หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
Digital Transformation คืออะไร
Digital transformation ประกอบด้วย 2 คำ คือ Digital และ Transformation Digital หรือเทคโนโลยี และ Transformation หรือการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า digital transformation ในองค์กรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีภายในธุรกิจซึ่งทำให้เกิดผลประโยชน์ที่วัดได้ Transformation ไม่ควรเป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งนำไปสู่ความแตกต่าง แต่ควรเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นำสู่สิ่งที่ดีกว่า โดยสรุป digital transformation เป็นคำที่กว้าง แม้แต่สองคนภายในองค์กรเดียวกันสามารถพูดถึงคำเดียวกัน แต่อาจกำลังคิดถึงสองความคิดที่ตรงข้ามกัน Digital transformation ถูกใช้อย่างกว้างขวาง ไม่แน่ใจว่าถ้าถามผู้บริหาร 10 คนเพื่อนิยามความหมายของคำนี้ จะได้รับคำตอบที่เหมือนกัน สำหรับบางคน เป็นการใช้ประโยชน์ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) สำหรับคนอื่นๆ หมายถึงการย้าย applications ทั้งหมดไปสู่ cloud หรือทำให้เป็นอัตโนมัติกระบวนการธุรกิจทั้งหมด ผู้บริหารคนหนึ่งจะพูดว่าหมายถึงการใช้กลยุทธ์ mobile หรือปรับปรุงเว็บไซต์ของบริษัทใหม่เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้ามากขึ้น ในขณะที่ผู้บริหารการเงินอาจพูดว่าเป็นการนำหลักการบัญชีหุ่นยนต์หรือการวิเคราะห์ขั้นสูงมาใช้ ชัดเจนว่า digital transformation สามารถหมายถึงสิ่งที่แตกต่างกันจากคนที่แตกต่างกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจ digital transformation ไม่คืออะไร ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยีโดยปราศจากผลประโยชน์ที่สังเกตเห็นได้ไม่เป็น digital transformation ที่มา: Perry Wiggins (May 11, 2021). What is Digital Transformation?. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-digital-transformation
นานาสาระน่ารู้
 
วิธีทำให้เกิดผลของการจัดการความรู้ (KM, knowledge management) เร็วขึ้น
1. ตรวจสอบการจัดให้อยู่แนวเดียวกับธุรกิจ โปรแกรม KM จะไม่ไปไหนเลยถ้าไม่ถูกจัดให้อยู่ในแนวเดียวกับธุรกิจ ข้างล่างเป็น 5 คำถามซึ่งสามารถถามผู้บริหารเพื่อระบุปัญหาธุรกิจที่ถูกต้องสำหรับ KM เพื่อแก้ปัญหา - มีความรู้ซึ่งต้องการเพื่อการแข่งขันในระยะสั้นใช่ไหม - ต้องการความรู้อะไรเพื่อปรับปรุงและตอบสนองความต้องการในระยะยาว - ผู้แตกต่าง (differentiator(s)) ในตลาดสามารถถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นอะไร ถ้าความรู้และความเชี่ยวชาญถูกแบ่งปันและถ่ายทอดมากขึ้น - มีความท้าทายปัจจุบันหรือกำลังจะเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวกับความรู้ใช่ไหม - การประสบความสำเร็จของ KM เป็นอย่างไรสำหรับองค์กร ตอบคำถามเหล่านี้สามารถช่วยระบุคุณค่าสำหรับโปรแกรม KM ในขณะที่ยังระบุ เช่น ความคาดหวังของความเป็นผู้นำ และความท้าทายที่มีศักยภาพ เมื่อสร้างเหตุผลและขอบเขตของความพยายาม KM กำหนดวัตถุประสงค์, KPIs, ความต้องการแหล่งทรัพยากร, ค่าใช้จ่าย, ผลประโยชน์ และ timeline สำหรับการประยุกต์ใช้ในกรณีธุรกิจ KM 2. สร้างกลุ่มคนที่มีสมรรถนะสูง พนักงานเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน KM แต่ต้องการกลุ่มคนที่ดีของบทบาท KM เพื่อทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดี เมื่อต้องสร้างกลุ่มคน จะดีกว่าที่จะคิดนอกจากทีม KM หลัก ในขณะที่ทุกโปรแกรม KM ต้องการอย่างน้อยเจ้าหน้าที่ที่อุทิศตน งานวิจัยของ APQC (American Productivity and Quality Center) พบว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างขนาดของเจ้าหน้าที่ KM ขององค์กรและอัตราของการมีส่วนร่วมของ KM หรือการรับรู้ของประสิทธิภาพ แม้แต่ทีม KM ขนาดเล็กสามารถประสบผลสำเร็จด้วยการสนับสนุนของอาสาสมัคร, ผู้ชนะเลิศ KM และผู้ใช้ในธุรกิจ เพราะว่าพูดภาษาของธุรกิจ สามารถพูดคุยเกี่ยวกับ KM ได้อย่างเชื่อมั่นกับเพื่อนร่วมงาน สามารถสนับสนุนคนซึ่งต้องการความช่วยเหลือ และที่สำคัญสามารถชี้อุปสรรคซึ่งทีม KM หลักอาจไม่เคยพบมาก่อน มีคนในธุรกิจเพื่อสนับสนุน KM เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากซึ่งกำลังเห็นองค์กรมากขึ้นทำวิธีนี้ให้เป็นทางการด้วยได้รับการฝึกหัดและอย่างเป็นทางการเต็มเวลา, เป็นบางเวลา หรืออาสาสมัครบทบาทสนับสนุน KM ถูกฝังในธุรกิจ 3. ให้ความสนใจภายนอก (Shine Up the Exterior) จะไปได้ไกลถ้ามีกลยุทธ์ที่ดีและคนที่ถูกต้อง นอกจากนี้เห็นคุณค่าของความพยายามให้ความสนใจภายนอกด้วยแบรนด์ KM ที่น่าสนใจและกลยุทธ์ส่งข้อความ (messaging strategy) จำไว้ว่า KM ต้องแข่งขันอย่างต่อเนื่องสำหรับความสนใจของพนักงาน จะไม่สร้างความตื่นเต้นอะไรเลยในการแบ่งปันความรู้ถ้า KM ดูเหมือนอินเทอร์เน็ตที่เก่า ก่อนที่ใช้แบรนด์และการส่งข้อความ ให้ความสนใจที่ชุดเครื่องมือ KM เมื่อเชื่อว่าเครื่องมือดีที่จะใช้ พัฒนาแบรนด์ KM ที่แข็งแรงและที่จดจำง่าย ต่อมาวางแผนกลยุทธ์ส่งข้อความโดยถาม ทำไมคนที่องค์กรควรสนใจเกี่ยวกับ KM โดยปกติตอบคำถามนี้นำไปสู่ภารกิจ, คุณค่า และกลยุทธ์ที่ขยายขึ้นขององค์กร ตัวอย่างเช่น ถ้าคนแบ่งปันและใช้ซ้ำความรู้ จะสามารถให้การบริการที่ดีกว่าแก่ลูกค้า ต่อมาพัฒนาและจัดการแผนการสื่อสาร KM จะต้องกระจายข้อความจำนวนมาก แต่กรุณาอย่าให้ทุกสิ่งทุกอย่างไปยังทุกคนในทุก platforms ต้องแบ่งผู้ฟัง KM และพัฒนาแผนเป้าหมายซึ่งเหมาะกับคนที่ถูกต้องที่เวลาที่ถูกต้องที่ช่องทางที่ถูกต้อง ที่มา: Mercy Harper (February 20, 2020). How to Speed Up Knowledge Management Results. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/how-speed-knowledge-management-results
การจัดการความรู้ (KM)
 
ตอนที่ 3 รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=HXSfejIMjDEเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยคุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.ชูศักดิ์ ธนวัฒโน ดร.นพดล นันทวงศ์ และคณะ ดร.ชัญญา พุทธิขันธ์ และคณะ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ และคณะ ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ และคณะ ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ดร.แสงจันทร์ เสนาปิน ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และ ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 2 VDO รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ ผู้อำนวยการศูนย์แห่งชาติ และผู้บริหาร
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ ผู้อำนวยการศูนย์แห่งชาติ และผู้บริหาร https://www.youtube.com/watch?v=SZ_GvMfztrEเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของผู้อำนวยการศูนย์แห่งชาติ และผู้บริหาร ประกอบด้วย ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และคณะ ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล และคณะ ดร.สมวงษ์ ตระกูลรุ่ง ดร.วรรณี ฉินศิริกุล และคณะ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม และคณะ เป็นต้น
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 1 เกียรติคุณและรางวัล ผู้อำนวยการ สวทช. อดีต-ปัจจุบัน
เกียรติคุณและรางวัล ผู้อำนวยการ สวทช. อดีต-ปัจจุบัน https://www.youtube.com/watch?v=AnbnaC1DE1Eเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของผู้อำนวยการ สวทช. ประกอบด้วย ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ด้วยความรู้ความสามารถในการบริหารงาน สวทช. มาตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน ก่อให้เกิดคุณูปการและประโยชน์ในวงวิชาการอย่างแพร่หลาย พร้อมกันนี้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากทั้งเวทีระดับชาติและนานาชาติมาโดยตลอด
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
3 วิธีการที่จะทำให้การจัดการความรู้ (KM, knowledge management) เข้าไปอยู่ในงานที่แท้จริง
กำลังมองหาองค์กรชั้นนำใช้วิธีที่ยั่งยืนมากกว่าโดยใช้บทบาท (roles), ชุดทักษะ (skillsets) และกระบวนการ (processes) เพื่อฝัง KM บางองค์กรใช้บทบาท (roles) สนับสนุน KM ในธุรกิจเพื่อทำให้เกิดการสนับสนุนและการชี้แนะที่มีอิทธิพลมาก บทบาทเหล่านี้ยังป้องกันการตอบกลับซึ่งทำให้ KM พัฒนาอย่างต่อเนื่องชุดเครื่องมือและกลยุทธ์ หนึ่งองค์กรที่ใช้วิธีนี้คือ Pfizer ซึ่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ KM เพิ่มการมีส่วนร่วมที่ระดับท้องถิ่นได้อย่างประสบผลสำเร็จ หลายองค์กรยังกำลังระบุและทำให้เกิดขึ้น KM ชุดทักษะะ (skillsets) เมื่อคนในธุรกิจมีทักษะเพื่อทำ KM ของตนเอง สามารถสร้างการแบ่งปันความรู้และใช้ซ้ำในงานซึ่งมีประโยชน์ และเมื่อองค์กรรู้ว่า KM เป็นชุดทักษะ KM กลายเป็นหนทางสำหรับพนักงานเพื่อเติบโตและสูงขึ้นในอาชีพ ตัวอย่างเช่น Schlumberger จัดให้มีแหล่งทรัพยากรจำนวนมากเพื่อช่วยพนักงานพัฒนาและแสดงทักษะ KM และทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการเพื่อก้าวสูงขึ้นบันไดอาชีพที่แน่นอน การสร้าง KM ในกระบวนการ (processes) ธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพ เมื่อวาง KM ในกระบวนการซึ่งคนใช้แล้ว จะเตือนให้มีส่วนร่วมในโอกาสที่ถูกต้องและทำให้ KM รู้สึกสำคัญกับงาน มีหนทางเล็กน้อยที่จะทำ แต่เนื่องจากองค์กรส่วนใหญ่จัดโครงสร้างงานในรูปแบบของโครงการ การรวม KM เข้าไปในการจัดการโครงการเป็นเรื่องปกติ หนึ่งตัวอย่างมาจาก Consolidated Contractors Company ซึ่ง KM ถูกสร้างในบทบาทโครงการหลักและวงจรชีวิตโครงการทั้งหมด ที่มา: Mercy Harper (February 13, 2020). 3 Ways to Bake KM into Real Work. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/3-ways-bake-km-real-work
