หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – นาโนเทค-สวทช. เปิดโรงงานต้นแบบสิ่งทอ พร้อมให้บริการเคลือบสิ่งทอได้มากถึง 5 สมบัติ ในขั้นตอนเดียว
  นาโนเทค-สวทช. เปิดโรงงานต้นแบบสิ่งทอ พร้อมให้บริการเคลือบสิ่งทอได้มากถึง 5 สมบัติในขั้นตอนเดียว 8 เมษายน 2563 - ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำเสนอบริการเคลือบสิ่งทอและตกแต่งสำเร็จเส้นใยสมบัติพิเศษ "จากโรงงานต้นแบบถ่ายทอดเทคโนโลยีสิ่งทอนาโน" ชูจุดแข็งเทคโนโลยีนาโนกับการเคลือบ 5 สมบัติ ได้แก่ กลิ่นหอม ต้านยูวี ผ้านุ่มลื่น ยับยั้งแบคทีเรีย และสะท้อนน้ำ ในขั้นตอนเดียว ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนลูกค้าเป็น 2 เท่าในปี 2563 รับความต้องการสิ่งทอสมบัติพิเศษ ในตลาดใหม่ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13115
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.4 – ‘รถเข็นรักษ์โลก’ อัพเกรด ‘สตรีทฟู้ด’
  'รถเข็นรักษ์โลก' อัพเกรด 'สตรีทฟู้ด' เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง 'ร้านอาหารหข้างทาง' หรือ 'สตรีทฟู้ด' ขึ้นชื่อว่าเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทยอย่างมาก ยิ่งเฉพาะในกรุงเทพฯ ถือเป็นแดนสวรรค์ของนักชิมที่จะได้สัมผักับ อาหารที่หลากหลายแถมเลือกทานได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยสำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอาหารริมทางดีที่สุดในโลก 2 ปีซ้อน ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลองลิ้มชิมรสอาหารไทย ที่นอกจากมีวัตถุดิบให้เลือกมากมายแล้วยังมีความคุ้มค่าด้านราคาที่ไม่แพง  สตรีทฟู้ดไม่เพียงช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างดี แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมาก ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Euromonitor International) บริษัท วิจัยระดับโลก เปิดเผยเมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่ามูลค่าตลาดธุรกิจอาหารไทยโดยรวม ในปี 2560 อยู่ที่ 410,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มากกว่า 60-70 % เป็นร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ด ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 276,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 340,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5.3% ต่อปี  ดังนั้นเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ได้พัฒนา 'นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด' ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย รวมทั้งยังมีระบบที่ช่วยลดการสร้างมลพิษและขยะของเสีย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด มีจุดเริ่มต้นมาจาก ทีมกะเพราซาวห้า โดยคุณพงษ์มนัส มังคละศรี ที่ได้พัฒนาระบบรถเข็นขายกะเพราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คู่ขนานกับการพัฒนาน้ำมันกะเพราที่จะช่วยทำให้กลิ่นและรสชาติของกะเพราะสม่ำเสมอ เพื่อเข้าร่วมโครงการ GSB Street Food เวทีประกวดคิดค้นนวัตกรรมเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทยให้ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสิน และ สวทช.  "ทีมกะเพราซาวห้าได้พัฒนาสร้างรถเข็นสตรีทฟู้ดขึ้นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร เนื่องจากรถมีน้ำหนักมากเกินไปและระบบดูดควันไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ทาง DECC สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมในโครงการ GSB Street Food ได้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำพัฒนารถเข็นกะเพราซาวห้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์มากขึ้น จนกระทั่งทีมกะเพราซาวห้าสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันไปแล้ว ทีมผู้เชี่ยวชาญ DECC ยังได้ปรับปรุงพัฒนาระบบรถเข็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบเหมาะสมต่อการใช้งานจริงมากที่สุด" โดยโจทย์อันท้าทายของการพัฒนาต่อยอดรถเข็นสตรีทฟู้ด ดร.อัมพร บอกว่า มี 3 องค์ประกอบหลักสำคัญคือต้องทำให้รถเข็นมีน้ำหนักเบาที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพการดูดควันให้สามารถใช้งานในพื้นที่ปิดได้ รวมทั้งปรับปรุงระบบบำบัดน้ำให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัจจุบัน สวทช. สามารถพัฒนานวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกที่พร้อมใช้งานสมบูรณ์แบบ จำนวน   ทั้งสิ้น 3 โมเดล ได้แก่ 1. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ 2. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน และ 3. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน + หัวเตาแก๊ส 2 หัว โดยตั้งเป้าส่งมอบนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกไม่น้อยกว่า 100 คัน แก่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดให้ได้ใช้งานจริงเพื่อประกอบ กิจการหลังสถานการณ์โควิด โดยแต่ละโมเดลได้สนับสนุนงบประมาณบางส่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการและกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมด้วย ทั้งนี้ "เฮียวัตร ปังตอทอง" แฟรนไชส์ ข้าวเหนียวหมู-เนื้อ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ดไปใช้งานจริง โดยมุ่งหวังให้ความสำคัญกับสุขอนามัยหน้าร้านค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจเรื่องความสะอาดให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยยกระดับ "สตรีทฟู้ด" ไปอีกขั้น   วิวัฒน์ กุลวิจิตร์รัตน์ เจ้าของธุรกิจข้าวเหนียวหมู-เนื้อ แบรนด์ เฮียวัตร ปังตอทอง กล่าวว่า ความสะอาด ณ จุดขายสินค้า หรือหน้าร้านค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมักมองข้ามเรื่องนี้ไป อาจเพราะว่าความไม่สะดวกสบายของหน้าร้าน อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ บนรถเข็นแบบเดิม ๆ ไม่มีฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการล้างทำความสะอาดและการบำบัดน้ำก่อนปล่อยสู่ท่อระบายน้ำ ทำให้เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสตรีทฟู้ดไทยอย่างมาก ดังนั้นตนจึงนำ "รถเข็นรักษ์โลก" จาก สวทช. มาเป็นตัวช่วยเพื่อทำให้เกิดสุขอนามัยที่ถูกต้อง ณ จุดขายสินค้า และเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของผู้บริโภคให้มองสตรีทฟู้ดไทยว่าม’มาตรฐานขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยหวังให้ความตั้งใจในการนำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกนี้มาใช้กับธุรกิจเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยกระดับอาชีพสตรีทฟู้ดให้เป็นที่ยอมรับกับลูกค้าทุกกลุ่ม "เรื่องความสะอาด สตรีทฟู้ดที่อยู่ตามข้างทางทุกวันนี้ เราจะโดนต่อว่าอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องภาชนะทุกอย่างไม่ค่อยสะอาดแต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราจะชินกับสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติ เขาไม่ได้ชินเหมือนเรา ฉะนั้นการมีรถเข็นรักษ์โลกที่มีบ่อดักไขมัน มีอ่างล้างมือ มีความจำเป็นมากสำหรับสตรีทฟู้ด"  วิวัฒน์ บอกด้วยว่า การมีนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกมาใช้กับแบรนด์สินค้าของตนเองนั้น ช่วยเสริมภาพลักษณ์ในการขายสินค้าให้ดีขึ้น เพราะแม้จะเป็นสตรีทฟู้ดขายข้าวเหนียวหมู-เนื้อ ธรรมดา ก็อยากให้เป็นร้านที่ได้มาตรฐาน มีฟังก์ชันที่เป็นมาตรต่อลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ทั้งอ่างล้างมือ บ่อบำบัดน้ำทิ้ง พร้อมในคันเดียว สามารถเคลื่อนย้ายไปขายยังทำเลต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนด้านมลพิษและสิ่งแวลดล้อมให้กับสถานที่หรือชุมชนนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยขยายทำเลการขายได้หลากหลายและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ที่สำคัญที่ให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัยในราคาที่ไม่แพง สำหรับผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดที่สนใจ "รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก" สามารถสั่งจองออนไลน์ ได้ที่ https://www.decc.or.th/street-food/ ภายใน 31 ก.ค. 63 นี้ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2564 6310-11 ต่อ 101, 106 หรือ ช่องทาง Line: @679hqbmi
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.12 – อว.-สวทช. ปฏิวัติสตรีทฟู้ด (2)
  อว.-สวทช. ปฏิวัติสตรีทฟู้ด เปิดตัวนวัตกรรม "รถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด" สะอาด ปลอดภัย ยกระดับพ่อค้า-แม่ค้าอาหารริมทาง 12 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ริมปิงออร์แกนนิคฟาร์ม จ.เชียงใหม่ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มีการขยายผลการนำผลงานวิจัย ไวรัสเอ็น พีวี (NPV) เพื่อใช้ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่ ริมปิงออร์แกนิคฟาร์ม อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของฟาร์มออร์แกนิค สร้างความปลอดภัยให้เกษตรกรและผู้บริโภค รวมถึงตั้งเป้านำเทคโนโลยีด้านจีโนมมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการภาคเกษตรกรรมในอนาคต จากสถานการณ์ปัจจุบันที่คนยุคใหม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการรักสุขภาพ หันมาสนใจบริโภคพืชผักผลไม้มากขึ้น ดังนั้น การที่ให้พืชผักผลไม้ปลอดสารพิษจึงเป็นแนวทางสำคัญเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะห้ามนำเข้าสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด (พาราควอต ไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส) โดยเฉพาะสารคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีที่เกษตรกรนิยมนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช ดังนั้น การส่งเสริมให้เกษตรกรมาใช้สารชีวภัณฑ์ (คือ ผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่ผลิตหรือพัฒนามาจากสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์) ในการกำจัดแมลงศัตรูพืช จึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับเกษตรกรเพื่อใช้ทดแทนสารเคมี และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกรที่มุ่งมั่นจะทำการเกษตรแบบอินทร’ย์ เพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13035-20200212-npv
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – “We Chef Food Truck” แอปจองช่องจอดขายอาหาร สตาร์ทอัพสุดแนวจากโครงการ SUCCESS 2019
