ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2563
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คว้ารางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ประจำปี 2563 17 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : มูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2563 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 38 โดยภายในงานได้รับเกิยรติจาก ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตร’ว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี และกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัล โดยมี ศ.ดร.จำรัส ลิ้มตระกูล ประธานคณะกรรมการรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น นักวิทยาศาสตร์ดี่เด่นประจำปี 2563 ได้แก่ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จากสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ศ.ดร.สุทธิชัย อัสสะบำรุงรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากสาขาวิศวกรรมเคมี ดร.พิชญ พัฒนสัตยวงศ์ สำนักวิชาวิทยาการโมเลกุล สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) รศ.ดร.ทวีธรรม ลิมปานุภาพ หัวหน้าสาขาวิชาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล อ่านรายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/th/news/13457-20200817
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – สวทช. เปิดวาร์ป 20 ทีม รับทุนต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ในโครงการ AI Innovation Jumpstart พร้อมรองรับ ARIPOLIS ในพื้นที่ EECi
สวทช. เปิดวาร์ป 20 ทีม รับทุนต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ในโครงการ AI Innovation Jumpstart พร้อมรองรับ ARIPOLIS ในพื้นที่ EECi กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) จัดเวทีนำเสนอผลงาน AI Innovation Jumpstart Batch2 BKK : Demo Day ภายใต้ "โครงการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (ARI Skill Development Project)" จำนวน 20 ผลงาน ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อนำเสนอผลงานที่พร้อมจะพัฒนาสินค้าและบริการ และนำเสนอต่อนักลงทุนแล้ว รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับ ARIPOLIS หรือเมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ในเขตพื้นที่ EECi ด้วยส่วนหนึ่ง เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยต่อไป พร้อมกันนี้ ทุกทีมยังได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมเช‘งพาณิชย์ ทีมละ 100,000 บาท โดยมี 3 ผลงานเข้าตาคว้า Popular Vote รางวัลละ 5,000 บาท รายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/th/news/13459
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – สวทช. ติวเข้ม ผู้ประกอบการอุตฯ เครื่องสำอาง เตรียมความพร้อมนำธุรกิจสู่ตลาดโลก
สวทช. ติวเข้ม ผู้ประกอบการอุตฯ เครื่องสำอาง เตรียมความพร้อมนำธุรกิจสู่ตลาดโลก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และโครงการบริหารจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (IM) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดอบรมวิชาการ Master Class EP II ในเรื่อง Global Gateway for Cosmetic Industry ภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเครื่องสำอางสู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2563 ระยะที่ 1 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และนักวิจัยพี่เลี้ยง กว่า 50 คน เพื่อให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติสู่เช‘งพาณิชย์ ก่อนที่จะคัดเลือกผู้ประกอบการ 3 ราย ร่วมงาน COSMETIC-360 ครั้งถัดไปที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ สร้างภาพลักษณ์ด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไทย รายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/home/news_post/cosmetic-360/
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – รัฐมนตรีกระทรวง อว. เดินหน้าขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรม EECi พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมฐานชีวภาพไทยด้วย วทน.
รัฐมนตรีกระทรวง อว. เดินหน้าขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรม EECi พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมฐานชีวภาพไทยด้วย วทน. 24 สิงหาคม 2563 - ณ พื้นที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง : ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อม ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการ รมว.อว. รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.อว. และ นายสำราญ รอดเพชร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ EECi และเยี่ยมชมสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) รวมถึงเยี่ยมชมสวนทุเรียนใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้วยการนำเทคโนโลยี IoT มาพัฒนาเป็น "ระบบติดตามสภาวะแวดล้อมและให้น้ำทุเรียน" รายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/th/news/13475-20200824_eeci
