หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2564 โดย IMD (2021 IMD World Digital Competitiveness Ranking)
ในปี 2564 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 64 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-digital-competitiveness/ โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2563-2564 โดย IMD  ประเทศ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สวีเดน เดนมาร์ก สิงคโปร์ ไทย ปี 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 อันดับรวม 1 1 2 5 3 4 4 3 5 2 38 39 1. ความรู้ 3 1 5 7 2 4 8 6 4 2 42 43 1.1 ความสามารถพิเศษ 13 14 6 7 7 9 5 4 2 1 39 36 1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 24 24 1 5 2 2 4 9 13 7 56 55 1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 2 1 14 17 4 6 17 15 11 10 36 37 2. เทคโนโลยี 4 7 1 2 8 6 9 9 3 1 22 22 2.1 โครงสร้างการควบคุม 12 22 6 7 3 5 4 4 5 1 29 31 2.2 เงินทุน 1 1 7 12 5 4 13 23 14 11 19 17 2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 9 7 1 2 13 11 6 6 2 1 22 25 3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 10 10 6 7 2 1 11 12 44 45 3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 1 3 3 4 5 8 4 2 11 20 53 53 3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 1 2 9 14 13 10 7 5 12 11 34 44 3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 3 10 17 19 5 4 1 1 7 3 43 43 สหรัฐอเมริกาได้อันดับ 1 เหมือนปีที่แล้ว รองลงมาคือ ฮ่องกง เลื่อนขึ้นมา 3 อันดับจากปีที่แล้ว ถัดมาเป็นสวีเดน ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เดนมาร์กได้อันดับ 4 ในปีนี้ตกลงมาจากปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สิงคโปร์ มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 38 ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ สหรัฐอเมริกายังคงรักษาอันดับ 1 ได้อย่างเดิม เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้ 2 อันดับ จากอันดับ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ และการเลื่อนอันดับขึ้นของ 2 ปัจจัย ที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 และ 1 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 อันดับ จากอันดับ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ คือ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 17 อันดับ ปีที่แล้วมีอันดับ 1 ส่วนปีนี้มีอันดับ 18 การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยเทคโนโลยี เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมถึง 10 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 12 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 26 อันดับ จากอันดับ 63 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 37 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 7 อันดับ จากอันดับ 10 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 8 และ 11 อันดับ จากอันดับ 19 และ 33 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 11 และ 22 ในปีนี้ ตามลำดับ ฮ่องกงได้อันดับ 2 ในปีนี้ เลื่อนขึ้นมา 3 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้และปัจจัยเทคโนโลยี 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 7 และ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 และ 1 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยความพร้อมในอนาคตยังคงครองอันดับ 10 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ 2. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ 3. ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ เลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับ เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับขึ้น คือ ตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศ ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 8 อันดับ จากอันดับ 43 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 35 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงานและตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 16 และ 8 อันดับ เป็นอันดับ 14 และ 37 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงานเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด การเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมด และตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยหลักที่มีผลทำให้ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยเงินทุน ที่เลื่อนอันดับขึ้น 5 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยเงินทุนเลื่อนอันดับขึ้น คือ ตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ที่เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 15 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 11 ในปีนี้ สวีเดนได้อันดับ 3 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับลดลง 2 อันดับ จากอันดับ 6 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 2 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 7 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ ตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ และตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศ ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์เกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดรายจ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนา ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตัวชี้วัดการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเป็นผลจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ 3 อันดับ จากอันดับ 8 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดทัศนคติต่อทั่วโลก ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ เดนมาร์กได้อันดับ 4 ในปีนี้ ตกลงมาจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 6 และ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่อีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยเทคโนโลยียังคงครองอันดับ 9 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ จากอันดับ 4 และ 15 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศ ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษมีอันดับลดลง การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์เกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของตัวชี้วัดรายจ่ายทั้งหมดในการวิจัยและพัฒนาและตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมด การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้และปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ จากอันดับ 2 และ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 และ 7 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของตัวชี้วัดการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน และตัวชี้วัดทัศนคติต่อทั่วโลก ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics สิงคโปร์ได้อันดับ 5 ในปีนี้ มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับจากปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยเทคโนโลยี 2 อันดับเท่ากัน จากอันดับ 2 และ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 และ 3 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 11 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยทั้งหมด ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา เลื่อนอันดับลง 6 อันดับ เป็นอันดับ 13 ในปีนี้ 3. ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 11 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับลงเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ ตัวชี้วัดการจัดการเมือง ตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล และตัวชี้วัดการไหลสุทธิของนักเรียนระหว่างประเทศ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงานและตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา 7 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 23 และ 63 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ คือ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เลื่อนอันดับลงถึง 16 อันดับ จากอันดับ 11 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 27 ในปีนี้ ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เลื่อนอันดับลง 4 อันดับ เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ 2. ปัจจัยย่อยเงินทุน เลื่อนอันดับลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ 3. ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่เลื่อนอันดับลงถึง 13 อันดับ จากอันดับ 48 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 61 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการลงทุนในโทรคมนาคมเป็นหลัก ที่เลื่อนอันดับลงถึง 14 อันดับ จากอันดับ 41 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 55 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้เกิดการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี คือ ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่เลื่อนอันดับลงถึง 19 และ 23 อันดับ จากอันดับ 1 เหมือนกันในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 20 และ 24 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด ปีนี้ไทยได้อันดับรวมอยู่ที่อันดับ 38 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 1 อันดับ จากอันดับ 43 และ 45 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 42 และ 44 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับ 22 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ดังนั้นไทยยังคงต้องพัฒนาด้านความรู้และด้านความพร้อมในอนาคต เนื่องจากยังคงมีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีในปีนี้ และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุดึงรั้งให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 38 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว คือ 1. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ ที่เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ จากอันดับ 55 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 56 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับ 53 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา คือ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาและตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอันดับ 58 และ 54 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 59 และ 56 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้และปีที่แล้ว ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต มีอันดับ 58 ทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับ 22 ไว้ได้ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอันดับระดับปานกลาง แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุนและปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมาก คือ ตัวชี้วัดการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุนและตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ที่มีอันดับ 40 และ 54 ในปีที่แล้ว ในขณะที่ปีนี้มีอันดับ 42 และ 49 ตามลำดับ ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ได้แก่ 1. ตัวชี้วัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 7 อันดับ จากอันดับ 44 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 37 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ปัจจัยเทคโนโลยี 2. ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 13 อันดับ จากอันดับ 38 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 25 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต 3. ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 7 อันดับ จากอันดับ 36 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 29 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากในปีนี้ คือ ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ คงเป็นข่าวดีสำหรับไทยที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 38 ในปีนี้ แต่ไทยยังคงต้องพัฒนาอีกหลายตัวชี้วัดดังที่กล่าวมาแล้ว เนื่องจากอันดับที่ได้ในปีนี้ยังคงเป็นอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะด้านรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับเลื่อนขึ้นมาก
นานาสาระน่ารู้
 
ตอนที่ 16 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/q7qtgrZBzMgเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติ และชาติดร.ศศิธร เอื้อวิริยะวิทย์ ผลงานเรื่อง “Tissue engineering of 3D-intestinal model”ดร.อาโมทย์ สมบูรณ์แก้ว และคณะ ผลงานเรื่อง “µTherm: มิวเทอร์มระบบคัดกรองผู้ป่วยมีไข้แบบหลายคนโดยไม่สัมผัส”ดร.ศีตภา รุจิเกียรติกำจร และคณะ ผลงานเรื่อง “Vehicle Detection with Sub-Class Training using R-CNN for the DETRAC Benchmark”ดร.อรทัย ล้ออุทัย และคณะ ผลงานเรื่อง “แผ่นปิดแผลที่เคลือบด้วยสารสกัดสมุนไพร”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “ENZbleach: An Alkaline-tolerant Enzyme for pulp bleaching process.”, “ENZbleach : เอนไซม์ฟอกเยื่อกระดาษจากแบคทีเรียในลำไส้ปลวก” และ “เอนไซม์ฟอกเยื่อกระดาษจากแบคทีเรียในลำไส้ปลวก (เอนบลีช)”ดร.สุวัสสา บำรุงทรัพย์ ผลงานเรื่อง “การพัฒนาอนุภาคนาโนสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
สวทช. เดินหน้านำ BCG สู่ภูมิภาค “ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ด้วย “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (สท.) และฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. ลงพื้นที่ร่วมกับภาคเอกชนกระชับความร่วมมือกับ 5 ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ และ 3 มหาวิทยาลัยในพื้นที่ ขับเคลื่อน “โปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” กำหนดโจทย์มุ่งเป้าและวางแผนดำเนินงานร่วมกัน ให้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตั้งเป้ายกระดับคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มีรายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจน ยกระดับรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10  นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ดำเนินงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มาตั้งแต่ปี 2562 โดยร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่นำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปพัฒนาทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ตลอดจนพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ นวัตกรชุมชน เชื่อมโยงการตลาดกับภาคเอกชน รวมถึงยกระดับเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ สวทช. โดย สท. จึงได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ดำเนินงานขับเคลื่อน “โปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ดำเนินงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งพื้นที่ทุ่งกลาร้องไห้เป็นที่ราบลุ่มผืนใหญ่มีพื้นที่กว่า 3.7 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร แต่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นแอ่งกระทะ มีชั้นผิวดินเป็นดินร่วนทราย ชั้นล่างเป็นหินเกลือ ดินของทุ่งกุลาจึงไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ บวกกับระบบชลประทานที่ไม่เอื้อต่อการเพาะปลูก เกษตรกรต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก “แม้ว่าพื้นที่ทุ่งกุลาฯ จะเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่จากสภาพพื้นที่ที่แห้งแล้งส่งผลต่อการทำเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ สท. จึงได้ลงพื้นที่เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 แห่ง หน่วยงานในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับ สท. ในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ร่วมหารือด้วย เพื่อสร้างความร่วมมือขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกลาฯ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจากการหารือร่วมกันนำไปสู่การกำหนดโจทย์มุ่งเป้า (Quick win) กลุ่มเป้าหมายนำร่อง และการแต่งตั้งคณะทำงานในพื้นที่แต่ละจังหวัด เพื่อวางแผนและเดินหน้าทำงานร่วมกัน มุ่งให้เกษตรกรสามารถนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปปรับประยุกต์ใช้ และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านเศรษฐกิจและสังคม สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยโมเดล BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน การดำเนินงานภายใต้โปรแกรมฯ นี้คาดหวังให้กลุ่มคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจมีรายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจนที่ 38,000 บาทต่อคนต่อปี และกลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10”  รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว จากการหารือดังกล่าว เบื้องต้นในแต่ละจังหวัดได้กำหนดประเด็นนำร่องสำหรับดำเนินการตามบริบทปัญหาของแต่ละพื้นที่ ได้แก่ ข้าว พืชหลังนา ผักอินทรีย์ โค สิ่งทอ และการบริหารจัดการน้ำ โดยคณะทำงานแต่ละจังหวัดจะร่วมกันกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการทำงานต่อไป
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 7 เดือน กรกฎาคม 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 7 เดือน กรกฎาคม 2564 สหภาพยุโรปกำหนดเป้าหมายใหม่ภายใต้ชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55” เพื่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี ค.ศ. 2030 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 คณะกรรมาธิการยุโรป ได้นำเสนอชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55” ต่อรัฐสภายุโรป เพื่อพิจารณาใช้ในการกำหนดนโยบายด้านสภาพอากาศ พลังงาน การใช้ที่ดิน การขนส่ง และนโยบายด้านภาษี ให้บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 และ บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 ตามนโยบาย European Green Deal ภายใต้ชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55” สรุปได้ ดังนี้ เป้าหมายและข้อกำหนดภายใต้ชุดร่างกฎหมาย “Fit for 55” ด้านการขนส่ง เป้าหมาย/ ข้อกำหนดโดยรวมของภาคการขนส่ง ลดการปล่อยมลพิษ/ ก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่งทั้งทางบก ทะเล และอากาศให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 13 ภายในปี ค.ศ. 2030 กำหนดสัดส่วนของการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพขั้นสูง (advanced biofuel) เป็นอย่างน้อยร้อยละ 2 จากพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในภาคการขนส่ง ภายในปี ค.ศ. 2030 กำหนดสัดส่วนของการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพไฮโดรเจนเป็นอย่างน้อยร้อยละ 6 จากพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในภาคการขนส่ง ภายในปี ค.ศ. 2030 เป้าหมาย/ ข้อกำหนดของภาคการขนส่งโดยรถยนต์ ลดระดับการปล่อยมลพิษ/ ก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยของรถยนต์ใหม่ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 ลดระดับการปล่อยมลพิษ/ ก๊าญเรือนกระจกโดยเฉลี่ยของรถตู้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2030 ลดระดับการปล่อยมลพิษ/ ก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยของรถยนต์ใหม่ร้อยละ 100 ภายในปี ค.ศ. 2035 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2035 รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่ในสหภาพยุโรปจะมีการปล่อยมลพิษ/ ก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป้าหมาย/ ข้อกำหนดของภาคการขนส่งทางอากาศ ผู้จัดหารเชื้อเพลิงสำหรับภาคการขนส่งทางอากาศจะต้องผสมเชื้อเพลิงที่มีความยั่งยืน เช่น เชื้อเพลิงสังเคราะห์คาร์บอนต่ำ ในอัตราส่วนที่สูงขึ้น ภายใต้กฎระเบียบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Emissions Trading System, ETS) ในสาขาการบิน สหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะลดการให้โควต้าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปอย่างต่อเนื่อง และมีแผนจะหยุดให้โควตาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ฟรีในสาขาการบินในช่วงสิ้นปี ค.ศ. 2026 เป้าหมาย/ ข้อกำหนดของภาคการขนส่งทางทะเล มีแผนกำหนดระดับสูงสุดของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานของเรือขนส่ง เช่น รูปแบบของการกำหนดโควต้าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับภาคการขนส่งทางทะเลภายใต้กฎระเบียบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ETS) เพื่อส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่ยั่งยืน และเทคโนโลยีไร้ก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่งทางทะเล เรือขนส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่กว่า 5,000 ตันที่ต้องการเข้าจอดเทียบท่าเรือในสหภาพยุโรปจำเป็นต้องซื้อใบอนุญาตด้านมลพิษภายใต้ระบบการปล่อยไอเสีย ด้านระบบพลังงาน เป้าหมาย/ ข้อกำหนดด้านการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน กำหนดสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนเป็นร้อยละ 40 ของพลังงานทั้งหมดที่ผลิตได้ในยุโรป (ภายในปี ค.ศ. 2030) ภาคอุตสาหกรรม : เพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคอุตสาหกรรมทุกปี ณ อัตราร้อยละ 1 ต่อปี เป้าหมายของการใช้พลังงานไฮโดรเจน ช่วงปี ค.ศ. 2020 ถึง ค.ศ. 2025 สหภาพยุโรปจะสนับสนุนการติดตั้งระบบการผลิตไฮโดรเจนแบบหมุนเวียนโดยใช้กระบวนการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (renewable hydrogen electrolysers) ให้ได้อย่างน้อย 6 กิกะวัตต์ในยุโรปโดยต้องผลิตไฮโดรเจนหมุนเวียนให้ได้ถึง 1 ล้านตัน ช่วงปี ค.ศ. 2025 ถึง ค.ศ. 2030 สหภาพยุโรปมีเป้าหมายให้พลังงานไฮโดรเจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานแบบรวมอย่างน้อย 40 กิกะวัตต์ เป้าหมายของการใช้พลังงานชีวภาพ (bioenergy) หลักเกณฑ์ด้านความยั่งยืนของการใช้พลังงานชีวภาพในสหภาพยุโรปมีความเคร่งครัดมากขึ้น เช่น ห้ามให้มีการใช้ชีวมวลประเภทไม้จากป่าปฐมภูมิ (primary forest) พื้นที่ดินพรุ (peatland) และพื้นที่ชุ่มน้ำ (wetland) ในการผลิตพลังงานชีวภาพ ห้ามใช้แรงจูงใจทางการเงินเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวมวลประเภทไม้ เช่น ท่อนซุง ตอไม้ และรากไม้ เพื่อผลิตเป็นพลังงาน การใช้ประโยชน์จากชีวมวลประเภทไม้ต้องยึดหลักการที่เรียกว่า “biomass cascading principle” เลือกใช้ชีวมวลเพื่อให้เกิดประโยชน์และมูลค่าเพิ่มสูงสุดด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เป้าหมาย/ ข้อกำหนดด้านการลดการใช้พลังงาน ลดปริมาณการใช้พลังงานขั้นต้น (primary energy consumption) เป็นพลังงานที่ใช้ในการผลิตและจัดหาพลังงานชนิดต่าง ๆ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 39 ภายในปี ค.