรในเรื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงในปี 2010 ยังคงอยู่ในตำแหน่งชั้นแนวหน้าเช่น นวัตกรรมที่มีจำนวนสูงที่สุดในบรรดาสิทธิบัตรสาขาอื่นๆ คือ จำนวน 212,622 การประดิษฐ์ (ที่เป็นหนึ่งเดียว) ถึงแม้ว่ามีอัตราการลดลงร้อยละ 6 ในจำนวนรวมจากปี 2009 สิทธิบัตรในเรื่องยานยนต์ขยับขึ้นมาจากอันดับ 4 ในปี 2009 เป็นลำดับที่ 2 ในปี 2010 ล้ำหน้ากว่าอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกล (Telecommunication) กับอุตสาหกรรมอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (Semiconductors) ดังรายละเอียดของผลการวิเคราะห์นวัตกรรมของเทคโนโลยีต่างๆ ของปี 2010 ดังต่อไปนี้   ภาพรวมของ 12 เทคโนโลยีหลักในกิจกรรมสิทธิบัตรปี 2010 2010 2010 % of Total 2009 % Change in Volume (2010 v 2009) A Computers & Peripherals 212,622 1 28% 226,293 -6% B Automotive 88,867 2 12% 89,106 0% C Telecommunications 87,920 3 11% 90,867 -3% D Semiconductors 86,479 4 11% 95,106 -9% E Pharmaceuticals 59,350 5 8% 59,638 0% F Medical Devices 52,117 6 7% 49,035 6% G Petroleum & Chemical Engineering 42,304 7 5% 38,729 9% H Domestic Appliances 36,816 8 5% 34,591 6% I Food Tobacco & Fermentation 36,048 9 5% 35,375 2% J Aerospace 32,622 10 4% 26,167 25% K Agrochemicals & Agriculture 22,726 11 3% 20,503 11% L Cosmetics 6,438 12 1% 6,612 -3% อันดันที่ 1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ปี 2010 (Computer & Peripherals) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 71% Computers 178,509 193,445 -8% 10% Other Peripherals 26,317 29,800 -12% 10% Printers 25,079 25,108 0% 4% Smart media 9,757 11,602 -16% 3% Screens 6,471 6,684 -3% 2% Scanners 6,372 4,947 -29% 2010 Top Ten Assignees/Companies Smart Media Assignee Country 2010 Colume 1 Samsung KR 274 2 Matsushita JP 156 3 Toshiba JP 139 4 NEC JP 127 5 Brother JP 111 6 Toppan Forms JP 109 7 Sony JP 91 8 Mitsui Chemical JP 85 9 Electronics & Telecom Res.Inst. KR 82 10 Dainippon Printing JP 76 อันดันที่ 2 เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับรถยนต์ ปี 2010 (Automotive) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 16% Alternative Powered Vehicles 15,913 13,118 21% 13% Navigation Systems 12,060 12,414 -3% 12% Transmission 11,577 11,520 0% 11% Safety 10,263 10,589 -3% 9% Pollution Control 8,376 8,567 -2% 8% Seats, Seatbelts and Airbags 7,769 7,657 3% 7% Steering Systems 6,327 6,610 -4% 6% Suspension Systems 5,924 5,975 -1% 6% Security Systems 5,752 5,817 -1% 5% Engine Design and Systems 5,336 5,552 -4% 4% Braking Systems 3,908 4,067 -4% 3% Entertainment Systems 3,052 3,230 -6% 2010 Top Ten Assignees/Companies Alternative Powered Vehicles Assignee Country 2010 Colume 1 Toyota JP 2179 2 Nissan JP 639 3 Honda JP 467 4 NipponDenso JP 340 5 Matsushita JP 287 6 Hyundai KR 284 7 CM US 243 8 Robert osch DE 217 9 Daimler DE 209 10 Aisin JP 166 อันดับ 3 เทคโนโลยีการสื่อสารทางไกล ปี 2010 (Telecommunications) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 26% Mobile Telephony 42,836 44,714 -4% 24% Data Transmission Networks 39,367 32,922 20% 21% Telephone Subscriber Equipment 34,834 34,665 0% 8% Multiplex & Multiple Access Information Transmission Systems 14,031 15,191 -8% 8% Digital Information Transmission Systems 12,504 13,886 -10% 5% Telemetry & Telecontrol 7,638 8,037 -5% 4% Telephone Communications Systems & Installations 6,511 8,549 -24% 4% Telephone Exchange Systems 6,251 9,277 -33% 2010 Top Ten Assignees/Companies Mobile Telephony Assignee Country 2010 Volume 1 Samsung KR 1627 2 LG KR 1251 3 NEC JP 1146 4 Seiko Epson JP 1051 5 Matsuahitqa JP 1035 6 Sony JP 930 7 Sharp JP 857 8 Kyocera JP 851 9 Qualcomm Inc US 824 10 ZTE Corp CN 776 อันดับที่ 4 เทคโนโลยีอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ปี 2010 (Semiconductors) Subsectors 2010 2009 % Change 48% Semiconductor Materials and Processes 50,812 49,255 3% 29% Memories, Film and Hybrid Circuits 30,995 35,287 -12% 18% Discrete Devices 18,709 32,068 -42% 5% Integrated Circuits 5,127 9,148 -44% 2010 Top Ten Assignees/Companies Semiconductor Materials and Processes Assignee Country 2010 Volume 1 Samsung KR 1,566 2 Hynix Semiconductor KR 1,435 3 Toshiba JP 1,429 4 Matsuahita JP 977 5 NEC JP 925 6 Cannon JP 822 7 Seiko Epson JP 717 8 Sony JP 673 9 Sharp JP 663 10 IBM US 591 อันดันที่ 5 เทคโนโลยที่เกี่ยวกับเภสัชกรรม ปี 2010 (Pharmaceuticals) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 61% Organics 42,845 43,169 -1% 22% General 15,404 15,585 -1% 14% Heterocyclics 10,013 10,213 -2% 2% Inorganics 986 668 48% 1% Steroids 654 741 -12% 2010 Top Ten Assignees/Companies Organics Assignee Country 2010 Volume 1 Seiko Epson JP 385 2 Hoffman La Roche CH 233 3 Univ California US 189 4 Dokuritsu Gyosei Hojin Sangyo Gijutsu JP 183 5 Olympus Optical JP 178 6 Abbott Labs US 165 7 Nikon JP 142 8 Univ Seoul Nat Ind Found KR 139 9 CNRS FR 136 10 Univ Tokyo JP 127 อันดันที่ 6 เทคโนโลยีอุปกรณ์ทางการแพทย์ ปี 2010 (Medical Devices) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 35% Diagnosis, Surgery 20,076 19,249 4% 30% Sterilizing, Syringes, Electrotherapy 17,788 16,315 9% 18% Dentistry, Bandages, Prosthesis 10,746 11,044 -3% 17% Medical Aids, Oral Administration 9714 8,788 11% 2010 Top Ten Assignees/Companies Diagnosis, Surgery Assignee Country 2010 Volume 1 Fujifilm JP 529 2 Olympus Optical JP 456 3 Toshiba JP 453 4 Toshiba Medical JP 396 5 Siemens DE 361 6 Konica Minolta JP 269 7 Philips NL 258 8 Tyco Healthcare Group US 243 