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – รัฐมนตรีกระทรวง อว. เยี่ยมสวนทุเรียน เน้นย้ำให้ความสำคัญเกษตรกรใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตสร้างรายได้
รัฐมนตรีกระทรวง อว. เยี่ยมสวนทุเรียน เน้นย้ำให้ความสำคัญเกษตรกรใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตสร้างรายได้ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อม ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการ รมว.อว. รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.อว. และ นายสำราญ รอดเพชร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. รศ. ดร.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมสวนทุเรียนใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้วยการนำเทคโนโลยี IoT มาพัฒนาเป็น "ระบบติดตามสภาวะแวดล้อมและให้น้ำทุเรียน" รายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/th/news/13476
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉ.6 – นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเคลือบนาโน หนุนการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเคลือบนาโน หนุนการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ลงพื้นที่วัดปากน้ำ (สมุทรคงคาราม) จังหวัดระยอง ในโครงการ "เทคโนโลยีสารเคลือบนาโนเพื่อการอนุรักษ์อาคารศาสนสถาน" ดูความก้าวหน้าจากการต่อยอดใช้ประโยชน์จากนาโนเทคโนโลยีสู่สารเคลือบพื้นผิว ลดการเกิดคราบสกปรก ตะไคร่น้ำ และเชื้อรา เพิ่มความคงทนและสวยงาม ลดต้นทุนการดูแลรักษาอาคารศาสนสถาน หนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รายละเอียดเพิ่ม https://www.nstda.or.th/th/news/13478-20200825-nano
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย

สวทช. กระทรวงอุดม-วิทย์ฯ จัดสัมมนาหนุนผู้ประกอบการอาหารไทยใช้ระบบออโตเมชันในกระบวนการผลิต นำไทยสู่ Thailand 4.0
ณ อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถ.แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) และเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ร่วมด้วยเครือข่ายพันธมิตร จัดงานอบรมเชิงปฏิบัติการ “Smart Food Factory 4.0 (อุตสาหกรรมอาหารในยุค 4.0)” เพื่อพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยมีผู้ประกอบการ SME ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารและที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานกว่า 200 คน
ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) สวทช. กล่าวว่า การอบรมเชิงปฏิบัติการ Smart Food Factory 4.0 หรืออุตสาหกรรมอาหารในยุค 4.0 ในครั้งนี้ ซอฟต์แวร์พาร์ค ร่วมมือกับ เมืองนวัตกรรมอาหาร และหน่วยงานพันธมิตร จัดขึ้น เพื่อให้ความรู้ในเรื่องการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ด้วยการผลักดันเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติ (Automation) ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหารมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน ซึ่งที่ผ่านมาตลอด 23 ปีของซอฟต์แวร์พาร์ค มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยมาอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นเครือข่ายอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่เข้มแข็ง และด้วยนโยบายการทำงานที่มุ่งเน้นขอบข่ายที่กว้างขวางขึ้น
ทั้งในด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ (ARI: Automation, Robotics and Intelligent System) เพื่อผลักดันให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารในยุค 4.0 โดยการสัมมนาครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความรู้ที่ผู้ประกอบการ SME สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต สร้างความร่วมมือ พร้อมได้เห็นตัวอย่างและแนวทางในการพัฒนา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 ต่อไป
ด้าน ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารได้รับผลกระทบกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก ที่มีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่า 30% ทั่วโลก ประกอบกับสถานการณ์โลกร้อน (climate change) ทำให้ทั่วโลกสามารถผลิตอาหารได้ลดลง และยังมีพื้นที่ในการปลูกและผลิตอาหารลดลงไปด้วย รวมถึงแรงงานที่มีค่าแรงเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เหตุนี้ อุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถนำเข้าแรงงานได้ในยุคสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ฉะนั้น การปรับตัวด้วยกระบวนการผลิตเป็น semi-automation หรือกึ่งอัตโนมัติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและมีภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะอุตสาหกรรมอาหารมีสัดส่วนมากถึง 25% ของอุตสาหกรรมทั้งประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ระบบออโตเมชันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม
“สวทช. มีกลไกการสนับสนุนภาคเอกชน และแพลตฟอร์มหลายอย่าง เช่น ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ที่มีโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP: ไอแทป) รวมถึงในอนาคตเร็ว ๆ นี้จะพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ทางด้านออโตเมชันที่จะรองรับอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งนับเป็นทั้งโอกาสและวิกฤตของประเทศในคราวเดียวกัน” ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ กล่าว
ทั้งนี้ ในงานมีการนำเสนอผลงานด้าน Digital Transformation จากเจ้าของเทคโนโลยีที่ผู้ประกอบการ SME ที่เกี่ยวข้อง สามารถนำไปปรับใช้รองรับกับการเปลี่ยนแปลงโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วด้วยกันหลายราย เช่น บริษัท ซี บี ฟู้ด-เทค จำกัด ผู้จำหน่ายและผลิตเครื่องจักรแปรรูปในอุตสาหกรรมอาหารตลอดจนระบบการควบคุมการทำงานแบบอัตโนมัติ บริษัท Abiz Technology จำกัด กับเทคโนโลยีเครื่อง scan วัด ขนาดเนื้อ สัตว์ แบบ 3D smart sensor และ บริษัท เซ็นเซอร์นิกส์ จำกัด กับแพลตฟอร์มธุรกิจอุตสาหกรรมอัจฉริยะ วิเคราะห์คุณภาพและประสิทธิภาพการผลิต (OEE) แบบ Real-time เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศการรับสมัครเข้าร่วมโครงการ Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme ประจำปี 2564 ภายใต้ทุน Newton Fund
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญชวนนักวิจัย บุคลากรในภาคการศึกษา และผู้ประกอบการ เข้าร่วมโครงการ Leaders in Innovation Fellowships (LIF) Programme ประจำปี 2564 ภายใต้ทุน Newton Fund ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกับ The Royal Academy of Engineering (RAEng) ประเทศอังกฤษ
วัตถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อสนับสนุนการสร้างศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการให้กับนักวิจัยของประเทศไทยและสนับสนุนให้ผลงานวิจัยเกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ รวมถึงการสร้างเครือข่ายของนักวิจัยและผู้ประกอบการในระดับนานาชาติ
ประโยชน์ที่จะได้รับ
ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการและผ่านการคัดเลือกจะได้เข้ารับการอบรม Introduction to Research Commercialisation ณ ประเทศไทย และนำเสนอผลงานในลักษณะ Investment Pitching กับคณะกรรมการเพื่อคัดเลือกให้เข้ารับการอบรมตามโปรแกรมของ RAEng ของประเทศอังกฤษ ซึ่งทำการอบรมทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ
คุณสมบัติของผู้สมัคร
ผู้สมัครต้องเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย พนักงานในหน่วยงานวิจัยของรัฐ ผู้ประกอบการเจ้าของนวัตกรรม หรือเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา กรณีที่เป็นนักศึกษาจะต้องมีจดหมายยืนยันและอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการจากอาจารย์ที่ปรึกษา
ผู้สมัครต้องเป็นเจ้าของผลงานวิจัยที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ (หากได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยโปรดระบุแหล่งทุนวิจัยในใบสมัครด้วย) โดยต้องเป็นงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับด้าน Food, Agricultural technologies, biotechnology, chemical engineering, civil engineering, computer science, design engineering, electrical and electronic engineering, ICT, materials science, mechanical engineering, and medical engineering และต้องไม่เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงของประเทศ หากผลงานวิจัยนั้นมีผู้ร่วมสนับสนุนทุนจากบริษัทหรือหน่วยงานอื่นๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร่วมสนับสนุนทุนให้นำผลงานวิจัยนั้นๆ เข้าร่วมในโครงการ
มีทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในระดับดีมาก
ผู้สมัครและได้รับการคัดเลือกต้องสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตลอดระยะเวลาการอบรม
กำหนดการ
14-30 กันยายน 2563 รับสมัครเข้าร่วมโครงการ
22 ตุลาคม 2563 ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกให้เข้ารับการอบรม ณ ประเทศไทย
1-5 พฤศจิกายน 2563 อบรม “Introduction to Research Commercialisation”
7 พฤศจิกายน 2563 นำเสนอแผนธุรกิจนวัตกรรม (Pitching) กับคณะกรรมการ
ธันวาคม 2563 ประกาศผลการพิจารณาจาก RAEng สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ารับการอบรมตามโปรแกรมของประเทศอังกฤษ
14-15 มกราคม 2564 กิจกรรมเตรียความพร้อมก่อนเข้ารับการอบรมตามโปรแกรมของประเทศอังกฤษ
1-5 กุมภาพันธ์ 2564 Stage 1: Onboarding & remote training and mentoring
มีนาคม – พฤษภาคม 2564 Stage 2: In-country training