ศ. 2030 ลดปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย (final energy consumption) ที่ใช้โดยผู้บริโภค ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 36 ภายในปี ค.ศ. 2030 แต่ละประเทศสมาชิกฯ จะต้องลดปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายทุกปี ณ อัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2024 ถึง ค.ศ. 2030 ด้านสิ่งปลูกสร้าง อาคาร และบ้านเรือน เป้าหมาย/ ข้อกำหนดด้านการเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียน อาคาร/บ้านเรือน : กำหนดสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนต่อพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในอาคาร/ บ้านเรือน เป็นร้อยละ 49 ภายในปี ค.ศ. 2030 ระบบทำความร้อนและความเย็น : เพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียนในระบบทำความร้อนและความเย็นทุกปี และสัดส่วนโดยรวมจะต้องอยู่ที่อย่างน้อยร้อยละ 1 ภายในปี ค.ศ. 2030 ระบบทำความร้อนและความเย็นจากศูนย์กลางเพื่อชุมชน (district heating and cooling) : เพิ่มสัดส่วนจากศูนย์กลางที่จะกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ (district heating and cooling) อัตราร้อยละ 1 ต่อปี และสั่ดส่วนโดยรวมอย่างน้อยร้อยละ 1.4 ภายในปี ค.ศ. 2030 เป้าหมาย/ ข้อกำหนดด้านการใช้พลังงานในกิจการของภาครัฐ กิจการของภาครัฐทั้งหมด เช่น การศึกษา การบริการสุขภาพ การประปา การบำบัดน้ำ และไฟบนท้องถนน จะต้องลดการใช้พลังงาน ณ อัตราร้อยละ 7 ต่อไป ในทุก ๆ ปี ประเทศสมาชิกจะต้องมีการปรับปรุงอาคารของภาครัฐในสัดส่วนอย่างต่ำร้อยละ 3 ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงานอาคาร ด้านการใช้ที่ดินและพื้นที่ป่า และการเกษตร กำหนดเป้าหมายการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Sink ให้ได้อย่างต่ำ 310 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 การใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน ป่าไม้ และเกษตรกรรมจะต้องไม่มีการปล่อยก๋าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2035 กำหนดแผนปลูกต้นไม้จำนวน 3,000 ล้านต้นทั่วยุโรปภายในปี คศ.2030 รายงานผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรมของสหภาพยุโรป ประจำปี ค.ศ. 2021 (European Innovation Scoreboard 2021) การจัดลำดับ 4 กลุ่มประเทศนวัตกรรม ในการจัดลำดับ คณะกรรมาธิการยุโรปแบ่งหมวดหมู่ เป็น 4 หมวด ได้แก่ ผู้นำนวัตกรรม (innovation leaders) ได้แก่ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และเบลเยียม ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับสูง (Strong innovators) ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เอสโตเนีย ฝรั่งเศส และไอร์แลนด์ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับกลาง (moderate innovators) ได้แก่ อิตาลี ไซปรัส มอลตา สโลวีเนีย สเปน เช็กเกีย ลิทัวเนีย โปรตุเกส และกรีซ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมพอประมาณ (modest innovators) ได้แก่ โคเอเชีย ฮังการี ลัตเวีย โปแลนด์ สโลวะเกีย บัลกาเรีย และโรมาเนีย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210819091021-pdf.pdf  
นานาสาระน่ารู้
 
ฟื้นผิวด้วย LumiDart แผ่นนำแสงสามมิติ
  สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้สถานเสริมความงามต่างๆ ต้องปิดให้บริการชั่วคราว ผู้บริโภคจึงเริ่มหันมาดูแลผิวพรรณในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผิวพรรณและความสวยงาม โดยเฉพาะอุปกรณ์เสริมความงามที่เน้นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้เองเกิดการขยายตัวและมีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 900 ล้านบาทในประเทศไทย   [caption id="attachment_28301" align="aligncenter" width="750"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ และนางสาวลลิตภัทร ศุภประภากร[/caption]   ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ประยุกต์ความเชี่ยวชาญด้านเข็มระดับไมโครเมตรและนาโนเมตรพัฒนา “ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว” “ลูมิดาร์ทพัฒนาขึ้นจากการนำแผ่นเข็มนำแสงสามมิติที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค ซึ่งมีขนาดเล็กมากในระดับไมโครเมตร ผสานกับเทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง หรือ Phototherapy ที่ใช้แสงจากแอลอีดี (Light Emitting Diode: LED) ส่องผ่านเข้าไปใต้ผิว เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในสู่ภายนอก เทคโนโลยีนี้ใช้แสงแอลอีดีเป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงแต่ละสีมีค่าความยาวคลื่นแสงที่ต่างกัน จึงมีคุณสมบัติให้การบำบัดที่แตกต่างกันออกไป เช่น แสงสีฟ้า (ความยาวคลื่น 470 นาโนเมตร) จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสิว ส่วนแสงสีแดง (ความยาวคลื่น 640 นาโนเมตร) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย การใช้แสงในการบำบัดจำเป็นต้องใช้พลังงานสูงมาก ทำให้แสงทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวได้ ดังนั้นเราจึงประยุกต์ใช้ร่วมกับแผ่นเข็มนำแสงสามมิติระดับไมโครเมตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดโดยการนำพาแสงไปยังชั้นใต้ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และใช้พลังงานหรือความเข้มแสงน้อย ช่วยลดอันตรายจากการได้รับแสงความเข้มสูงเป็นเวลานาน ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อผู้ใช้งาน” ดร.ไพศาลกล่าว   [caption id="attachment_28295" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]   [caption id="attachment_28303" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]   [caption id="attachment_28302" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]   ทั้งนี้ผลการทดสอบเมื่อเทียบกับการใช้เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสงแบบเดิม พบว่า เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยแสงด้วยลูมิดาร์ทมีประสิทธิภาพดีกว่าถึง 4 เท่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดผิวด้วยการกระตุ้นกลไกให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้ด้วยตนเอง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และยังใช้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ   [caption id="attachment_28294" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]   ดร.ไพศาล กล่าวว่า นวัตกรรมลูมิดาร์ทยังผลิตได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ มีความแม่นยำสูง และผลิตได้จำนวนมาก หากสถานการณ์ปกติสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ควบคู่กับการการฉายแสงบำบัดผิว เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อความงามตามร่างกาย ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มของสถานเสริมความงาม นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า “เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางนวัตกรรมของเข็มไมโครนีดเดิล (Microneedle) สำหรับนวัตกรรมที่เราพัฒนาขึ้นนี้สามารถต่อยอดไปใช้ในทางการแพทย์ โดยใช้ร่วมกับการรักษาความผิดปกติหรือโรคต่างๆ ทางผิวหนังได้ เมื่อได้รับการควบคุมการผลิตภายใต้การแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ” ดร.ไพศาลกล่าว ปัจจุบัน “ลูมิดาร์ท” แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตร และพร้อมในการเจรจาหาพันธมิตร เพื่อนำเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริงต่อไป ทั้งนี้จะมีการนำมาจัดแสดงภายในงาน BCG Health Tech Thailand 2021 มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพแห่งปี ภายใต้แนวคิด “The Sustainable Solutions of Health & Wellness” จัดโดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และองค์กรพันธมิตร ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ (Hybrid Event) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และออนไลน์เสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบบนช่องทาง www.healthtech-thailand.com  
