ผลการค้นหา :
10 Technologies to Watch 2020 -10 เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ-ชีวิตวิถีใหม่ เทรนด์เทคโนโลยีอีก 3-5 ปี
(2 ธันวาคม 2563) ณ ห้องออดิทอเรียม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานTHAILAND TECH SHOW 2020 ภายใต้แนวคิด“วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง https://www.nstda.or.th./thailandtechshow เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก
สำหรับไฮไลต์ของงานที่มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก คือ การบรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10Technologies to Watch) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้เปิดเผยถึง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับมอง ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อธุรกิจและชีวิตหลังยุคโควิดอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สำหรับการบรรยายเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามอง ในปีนี้ 10 เทคโนโลยี ที่สวทช. เลือกมาเป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบได้อย่างชัดเจนใน 3-5 ปีข้างหน้า แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตและธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้
ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation
PDF File (22 MB)
รับฟัง VDO บรรยาย โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.
โดยเริ่มจากเทคโนโลยีใกล้ตัวและเข้ากับสถานการณ์ที่สุด
1. วัคซีนโควิด 19 (COVID-19 Vaccine)
ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด19 หลายประเทศมีการจัดการกับการระบาดของโรค เพื่อให้อยู่กับสถานการณ์โควิดแบบในปัจจุบันได้ โดยหลักๆ จะใช้ 3 วิธี คือ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) การพัฒนายารักษาโรคโควิด 19 และการพัฒนาวัคซีน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ที่ถือเป็นงานเร่งด่วน โดยใช้เทคโนโลยีวัคซีน 4 รูปแบบ
แบบที่หนึ่ง คือ virus vaccine เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้ในการพัฒนาวัคซีนทั่วไป ที่ใช้ตัวไวรัสทั้งตัวมาเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีทั้งวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนฤทธิ์และวัคซีนเชื้อตาย
แบบที่สอง protein-based vaccine หรือ subunit vaccine โดยเอายีนของเชื้อ SARS-CoV-2 ไปใส่ในแบคทีเรียหรือยีสต์ แล้วให้แบคทีเรียหรือยีสต์สร้างโปรตีนขึ้นมา โดยก่อนจะนำไปฉีดเข้าร่างกาย จะต้องเติม adjuvant ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเข้าไปด้วย
แบบที่สาม nucleic acid vaccine เป็นการต่อยอดใช้สารพันธุกรรมของแบคทีเรียหรือยีสต์ที่มีการเติมยีนของเชื้อ SARS-CoV-2 มาใช้ประโยชน์ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ DNA vaccine และ mRNA vaccine ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้จำเป็นที่จะต้องพัฒนาตัวนำส่ง เพื่อใช้กลไกของร่างกายเปลี่ยน DNA หรือ mRNA ให้เป็นโปรตีนที่ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อก่อโรค
และแบบที่สี่ viral vector vaccine เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ไวรัสวัคซีนที่มีอยู่แล้วมาเป็นตัวนำส่ง โดยออกแบบให้วัคซีนเหล่านี้สามารถนำยีนของเชื้อ SARS-CoV-2 เข้าสู่ร่างกาย ตัวอย่างเช่น การสร้างวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มียีนของ SARS-CoV-2 ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ทั้งโรคโควิด 19 และโรคไข้หวัดใหญ่ หรือใช้ adenovirus vaccine
สำหรับ สวทช. ได้มีการพัฒนาต้นแบบวัคซีน 3 รูปแบบ ยกเว้นรูปแบบ virus vaccine ที่ต้องใช้เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 เนื่องจากยังไม่มีห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยระดับ 3 อย่างไรก็ตามหากดูความก้าวหน้าในระดับโลก ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่ผ่านการรับรองที่พร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ แต่ก็มีหน่วยงานที่มีความก้าวหน้าในขั้นทดลองเฟส 3 เช่น บริษัท Pfizer และ BioNTech ของสหรัฐอเมริกา เป็น mRNA vaccine ซึ่งประกาศความสำเร็จในการวิจัยเชิงคลินิกระยะที่ 3 (ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563) และได้ยื่นขอ emergency use authorization (EUA) จาก U.S. Food and Drug Administration (FDA) แล้ว มีคู่แข่งในแพลตฟอร์มเดียวกันคือ Moderna ของสหรัฐอเมริกา
2. ยาแก้ไขความชรา (Rejuvenating Drug)
ยาแก้ไขความชราถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งความหวังของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นอกจากจะช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาวแล้ว ที่สำคัญคือจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตในช่วงวัยชราได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข ขณะนี้ประเทศไทยก็มียาอายุวัฒนะ REDGEMs หรือมณีแดง เพื่อแก้ไขความชรา ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของ ศ. ดร. นพ.อภิวัฒน์ มุทิรางกูร จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักวิจัยแกนนำ สวทช. ที่พบว่า ความชราของดีเอ็นเอเป็นสภาวะเหนือพันธุกรรม เกิดจากการลดลงของข้อต่อดีเอ็นเอซึ่งทำให้รอยโรคของดีเอ็นเอเพิ่มขึ้น จึงพัฒนา “ยา มณีแดง” ที่จะช่วยเพิ่มข้อต่อดีเอ็นเอในเซลล์ ทำให้รอยโรคของดีเอ็นเอลดลง เซลล์กลับมามีรูปร่างและทำงานได้เหมือนเซลล์ปกติ และได้มีการทดสอบใช้มณีแดงในเซลล์และในหนูทดลองแล้ว พบว่าสามารถสร้างข้อต่อดีเอ็นเอได้ เซลล์ที่ชราแล้วกลับมามีรูปร่างและการทำงานเหมือนเซลล์ปกติ แผลไฟไหม้ในหนูทดลองหายเร็วขึ้น ไขมันลงพุงลดลง หนูชรามีความจำดีขึ้นและคล่องแคล่วว่องไวพอๆ กับหนูหนุ่มสาว ถ้ามณีแดงผลิตได้จริงในเชิงพาณิชย์ ก็จะนำไปใช้เพื่อการรักษาโรคทางผิวหนัง เช่น แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลคนชรา และโรคอื่นๆ เช่น กระดูกผุ ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ รวมถึงร่างกายเสื่อมโทรมจากเบาหวานหรือความชรา สมองเสื่อม
3. อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งสุขภาพ (Internet of Health Things, IoHT)
ปัจจุบันเริ่มมีการนำ Internet of Things หรือ IoT มาใช้งานในด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเทคโนโลยี 5G ที่จะเกิดขึ้นนั้น สามารถรองรับการทำงานของอุปกรณ์ IoT จำนวนมากๆ ได้พร้อมๆ กัน (massive IoT) ทำให้การติดตามสุขภาพผู้ป่วยผ่านอุปกรณ์สวมใส่ (mobile medical devices) ต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย
การทำงานของระบบ IoT ทางด้านสุขภาพ หรือ Internet of Health Things, IoHT ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือ เซนเซอร์ ที่อยู่ในอุปกรณ์สวมใส่หรือเครื่องมือแพทย์ต่างๆ เพื่อใช้วัดสัญญาณชีพของผู้ป่วย เช่น ความดันโลหิต อุณหภูมิ อัตราการเต้นหัวใจ สัญญาณคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายไปเก็บยังส่วนที่สอง คือ ฐานข้อมูลสุขภาพ ที่เก็บข้อมูลสุขภาพของแต่ละบุคคล และส่วนสุดท้าย คือ ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล สำหรับแพทย์ตรวจติดตามและวินิจฉัย รวมทั้งแสดงผลกลับไปยังตัวผู้ป่วย
ปัจจุบันบริษัท Startup ในต่างประเทศหลายแห่งออกผลิตภัณฑ์ IoHT ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุบ้างแล้ว เช่น ตรวจติดตามโรคหัวใจ ตรวจติดตามโรคเบาหวาน ที่ใช้ตรวจติดตามในช่วงการกักตัวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 สำหรับประเทศไทยก็มีหลายหน่วยงานวิจัยพัฒนาในเรื่องนี้ เช่น ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ A-MED สวทช. ที่นำ IoHT มาประยุกต์ใช้ในการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ โดยพัฒนาเป็นอุปกรณ์เซนเซอร์สำหรับสวมใส่หรือติดไว้บนร่างกาย เซนเซอร์จะส่งสัญญาณไปแจ้งเตือนผู้ดูแล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เซนเซอร์มีขนาดเล็กลง ทนทานต่อการใช้งาน และมี data analytics ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น
4. ชิปสายพันธุ์ใหม่ (Neuromorphic Chip) นิวโรมอร์ฟิกชิปหรือชิปสายพันธุ์ใหม่
เป็นความพยายามในการพัฒนาชิปคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลได้รวดเร็วเหมือนกับสมองของมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งมีความซับซ้อนหลายมิติได้พร้อมกัน โดย นิวโรมอร์ฟิกชิป นี้เลียนแบบการทำงานของสมองและเส้นประสาทของมนุษย์ โดยใช้อุปกรณ์ที่ทำงานคล้ายกับเซลล์ประสาทในสมอง และพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า ไซแนปส์ (synapse) หรือจุดประสานประสาท ซึ่งเป็นโครงสร้างพิเศษที่ทำหน้าที่เสมือนลำเลียงข้อมูลจากเซลล์ประสาทหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งได้ หรือจากหน่วยประมวลผลหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่งได้ เพื่อประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลหลายอย่างได้พร้อมกันเหมือนกับที่สมองของมนุษย์ทำได้ รองรับการทำงานขั้นสูงที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ด้วยความรวดเร็วกว่า และใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน
คาดว่าใน 10 ปีข้างหน้า นิวโรมอร์ฟิกชิปจะเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ ให้เก่งและสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้หลายด้านมากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ ที่นำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคจากรูปภาพทางการแพทย์ได้รวดเร็วมากกว่าและแม่นยำยิ่งขึ้น
5. การสื่อสารด้วยภาพ (Vision Communication)
เมื่อคอมพิวเตอร์มีสมองหรือชิปที่มาจากการเลียนแบบการทำงานของสมองของมนุษย์ ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์มากขึ้น Vision Communication หรือ “การสื่อสารด้วยภาพ” เป็นรูปแบบการสื่อสารยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นจากวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ในการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดเองได้ หรือที่เรียกว่ามีปัญญานั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการกระทำคล้ายมนุษย์ (acting humanly) คือ สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ มีจังหวะการพูด กะพริบตา ส่ายหน้า หรือแสดงอารมณ์และความรู้สึกออกมาทางใบหน้า เช่น คิ้ว ตา สายตา และมุมปาก ส่วนอีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีการคิดแบบมีเหตุผล (thinking rationally) สามารถวิเคราะห์อารมณ์ได้จากใบหน้า แยกแยะและจดจำใบหน้าได้ สามารถแยกเสียงพูด วิเคราะห์ความหมาย อารมณ์ ความต้องการของเสียง เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ ระบบค้นหาข้อมูล
ปัจจุบันเริ่มมีการนำเทคโนโลยี Vision Communication ไปใช้งานด้านการสร้างภาพยนตร์ และอีกตัวอย่างที่เริ่มมีให้เห็นบ่อยและใกล้ตัวเรามากขึ้นคือการนำไปใช้งานด้านการสื่อสาร เช่น ในจีนมีการสร้างตัว avatar ของผู้ประกาศข่าวหรือผู้ประกาศข่าวเสมือนอ่านข่าวแทนผู้ประกาศข่าวตัวจริง และล่าสุดเกาหลีใต้เพิ่งเปิดตัวผู้ประกาศข่าวเสมือนที่พูดโต้ตอบกับผู้ประกาศข่าวตัวจริงได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความรวดเร็วในการรายงานข่าว หรือแม้กระทั่งในโรงพยาบาลที่มีแนวโน้มว่าจะนำเทคโนโลยีนี้ ไปใช้ในการคัดกรองคนไข้และวินิจฉัยโรคในเบื้องต้นก่อนพบแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงระหว่างคนไข้กับบุคลากรทางการแพทย์ในยุคโควิด 19 หรือในสถานการณ์ที่มีโรคระบาดอื่นๆ
6. ขวดพลาสติกจากพืช (PEF)
ประเทศไทยมีขยะพลาสติกเกิดขึ้นปีละประมาณ 2 ล้านตัน ในจำนวนนี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้เพียง 0.5 ล้านตัน อีก 1.5 ล้านตัน ต้องกำจัดด้วยการเผาหรือฝังกลบ โดย 0.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นขยะประเภทขวดพลาสติก และอีก 1.2 ล้านตัน เป็นประเภทถุงพลาสติกและซองบรรจุภัณฑ์ต่างๆ แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง แต่ต่อไปจะมีวัสดุที่เรียกว่า PEF (Polyethylene Furanoate) ผลิตจากวัสดุชีวภาพหรือ bio-based 100% ซึ่งสามารถลด carbon footprint ได้กว่า 50% เมื่อเทียบกับการผลิตขวด PET จากปิโตรเคมี ทำให้คาดว่า PEF จะมาแทนที่พลาสติก PET ในอนาคต
“คุณสมบัติเด่นของ PEF ที่เหนือกว่า PET คือเป็นผลิตจากวัตถุดิบชีวภาพ 100% มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรง มีความเสถียรทางความร้อนสูง สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ในระบบเดียวกับ PET อีกด้วย และยังมีสมบัติกันน้ำและก๊าซผ่านเข้าออกได้ดีกว่า PET ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงคาดว่า PEF จะเป็นพอลิเมอร์รุ่นต่อไปที่มีศักยภาพในการแทนที่ PET”
นอกจากนี้ สวทช. โดยนาโนเทค กำลังเริ่มศึกษาเกี่ยวกับ PEF โดยมีความร่วมมือกับ Prof. Xiaoqing Liu นักวิจัยจาก Ningbo Institute of Materials Technology and Engineering ประเทศจีน ในการนำ PEF มาพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่จะนำมาสู่ต้นแบบกระบวนการผลิต PEF และผลิตภัณฑ์จาก PEF สำหรับถ่ายทอดสู่อุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้พลาสติกจากพอลิเมอร์ชีวภาพแทนพลาสติกจากปิโตรเลียม ซึ่งจะช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกและลดภาวะโลกร้อน และยังใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
7. การออกแบบโครงสร้างวัสดุชนิดเดียว (Monomaterial Structure Design)
ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่พร้อมนำกลับไปใช้ประโยชน์หรือรีไซเคิล ต้องมีการออกแบบให้คัดแยกง่าย แต่ปัญหาคือบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นพลาสติกแบบ multilayer materials เป็นวัสดุหลายชนิดเรียงซ้อนกัน เพื่อให้มีสมบัติการใช้งานที่ดี แต่ข้อเสียคือ คัดแยกยาก (sorting) และยังแยกชั้นฟิล์มออกจากกันยาก (delamination) ทำให้นำไปรีไซเคิลได้น้อยมาก ตัวอย่างพลาสติกประเภทนี้คือ ซองขนมขบเคี้ยว ซองบรรจุภัณฑ์
เทคโนโลยี Monomaterial Structure Design ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือทำให้ได้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ดีกว่าหรือเทียบเท่ากับ multilayer materials แต่ที่เหนือกว่าคือ การเป็นวัสดุชนิดเดียวกัน ทำให้สามารถคัดแยกง่าย ไม่ต้องมีขั้นตอนการแยกชั้นฟิล์มออกจากกัน นำมารีไซเคิลได้ทั้งหมดโดยไม่มีของเสียเหลืออยู่ จึงไม่ไปเพิ่มขยะสู่สิ่งแวดล้อม สวทช. มีทีมนักวิจัยจากเอ็มเทค ที่เตรียมความพร้อมเชิงเทคโนโลยีทั้งเรื่องของ monomaterials และ monomaterial structure design เพื่อทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก
8. วัสดุนาโนคาร์บอนจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 to Nanocarbon)
ในปี 2562 ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศได้เพิ่มสูงกว่า 400 ppm ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน (global warming) ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จึงเกิดแนวคิดที่จะนำ CO2 ที่อยู่ในบรรยากาศมาเปลี่ยนรูปให้เป็นวัสดุอื่นที่มีประโยชน์ เพื่อลดปริมาณ CO2และลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
ปัจจุบันเราสามารถเปลี่ยน CO2ให้เป็นวัสดุได้หลายชนิด โดยเปลี่ยนวิธีใหม่ เอา O2 ออก ให้เหลือคาร์บอน (C) เพียงอย่างเดียว แล้วทำให้เป็นคาร์บอนที่มีมูลค่าสูง เช่น วัสดุนาโนคาร์บอน ที่สำคัญได้แก่ ท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotubes) และกราฟีน (graphene) ที่มีโครงสร้างระดับนาโนแบบ 1 และ 2 มิติ ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแง่วัสดุคาร์บอนที่มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับวัสดุอื่น เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นเป็นพิเศษทั้งทางกายภาพ ไฟฟ้า และเคมี ทำให้เหมาะที่จะนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานในหลาย ๆ ด้าน เช่น อิเล็กทรอนิกส์ระดับนาโน เซนเซอร์ วัสดุสำหรับยานยนต์และอากาศยาน แบตเตอรี่ขนาดเล็ก
ในประเทศไทย โดย สวทช. มีศูนย์วิจัยด้านการสังเคราะห์กราฟีนและการผลิตกราฟีนและวัสดุนาโนคาร์บอนจาก CO2 เทคโนโลยีการแปลงก๊าซ CO2ไปเป็นกราฟีนและท่อนาโนคาร์บอนนี้สามารถนำไปใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซ CO2 ที่ปลดปล่อยออกมาจากกระบวนการผลิต สามารถตอบสนองต่อแนวทางการใช้วัสดุซ้ำหรือเหลือทิ้งให้เป็นประโยชน์ เกิดเป็นธุรกิจใหม่ที่จะสร้างวัสดุที่มีมูลค่าสูง และขณะเดียวกันก็ช่วยลดมลพิษในสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)
9. แบตเตอรี่ปลอดภัยไร้ลิเทียม (Non-Lithium Ion Batteries)
เมื่อไม่นานมานี้กองทัพบกสหรัฐอเมริกาและหน่วยงานในสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการวิจัยแบตเตอรี่ซิงก์ไอออนชนิดใช้น้ำเกลือเป็นอิเล็กโทรไลต์ มีจุดเด่นคือสามารถเก็บพลังงานได้สูง โดยมีความหนาแน่นพลังงานสูงเทียบเท่ากับแบตเตอรี่แบบลิเทียมไอออนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่มีต้นทุนถูกกว่าเกือบ 3 เท่า
แบตเตอรี่ซิงก์ไอออนมีข้อดีหลายด้าน ทั้งด้านราคาที่ถูกกว่า เนื่องจากแหล่งแร่สังกะสีที่ใช้เป็นวัตถุดิบมีมากกว่า ซึ่งในประเทศไทยก็มีแหล่งแร่สังกะสีอยู่ในหลายพื้นที่ ขณะที่ลิเทียมมีจำกัดแค่ในบางประเทศ และไทยต้องนำเข้ามาเท่านั้น เนื่องจากลิเทียมมีความไวต่อสภาพแวดล้อม จึงต้องประกอบในห้องคลีนรูม ทำให้มีต้นทุนในการจัดการโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมสูงกว่า นอกจากนั้นแล้วข้อสำคัญในด้านความปลอดภัยนั้นสังกะสีเป็นธาตุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศและติดไฟเหมือนลิเทียม จึงไม่ระเบิด สามารถขนส่งทางอากาศได้ เหมาะสำหรับประยุกต์ใช้กับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูงตอบโจทย์ด้านความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถรีไซเคิลได้
สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) มีงานวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่ซิงก์ไอออนด้วยวัสดุกราฟีน จนมีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับแบตเตอรี่ลิเทียมบางชนิด (Lithium iron phosphate : LFP) แต่มีความปลอดภัยสูง ไม่ระเบิดแม้ถูกเจาะ นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม จัดตั้งและดำเนินการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่ล้ำสมัยที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศเพื่อความมั่นคง เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและเป็นศูนย์กลางในเครือข่ายงานวิจัยนวัตกรรมแบตเตอรี่ที่ผลิตจากวัตถุดิบภายในประเทศ
10. กรีนไฮโดรเจน (Green Hydrogen)
หลายประเทศกำลังมุ่งพัฒนา green hydrogen ซึ่งสะอาดมาตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งพลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์ ลม และใช้กระบวนการอิเล็กโทรไลซิส ซึ่งไม่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
กระบวนการอิเล็กโทรไลซิสคือการแยกน้ำด้วยไฟฟ้าโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า electrolyser ซึ่งจะได้ก๊าซไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกมา เราสามารถเก็บไฮโดรเจนไว้ได้เหมือนกับการกักเก็บอิเล็กตรอนในแบตเตอรี่ แต่มีข้อดีกว่าคือ มีต้นทุนต่ำกว่า เก็บพลังงานได้มากและนานกว่า เมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าก็สามารถนำไฮโดรเจนป้อนเข้าไปในเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าได้
ตัวอย่างของการใช้ประโยชน์กรีนไฮโดรเจน เช่น การนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าผ่านเซลล์เชื้อเพลิงเพื่อใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น Toyota Mirai) หรือเป็นเซลล์เชื้อเพลิงที่ติดไว้กับบ้านเรือน หรือป้อนเข้าโรงไฟฟ้าโดยการนำไปใช้ผลิตไฟฟ้าผ่านกังหันก๊าซร่วมกับการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ซึ่งตอนนี้ก็มีโครงการนำร่องผ่านความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับบรูไน โดยผลิตไฮโดรเจนที่บรูไนแล้วขนส่งทางเรือไปญี่ปุ่นเพื่อผลิตไฟฟ้า
ทั้งหมดนี้คือ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ในช่วงวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของโลก ซึ่งต้องติดตามว่า เทคโนโลยีใดจะสามารถกอบกู้ประเทศของให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ พร้อมทั้งสร้างโอกาสแก่ธุรกิจ และชีวิตวิถีใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ได้ขนาดไหน สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาระดับประเทศ พร้อมเป็นภาคส่วนสำคัญที่จะทุ่มเททรัพยากรอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อสร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สำหรับตอบโจทย์ปัญหาสำคัญ และนำพาประเทศให้ก้าวพ้นทุกวิกฤตการณ์ไปได้
ดาวน์โหลดไฟล์ Presentation
PDF File (22 MB)
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
กระทรวง อว. สวทช. ชวนผู้ประกอบการ ช้อปงานวิจัยพร้อมลงทุน 2-4 ธ.ค. ไทยแลนด์เทคโชว์2020 พร้อมอัพเดท 10 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
For English-version news, please visit : THAILAND TECH SHOW 2020 is now open for business
(2 ธันวาคม 2563) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง www.nstda.or.th/thailandtechshow/2020 เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หนุนผู้ประกอบการ เสริมความรู้ รับเทรนด์ Plant-based Food
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ SMS Corporation Co.,Ltd. จัดกิจรรมในหัวข้อ “Healthy living with Plant-based solutions” เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี เพื่อส่งเสริม ต่อยอดให้กับบริษัทภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ร่วมถึงผู้ที่ต้องการหารายได้เพิ่ม ให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโปรตีนพิเศษ หรือ Plant-based meat เป็นช่องทางสู่การสร้างรายได้เพิ่ม พร้อมเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้ โดยมี นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นประธาน และ คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่ได้ให้เกียรติร่วมเป็นวิทยากร โดยภายในงานมีภาคเอกชน ผู้ประกอบการ startup และหน่วยงานที่เป็นสมาชิกประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เข้าร่วมกว่า 70 ราย
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ยกระดับคุณภาพ “มะม่วงไทย” สู่ผลไม้พรีเมียม เพิ่มช่องทางตลาดไฮเอนด์ ปรับกลยุทธ์ดันยอดขายสู้วิกฤตโควิด
For English-version news, please visit : ITAP-NSTDA helps orchards produce premium quality mangoes for high-end
ณ วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีน แทนการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์
ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการบ่มและลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี ได้มะม่วงที่มีคุณภาพเกรดพรีเมียมส่งขายในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด ดันยอดขายสู้วิกฤตโควิด-19 ช่วยสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้ชุมชน
นางสาวเสาวภา ยุววุฑโฒ ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ภารกิจหลักของ ITAP คือ การสร้างกลไกเชื่อมโยงและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการยกระดับ เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงวิสาหกิจชุมชน ผ่านเครือข่าย ITAP ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการ ITAP ของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรีในครั้งนี้ใช้เวลาดำเนินการ 1 ปี (พ.ศ. 2562-พ.ศ.2563) ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ ITAP ได้ทำงานตอบโจทย์แก้ไขปัญหาร่วมกันกับผู้ประกอบการ โดยประธานวิสาหกิจฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อเพิ่มคุณภาพผลไม้ไทย ซึ่งแม้ว่าจะเกิดวิกฤตโควิด-19 แต่ก็นับเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้
นายราเชนทร์ สุขหวานอารมณ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี กล่าวว่า วิสาหกิจุชมชนฯ นี้ก่อตั้ง ปี พ.ศ.2555 บนพื้นที่กว่า 58 ไร่ จำหน่ายมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์ 4 มะม่วง R2E2 และมหาชนก โดยมีผลผลิตปีละ 200 ตัน จำหน่ายทั้งตลาดในและส่งออกต่างประเทศ เช่น รัสเซียและประเทศในแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น มะม่วงของกลุ่มฯ ผ่านการปลูกด้วยมาตรฐาน ThaiGAP และคัดบรรจุผ่านมาตรฐาน GMP อย. ซึ่งการดำเนินงานของวิสาหกิจฯ จะคำนึงถึงคุณภาพของการส่งมะม่วงให้กับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญและยึดมั่นมาโดยตลอด ที่ผ่านมาจะบ่มมะม่วงด้วยถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพคนงาน และมะม่วงเน่าเสียในระหว่างการบ่ม เนื่องจากควบคุมยาก เมื่อได้ปรึกษากับ ITAP เพื่อแก้ไขปัญหาและนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ก็ได้พบทางออกด้วยการสร้างห้องบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีนขนาด 30.375 ลูกบาศก์เมตร บ่มมะม่วงได้ครั้งละ 3 ตัน ใช้เวลาบ่ม 24 ชั่วโมงต่อ 1 ครั้ง เมื่อนำออกจากห้องบ่ม บรรจุและจัดส่งให้กับลูกค้าได้เลย ข้อดีของการใช้แก๊สเอทิลีน นอกจากจะปลอดภัยต่อทั้งคนงาน ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้มะม่วงมีเนื้อสัมผัสแน่น ไม่เละ ไม่เน่าเสียง่าย เพิ่มระยะเวลาในการวางจำหน่ายได้นานขึ้น ทำให้มีกำไรมากขึ้นด้วย และในปี 2563 นี้ “มะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ 4 และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” ของวิสาหกิจฯ ได้รับคัดเลือกจากท็อปส์มาร์เก็ต ให้เป็นสินค้าเกรดคุณภาพ แบรนด์ My Choices จำหน่ายในท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ เพื่อให้คนไทยได้ทานมะม่วงที่มีคุณภาพคุ้มค่า คุ้มราคา และจากวิกฤตโควิด-19 นี้ วิสาหกิจฯ ได้ปรับกลยุทธ์ด้านราคา ทำให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงและชุมชนมีงานทำและมีรายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือให้ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
นายพีรพงษ์ แสงวนางค์กูล นักวิจัยชำนาญการ ศูนย์เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ ITAP กล่าวว่า การบ่มผลไม้ด้วยการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์เป็นวิธีที่เกษตรกรส่วนใหญ่คุ้นเคย เพราะเป็นวิธีปฏิบัติที่ง่าย แต่ส่งผลกระทบเชิงลบค่อนข้างมาก เช่น สูญเสียน้ำหนักระหว่างบ่ม ควบคุมการสุกของผลไม้ได้ยาก หากใช้ถ่านแก๊สมากเกินไป จะส่งผลให้ผลไม้สุกเร็วและเนื้อนิ่ม หรืออาจทำให้ผิวผลไม้มีลักษณะไหม้ได้ และในระหว่างบ่มจะเกิดกลิ่นของแก๊สอะเซทิลีนจากการระเหิดของถ่านก้อน มีกลิ่นฉุนติดไปกับผลไม้ และกลิ่นอาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจของผู้ปฏิบัติงาน และถ่านแก๊สยังมีโอกาสปนเปื้อนสารหนูซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้บริโภคด้วย จึงเป็นข้อจำกัดในการส่งออกสินค้าไปบางประเทศในสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ส่วนที่เหลือของถ่านแก๊สภายหลังทำปฏิกิริยาจะเป็นของเหลือทิ้งที่ยากต่อการกำจัด จากปัญหาดังกล่าว ทางวิสาหกิจฯ ได้ขอคำปรึกษากับโครงการ ITAP เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา จึงเกิดเป็นโครงการ “ระบบการควบคุมและบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีน”
การบ่มผลไม้ในห้องบ่มด้วยแก๊สเอทิลีน เป็นวิธีบ่มผลไม้ทางการค้าที่ใช้กันทั่วไปในต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ความรู้และความเข้าใจ เพื่อออกแบบห้องบ่มที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณแก๊สเอทิลีนที่เหมาะสมกับผลไม้แต่ละชนิดได้ โดยนำผลไม้ที่ต้องการบ่มใส่ในห้องบ่มที่ปิดสนิท และปล่อยแก๊สเอทิลีนให้ไหลเข้าห้องบ่ม ตามความเข้มข้นที่ต้องการในเวลาที่เหมาะสม ทำให้สามารถนำผลไม้ออกมาและปล่อยให้สุกตามธรรมชาติได้ การบ่มด้วยแก๊สเอทิลีนของวิสาหกิจฯ ส่งผลให้ลดการสูญเสียจากผลเน่า 12% เหลือ 7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 100,000 บาท ลดค่าใช้จ่ายค่าถ่านก้อนแคลเซียมคาร์ไบด์ 536,426 บาท (ต่อ 1 รอบการผลิตมะม่วง) มียอดสั่งซื้อมะม่วงเพิ่มขึ้น 193.4% (เติบโตเกือบ 2 เท่า) คิดเป็นมูลค่า 3.3 ล้านบาท
นายสมนึก ยอดดำเนิน Head of Farmer's ,Quality Line Local and sourcing บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงนโยบายและหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผลไม้เพื่อจำหน่ายในร้านท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ว่ามีหลักเกณฑ์สำคัญที่บริษัทฯ ยึดมั่น คือ มาตรฐานสินค้าขั้นสูงสุด ‘หัวใจคุณภาพ’ (QUALITY AT HEART) เป็นการตรวจสอบในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างพิถีพิถันตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของสินค้าและสามารถตรวจสอบสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ประกอบด้วย 5 หัวใจสำคัญ
ได้แก่ 1. ความปลอดภัยของอาหาร มีระบบควบคุมความปลอดภัยของอาหาร สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จากสวนจนสู่มือผู้บริโภค 2. คุณภาพของอาหาร รับประกันความสดใหม่ รสชาติอร่อย คุณภาพสูงจากแหล่งที่ดีที่สุด 3. พัฒนาเพื่อความยั่งยืน เพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกร โดยพัฒนาเกษตรกรและชุมชนภายในประเทศ ให้การสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย ใส่ใจสภาพแวดล้อมในการทำงานและค่าแรง ภายใต้จริยธรรมธุรกิจ 4. ดูแลสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำจัดขยะอย่างเป็นระบบ ใช้ระบบการขนส่งผ่านเครือข่ายรถส่งสินค้า (Backhaul) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 5. ราคาที่เหมาะสม คัดสรรผลิตผลตามฤดูกาลด้วยคุณภาพที่ดีที่สุดจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม
สำหรับวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี เป็นสวนมะม่วงในโครงการที่ท็อปส์เข้าไปดูแลผลผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานสินค้าขั้นสูงสุด ‘หัวใจคุณภาพ’ (QUALITY AT HEART) แนะนำองค์ความรู้สมัยใหม่ มีการนำคิวอาร์โค้ดมาติดที่ลูกมะม่วง ทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งเพาะปลูกและโรงคัดบรรจุได้ อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้ว่าทานวันไหน รสชาติถึงจะอร่อยที่สุด โดยผลมะม่วงจะติดสติกเกอร์วันที่พร้อมทานไว้อย่างชัดเจน หากเกษตรกรหรือวิสาหกิจฯ โรงคัดบรรจุผลไม้ ที่จำเป็นต้องบ่มผลไม้ก่อนจำหน่าย อาทิ มะม่วง กล้วย มะละกอ และทุเรียน สามารถปรับการบ่มจากการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ มาเป็นการบ่มด้วยแก๊สเอทิลีน จะเกิดประโยชน์มหาศาลทั้งต่อเกษตรกร ผู้ปฏิบัติงานในโรงคัดบรรจุ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
แนะนำ 10 ผลงานวิจัยเด่นพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ Investment Pitching ในงาน Thailand Tech Show 2020
ขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังการนำเสนอ 10 งานวิจัยเด่นพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ Investment Pitching
ภายในงาน Thailand Tech Show 2020 วันที่ 2 ธันวาคม 2563 นี้ เวลา 10.00-11.30 น.
พร้อมร่วมโหวตและลุ้นผลงานวิจัยที่น่าลงทุนได้ที่นี่ (คลิก)
1. ไฮบริดชัวร์ การตรวจความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (HybridSure)
HybridSure เป็นงานบริการตรวจเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสม เช่น แตงกวา แตงโม แตงเทศ มะเขือเทศ มะระ และพริก โดยจะทำการตรวจความบริสุทธิ์ด้วยเครื่องหมายโมเลกุลสนิปที่จำเพาะเจาะจงกับลูกผสมแต่ละคู่ วิธีการตรวจสอบนี้รวดเร็วและแม่นยำกว่าวิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก HybridSure สามารถตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่ผลิตกันอย่างแพร่หลายในแทบ Southeast Asia ได้เกือบทุกสายพันธุ์ แม้กระทั่งสายพันธุ์ที่มีฐานพันธุกรรมใกล้เคียงกัน
2. เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน (PETE เปลปกป้อง)
เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเหมาะสมสำหรับการใช้งานในด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ประกอบด้วย (1) ระบบสร้างและควบคุมแรงดันลบแบบโมดูล ที่มีประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่เชื้อสูงถึง 99.995% มีขนาดเล็กทำให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก ประหยัดพลังงานสามารถติดตั้งได้เข้ากับเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลายขนาด (2) แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ผลิจากวัสดุที่สามารถนำเปลเข้าเครื่อง X-ray และ อุโมงค์ CT scan ได้ ทำให้สามารถลดขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย รวมถึงการลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถพับเก็บได้เป็นชุดให้สามารถลากคล้ายกระเป๋าเดินทางหรือสะพายหลัง ประหยัดพื้นที่เหมาะกับการใช้งานบนรถพยาบาลร่วมกับเตียงพยาบาล แผ่นรองหลัง หรือเปลตัก ที่มีมีอยู่เดิม มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนักผู้ป่วยได้กว่า 250 กิโลกรัม และ (3) ระบบสร้างและควบคุมแรงดันลบอัตโนมัติที่สามารถควบคุมแรงดันอากาศให้เหมาะสมตามการใช้งานได้โดยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่
3. เครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อในอากาศภายในอาคาร (Innovative Air Cleaner)
อินโนเวทีฟแอร์คลีนเนอร์ (Innovative Air Cleaner) เป็นเครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อโรคในอากาศภายในอาคารที่ประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีทางไฟฟ้าสถิต (electrostatic technology) ที่ให้ประสิทธิภาพสูงถึง 99% สำหรับฝุ่นในช่วงขนาด 0.1 – 50 ไมครอน สามารถกำจัดกลิ่นและเชื้อโรคบางชนิดในอากาศได้ มีการปลดปล่อยโอโซน (O3) ต่ำ กำจัดโอโซนด้วยเทคโนโลยี Ozone Trapper หรือ Ozone Absorber มีการบำรุงรักษาต่ำกว่า ออกแบบให้เหมาะสมต่อการใช้งานในโรงพยาบาล ครัวเรือน สำนักงานทั่วไป และโรงเรียน
4. ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COXY-AMP)
COXY-AMP หรือ ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของโรค โดยนำเอาเทคนิคแลมป์ หรือ Loop-mediated isothermal amplification (LAMP) มาใช้ร่วมกับสีบ่งชี้ปฏิกิริยา Xylenol Orange เพื่อให้สามารถอ่านผลการตรวจได้ด้วยตาเปล่า โดยสังเกตจากสีที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิคแลมป์ในหลอดทดสอบ โดยหากตัวอย่างส่งตรวจมีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สีของสารละลายจะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้าไม่มีการติดเชื้อ สีของสารละลายจะยังคงเป็นสีม่วง เทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียวนี้ มีความไว ความจำเพาะและความแม่นยำสูง ไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ราคาแพง เป็นการทำงานแบบขั้นตอนเดียว ที่ไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาทดสอบเพียง 75 นาที
5. โมเดลการผลิตสารทางชีวภาพเป้าหมาย (Smart-BIOact)
Smart-BIOact ใช้ข้อมูลในระดับ Big data ของสิ่งมีชีวิต เพื่อวิเคราะห์-ทำนายความสามารถในการสร้างสารชีวภัณฑ์ (bioproduct) หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเป้าหมายของจุลชีพ ด้วยเทคนิคด้าน ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) วิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสารชีวเคมีในเซลล์ (Metabolic model) และปัญญาประดิษฐ์ (AI optimization method) ช่วยทำนายสภาวะการเลี้ยงที่เหมาะสมกับจุลชีพในการผลิตสารชีวภัณฑ์เป้าหมาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาสารชีวภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงการผลิตสารชีวภัณฑ์ที่สนใจ หรือค้นหาการออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจในจุลชีพ (microorganism)
หมายเหตุ: ในกรณีนี้ใช้สาหร่ายเป็นโมเดล แต่ Platform สามารถปรับใช้กับจุลชีพอื่นๆ นอกจากสาหร่ายได้
6. มหัศจรรย์สีสันยางพารา (The Amazing Rubber Paint)
สีเพ้นท์จากน้ำยางธรรมชาติ คือ สีเพ้นท์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติเป็นองค์ประกอบหลัก สามารถนำมาใช้ในการเพ้นท์บนผ้าชนิดต่าง ๆ เช่น ผ้าไหม ผ้าดิบ ผ้ามัสลิน ผ้าสาลู เป็นต้น เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางด้านการลดต้นทุนของการผลิต ลดมลพิษ และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปให้ผู้ต้องการฝึกปฏิบัติการเพ้นท์หรือการทำงานศิลปะได้อีกทางหนึ่ง และเป็นการเพิ่มทางเลือกของการเพ้นท์ผ้า ไม่เป็นอันตรายกับผู้ใช้งาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
7. หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ (AGV-Cobot UVC)
การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC) ซึ่งมีความยาวคลื่นในช่วง 200-280 นาโนเมตร มีความสามารถในการฆ่าเชื้อได้ทั้งกลุ่มของ แบคทีเรีย (Bacteria) เชื้อรา (Molds) โปรโตซัว (Protozoa) ไวรัส (Virus) และยีสต์ (Yeast) ความสามารถในการฆ่าเชื้อด้วยยูวีซี จะมีประสิทธิภาพบนพื้นผิวของวัตถุ ภายใต้ค่าความเข้ม (Power Density) และเวลา (Time) ของการฉายรังสีต่อการกำเนิดพลังงาน (Energy) ที่เพียงพอในการฆ่าเชื้อแต่ละชนิด โดยในปัจจุบันมีตู้อบยูวีซีเพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อจำนวนมากโดยเป็นการรับรังสีจากแหล่งกำเนิดติดตรึง (Stationary Radiation Source) โดยที่ระยะห่างของพื้นผิววัตถุจะมีผลของการรับความเข้มของรังสีที่แตกต่างกัน ดังนั้นประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อจะมีค่าไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ กรณีพื้นผิวใกล้แหล่งกำเนิด (หลอดยูวีซี) จะได้รับความเข้มสูงการกำจัดเชื้อมีประสิทธิภาพสูง ในทางกลับกันหากพื้นผิววางอยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดจะทำให้ความเข้มของรังสีต่ำจนบางครั้งไม่สามารถที่จะกำจัดเชื้อได้ สำหรับวัตถุที่ต้องการนำมาฆ่าเชื้อกรณีมีขนาดเล็ก สามารถนำเข้าตู้อบยูวีซีได้นั้นจะไม่พบปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในกรณีของการเกิดโรคระบาด อาทิ วิกฤติ COVID-19 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการฟุ้งกระจายของเชื้อไวรัสสู่พื้นผิวต่างๆได้ตลอด สำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นต้น การใช้รังสียูวีซีในการฆ่าเชื้อจะต้องมีการเข้าถึงของแหล่งกำเนิดให้ใกล้กับพื้นผิวที่ต้องการฆ่าเชื้อมากที่สุด (ระยะห่างขึ้นกับกำลัง (Watt) ของหลอดยูวีซี) ซึ่งวิธีการนำหลอดยูวีซีมาติดตั้งอยู่กับที่ แล้วแผ่รังสีเป็นระยะเวลานาน ไม่เป็นผลที่ดี เนื่องจากความเข้มของยูวีซีที่ลดลงดังที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าจะมีการจัดหาหลอดยูวีซีที่มีค่ากำลังวัตต์สูงมาใช้นั้น เป็นการสูญเสียทรัพยากรทางกำลังไฟฟ้า มีต้นทุนที่สูง รวมถึงอันตรายต่อเนื้อเยื่อและดวงตาของมนุษย์หากต้องมีแรงงานมนุษย์ในกระบวนการฆ่าเชื้อ เพื่อเลื่อนแหล่งกำเนิดไปในพื้นที่ต่างๆจุดเด่นของเทคโนโลยี (Innovation Statement)
8. นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสดโดยใช้ RF Dry Blanching ยับยั้งการทำงาน ของเอนไซม์คงสภาพสีและกลิ่นรสของสมุนไพรในฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุง (RF Dry Blanching)
“นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสดด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ และการใช้ฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุงที่ผสมวัตถุกันหืนจากธรรมชาติ” ได้มีการพัฒนาต่อยอดจากนวัตกรรมเดิม ได้แก่ การใช้ฟิล์มบริโภคได้ร่วมกับกระบวนการคงสภาพสมุนไพรอบแห้งพร้อมปรุง โดยนวัตกรรมนี้ได้นำเทคโนโลยีการใช้คลื่นความถี่วิทยุมายับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการ dry blanching ที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูง ต้นทุนต่ำ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นการสร้างนวัตกรรมจากงานวิจัยที่ไม่เคยมีในโลก และเป็นการทดแทนวิธี wet blanching ด้วยน้ำร่วมกับอุณหภูมิสูงที่ใช้ดั้งเดิมในอุตสาหกรรมอาหารอบแห้ง ซึ่งวิธี RF dry blanching นี้ เป็นการลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิตโดยไม่ต้องใช้น้ำหรือไอน้ำอุณหภูมิสูง และสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คงสภาพความสดของสมุนไพรทั้งสี กลิ่น และรส สามารถยืดอายุการเก็บรักษาสมุนไพรทั้งชนิดที่ใช้ประกอบอาหาร หรือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติโภชนเภสัชไว้ได้ สามารถขนส่งภายใต้อุณหภูมิปกติ ทำให้การขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลด carbon footprint
9. แผ่นฟิล์มถนอมอาหารและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ (Activ-Pack-19)
บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางธรรมชาติกำลังเป็นที่สนใจในการนำมาใช้ทดแทนบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมที่ผลิตมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งมาสามารถย่อยสลายได้ โดยแป้งถือเป็นวัสดุทางชีวภาพอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่เป็นพิษ และย่อยสลายได้ง่าย แป้งยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น สมบัติการต้านทานน้ำและสมบัติเชิงกลต่ำ จึงมีการนำแป้งมาผสมร่วมกับวัสดุที่ย่อยสลายทางธรรมชาติ โดยนำไพลิไวนิลแอลกอฮอล์มาผสมกับแป้งมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตเป็นบรรจุซึ่งภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ เนื่องจากความเข้ากันได้ดีและสามารถขึ้นรูปฟิล์มได้ง่าย นอกจากนั้นยังมีการนำน้ำมันหอมระเหยได้จากการสกัดพืชมาประยุกต์ใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ จะมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย แต่จะส่งผลให้คุณสมบัติทางกลของฟิล์มบรรจุภัณฑ์ลดลง ผู้ประดิษฐ์จึงได้พัฒนาแผ่นฟิล์มยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากพืช เพื่อให้ได้แผ่นฟิล์มที่นำไปประยุกต์ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับถนอมอาหาร
10. ออฟติบอท (Optibot)
Optibot (ออฟติบอท) เป็น Software ที่นำหลักการคำนวณทางวิศวกรรมหรือ Algorithm มาสร้างเป็นโปรแกรมคำนวณการจัดเรียงกล่องสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อให้เกิดพื้นที่เหลือว่างน้อยที่สุดและนำกล่องบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ให้ได้มากที่สุด โดยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นได้ใช้อัลกอริทึมที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมาใช้ในการกำหนดตำแหน่ง ของกล่องสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์เพื่อพัฒนา Software ที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision making Tools) โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเรียงกล่องสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อย 5% หรือปรับปรุงกระบวนการจัดเรียงสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ให้เหมาะสม
ลงทะเบียนร่วมงานที่ https://www.tts2020-online.com/
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อว. จับมือ โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง วว. และ สมอ. ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ นำอุตสาหกรรมไทยให้ทันโลก
(24 พ.ย. 63) จังหวัดสุพรรณบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ บริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด ,สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมลงนามความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมขนส่ง และโลจิสติกส์ของไทยทั้งรถ ราง เรือ ให้มีกระบวนการพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ในการออกแบบ, พัฒนา, ผลิต, ทดสอบ และรับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล จนถึงสามารถออกเป็นผลิตภัณฑ์ยานพาหนะสมัยใหม่ทางด้านขนส่งลงสู่ตลาดไทย รวมถึงการส่งออกต่างประเทศได้
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
3 กระทรวงฯ ผนึกกำลังพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 2 ฉบับ โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ และศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่าง กระทรวง อว. โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม อก 1 ชั้น 2 สำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายด้านการขับเคลื่อน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล ยานยนต์ไฟฟ้า เป็น 1 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้เป็นเมืองสะอาด ตลอดจนนำพาประเทศสู่โลกยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ปี 2573 จำนวนร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงาน และบุคลากรที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 กระทรวงใหญ่ในการร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทักษะฝีมือและวิชาการขั้นสูง การกำหนด กรอบคุณวุฒิวิชาชีพ หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างกำลังคนทักษะฝีมือและวิชาการขั้นสูง ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการให้แก่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการหรือกิจการที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งสร้างแพลตฟอร์ม (Platform) กลาง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม และหน่วยงานภาคการศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลกลางด้านจำนวนกำลังคนและช่องว่างทางทักษะ (Skills Gap) ของกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการ สอศ. กล่าวว่า สอศ. เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตแรงงานเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับอีกสองหน่วยงาน และภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีนโยบายขับเคลื่อนโครงการศูนย์การเรียนรู้ หรือ Excellent Center (EC) สำหรับการฝึกทักษะอาชีพให้แก่นักศึกษา โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการพัฒนาให้ครอบคุลม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และในอนาคตวางเป้าหมายเปิดศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC) โรงเรียนต้นแบบแห่งแรก เพื่อเป็นศูนย์กลางการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนเอกชนในระดับภูมิภาค มุ่งพัฒนาศักยภาพบุคคลสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากล นอกจากนั้นแล้ว สอศ. ยังมีหลักสูตรสำคัญที่เปิดสอนในปีการศึกษา 2564 คือ สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล สาขางาน (ย่อย) เทคนิคยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งหมด 14 วิทยาลัย ซึ่งสามารถต่อยอดด้านกำลังผลิตได้อย่างเต็มที่
“ปัจจุบัน สอศ. มีการทำความร่วมมือทวิภาคร่วมกับบริษัทผลิตแบตเตอรี่รถยนต์หลายบริษัท ซึ่งอยู่ในโครงการ EC โดยได้ร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทราในสังกัดของ สอศ. ดำเนินโครงการ EC ในด้านยานยนต์ ดังนั้นทางอาชีวศึกษามีความพร้อมในการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิต อย่างไรก็ตามการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการนั้นยังคงต้องคำนึงถึงโอกาสในการประกอบอาชีพหลังสำเร็จการศึกษา ว่าจะสามารถรองรับจำนวนนักศึกษาจบใหม่ได้ครบถ้วนหรือไม่”
เลขาธิการ สอศ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนการพัฒนา/เพิ่มหลักสูตรที่ รมว.ศธ. ได้วางนโยบายไว้ 3 เรื่อง คือ ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน และเปิดกว้าง (3 ป.) เพื่อยกระดับการศึกษาสู่ความเป็นเลิศนั้น สอศ. ต้องการนำนโยบายดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับองค์กร โดยเฉพาะเรื่องการผลิตนักศึกษาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ โดยประเด็นแรกที่ สอศ. เห็นควรให้เกิดการปลดล็อก คือ ครู โดยต้องการให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และศักยภาพพร้อมเป็นผู้ให้การเรียนการสอนแก่นักศึกษา สามารถปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการขององค์กรให้ตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตให้มากขึ้น โดยคาดว่าหลักสูตรที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วจะนำเสนอต่อสภาการอุดมศึกษาให้การรับรองต่อไป
ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนภาคเอกชนให้เข้ามาทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักวิจัย นักวิชาการ เรามีอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยที่รังสิต อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคที่สงขลา เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา และเครือข่ายรวม 44 แห่ง ทั่วประเทศ จะสามารถช่วยในการสนับสนุนข้อมูล การใช้ห้องปฏิบัติการเครื่องมืออุปกรณ์ โรงงานต้นแบบ ให้กับผู้ประกอบการที่เป็นเครือข่ายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดให้ธุรกิจอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยการสนับสนุนดังกล่าว จะสามารถลดต้นทุน พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยความช่วยเหลือของนักวิจัยระดับชาติ ส่งต่องานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างได้สำเร็จ โดยผ่านกระบวนการเชื่อมโยงกับหน่วยงานในระดับจังหวัด ในการขยายผลขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไม่เพียงแต่ความพร้อมในการสนับสนุนข้อมูลและการใช้ห้องปฏิบัติการเครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น ยังมีความพร้อมให้ความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการระหว่างอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาและบุคลากรจากสถานประกอบการ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการผลิตกำลังคนให้เป็นบัณฑิตพันธุ์ใหม่ที่มีทักษะ ความสามารถในด้านการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา การพัฒนาและมีสมรรถนะความเชี่ยวชาญที่เป็นสากล ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการกำหนดข้อมูลความต้องการด้านทักษะ สมรรถนะของกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่จากกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ยินดีให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาคนให้มีทักษะ สมรรถนะที่ตอบโจทย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา จัดนิทรรศการ CDTI 2020 Virtual Exhibition
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ขอเชิญนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเข้าชมนิทรรศการ CDTI 2020 Virtual Exhibition
ทุกวันจันทร์และวันพุธ ตั้งแต่วันนี้ - 30 พฤศจิกายน 2563 ณ อาคาร 605 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สำนักพระราชวัง สนามเสือป่า
โดยผู้ที่สนใจสามารถจองรอบการเข้าชมได้ 2 รอบ รอบแรกเวลา 10.00 น. - 11.00 น. และ รอบ 14.00 น. - 15.00 น. หรือสามารถรับชมนิทรรศการรูปแบบ Virtual Exhibition ทางออนไลน์ได้ที่ https://my.matterport.com/show/?m
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2280-0551 ต่อ 3200, 3306, 3316
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อว. ร่วมกับหัวเหว่ย นำผู้ประกอบการ โครงการ SUCCESS 2020 เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่นและการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. และโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2563 (SUCCESS 2020) รุ่นที่ 18 จัดกิจกรรมร่วมกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด นำผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในโครงการฯ จำนวน 12 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซีเอสไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ,บริษัท ไทย อินฟอร์เมติก ซิสเต็มส์ จำกัด, บริษัท ชิปป๊อป จำกัด ,บริษัท โกอิ้งเจ็ส จำกัด ,บริษัท มิวแทรค จำกัด ,บริษัท ฟร็อก ดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด ,บริษัท แบร์คอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ,บริษัท กอล์ฟดิกก์ จำกัด ,บริษัท ไอเวิร์ค อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด ,บริษัท คีย์ จำกัด ,บริษัท ฟินน์ โซลูชั่น จำกัด .บริษัท ไอเอสบีซี จำกัด เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่นและการเรียนรู้ (CSIC: Customer Solution Innovation and Integration Experience Center ) ที่รวบรวมตัวอย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ทางเทคโนโลยี 5G และ Digital Transformation เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ณ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด อาคารจี ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 ชั้น 39 กรุงเทพมหานคร
(more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. อว. เปิดรับสมัครโครงการ Deep Tech Acceleration by NSTDA : แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (PMU C) ขอเชิญทีมนักวิจัย หรือผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีผลงานวิจัยพัฒนาระดับ TRL 4 ขึ้นไป ในสาขานวัตกรรมอาหาร (Food Innovation) สาขา IOT for Smart Industry และสาขาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ (Assistive Technology Devices) โดยสาขานี้ต้องเป็น Startup หรือ SME ที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคลและมียอดจำหน่ายผลงานบ้างแล้ว เข้าร่วมสมัคร “โครงการ Deep Tech Acceleration by NSTDA: แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก” โดยผู้ได้รับการคัดเลือกจะได้รับความรู้ความเข้าใจและแนวทางการวางโมเดลธุรกิจนวัตกรรม คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อออกสู่เชิงพาณิชย์ตลอดระยะเวลาโครงการ รวมถึงเงินสนับสนุนการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีออกสู่ตลาด อีกทั้งโอกาสในการแสวงหาผู้ร่วมทุนและเชื่อมโยงกับพันธมิตรธุรกิจ สมัครเข้าร่วมได้แล้วที่ https://bit.ly/3kG13m7 จนถึงวันที่ 30 พ.ย. 63
ติดต่อผู้ดูแลโครงการ
Food Innovation
ดร.ปรเมษฐ์ ชุ่มยิ้ม (ที่ปรึกษาอาวุโส)
Tel: 086 308 2283
E-Mail: porramate.chu@nstda.or.th
Assistive Technology Devices
คุณศรีทิพย์ อุชชิน
Tel: 085 9079077
E-Mail: srithip@nstda.or.th
IOT for Smart Industry
คุณเสาวภาพ รักษาพราหมณ์
Tel: 081 4438724
E-Mail: saowapap.rag@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เปิดอบรมให้เยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารและการพัฒนา (CCDKM) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดกิจกรรมเวทีสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมให้เยาวชน (การสร้างแรงบันดาลใจ) ภายใต้โครงการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce เมื่อวันที่ 11 – 13 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมานั้น เพื่อสร้างความเข้าใจภาพรวมการดำเนินโครงการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce ให้กับ เยาวชน และครูที่เข้าร่วมโครงการ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการเห็นคุณค่าของตนเอง และเห็นประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ และ ติดตั้งองค์ความรู้เรื่องการออกแบบกระบวนการเพื่อสร้างทักษะแรงงานในศตวรรษที่ 21 ให้กับ เยาวชน และครู ที่เข้าร่วมกิจกรรม