9 GE Medical Systems Global Tech. US 197 10 Hitachi Medical JP 175 อันดันที่ 7 เทคโนโลยีวิศวกรรมปิโตรเลียม และ วิศวกรรมเคมี ปี 2010 (Petroleum & Chemical Engineering) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 70% Chemical Engineering 32,655 28,642 14% 16% Petroleum & Gas Exploration, Drilling, Production and Processing 7,554 7,724 -2% 12% Petroleum & Gas Fuels and Other Products 5,787 6,086 -5% 1% Petroleum & Gas Transportation and Storage 311 334 -7% 1% Petroleum Refining 194 188 3% 2010 Top Ten Assignees/Companies Chemical Engineering Assignee Country 2010 Volume 1 Toyota JP 515 2 China Petro-Chem Corp CN 267 3 Univ Zhejiang CN 240 4 Matsushita JP 198 5 Univ Nanjing CN 163 6 BASF DE 152 7 NGK Insulators JP 133 8 Nippondenso JP 132 9 Dokuritsu Gyosei Hojin Sangyo Gijutsu JP 128 10 Robert Bosch DE 127 อันดันที่ 8 เทคโนโลยีอุปกรณ์ใช้ภายในบ้าน ปี 2010 (Domestic Appliances) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 44% Kitchen 17,235 15,851 9% 30% Healting & Air Conditioning 11,680 11,223 4% 9% Laundry 3,543 3,602 -2% 9% Household Cleaning 3,414 3,081 11% 5% Human Hygiene 3,193 3,228 -1% 2010 Top Ten Assignees/Companies Kitchen Assignee Country 2010 Volume 1 LG KR 728 2 Matsushita JP 685 3 Bosch & Siemens DE 418 4 Mitsubishi Electric JP 370 5 Daikin Kogyo JP 217 6 Sanyo JP 173 7 Hitachi JP 140 8 Sharp JP 136 9 Toshiba JP 129 10 Samsung KR 125 อันดันที่ 9 เทคโนโลยีอาหาร ยาสูบ การหมัก ปี 2010 (Food, Tobacco & Fermentation) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 82% Fermentation 30,086 27,433 10% 7% Bakery 2,628 2,675 -2% 6% Meat 2,090 4,323 -52% 4% Tobacco 1,512 1,529 -1% 1% Sugar & Starch 338 307 10% 2010 Top Ten Assignees/Companies Fermentation Assignee Country 2010 Volume 1 Dupont US 238 2 Monsanto Technology US 219 3 Univ Zhejiang CN 186 4 Univ California US 179 5 Hoffmann La Roche CH 133 6 Olympus Optical JP 128 7 Novozymes DN 116 8 Univ Seoul Nat. Ind. Foundation KR 111 9 Univ Nanjing CN 111 10 US Dept. Health & Human Services US 109 อันดันที่ 10 เทคโนโลยียานอวกาศ ปี 2010 Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 29% Space Vehicles and Satellite Technologies 10,429 5,019 10% 27% Production Techniques 9,726 9,070 7% 16% Advanced Materials 5,937 5,836 2% 10% Structures & Systems 3,612 3,414 6% 10% Propuision Plants 3,566 3,359 6% 8% Instrumentation 2,786 2,570 8% 2010 Top Ten Assignees/Companies Space Vehicles and Satellite Technologies Assignee Country 2010 Volume 1 Sharp JP 166 2 LG KR 156 3 Samsung KR 119 4 Mitsubishi Electric KR 101 5 Sanyo JP 89 6 Kyocera JP 85 7 Applied Materials US 83 8 Dupont US 81 9 Toyota JP 73 10 Fujifilm JP 60 อันดันที่ 11 เทคโนโลยีการเกษตร และ เคมีเพื่อการเกษตร ปี 2010 (Agrochemicals & Agriculture) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 67% Agriculture 21,843 19,645 11% 20% Agrochemicals 6,577 5,756 14% 13% Biotechnology in Agriculture 4,161 3,880 7% 2010 Top Ten Assignees/Companies Agrochemicals Assignee Country 2010 Volume 1 Bayer Cropscience DE 149 2 BASF DE 143 3 Sumitomo Chemical JP 109 4 Syngenta CH 68 5 Dow Agrosciences US 51 6 Univ. of S. China Agriculture CN 51 7 Dupont US 24 8 Nippon Soda JP 24 9 Univ. Nanjing CN 33 10 Clariant Ch 22 อันดันที่ 12 เทคโนโลยีเครื่องสำอาง ปี 2010 (Cosmetics) Subsectors 2010 Volume 2009 Volume % Change 43% Make-up 3,833 3645 5% 32% Skin 2,859 2915 -2% 21% Hair 1,879 2159 -13% 2% Perfume 216 185 17% 2% Antiperspirant 174 199 -12% 2010 Top Ten Assignees/Companies Make-Up Assignee Country 2010 Volume 1 L'Oreal FR 323 2 KAO JP 147 3 Amorepacific KR 120 4 Shiseido JP 115 5 Kose JP 62 6 Henkel DE 59 7 Pola Chem Ind JP 56 8 BASF DE 53 9 Procter & Gamble Co. US 33 10 Unilever NL/UK 32 อ้างอิงจาก Press release : Thomson Reuters Releases Report on the State of Global Innovation -12 January 2011  :  http://thomsonreuters.com/content/press_room/legal/379777 Thomson Reuters 2010 State of Innovation Report : Twelve Key Technology Areas Industries & Their States of Innovation : http://ip.thomsonreuters.com/InnovationReport2010/   แปลและเรียบเรียงโดย รังสิมา เพชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ วันที่ 31  มีนาคม  2554
สารสนเทศวิเคราะห์
 
แผนที่สิทธิบัตร
 
Cell Phone Data/Wireless Network Roaming และ Lab-on-a-chip Nanotechnology
การคาดการณ์นวัตกรรมใหม่ของบริษัท Thomson Reuters ต่อเนื่องจากบทความครั้งก่อนในเรื่อง Biofuels based on Algae โดยในครั้งนี้คือเทคโนโลยี Cell Phone Data /Wireless Network Roaming และเทคโนโลยี Lab-on-a Chip Nanotechnology ดังรายละเอียดต่อไปนี้ นวัตกรรมจากเทคโนโลยี Cell Phone Data /Wireless Network Roaming มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่สามารถอธิบายถึงอนาคตของเทคโนโลยีโทรคมนาคม คำๆนั้นคือ convergence หรือ การบรรจบมารวมกัน เป็นเทคโนโลยีการหลอมรวมกันระหว่างโทรคมนาคม (telecom) กับคอมพิวเตอร์หรือการคำนวณ(computing) ซึ่งตัวอย่าง คือโทรศัพท์มือถือที่เข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้  ที่สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบ คือ Cellular & Wireless  access โดยในปี 2003 มีสิทธิบตรจำนวน 8,705 เรื่อง ในปี 2008 มีจำนวนสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 290 ซึ่งมีจำนวน 25,283 เรื่อง และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสแรกของปี 2009 ดูเหมือนว่ากิจกรรมจะเริ่มลดลง Thomson Reuters สรุปว่าเทคโนโลยีนี้มีอัตราเติบโตที่เด่นชัดมาก ตัวอย่าง ชื่อเรื่องสิทธิบัตร ในหัวข้อ  Cell Phone Data CELL PHONE TERMINAL, METHOD