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ขอเชิญฟังเสวนาเรื่อง “สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก”
🌿 สมุนไพรไทยมีคุณค่า…ไม่ใช่แค่กัญชาที่ขายได้!! มารู้เรื่องที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของสมุนไพรไทย และมาดูกันว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนตลาดสมุนไพรในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างไร หาคำตอบได้ที่ 💚Bi🌏D Talk Episode#5 🌱 เสวนา : สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก 🌏 🗓 วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2564 🕑 เวลา 14.00 - 15.30 น. 💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ 🔻 ภาพรวมการตลาดของสมุนไพรไทยและโลก 🔻 ชนิดสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสร้างเศรษฐกิจ BCG ของประเทศได้อย่างยั่งยืน 🔻 แนวทางการวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับสมุนไพรไทย 🔻 กฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย .......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร 🔈 เสวนาออนไลน์ฟรี❗️ ผ่านโปรแกรม Webex Event Meeting number: 2516 402 6878 Password: NSTDA_Biodtalk5 📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง 👉🏻 https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=me512b763c3f926f68c4d8d19827150b8 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่: 084-3062627 (รุ่งรวี), 085-1483890 (พรพงษ์)
BCG
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2564 โดย IMD (2021 IMD World Competitiveness Ranking)
ในปี 2564 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 64 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2021 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2563-2564 โดย IMD  ประเทศ  สวิตเซอร์แลนด์  สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ไทย ปี 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 อันดับรวม 1 3 2 6 3 2 4 4 5 1 28 29 1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 7 18 16 22 17 21 2 1 1 3 21 14 1.1 เศรษฐกิจในประเทศ 4 4 10 20 12 15 16 12 15 7 41 38 1.2 การค้าระหว่างประเทศ 15 13 17 15 10 24 3 2 1 1 21 5 1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ 12 18 17 16 24 23 4 5 3 3 32 29 1.4 การจ้างงาน 15 30 30 39 22 27 4 3 18 7 3 10 1.5 ระดับราคา 58 57 41 40 42 41 48 46 57 58 37 28 2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ 2 2 9 14 7 4 12 11 5 5 20 23 2.1 ฐานะการคลัง 1 2 7 12 5 4 10 8 12 6 14 17 2.2 นโยบายภาษี 12 8 58 56 56 40 60 50 8 10 4 5 2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน 1 2 3 5 5 1 4 4 7 7 36 40 2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ 10 12 4 7 2 2 7 4 3 3 30 33 2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม 5 5 4 3 3 4 6 8 17 18 43 40 3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 5 9 2 3 1 1 4 4 9 6 21 23 3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ 4 8 3 4 1 1 8 7 14 9 40 41 3.2 ตลาดแรงงาน 6 13 5 16 14 8 2 2 4 3 10 15 3.3 การเงิน 1 1 6 7 7 8 4 4 13 10 24 24 3.4 การบริหารจัดการ 9 16 3 4 1 1 15 15 14 14 22 21 3.5 ทัศนคติและค่านิยม 13 17 4 4 6 3 2 9 9 6 20 20 4. โครงสร้างพื้นฐาน 1 3 2 1 3 2 7 9 11 7 43 44 4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน 5 6 10 7 3 4 6 9 20 18 24 26 4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 8 9 3 2 6 5 2 3 1 1 37 34 4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์  3 2 7 6 11 9 13 13 17 15 38 39 4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม 3 5 1 1 4 2 16 15 25 23 49 49 4.5 การศึกษา 1 3 4 8 3 1 12 14 7 2 56 55 สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ รองลงมาคือ สวีเดน ซึ่งปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ ถัดมาเป็นเดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว อันดับ 5 คือ สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ส่วนไทยได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ มีอันดับ 7 ในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ มีอันดับ 5 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ได้อันดับ 2 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับดีขึ้นอย่างมากของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยการจ้างงานและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับดีขึ้นถึง 15 อันดับ จากอันดับ 30 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ มีอันดับดีขึ้น 6 อันดับ ได้อันดับ 12 ในปีนี้ จากอันดับ 18 ในปีที่แล้ว ส่วนปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 57 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยตลาดแรงงานและปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ มีอันดับดีขึ้นถึง 7 อันดับ เหมือนกัน เป็นอันดับ 6 และ 9 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย (มีทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย) เล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา สวีเดน ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ มีอันดับ 2 ในปีนี้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ โดยปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 6 อันดับ เป็นอันดับ 16 ในปีนี้ ซึ่งยังคงครองอันดับในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับดีขึ้น 5 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการจ้างงาน ที่มีการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 10 และ 9 อันดับ จากอันดับ 20 และ 39 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 10 และ 30 ในปีนี้ ตามลำดับ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับในระดับต่ำ ปีที่แล้วได้อันดับ 40 ในขณะที่ปีนี้ได้อันดับ 41 การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ ที่เลื่อนอันดับขึ้น 5, 2 และ 3 อันดับ เป็นอันดับ 7, 3 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 56 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ เดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 3 ในปีนี้ เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 และ 3 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 17 ในปีนี้ เป็นปัจจัยที่มีอันดับอยู่ในระดับปานกลางนานหลายปี ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ครองอันดับ 1 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีผลอย่างมากทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับเลื่อนลง คือ ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ที่เลื่อนอันดับลงถึง 16 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 56 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการยังครองอันดับ 4 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และอีก 3 ปัจจัยที่เหลือ ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 12 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังสามารถครองอันดับไว้เท่าเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ ที่ยังครองอันดับ 2, 4 และ 15 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ ปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 46 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 48 และมีอันดับ 50 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 60 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ในปีที่แล้ว เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 4 อันดับ จากอันดับ 6 และ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ครองอันดับ 5 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว มี 4 ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการศึกษา มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยระดับราคาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยในปีนี้ได้อันดับ 57 ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 58 สำหรับไทยปีนี้ได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับ มีอันดับ 20 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ มีอันดับ 21 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ทำให้ในปีนี้เป็นปีแรกที่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง แต่ที่ผ่านมาหลายปีมีอันดับค่อนไปทางที่ดี ในขณะที่ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับดีปานกลางไว้ในปีนี้เหมือนที่ผ่านมาหลายปี ส่วนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีไว้ในปีนี้เหมือนหลายปีที่ผ่านมา การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ โดยเฉพาะปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 36 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 2 ปัจจัยย่อยเล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมดปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุดถึง 16 อันดับ จากอันดับ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีและไม่ดีทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 40 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 43 2. ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับ 41 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 40 3. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 49 ทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ 4. ปัจจัยย่อยการศึกษาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 55 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 56 ทำให้ปัจจัยย่อยการศึกษามีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากในปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับ 3 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ 2. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี มีอันดับ 4 ในปีนี้ ในขณะที่ปีที่แล้วได้อันดับ 5 คงเป็นข่าวดีสำหรับไทยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่แล้ว แต่ยังต้องพัฒนาอีกหลายด้านเนื่องจากในปีนี้ได้อันดับ 28 ซึ่งเป็นอันดับระดับปานกลาง เพื่อในปีหน้าไทยจะมีอันดับรวมดีขึ้นกว่านี้มาก โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ซึ่งทั้งสองด้านมีอันดับที่ต่ำมากและต่ำที่สุด ตามลำดับ ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด
นานาสาระน่ารู้
 
ENTEC สวทช. ได้รับทุนวิจัยเรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap จาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund
ดร.นุวงศ์ ชลคุป หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานทดแทนและประสิทธิภาพพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund ภายใต้ Free Trade Agreement Framework เรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap มูลค่า $291,900.40 หรือ ประมาณ 9,649,136.7 1 บาท เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 โดยมี ASEAN Centre for Energy (ACE) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) Ministry of Trade, Industry and Energy (MOTIE) และ Republic of Korea (ROK) เป็นหน่วยงานพันธมิตร โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อหากลยุทธ์ในการรองรับเทคโนโลยีพลิกโฉม (disruptive technology ) ด้าน ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ต่อแนวทางการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในประชาคมอาเซียน โดยเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดย ENTEC และ ACE ในการทำ ASEAN Biofuel R&D Roadmap ภายใต้เครือข่ายด้านพลังงานหมุนเวียนอาเชียน หรือ ASEAN Renewable Energy Sub-sector Network (RE-SSN) ที่มี พพ. เป็นตัวแทนประเทศไทย ทั้งนี้การพัฒนาร่วมกันระหว่าง เชื้อเพลิงชีวภาพในยานยนต์ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาท จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas (GHG) ได้อย่างมีนัยยะสำคัญในภูมิภาคอาเซียนได้ ซึ่งสอดคล้องกับการบรรลุความสำเร็จในด้าน Climate Commitment ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) ตลอดจนแนวโน้มความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งประเทศไทยจะมีการประกาศเป้าหมายในที่ประชุม COP26 ที่ Glasgow
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ตอนที่ 15 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/kNtZjqKeTz8เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจรวดเร็วความไวสูงสำหรับตรวจหาเชื้อไวรัสในโรคไข้หัดสุนัข”ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผลงานเรื่อง “Exploration of lignocellulose degrading enzymes from hidden bioresource for biorefinery and green industries”ดร.วีรวัฒน์ รังกุพันธุ์ ผลงานเรื่อง “Yeast cells modified to produce the biofuel isobutanol and other higher alcohols”ดร.วลัยพร เจริญทรัพย์ศรี ผลงานเรื่อง “Climate change impact on the pathogenic Vibrio parahaemolyticus isolates causing acute hepatopancreatic necrosis disease (AHPND)”ดร.วณิลดา รุ่งรัศมี ผลงานเรื่อง “การศึกษาความเกี่ยวข้องของโปรตีน heat shock 90 ต่อระบบสืบพันธุ์ของกุ้งกุลาดำเพศเมีย”ระดับชาติดร.วิรัลดา ภูตะคาม และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจสนิปเพื่อการทดสอบเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์แตงกวา แตงโม แตงเทศ และพริก”, “การศึกษากระบวนการตอบสนองของปะการังต่อการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำทะเลและการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมของปะการังในน่านน้ำไทยเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างยั่งยืน” และ “การพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลและการสร้างแผนที่พันธุกรรมเพื่อค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่มีความสัมพันธ์กับความสูงของลำต้นในปาล์มน้ำมัน”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “ENZease: “two-in-one” enzyme for one-step desizing and scouring process of cotton fabric in textile industry”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
หนังสือ BCG Booklet (English Version)
Download
BCG
 
เอกสารเผยแพร่
 
30th Anniversary Story of NSTDA: นวัตกรรมรับมือ “สังคมผู้สูงอายุ”
  โลกกำลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ เมื่อประเทศพัฒนาแล้วแทบทุกชาติเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประเทศกำลังพัฒนาเกือบทุกประเทศมีสัดส่วนประชากรของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยเองกำลังอยู่ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ซึ่งการเข้าสู่สังคมชราภาพนับเป็นความท้าทาย เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีวัยพึ่งพิงมากกว่าวัยทำงานนั้น ย่อมต้องประสบปัญหาทั้งการขาดแคลนแรงงาน สุขภาพ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญต่อการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ   นวัตกรรม ‘รถเข็นไฟฟ้า’ เพื่อคนพิการและผู้สูงวัย ปัจจุบันมีผู้สูงอายุและคนพิการทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องการใช้รถเข็นเพิ่มมากขึ้น ทว่ารถเข็นที่ใช้งานส่วนใหญ่มักเป็นรถเข็นแบบทั่วไป ต้องอาศัยกำลังแรงคนในการใช้มือผลักดัน ในกรณีที่ผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ไม่มีกำลังแขนก็ต้องพึ่งพาคนใกล้ชิด ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระ และไม่สะดวกในการเดินทางนัก ขณะที่รถเข็นไฟฟ้าแม้จะใช้งานง่าย แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ราคา 20,000-100,000 บาท ทำให้มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้   [caption id="attachment_28151" align="aligncenter" width="700"] M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า[/caption]   [caption id="attachment_28152" align="aligncenter" width="700"] ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้วิจัยพัฒนา ‘M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า’ ที่สะดวก ปลอดภัย และราคาไม่แพง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้รถเข็นทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ยังใช้งานร่างกายท่อนบนได้ดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ดียิ่งขึ้น โดยอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ ชุดขับเคลื่อน ชุดควบคุมการเคลื่อนที่ และชุดแหล่งพลังงาน เน้นใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด สำหรับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ หากชาร์จไฟฟ้า 8 ชั่วโมง จะใช้งานได้ต่อเนื่องนาน 4 ชั่วโมง หรือระยะทาง 20 กิโลเมตร ซึ่งในกรณีที่แบตเตอรี่หมดสามารถสลับเปลี่ยนการใช้งานจากระบบไฟฟ้ามาเป็นระบบปกติเหมือนเดิมได้ ทั้งนี้ M-Wheel ผ่านการประเมินผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทางไฟฟ้า ด้วยการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้า การป้องกันสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งผ่านการประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์ โดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)   Power Lift Bed เตียงนอนสุดล้ำ ลุก-นั่งปลอดภัย ด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมไปตามวัย ทำให้หลายๆ ครั้ง การใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุมีอุปสรรคทั้งในด้านการลุก การนั่ง การยืน และเป็นสาเหตุของการพลัดตกหกล้ม   [caption id="attachment_28153" align="aligncenter" width="700"] Power Lift Bed[/caption]     ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค พัฒนา “Power Lift Bed” เตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้นหลังการผ่าตัด ซึ่งมีกลไกช่วยให้สามารถลุก นั่ง ยืน ได้สะดวกสบาย มีความปลอดภัยสูง โดยมีการออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ใช้งานและควบคุมได้ง่ายผ่านรีโมตคอนโทรล มีตัวหนังสือและสัญลักษณ์อธิบายที่ชัดเจน ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญเตียงยังสามารถปรับหมุนไปด้านซ้าย-ขวาได้ถึง 90 องศา ทำให้ผู้สูงอายุที่นอนอยู่สามารถกดรีโมตปรับเตียงมาอยู่ในท่านั่ง และกดคำสั่งให้เตียงหมุนมาด้านข้างเพื่อนั่งรับประทานอาหาร หรือดูโทรทัศน์ได้ทันที ช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองมากขึ้น สร้างความมั่นใจในการลุกขึ้นนั่งหรือยืน ไม่รู้สึกเป็นภาระต่อครอบครัว ล่าสุด เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับบริษัท SB Design Square ปรับรูปลักษณ์เทคโนโลยีให้มีความสวยงาม ทันสมัย มีฟังก์ชันใช้สอยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตอบโจทย์ผู้บริโภค สร้างความรู้สึกที่แตกต่างจากเตียงผู้ป่วยแบบทั่วไป ปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้วที่ SB Design Square หรือสั่งสินค้าออนไลน์ได้ที่ www.sbdesignsquare.com นับเป็นเฟอร์นิเจอร์ทางเลือกใหม่ที่สร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตภายในบ้านให้กับผู้สูงอายุ   สื่อกระตุ้นความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อมเป็นปัญหาที่พบมากในผู้สูงอายุ โดยผู้ป่วยจะมีอาการลืมเลือนสิ่งต่างๆ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ซึ่งผู้ที่ดูแลนอกจากจะต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างมากแล้ว การพยายามกระตุ้นให้ผู้ป่วยคงความสามารถ ด้วยการหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำ เช่น การทายภาพสมาชิกใครอบครัว การเล่นเกม จะช่วยพัฒนาสมองและฟื้นฟูความทรงจำได้มากขึ้น   [caption id="attachment_28155" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28156" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   ดร.สิทธา สุขกสิ ทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค ได้พัฒนา “AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง” ที่มีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยผลงานนี้มีลักษณะเป็นผ้าห่มที่ทำจากผ้าไทย มีความสวยงาม เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม เวลาผู้สูงอายุสัมผัสเนื้อผ้าจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ หรือบางครั้งเวลาที่ผู้สูงอายุรู้สึกหงุดหงิดเมื่อจับหรือสัมผัสผ้าจะช่วยให้รู้สึกว่าได้คลายความหงุดหงิด ลดความเครียด และความกระวนกระวายใจได้ นอกจากนี้ AKIKO ยังถูกออกแบบให้มีช่องใส่รูปภาพ หรือกลิ่นหอมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความคุ้นเคยของผู้สูงอายุ ซึ่งนำมาทำเป็นเกมช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสและความทรงจำที่ดีให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ ขณะนี้มีการนำไปใช้จริงในสถานดูแลผู้สูงอายุ และมีบริษัทเอกชนเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเตรียมผลิตขายเชิงพาณิชย์   [caption id="attachment_28171" align="aligncenter" width="500"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28157" align="aligncenter" width="700"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   นอกจากนี้ยังมี “MONICA เกมฝึกสมอง” สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น โดยเกมจะช่วยกระตุ้นสมองส่วนต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้งาน ทั้งในเรื่องความจำ การตัดสินใจ การมองเห็นและตอบสนองต่างๆ รวมถึงการใช้ภาษา โดยตัวเกม MONICA จะประกอบด้วยส่วนของโปรแกรมและปุ่มกดที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ การทำงานของเกมจะมีให้เลือกความยากง่าย เน้นการใช้ภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ โดยมีตัวอย่างเกม เช่น เกมเปรียบเทียบภาพปัจจุบันกับภาพก่อนหน้าว่าเหมือนหรือแตกต่าง หากเหมือนกันให้กดเครื่องหมายถูก หากต่างกันให้กดเครื่องหมายผิด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุเล่นเกมผ่านจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ มีความรู้สึกมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น   