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช./รองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ สามารถประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อช่วยสร้างรายได้ โดยจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้านธุรกิจออนไลน์ให้แก่เยาวชน เปิดโอกาสให้เยาวชนได้ใช้ความรู้จากการอบรมในการขยายตลาดสินค้า/ผลิตภัณฑ์ที่ปกติจะเน้นการขายที่ร้านค้า ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน แต่ละแห่งไปยังตลาดออนไลน์ โดยงานที่เยาวชนสามารถช่วยได้เป็นงานที่เยาวชนสามารถดำเนินการในรูปแบบออฟไลน์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและกฎระเบียบของศูนย์ฝึกฯ เช่น การออกแบบหน้าร้าน การเขียนเรื่องเล่าผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การถ่ายภาพสินค้า ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทดสอบสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพหลักสูตรด้านธุรกิจออนไลน์ผ่านสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ
ในปี 2563 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานโครงการดังกล่าว จึงได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตลอดหนึ่งปี โดยกิจกรรมแรกที่จัดขึ้นคือ กิจกรรมเวทีสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมให้เยาวชน (การสร้างแรงบันดาลใจ) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการการดำเนินงานโครงการ และสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง การเห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีในตนเองของเยาวชน ตลอดจนสร้างช่องทางประกอบอาชีพและการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่เยาวชนเมื่อพ้นโทษ
ทั้งนี้ กิจกรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากครูและเยาวชน ที่ร่วมสมัครมาทั้งสิ้น 96 คน จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ฝึกฯ บ้านกรุณา จ.สมุทรปราการ ศูนย์ฝึกฯ บ้านปรานี จ.นครปฐม ศูนย์ฝึกฯ เขต ๑ จ.ระยอง ศูนย์ฝึกฯ เขต ๒ จ.ราชบุรี ศูนย์ฝึกฯ เขต ๖ จ.นครสวรรค์ ศูนย์ฝึกฯ เขต ๙ จ.สงขลา และ ศูนย์ฝึกฯ บ้านอุเบกขาและศูนย์ฝึกฯ บ้านบึง
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
สวทช. ผนึก 40 พันธมิตร จัดงาน “THAILAND TECH SHOW 2020” ออนไลน์เต็มรูปแบบ วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน พลาดไม่ได้ 2– 4 ธันวาคม นี้
17 พฤศจิกายน 2563 กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงข่าวการจัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 พร้อมโชว์ตัวอย่างไฮไลท์ผลงานวิจัยพร้อมต่อยอดธุรกิจ
ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2563 นำทัพผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจาก สวทช. และ 40 พันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศรวมกว่า 290 ผลงาน จัดเต็มในรูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บแอปพลิเคชั่น เพื่อให้เป็นตลาดเทคโนโลยี เชื่อมโยงงานวิจัยจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรสู่ภาคธุรกิจ เกิดการต่อยอดงานวิจัยสู่การสร้างนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าในเชิงพาณิชย์ พร้อมเปิดลงทะเบียนร่วมงานแล้วตั้งแต่วันนี้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/thailandtechshow
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า THAILAND TECH SHOW จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 นำเสนอในรูปแบบตลาดเทคโนโลยีที่นักวิจัยผู้คิดค้นนวัตกรรมจะได้มานำเสนอผลงานต่อนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ที่กำลังมองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน ตลอดจนผู้สนใจเข้าร่วมงาน เพื่อโอกาสพบกับนักวิจัย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและโจทย์ความต้องการที่เหมาะสมกับธุรกิจ พร้อมอัพเดทความรู้และเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เป็นข้อมูลสำหรับทิศทางในการดำเนินงานธุรกิจเทคโนโลยี ในปีนี้ สวทช. จึงได้กำหนดจัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 ขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 ธันวาคม 2563 ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)”
เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในยุค นิวนอร์มอลให้กับผู้ประกอบการ/นักลงทุนที่สนใจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Bio-Circular-Green Economic Model (BCG Model) ที่จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผ่านการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน พลังงานสะอาดและการบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างความมั่นใจในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สวทช. จึงได้ปรับรูปแบบการจัดงานให้เหมาะสมในรูปแบบนิวนอร์มอลที่ผู้เข้าร่วมงานไม่ต้องเดินทาง แต่สามารถเข้าร่วมงานออนไลน์เต็มรูปแบบและเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา โดยวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน การเปิดเทรนด์ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) โดย ผู้อำนวยการ สวทช. และกิจกรรม NSTDA Investors' Day ในรูปแบบ Investment Pitching 11 ผลงานเด่นจากนักวิจัยของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงการเสวนาและบรรยายพิเศษที่เกี่ยวกับเทรนด์ในการทำธุรกิจแนวใหม่และการปรับตัวธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างไรในยุคนิวนอร์มอล
ตลอด 3 วันของการจัดงานจะได้สัมผัสกับผลงานและนวัตกรรมผ่านนิทรรศการออนไลน์ในโซนต่างๆ รวมกว่า 290 ผลงานจาก 40 พันธมิตร ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น แบ่งเป็นโซนเทคโนโลยีแนะนำ (ราคาเดียว) และเทคโนโลยีไฮไลท์ (เจรจาเงื่อนไข) Tech Start Up การเจรจาธุรกิจแบบ One-on-One Matching และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่าย รวมถึงบูธให้คำแนะนำและบริการแบบครบวงจรจาก สวทช. ที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการ การจำหน่ายสินค้านวัตกรรมของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตหรือให้บริการ โดยตลอดการเข้าชมงานแบบออนไลน์จะมีช่องทางการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างใกล้ชิด
สำหรับผลงานวิจัยเด่นของ สวทช. และพันธมิตร 11 ผลงาน ประกอบด้วย ไฮบริดชัวร์ การตรวจความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (HybridSure), เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน (PETE เปลปกป้อง), เครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อในอากาศภายในอาคาร (Innovative Air Cleaner), ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COXY-AMP), โมเดลการผลิตสารทางชีวภาพเป้าหมาย (Smart-BIOact), มหัศจรรย์สีสันยางพารา (The Amazing Rubber Paint), หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ (AGV-Cobot UVC), ชุดตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 (PSU COVID-19), นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสด โดยใช้ RF Dry Blanching ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ คงสภาพสีและกลิ่นรสของสมุนไพรในฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุง (RF Dry Blanching), แผ่นฟิล์มถนอมอาหารและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ (Activ-Pack-19) และออฟติบอท
สวทช. ขอเชิญชวนนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ผู้ที่มองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน และผู้สนใจเข้าร่วมงาน THAILAND TECH SHOW 2020 แบบออนไลน์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/thailandtechshow หรือสอบถาม โทร. 0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์