  "We Chef Food Truck" แอปจองช่องจอดขายอาหารสตาร์ทอัพสุดแนว จากโครงการ SUCCESS 2019 15 เมษายน 2563 - บริษัท วี เชฟ ประเทศไทย จำกัด หรือ We Chef (Thailand) หนึ่งในสตาร์ทอัพผู้เข้าร่วมบ่มเพาะในโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี 2562 หรือ SUCCESS 2019 ของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จากจุดเริ่มต้นในการพัฒนาแอปพลิเคชันจองช่องจอดขายอาหารในปั้มน้ำมันผ่านมือถือ หรือ Food Truck @PT Station จนปัจจุบันขยายไปสู่การจองช่องจอดรถขายอาหารตามหมู่บ้าน ตลาด และงานอีเว้นท์ต่าง ๆ (Food Truck @Home / Food Truck @Market / Food Truck on Event) ยกนิยาม "เปลี่ยนครัวที่บ้านให้เป็นงาน เปลี่ยนฝีมือทำอาหารให้เป็นเงิน" ตอบโจทย์คนรักอาหารและอยากให้คนชิม โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรูปแบบ        แอปพลิเคชันเข้ามาช่วยบริหารจัดการ สร้างรายได้และยกระดับผู้ประกอบการ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13133
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.5 – นักวิจัยไทยพัฒนา ‘วิธีสกัด RNA – ชุดตรวจโควิด-19’
  นักวิจัยไทยพัฒนา "วิธีสกัด RNA - ชุดตรวจโควิด-19" เรียบเรียง: วัชราภรณ์ สนทนา ทะลุ 19 ล้านรายแล้ว สำหรับตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน ขณะที่ประเทศไทยแม้ตอนนี้จะยังคงสถิติไม่มีผู้ติดเชื้อภายใน      ประเทศเป็นเวลากว่า 60 วัน ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า โควิด-19 จะไม่กลับมาระบาดระลอกสองอีก  สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาและเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเดินหน้าพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ปัจจัยสำคัญในการควบคุมการระบาด เพื่อป้อง กันปัญหาขาดแคลนชุดตรวจและน้ำยาซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ  ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ (RNA) ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) จากตัวอย่างแบบง่าย และ ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว" ได้สำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยยังขาดคือความมั่นคงด้านสุขภาพ เนื่องจากที่ผ่านมายังต้องนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจ และยา ทำให้เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ ดังเช่น การระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์บางประเภท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานเชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว "นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 (จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา) รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยในการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เป็นจำนวนกว่า 420,000 ตัวอย่าง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,261 ล้านบาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันในภาวะที่ทั่วโลกต่างต้องตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อจำนวนมาก     สารสกัดสารพันธุกรรมหรืออาร์เอ็นเอเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 มีไม่เพียงพอ จนกลายเป็นปัญหาคอขวดในการคัดกรองโรค ดังนั้นในอนาคตหากมีการระบาดระลอกสอง หรือมีความต้องการตรวจเชิงรุก การที่นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาวิธีสกัดอาร์เอ็นเอและชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้มาตรฐาน มีความแม่นยำได้เองในประเทศจะช่วยสนับสนุนการคัดกรองโรคโควิด-19 ได้มาก" ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 นั้น จะต้องมีการสกัดสารพันธุกรรม หรือ อาร์เอ็นเอของไวรัสจากสิ่งส่งตรวจของของกลุ่มเสียง ซึ่งที่ผ่านมายังมีข้อจำกัดคือต้องใช้น้ำยาสกัดสารพันธุกรรมที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่จากความร่วมมือของนักวิจัยไทยทำให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพมา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ" ก่อโรคโควิด-19 ได้สำเร็จ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า วิธีสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสจากตัวอย่างแบบง่าย พัฒนาขึ้นโดย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center : NOC)  สวทช. นำโดย ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ เป็นวิธีการสกัดอาร์เอ็นเอด้วยเทคนิค Magnetic Bead ที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว และจากการทดสอบการใช้งานร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีประสิทธิภาพในการสกัดอาร์เอ็นเอเทียบเท่าชุดสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญในการสกัดอาร์เอ็นเอยังใช้สารเคมีและอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนชุดตรวจราคาไม่แพง ช่วยลดต้นทุนในการตรวจและวินิจฉัยโรคได้มาก อีกทั้งวิธีการนี้ยังนำไปใช้สกัดอาร์เอ็นของไวรัสก่อโรคได้ทุกชนิดทั้งในมนุษย์ พืชและสัตว์ด้วย ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวน 2 บริษัท สนใจพร้อมรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว  เมื่อสกัดอาร์เอ็นเอของไวรัสได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจยืนยันเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่ง ไบโอเทค สวทช. นำโดย นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีว‘ศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนา "ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COVID-19 XO-AMP colorimetric detection kit)" เพื่อใช้คัดกรอง คัดแยกเฉพาะตัวอย่างที่น่าสงสัยก่อนนำไปตรวจโดยใช้วิธี RT-PCR ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของรัฐจากเดิมที่ต้องส่งตรวจทุกตัวอย่างด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งมีราคาแพง  ดร.วรรณพ กล่าวว่า ชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการตรวจเชิงรุก เนื่องจากมีความจำเพาะ 100% ความไว 92% และมีความแม่นยำ 97% สามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ได้ผลเร็วกว่าวิธี RT-PCR ถึง 2 เท่า สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ตรวจง่ายในขั้นตอนเดียวโดยไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ โดยสังเกตได้จากสีของน้ำยา หากเปลี่ยนจากม่วงเป็นเหลืองแสดงว่ามีอาร์เอ็นเอของไวรัส SARS-CoV-2 อยู่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจมีราคาเพียง 10,000 บาท ถูกกว่าวิธี RT-PCR ถึง 100 เท่า นอกจากนั้นแล้วต้นทุนน้ำยาเทคนิคแลมป์ที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นราคาต่ำกว่าน้ำยาที่ใช้กับ RT-PCR ถึง 3 เท่า และยังราคาถูกกว่าชุดตรวจแลมป์ที่นำเข้า 1.5 เท่า อย่างไรก็ดี การพัฒนาชุดตรวจนี้ได้รับความอนุเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของชุดตรวจ ปัจจุบันไบโอเทคได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเมินเทคโนโลยี โดยทาง อย. กำลังพิจารณาเกณฑ์มาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับเทคนิคแลมป์ โดยชุดตรวจนี้มีบริษัทเอกชนได้แสดงความสนใจที่จะขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คือสถาบันทางการแพทย์ที่มีทีมวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และป้องกันโรค ที่มีห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วย สวทช. มีงานวิจัยหลายด้านที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และป้องกันโรคได้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และ สวทช. จึงได้ทางานร่วมกันอย่างเข้มข้นจนสามารถพัฒนาต่อ ยอดทั้ง 2 งานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานได้จริง "การที่ประเทศไทยสามารถพัฒนาและผลิตชุดสกัดอาร์เอ็นเอ และชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดของโรคอุบัติใหม่ และถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถวงการวิจัยและสาธารณสุขไทยจากการเป็นผู้นำเข้าเทคโนโลยีสู่การเป็นผู้ผลิตเพื่อใช้เองและส่งออกไปต่างประเทศในอนาคต"
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.12 – สวทช. ร่วมภาครัฐ-เอกชน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางไทย
  สวทช. ร่วมภาครัฐ-เอกชน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางไทย 19 กุมภาพันธ์ 2563 กรุงเทพฯ-กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลย’โลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นตัวแทนร่วมลงนาม "พันธมิตรภาครัฐ-เอกชน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบร“งไทย" บูรณาการความร่วมมือพันธมิตรระบบรางภาครัฐ/สถาบันการศึกษา รวม 15 หน่วยงาน สร้างสรรค์อุตสาหกรรมระบบรางไทย ครอบคลุมด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี วีจัยและพัฒนา มาตรฐานระบบราง อุตสาหกรรมระบบราง ทดสอบและการทดลอง พัฒนาทรัพยากรบุคคล หวังช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบขนส่งทางรางและความปลอดภัยในการให้บริการเดินรถไฟ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ระบบรางให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางของประเทศและมาตรฐานสากล ช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการทดสอบวิเคราะห์ด้านระบบราง สนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) ทดแทนการนำเข้า สนับสนุนการผลิตบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญวิจัยด้านระบบราง ตลอดจนวิจัยและพัฒนาแก้โจทย์ปัญหาด้านระบบรางของประเทศ สร้างความยั่งยืนให้ระบบรางของไทย สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และ นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนาม โดยมี ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. และ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง พร้อมด้วยผู้บริหิรระดับสูง 13 หน่วยงิน ประกอบด้วย กิรรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามอย่างเป็นทางการ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13042-202002mou
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – โหลดเลย MONICA เกมฝึกสมอง ใคร ๆ ก็เล่นได้ “สูงวัย” เล่นยิ่งดี
  โหลดเลย MONICA เกมฝึกสมอง ใคร ๆ ก็เล่นได้ "สูงวัย" เล่นยิ่งดี 13 เมษายน 2563 - ปัจจุบัน "โรคสมองเสื่อม" เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือหากเกิดโรคแล้วผู้ดูแลต้องดูแลอย่างเข้าใจทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันสําหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมโดยใช้กระบวนการการออกแบบ design thinking และ Human-centric design เน้นที่ความเข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้โดยได้รับคําแนะนําจากผู้เชี่ยวชาญโรงพยาบาลรามาธิบดี และศูนย์ผู้สูงวัย สุขกายสุขใจ สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุโรคสมองเสื่อม จนเกิดเป็นนวัตกรรม เกมฝึกสมอง MONICA สําหรับช่วยกระตุ้นและฝึกสมองผู้สูงอายุ ฝึกสมาธิความจํา การเรียนรู้ การมองเห็นและตอบสนอง การวางแผน การตัดสินใจ และยังช่วยเพิ่มความภูมิใจให้ผู้สูงอายุมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13136-monica-mtec
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.12 – สวทช. ผนึก วศ.อว. และ สิริ เวนเจอร์ส ทดสอบวิ่งจริง “ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ”
  สวทช. ผนึก วศ.อว. และ สิริ เวนเจอร์ส ทดสอบวิ่งจริง “ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ" ครั้งแรกในไทย 20 กุมภาพันธ์ 2563 - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) และสิริ เวนเจอร์ส นำเสนอมิติใหม่ของนวัตกรรมยานยนต์เพื่อความสะดวกสบายของการเดินทางในพื้นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ครั้งแรกในไทย! กับเดโม่ "ยานยนต์ขับขี่อัตโนมัต" จากการผนึกกำลังของ สวทช. และ วศ.อว. ในการติดตั้งเทคโนโลยีควบคุมการขับเคลื่อน ผสานกับแอปพลิเคชั่นเรียกใช้บริการยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางซึ่งพัฒนาโดยสิริ เวนเจอร์ส กางโรดแมปเข้มข้ม 8 เดือน มุ่งพัฒนา-ทดลอง-ประมวลการใช้งานยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติในสภาวะควบคุมบนพื้นที่ SIRI VENTURES Private Prop Tech Sandbox ที่ T77 Community โดย สวทช. และ วศ. ตั้งเป้าส่งต่อนวัตกรรมยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติต้นแบบ สู่การขยายผลในภาคเอกชนในไตรมาส 2 นี้ ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในเขตนวัตกรรมระเบี่ยงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ ขณะที่แสนสิริและสิริ เวนเจอร์ส วางแผนต่อยอดผลการทดสอบที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจพฤติกรรมของลูกบ้าน สู่แนวทางการให้บริการยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริในอนาคต อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13040-20200220-t77-community
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ ไวรัส SARS-CoV-2 โดยใช้เทคนิคแลมป์ รู้ผลภายใน 1 ชั่วโมง
  ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 โดยใช้เทคนิคแลมป์ รู้ผลภายใน 1 ชั่วโมง 22 เมษายน 2563 - ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา โดยใช้เทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีแบบง่ายในขั้นตอนเดียว (colorimetric LAMP-XO) ให้ผลการทดสอบภายใน 1 ชั่วโมง เทคนิคแลมป์ หรือ Loop-mediated isothermal amplification (LAMP) คือ เทคนิคที่สามารถเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมทั้ง DNA และ RNA ที่อุณหภูมิในช่วง 60-65 องศาเซลเซียส สามารถเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมได้ถึง 1000 ล้าน (10 ยกกำลัง 9) เท่า ภายในเวลา 1 ชั่วโมง เทคนิคแลมป์เป็นเทคนิคตรวจหาสารพันธุกรรมของตัวเชื้อ เช่นเดียวกับเทคนิค PCR และ Realtime-PCR โดย LAMP มีความไวในการตรวจวัด (sensitivity) สูงกว่า PCR และอาจเทียบเท่า Realtime-PCR และเนื่องจาก LAMP มีความจำเพาะ (specificity) กับตัวเชื้อสูง มีขั้นตอนการตรวจไม่ยุ่งยาก ใช้งานง่าย และใช้เครื่องมือราคาไม่แพง เทคนิค LAMP จึงถูกนำมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ในการตรวจหาเชื้อในผู้ป่วย หรือผู้ที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียอย่างต่อเนื่อง อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nstda.or.th/th/news/13148-sars-cov-2-lamp
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – Face Shield From FabLab “หน้ากากบังใบหน้า” ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
  Face Shield From FabLab  “หน้ากากบังใบหน้า" ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง ใบหูเทียม หัวใจเทียมจากเนื้อเยื่อมนุษย์ คือผลงานความสำเร็จอันน่าทึ่งจากเทคโนโลยี “การพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D printing" นวัตกรรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ของโลก ที่หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าจะสามารถสร้างขึ้นได้จริงในห้องปฏิบัติการ แต่ในขณะเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการนำมาใช้ผลิต 'หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield' เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันนักรบเสื้อกาวน์ให้ปลอดภัยจากไวรัสมรณะ FabLab สร้าง Face Shield อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยหยุดยั้ง ป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 นอกจากหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยแล้ว หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันการฟุ้งกระจายของสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทั้งส่วนกลางที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และเครือข่าย FabLab ภูมิภาค รวมถึงเครือข่ายนักประดิษฐ์หรือ Maker ได้ร่วมกันใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ในโครงการ FabLab เร่งผลิต Face Shield ที่มีความแข็งแรง ทนทานและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นอุปกรณ์ป้องกันตนเองสำหรับุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เมื่อปี 2561 คณะรัฐมนตรี ได้สนับสนุนงบประมาณให้ สวทช. ดำเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรมเพื่อพัฒนาทักษะความเป็น   นวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab ทางโครงการฯ ได้ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ 'โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (FabLab)' ในสถานศึกษาทั้งโรงเรียนที่มีการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและวิทยาลัยเทคนิค รวมจำนวน 150 แห่ง กระจายใน 68 จังหวัดในประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงานจากเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เช่น เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เครื่องตัดเลเซอร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม “ในยามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง ทาง FabLab บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษา และมหาวิทยาลัย พี่เลี้ยง 17 แห่ง ได้รวมพลังใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ที่มีในโครงการฯ มาสร้างสรรค์อุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Face shield จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ, กล่องป้องกันฟุ้งกระจาย (Aerosol), ต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ, ส่วนประกอบเคาน์เตอร์คัดกรองผู้ป่วย เป็นต้น เพื่อส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลต่างๆ ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อตรวจคัดกรองและรักษาผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อก่อโรค COVID-19 3D printing พิมพ์ Face Shield การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างโมเดลเสมือนจริงหรือการขึ้นรูปชิ้นงานซึ่งทำได้ด้วยวัสดุหลากหลายแบบ ทั้งพลาสติก ยาง โลหะ ไนลอน อัลลอย จุดเด่นของเทคโนโลยีนั้นอกจากสร้างสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้แล้ว การสร้างชิ้นงานยังมีความยืดหยุ่น และมีความจำเพาะเจาะจงต่อผู้ใช้ได้ ซึ่งนั่นทำให้การพัฒนา Face Shield มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์     ผู้ใช้งานอย่างมากด้วย ปริญญา ผ่องสุภา วิศวกรประจำโครงการ FabLab ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. กล่าวว่า อุปกรณ์ Face shield ที่ผลิตขึ้นเพื่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้ ทีมวิศวกรได้ต่อยอดแบบการขึ้นรูป Face shield จากเมกเกอร์ Prusa Protective Face Shield Model : RC2 ที่ส่งแบบมาพิมพ์ต้นแบบด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ FabLab โดยมีการปรับแก้ไขแบบและพัฒนาต่อยอด เพื่อให้ได้รูปแบบที่ใช้งานได้สะดวกและรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่เป็นระยะเวลานาน “ในการพัฒนาได้มีการเขียนแบบและพัฒนาต้นแบบโมเดล 3 มิติจากนั้นนำมาแบ่งโมเดลออกเป็นชั้นๆ เพื่อทำการแปลงให้เป็น G-Code หรือภาษาสำหรับการสั่งงานเครื่องจักรให้เคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนนำไปพิมพ์ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยที่ FabLab เป็นวิธิการฉีดเส้นพลาสติกที่เรียกว่า FDM หรือ Fused Deposition Modeling เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีราคาถูกกว่าการพิมพ์ด้วยเทคนิคอื่นๆ สามารถสร้างชิ้นงานที่นำไปใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หรือชิ้นส่วนที่ใช้งานจริง เนื่องจากวัสดุมีความแข็งแรง  มีวัสดุการพิมพ์ให้เลือกใช้หลายแบบ และวัสดุพิมพ์มีราคาถูกเมื่อเทียบกับวัสดุของเครื่องประเภทอื่น เช่น เรซิน ผงไนล่อน หรือผงเหล็ก" สำหรับ Face Shield ที่ออกแบบขึ้นนั้น ปริญญา อธิบายว่า ประกอบด้วย 3 ชิ้นส่วนหลัก ได้แก่ กระบังด้านหน้า (Visor) แผ่นพลาสติกใส (Clear plastic sheet) และสายรัดศีรษะ (Elastic head band) โดยที่แผ่นพลาสติกใสและสายรัดศีรษะ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่ชิ้นส่วนกระบังด้านหน้านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ อีกทั้งยังเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมาก เพราะจะต้องสัมผัสกับผู้ใช้งานโดยตรง เป็นระยะเวลานาน  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความแข็งแรง คงทนและยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับศีรษะของผู้สวมใส่แต่ละคนได้ นอกจากนี้ยังได้คำนวณระยะห่างระหว่างแผ่นใสกับใบหน้าให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม เนื่องจากต้องคำนึงถึงผู้ที่สวมแว่นตาหรือแพทย์พยาบาลที่ต้องสวมแว่นตาทางการแพทย์ซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งด้วย รวมทั้งยังพัฒนา Face Shield ให้สามารถถอดเปลี่ยนแผ่นพลาสติกใส เมื่อต้องการที่ความสะอาดหรือเปลี่ยนชิ้นใหม่ได้ โดยขณะนี้ FabLab ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สามารถผลิต Face shield ได้วันละ 50 ชิ้น "Face Shield ที่ผลิตออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทุกชิ้นจะมีการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Control) ทั้งการลบคม การปรับแต่งอุปกรณ์ให้สวมใส่สบาย ปรับแต่งแผ่นใสให้มีความมน ไม่แหลมคม ซึ่งจะเป็นอันตรายในการสวมใส่" Face Shield เพื่อนักรบเสื้อกาวน์ ตลอดระยะเวลาการระบาดของโรคโควิด-19 โครงการฯ FabLab ได้ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ผลิต Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาและคัดกรองผู้ป่วย COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ กล่าวว่า โครงการฯ FabLab ได้ส่ง Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้วจำนวน 9 โรงพยาบาล จำนวนรวม 599 ชุด เช่น รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รพ.