การจัดการความรู้ (KM)
 
วิธีส่งเสริมวัฒนธรรมการจัดการความรู้ (KM, knowledge management)
โดยพื้นฐาน วัฒนธรรมเป็นดินขององค์กร เมื่ออุดมสมบูรณ์ KM เจริญ เมื่อแข็งและเป็นหิน KM ต่อสู้เพื่อให้เกิดราก ข้างล่างเป็น 5 วิธี ที่ช่วยให้โปรแกรม KM เติบโตในวัฒนธรรมซึ่ง KM ถูกเพาะปลูกแล้ว - เพาะปลูกเมล็ดที่ถูกต้อง ทำงานกับผู้นำอาวุโสเพื่อให้แน่ใจว่า KM มุ่งไปที่ปัญหาธุรกิจที่ถูกต้อง - โน้มเอียงต่อราก ความคาดหวังการปฏิบัติเป็นรากของพฤติกรรมพนักงาน เป็นที่ต้องการและไม่เป็นที่ต้องการ ทำงานร่วมกับ HR เพื่อทำให้ เช่น จุดประสงค์การปฏิบัติ โอกาสการเติบโตทางอาชีพ อยู่ในแนวเดียวกับ KM - สอนคนทำสวน ทำให้ผู้นำและผู้จัดการเห็นวิธีที่พวกเขาสามารถช่วยวัฒนธรรม KM เจริญผ่านการสื่อสารและเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น คนเหล่านี้ยุ่ง ดังนั้นต้องบอกว่า KM ต้องการอะไรจากพวกเขาและสอนวิธีที่จะได้สิ่งนั้น - หยุดวัชพืช ข้อจำกัดทางภาษาและภูมิศาสตร์สามารถป้องกันวัฒนธรรม KM จากการแผ่ขยายทั่วทั้งองค์กร กำจัดข้อจำกัดเหล่านี้ด้วยการจัดหมวดหมู่องค์กร, เครื่องมือแปลภาษา และชุมชนนักปฏิบัติทั่วโลก - ให้แสงแดด ส่องแสงไปยังพฤติกรรม KM ที่ดีและเรื่องราวที่ประสบผลสำเร็จด้วยรางวัลและการรับรู้ ที่มา: Mercy Harper (February 27, 2020). How to Foster a KM Culture. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/how-foster-km-culture
การจัดการความรู้ (KM)
 
องค์ประกอบ 4 อย่างที่ดีที่สุดของการจัดการความรู้ (knowledge management, KM) คืออะไร
องค์ประกอบ 4 อย่างที่ดีที่สุดของการจัดการความรู้ คือ คน (people), กระบวนการ (process), เนื้อหาหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ (content/IT) และกลยุทธ์ (strategy) โดยไม่คำนึงถึงอุตสาหกรรม, ขนาด หรือความต้องการความรู้ขององค์กร ต้องการเสมอ ๆ คน เพื่อนำและสนับสนุนการแบ่งปันความรู้ ต้องการกระบวนการเพื่อจัดการและวัดการไหลของความรู้ ต้องการเนื้อหาความรู้และเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งสามารถเชื่อมคนที่ถูกต้องกับเนื้อหาที่ถูกต้องที่เวลาที่ถูกต้อง และท้ายที่สุดต้องการกลยุทธ์ที่ชัดเจนและทำเป็นเอกสารเพื่อใช้ KM ให้ตรงกับความต้องการที่เร่งด่วนและสำคัญที่สุดของธุรกิจ ข้างล่างเป็นข้อมูลที่ลึกเล็กน้อยเกี่ยวกับองค์ประกอบทั้งสี่ - คน เมื่อเริ่มโปรแกรม KM ต้องการคนสองประเภทนี้ ได้แก่ 1. ผู้นำอาวุโส (senior leaders) เพื่อสนับสนุนทำให้กลยุทธ์องค์กรขยายมากขึ้น 2. ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมข้ามสายงาน (cross-fuctional stakeholders) เพื่อแนะนำการประยุกต์ใช้ เมื่อความพยายาม KM สมบูรณ์แบบ องค์กรส่วนใหญ่จะมีทีม KM หลัก, ระบุผู้ชนะเลิศ KM (KM champions) และผู้อำนวยความสะดวก (facilitators) ของธุรกิจ และจัดตั้งคณะกรรมการบริหารเพื่อให้บริการหรือดูแลอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าจะอาศัยคนเป็นจำนวนมาก ต้องการคนให้มีส่วนร่วมที่ระดับต่าง ๆ และที่ส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจเพื่อทำให้เกิดการแบ่งปันความรู้อย่างแท้จริงในวัฒนธรรม แต่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากหรือใช้เวลามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากระบวนการดี, เนื้อหาและโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ยุ่งยาก และกลยุทธ์น่าสนใจ - กระบวนการ ในองค์กรที่มีกระบวนการ KM ที่แข็งแรง การไหลของความรู้เหมือนการให้น้ำในเมือง เมื่อบางคนต้องการน้ำ เพียงหมุนก๊อกน้ำ ทีม KM เหมือนผู้วางแผนเมือง รู้วิธีทุกสิ่งทุกอย่างไหลข้างใต้พื้นผิว สามารถระบุภาวะลำบาก, การไหลไปเส้นทางต่าง ๆ และวัดการให้ข้อมูลและผลลัพธ์ แต่ผู้ใช้ปลายทางไม่ต้องเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ได้รับความรู้ที่ต้องการเป็นเรื่องที่ง่าย APQC (American Productivity and Quality Center) ได้ระบุกระบวนการไหลของความรู้มาตรฐานซึ่งอธิบายวิธีที่ความรู้ไหลทั่วทั้งองค์กร ประกอบด้วยวงจร 7 ขั้นตอน ดังนี้ 1. สร้างความรู้ใหม่ (เกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลา ทั่วทั้งทุกด้านของธุรกิจ) 2. ระบุความรู้ซึ่งสำคัญต่อกลยุทธ์และการปฏิบัติ 3. รวบรวมความรู้ดังนั้นสามารถแบ่งปันกับผู้อื่น 4. ทบทวนความรู้เพื่อประเมินความตรงประเด็น, ความถูกต้อง และความสามารถในการประยุกต์ใช้ 5. แบ่งปันความรู้ผ่านการจัดทำเอกสาร, การประกาศที่ไม่เป็นทางการ และกิจกรรมความร่วมมือ 6. เข้าถึงความรู้ผ่านกลไก pull (ตัวอย่างเช่น การค้นหา) และ push (ตัวอย่างเช่น การเตือน) 7. ใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นและการตัดสินใจที่เชี่ยวชาญมากขึ้น สำหรับทีม KM สิ่งสำคัญคือระบุวิธีที่จะสร้างขั้นตอนเหล่านี้ภายในกระบวนการธุรกิจที่คนใช้แล้วทุกวัน - เนื้อหาหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื้อหาเป็นความรู้ที่ได้จัดทำเป็นเอกสารชนิดไหนก็ได้ ตั้งแต่วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศที่ได้รับการตรวจสอบจนถึงเคล็ดลับผ่าน ๆ ที่แบ่งปันระหว่างเพื่อนร่วมงาน เหตุผลที่วางเทคโนโลยีสารสนเทศไว้กับเนื้อหา เพราะโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้คนสร้าง, วางไว้บางแห่ง และเข้าถึงและนำกลับมาใช้ใหม่เนื้อหา ถ้าไม่มี KM คนจะยังคงสร้างและใช้เนื้อหา แต่จะวางไว้ในที่ที่คนอื่นไม่สามารถค้นพบ, ทำในสิ่งที่คนอื่นสร้างไว้แล้ว และที่อันตรายมากที่สุด ใช้เนื้อหาอีกครั้งที่ล่าสมัยหรือไม่ถูกต้อง โปรแกรม KM ที่มีประสิทธิภาพมีขั้นตอนการทำงานเพื่อสร้างและตรวจสอบเนื้อหา, จัดหมวดหมู่เพื่อจัดการเนื้อหา และเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมคนกับเนื้อหา องค์กรขั้นสูงใช้การจัดการเนื้อหาเพื่ออำนวยความสะดวกความร่วมมือกัน, เปิดเผยนวัตกรรม และให้เนื้อหากับพนักงานอย่างอัตโนมัติในโอกาสที่สอนได้ - กลยุทธ์ ทุกโปรแกรม KM ต้องการกลยุทธ์ที่ตรงประเด็นกับธุรกิจ จัดทำเป็นเอกสาร และชัดเจน สามารถมีเครื่องมือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและทีม KM ที่เก่งมาก ๆ แต่จะไม่มีประโยชน์โดยปราศจากกลยุทธ์ ที่มา: Mercy Harper (October 21, 2019). What are the Best Four Components of Knowledge Management?. Retrieved July 26, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-are-best-four-components-knowledge-management
การจัดการความรู้ (KM)
 
สวทช. จัดเสวนา หัวข้อ “COVID-19 : Lessons Learned and Future Directions ถอดบทเรียนจาก COVID-19 กับแนวทางรับมือกับโรคร้ายใหม่ๆในอนาคต
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ขอเชิญร่วมรับฟังงานสัมมนา online ในหัวข้อ “COVID-19 : Lessons Learned and Future Directions ถอดบทเรียนจาก COVID-19 กับแนวทางรับมือกับโรคร้ายใหม่ๆในอนาคต” ในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 09.30 – 11.00 น. โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้ 1. บรรยายพิเศษ “โรคอุบัติใหม่ และโรคที่มีศักยภาพในการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน” โดย ดร.ทิพย์รำไพ ธรรมมงกุฎ และ ดร. ษมาภรณ์ ธีรเวชญาณ ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) 2. เสวนาเรื่อง “สวทช. กับความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19” โดย ดร.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และ ดร.สุรพงษ์ ขุนแผ้ว ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยีศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://us02web.zoom.us/webinar/register/3816263210691/WN_PSJ3wcpKRKGrS0K7jmFy7w หรือสแกน QR code ได้ตั้งแต่บัดนี้  
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
ไบโอเทค สวทช. ต่อยอดความสำเร็จจากสารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เตรียมคิดค้นยาใหม่เพื่อรักษาการติดเชื้อโรคโควิดที่อาจจะดื้อยาได้
นักวิจัยไบโอเทค สวทช.เล่าความสำเร็จการสังเคราะห์สารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ในระดับห้องปฏิบัติการณ์ เริ่มต้นจากทำงานเพียง 2 คนตั้งแต่โควิด-19 ยังไม่ระบาดหนักในไทย ยานำเข้ายากเป็นแรงผลักดันงานวิจัยภายใต้แนวคิดไทยต้องผลิตเองได้ ล่าสุดได้จดสิทธิบัตรและถ่ายทอดวิธีให้องค์การเภสัชกรรมนำไปผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อไปแล้ว พร้อมเดินหน้าวิจัยยาตัวใหม่เพื่อจัดการปัญหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดที่อาจจะดื้อยาได้ วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีการจัดเสวนาพิเศษโควิดไลฟ์ทอล์คในหัวข้อ “ยาต้านไวรัสโคโรนา ภารกิจพิชิตโรคร้าย” ถ่ายทอดผ่าน Facebook Live ของ สวทช. โดยมี ดร.เภสัชกร นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ไบโอเทค สวทช. เล่าถึงความสำเร็จของการ สังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredient – API) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่จะใช้ในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ว่า ในการผลิตยาตัวหนึ่งนั้นมีหลายขั้นตอน เริ่มจากกระบวนการต้นน้ำคือตั้งแต่การผลิตโมเลกุลยาใหม่ขึ้นมา ส่วนกลางน้ำเป็นการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือ API และปลายน้ำคือการปรุงเป็นยาให้เป็นยาเม็ด ยาน้ำ หรือยาฉีด ทีมวิจัยได้ทำในส่วนที่เป็นกลางน้ำ คือ การสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือ API ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญของการผลิตยา โดยเริ่มต้นวิจัยมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ในช่วงที่ไวรัสโคโรนากำลังระบาดหนักในจีน และต่างประเทศ ในช่วงนั้นหลังมีการศึกษาพบว่ายาฟาวิพิราเวียร์ที่เคยใช้รักษาไข้หวัดใหญ่อยู่เดิม มีฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาได้ จึงเริ่มมีการนำมาใช้รักษาอย่างกว้างขวาง จนเมื่อไวรัสโคโรนาเริ่มเข้ามาระบาดในไทย การนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากในต่างประเทศที่มีการระบาดก็ต้องการเก็บยาไว้ใช้ในประเทศของตัวเอง ทำให้ไทยขาดแคลนตัวยา แม้ว่าเราจะสามารถปรุงหรือผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เองได้ แต่เมื่อไม่มีสารตั้งต้นหรือ API ก็ไม่สามารถผลิตได้ โดยในขณะนั้นมีเพียง 2 ประเทศที่ผลิตสาร API คือ จีน และญี่ปุ่น โดยประเทศนั้นๆ จำกัดส่งออก จึงเป็นจุดเริ่มในการทำวิจัย "งานวิจัยเราเริ่มทำตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในการเริ่มต้นนั้นมีแค่ผมกับนักเคมีอีก 1 คน เริ่มต้นมีกัน 2 คน พยายามศึกษาทดลองกัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตโรคจะมาระบาดในไทยมากน้อยแค่ไหน" ดร.นิติพล เล่าว่า การสังเคราะห์สาร API นั้นมีหลายขั้นตอนและหลายวิธี ซึ่งทีมวิจัยเลือกวิธีที่คำนึงถึงข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ ประกอบกับเรื่องต้นทุน เมื่อลองวิจัยไปได้ระยะหนึ่งก็ได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยจากองค์การเภสัชกรรม เพราะในขณะนั้นยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมไม่สามารถนำเข้าได้ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ทีมวิจัยเชี่ยวชาญในการสังเคราะห์ยา "หลังจากได้ทุน ก็เริ่มรับคนเข้ามาช่วยเป็นทีมมากขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือให้คำแนะนำ พันธมิตรต่างประเทศ มีบริษัทเอกชนรวมถึงหลาย ๆ หน่วยงานเข้ามาเป็นพันธมิตรคอยช่วยเหลือสนับสนุนในด้านอุปกรณ์เครื่องมือ ทั้งองค์เภสัชกรรมเอง และ สถาบันนวัตกรรม ปตท." ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดวิธีสังเคราะห์ให้กับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) นำไปผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมแล้ว โดยทีมวิจัยเองเข้าไปปรับกระบวนการวิธีสังเคราะห์ เนื่องจากเป็นการยกระดับจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการ (Lab scale) ไปสู่การผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot scale) คือจากที่เคยทำในให้ปฏิบัติการ ปริมาตรน้อยกว่า 10 ลิตร แต่การทำในระดับกึ่งอุตสาหกรรมต้องทำมากกว่า 10 ลิตร ไปจนถึง 200 ลิตร ซี่งต้องมีการปรับปรุงกระบวนการสังเคราะห์ให้เข้ากับขนาดการสังเคราะห์ เช่น การคลายความร้อน เป็นต้น เมื่อถามว่ากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้นยาฟาวิพิราเวียร์ของทีมวิจัยแตกต่างหรือเหมือนกับที่เคยมีมาหรือไม่ ดร.นิติพล กล่าวว่า เราต่อยอดและพัฒนาวิธีสังเคราะห์ เพราะเราคิดเสมอว่าถ้าเราเลียนแบบวิธีการมาหมด เราจะอยู่ได้ไม่นาน เราอาจสู้ราคาไม่ได้ เราศึกษาถึงขนาดที่ว่าจะสังเคราะห์จากสารตัวไหนที่ต้นทุนถูก "ล่าสุดเราได้จดสิทธิบัตรวิธีการสังเคราะห์ API เรียบร้อยแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในการวิจัยเราปรับปรุงกระบวนการและเทคนิคการสังเคราะห์" ดร.นิติพล เปิดเผยด้วยว่า นอกจากยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว ทีมวิจัยยังเดินหน้าศึกษาวิจัยยาอื่นๆ รวมถึงเพื่อทำยาตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดดื้อยาในอนาคตด้วย “เนื่องจากยาที่ใช้สำหรับโรคติดเชื้อเมื่อใช้ไปสักพักอาจทำให้เชื้อเกิดการกลายพันธุ์ หรือเป็นเชื้อที่ดื้อยาขึ้นมาได้ ดังนั้นเราต้องคิดถึงเรื่องการดื้อยาเผื่อไว้ด้วย ซึ่งเรากำลังเร่งศึกษาวิจัยทำยาตัวใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำ และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง” ทั้งนี้การพัฒนาวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา หรือ API (Active Pharmaceutical Ingredients) สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และ API ของยาต้านไวรัส อื่นๆ เป็นงานที่สนับสนุนจากองค์การเภสัชกรรม และเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy Model) พ.ศ. 2564-2569  ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ.
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สำเร็จ! นาโนเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test)
นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “NANO Covid-19 Antigen Rapid Test “ ชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วด้วยเทคนิค LFA ด้วยจุดแข็งด้านการใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว รู้ผลไวใน 15 นาที ลดภาระงานบุคลากรการแพทย์ในช่วงวิกฤต ผ่านการประเมินประสิทธิภาพจาก อย. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์รองรับความต้องการใช้งานในปริมาณมาก ดร.วรรณี ฉินศิริกุล  ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา นาโนเทค ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีตอบโจทย์ความต้องการที่สำคัญของประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19  นาโนเทคได้ปรับแผนการทำงานตามนโยบายระดับองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายระดับประเทศ โดยระดมทีมวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายใน สวทช. และเครือข่ายความร่วมมือพันธมิตร พัฒนาโครงการวิจัยเฉพาะกิจ จากฐานความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยี เพื่อรับมือ บรรเทา และฟื้นฟูสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดภายในประเทศระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการคาดการณ์ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจภายหลังจากที่มีการระบาด “ในระยะแรกเรามองเห็นศักยภาพงานวิจัยทางด้านสุขภาพการแพทย์ ที่จะสามารถสนับสนุนการทำงานด้านระบบสาธารณสุขของประเทศได้ โดยนาโนเทคเองมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนเพื่อใช้เป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ ตลอดจนความสามารถในการอุปกรณ์วินิจฉัยทางการแพทย์ที่มีความไวสูงสำหรับตรวจคัดกรองและติดตามโรคที่สำคัญ” ดร.วรรณีกล่าว นวัตกรรมชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test เป็นชุดทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็วสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (Professional Use) ซึ่งผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยชุดตรวจ Nano COVID-19 Antigen Rapid Test นี้ เกิดจากการต่อยอดแพลตฟอร์มของ NanoFlu หรือชุดตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่ ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. มองเห็นโอกาสและความจำเป็นในการต่อยอดพัฒนาชุดตรวจคัดกรองสำหรับโรคโควิด-19 ได้ จึงได้หารือ ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน และงานวิจัยก็เดินหน้าทันที ชุดตรวจเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วชนิดการตรวจหาแอนติเจน (เทคนิค LFA) หรือ NANO Covid-19 Antigen Rapid Test อาศัยหลักการไหลในแนวราบ และการจับกันแบบจำเพาะของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อโคโรนาไวรัส โดยโมเลกุลดังกล่าวจะถูกติดสลากด้วยวัสดุนาโนตอบสนองชนิดพิเศษ ร่วมกับการพัฒนาและปรับสภาพองค์ประกอบต่างๆในชุดตรวจเพื่อให้สัญญาณ/เพิ่มสัญญาณจนอ่านสัญญาณได้ภายใน 15 นาที ดร.ณัฐปภัสรกล่าวว่า ความท้าทายหลัก คือ ไบโอโมเลกุลที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งต้องใช้เวลาในการคัดเลือก และการปรับสภาวะขององค์ประกอบต่างๆรวมทั้งน้ำยาในการวิเคราะห์ให้เหมาะสม ด้วยพันธมิตรที่ดีอย่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ที่สามารถผลิตโปรตีนสังเคราะห์ และโมเลกุลที่มีความจำเพาะเพื่อใช้ทดสอบได้จากความพยายามหลายสิบครั้งในการคัดเลือกไบโอโมเลกุลที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโคโรนา และพัฒนาจนได้องค์ประกอบและสภาวะที่เหมาะสม จนกระทั่งเป็นชุดตรวจต้นแบบล่าสุด และด้วยพันธมิตรอย่างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการทดสอบเพื่อยื่นขอจดทะเบียนผู้ผลิต และขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์กับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผลการทดสอบประสิทธิภาพเทียบกับวิธีทางอณูวิทยา พบว่า สามารถตรวจหาแอนติเจนหรือตัวเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้ในเวลาเพียง 15 นาที และมีความไวถึง 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% สามารถใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ในเบื้องต้นได้ จุดเด่นของ NANO Covid-19 Antigen Rapid Test คือ สามารถแสดงผลที่ชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยขั้นตอนหรือเครื่องมือในการแปลผลที่ยุ่งยากเทียบกับวิธีทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ และยังสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15 นาที ทำให้สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ (Point of Care) ในการตรวจคัดกรองกับคนจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR (Real Time Polymerase Chain Reaction) ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง โดยผู้ที่ให้ผลบวกด้วยวิธี Antigen Rapid Test นี้ ต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง นับว่า เป็นการลดค่าใช้จ่าย ขั้นตอน ลดภาระงานในระบบสาธารณสุขรวมทั้งเจ้าหน้าที่ได้ “ปัจจุบัน ผู้บริหารและทีมวิจัยกำลังเร่งผลักดันเรื่องของถ่ายทอดเทคโนโลยีและรูปแบบการนำไปใช้ประโยชน์ของชุดตรวจฯ หลังจากที่นวัตกรรมนี้ผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้เร็วที่สุด ตอบสนองความต้องการใช้งานในช่วงเวลาวิกฤต ด้วยเชื่อว่า การตรวจคัดกรอง ยิ่งทำได้เร็ว ยิ่งช่วยให้คนเข้าถึงการรักษาได้เร็ว ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้วิกฤตนี้คลี่คลายได้เร็วขึ้น” นักวิจัยนาโนเทค สวทช. กล่าวพร้อมย้ำว่า นวัตกรรมนี้ เป็นราคาแข่งขันได้ในท้องตลาด (Comparative price)แต่เราสามารถผลิตได้เองในประเทศ เป็นนวัตกรรมพึ่งพาตนเองที่ตอบเรื่องความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของไทย ขณะนี้ นาโนเทค สวทช. มีความพร้อมและกำลังสรรหาภาคเอกชนเข้ามารับอนุญาตใช้สิทธิ์ผลงานวิจัยเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ซึ่ง ดร.วรรณีกล่าวว่า โครงการวิจัยเฉพาะกิจนี้ถือเป็นการบูรณาการในระดับองค์กรเพื่อส่งมอบงานสู่การใช้ประโยชน์จริงภายใต้สถานการณ์และระยะเวลาที่มีจำกัด นับเป็นโอกาสที่ดีที่นาโนเทค สวทช. ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมแก้ไขปัญหาให้กับประเทศในยามวิกฤต ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยการนำองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยขับเคลื่อนได้อย่างเต็มความสามารถ
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เด็กไทยเจ๋ง..!! คว้าอันดับ 1 การแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศระดับเอเชีย
เยาวชน ‘ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ’จากโรงเรียนอัสสัมชันธนบุรี ตัวแทนประเทศไทย ทำได้ เอาชนะคู่แข่งจาก 8 ประเทศทำคะแนนเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย การแข่งขันรอบทักษะการเขียนโปรแกรม ‘โครงการคิโบะ โรบอต ครั้งที่2’ เตรียมแข่ง รอบไฟนอลกันยายนนี้ กับโอกาสครั้งสำคัญในการสื่อสารกับนักบินอวกาศญี่ปุ่น แบบออนไลน์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนเยาวชนทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งเป็นทีมชนะเลิศการแข่งขัน โครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชียผ่านทางออนไลน์ ในรอบทักษะการเขียนโปรแกรม หรือ Programming Skills Round ถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น   ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยมีการจัดการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee ในระบบ Simulation ซ่อมแซมสถานีอวกาศที่ชำรุดเนื่องจากอุกกาบาตพุ่งชน เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเพียง 1 ทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด จาก 176 ทีมทั่วประเทศที่สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ได้รางวัลชนะเลิศเป็นตัวแทนประเทศไทย ได้ไปร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee ของ NASA ในระบบ Simulation ชิงแชมป์เอเชียในรอบ Programming Skills Round ถ่ายทอดสดการแข่งขันแบบออนไลน์ ผ่านทาง YouTube Live: https://youtu.be/E3WFFd0wfGs จากองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนเยาวชนจาก 9 ประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ จากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลที่ 1 ของเอเชียมาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ในระบบซิมูเลเตอร์ ให้เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายและยิงแสงเลเซอร์ได้เข้าจุดกึ่งกลางเป้าทำคะแนนได้สูงสุดของการแข่งขัน ทั้งนี้ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) จากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลที่ 1 มาครอง ด้วยคะแนน 89.82 pt (A Class) ส่วนทีมอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม GeminiPYTW จากไต้หวัน คะแนน 80.04 pt (A Class) และทีมอันดับที่ 3 ได้แก่ ทีม Enigma Systems จากบังคลาเทศ คะแนน 76.65 pt (A Class) ซึ่งทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) เป็นตัวแทนประเทศไทยจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี มีสมาชิก 3 คน ประกอบด้วย นายธฤต วิทย์วรสกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (หัวหน้าทีม) เด็กชายเสฎฐพันธ์ เหล่าอารีย์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นายกรปภพ สิทธิฤทธิ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4   ด้าน นายธฤต วิทย์วรสกุล หรือน้องธฤต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 1 ในทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) เล่าถึงทีมให้ฟังว่า “พวกผม 3 คนเจอกันครั้งแรกจากการที่ได้เรียนอยู่แผนการเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง สสวท. และ สอวน. (STEM) แล้วได้ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่พวกผมเริ่มได้รู้จักกันจริงๆ ตอนที่ทำงานอยู่ในชมรมหุ่นยนต์ จึงได้มีโอกาสพูดคุยและปรึกษากัน จึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันโครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge” ในครั้งนี้ ซึ่งพวกผมทั้ง 3 คน รู้สึกสนุกกับการเขียนโปรแกรม โดยเฉพาะตอนที่เห็นโปรแกรมของเราสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้จริง ผมชอบการที่เราสามารถนำเอาไอเดีย ในสมองของเรา แล้วเขียนออกมาเป็นโปรแกรม แล้วเกิดเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมา พวกผมคาดหวังกับงานนี้เพื่อที่จะมาหาประสบการณ์การเขียนภาษาใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนา Code สำหรับ Android และสิ่งที่ผมคิดว่าการที่พวกผมประสบความสำเร็จและได้รางวัลชนะเลิศ คือความพยายามในการที่จะทดสอบหลายๆ ครั้งโดยทดสอบให้ครบทุกรูปแบบ และพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ออกมาดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ทีมของผมประสบความสำเร็จ” น้องธฤต เล่าให้ฟังต่อว่า การแข่งขันในรอบ Programming Skills ในวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการนำไฟล์ APK ของตัวแทนเยาวชนจาก 9 ประเทศ ที่พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่รอบการแข่งขันชิงแชมป์ของแต่ละประเทศ เข้ามาประมวลผลในระบบซิมูเลเตอร์ของ JAXA ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศญี่ปุ่น คิมิยะ ยูอิ และ ศ.ดร.ชินอิจิ นากาซึกะ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน และประกาศผลการแข่งขันโดยแสดงคลิปวิดีโอการปฏิบัติภารกิจของหุ่นยนต์ Astrobee ตามโปรแกรมที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเขียนเอาไว้ ซึ่งตอนประกาศผลการแข่งขันว่าทีมเราได้ที่หนึ่งก็รู้สึกดีใจมาก “ผมและเพื่อนแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ และแต่ละคนก็จะทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายและหากใครมีปัญหาก็จะมานั่งปรึกษาหาวิธีการแก้ปัญหากัน ปัญหาที่พบส่วนหนึ่งคือ log หรือข้อมูลการบันทึกจากซิมูเลเตอร์ที่ได้ออกมา สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้วิเคราะห์ได้ยาก พวกผมจึงแก้ปัญหาโดยการ เขียน Code มาอ่านตัว Logfile เพื่อดึงเอาเฉพาะข้อมูลที่ต้องการออกมา แล้วเก็บออกมาเป็นไฟล์ csv เพื่อให้สามารถนำเข้าไปอ่านใน Excel / Google sheet แล้วเปรียบเทียบถึงความแตกต่างในการ Simulation แต่ละครั้ง เพื่อให้สามารถปรับแก้ Code ได้ตรงจุด ซึ่งในทุกขั้นตอนมันยากมากแต่ก็ต้องค่อยๆ พยายามแก้ไขและผ่านพ้นไปให้ได้” สุดท้ายพวกผมอยากฝากถึงทุกๆ คนทำในสิ่งที่ตนเองรักและชอบต่อไป อย่าทิ้งในสิ่งที่ตัวเองชอบแต่ที่สำคัญถึงแม้ว่าพวกเราจะทำสิ่งที่รักที่ชอบกันแต่ก็ไม่ควรทิ้งการเรียนเพราะว่าการเรียนนั้นก็เหมือนกับการลงทุนระยะยาวถ้าเราตั้งใจทำมันไม่ทิ้งมันตั้งแต่เนิ่นๆ ในอนาคตจะไม่ส่งผลเสียแน่นอน” สำหรับ ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge จะมีการแข่งขัน รอบ Final Round ชิงแชมป์เอเชียผ่านทางออนไลน์ ในเดือนกันยายน 2564 โดยถ่ายทอดสดจาก ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เยาวชนจาก 9 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับโอกาสสื่อสารตรงไปที่สถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งมีนักบินอวกาศญี่ปุ่น อะกิฮิโตะ โฮชิเดะ (Akihito Hoshide) เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน และได้สัมผัสกับศูนย์อวกาศสึกุบะ ถือเป็นศูนย์ปฏิบัติการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสถานที่หลักสำหรับปฏิบัติการโครงการวิจัยอวกาศของญี่ปุ่น และนักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นที่มีส่วนในสถานีอวกาศนานาชาติซึ่งจะได้รับการฝึกจากที่นี่ ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/jaxa-thailand หรือแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์