มิถุนายน 2564 Stage 3: UK residential training event
กันยายน 2564 กิจกรรม Follow up หลังจากอบรมที่ประเทศอังกฤษ
ผู้สนใจ ส่งใบสมัครทางอีเมล์ lif@nstda.or.th ภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2563 เวลา 24.00 น. โดยอ้างอิงเวลาการส่งเมล์จากต้นทาง
ดาวน์โหลดใบสมัคร | doc | pdf |
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
คุณนพดร ปัญญาจงถาวร/คุณศุภกัญญา สกุลไพสิฐ
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โทรศัพท์ 0 2644 8150 ต่อ 81896, 81890
E-mail: nopadorn@nstda.or.th, supakanya@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

วิทย์สานศิลป์สู่พลังสร้างสรรค์ บ้านวิทย์ชวนเด็กพัฒนาสมองสองซีกซ้ายขวา พัฒนาสมดุลชีวิต
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ดำเนินกิจกรรม “สนุกวิทย์เก่งศิลป์สู่พลังสร้างสรรค์” ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ครูและเด็กได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมศิลปะภาพสีน้ำออแกนิคที่สกัดจากดอกไม้และใบไม้ พร้อมร่วมดื่มด่ำกับการเรียนรู้ธรรมชาติ และปรากฏการณ์ธรรมชาติ ผ่านดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า แสนน่ารัก ร่วมถึงพาเด็ก ๆ ทำของเล่นทำมือเอง เพื่อความอบอุ่นในครอบครัว และเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างวันที่ 11 - 25 กันยายน 2563
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมวิทย์สารศิลป์สู่พลังสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้สนใจและสังเกตธรรมชาติรอบตัวและนำมาสร้างสรรค์ผลงานที่ผสานทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะ วิทยาศาสตร์ทำให้ผลงานลุ่มลึก และมีกระบวนการพัฒนาชิ้นงานมีมาตรฐาน ส่วนศิลปะส่งเสริมเด็กให้มีความจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบผลงานให้สวยงามเหมาะกับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้บรรยายและแสดงกลวิทยาศาสตร์เรื่อง Art and Science in Colorful Flowers
ด้าน นางสาวนันทวัน วาตะ ครูสอนภาพวาดและนักวาดภาพประกอบ และเจ้าของเพจ กาแฟดำไม่เผ็ด ที่นำกิจกรรมอบรม ศิลปะภาพสีน้ำออแกนิคที่สกัดจากดอกไม้และใบไม้ กล่าวให้ฟังว่า “ธรรมชาติมีความสวยงามและสมดุลอยู่แล้ว อยากให้เด็กเข้าไปสังเกตโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แล้วมาสร้างสรรค์งานศิลปะ เช่น ลองมองไปที่ต้นชบาที่กำลังออกดอกสีแดง เราสังเกตโครงสร้าง และสัดส่วนของสีและขนาดของดอกชบากับต้น จะมีสัดส่วนที่ลงตัวของสีแดงของดอกและสีเขียวของใบ จะทำให้เด็ก ๆ เห็นความสวยงามในธรรมชาติเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และสร้างสรรค์งาน”
ทั้งนี้ กิจกรรม “สนุกวิทย์เก่งศิลป์สู่พลังสร้างสรรค์” ประกอบด้วย กิจกรรมที่หนึ่ง : สนุกกับการค้นพบสารสีในดอกไม้ ผักและผลไม้ นานาชนิด เด็ก ๆ ได้ค้นพบว่า ดอกอัญชันมีสารแอนโทไซยานินให้สีน้ำเงินม่วง ขมิ้นชันมีสีเหลืองจากเคอร์คูมินอยด์ ใบคะน้าสีเขียวจากคลอโรฟิลล์ มะเขือเทศมีสารสีแดงจากไลโคพีน สารแต่ละชนิดมีประโยชน์ในแง่อาหารและยา ตลอดจนนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ขณะที่กิจกรรมที่สอง : สกัดสีจากส่วนต่าง ๆ ของพืช แล้วนำไปทำเป็นสีน้ำออแกนิค วาดภาพสวยงาม สีน้ำดังกล่าวไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย เด็ก ๆ ได้สนุกกับการนำสีนานาชาติจากธรรมชาติมาวาดภาพประกอบ และลองนำเกลือแกงมาโรยบนภาพวาด ทำให้สีดูคล้ายลายหินอ่อนสวยงามไปอีกแบบ
ข่าวประชาสัมพันธ์

กระทรวงพลังงาน จับมือ กระทรวง อว. กำหนดทิศทางการวิจัยและพัฒนา หนุนใช้เทคโนโลยี ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศสร้างความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน
For English-version news, please visit : Ministry of Science and Ministry of Energy join hands for clean energy and energy security
14 กันยายน 2563 ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ กระทรวงพลังงาน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการกำหนดกรอบทิศทางและการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงาน เพื่อร่วมกำหนดกรอบนโยบายและทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานที่ชัดเจนสอดคล้องกับกรอบนโยบายพลังงานของชาติ ซึ่งยึดจากแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว 20 ปี รวม 5 แผน ได้แก่ การพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ อนุรักษ์พลังงาน พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก และบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน
โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธานและสักขีพยานในการลงนาม พร้อมด้วย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และ รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารร่วมลงนาม
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน ระหว่างกระทรวงพลังงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะมีส่วนช่วยกำหนดกรอบนโยบายและทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานที่ชัดเจน สอดคล้องนโยบายพลังงานของชาติตามแผนบูรณาการพลังงานระยะยาว 20 ปี โดยกลไกการดำเนินงานร่วมกันนี้จะช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน สอดรับกับแนวทางของกระทรวงพลังงานในการเตรียมพร้อมรับมือในยุคดิจิทัล 4D+1E คือ 1.DIGITALIZATION เช่น การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการพลังงานแบบอัจฉริยะ 2.DECARBONIZATION การลดคาร์บอน ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่มีการปล่อยคาร์บอนน้อยลง 3.DECENTRALIZATION การพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ รองรับการกระจายศูนย์สำหรับระบบผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ต่าง ๆ 4.DE-REGULATION การผ่อนปรนกฎระเบียบ การเปิด Sandbox ให้เกิดการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมด้านพลังงาน ส่งเสริมให้เกิด Start Up ด้านพลังงาน และ 5.ELECTRIFICATION เช่น การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า
“บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจที่เป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยเพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามบูรณาการพลังงานระยะยาว 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์ชาติอีกด้วย” ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าว
รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กระทรวง อว. มีนโยบายและให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านพลังงานและสร้างความเป็นเลิศในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงาน พร้อมทั้งเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนากับกระทรวงพลังงานและภาคส่วนต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนแผนพลังงานไปสู่การใช้งานจริง สำหรับ การลงนามความร่วมมือในวันนี้ เพื่อกำหนดกรอบนโยบายและทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกรอบนโยบายพลังงานของชาติ โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานทดแทน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากชีวมวลต่าง ๆ ระบบกักเก็บพลังงาน การจัดการพลังงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงการขับเคลื่อนวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงาน และนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์ พร้อมทั้งขยายผลในวงกว้าง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานของประเทศไทย ให้มีการกำหนดโจทย์ที่เหมาะสม ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของประเทศ และมีศักยภาพนำไปใช้ประโยชน์จริงให้กับทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังพัฒนาการดำเนินงานด้านวิชาการ สนับสนุนทรัพยากร และพัฒนาระบบข้อมูลด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานที่มีความทันสมัย ทั้งนี้ เพื่อลดการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ แก้ปัญหาในอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศ สร้างความมั่นคงให้กับประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ผนึกจังหวัดอุดรฯ หนุนแหล่งท่องเที่ยวไม้ดอกแห่งใหม่ ชู “ปทุมมาห้วยสำราญ” สายพันธุ์ใหม่จากงานวิจัย
จ.อุดรธานี - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี และเครือข่ายพันธมิตร พัฒนาพื้นที่ชุมชนแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านห้วยสำราญเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่
ชมความงามไม้ดอกได้ตลอดปี สร้างงานสร้างอาชีพให้ชุมชน ประเดิมจัดงาน “ปทุมมาเบ่งบาน เที่ยวห้วยสำราญสุขใจ” ชมความงามปทุมมาหลากสายพันธุ์ถึง 31 ตุลาคมนี้ พร้อมเปิดตัว “ปทุมมาห้วยสำราญ” ไม้ดอกหน้าฝนสายพันธุ์ใหม่
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากความร่วมมือระหว่าง สวทช. และจังหวัดอุดรธานี ในการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตสินค้าทางการเกษตรของจังหวัดอุดรธานี สอดคล้องกับแผน นโยบายและยุทธศาสตร์พัฒนาของจังหวัดที่จะยกระดับความเป็นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดนั้น สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) จึงได้ร่วมกับจังหวัดอุดรธานี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านห้วยสำราญ-ห้วยเจริญ ต.หนองไฮ อ.เมืองอุดรธานี พัฒนาพื้นที่ของชุมชนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ของจังหวัดอุดรธานี โดยนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน
“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านห้วยสำราญ-ห้วยเจริญ เป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตไม้ดอกไม้ประดับกลุ่มใหญ่ของจังหวัดอุดรธานี และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในช่วงฤดูไม้ดอกผลิบาน เว้นแต่ในช่วงฤดูฝนที่ยังขาดพันธุ์ไม้ดอกที่หลากหลาย ดังนั้นเพื่อให้การท่องเที่ยวมีความต่อเนื่องได้ตลอดทั้งปี สท. จึงได้ร่วมกับนักวิจัย สวทช. และผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปทุมมาให้กับกลุ่มฯ ทำให้สมาชิกกลุ่มฯ รู้จักไม้ดอกชนิดนี้มากขึ้น ทั้งสายพันธุ์ วิธีการปลูก การเก็บหัวพันธุ์จำหน่าย ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากดอกปทุมมา ซึ่งปทุมมาเป็นไม้ดอกที่ผลิบานในช่วงฤดูฝน มีความเหมาะสมที่จะใช้ปลูกในพื้นที่ท่องเที่ยวได้ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ สามารถปลูกเป็นไม้กระถาง ไม้ตัดดอกขายหรือจำหน่ายหัวพันธุ์ได้ ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกหัวพันธุ์ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านหัวต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลเฉลี่ยปี 2559 - 2561)
นอกจากนี้ นักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และห้างหุ้นส่วนจำกัด ลัคกี้ซีดส์ อโกร ยังได้ร่วมกันพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ปทุมมาหลายสายพันธุ์ด้วยเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ภายใต้ “โครงการพัฒนาไม้ดอกสกุลขมิ้นเพื่อการค้าพันธุ์ใหม่” โดยหนึ่งในสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้มอบให้กลุ่มวิสาหกิจฯ แห่งนี้ และตั้งชื่อว่า พันธุ์ห้วยสำราญ ทั้งนี้การพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่นี้ยังได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในการออกแบบพื้นที่ (landscape) ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมต่อการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย”
รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า จากการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตปทุมมาให้กับกลุ่มเกษตรกร นอกจากความรู้และความเข้าใจการผลิตไม้ดอกชนิดนี้ที่สามารถปลูกจำหน่ายทั้งในรูปแบบตัดดอก ไม้กระถาง หรือจำหน่ายหัวพันธุ์แล้ว หากยังเกิดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพื้นที่ในช่วงฤดูฝน สร้างรายได้ให้ชุมชน ซึ่งการจัดงาน “ปทุมมาเบ่งบาน เที่ยวห้วยสำราญสุขใจ” ระหว่างวันที่ 11 กันยายน-31 ตุลาคม 2563 จะเป็นมิติใหม่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้รับทั้งความรู้และชมความสวยงามของไม้ดอกปทุมมา
นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ดอกไม้ประดับบ้านห้วยสำราญ-ห้วยเจริญ เป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตไม้ดอกไม้ประดับกลุ่มใหญ่ของจังหวัดอุดรธานี มีสมาชิก 104 ราย ปลูกไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายพันธุ์ เช่น มะลิร้อยมาลัย เบญจมาศ ดาวเรือง ดอกพุด คัตเตอร์ กุหลาบร้อยมาลัย เป็นต้น เกษตรกรมีทักษะการผลิตไม้ตัดดอกและต้องการไม้ดอกพันธุ์ใหม่ๆ ที่ปลูกในหน้าฝนได้และสามารถต่อยอดเพิ่มมูลค่าไม้ดอกไม้ประดับในรูปแบบอื่น “ความร่วมมือกับ สท./สวทช. ทำให้เกษตรกรได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตปทุมมา ซึ่งเป็นไม้ดอกหน้าฝนที่คุ้นเคย แต่ยังขาดความรู้และความเข้าใจทั้งเรื่องสายพันธุ์ การปลูก การใช้ประโยชน์ ที่สำคัญช่วยเพิ่มชนิดไม้ดอกที่จะสร้างรายได้ให้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจฯ และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มฯ ได้เปิดให้ท่องเที่ยวชมแปลงไม้ดอกไม้ประดับฤดูหนาวในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ สร้างรายได้ให้ชุมชนได้กว่า 2 แสนบาท การพัฒนาพื้นที่บ้านห้วยสำราญให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรได้ตลอดทั้งปีนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกรมชลประทานในการปรับปรุงและใช้พื้นที่โดยรอบ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกรนอกเหนือจากปลูกไม้ดอกส่งขายอย่างเดียว หากยังยกระดับการผลิตสินค้าทางการเกษตรและความเป็นเมืองท่องเที่ยวของจังหวัดอีกด้วย”
ดร.ธราธร ทีรฆฐิติ นักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ปทุมมาสายพันธุ์ห้วยสำราญ ที่พัฒนานี้ มีลักษณะเด่นของสายพันธุ์นี้คือ สีสดใส แตกกอดี เหมาะสำหรับเป็นทั้งไม้ตัดดอกไม้กระถางและไม้ประดับแปลง “ตลาดไม้ดอกไม้ประดับแหล่งใหญ่ของโลกอยู่ที่ยุโรป โดยมีเนเธอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางตลาดที่สำคัญ ปทุมมาของไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้พัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ปทุมมาให้มีสีสัน รูปทรง และการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกับไม้ดอกปทุมมามีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มตลาดยุโรปต้องการปทุมมาพันธุ์ใหม่ที่มีขนาดต้นเล็กลง เป็นทรงพุ่ม/กอ และสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ที่ทำให้ได้ต้นพันธุ์สะอาด ตรงตามสายพันธุ์ และเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว”
เกี่ยวกับ สท.