อาหารเคี้ยวกลืนง่าย ปลอดภัย ไม่สำลัก การสำลักน้ำและอาหาร รวมถึงภาวะการกลืนยาก เป็นปัญหาสำคัญของผู้สูงอายุ เกิดจากอวัยวะในช่องปากเสื่อมลงและไม่สามารถดื่มน้ำหรือบริโภคของเหลวได้เหมือนคนปกติ ซึ่งนอกจากอันตรายแล้วยังส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การขาดน้ำ ขาดอาหาร ที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ [caption id="attachment_28158" align="aligncenter" width="500"] ผงเพิ่มความหนืด[/caption]   ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค ได้ร่วมงานกับบริษัทเอกชน พัฒนา “ผงเพิ่มความหนืด” ที่ใช้เติมในน้ำและเครื่องดื่มให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการไหลเข้าสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่ติดอยู่บริเวณคอหอยหรือหลุดเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสำลักได้ ในเรื่องการบดเคี้ยวอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ทีมวิจัยยังใช้องค์ความรู้ในการปรับโครงสร้างของเนื้อสัตว์ให้เกิดการแตกหักง่ายขึ้น เมื่อผู้สูงอายุรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ง่ายจากการใช้เหงือกหรือการใช้ลิ้นดุนเพื่อให้เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ และเกิดการย่อยได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังศึกษาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D food printing) เพื่อตอบรับความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคลที่คาดว่าจะมีปริมาณมากขึ้นในอนาคต   [caption id="attachment_28159" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   [caption id="attachment_28160" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย” ผลงานวิจัยของ ดร.นิสภา ศีตะปันย์ ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการปรับโครงสร้างร่วมกับการใช้ตัวปรับเนื้อสัมผัส เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ “เนื้อสัตว์ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม” บดเคี้ยวง่ายด้วยฟันหรือเหงือก กลืนง่าย มีปริมาณไขมันสัตว์น้อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ที่สำคัญยังคงรูปร่างได้ มีลักษณะปรากฏคล้ายอาหารที่เตรียมจากเนื้อสัตว์ทั่วไป สามารถหั่นหรือตัดเป็นชิ้นได้ จึงนำไปเตรียมเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ คั่วกลิ้ง ลาบหมู มัสมั่นหมู หมูกระเทียม ช่วยให้ความรู้สึกในการบริโภคคงเดิม   [caption id="attachment_28161" align="aligncenter" width="700"] สเต๊กเนื้อนุ่ม[/caption]   ส่วนที่พิเศษสุดคืออาหารปราบเซียนอย่างสเต๊ก ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ เอ็มเทค สามารถพัฒนาตัวปรับเนื้อสัมผัสอาหารสำหรับประเภทเนื้อสัตว์สู่ผลิตภัณฑ์ “สเต๊กเนื้อนุ่ม” พร้อมอุ่นร้อนจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวบดหยาบที่มีปริมาณเนื้อสัตว์มากกว่า 70% โดยน้ำหนัก และมีไขมันน้อยกว่า 5% โดยผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อชิ้นแต่นุ่มและบดเคี้ยวง่าย ช่วยลดอุปสรรคในการบริโภคของผู้สูงอายุ   ผลิตภัณฑ์จากพืช โปรตีนทางเลือก ไม่เพียงการปรับเนื้อสัมผัสเนื้อสัตว์เพื่อให้ผู้สูงอายุรับประทานได้ง่ายและได้โปรตีนครบถ้วนแล้ว สวทช. ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร “โปรตีนทางเลือก” ทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด อาทิเช่น “Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช” ผลงานวิจัยของ ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ได้นำความรู้เรื่องการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่ไปกับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนอาหารต้นแบบ ดังนั้นเมื่อผู้บริโภครับประทาน Ve-Chick จะได้รับความรู้สึกเหมือนรับประทานเนื้อไก่จริง และยังได้รับสารอาหารในปริมาณที่แทบไม่แตกต่างกัน โดยเนื้อไก่ปกติ100 กรัม จะมีโปรตีนประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนัก ขณะที่ Ve-Chick มีโปรตีนประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนัก ที่สำคัญไม่มีคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตที่อาจตกค้างมาในเนื้อไก่   [caption id="attachment_28162" align="aligncenter" width="500"] Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช[/caption]   [caption id="attachment_28164" align="aligncenter" width="500"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   มีอาหารแล้วต้องมีเครื่องดื่ม ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา “M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว” โดยนำโปรตีนถั่วเขียวมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดโครงสร้างโปรตีนตามต้องการ ร่วมกับการใช้ไฮโดรคอลลอยด์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการพยุงโครงสร้าง และช่วยในการกระจายตัวของโปรตีนให้คงสภาพได้ดีภายหลังการให้ความร้อนระดับพาสเจอไรซ์ ทำให้ได้เครื่องดื่มโปรตีนสูงชนิดเจลจากโปรตีนพืชที่มีลักษณะปรากฏเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสัมผัสที่เทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดเจลทางการค้าที่ไม่มีโปรตีนหรือมีโปรตีนในปริมาณที่ต่ำกว่า โดยผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษานาน 2 สัปดาห์ในตู้เย็น และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น  ทั้งนี้ เครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink มีปริมาณโปรตีนสูงกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) หรือร้อยละ 6 โดยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ และมีการเสริมแคลเซียมกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI)   [caption id="attachment_28163" align="aligncenter" width="700"] M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว[/caption]   [caption id="attachment_28165" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]            ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ตอนที่ 14 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=uV-DsDCNFBMเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติดร.รัฐพล เฉลิมโรจน์ ผลงานเรื่อง “PlantBead Kit”ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว และคณะ ผลงานเรื่อง “สารเคลือบดูดซับความร้อนด้วยอนุภาคนาโนกราฟีน-ซิลิกา สำหรับแผงพลังงานรวมแสงอาทิตย์แบบราง”ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจวัดปริมาณโปรตีนไกลเคทเตดอัลบูมินเพื่อติดตามเบาหวาน "SugarAL GO sensor"”ดร.มัตถกา คงขาว ผลงานเรื่อง “A development of a new delivery system for HPV vaccine candidates against cervical cancer”ดร.บรรพท ศิริเดชาดิลก ผลงานเรื่อง “High-throughput approach to discover new dengue vaccine”ดร.ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย ผลงานเรื่อง “Thematic Reference Group Report on Innovation and Technology for Health Interventions for Infectious Diseases of Poverty" และ "Global Report on Health Research for Infectious Diseases of Poverty”ระดับชาติดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข ผลงานเรื่อง “เชื้อเพลิงสะอาดและสารหล่อลื่นชีวภาพ : ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อการพัฒนาปาล์มน้ำมันไทยอย่างยั่งยืน”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “การเพิ่มมูลค่าชานอ้อย : การสกัดเซลลูโลสและนาโนเซลลูโลส และการประยุกต์ใช้เป็นวัสดุทางการแพทย์”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO