ผลการค้นหา :
สวทช. จัดเสวนา หัวข้อ “COVID-19 : Lessons Learned and Future Directions ถอดบทเรียนจาก COVID-19 กับแนวทางรับมือกับโรคร้ายใหม่ๆในอนาคต
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ขอเชิญร่วมรับฟังงานสัมมนา online ในหัวข้อ “COVID-19 : Lessons Learned and Future Directions ถอดบทเรียนจาก COVID-19 กับแนวทางรับมือกับโรคร้ายใหม่ๆในอนาคต” ในวันอังคารที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 09.30 – 11.00 น. โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ดังนี้
1. บรรยายพิเศษ “โรคอุบัติใหม่ และโรคที่มีศักยภาพในการติดเชื้อจากสัตว์สู่คน” โดย ดร.ทิพย์รำไพ ธรรมมงกุฎ และ ดร. ษมาภรณ์ ธีรเวชญาณ ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
2. เสวนาเรื่อง “สวทช. กับความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19” โดย ดร.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และ ดร.สุรพงษ์ ขุนแผ้ว ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยีศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่
https://us02web.zoom.us/webinar/register/3816263210691/WN_PSJ3wcpKRKGrS0K7jmFy7w หรือสแกน QR code ได้ตั้งแต่บัดนี้
ข่าว 30 ปี สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม
ไบโอเทค สวทช. ต่อยอดความสำเร็จจากสารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เตรียมคิดค้นยาใหม่เพื่อรักษาการติดเชื้อโรคโควิดที่อาจจะดื้อยาได้
นักวิจัยไบโอเทค สวทช.เล่าความสำเร็จการสังเคราะห์สารตั้งต้นผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ในระดับห้องปฏิบัติการณ์ เริ่มต้นจากทำงานเพียง 2 คนตั้งแต่โควิด-19 ยังไม่ระบาดหนักในไทย ยานำเข้ายากเป็นแรงผลักดันงานวิจัยภายใต้แนวคิดไทยต้องผลิตเองได้ ล่าสุดได้จดสิทธิบัตรและถ่ายทอดวิธีให้องค์การเภสัชกรรมนำไปผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมต่อไปแล้ว พร้อมเดินหน้าวิจัยยาตัวใหม่เพื่อจัดการปัญหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดที่อาจจะดื้อยาได้
วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีการจัดเสวนาพิเศษโควิดไลฟ์ทอล์คในหัวข้อ “ยาต้านไวรัสโคโรนา ภารกิจพิชิตโรคร้าย” ถ่ายทอดผ่าน Facebook Live ของ สวทช. โดยมี ดร.เภสัชกร นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ไบโอเทค สวทช. เล่าถึงความสำเร็จของการ สังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredient – API) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่จะใช้ในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ว่า ในการผลิตยาตัวหนึ่งนั้นมีหลายขั้นตอน เริ่มจากกระบวนการต้นน้ำคือตั้งแต่การผลิตโมเลกุลยาใหม่ขึ้นมา ส่วนกลางน้ำเป็นการสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือ API และปลายน้ำคือการปรุงเป็นยาให้เป็นยาเม็ด ยาน้ำ หรือยาฉีด
ทีมวิจัยได้ทำในส่วนที่เป็นกลางน้ำ คือ การสังเคราะห์สารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม หรือ API ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญของการผลิตยา โดยเริ่มต้นวิจัยมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ในช่วงที่ไวรัสโคโรนากำลังระบาดหนักในจีน และต่างประเทศ ในช่วงนั้นหลังมีการศึกษาพบว่ายาฟาวิพิราเวียร์ที่เคยใช้รักษาไข้หวัดใหญ่อยู่เดิม มีฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาได้ จึงเริ่มมีการนำมาใช้รักษาอย่างกว้างขวาง จนเมื่อไวรัสโคโรนาเริ่มเข้ามาระบาดในไทย การนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากในต่างประเทศที่มีการระบาดก็ต้องการเก็บยาไว้ใช้ในประเทศของตัวเอง ทำให้ไทยขาดแคลนตัวยา แม้ว่าเราจะสามารถปรุงหรือผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เองได้ แต่เมื่อไม่มีสารตั้งต้นหรือ API ก็ไม่สามารถผลิตได้ โดยในขณะนั้นมีเพียง 2 ประเทศที่ผลิตสาร API คือ จีน และญี่ปุ่น โดยประเทศนั้นๆ จำกัดส่งออก จึงเป็นจุดเริ่มในการทำวิจัย
"งานวิจัยเราเริ่มทำตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในการเริ่มต้นนั้นมีแค่ผมกับนักเคมีอีก 1 คน เริ่มต้นมีกัน 2 คน พยายามศึกษาทดลองกัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าอนาคตโรคจะมาระบาดในไทยมากน้อยแค่ไหน"
ดร.นิติพล เล่าว่า การสังเคราะห์สาร API นั้นมีหลายขั้นตอนและหลายวิธี ซึ่งทีมวิจัยเลือกวิธีที่คำนึงถึงข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ ประกอบกับเรื่องต้นทุน เมื่อลองวิจัยไปได้ระยะหนึ่งก็ได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยจากองค์การเภสัชกรรม เพราะในขณะนั้นยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมไม่สามารถนำเข้าได้ ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ทีมวิจัยเชี่ยวชาญในการสังเคราะห์ยา
"หลังจากได้ทุน ก็เริ่มรับคนเข้ามาช่วยเป็นทีมมากขึ้น มีผู้เชี่ยวชาญอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือให้คำแนะนำ พันธมิตรต่างประเทศ มีบริษัทเอกชนรวมถึงหลาย ๆ หน่วยงานเข้ามาเป็นพันธมิตรคอยช่วยเหลือสนับสนุนในด้านอุปกรณ์เครื่องมือ ทั้งองค์เภสัชกรรมเอง และ สถาบันนวัตกรรม ปตท."
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ถ่ายทอดวิธีสังเคราะห์ให้กับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) นำไปผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมแล้ว โดยทีมวิจัยเองเข้าไปปรับกระบวนการวิธีสังเคราะห์ เนื่องจากเป็นการยกระดับจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการ (Lab scale) ไปสู่การผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม (Pilot scale) คือจากที่เคยทำในให้ปฏิบัติการ ปริมาตรน้อยกว่า 10 ลิตร แต่การทำในระดับกึ่งอุตสาหกรรมต้องทำมากกว่า 10 ลิตร ไปจนถึง 200 ลิตร ซี่งต้องมีการปรับปรุงกระบวนการสังเคราะห์ให้เข้ากับขนาดการสังเคราะห์ เช่น การคลายความร้อน เป็นต้น
เมื่อถามว่ากระบวนการสังเคราะห์สารตั้งต้นยาฟาวิพิราเวียร์ของทีมวิจัยแตกต่างหรือเหมือนกับที่เคยมีมาหรือไม่ ดร.นิติพล กล่าวว่า เราต่อยอดและพัฒนาวิธีสังเคราะห์ เพราะเราคิดเสมอว่าถ้าเราเลียนแบบวิธีการมาหมด เราจะอยู่ได้ไม่นาน เราอาจสู้ราคาไม่ได้ เราศึกษาถึงขนาดที่ว่าจะสังเคราะห์จากสารตัวไหนที่ต้นทุนถูก
"ล่าสุดเราได้จดสิทธิบัตรวิธีการสังเคราะห์ API เรียบร้อยแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในการวิจัยเราปรับปรุงกระบวนการและเทคนิคการสังเคราะห์"
ดร.นิติพล เปิดเผยด้วยว่า นอกจากยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว ทีมวิจัยยังเดินหน้าศึกษาวิจัยยาอื่นๆ รวมถึงเพื่อทำยาตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดดื้อยาในอนาคตด้วย
“เนื่องจากยาที่ใช้สำหรับโรคติดเชื้อเมื่อใช้ไปสักพักอาจทำให้เชื้อเกิดการกลายพันธุ์ หรือเป็นเชื้อที่ดื้อยาขึ้นมาได้ ดังนั้นเราต้องคิดถึงเรื่องการดื้อยาเผื่อไว้ด้วย ซึ่งเรากำลังเร่งศึกษาวิจัยทำยาตัวใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำ และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง”
ทั้งนี้การพัฒนาวัตถุดิบสารออกฤทธิ์ทางยา หรือ API (Active Pharmaceutical Ingredients) สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และ API ของยาต้านไวรัส อื่นๆ เป็นงานที่สนับสนุนจากองค์การเภสัชกรรม และเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy Model) พ.ศ. 2564-2569 ที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ.