FOR STARTING DATA PROCESSING, METHOD FOR TRANSFERRING DATA CELL PHONE USED INFRA-RED DATA COMMUNICATIONS CONTROL SYSTEM Cell phone live redundancy data back-up system PORTABLE DATA USB CABLE FOR THE CELL PHONE Cell phone charger with automatic storing data function Device, method and chip and cell phone for realizing image data collection Terminal to terminal encryption method of cell phone voice and data Image editing apparatus for processing image data photographed by cell phone camera Method for making cell phone call and transmit data at same time Cell phone read write device data conversion system ตัวอย่าง ชื่อเรื่องสิทธิบัตร ในหัวข้อ  Wireless Network Roaming METHOD FOR CONTROLLING THE STEERING OF THE ROAMING OF USER EQUIPMENT IN A WIRELESS TELECOMMUNICATION NETWORK Method, terminal and system for wireless local area network roaming switch Wireless local area network and methods for secure resource reservations for fast roaming Method for fast roaming in a wireless network EMERGENCY CALL SERVICES FOR WIRELESS NETWORK ROAMING WIRELESS NETWORK ROAMING METHOD Roaming system and method for heterogeneous wireless network environment Systems and Methods for Seamlessly Roaming Between a Wireless Wide Area Network & Wireless LAN Roaming of clients between gateways of clusters of a wireless mesh network ตารางที่ 1 Category Growth Time Period Total Telecom-Computing Patents Total Cell Phone/Wireless Patents  Jan. - Dec. 2003  8,705  5,043  Jan. - Dec. 2008  25,283  21,827  Jan. 2008 - Mar. 2009  30,520  26,415 ตารางที่ 2 Most Active Countries ( Jan. 2008 – Apr. 2009)  Ranking     Country/Authority of origin    No. of  Documents    % of Document  1  United States  11,523  43.62%  2  Japan  5,009  18.96%  3  WIPO  3,542  13.41%  4  Korea  2,851  10.79%  5  China  1,672  6.33%  6  EPO  1,019  3.86%  7  Great Britain  227  0.86%  8  Germnay  207  0.78%  9  France  163  0.62%  10  Canada  44  0.17% ตารางที่ 3 Most Active Companies ( Jan.2008 – Apr. 2009)   Ranking     Patent Assignees    No. of  Docs.    % of  Docs    Country of Origin  1  Samsung Electronics Co. Ltd.   1,041  3.94%  Korea  2  Microsoft Corp  534  2.02%  United States  3  Nokia Corp.  515   1.95%  Finland  4  LG Electronics Inc.  513  1.94%  Korea  5  NEC Corp.  464  1.68%  Japan  6  Qualcomm Inc.  445  1.68%  United States  7  SK Telecom Co Ltd.  434  1.64%  Korea  8  Res in Motion Ltd.  433   1.64%  Canada  9  Kyocera Corp.  418   1.58%  Japan  10  Motorola Inc.  412  1.56%  United States ข้อสังเกต นวัตกรรมเทคโนโลยี Telecom-Computing covergence วัดจากกิจกรรมการยื่นขอสิทธิบัตรทั่วโลก ในปี 2003 มีจำนวน 8,705 เรื่อง บริษัทผู้นำที่ยื่นขออันดับต้นๆ คือ บริษัท Nokia จากประเทศฟินแลนด์ เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี ในปี 2008 กิจกรรมสิทธิบัตรในเรื่องนี้ มีเพิ่มมากขึ้นสูงถึงร้อยละ 290 เท่ากับจำนวน 25,283 เรื่อง ใน ช่วงระยะเวลาล่าสุด ( Jan. 2008 – Apr. 2009) จำนวนสิทธิบัตรมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 30,520 เรื่อง พบว่าบริษัทผู้นำมาจากประเทศ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เป็นผู้ที่มีการยื่นขอสูงสุด ช่วงปี 2008 – 2009 บริษัทผู้นำ 10 อันดับแรก มาจาก สหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น ตามมาด้วย ฟินแลนด์ (โนเกีย) และ บริษัท Research in Motion จากประเทศแคนาดา นวัตกรรมจากเทคโนโลยี Lab-on-a Chip Nanotechnology ถือเป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่น่าตื่นเต้นมาก มีข้อมูลที่เป็นหลักฐานว่ามีการเติบโตอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เป็นการผสมรวมกันระหว่างนาโนเทคโนโลยีกับเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ที่ทำการพัฒนาอุปกรณ์ขนาดจิ๋วที่มีความสามารถทำหน้าที่เสมือนห้องปฏิบัติการ หลายๆส่วน รวมกันเป็นแผ่นไมโครชิปขนาดเล็กระดับมิลลิเมตรชุดเดียว  จากศักยภาพของเทคโนโลยีนี้จะกลายเป็นเครื่องมือจำเป็นในการวินิจฉัยโรคใน อนาคต ตัวอย่างเช่น การตรวจหาฮอร์โมน เลือด เนื้อเยื่อ จากตัวอย่างเพียงหยดเดียว นวัตกรรมนี้จะเหมาะสมสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนา ที่สามารถช่วยตัดสินใจให้ยารักษาเพื่อฆ่าเชื้อโรคแต่ขาดเครื่องมือที่จำเป็น ในการวินิจฉัยโรคเพื่อที่จะระบุวิธีการรักษาที่ถูกต้องต่อไป เทคโนโลยี Lab-on-a-Chip ช่วยในการวิเคราะห์หาแนวโน้มที่อาจจะเกิดโรคแบบครอบคลุมด้วยการใช้อุปกรณ์ และตัวอย่างในการทดสอบน้อยที่สุด ท่ามกลางการเกิดเป็นนวัตกรรมที่มีแนวโน้มสำคัญของเทคโนโลยีนี้ Thomson Reuters ได้สรุปผลการวิเคราะห์ดังนี้ ตารางที่ 4   Category Growth Time Period   Total Bio-Related Nanotech Patents      Total Lab-on-a Chip Patents  Jan – Dec  2003  4,611    766  Jan – Dec 2008  7,399   1,353  Jan 2008 – Mar 2009   9,842  1,682 ตารางที่ 5  Most Active Countries (Jan 2008 – Apr 2009)  Ranking  Country/Authority of Origin     No. of Documents     % of Documents  1  Japan   480   28.54%  2  United States  383  22.77%  3  WIPO  357  21.22%  4  China  216  12.84%  5  Korea  85  5.05%  6  EPO  62  3.69%  7  Germany  34   2.02%  8  Taiwan  21   1.25%  9  France  16   0.95%  10  Great Britain   11   0.65% ตารางที่ 6 Most Active Companies (Jan 2008 – Apr 2009) Ranking       Patent Assignees      No. of  Docs.       % of  Docs.     Country of Origin  1  Seiko Epson Corp.  311  18.49%  Japan  2  Nikon Corp.  86  5.11%  Japan  3  Toppan Printing Co. Ltd.   41   2.44%  Japan  4  Samsung Electronics Co. Ltd.      33  1.96%   Korea  5  Canon KK  30  1.78%  Japan  6  Konink Philips Electronics NV    22   1.31%  Netherlands  7  Konica Minolta Medical & Graphic Inc.  17  1.01%  Japan  9  FujiFilm Co. Ltd.  12  0.71%  Japan  10  Asahi Glass Co. Ltd.  11  0.65%  Japan  10  Sangyo KK  11    0.65%  Japan  10  Sumimoto Bakelite co. Ltd.   11  0.65%  Japan ตัวอย่าง รายชื่อเรื่องสิทธิบัตรในหัวเรื่อง Lab -on-a Chip DRIVER SYSTEM FOR LAB-ON-A-CHIP CARTRIDGES LAB-ON-A-CHIP BIO LAB-ON-A-CHIP AND METHOD OF FABRICATING AND OPERATING THE SAME LAB-ON-A-CHIP AND METHOD OF DRIVING THE SAME METHOD FOR PRODUCING A BIOREACTOR OR LAB-ON-A-CHIP SYSTEM AND BIOREACTORS OR LAB-ON-A-CHIP SYSTEMS PRODUCED THEREWITH REAGENT SEALING STRUCTURE OF LAB-ON-CHIP, AND LAB-ON-CHIP LAB-ON-A-CHIP COMPRISING A MIXING CHAMBER MICROFLUIDIC ARRANGEMENT AND MODULAR LAB-ON-A-CHIP SYSTEM INTEGRATED WAVEGUIDE LASER FOR LAB-ON-A-CHIP DIAGNOSTICS LAB-ON-A-CHIP SYSTEM HAVING MICRO MIXER A BATTERYLESS FLUID TRANSFERING LAB-ON-A-CHIP FOR PORTABLE DIANOSTICS LAB-ON-A-CHIP FOR AN ON-THE-SPOT ANALYSIS AND SIGNAL DETECTION METHODS LAB-ON-A CHIP FOR DETECTING HOMOCYSTEINE ข้อสังเกต นวัตกรรมจากเทคโนโลยี Bio-related nanotechnology  ในปี 2003 ที่นับจำนวนกิจกรรมสิทธิบัตรจากฐานข้อมูล Derwent World Patent Index, DWPI  มีจำนวนน้อย แต่มีการวิจัยพัฒนามาอย่างดี มีจำนวน 4,611 เรื่อง นำมาโดยบริษัทในสหรัฐอเมริกา  คิดเป็นร้อยละ 70 ในการเป็นบริษัทผู้นำ 10 อันดับแรก และ พบว่ามีร้อยละ 48 มีการยื่นขอคุ้มครองที่สหรัฐอเมริกา ในปี 2008 ห้าปีต่อมา พบว่ากิจกรรมสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 160 คิดเป็นจำนวน 7,399 เรื่อง ในช่วงระยะเวลาล่าสุด  (Jan 2008-Apr2009) จำนวนสิทธิบัตรเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเป็น 9,842 เรื่อง ประเทศสาธารณประชาชนจีนยังไม่เข้ามาในเรื่องนี้ (พบบริษัทจีนอยู่ในลำดับที่ 20) แต่พบอย่างชัดเจนว่าประเทศสำคัญที่ยื่นขอความคุ้มครองคือญี่ปุ่นและสหรัฐ อเมริกา (พบว่ามีร้อยละ 16 มีการขอยื่นที่สาธารณรัฐประชาชนจีน) ในช่วงที่ผ่านมามีการอภิปรายกันมากเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ ซึ่งพบว่ามีอัตราการเติบโตถึง ร้อยละ 220 ซึ่งสูงกว่าสิทธิบัตรเรื่อง  Bio-related nanotechnology ทั่วๆไป  โดยในปี 2003  มีจำนวนเพียง 766 เรื่อง และในช่วงระยะเวลาล่าสุดจนถึงปี 2009 นี้ มีจำนวนเป็น 1,682 เรื่อง ช่วงปี 2008 ถึง 2009 บริษัทผู้นำ 10 แห่ง ในเรื่อง Lab-on-a Chip นำโดยบริษัทจากญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 80 ของกลุ่มบริษัทผู้นำ ตามด้วยบริษัทจากเนเธอร์แลนด์และเกาหลี อย่างละ 1 บริษัท บทสรุปผลการวิเคราะห์ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พบว่ามีบางนวัตกรรมที่สำคัญเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ระบบเศรษฐกิจอยู่ใน สภาวะเลวร้าย ตกต่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทวิจัยและพัฒนาอยู่ในช่วงยากลำบากในการตัดสินใจลงทุน วิจัยเพื่อให้เกิดผลสำเร็จจนกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลก ตัวอย่างเช่น ใน ปี 1930 มีการพัฒนาเครื่องรับโทรทัศน์ (ทีวี) เส้นใยไนล่อน (nylon) และเครื่องทำสำเนาเอกสารจากการถ่ายภาพ (photocopies) ในช่วงต้นของปี 1970 เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่นและ การเกิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบพีซี และในช่วงต้นปี 1990 เกิดเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จนถึงเครื่อง iPod ที่เติบโตขึ้นในช่วงการล่มสลายของธุรกิจดอทคอม การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจ เติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างงานและกระแสเงินหมุนเวียน นวัตกรรมอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เป็นการยากยิ่งและเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ถึงความแน่นอน แต่รายงานนี้ก็ได้มีหลักฐานจากกิจกรรมสิทธิบัตรทั่วโลก ที่ทำให้เกิดภาพเห็นได้ เอกสารอ้างอิง Thomson Reuters  June  2009 "Innovation Hot Spot: IP Market Report- Mining patent data for tomorrow's breakthroughs" Available at http://ip.thomsonreuters.com/media/pdfs/InnovationHotSpots_June2009.pdf เรียบเรียงโดย : รังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโนโลยีแห่งชาติ
สารสนเทศวิเคราะห์
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
กระทรวงวิทย์ฯ สรุปผลงานวิจัยเด่นในรอบ 30 ปี
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวบรวมผลงานวิจัยเด่น 143 โครงการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรอบ 30 ปี นับตั้งแต่วันที่สถาปนา วันที่ 24 มีนาคม 2522 จัดพิมพ์ใน หนังสือ "รวมเทคโนโลยีของ วท."จากผลงานวิจัยเด่นทั้งหมด 143 โครงการที่ได้มีการรวบรวม เมื่อนำมาวิเคราะห์โดยแบ่งตามกลุ่มของสาขาเทคโนโลยี พบว่าเทคโนโลยีเครื่องจักรและระบบการผลิตอัตโนมัติเป็นอันดับหนึ่งโดยมีจำนวนโครงการ 41 โครงการ ซึ่งคิดเป็น 29% จากจำนวนทั้งหมด ต่อด้วยเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร และ เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ 40 และ 20 โครงการ หรือคิดเป็น 28% และ 14% ตามลำดับ ขณะที่เทคโนโลยีการเกษตร มีจำนวนโครงเป็นอันดับสุดท้าย คือ 5 โครงการ หรือ 3.5%ตารางแสดงจำนวนผลงานวิจัย แบ่งตามสาขาเทคโนโลยี  อันดับ   สาขา  จำนวนผลงาน  เปอร์เซ็นต์  1  เทคโนโลยีเครื่องจักรและระบบการผลิตอัตโนมัติ  41  29%  2  เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร  40  28%  3  เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ  20  14%  4  เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ การแพทย์ และเภสัช  16  11.2%  5  เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์  9  6.3%  6  เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน  6  4.2%  7  เทคโนโลยีอื่นๆ  6  4.2%  8  เทคโนโลยีการเกษตร  5  3.5% ขณะที่นักวิจัยที่มีจำนวนผลงานมากที่สุด 20 อันดับ อันดับหนึ่ง คือ นางสาวอารี ชูวิสิฐกุล จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยมีผลงาน 20 โครงการ และเป็นผลงานด้านเทคโนโลยีการแปรรูปอาหารทั้งสิ้น ตามมาด้วย นักวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์บริการเช่นเดียวกัน คือ นางวรรณดี มหรรณพกุล จากผลงานเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร จำนวน 13 โครงการ และ นางวรรณา ต.