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) เป็นหน่วยงานภายใต้ สวทช. มีภารกิจเร่งรัดให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การใช้งานจริงในภาคการเกษตร เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่า/รายได้ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรและชุมชน สร้างและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของเกษตรกรและชุมชน ตลอดจนเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือจากภาคการผลิตสู่ภาคการตลาด
ข่าวประชาสัมพันธ์

นวัตกรรม ‘กิน-อยู่’ เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ
ในงาน Healthcare 2020 ภายใต้แนวคิด สุขภาพดี วิถีใหม่ ใจชนะ ของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีหัวข้อเสวนาที่น่าสนใจเข้ากับกระแสสังคมสูงวัย คือ Health Forum : MTEC กับนวัตกรรมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีนักวิจัยไทยมาแชร์และโชว์นวัตกรรมการ ‘กิน-อยู่’ จากงานวิจัยที่ใช้ได้จริง เพื่อให้สังคมไทยเตรียมพร้อมสำหรับการรองรับสังคมสูงวัย ผ่านประสบการณ์และองค์ความรู้จาก 3 นักวิจัยไทย ได้แก่ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม ดร.บุญล้อม ถาวรยุติการต์ หัวหน้าทีมวิจัยอุปกรณ์เฉพาะบุคคล และ ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร จากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ กล่าวว่า การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้โดนใจผู้สูงอายุนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องมีเป็นลำดับแรก มีคือมีประโยชน์ ตามด้วยมีความดึงดูดด้วยดีไซน์ที่น่าใช้งาน โดยที่ผู้ใช้ต้องไม่รู้สึกว่าดูเป็นคนแก่เกินไป และไม่ขัดกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นทีมวิจัยเอ็มเทค ได้ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างผู้สูงอายุ ได้แก่ ลูกๆ หลานๆ ที่เป็นผู้ดูแลเองที่บ้าน รวมถึงพยาบาลที่ได้มาให้ข้อมูลกับทีมวิจัยเพิ่มเติม
“ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. จะใช้กระบวนการออกแบบที่นำเอาผู้ใช้มาเป็นศูนย์กลางในการออกแบบ หรือ Human-centric design โดยให้ความสำคัญทั้งผู้สูงอายุ และผู้ดูแล ในทุกช่วงของการออกแบบอุปกรณ์การใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ”
ผลงานเตียงตื่นตัว คือ หนึ่งในผลงานที่ทีมวิจัยได้รับการตอบรับอย่างดี โดยเป็นเตียงนอนที่ช่วยให้ผู้สูงอายุ ลุก-นั่ง ยืน-ก้าวลงจากเตียงด้วยตนเองอย่างมั่นใจและปลอดภัย การใช้งานก็ง่ายและสะดวก ผู้สูงอายุสามารถปรับเปลี่ยนจาก “ท่านอน” มาสู่ “ท่านั่ง” ด้วยตนเอง ผ่านการกดรีโมตเพียงปุ่มเดียว อีกทั้งเตียงยังปรับหมุนไปด้านซ้ายขวาในมุม 90 องศา ในลักษณะ “พร้อมลุกยืน” ได้ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการนอนติดเตียงและการพลัดตกหกล้ม ที่สำคัญโครงสร้างเตียงมีความแข็งแรง ปลอดภัยต่อการใช้งานสูง
นอกจากนั้นแล้วยังมีผลงาน “เกมฝึกสมอง ชื่อ MONICA” ที่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์ผู้สูงวัย สุขกายสุขใจ สถาบันประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้สูงอายุโรคสมองเสื่อม ประเภท Daycare และโรงพยาบาลรามาธิบดี มีรูปแบบวิธีการดูแลผู้สูงอายุด้วยการทํากิจกรรมบําบัด จนเกิดเป็นนวัตกรรม เกมฝึกสมอง สําหรับช่วยฝึกสมาธิ ความจํา การเรียนรู้ การมองเห็นและตอบสนอง การวางแผน การตัดสินใจ และยังช่วยเพิ่มความภูมิใจให้ผู้สูงอายุมั่นใจในความสามารถของตนเองด้วยการเอาชนะระดับความยากที่เพิ่มขึ้นของเกม ผู้สนใจฝึกสมองป้องกันภาวะสมองเสื่อมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ฟรีที่ App store https://apps.apple.com/th/app/monica/id1260878586 และที่ Play store https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.digitalpicnic.monica
นวัตกรรมวัสดุและเทคโนโลยีกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นกับกลุ่มผู้สูงอายุ ต้องใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แบบไหนลักษณะใดจะเข้ากับผู้สูงอายุแต่ละคน ทีมวิจัยเอ็มเทค ให้ความสนใจกับการออกแบบ ‘อุปกรณ์เฉพาะบุคคล’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญาทางร่างกายและความแตกต่างในสรีระของแต่ละบุคคลแล้ว ยังช่วยให้ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตนเองได้ใช้ประโยชน์เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้ด้วย