ข่าว 30 ปี สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021 งานวิจัยไทยสู้ภัยโควิด – แสง UV-C ฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ได้จริงหรือไม่
นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ!
แสง UV-C ฆ่าเชื้อไวรัส COVID-19 ได้จริงหรือไม่
พบกับมิติใหม่ของการแลกเปลี่ยนความรู้ อัดแน่นด้วยสาระและความบันทิง
ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดก่อนใคร...
พลาดแล้วคุณจะคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง!
แล้วพบกัน 4 สิงหาคม 2564 เวลา 10.30-11.15 น.
มาร่วมพูดคุยกับ ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (ดร.เก่ง)
ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.
นักวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิค
ทาง Facebook Fanpage: NSTDA-สวทช. และ Club House “Sci Sence”
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ ระหว่างวันที่ 17– 19 กรกฎาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้มีความรู้ ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกEEC) โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมในระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 60 คน ทั้งนี้ยังมีบุคลากรทางการศึกษาอีกมากกว่า 20 ท่าน เข้าร่วมสังเกตการณ์
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ โดยกล่าวถึงกิจกรรมและสื่อจากหลักสูตร ที่จะช่วยส่งเสริมการออกแบบการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน โดยท้ายที่สุดแล้วคุณครูสามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดจัดทำเป็นรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรสถานศึกษา และขยายผลสู่การจัดกิจกรรมเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้แก่นักเรียนในห้องเรียนได้
จากนั้นเป็นการบรรยายภาพรวมโครงการ EECi โดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. การอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งประกอบด้วย 4 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเคมีชีวภาพ “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” 4) หลักสูตร อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC
โดยมี ดร.สมศักดิ์ ทองเนียม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง กล่าวเปิดการอบรม ต่อด้วยการบรรยายพิเศษ โดย อาจารย์ณภัทร ศรีละมัย ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ใน 2 วันแรกนำโดยวิทยากรหลัก ดร. ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล อาจารย์ประจำสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มจธ. และทีมผู้ช่วยวิทยากร เริ่มการอบรมด้วยการแนะนำภาพรวมหลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ ซึ่งประกอบด้วยการบรรยายเนื้อหาความรู้และกิจกรรมปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความรู้ความเข้าใจ ได้ประสบการณ์เกี่ยวกับยานยนต์และพลังงานทางเลือก ด้วยรูปแบบกิจกรรมและสื่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางแชตหรือโปรแกรมช่วยสอน เช่น padlet และ livesheet
โดยมีรายละเอียดที่สนใจในหัวข้อ “สนุกคิดพิชิตยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์” เกี่ยวกับพื้นฐานความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างรถพลังงานไฟฟ้า ความรู้ไฟฟ้าเบื้องต้นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการใช้งานอุปกรณ์ เครื่องมือ และเครื่องมือวัดต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมทดลองเกี่ยวกับรถพลังงานไฟฟ้า และหลักการทำงานและกิจกรรมทดลองเกี่ยวกับรถเก็บประจุพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมปฏิบัติการรายบุคคล ที่สามารถแชร์ผลการทดลองผ่าน livesheet
ส่วนกิจกรรมกลุ่ม ในห้องย่อยของ Zoom จะเป็นปฏิบัติการทีม เพื่อพัฒนายานยนต์ตามที่กำหนด แล้วนำเสนอผลงานผ่าน Padlet โดยที่ภารกิจมีดังนี้ 1) รถพลังงานไฟฟ้าที่สามารถบรรทุกมวลน้ำหนักที่กำหนด ในระยะทางที่กำหนดได้ 2) รถเก็บประจุพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปถึงระยะทางที่กำหนดได้เร็วที่สุด
ปิดท้าย ด้วย “ยานยนต์ล้อเดียว นวัตกรรมแห่งอนาคต” โดยนำกิจกรรมด้วยกระบวนการทางสะเต็มศึกษา กระตุ้นความสนใจและความท้าทาย จากตัวอย่างสถานการณ์ในภาพยนตร์จูราสสิคเวิลด์ การออกแบบยานยนต์ไจโรสเฟียร์ เพื่อนำเข้าสู่ความรู้ทางด้านยานยนต์แห่งอนาคต หลักการทำงานของยานยนต์ล้อเดียว รวมถึงกิจกรรมปฏิบัติการประกอบสร้างยานยนต์ล้อเดียว การทดลองเกี่ยวกับปัจจัยการทำงานของยานยนต์ล้อเดียว และภารกิจปฏิบัติการกลุ่มเพื่อพัฒนายานยนต์ล้อเดียวที่สามารถเคลื่อนที่ถึงระยะทางที่กำหนด ตามเวลาที่กำหนด แล้วนำเสนอผลงานผ่าน Padlet
วันสุดท้ายของการอบรมเริ่มด้วยการแชร์ประสบการณ์ โดย อาจารย์มานะ อินทรสว่าง โรงเรียนศึกษานารี กรุงเทพฯ ครูแกนนำโครงการพัฒนาศักยภาพครูและขยายผลสื่อการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา สวทช. ในหัวข้อ “การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่เชื่อมโยงสู่ชั้นเรียน”
เสริมด้วยการบรรยาย หัวข้อ การนำกิจกรรมยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ ไปสู่การออกแบบการจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมในสถานศึกษา โดย คณะศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา นำโดย ศน.ณภัทร ศรีละมัย และคณะศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง นำโดย ศน.อมร สุดแสวง เพื่อให้ผู้เข้าอบรมระดมความคิดในกลุ่มย่อย ช่วยกันออกแบบร่างแนวทางการนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมนำไปใช้ในสถานศึกษา นำเสนอแผน ก่อนที่จะสรุปกิจกรรมและร่วมกันวางแผนการดำเนินงานติดตามการนำกิจกรรมไปใช้ในสถานศึกษาต่อไป
เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม คุณครูบุษกร สุภาผล รร.ทุ่งศุขลาพิทยา"กรุงไทยอนุเคราะห์" ชลบุรี “เป็นกิจกรรมที่ทำให้เรารู้จักการแก้ปัญหาค่ะ ออกแบบการเรียนการสอนโดยการให้แก้ปัญหา ซึ่งวิธีการอบรมของวิทยากร สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เลยค่ะ เป็นการฝึกทั้งกระบวนการกลุ่ม กระบวนการคิด และกระบวนการแก้ปัญหา”
“ได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆจากที่มีองค์ความรู้อยู่แล้ว ทำให้มีองค์ความรู้เพิ่มมากขึ้นและยังสามารถแก้ปัญหาคิดสร้างสรรค์สร้างยานยนต์ขึ้นมาจากอุปกรณ์ที่มีให้อย่างจำกัด และที่สำคัญยังสามารถนำไปต่อยอดจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมศักยภาพพัฒนาให้ผู้เรียนได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในการเรียนรู้โดยการจัดกิจกรรมหรือในรายวิชาให้นักเรียนได้” จากคุณครูสมพงศ์ จากโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 3 ฉะเชิงเทรา
“ได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องยานยนต์สมัยใหม่ชัดเจนมากขึ้นเพื่อนำไปต่อยอดความรู้ที่มีอยู่และนำไปปรับใช้ในการสอน สอดแทรกในรายวิชาต่างๆ เพื่อให้นักเรียนเห็นความสำคัญของยานยนต์สมัยใหม่ที่สามารถเกิดในอนาคตได้ รวมถึงยังสามารถนำรูปแบบการจัดอบรมรูปแบบใหม่ ที่มีความปลอดภัย แต่ก็ยังได้รับความรู้เต็มที่ ไปปรับใช้กับทางรร. และนักเรียน ได้ด้วย” จากคุณครูวรมิตา โรงเรียนบางปะกงบวรวิทยายน ฉะเชิงเทรา
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญร่วมสนับสนุนโครงการการเรียนรู้สะเต็มศึกษาฯ ด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช
โดยบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สะเต็มศึกษา สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายผ่านกระบวนการเรียนรู้โดยปฏิบัติจริงและพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช โดยการบริจาคเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และใบรับเงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 717 ว่าด้วยการลดภาษีเงินบริจาคเข้ากองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โครงการการเรียนรู้สะเต็มศึกษาฯ ด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเรียนรู้หลักการและเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชผ่านการฝึกอบรม และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ด้านเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ตลอดจนการจัดสร้างห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในโรงเรียน โดยมีคณะนักวิจัยสวทช. เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเป็นที่ปรึกษา มุ่งหวังให้นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะ กระบวนการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ซึ่งสร้างความสามารถของนักเรียนในการเชื่อมโยงความรู้เนื้อหาวิชาด้วยการลงมือปฏิบัติจริง โดยครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำและอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพิ่มศักยภาพการพัฒนาตนเองของนักเรียนให้มีบทบาทในการแสวงหาความรู้จากการปฏิบัติจริง เพื่อต่อยอดสู่ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าหรือนำไปประยุกต์ใช้ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ต่อไป
มาตรการการบริจาคเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี
โครงการที่เข้าร่วมการขอรับบริจาคเงิน
ข่าวประชาสัมพันธ์
รับสมัคร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ต้องการรับสมัคร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เพื่อเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2565 มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มีภารกิจในการสนับสนุนและดำเนินการวิจัย พัฒนา ออกแบบและวิศวกรรม สนับสนุนการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคการผลิต ริเริ่มและสร้างความเข้มแข็งแก่โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความสำคัญอย่างสูงต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ในการนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จึงใคร่เชิญชวนผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2564
โดยมีรายละเอียดตามเอกสารดาวน์โหลด
ประกาศ สวทช. เรื่องการรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ใบสมัคร ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ [PDF] | [DOCX]
ติดต่อขอรายละเอียดประกาศรับสมัครและเอกสารเพิ่มเติมได้ที่
นางสาวโสภิดา เนตรวิจิตร
e-mail: sopidan@nstda.or.th
โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71144
โทรสาร 0 2564 7021
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำเร็จ! นาโนเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test)
นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “NANO Covid-19 Antigen Rapid Test “ ชุดตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วด้วยเทคนิค LFA ด้วยจุดแข็งด้านการใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว รู้ผลไวใน 15 นาที ลดภาระงานบุคลากรการแพทย์ในช่วงวิกฤต ผ่านการประเมินประสิทธิภาพจาก อย. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์รองรับความต้องการใช้งานในปริมาณมาก
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา นาโนเทค ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีตอบโจทย์ความต้องการที่สำคัญของประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 นาโนเทคได้ปรับแผนการทำงานตามนโยบายระดับองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายระดับประเทศ โดยระดมทีมวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายใน สวทช. และเครือข่ายความร่วมมือพันธมิตร พัฒนาโครงการวิจัยเฉพาะกิจ จากฐานความรู้และความเชี่ยวชาญด้านนาโนเทคโนโลยี เพื่อรับมือ บรรเทา และฟื้นฟูสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดภายในประเทศระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในด้านสาธารณสุข ไปจนถึงการคาดการณ์ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจภายหลังจากที่มีการระบาด
“ในระยะแรกเรามองเห็นศักยภาพงานวิจัยทางด้านสุขภาพการแพทย์ ที่จะสามารถสนับสนุนการทำงานด้านระบบสาธารณสุขของประเทศได้ โดยนาโนเทคเองมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนเพื่อใช้เป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับสัญญาณ ตลอดจนความสามารถในการอุปกรณ์วินิจฉัยทางการแพทย์ที่มีความไวสูงสำหรับตรวจคัดกรองและติดตามโรคที่สำคัญ” ดร.วรรณีกล่าว
นวัตกรรมชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test เป็นชุดทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็วสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (Professional Use) ซึ่งผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยชุดตรวจ Nano COVID-19 Antigen Rapid Test นี้ เกิดจากการต่อยอดแพลตฟอร์มของ NanoFlu หรือชุดตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่ ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. มองเห็นโอกาสและความจำเป็นในการต่อยอดพัฒนาชุดตรวจคัดกรองสำหรับโรคโควิด-19 ได้ จึงได้หารือ ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน และงานวิจัยก็เดินหน้าทันที
ชุดตรวจเชื้อโควิด-19 แบบรวดเร็วชนิดการตรวจหาแอนติเจน (เทคนิค LFA) หรือ NANO Covid-19 Antigen Rapid Test อาศัยหลักการไหลในแนวราบ และการจับกันแบบจำเพาะของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อโปรตีนของเชื้อโคโรนาไวรัส โดยโมเลกุลดังกล่าวจะถูกติดสลากด้วยวัสดุนาโนตอบสนองชนิดพิเศษ ร่วมกับการพัฒนาและปรับสภาพองค์ประกอบต่างๆในชุดตรวจเพื่อให้สัญญาณ/เพิ่มสัญญาณจนอ่านสัญญาณได้ภายใน 15 นาที
ดร.ณัฐปภัสรกล่าวว่า ความท้าทายหลัก คือ ไบโอโมเลกุลที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งต้องใช้เวลาในการคัดเลือก และการปรับสภาวะขององค์ประกอบต่างๆรวมทั้งน้ำยาในการวิเคราะห์ให้เหมาะสม ด้วยพันธมิตรที่ดีอย่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ที่สามารถผลิตโปรตีนสังเคราะห์ และโมเลกุลที่มีความจำเพาะเพื่อใช้ทดสอบได้จากความพยายามหลายสิบครั้งในการคัดเลือกไบโอโมเลกุลที่จำเพาะกับเชื้อไวรัสโคโรนา และพัฒนาจนได้องค์ประกอบและสภาวะที่เหมาะสม จนกระทั่งเป็นชุดตรวจต้นแบบล่าสุด และด้วยพันธมิตรอย่างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในการทดสอบเพื่อยื่นขอจดทะเบียนผู้ผลิต และขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์กับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยผลการทดสอบประสิทธิภาพเทียบกับวิธีทางอณูวิทยา พบว่า สามารถตรวจหาแอนติเจนหรือตัวเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้ในเวลาเพียง 15 นาที และมีความไวถึง 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% สามารถใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ในเบื้องต้นได้
จุดเด่นของ NANO Covid-19 Antigen Rapid Test คือ สามารถแสดงผลที่ชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยขั้นตอนหรือเครื่องมือในการแปลผลที่ยุ่งยากเทียบกับวิธีทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ และยังสามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 15 นาที ทำให้สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ (Point of Care) ในการตรวจคัดกรองกับคนจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR (Real Time Polymerase Chain Reaction) ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง โดยผู้ที่ให้ผลบวกด้วยวิธี Antigen Rapid Test นี้ ต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง นับว่า เป็นการลดค่าใช้จ่าย ขั้นตอน ลดภาระงานในระบบสาธารณสุขรวมทั้งเจ้าหน้าที่ได้
“ปัจจุบัน ผู้บริหารและทีมวิจัยกำลังเร่งผลักดันเรื่องของถ่ายทอดเทคโนโลยีและรูปแบบการนำไปใช้ประโยชน์ของชุดตรวจฯ หลังจากที่นวัตกรรมนี้ผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้เร็วที่สุด ตอบสนองความต้องการใช้งานในช่วงเวลาวิกฤต ด้วยเชื่อว่า การตรวจคัดกรอง ยิ่งทำได้เร็ว ยิ่งช่วยให้คนเข้าถึงการรักษาได้เร็ว ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยให้วิกฤตนี้คลี่คลายได้เร็วขึ้น” นักวิจัยนาโนเทค สวทช. กล่าวพร้อมย้ำว่า นวัตกรรมนี้ เป็นราคาแข่งขันได้ในท้องตลาด (Comparative price)แต่เราสามารถผลิตได้เองในประเทศ เป็นนวัตกรรมพึ่งพาตนเองที่ตอบเรื่องความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของไทย
ขณะนี้ นาโนเทค สวทช. มีความพร้อมและกำลังสรรหาภาคเอกชนเข้ามารับอนุญาตใช้สิทธิ์ผลงานวิจัยเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ซึ่ง ดร.วรรณีกล่าวว่า โครงการวิจัยเฉพาะกิจนี้ถือเป็นการบูรณาการในระดับองค์กรเพื่อส่งมอบงานสู่การใช้ประโยชน์จริงภายใต้สถานการณ์และระยะเวลาที่มีจำกัด นับเป็นโอกาสที่ดีที่นาโนเทค สวทช. ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมแก้ไขปัญหาให้กับประเทศในยามวิกฤต ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยการนำองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยขับเคลื่อนได้อย่างเต็มความสามารถ
ข่าว 30 ปี สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
30th Anniversary Story of NSTDA: 30 ปี สร้างเทคโนโลยีฐานสู่การพัฒนาชุดตรวจโควิด-19
สวทช. มุ่งมั่นสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีในการพัฒนาชุดตรวจโรคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมเกษตร โดยใช้ตรวจคัดกรองโรคพืชและสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ชุดตรวจโรคปลา ชุดตรวจโรคกุ้ง ชุดตรวจโรคผลเน่าแบคทีเรียของพืชตระกูลแตง หรือแม้แต่ในด้านสาธารณสุข มีการพัฒนาทั้งชุดตรวจคัดกรองพาหะอัลฟาธาลัสซีเมียแบบแถบสี ชุดตรวจหาเชื้อวัณโรค ชุดตรวจเชื้อมาลาเรีย ชุดตรวจเพื่อการคัดกรองเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แบบรวดเร็ว เป็นต้น
ไม่เว้นแม้แต่โรคอุบัติใหม่ เช่น การระบาดของโรคไข้หวัดนก H5N1 สวทช. พัฒนาชุดตรวจไข้หวัดนกที่รู้ผลอย่างรวดเร็ว กระทั่งปัจจุบันที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นักวิจัยได้เร่งนำองค์ความรู้เชิงลึกที่สั่งสมจนเป็นความเชี่ยวชาญมาใช้เป็นฐานในการพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 หลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยควบคุมการระบาดของโรคท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตของประเทศ
“COXY-AMP” ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิค LAMP
ท่ามกลางการระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด-19 ที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้เทคนิค RT-PCR (Real Time Polymerase Chain Reaction) จะเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจโรคโควิด-19 ที่มีความถูกต้อง แม่นยำ และประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังไม่สามารถตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็วและปริมาณมากได้
นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยและชุดตรวจคัดกรองโรคต่างๆ มากว่า 20 ปี เช่น ชุดตรวจ LAMP Color สำหรับตรวจโรคไวรัสในกุ้ง blueAmp ชุดตรวจโรคสเตรปโตคอคโคซิสในปลานิลและปลาทับทิม จนเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ก็ได้นำเทคนิคที่เป็นความเชี่ยวชาญ คือ Loop-mediated isothermal amplification หรือ LAMP (แลมป์) มาเป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานในการพัฒนาชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว
“เทคนิคแลมป์เป็นเทคนิคเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น ถ้ามีสารพันธุกรรมจำนวนน้อยมากจนไม่สามารถตรวจได้ เช่น ไวรัส 1 ตัว ดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอท่อนสั้นๆ เพียง 1 เส้น เทคนิคแลมป์จะช่วยเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมเหล่านี้ได้ถึง 1,000 ล้านเท่า ภายในเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น”
[caption id="attachment_23786" align="aligncenter" width="750"] ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว หรือ COXY-AMP[/caption]
[caption id="attachment_23787" align="aligncenter" width="750"] กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.[/caption]
สำหรับการพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว หรือ COXY-AMP วรรณสิกา อธิบายว่า ทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยีแลมป์มาใช้ร่วมกับสีบ่งชี้ปฏิกิริยาไซลีนอลออเรนจ์ (Xylenol Orange) เพื่อให้สามารถอ่านผลการตรวจด้วยตาเปล่า โดยขั้นตอนการทำงานไม่ยุ่งยาก เพียงใส่ชิ้นส่วนสารพันธุกรรมอาร์เอ็นเอที่สกัดได้จากเยื่อบุในโพรงจมูกหรือลำคอลงในหลอดปฏิกิริยาทดสอบ จากนั้นนำไปเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมด้วยการนำไปบ่มในอุปกรณ์กล่องให้ความร้อนซึ่งมีในห้องปฏิบัติการทั่วไป ใช้อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 75 นาที หากตัวอย่างส่งตรวจมีสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 สีของสารในหลอดปฏิกิริยาจะเปลี่ยนอัตโนมัติคือจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้าไม่มีการติดเชื้อ สีของสารละลายจะยังคงเป็นสีม่วง
“การพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลและยังได้รับความอนุเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของชุดตรวจ ซึ่งพบว่ามีความไว ความจำเพาะ และความแม่นยำสูง สามารถใช้เวลาตรวจเพียง 75 นาที ซึ่งเร็วกว่า RT-PCR ถึง 2 เท่า รวมทั้งยังมีต้นทุนในการตรวจถูกกว่าแบบ RT-qPCR”
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกใบรับรองผ่านการประเมินเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ ให้แก่ผลงานวิจัยชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ภายใต้ชื่อ COXY-AMP และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ บริษัท จีโนมโมเลกุล แลบอราตอรี่ จำกัด (GM Laboratory) ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการผลิต จำหน่ายและเปิดให้บริการตรวจการติดเชื้อโรคโควิด-19 แล้ว
วรรณสิกา กล่าวว่า COXY-AMP ชุดตรวจโควิด-19 นอกจากจะสามารถตรวจไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์แอลฟาได้แล้ว ยังสามารถตรวจไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์บีตาและเดลตาได้อีกด้วย เนื่องจากทีมวิจัยได้ออกแบบ Primer ในตำแหน่งที่มีความจำเพาะต่อไวรัส SARS-CoV-2 และเป็นตำแหน่งที่มีการเปลี่ยนแปลงของลำดับเบสได้ยาก จึงทำให้สามารถตรวจไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ๆ ได้
COXY-AMP ชุดตรวจโควิด-19 นับเป็นผลงานการวิจัยที่ช่วยใช้คัดกรองเชิงรุกควบคุมโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่อื่นๆ ได้เองในประเทศ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดยกระดับอุตสาหกรรมสู่การผลิตเพื่อส่งออกในอนาคต ที่สำคัญคุณภาพของชุดตรวจยังการันตีด้วยการเป็นหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเชียที่ผ่านการเข้ารอบ 1 ใน 20 ทีมสุดท้าย ในการประกวดของมูลนิธิ XPRIZE ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับโลก
ชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test
ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร นักวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ได้ต่อยอดความสำเร็จจากการพัฒนาชุดตรวจสำหรับตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (NanoFluAB Duplex Rapid Test) สู่ชุดตรวจ NanoCOVID-19 Antigen Rapid Test ซึ่งเป็นชุดทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็วสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทาง อย. เรียบร้อยแล้ว
[caption id="attachment_23799" align="aligncenter" width="750"] ชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test[/caption]
ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ชุดตรวจ NanoCOVID-19 Antigen Rapid Test สามารถตรวจหาแอนติเจนหรือตัวเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้ในเวลาเพียง 15 นาที และมีความไวถึง 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% ซึ่งสามารถใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ในเบื้องต้นได้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง โดยผู้ที่ให้ผลบวกด้วยวิธี Antigen Rapid Test นี้ ต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง
พร้อมกันนี้ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง และ ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร ได้ส่งมอบผลงาน “ชุดตรวจ NanoCOVID-19 Antigen Rapid Test” จำนวน 1,000 ชิ้น ให้แก่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรด่านหน้าในการคัดกรองและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันทีมวิจัยนาโนเทคมีความพร้อมและเปิดรับภาคเอกชนเข้ามารับอนุญาตใช้สิทธิ์เพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์
ชุดตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัส SARS-CoV-2
นอกจากชุดตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ไบโอเทค สวทช. ยังได้วิจัยพัฒนาชุดตรวจเพื่อหาแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโควิด-19 ในระดับประชากร เพื่อเป็นข้อมูลเชิงสถิติสำหรับการวางแผนฉีดวัคซีน การป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า ด้วยทีมวิจัยทำงานเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาของสุกรมาก่อน จึงสามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่มาพัฒนาต่อยอดได้ทันท่วงที โดยมีการทำงานร่วมกับทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ (IMAT) ไบโอเทค ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในแพลตฟอร์มการทำชุดตรวจวินิจฉัย นำเทคโนโลยีที่เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานคือ ELISA มาพัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 ที่ง่าย รวดเร็ว แม่นยำ และราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
[caption id="attachment_23802" align="aligncenter" width="750"] ชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2[/caption]
[caption id="attachment_23793" align="aligncenter" width="500"] ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค สวทช.[/caption]
“หลักการของชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 คือ ทีมวิจัยเลือกตรวจแอนติบอดีต่อส่วนที่สำคัญที่สุดของไวรัส เป็นส่วนที่ไวรัสใช้จับเข้าเซลล์มนุษย์ในการติดเชื้อ คือ Receptor Binding Domain หรือ RBD ที่อยู่บนโปรตีนสไปค์ (ส่วนที่เป็นหนาม) โดยมีการผลิตแอนติเจน RBD ด้วยวิธีการตัดต่อพันธุกรรมและการผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนให้มีหน้าตาที่เหมือนกันกับโปรตีนของไวรัส แต่ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนจากไวรัสจริงๆ เพื่อความปลอดภัย จากนั้นนำแอนติเจน RBD มาเคลือบลงบนเพลท และใช้สารตรวจจับซึ่งมีปฏิกิริยาทำให้เกิดแสง ดั้งนั้นเมื่อนำตัวอย่างซีรั่ม (Serum คือพลาสมาที่สกัดได้จากเลือดของคนหรือสัตว์) มาตรวจ ถ้าในซีรั่มมีแอนติบอดีหรือภูมิคุ้มกันก็จะเป็นเหมือนสะพานที่จับกับแอนติเจน RBD และจับกับสารตรวจจับดังกล่าว พร้อมทั้งส่งสัญญาณแสงเกิดขึ้น แต่หากในซีรั่มไม่มีมีแอนติบอดีที่จำเพาะต่อ RBD ก็จะไม่มีแสงเกิดขึ้น”
ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) ทดสอบคุณภาพชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 โดยมีการอนุเคราะห์ตัวอย่างซีรั่มมาทดสอบเปรียบเทียบกับชุดตรวจแอนติบอดีทั่วไปในท้องตลาด พบว่ามีความไวและความจำเพาะเทียบเท่ากัน สามารถตรวจระดับภูมิคุ้มกันได้จากการติดเชื้อและการรับวัคซีน รวมทั้งยังมีการสอบเทียบตัวอย่างซีรั่มมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพื่อให้มีการอ่านค่าแอนติบอดีในหน่วยเดียวกับที่ WHO ใช้ ปัจจุบันความก้าวหน้างานวิจัยอยู่ระหว่างการยื่นคำขอประเมินเทคโนโลยีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ดร.พีร์ กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ยังได้ร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำโครงการตรวจระดับภูมิคุ้นกันต่อโปรตีน Spike RBD ของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับวัคซีนเชื้อตาย โดยมีการวิเคราะห์เบื้องต้นมากกว่า 500 ตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า ระดับภูมิคุ้มกันหลังจากได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม จะมีค่าลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ ประมาณ 40 วัน และหากเกิน 60 วัน ระดับค่าเฉลี่ยภูมิคุ้มกันจะลดลงค่อนข้างมาก รวมทั้งระดับภูมิคุ้มกันมีแนวโน้มลดลงตามช่วงอายุ ทั้งนี้ทีมวิจัยยังคงเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
“ตอนนี้ชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 ยังต้องใช้ตรวจในห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถตรวจเองได้ เพราะยังต้องใช้เครื่องอ่านผล แต่ก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีในห้องปฏิบัติการทั่วไป รวมถึงโรงพยาบาลขนาดกลาง เนื่องจากเป้าหมายการพัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีในช่วงแรกเน้นการตรวจในระดับประชากร ที่มีจำนวนตัวอย่างค่อนข้างเยอะ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสถิติในการอ้างอิง สำหรับการวางแผนการในการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน”
ทั้งหมดนี้นับเป็นตัวอย่างผลงานวิจัยและพัฒนาของนักวิจัย สวทช. ที่สามารถนำมาใช้รับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งยังเป็นผลงานที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานสากล มีราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ และผลิตได้ในประเทศไทย สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนา “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” สาขาสุขภาพและการแพทย์ ที่มุ่งหวังยกระดับการพัฒนายา วัคซีน เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเตรียมพร้อมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขของไทยอนาคต
ข่าว
บทความ
นาโนเทค สวทช. ส่งมอบผลงาน “ชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test” ให้กับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน ส่งมอบผลงาน “ชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test” จำนวน 500 ชิ้น ให้กับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมี ศ. นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และ อาจารย์ ดร.เอกวัฒน์ ผสมทรัพย์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ เป็นผู้รับมอบ ณ ห้องประชุม 2 สำนักงานคณบดีชั้น 5 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ถนนพระราม 6 กรุงเทพมหานคร โดย นาโนเทค สวทช. มีแผนการส่งมอบชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test” อีกครั้งในวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 เพิ่มอีก จำนวน 500 ชุด รวมเป็น 1,000 ชุด
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) พัฒนานวัตกรรม ชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test ซึ่งเป็นชุดทดสอบอย่างง่ายและรวดเร็วสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (Professional Use) ซึ่งผ่านการประเมินประสิทธิภาพจากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยชุดตรวจ NANO COVID-19 Antigen Rapid Test นี้สามารถตรวจหาแอนติเจนหรือตัวเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้ในเวลาเพียง 5-15 นาที และมีความไวถึง 98% และความจำเพาะสูงถึง 100% ซึ่งสามารถใช้ตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 ในเบื้องต้นได้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณผู้ป่วยที่ต้องตรวจด้วยวิธีการ RT-PCR (Real Time Polymerase Chain Reaction) ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 24-48 ชั่วโมง โดยผู้ที่ให้ผลบวกด้วยวิธี Antigen Rapid Test นี้ ต้องได้รับการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR เพื่อยืนยันอีกครั้ง
"ปัจจุบัน นาโนเทค สวทช. มีความพร้อมและกำลังหาภาคเอกชนเข้ามารับอนุญาตใช้สิทธิ์เพื่อผลิตและจำหน่ายต่อไป"
ข่าวประชาสัมพันธ์
เด็กไทยเจ๋ง..!! คว้าอันดับ 1 การแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศระดับเอเชีย
เยาวชน ‘ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ’จากโรงเรียนอัสสัมชันธนบุรี ตัวแทนประเทศไทย ทำได้ เอาชนะคู่แข่งจาก 8 ประเทศทำคะแนนเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย การแข่งขันรอบทักษะการเขียนโปรแกรม ‘โครงการคิโบะ โรบอต ครั้งที่2’ เตรียมแข่ง รอบไฟนอลกันยายนนี้ กับโอกาสครั้งสำคัญในการสื่อสารกับนักบินอวกาศญี่ปุ่น แบบออนไลน์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนเยาวชนทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งเป็นทีมชนะเลิศการแข่งขัน โครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชียผ่านทางออนไลน์ ในรอบทักษะการเขียนโปรแกรม หรือ Programming Skills Round ถ่ายทอดสดจากศูนย์อวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประเทศไทยมีการจัดการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee ในระบบ Simulation ซ่อมแซมสถานีอวกาศที่ชำรุดเนื่องจากอุกกาบาตพุ่งชน เพื่อคัดเลือกผู้ชนะเพียง 1 ทีมที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด จาก 176 ทีมทั่วประเทศที่สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ จากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ได้รางวัลชนะเลิศเป็นตัวแทนประเทศไทย ได้ไปร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ Astrobee ของ NASA ในระบบ Simulation ชิงแชมป์เอเชียในรอบ Programming Skills Round ถ่ายทอดสดการแข่งขันแบบออนไลน์ ผ่านทาง YouTube Live: https://youtu.be/E3WFFd0wfGs
จากองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ JAXA เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนเยาวชนจาก 9 ประเทศ เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย บังคลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ จากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลที่ 1 ของเอเชียมาครองได้สำเร็จ ถือเป็นการแสดงความสามารถในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยภาษา JAVA ควบคุมหุ่นยนต์ Astrobee ในระบบซิมูเลเตอร์ ให้เคลื่อนที่ไปยังเป้าหมายและยิงแสงเลเซอร์ได้เข้าจุดกึ่งกลางเป้าทำคะแนนได้สูงสุดของการแข่งขัน
ทั้งนี้ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) จากประเทศไทย สามารถคว้ารางวัลที่ 1 มาครอง ด้วยคะแนน 89.82 pt (A Class) ส่วนทีมอันดับที่ 2 ได้แก่ ทีม GeminiPYTW จากไต้หวัน คะแนน 80.04 pt (A Class) และทีมอันดับที่ 3 ได้แก่ ทีม Enigma Systems จากบังคลาเทศ คะแนน 76.65 pt (A Class) ซึ่งทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) เป็นตัวแทนประเทศไทยจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี มีสมาชิก 3 คน ประกอบด้วย นายธฤต วิทย์วรสกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (หัวหน้าทีม) เด็กชายเสฎฐพันธ์ เหล่าอารีย์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นายกรปภพ สิทธิฤทธิ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ด้าน นายธฤต วิทย์วรสกุล หรือน้องธฤต นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 1 ในทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) เล่าถึงทีมให้ฟังว่า “พวกผม 3 คนเจอกันครั้งแรกจากการที่ได้เรียนอยู่แผนการเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ตามแนวทาง สสวท. และ สอวน. (STEM) แล้วได้ทำกิจกรรมร่วมกัน แต่พวกผมเริ่มได้รู้จักกันจริงๆ ตอนที่ทำงานอยู่ในชมรมหุ่นยนต์ จึงได้มีโอกาสพูดคุยและปรึกษากัน จึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันโครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge” ในครั้งนี้ ซึ่งพวกผมทั้ง 3 คน รู้สึกสนุกกับการเขียนโปรแกรม โดยเฉพาะตอนที่เห็นโปรแกรมของเราสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ ได้จริง ผมชอบการที่เราสามารถนำเอาไอเดีย ในสมองของเรา แล้วเขียนออกมาเป็นโปรแกรม แล้วเกิดเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมา พวกผมคาดหวังกับงานนี้เพื่อที่จะมาหาประสบการณ์การเขียนภาษาใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนา Code สำหรับ Android และสิ่งที่ผมคิดว่าการที่พวกผมประสบความสำเร็จและได้รางวัลชนะเลิศ คือความพยายามในการที่จะทดสอบหลายๆ ครั้งโดยทดสอบให้ครบทุกรูปแบบ และพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ออกมาดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ทีมของผมประสบความสำเร็จ”
น้องธฤต เล่าให้ฟังต่อว่า การแข่งขันในรอบ Programming Skills ในวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการนำไฟล์ APK ของตัวแทนเยาวชนจาก 9 ประเทศ ที่พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่รอบการแข่งขันชิงแชมป์ของแต่ละประเทศ เข้ามาประมวลผลในระบบซิมูเลเตอร์ของ JAXA ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนักบินอวกาศญี่ปุ่น คิมิยะ ยูอิ และ ศ.ดร.ชินอิจิ นากาซึกะ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมการบินและอวกาศ มหาวิทยาลัยโตเกียว เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน และประกาศผลการแข่งขันโดยแสดงคลิปวิดีโอการปฏิบัติภารกิจของหุ่นยนต์ Astrobee ตามโปรแกรมที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเขียนเอาไว้ ซึ่งตอนประกาศผลการแข่งขันว่าทีมเราได้ที่หนึ่งก็รู้สึกดีใจมาก
“ผมและเพื่อนแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ และแต่ละคนก็จะทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายและหากใครมีปัญหาก็จะมานั่งปรึกษาหาวิธีการแก้ปัญหากัน ปัญหาที่พบส่วนหนึ่งคือ log หรือข้อมูลการบันทึกจากซิมูเลเตอร์ที่ได้ออกมา สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้วิเคราะห์ได้ยาก พวกผมจึงแก้ปัญหาโดยการ เขียน Code มาอ่านตัว Logfile เพื่อดึงเอาเฉพาะข้อมูลที่ต้องการออกมา แล้วเก็บออกมาเป็นไฟล์ csv เพื่อให้สามารถนำเข้าไปอ่านใน Excel / Google sheet แล้วเปรียบเทียบถึงความแตกต่างในการ Simulation แต่ละครั้ง เพื่อให้สามารถปรับแก้ Code ได้ตรงจุด ซึ่งในทุกขั้นตอนมันยากมากแต่ก็ต้องค่อยๆ พยายามแก้ไขและผ่านพ้นไปให้ได้”
สุดท้ายพวกผมอยากฝากถึงทุกๆ คนทำในสิ่งที่ตนเองรักและชอบต่อไป อย่าทิ้งในสิ่งที่ตัวเองชอบแต่ที่สำคัญถึงแม้ว่าพวกเราจะทำสิ่งที่รักที่ชอบกันแต่ก็ไม่ควรทิ้งการเรียนเพราะว่าการเรียนนั้นก็เหมือนกับการลงทุนระยะยาวถ้าเราตั้งใจทำมันไม่ทิ้งมันตั้งแต่เนิ่นๆ ในอนาคตจะไม่ส่งผลเสียแน่นอน”
สำหรับ ทีมอินเดนเทชัน เออเร่อ (Indentation Error) ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge จะมีการแข่งขัน รอบ Final Round ชิงแชมป์เอเชียผ่านทางออนไลน์ ในเดือนกันยายน 2564 โดยถ่ายทอดสดจาก ศูนย์อวกาศสึกุบะ (Tsukuba Space Center) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เยาวชนจาก 9 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับโอกาสสื่อสารตรงไปที่สถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งมีนักบินอวกาศญี่ปุ่น อะกิฮิโตะ โฮชิเดะ (Akihito Hoshide) เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน และได้สัมผัสกับศูนย์อวกาศสึกุบะ ถือเป็นศูนย์ปฏิบัติการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นสถานที่หลักสำหรับปฏิบัติการโครงการวิจัยอวกาศของญี่ปุ่น และนักบินอวกาศชาวญี่ปุ่นที่มีส่วนในสถานีอวกาศนานาชาติซึ่งจะได้รับการฝึกจากที่นี่
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวโครงการ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/jaxa-thailand หรือแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
ข่าว 30 ปี สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมิถุนายน 2564
ข่าว
สวทช. ร่วมกับองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น พร้อมหน่วยงานพันธมิตรเปิดตัวโครงการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศ ชิงแชมป์ประเทศไทยค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนไทย ส่งโปรแกรมประมวลผลบนสถานีอวกาศนานาชาติ
เนคเทค สวทช. ประกาศผลการประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020”
นาโนเทค สวทช.- มหิดลร่วมทดสอบประสิทธิภาพออร์แกนิคซิงค์ไอออนฆ่าเชื้อโรคนาน 24 ชม.พร้อมจับมือยูนิซิล กรุ๊ป ส่งมอบสารฆ่าเชื้อให้ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน
สวทช. มอบหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie plus) จำนวน 25,000 ชิ้น ให้ทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด-19
สวทช. หนุนสตาร์ทอัพ Herbs Starter พัฒนาแพลตฟอร์ม ตลาดสินค้าชุมชนเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น GI OTOP Organic รายแรกของไทย
Mutrack Dispatcher แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพ “งานเวรเปล” ในโรงพยาบาล ฝีมือสตาร์ทอัพคนไทยภายใต้การสนับสนุนจาก สวทช. ช่วยบ่มเพาะธุรกิจต่อยอดสู่สากล
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ "อินทผลัม" ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้
เอ็มเทค สวทช. ส่ง‘เปลความดันลบ’ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอีก 3 ชุด พร้อมมอบ รถส่งของ ‘อารี’ ลดเสี่ยงแพร่เชื้อในโรงพยาบาล
นักวิชาการไทย ค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก และรายงานครั้งแรกในไทยอีก 1 ชนิด บ่งชี้ความหลากหลายทางชีวภาพของไทย
นาโนเทค สวทช. ส่งมอบหน้ากากอนามัย n-Breeze ให้โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
เยาวชนไทยเจ๋ง คว้า 6 รางวัล บนเวทีประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ระดับโลก
BearconCAM” กล้องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ ตัวช่วยคัดกรองผู้เสี่ยงโควิด-19 ทุกสถานการณ์
‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่ตรวจ รพ. สนามบ้านวิทย์ฯ’ 224 เตียง รองรับผู้ป่วยพิการติด โควิด-19 พร้อมเปิดบริการ 1 มิ.ย. 64
สวทช. จัดกิจกรรม“ STEM in action: 5 Important Industries for developing EEC-STEM curriculum” หวังช่วยเพิ่มศักยภาพครูในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก
สวทช. เสริมแกร่งเยาวชนรุ่นใหม่ สร้างการเรียนรู้ พร้อมรับมือโควิด-19
กมธ.การพัฒนาสังคมฯ วุฒิสภา ตรวจเยี่ยม รพ.สนามบ้านวิทย์ฯ เพื่อคนพิการที่ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมเปิดบริการ 1 มิ.ย.64
บทความ
การค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลกกับการต่อยอดสู่ ‘โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี’
Download เอกสารฉบับเต็ม [15.2 MB]
จดหมายข่าว สวทช.
การค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก กับการต่อยอดสู่ ‘โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี’
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพ และมีอาณาเขตติดต่อกับชายฝั่งไปถึงภูเขา ล่าสุดมีการค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน
ทว่าจะมีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพืชวงศ์ขิง โดยเริ่มพัฒนาจากเศรษฐกิจฐานราก ตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีได้อย่างไร เป็นที่มาของการตั้งวงเสวนา “การค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก กับการต่อยอดการใช้ประโยชน์ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจBCG” ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาร่วมกัน โดยมีนางรังสิมา ตัณฑเลขา ผู้อำนวยการอาวุโสโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ สวทช. ดำเนินรายการ
ศ.ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG ความหลากหลายทางชีวภาพ อธิบายว่า ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย กับการค้นพบพืชวงศ์ขิงครั้งนี้ทำให้เห็นประโยชน์มากๆ ว่าหากมีการค้นพบชนิดใหม่ๆ เพิ่มเติมจะทำให้เกิดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ซึ่งจะสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ตัวอย่างเช่น ทุ่งดอกกระเจียวจากต้นปทุมมา ซึ่งมีดอกสวยงามคงทนและเป็นพืชในวงศ์ขิง เป็นทั้งไม้ดอกไม้ประดับที่ได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ โดยในแผนพัฒนานาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ให้การสนับสนุนกับการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ตามที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว
การค้นพบทั้ง 8 ชนิดใหม่ของโลกครั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ทุนวิจัย แก่ รศ.ดร.สุรพล แสนสุข สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และคณะวิจัย เพื่อทำการศึกษาและสำรวจพืชวงศ์ขิงในระดับโครโมโซม ซึ่งมีบางชนิดที่เก็บตัวอย่างมาแล้วไม่ตรงกับชนิดอื่นๆ ที่มีอยู่ในโลกและได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Biodiversitas เป็นที่ยอมรับทั้ง 8 ชนิดใหม่ของโลก
รศ.ดร.สุรพล เปิดเผยว่า ด้วยพืชวงศ์ขิงมีลักษณะที่โดดเด่น มีศูนย์กลางการกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทั่วโลกมีพืชวงศ์ขิง 57 สกุล 1,600 ชนิด และในประเทศไทยมีความหลากหลายมากถึง 26 สกุล 300 ชนิด โดย 8 ชนิดใหม่ของโลกที่ค้นพบ ประกอบด้วย
ชนิดแรก ‘ขมิ้นน้อย’ ทรงต้นเล็ก ลักษณะเด่นมีกีบปากสีขาวและมีสีเหลืองเข้มตรงกลาง แหล่งที่พบ คือ จ.นครนายก ประโยชน์ที่ใช้สามารถนำไปเป็นไม้มงคลและไม้ประดับปลูกได้ทั่วประเทศไทย
ชนิดที่สอง ‘กระเจียวรังสิมา’ หรือ บุษราคัม ลักษณะเด่น ใบประดับมีสีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน ดอกสีเหลือง แหล่งที่พบ คือ นครสวรรค์ สระบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และนครราชสีมา ประโยชน์ที่ใช้สามารถนำไปเป็นไม้มงคลและปลูกเป็นไม้ประดับ
ชนิดที่สาม ‘ขมิ้นพวงเพ็ญ’ ลักษณะเด่นคือ เหง้าจะเลื้อย กลีบปากมีสีม่วงอ่อนเป็นแฉกขีดเหลือง แหล่งที่พบ คือ จ.ราชบุรี ปลูกเป็นไม้ประดับไม้มงคล
ชนิดที่สี่ ‘กระเจียวจรัญ’ ลักษณะเด่นคือ กลีบปากปลายสีม่วงอมชมพู โคนขาวขนาบด้วยจุดม่วงทั้งสองด้านคล้ายก้างปลา แหล่งที่พบ คือ จ.ลพบุรี ปลูกเป็นไม้ประดับไม้มงคล ปลูกได้ทั่วประเทศไทย
ชนิดที่ห้า ‘พญาว่าน’ เป็นชนิดที่ใช้กันเป็นสมุนไพรพื้นเมืองอย่างแพร่หลาย ลักษณะเด่นคือ กาบใบสีแดงเข้ม ร่องกลางใบแดง ช่อดอกเกิดกลางกลุ่มใบ แหล่งที่พบ คือ จ.นครนายก เป็นพืชแก้ผดผื่นคัน โรคผิวหนัง แก้พิษ
ชนิดที่หก ‘กระเจียวม่วง’ ลักษณะเด่นคือ ขอบใบเป็นคลื่น ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ใบประดับสีเขียว ดอกยื่นออกจากช่อดอก กลีบปากสีม่วง ปลายกลีบแฉกลึก มีสีเหลืองตั้งแต่ฐานตรงกลางจนเกือบสุดปลายแฉกทั้งสองข้าง แหล่งที่พบ คือ จ.ศรีสะเกษ นำมาเป็นผักประกอบอาหารและปลูกประดับ
ชนิดที่เจ็ด ‘นิลกาฬ’ อยู่ในสกุลเปราะ ลักษณะเด่นคือ ใบมีสีดำสนิท ดอกสีม่วง แหล่งที่พบ คือ ภาคกลางของประเทศไทย ปลูกเป็นไม้ประดับและนำใบอ่อนมารับประทานเป็นผักสดและเป็นเครื่องเทศดับกลิ่นคาวได้
และชนิดที่แปด ‘ว่านกระชายดำเทียม’ ลักษณะเด่นคือ มีใบเดียว ก้านช่อดอกสั้น ช่อดอกอัดแน่นตรงซอกใบ แหล่งที่พบ คือ ภาคเหนือของประเทศไทย พบมากบริเวณ จ.ตาก ปลูกเป็นไม้ประดับไม้มงคล ใบอ่อนนำมารับประทานเป็นผักได้
“นอกจากนี้ทีมวิจัย ยังพบ ‘ว่านหัวน้อย’ แหล่งที่พบ คือ แถบ จ.อุตรดิตถ์ ลักษณะเด่นคือ ช่อดอกอัดแน่นใกล้ๆ ผิวดิน ดอกมีขาวปนชมพูอ่อน กลีบปากมีแถบสีเหลือง เป็นพืชที่เคยพบที่ สปป. ลาว และมีการรายงานครั้งแรกในประเทศไทย (New Record in Thailand)”
สำหรับการขยายพันธุ์พืชโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อถือเป็นแนวทางที่ช่วยอนุรักษ์และขยายพันธุ์ปลอดโรคได้ดี
ผศ.ดร.ปิยะพร แสนสุข ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ให้ข้อมูลว่า แต่เดิมอาจจะเข้าใจวิธีการเอาตาเหง้ามาขยายพันธุ์ ซึ่งทำได้ยาก โดยเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชทำได้ง่ายกว่าจาก 5 ส่วนของพืช ได้แก่ 1.ตาเหง้าแก่ และตาเหง้าใหม่ๆ ที่มีเนื้อเยื่อเจริญเติบโต 2.หน่อย่อย 3. ใบอ่อน 4.การเพาะเลี้ยงจากช่อดอก และ 5. เพาะเลี้ยงจากเมล็ด ซึ่งวิธีสุดท้ายนี้จะยากกว่าวิธีอื่นๆ ทั้งหมดสามารถนำมาฟอกฆ่าเชื้อตามขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและเลี้ยงในอาหารแข็งหรืออาหารเหลว เพื่อให้พืชแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและเจริญเติบโต
“เมื่อเลี้ยงได้เต็มที่แล้ว จึงย้ายออกจากห้องเพาะเลี้ยงมาวางไว้ข้างนอก 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้พืชปรับสภาพ จากนั้นนำไปล้างอาหารออกให้หมด และมาปลูกในวัสดุปลูกที่แตกต่างกันไปไว้ในเรือนเพาะชำ เมื่ออายุ 2 เดือน ต้นจะตั้งตรงใบแผ่แบน มีการสร้างเหง้าตุ้มและเจริญเติบโตได้ปกติพร้อมออกดอกได้ อย่างไรก็ตามทีมวิจัยยังมีนักศึกษาสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช ศึกษาการเจริญเติบโตของพืชในหลอดทดลองและพืชจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อควบคู่กันไปด้วย”
ไม่เพียงเป็นไม้ดอกไม้ระดับที่มีความสวยงาม พืชวงศ์ขิงยังมีการต่อยอดโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการวิจัยเพิ่มมูลค่าพืชวงศ์ขิงเพื่อใช้ประโยชน์จากสารสำคัญในพืช ไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า การเพาะปลูกพืชสมุนไพรของประเทศไทยในระดับต้นน้ำมีมากถึง 12,000 ครัวเรือน ทั้งนี้การนำมาใช้งานมีทั้งการตากแห้ง การใช้ภูมิปัญญา และเป็นรูปแบบสารสกัดสมุนไพรนำไปใช้ในรูปแบบเครื่องดื่ม อาหารเสริม เรื่องการขายในรูปแบบยาและอาหาร ซึ่งในปี 2562 มีมูลค่า 5.2 หมื่นล้านบาท และมีมูลค่าส่งออก 400 ล้านบาทต่อปี
สำหรับตัวอย่างของพืชกลุ่มขิง นาโนเทค สวทช. มีการใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสารสกัดจากสมุนไพร ทั้งขมิ้นชันและไพล โดยมีการพัฒนาสูตรตำรับสมุนไพรในรูปแบบอิมัลเจลไพลขมิ้นชัน เพื่อเพิ่มการดูดซึมได้ดีขึ้น ไม่เหนียวเหนอะหนะและลดการเปรอะเปื้อนของสีเหลืองในสมุนไพรไม่ให้เปื้อนเสื้อผ้าได้ดี อย่างไรก็ตามมองว่าการใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มมูลค่าได้ แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างสตอรี่ของการใช้พืชสมุนไพรด้วย
อย่างไรก็ดีแนวทางที่ยั่งยืนของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพืชวงศ์ขิง ยังต้องอาศัยนักปรับปรุงพันธุ์ให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ
นายลิขิต มณีสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์ ห้างหุ้นส่วนลัคกี้ซีดส์ อโกร กล่าวว่า ปัจจุบันไม้ดอกวงศ์ขิงมีการส่งออกไปสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์ปทุมมา มีการส่งออกไปยังประเทศฮอลแลนด์ ญี่ปุ่น อิตาลี และอเมริกา ซึ่งตลาดยุโรปจะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้ประโยชน์จากดอกปทุมมา โดยจะเรียกชื่อทางการค้าว่า สยามทิวลิป (SIAM TULIP) ขายในรูปแบบไม้กระถางและไม้ตัดดอก มีหลากหลายพันธุ์ที่ขายอยู่ในตลาดยุโรป ในชุด SIAM SERIES ที่มีลักษณะสีดอกที่หลากหลาย
ดังนั้นงานปรับปรุงพันธุ์ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทที่ทำไม้กระถางหรือไม้ตัดดอกนั้นจะต้องมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดทุกปี เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกพันธุ์ต่างๆ ดังนั้นการคัดพันธุ์ต่างๆ จึงเป็นงานที่สำคัญของนักปรับปรุงพันธุ์ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงพันธุ์ อธิบายต่อว่า สวทช. ได้เห็นประโยชน์ของการปรับปรุงพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ จึงร่วมกับ ห้างหุ้นส่วนลัคกี้ซีดส์ อโกร เพื่อปรับปรุงพันธุ์และสร้างนักปรับปรุงพันธุ์ปทุมมา 2 โครงการ คือ โครงการพัฒนาพันธุ์ไม้ดอกสกุลขมิ้นเพื่อการค้าพันธุ์ใหม่ เพื่อเข้าสู่ตลาดยุโรป และโครงการพัฒนานักปรับปรุงพันธุ์ไม้ดอกปทุมมารุ่นใหม่ เพื่อให้เกษตรกรที่มีประสบการณ์ที่ผลิตปทุมมาอยู่แล้วในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ไม่เคยมีความรู้ด้านการปรับปรุงพันธุ์ ได้มีโอกาสเรียนรู้การปรับปรุงพันธุ์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งโครงการพัฒนาพันธุ์ปทุมมาได้มีการขึ้นทะเบียนพันธุ์กับกรมวิชาการเกษตร เพื่อมอบให้เป็นสาธารณชนประโยชน์แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านห้วยสำราญ-ห้วยเจริญ จ.อุดรธานี และมีขยายองค์ความรู้ในการปรับปรุงพันธุ์ให้กลุ่มเกษตรกรได้พัฒนาพันธุ์ได้ด้วยตัวเองเพิ่มขึ้น รวมทั้งหาตลาดรองรับ ก็จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับคนในพื้นที่เห็นคุณค่าของพืชวงศ์ขิง
“เราทำงานวิจัยร่วมกับห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของ สวทช. ในการผลิตต้นพันธุ์ปทุมมาเพื่อให้เหมาะต่อการส่งไปยังต่างประเทศ และเหมาะต่อการใช้เป็นไม้กระถางและไม้ประดับ ซึ่งใช้เพียง 1 ต้นของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ต่อ 1 กระถาง แทนการใช้หัวพันธุ์ถึง 3 หัวใน 1 กระถาง ซึ่งเป็นความต้องการของตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ปทุมมาแต่ละพันธุ์จะสนองต่อการขยายพันธุ์แบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้แตกต่างกัน”
ศ.ดร.สนิท กล่าวทิ้งท้ายว่า เห็นแนวทางที่เป็นประโยชน์จากการเสวนาครั้งนี้อย่างมาก หากมีพืชที่ปลูกและขยายพันธุ์ได้ง่ายๆ อยากให้ชุมชนได้นำไปขยายพันธุ์ปลูกในพื้นที่พืชเศรษฐกิจชุมชน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี โดยเฉพาะด้าน Circular Economy ให้มีการนำไปปลูกหมุนเวียนเพิ่มรายได้พัฒนาจากเศรษฐกิจฐานราก เกิดการอนุรักษ์ในชุมชนพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งให้มีการใช้ประโยชน์ในแง่ของ Biorefinery โดยอาจทำเป็นงานวิจัยมุ่งเป้าในเชิงอุตสาหกรรมและสามารถนำไปขยายผลให้เกิดประโยชน์ในชุมชนเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
บทความ