แสงจันทร์ จำนวน 11 โครงการ กับผลงานสาขาเทคโนโลยีโลหะและวัสดุ ตารางแสดงอันดับเจ้าของผลงานงานวิจัย ที่มีจำนวนผลงานมากที่สุด 20 อันดับ   อันดับ  เจ้าของผลงาน หน่วยงาน   จำนวนผลงาน  เปอร์เซ็นต์  1  อารี ชูวิสิฐกุล  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  20  13.99  2  วรรณดี มหรรณพกุล  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  13  9.09  3  วรรณา ต.แสงจันทร์  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  11  7.69  4  สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI)  สถาบันไทย-เยอรมัน(TGI)  7  4.90  5  สัมพันธ์ ศรีสุริยวงศ์  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  7  4.90  6  ยุทธนา ตันติวิวัฒน์  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  5  3.50  7  คงพันธุ์ ร่งประทีปถาวร  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  4  2.80  8  ยุทธ์พงศ์ ประชาสิทธิศักดิ์  สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ  4  2.80  9  สมาคมเครื่องจักรกลไทย  สมาคมเครื่องจักรกลไทย  4  2.80  10  จิตต์เรขา ทองมณี  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  4  2.80  11  พิมพ์วัลคุ์ วัฒโนภาส  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  2  1.40  12  พิมพ์วัลคุ์ วัฒโนภาส  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  2  1.40  13  ลดา พันธุ์สุขุมธนา  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  2  1.40  14  อดิสร เตือนตรานนท์  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  1.40  1.40  15  อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  2  1.40  16  สิรพัฒน์ ประโทนเทพ  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  2  1.40  17  ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  2  1.40  18  เอกรัตน์ ไวยนิตย์  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  2  1.40  19  อุราวรรณ อุ่นแก้ว  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  2  1.40  20  ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ  ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ  1  0.70 จากผลงานเด่นที่ได้รวบรวม 143 โครงการ เมื่อแบ่งตามหน่วยงานเจ้าของผลงาน หน่วยงานที่มีจำนวนผลงานการวิจัย และพัฒนา สูงสุด 3 อันดับแรก คือ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย 62 โครงการเป็นผลงานของกรมวิทยาศาสตร์บริการ ขณะที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มีจำนวนผลงานวิจัย 28 และ 21 โครงการตามลำดับ โดยผลงานที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากจะเป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาของนักวิจัยจากหน่วยงานในสังกัด สวทช. แล้ว ยังได้รวมถึงผลงานที่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันอุดมศึกษา ร่วมด้วย ตารางแสดงอันดับหน่วยงานเจ้าของผลงานวิจัย ที่มีจำนวนผลงานมากที่สุด 5 อันดับ  อันดับ   หน่วยงานเจ้าของผลงาน  จำนวนผลงาน    เปอร์เซ็นต์  1  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  62  43.36  2  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  28  19.58  3  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  21  14.69  4  หน่วยงานที่วิจัยร่วมมากกว่า 1 หน่วยงาน  19  13.29  5  สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ  4  2.80 ในจำนวน 62 โครงการที่ดำเนินการโดย กรมวิทยาศาสตร์บริการ หากแบ่งตามสาขาเทคโนโลยี พบว่าผลงานส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร ถึง 33 โครงการ ขณะที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จะเน้นสาขาเทคโนโลยีเครื่องจักรและระบบการผลิตอัตโนมัติ ซึ่งมี 18 โครงการ ส่วน 21 โครงการของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สาขาของเทคโนโลยีที่มีผลงานมากที่สุด คือ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ รวม 9 โครงการ ตารางแสดงจำนวนผลงานวิจัย แบ่งตามสาขา้เทคโนโลยีที่ีมีจำนวนผลงานมากที่สุด  อันดับ  หน่วยงานเจ้าของผลงาน จำนวนผลงาน  เทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน  เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ การแพทย์ และเภสัช เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ เทคโนโลยีเครื่องจักรและระบบการผลิตอัตโนมัติ  เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์  เทคโนโลยีอื่นๆ  1 กรมวิทยาศาสตร์บริการ  62  33  6  5  17  0 0  0  3  2 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  28  4  0  6  0  18 0  0  0  3 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  21  0  0  4  3  1 1 9 3 นอกจากจะดำเนินการวิจัยโดยบุคลากรในหน่วยงานในสังกัด สวทช. แล้วยังมีการสนับสนุนบุคลากร/นักวิจัยเสนอผลงานการวิจัยและพัฒนาผ่านรูปแบบการให้งบประมาณเงินทุนสนับสนุนร่วมด้วย ตารางแสดงอันดับหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนโครงการการวิจัย   อันดับ หน่วยงานเจ้าของผลงาน/ให้การสนับสนุนโครงการ  จำนวนผลงาน   เปอร์เซ็นต์  1  กรมวิทยาศาสตร์บริการ  62  43.36  2  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ  25  17.48  3  สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  24  16.78  4  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  27  18.8  5  สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ  4  2.80  6  สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน)  1  0.70 แหล่งที่มาข้อมูล : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ปรับปรุงจาก : สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สำนักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี. รวมเทคโนโลยีของ วท. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : สำนักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี, 2552.
สารสนเทศวิเคราะห์
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
คู่มือส่งเสริมการเรียนรู้ด้านพืช การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้ดอกไม้ประดับ
คู่มือส่งเสริม การเรียนรู้ด้านพืช "การเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อไม้ดอกไม้ประดับ" ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ความรู้ทั่วไป ขั้นตอนการลงมือฝึกปฏิบัติการเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อพืช และแนะนำแหล่งเรียนรูปทุมมาและหงส์เหิน ที่จะเป็นต้นแบบของการศึกษาวิชาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และเซลล์พืช เพื่อให้เยาวชนตระหนักในการใช้ประโยชน์ จากธรรมชาติอย่างเหมาะสม ตลอดจนการสงวนรักษา ไว้เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนของประเทศชาติสืบ ต่อไป ดาวน์โหลดหนังสือ คลิกที่นี่เพื่อแสดงผลในรูปแบบ e-Book แบบ Flip
เอกสารเผยแพร่
 
สถานภาพนวัตกรรม อุตสาหกรรมยานยนต์ ปี 2015
บริษัท Thomson Reuters, TR ผู้นำการผลิตและบริการสารสนเทศด้านวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ เช่น ฐานข้อมูล  Web of Science, Journal Citation Report  ที่ให้ค่า Impact factor วารสารวิชาการ , Thomson Innovation (สิทธิบัตร) TR ได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล (ดิบ) วิชาการเหล่านี้ เกิดเป็นข้อมูลใหม่ ที่สรุปสถานภาพ เห็นภาพแนวโน้มเทคโนโลยี นวัตกรรม  เผยแพร่ออกมาเป็นรายงาน  สม่ำเสมอ ตลอดมา เช่น รายงานการทำนายผู้ได้รับรางวัลโนเบล รายงานสถานภาพนวัตกรรมรายปี เป็นต้น เมื่อราวเดือนสิงหาคม 2558 นี้ TR ได้เผยแพร่รายงานวิเคราะห์ ชุดใหม่ออกมา ในชื่อ The State of Innovation in the  Automotive Industry 2015 ที่เว็บไซต์ http://ip-science.thomsonreuters.com/ip/SOI-Automotive-Industry-Report.pdf เป็นการสรุปนวัตกรรมยานยนต์ จากการวิเคราะห์สิทธิบัตร แสดงแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ 5 เรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกที่น่าสนใจมาก สรุปรายละเอียดแบบสั้นๆได้ดังนี้   วิธีการวิเคราะห์ TR วิเคราะห์ข้อมูลดิบ (เอกสารสิทธิบัตร) จากชุดข้อมูลชื่อ Derwent World Patent Index ที่มีบริการในฐานข้อมูล  Thomson Innovation ด้วยการนับจำนวนรวมของเอกสารสิทธิบัตรที่ยื่นขอ (patent applications) และสิทธิบัตรที่ได้รับอนุมัติ (Granted patents) แบบหนึ่งเดียวไม่ซ้ำกันในกลุ่ม patent family ที่แสดงถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ในช่วง 6 ปี คือ ปี 2009-2014  ซึ่งสามารถสรุปถึงกิจรรมนวัตกรรมที่สำคัญของโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ บทนำ ในนวนิยายวิทยาศาสตร์ มักมีความฝันถึงรถยนต์แบบบินได้ flying car (ที่เป็นการรวมกันของเครื่องบินกับมอเตอร์ไซต์) ตลอดมา โลกก็กำลังรอคอยรถลักษณะนี้เช่นกัน  อย่างไรก็ตามในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมานี้ ในภาคเทคโนโลยี 12 สาขา พบว่า อุตสาหกรรมรถยนต์มีความก้าวหน้า มีการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ เป็นลำดับที่ 3 รองจาก เทคโนโลยีสาขา Telecommunications and trailing และ Computing and Peripherals พบว่ามีการยื่นขอจดสิทธิบัตรสูงขึ้นตลอดต่อเนื่องมา ผลการวิเคราะห์เอกสารสิทธิบัตร พบว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ มีการยื่นขอความคุ้มครองสิทธิบัตรในเทคโนโลยีใหม่  5 หมวดหมู่/ระบบหลัก คือ 1. ระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์ (Propulsion) ได้แก่ Engine Design,Transmissions, Alternate Power Systems, Powertrains 2. ระบบบอกตำแหน่งของรถยนต์ (Navigation)  ได้แก่  GPS, Dedicated Short Range Communications 3. ระบบการบังคับรถยนต์ (Handling) ได้แก่   Braking Systems, Steering systems, Suspension Systems 4. ระบบความปลอดภัยของรถยนต์ (Safety & Security)  ได้แก่ Seats, Seatbelts, Airbags, Security Systems, Locks 5. ระบบความบันเทิงของรถยนต์ (Entertainment)  ได้แก่  Smartphone Integration, Heads Up Display (HUD) บริษัทผู้นำ 10 อันดับแรก ที่คิดค้นนวัตกรรมยานยนต์ในภาพรวม  (TOP AUTOMOTIVE PATENT ASSIGNEES) ได้แก่ บริษัท Toyota / Bosch /Hyundai / Honda / Denso / Daimler / GM /Seiko Epson / Mitsubishi / Continental Hot Topics  เมื่อวิเคราะห์เอกสารสิทธิบัตรลงลึกในหมวดหมู่เทคโนโลยีใหม่ 5 ระบบนั้น TR ได้สำรวจหาหัวเรื่องที่เป็นเรื่องที่สำคัญใน แต่ละระบบ  (Hot Topics) ได้แก่   เทคโนโลยีหมวดหมู่ หัวข้อเรื่องสำคัญ ตัวอย่างสิทธิบัตรหมายเลขที่ บริษัทที่ขอยื่นจด Propulsion Fuel Economy US20110160020A1 GM Navigation Telematics WO2011136456A1 LG Handling Autonomous Driving US8321067 Google Safety & Security Driver Assistance US8064643 Mobileye Technologies Entertainment Heads-Up Displays (HUDs) WO2013168396A2 Yazaki Corporation Source: Thomson Innovation สรุป อุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก  กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง/ส่งผ่านจากเทคโนโลยีฐานเครื่องจักรกล (mechanically based)  ไปสู่  เทคโนโลยีฐานซอฟต์แวร์ (software based)  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของรายงานเรื่องนี้ได้ที่เว็บไซต์ แผนก IP-Science ของบริษัท Thomson Reuters อ้างอิง :  Thomson Reuters : The State of Innovation in the Automotive Industry 2015 Available at - http://ip-science.thomsonreuters.com/ip/SOI-Automotive-Industry-Report.pdf
สารสนเทศวิเคราะห์
 
สารสนเทศวิเคราะห์
 
แผนที่สิทธิบัตร
 
นาโนเทค สวทช. จัดสัมมนาเชื่อมโยง BCG เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม จัดสัมมนาด้านความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เรื่อง “เศรษฐกิจ BCG สู่การพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” ในวันพุธที่ 21 ตุลาคม 2563  เวลา 09.30 – 12.00 น. ณ ห้อง MR220-221 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยภายในงานจะมีการเสวนา หัวข้อ “เศรษฐกิจ BCG สู่การพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” โดย ดร. วรรณี  ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการนาโนเทค, รศ.ดร.วาณี ชนเห็นชอบ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และดร.บงกช  หะรารักษ์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติก (PPDT) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) รวมถึงการบรรยาย หัวข้อ “Testing models for food safety and food contact materials” จากนักวิจัยในทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของนาโนเทค ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับชมการถ่ายทอดสัมมนาออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ได้ที่ เว็บไซต์ https://www.propakasia.com/ppka/2020/th/conference.asp  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม  โทร 0 2564 7100 ต่อ 6608 (จุฑารัตน์) หรืออีเมล nsa@nanotec.or.th
BCG
 
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2563
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2563 สหภาพยุโรปริเริ่มโครงการ Coronavirus Global Response เพื่อระดมทุนสำหรับการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด – 19 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 สหภาพยุโรป ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เป็นประธานในการยัดการประชุมนานาชาติ “Coronavirus Response Pledging Conference” ในรูปแบบออนไลน์ โดยการประชุมมีผู้แทนจากประเทศต่างๆ เข้าร่วมประชุมด้วยประมาณ 40 ประเทศ จากข้อสรุปในที่ประชุมได้มีการกำหนดเป้าหมายของการระดมทุนภายใต้โครงการ Corona virus Global Response ไว้ที่ 7,500 ล้านยูโร จุดประสงค์หลัก คือ เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงการวินิจฉัย การค้นหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาวัคซีน ป้องกันโรคโควิด – 19 โดยให้ทุกประเทศทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ในราคาย่อมเยา ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่เร่งด่วนที่สุด 3 ประการ โดยจะร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกและองค์การด้านสาธารณสุขระดับโลก การเข้าร่วมบริจาคของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้านผู้นำชาติต่างๆ ทั่วโลก ให้ความสนใจและยินดีสนับสนุนโครงการนี้ สหภาพยุโรปได้ประกาศที่จะบริจาคเงิน 1,000 ล้านยูโร เพื่อเป็น กองทุนแรกเริ่มสำหรับโครงการ Coronavirus Global Response ฝรั่งเศสสนับสนุน 500 ล้านยูโร เยอรมนีสนับสนุนจำนวน 525 ล้านยูโร อิตาลีสนับสนุนจำนวน 70 ล้านยูโร สเปนสนับสนุนเงินทุน 125 ล้านยูโร ระบุว่า 50 ล้านยูโร มอบให้การผลิตวัคซีน ส่วนอีก 75 ล้านยูโร มอบให้กับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด – 19  นอกจากนี้ยังมีประเทศนอกสมาชิกสหภาพยุโรป อาทิ นอร์เวย์ ระบุว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จะสมทบทุนจำนวน 1,000 ล้านยูโร ซึ่งขณะที่ประเทศซาอุดีอาระเบียสมทบทุนจำนวน 450 ล้านยูโร สหราชอาณาจักรมอบเงินจำนวน 440 ล้านยูโร สำหรับประเทศในฝั่งทวีปเอเชีย แม้ผู้นำของจีนจะไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่จีนประกาศให้ งบสนับสนุนจำนวน 45 ล้านยูโร ญี่ปุ่นสนับสนุนจำนวน 760 ล้านยูโร และเกาหลีใต้จำนวน 45 ล้านยูโร เป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำระดับโลกและได้รับผลกระทบในระดับรุนแรงจาการ แพร่ระบาดโรคโควิด-19 ไม่มีการประกาศจะสนับสนุนงบวิจัยให้แก่โครงการ Coronavirus Global Response การใช้ประโยชน์จากโครงการ Coronavirus Global Response สหภาพยุโรปแถลงว่าจำนวนเงินทั้งหมด 7,500 ล้านยูโร จะนำไปใช้พัฒนาวัคซีนจำนวน 4,000 ล้านยูโร อีก 2,000 ล้านยูโร ใช้ในการวิจัย เพื่อการรักษาโรค และ 1,500 ล้านยูโร นำไปใช้ในการผลิตเครื่องมือตรวจเชื้อ โดยเงินบริจาคจะส่งให้กับองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน เพี่อมุ่ง ช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่ยากจนที่สุด 73 ประเทศ เช่น องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund, UNICEF) องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO)  สถานะล่าสุด ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ระบุว่าโครงการ Coronavirus Global Response สามารถระดมทุนได้จำนวน 9,800 ล้านยูโร ซึ่งสูงกว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7,500 ล้านยูโร การที่จะต่อสู้กับโรคโควิด – 19 ได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีงบประมาณสนับสนุนมหาศาล โดยการระดมทุน เงินสนับสนุนจะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนระหว่างนักวิทยาศาสตร์ หน่วยงานบังคับใช้กฎระเบียบภาคอุตสาหกรรม รัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด – 19 จึงเป็นเรื่องน่ายินดี โดยวันที่ 4 มิถุนายน 2563 อังกฤษ จะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมออนไลน์ครั้งต่อไป สหภาพยุโรปประกาศใช้แผนปฏิบัติการ ERAvsCorona เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกันในการจัดการกับโรคโควิด – 19 เหล่าผู้นำประเทศในสหภาพยุโรปต่างออกมาสนับสนุนการสร้างความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศต่างๆ และหน่วยงานต่างๆ ในชุมชน วิทยาศาสตร์และการวิจัยในยุโรป เพื่อหาทางออกสำหรับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเน้นถึงความสำคัญในการแบ่งปันข้อมูลและ การทำงานร่วมกันทั้งในสหภาพยุโรปกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก และพร้อมที่จะสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของทีมนักวิจัยและบริษัทต่างๆ ในยุโรป ด้วยเหตุนี้จึงมีการพัฒนาแผนการปฏิบัติการ ERAvsCorona โดยพิจารณาตามวัตถุประสงค์และเครื่องมือที่มีอยู่ของเขตการวิจัยยุโรป (European Reserch Area, ERA) เพื่อมารับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 กลยุทธ์สำคัญ 10 ประการ แผนปฏิบัติการประกอบด้วยกลยุทธ์สำคัญ 10 ประการ ซึ่งไดรับความเห็นชอบจากผู้นำประเทศของ 27 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป ความร่วมมือในการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในการจัดการกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ การขยายการให้การสนับสนุนการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ในยุโรป การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ในการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและการรับมือของระบบสาธารณสุขในยุโรป การสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในยุโรปในการวิจัย การเปิดโอกาสให้มีการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมจากหน่วยงานอื่นๆ การจัดตั้งแพลต์ฟอร์มเพื่อให้ข้อมูลแบบครบวงจรด้านทุนวิจัยสำหรับประเด็นโรคโควิด-19 การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจระดับสูงด้านการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 การพัฒนาการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานการริจัย การจัดตั้งแพตฟอร์มเพื่อแบ่งปันและเผยแพร่ข้อมูลการวิจัยเกี่ยวกับโรคโควิด-19  8 โครงการวิจัยใหม่เพื่อต่อสู้โรคโควิด – 19 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและภาคเภสัชอุตสาหกรรมในยุโรป เมื่อเดือนมีนาคม 2563 สหภาพยุโรปประกาศให้ทุนวิจัยสำหรับการพัฒนาวิธีการรักษาและการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 จำนวน 117 ล้านยูโร ผ่านโครงการ Innovative Medicines Initiative ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและภาคเภสัชอุตสาหกรรม โดยเงินสนับสนุน 45 ล้านยูโร และอีก 72 ล้านยูโร จุดประสงค์หลัก คือ การช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทั้งในระดับสหภาพยุโรปและระดับโลก สรุปรายละเอียดโครงการวิจัยที่ได้รับทุน โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการตรวจวินิฉัย จำนวน 5 โครงการ โครงการวิจัยเพื่อพัฒนาวิธีการรักษา จำนวน 3 โครงการ สหภาพยุโรประดมงบ 350 ล้านยูโรเพื่อช่วยประเทศในกลุ่มอาเซียนต่อสู้กับโรคโควิด – 19 สหภาพยุโรปได้ประกาศให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มประเทศอาเซียนผ่านงบประมาณจำนวน 350 ล้านยูโร เพื่อรับมือและจัดการกับการแพร่ ระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และบรรเทาผลกระทบจากการระบาดดังกล่าวในภูมิภาคอาเซียน โดยให้ความช่วยเหลือในระดับ ประเทศและระดับภูมิภาค คือ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตด้านสุขภาพ เสริมสร้างระบบสาธารณสุข และบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โครงการความช่วยเหลือสำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน สหภาพยุโรปได้ปรับเปลี่ยนโครงการความร่วมมือกับอาเซียน เพื่อสามารถเข้าร่วมเพื่อรับความช่วยเหลือ ดังนี้ โครงการ Safe & Fair มีวัตถุ ประสงค์เพื่อปรับปรุงสภาพการย้ายถิ่นฐานแรงงานให้มีความปลอดภัยและยุติธรรมสำหรับผู้หญิงในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ The EU-UN Spotlight Initiative เพื่อขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก โครงการ BIOSEC – Enhanced Biosecurity in South-East Asia เป็นโครงการความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อช่วยให้ประเทศพันธมิตร ในเอเชียตะวันออกเฉียงให้ เพิ่มขีดความสามารถในการรับมือกับโรคติดต่อ โครงการความช่วยเหลือสำหรับประเทศไทย  สำหรับประเทศไทย สหภาพยุโรปและ Oxfam ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาในระดับสากลได้จัดทำโปสเตอร์ภาษาไทยและภาษายาวี เพื่ออธิบายวิธีป้องกันตนเอง เพื่อช่วยประเทศไทยในการรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในชุมชนห่างไกลในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังขาดความรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันตนเองจากโควิด-19 เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคมและมาตรการป้องกันตนเองอื่นๆ ข้อมูลที่มีอยู่แล้วบางส่วนมีเฉพาะภาษาไทยและไม่ได้คำนึงถึงขนบธรรมเนียมของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ในเรื่องการละหมาด เพื่อรับมือ ปัญหาดังกล่าวได้จัดทำโปสเตอร์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโควิด-19 เป็นภาษาไทยและภาษายาวี จำนวน 1,000 ชุด แจกจ่ายไปยังชุมชน 400 แห่งในจังหวัดนราธิวาส ยะลา และปัตตานี นอกจากนี้ ยังมีการส่งโปสเตอร์ในรูปแบบดิจิทัลตามช่องทางสื่อสังคม และกลุ่มนักสาธารณะสุขเพื่อ สังคม ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200713-newsletter-brussels-no05-may63.pdf  
นานาสาระน่ารู้