ดร.บุญล้อม ถาวรยุติการต์ กล่าวว่า ทีมวิจัย ได้ออกแบบแผ่นรองในรองเท้าเฉพาะบุคคล หรือ 3D soleⓜ เนื่องจากอาการปวดเท้าเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่สามารถประสบด้วยตัวเอง แม้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่หากมีอาการสะสมนานขึ้นจะเกิดการเรื้อรังและส่งผลต่ออาการปวดในอวัยวะอื่นๆ ตามมา เช่น เข่า สะโพก และหลัง อาการปวดเท้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อของเท้าที่ผิดปกติ อายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ร่างกายมีการเสื่อมของเอ็นและกล้ามเนื้อส่งผลทำให้สรีระของเท้ามีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากส่งผลให้เท้าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีลักษณะอุ้งเท้าแบนหรือเท้าไม่มีอุ้ง
“3D soleⓜ หรือแผ่นรองในรองเท้าเฉพาะบุคคล ใช้การออกแบบให้เหมาะสมกับสรีระเท้าของแต่ละบุคคล ทำให้ช่วยกระจายการลงน้ำหนักของร่างกายได้อย่างสมดุลในเวลายืนหรือเดินได้ ลดอาการปวดเท้าลงได้ และช่วยพยุงอุ้งเท้าอย่างมีเสถียรภาพ ไม่ทรุดตัว และแตกหัก เป็นอุปกรณ์ที่ทีมวิจัยคัดเลือกและพัฒนาวัสดุพอลิเมอร์ขึ้นมา ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบอุปกรณ์ตามหลักกายวิภาคศาสตร์ และใช้เทคโลยีการพิมพ์สามมิติมาช่วยในการผลิตอุปกรณ์ ซึ่งทำให้อุปกรณ์มีความเที่ยงตรงสูงและผลิตได้รวดเร็ว อีกทั้งยังมีบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษาในการออกแบบด้วย”
ดร.บุญล้อม กล่าวว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต้นแบบ “อุปกรณ์พยุงหลังเฉพาะบุคคล” ที่ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ เพื่อช่วยพยุงกระดูกสันหลังไม่ให้เคลื่อนที่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจะมีภาวะกระดูกพรุน และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกสันหลังหักได้ โดยอุปกรณ์นี้ยังมีความสำคัญกับกลุ่มผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังคดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งในขณะที่กำลังมีการเจริญเติมโตกระดูกสันหลังอาจมีการคดหรือบิดได้ หากผู้ปกครองพบว่าลูกหลานเริ่มเป็นโรคกระดูกสันหลังคด อุปกรณ์นี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะป้องกันและลดองศาของกระดูกสันหลังที่คดได้
อาหารเป็นอีกปัจจัยสำคัญการดำรงชีวิต แต่อาหารสำหรับผู้สูงอายุที่เหมาะต่อการบดเคี้ยว การช่วยย่อยง่ายให้ง่ายขึ้นและยังคุณค่าทางอาหารนั้น อาจจะยังไม่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุในปัจจุบัน ทีมวิจัยเอ็มเทค จึงนำองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ มาออกแบบอาหารตามที่ต้องการได้ หรือเรียกว่า ‘อาหารออกแบบได้’
ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส กล่าวว่า ทีมวิจัยเอ็มเทค ออกแบบอาหารโดยอาศัยแนวคิดทางวัสดุศาสตร์ 3 ด้านได้แก่ การเข้าใจโครงสร้าง การเข้าใจคุณสมบัติ และวิธีการผลิตอาหาร
‘ไส้กรอกไขมันต่ำ’ คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารไขมันต่ำที่ทีมวิจัยเอ็มเทคได้พัฒนาสำเร็จและถ่ายทอดให้บริษัทขายแล้ว โดยได้ปรับลดปริมาณไขมันในไส้กรอกจากเดิม 25% ให้เหลือเพียง 3% ซึ่งเมื่อนำไขมันออกมาแล้ว ทีมวิจัยได้ใช้สารทดแทนไขมันที่เหมาะสมและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยใช้องค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ไส้กรอกไขมันต่ำที่มีคุณภาพทางประสาทสัมผัสใกล้เคียงสูตรดั้งเดิม
นอกจากนี้ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุในการรับประทานอาหาร คือ การอาการสำลักอาหาร ซึ่งเกิดจากอวัยวะในช่องปากเสื่อมลง และไม่สามารถดื่มน้ำหรือบริโภคของเหลวได้เหมือนคนปกติ ทีมวิจัยเอ็มเทค จึงได้ร่วมงานกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการพัฒนา ‘ผงเพิ่มความหนืด’ ที่สามารถใช้เติมไปในน้ำและเครื่องดื่มให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการไหลเข้าสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่เกิดการติดอยู่บริเวณคอหอยหรือหลุดเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสำลักได้ ในเรื่องการบดเคี้ยวอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ทีมวิจัยยังสามารถใช้องค์ความรู้ในการปรับโครงสร้างของเนื้อสัตว์ ให้เกิดการแตกหักง่ายขึ้น เมื่อผู้สูงอายุรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ง่ายๆ จากการใช้เหงือกหรือการใช้ลิ้นดุนเพื่อให้เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ และเกิดการย่อยได้ง่ายขึ้น และในปัจจุบัน ทีมวิจัยกำลังศึกษาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D food printing) เพื่อตอบรับความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคล ที่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
เหล่านี้คือตัวอย่างผลงานนวัตกรรมจากนักวิจัยไทย ที่พัฒนานวัตกรรมเพื่อการกินอยู่ เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์