ปทุมธานี รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน รพ.ราชวิถี รพ.พระมงกุฎเกล้า รพ.เสรีรักษ์ รพ.สามโคก (ปทุมธานี) แผนกการแพทย์ กองบริการ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน และโครงการฯ ยังเตรียมการผลิตต่อเนื่องเพิ่มอีก 680 ชุด เพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานีตามที่ทีมแพทย์และพยาบาลแจ้งความประสงค์เข้ามา นอกจากนี้ยังได้มีการอัพโหลดไฟล์ Face Shield ต้นแบบโมเดล 3 มิติ ไว้ในระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ thingiverse (www.thingiverse.com/thing:4260273)  เพื่อนำมาเป็นแบบสำหรับแจกจ่ายให้กับเครือข่าย FabLab และหน่วยงานที่สนใจร่วมกันนำไปผลิตหรือพัฒนาต่อยอดวิธีการผลิตขึ้นรูป เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ โดยตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึงปัจจุบันมียอดผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 300 ครั้ง “นอกจากนี้เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ยังได้ดำเนินการผลิตและจัดทำอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ FabLab วิทยาลัยเทคนิคปัตตานีผลิตและจัดทำกล่องป้องกันฟุ้งกระจาย จำนวน 70 กล่อง,  Face shield จำนวน 200 ชิ้น ส่งมอบให้โรงพยาบาลในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ หน่วยกู้ชีพกู้ภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และมอบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคปัตตานี เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งจัดทำต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ ส่งมอบให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจำนวน 5 เครื่อง เป็นต้น” ล่าสุด บริษัท XYZprinting Thailand ได้สนับสนุนโครงการ FabLab มอบเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพิ่มเติมให้กับบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรจำนวน 5 เครื่อง และมอบให้กับโรงเรียน วิทยาลัยเทคนิค และมหาวิทยาลัยในเครือข่ายอีก 15 เครื่อง เพื่อใช้ผลิตอุปกรณ์ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัส COVID-19 ปนัดดา มักสัมพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา เครือข่ายโครงการ FabLab กล่าวว่า FabLab เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์มีความเป็น 'นักนวัตกร' ซึ่งโรงเรียนมีการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จะมารวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโครงการฯ 'ชุมนุมนักนวัตกรรม' เพื่อให้นักเรียนครูและวิศวกรผู้ช่วยได้นำไอเดียมาร่วมกันสร้างสรรค์ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ผ่านเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เป็นชิ้นงานนวัตกรรมเพื่อใช้ในเชิงสาธารณประโยชน์ “โดยในสถานการณ์การระบาด COVID-19 ครั้งนี้ แม้ทุกคนต้องรักษาระยะห่างทางสังคม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคปิดกั้นความคิดของเหล่านวัตกรที่ได้อาสามาระดมสมองผ่านการประชุมออนไลน์   เพื่อคัดเลือกไอเดียที่ดีที่สุดมาออกแบบเป็นโมเดล และส่งต่อให้วิศวกรผู้ช่วยดำเนินการพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติออกมาเป็นชิ้นงาน นักเรียนบางคนที่อยู่ใกล้โรงเรียนก็มากับผู้ปกครองเพื่อรับอุปกรณ์ไปทำที่บ้าน ขณะที่ครูและลูกจ้างช่วยกันประกอบชิ้นงานและนำไปส่งมอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งนักเรียนทุกและบุคลากรทุกคนต่างก็ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมทุกภาคส่วนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน" เช่นเดียวกับ ปริญญา ที่ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มีโอกาสร่วมพัฒนา Face shield ครั้งนี้ว่า การที่พวกเราได้มีโอกาสนำความรู้ความสามารถใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาประดิษฐ์ Face shield และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ก็รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ ยิ่งเมื่อได้ยินคุณหมอและพยาบาลแจ้งว่า Face shield ใช้งานได้ดี สวมใส่สบาย ไม่เกิดการระคายเคืองกับผิวเมื่อต้องสวมใส่เป็นเวลานาน ลดการเกิดฝ้าบริเวณแผ่นพลาสติกได้ดี ทำให้ยิ่งรู้สึกดีใจมากที่พวกเราซึ่งแม้จะเป็นส่วนเล็กๆ แต่ก็ยังพอมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ในยามที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด นับเป็นโอกาสที่เหล่า 'นวัตกร' จะได้ใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีในการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมเพื่อร่วมฝ่าฟัน พิชิตไวรัส COVID-19
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.2 – ปฏิทินกิจกรรม-1
สวทช. ขอเชิญร่วมบริจาคเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อจัดทำโครงการ “การขยายผลการใช้ประโยชน์หน้ากากอนามัย Safie Plus เพื่อบุคลากรทางการแพทย์" หน้ากากอนามัย Safie Plus ผลงานวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เทคโนโลยี -แผ่นชั้นกรองที่เคลือบคอมพอสิทของไฮดรอกซี่อาปาไทต(HA) และไททาเนียมไซด์ (Ti) สามารถป้องกันฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็ก เช่น PM2.5 และป้องกันสารพิษ เช่น คาร์บอนมอนออกไซด์ สามารถฆ่าเชื้อโรค ย่อยสลายสารหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ (ไวรัสแบคทีเรีย) เมื่ออยู่ภายใต้แสง UV มาตรฐานการรับรอง -ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรอง PM2.5 ระดับ 99% โดย TUV SUD สิงค์โปร์ -ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส H1N1 (Influenza A Virus) โดย ม.มหิดล -ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรองไวรัส (Viral filtration efficiency: VFE) ระดับ 99% โดย Nelson Laboratory สหรัฐอเมริกา ร่วมบริจาคเงินผ่านบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุทยานวิทยาศาสตร์ ชื่อบัญชี "เงินบริจาคกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 080-0-13324-1 หรือเช็คสั่งจ่าย "เงินบริจาคกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ตั้งแต่วันนี้ - 29 พฤษภาคม 2563 กรุณาส่งหลักฐานการบริจาคเพื่อขอรับใบเสร็จรับเงินฉบับจริงทาง email: sararee.cha@nstda.or.th ใบเสร็จรับเงินสามารถลดหย่อนภาษีได้ ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.nstda.or.th/th/13146-covid19-donation-for-medical-mask-safie-plus สอบถามติดต่อ: คุณสรารี ชาญอุไร โทร. 02 564 7000 ต่อ 71818, 086 789 8223 email: sararee.cha@nstda.or.th ITAP สวทช. เปิดโครงการ Fast Track ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในสถานการณ์ Covid-19 หนุน  ผู้ประกอบการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) เปิด “โครงการสนับสนุนการทดสอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในสถานการณ์ COVID-19 (Fast Track: Medicine and Medical Device Fight COVID-19)" เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพได้มีโอกาสในการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาใสมบูรณ์โดยเร็ว โดยครอบคลุมก“รสนับสนุนในส่วนการทดสอบซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในผลงานวิจัยว่าสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาให้กับประเทศได้ทันสถานการณ์ ปลอดภัยในการใช้งานและมีประสิทธิภาพ และเป็นฐานรากของงานวิจัยด้านการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระยะยาวต่อไป โดย ไอแทป สวทช. จะสนับสนุนงบประมาณสูงสุดถึง 70% แต่ไม่เกิน 400,000 บาทต่อโครงการ https://www.nstda.or.th/th/news/13152 โครงการยกระดับทักษะวิชาชีพบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยการสนับสนุนของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)   ขอเชิญชวนบุคลากรไอทีใน 8 สาขาอาชีพ ประกอบด้วย 1) IT Programmer 2) Network Engineer 3) IOT Maker 4) Data Scientist 5) Computer Engineer 6) Engineer/IT Technician 7) Web Design/Developer และ 8) Cyber Security Analyst ใช้เวลาในช่วงนี้กับหลักสูตรออนไลน์การอบรมเชิงปฏิบัติการสดผ่านโปรแกรมประชุมออนไลน์ (Zoom/ Microsoft Teams/ Google Classroom), การฝึกภาคปฏิบัติ โดยการ Remote เข้ามาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของสถาบันฯ ตลอดจนการทบทวนบทเรียนด้วย VDO Clip หลังจบบทเรียน ฯลฯ  https://www.nstdaacademy.com/webnsa/index.php/in-house-training/depa-eec2020-1
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.1 – สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FabLab รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ
  สวทช. เยี่ยมชมผลงานนักเรียน FabLab รร.เบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 ฉะเชิงเทรา หนุนความรู้สะเต็มศึกษา ช่วยสร้างนวัตกรให้ประเทศ   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดำเนิน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ด้วยการส่งเสริมให้มีพื้นที่เรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงงานสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 จ.ฉะเชิงเทรา นำโดย ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และคณะ เพื่อให้เห็นถึงทักษะความเป็นนวัตกรของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งมี 4 ผลงานโดดเด่นที่เดินสายกวาดรางวัลระดับประเทศมาแล้วภายใต้โครงการ FabLab ร่วมจัดแสดง ได้แก่ เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำด้วยแสง เครื่องตรวจจับควันบุหรี่อัจฉริยะ เครื่องช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยติดเตียง และรถตัดหญ้าไฮเทค โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียน ครูผู้ดูแลห้องปฏิบัติการ FabLab ครูพี่เลี้ยงจากมหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงตัวแทนนักเรียนที่ได้รับรางวัลนำเสนอโครงงานสิ่งประดิษฐ์   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.nstda.or.th/th/news/13058-202000215-fablab
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย