หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
3 กระทรวง เผยปัจจัยสู่ความสำเร็จ ‘โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ’
เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) เข้าร่วมสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2564 ในหัวข้อ "โควิด-19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ จัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือโดยมี นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวง พม. เป็นประธานเปิดงาน ภายในงานมีเวทีเสวนา ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ พร้อมพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการของหน่วยงานภาคีเครือข่าย จำนวน 72 หน่วยงาน ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ระหว่างสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคมต่อไป นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. กระทรวง อว. กล่าวว่า ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับคนพิการติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564  ซึ่งเกิดจากความร่วมมือในทุกภาคส่วนที่จับมือกัน โดยทุกหน่วยงานมีความเห็นชอบในทางนโยบายร่วมกันรวมถึงเห็นความสำคัญ อีกสิ่งหนึ่งคือการสร้างความมั่นใจให้กับทีมที่ต้องปฏิบัติงาน หรือทีมที่เข้ามาสนับสนุนในอาคารสถานที่ เช่น แม่บ้าน ช่าง พนักงานที่ทำงาน โดยมีการให้พนักงานทุกคนได้ฉีดวัคซีน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ ให้กับคนทำงานว่าจะไม่นำเชื้อไปแพร่ให้กับครอบครัวที่บ้าน ในด้านนวัตกรรม สวทช. ได้มีกระบวนการเรียนรู้และนำนวัตกรรมมาใช้กับทางกลุ่มผู้พิการ โดยนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งหมด สวทช. ได้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนโรงพยาบาลอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของนวัตกรรมที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ จะมีการนำมาใช้อย่างเหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น MagikTuch ระบบลิฟต์ไร้สัมผัส เปลความดันลบไว้สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 Girm Zaber UV-C Sterilizer อุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวี-ซี ซึ่งมีทั้งระบบแบบ station และหุ่นยนต์บังคับ สำหรับใช้ทำความสะอาดทั้งก่อนเริ่มใช้พื้นที่และหลังใช้พื้นที่ ด้านอุปกรณ์ป้องกัน มีการพัฒนาหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie Plus) และหน้ากาก N95 nBreeze มีหมวกความดันลบและความดันบวก และในส่วนของเทคโนโลยีอีกกลุ่มหนึ่งที่นำเข้าไปช่วย คือระบบติดตามสุขภาพ หรือ A-MED Telehealth ที่ถูกขยายผลนำไปใช้ในหลายหน่วยงานและโรงพยาบาลสนามอื่นๆ สำหรับการติดตามผู้ป่วยทางไกล โดยปัจจุบันถูกนำไปใช้ดูแลผู้ป่วยในระบบ Home Isolation และ Community Isolation นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลแบบเคลื่อนที่ได้ (BodiiRay M) สำหรับเอกซเรย์ปอด และระบบบริการล่ามทางไกล ซึ่ง สวทช. มีศูนย์ที่ทำงานร่วมกับมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการเรียกว่าศูนย์ TTRS มีบริการล่ามให้แพทย์และผู้พิการตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีเรื่องของรถบังคับส่งของทางไกล “อารี” และ “ปิ่นโต 2” ได้รับความร่วมมือจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. และกรมวิทยาศาสตร์บริการนำมาสนับสนุนเพื่อลดการสัมผัสอีกด้วย นางสาวเสาวลักษณ์ วิจิตร ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. กล่าวว่า ปัจจัยสู่ความสำเร็จ มี 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1.ผู้บริหารของแต่ละหน่วยงานสนับสนุนนโยบาย 2.ทีมทำงานมีความเข้มแข็ง พร้อมในการปฏิบัติงานและชัดเจนในบทบาทหน้าที่ 3.การมีเครื่องมือสนับสนุนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคู่มือในการปฏิบัติงาน แนวทางการทำงานที่ชัดเจน เครื่องมือในการปฏิบัติงานหรือนวัตกรรมที่สนับสนุน เครื่องอุปโภคบริโภคที่ได้รับจากการบริจาครวมถึงสวัสดิการด้านที่พัก รถสำหรับเคลื่อนย้ายผู้พิการ และการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และ 4.เครือข่ายพร้อมให้ความช่วยเหลือ ทั้งองค์กรด้านคนพิการ หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ภาคประชาชนที่เป็นอาสาสมัคร หรือภาคเอกชนที่สนับสนุนการทำงาน ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการสามารถดำเนินงานได้ นอกจากนี้ยังสามารถขยายผลต่อได้ในเชิงรูปแบบ คือการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามตามประเภทความพิการ การจัดตั้งศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียวสำหรับคนพิการทุกประเภทความพิการ การส่งต่อในระบบ Home Isolation (HI) และ Community Isolation (CI) และการขยายผลในเชิงกระบวนการ สู่ระดับจังหวัด โดยบูรณาการความร่วมมือหลักของกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้แก่  พม. สธ. มท. และ อว. รวมถึงองค์กรคนพิการในพื้นที่ ผู้ช่วยเหลือคนพิการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งปัจจุบันจังหวัดสุรินทร์ได้นำไปขยายผล โดยเปิดศูนย์บริการคนพิการจังหวัด และมีการเชื่อมโยงประสานกับแพทย์ในระดับพื้นที่ ผู้นำคนพิการในพื้นที่ สถาบันการศึกษา รวมถึงท้องถิ่นในการขับเคลื่อนการทำงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับกระบวนการในการทำงานที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ แพทย์หญิงบุษกร โลหารชุน รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ถือว่าเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการต้นแบบของประเทศไทย และต้องขอบคุณทีมนักวิจัย สวทช. ที่มีบทบาทสำคัญในการนำนวัตกรรมมาใช้ในโรงพยาบาลสนามฯ พิสูจน์ว่าทุกนวัตกรรมสามารถใช้ได้จริง และมีการพัฒนาปรับปรุงอุปกรณ์ให้ใช้ได้สะดวกตามความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยที่เป็นคนพิการ โดยเฉพาะอุปกรณ์ติดตามอาการและเครื่องมือสื่อสารกับผู้พิการที่พัฒนาโดย สวทช. ทำให้ลดอุปสรรคการสื่อระหว่างแพทย์และผู้พิการทางการได้ยินและการมองเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสถิติคนพิการที่เข้ารับการักษาที่โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ตั้งแต่ 1 มิถุนายน จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ย.2564) มีผู้ป่วยสะสม 619 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 506 ราย อายุผู้ป่วยเฉลี่ย 42 ปี โดยมีอายุต่ำสุด 2 เดือน และอายุสูงสุด 90 ปี ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีทั้งพิการทางการมองเห็น พิการทางการได้ยิน พิการทางการเคลื่อนไหว และพิการทางสติปัญญา นอกจากนั้นแล้วสิ่งสำคัญคือการร่วมสำรวจองค์ความรู้ทางการแพทย์ เพื่อประเมินว่าเมื่อจะต้องจัดวอร์ดพิเศษหรือหอผู้ป่วยพิเศษเพื่อรองรับภาวะโรคระบาดนี้จะทำอย่างไรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและชุมชนเกิดความมั่นใจ ในเรื่องของการดูแลการส่งต่อการบริหารจัดการทีมภายในจังหวัด การดูแลเตียงในระดับสีต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญมาก และการทำ HI อย่างไรให้ประชาชนเกิดความมั่นใจว่ายังอยู่ในการดูแลของแพทย์ แม้จะอยู่ที่บ้าน รวมไปถึงการประเมินในการเข้าถึงเวชภัณฑ์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและการรักษาที่สมบูรณ์ ซึ่งในการทำงานนั้นไม่สามารถดำเนินงานเพียงองค์กรเดียวได้ จำเป็นต้องอาศัยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคมเพื่อช่วยในด้านของการประสานงานเพื่อตอบรับ หรือเพื่อก้าวข้ามระเบียบ หรือข้อจำกัดบางอย่างในภาวะวิกฤติซึ่งในส่วนนี้ภาคประชาสังคมถือว่ามีส่วนสำคัญมาก ด้าน นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ ถือว่าเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน และหวังว่าจะเป็นโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการต้นแบบต่อไปในอนาคต เพราะเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ซึ่งปัจจัยของความสำเร็จอีกหนึ่งสิ่ง คือการมีเป้าหมายเดียวกันในการช่วยเหลือผู้พิการและสังคม จะเห็นว่าทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องเห็นตรงกันและทำงานอย่างทุ่มเท โดยจะเห็นได้จากการที่ผู้ใหญ่ระดับกระทรวงทั้ง 3 กระทรวง ร่วมเปิดโรงพยาบาลสนามฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าผู้บริหารมีความตระหนักในเรื่องนี้ ทำให้ทุกอย่างที่เป็นทรัพยากรถูกนำมาใช้ที่โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ นำไปสู่การขยายผลในเชิงนโยบายตามมา เกิดระบบวิธีคิดในการทำให้คนพิการอยู่ในกระแสหลักของสังคม และเกิดระเบียบปฏิบัติที่รองรับการทำงาน ซึ่งจะเป็นตัวตั้งต้นที่ทำให้เกิดแนวนโยบาย ให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้ ซึ่งในอนาคตอยากนำ 4 ชุดความรู้ ได้แก่ 1. ชุดความรู้ในการพัฒนานโยบายสาธารณะ 2. ชุดความรู้ในเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยี 3. ชุดความรู้ในเรื่องของการขับเคลื่อนสวัสดิการ ด้านสุขภาพ และสวัสดิการสังคมสำหรับกลุ่มเปราะบาง และ 4. ชุดความรู้ในเรื่องขององค์กรช่วยเหลือตนเองของผู้พิการ มาเป็นโมเดลต่อยอดสู่การสร้างแผนรับมือภัยพิบัติและวิกฤติโรคระบาดในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
คพ. ผนึก สวทช. ใช้ ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์’คาดการณ์ฝุ่น PM 2.5 รู้ล่วงหน้า 3 วัน
กรมควบคุมมลพิษ ผนึกกำลังบุคลากรและเครื่องมือ สวทช. ใช้ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง หรือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) จากศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง หรือ ThaiSC  พัฒนาการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เฉพาะทางด้านมลพิษทางอากาศ (WRF-chem) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า ช่วยรองรับการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ล่วงหน้า 3 วัน (วันที่ 10 กันยายน 2564) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ. สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) และ ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยโครงสร้างพื้นฐานซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง พร้อมด้วยผู้บริหารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นำโดย นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมด้วย นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายพันศักดิ์ ถิรมงคล ผู้อำนวยการกองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง และ ดร. ศักดา ตรีเดช ผู้อำนวยการศูนย์แบบจำลองคุณภาพอากาศ และภูมิศาสตร์สารสนเทศ ร่วมแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการคาดการณ์คุณภาพอากาศ และระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ระหว่าง กรมควบคุมมลพิษ กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า กรมควบคุมมลพิษ ได้พัฒนาระบบการคาดการณ์คุณภาพอากาศ สำหรับใช้ประเมินสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ และพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล โดยรับการสนับสนุนการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทำให้การคาดการณ์สถานการณ์ปัญหา PM 2.5 ของประเทศ มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจ และวางแผนบริหารจัดการเพื่อตอบโต้สถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยรัฐบาลและทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าว เพื่อการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง และแผนเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง 12 ข้อ ทำให้สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ. สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถในการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์บนระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ซึ่ง สวทช. มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและโครงสร้างพื้นฐานอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center) หรือ ThaiSC ซึ่งเป็นหน่วยงานของ สวทช. ที่มีภารกิจหลักตามพันธกิจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยทำให้คณะทำงานด้านการประมวลผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กของกรมควบคุมมลพิษ สามารถประมวลผลระบบคาดการณ์สถานการณ์มลพิษอากาศในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า จากเดิมใช้เวลาคำนวณ 11.5 ชั่วโมง ลดลงเหลือเพียง 45 นาที ทำให้กรมควบคุมมลพิษคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน ขั้นตอนการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก เริ่มจากการนำข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา มาใช้ในการเตรียมข้อมูลบน Computer Workstation ที่กรมควบคุมมลพิษ จากนั้นจึงถ่ายโอนข้อมูลดังกล่าวไปยังระบบ High-Performance Computing หรือ HPC ของศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง สวทช. เพื่อประมวลผลโดยใช้แบบจำลองคณิตศาสตร์เฉพาะทางด้านมลพิษอากาศ ด้วยประสิทธิภาพระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของ สวทช. ทำได้สามารถประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยข้อมูลผลการคำนวณที่ได้จะถูกถ่ายโอนกลับมายัง Computer Workstation ที่กรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์และจัดรูปแบบการแสดงข้อมูลเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ Air4Thai.com และสื่อออนไลน์ของทาง คพ. และแอปพลิเคชัน ‘รู้ทัน’ ของเนคเทค สวทช. เพื่อรายงานและแจ้งเตือนสถานการณ์มลพิษทางอากาศให้กับประชาชน ทั้งนี้ภายใต้ความร่วมมือในระยะเวลา 3 ปีแรกนับจากนี้ สวทช.มุ่งหวังว่าจะสามารถการสนับสนุนการใช้งานและการให้คำแนะนำปรึกษาเชิงเทคนิค สำหรับการประมวลผลบนระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง เพื่อสนับสนุนให้ทางกรมควบคุมมลพิษสามารถพัฒนาระบบคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM2.5 ได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วประเทศ รวมถึงสามารถคาดการณ์สถานการณ์มลพิษอากาศอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารและจัดการคุณภาพอากาศของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป นับแต่ได้เริ่มเปิดให้บริการ ThaiSC ได้สนับสนุนงานวิจัยที่มีความสำคัญเร่งด่วน และสร้างผลกระทบในระดับประเทศ อาทิ โครงการการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิคทางเคมีคำนวณขั้นสูง, โครงการถอดรหัสจีโนมสายพันธุ์ SAR-CoV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย รวมไปถึงโครงการระบบคาดการณ์สถานการณ์มลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นที่มาความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ กรมควบคุมมลพิษ โดย สวทช. จะสนับสนุนการใช้งานบนระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของ ThaiSC รวมถึงให้คำแนะนำในการบริหารจัดการและการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงของกรมควบคุมมลพิษ และให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคสำหรับการประมวลผลระบบคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบคาดการณ์คุณภาพอากาศร่วมกันเพื่อนำไปสู่การบริหารและจัดการคุณภาพอากาศของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ดร.เอนก โชว์ 12 ผลงาน “12 เดือน 12 ดี” ผลงานของ อว.
วันที่ 9 ก.ย. ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าว “12 เดือน 12 ดี” ผลงานของ อว. ในรอบปีงบประมาณ 2564 ว่า ผลงานทั้ง 12 เรื่องของ อว. มีทั้งเรื่องการสร้างผลประโยชน์ในระยะสั้น หรือเฉพาะหน้าเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน และสร้างผลประโยชน์ระยะกลางและระยะยาวให้กับประเทศ โดยในระยะสั้นที่ อว.ดำเนินการ อาทิ โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศหรือ U2T ที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานจากวิกฤติโควิด-19 เป็นการจ้างงานของรัฐบาลที่ทำได้อย่างรวดเร็วที่สุด ทำให้คน 6 หมื่นคนที่เป็นลูกหลานชาวบ้านได้มีงานทำกระจายไป 3 พันตำบลทั่วประเทศและเป็นครั้งแรกที่เอามหาวิทยาลัยกว่า 76 แห่งลงสู่ตำบลเพื่อทำงานร่วมกับชุมชน ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชนหลายร้อยล้านบาท ล่าสุดกำลังขออนุมัติโครงการ U2T ในระยะที่ 2 อีก 4 พันกว่าตำบลเพื่อจ้างงานอีกกว่า 1.2 แสนคน ใช้งบประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท รมว.อว.กล่าวต่อว่า เรื่องต่อมาคือ รพ.สนามสู้ภัยโควิด ที่เป็นกองหนุนในยามวิกฤติ อว.เปิด รพ.สนาม 60 กว่าแห่งทั่วประเทศเกือบครบทุกจังหวัดโดยใช้เครือข่ายมหาวิทยาลัย รับคนไข้มาแล้ว 6-7 หมื่นคน การสร้าง รพ.สนาม เป็นการผันตัวเองอย่างรวดเร็วของ อว.ในยามวิกฤต แสดงให้ประชาชนเห็นว่ามหาวิทยาลัยลงจากหอคอยงาช้าง หน่วยงานวิจัยออกจากป้อมปราการ เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนต่อสู้ในยามวิกฤติ ต่อมาคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด โดย อว. ได้เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล 14 จุดและต่างจังหวัด 76 จุด ซึ่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วกว่า 7 แสนโดส นอกจากนี้ ยังมีโครงการ อว.พารอด เป็นโครงการที่ดึงจิตอาสาและอาสาสมัครมาช่วยผู้ป่วยโควิดทรี่กักตัวอยู่บ้านหรือในชุมชน โดยการโทรศัพท์ไปให้กำลังใจและคำปรึกษาพร้อมส่งกล่องยาสมุนไพรและอุปกรณ์จำเป็นไปให้ โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐเอกชนมาร่วมบริจาคสิ่งของจนเกิดเป็นพลังขับเคลื่อนทางสังคม ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการ BCG โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลที่ อว.ร่วมขับเคลื่อน ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศในระยะกลางและระยะยาวเพื่อนำไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม 4.0 และนำไปประเทศไทยไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจแบบทำน้อยได้มาก ไม่ใช่ทำมากได้น้อยเหมือนเดิมอีกต่อไป ขณะเดียวกันมีโครงการธัชชาหรือวิทยสถานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์แห่งประเทศไทย เพื่อทำให้เห็นว่า อว.ไม่ได้มีแค่วิทยาศาสตร์ เทคโลยีและนวัตกรรม แต่ยังมีเรื่องของสังคมศาสตร์ฯ ด้วยเพื่อสร้างความสมดุลให้กับทุกศาสตร์ ผลงานสำคัญคือการทำเรื่องสุวรรณภูมิศึกษา เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศไทยย้อนหลังไป 2,500 – 3,000 ปี เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าคนไทยมีอารยธรรมและยังช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ “ที่สำคัญยังมีผลงานเรื่องการวิจัยความยากจนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยการทำวิจัยใน 10 จังหวัดที่ยากจนที่สุดของประเทศไทยจนได้ตัวเลขคนจนจริงๆ มากว่า 4 แสนคน เพื่อจัดทำเป็นบิ๊กดาต้านำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนที่ตรงจุดและแม่นยำ พร้อมมีการติดตามประเมินผลจนกว่าจะหายจนอีกด้วย” รมว.อว.กล่าวและว่า ยังมีเรื่องของการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการโดยไม่ต้องส่งงานวิจัยหรือตำราก็ได้ โดยมีคุณสมบัติ อาทิ ทำงานรับใช้สังคมและท้องถิ่น ทำงานสร้างสรรค์หรือด้านศิลปะ มีการสอนที่เป็นเลิศ เป็นต้น การลดค่าเทอมเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาและผู้ปกครองในช่วงเป็นการแบ่งเบาภาระที่เป็นรูปธรรมอีกผลงานหนึ่งของ อว. ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวด้วยว่า ขณะที่ การยกเลิกการกำหนดระยะเวลาสำเร็จการศึกษา เรียนไม่จบไม่ต้องถูกรีไทร์ เป็นอีกเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนไปด้วยพร้อมกับทำงานไปด้วย ผลงานต่อมาคือเรื่องของ TSC โครงการสำรวจอวกาศที่ใหญ่ที่สุดของไทย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และสุดท้ายคือการเปิดหลักสูตร WINS ที่เป็นการนำผู้บริหารระดับสูงของ อว.มาอบรมและทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความรักสามัคคี พร้อมช่วยสร้างและพัฒนางานที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศ “ยืนยันว่า อว.ทำงานดี เร็ว คล่องและประสานการทำงานร่วมกันได้อย่างไม่ติดขัด ขอย้ำว่าความสำเร็จทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้ทำคนเดียว แต่เป็นผลงานจากความร่วมมือทั้งทีมการเมือง ทีมผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของ อว.ทกคน” รมว.อว.ระบุ
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021: EP.7 ชุดตรวจนาโน COVID-19 Antigen Rapid Test
R&D Sharing 2021: EP.7 ชุดตรวจนาโน COVID-19 Antigen Rapid Test ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัยนักวิจัยไทย ใช้นาโนเทคโนโลยี ผลิตชุดตรวจโควิด-19 Antigen Rapid Test ถูกต้อง แม่นยำ รู้ผลภายใน 15 นาที พร้อมเร่งการผลิตในรูปแบบ Home Use กระจายผู้ใช้จริง ร่วมค้นหาคำตอบ ผ่านกิจกรรม  R&D Sharing สวทช.  มีคำตอบที่คุณอยากรู้ คลายความสงสัยในทุกประเด็นแบบเจาะลึกกับนักวิจัยไทยที่คิดค้นวิจัยตอบโจทย์ แก้ไขสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ! ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความรู้ ทุกคำถามเรามีคำตอบ ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดนี้ก่อนใคร... แล้วพบกัน!!! 15 กันยายน 2564  เวลา 10.30-11.15 น. มาร่วมพูดคุยกับ ดร.ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. นักวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิค รับชมได้ทาง Live Facebook Fanpage: NSTDA-สวทช. หรือรับฟังเสียงพร้อมแลกเปลี่ยนแบบ Exclusive ทาง Club House “Sci Scence” https://www.clubhouse.com/join/sci-scene/g4cqqYvM/m7ze3L2b
ปฏิทินกิจกรรม
 
สัมมนา “FAST LANE: เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Digitalization เสริมแกร่งให้กับธุรกิจ SME โดย TTRS Model และ Crowdfunding”
ศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย (TTRD) และ บริษัท สินวัฒนา คราวด์ฟันดิง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมจัดงานสัมมนาในหัวข้อ “FAST LANE: เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Digitalization เสริมแกร่งให้กับธุรกิจ SME โดย TTRS Model และ Crowdfunding” ในวันที่ 13 กันยายน 2564 เวลา 9:00-12:00 น. โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการไทยเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินเทคโนโลยีโดยใช้โมเดล TTRS และสิทธิประโยชน์ในด้านการเข้าถึงแหล่งทุนและความช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐ และสนับสนุนผู้ประกอบการทางเทคโนโลยีกลุ่มที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี การตลาด ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในรูปแบบ “การระดมทุน” สมัครเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ (ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย) https://bit.ly/2YmXXOj
ปฏิทินกิจกรรม
 
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021 EP.6 : เจาะลึกระบบดูแลผู้ป่วยทางไกล Home Isolation
🚩R&D Sharing 2021 งานวิจัยไทย สู้ภัยโควิด EP.6 "เจาะลึกระบบดูแลผู้ป่วยทางไกล Home Isolation" วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 เวลา 10.30-11.15 น. มาร่วมพูดคุยกับ คุณวัชรากร หนูทอง ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. . ผ่าระบบหลังบ้าน!!! บริหารจัดการข้อมูลดูแลผู้ป่วย COVID-19 'Home Isolation' 'เตียงเสมือน' แนวรับใหม่ของบุคลากรทางการแพทย์ R&D Sharing มีคำตอบที่คุณอยากรู้ คลายความสงสัยในทุกประเด็นแบบเจาะลึกกับนักวิจัยไทย ที่ออกแบบระบบแพลตฟอร์ม "AMED Telehealth" ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความรู้ ทุกคำถามเรามีคำตอบ ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดนี้ก่อนใคร... . รับชมได้ทาง Live Facebook Fanpage: NSTDA-สวทช. . หรือรับฟังเสียงทาง Club House "Sci Sence" https://www.clubhouse.com/join/sci-scene/ppmQCpl1/PGlwAazw
ปฏิทินกิจกรรม
 
ร่วมถ่ายภาพสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ส่งเข้า LINE เมืองใจดี
ถ่ายได้บุญพร้อมได้เงิน ทุกๆ 10 ภาพ รับทันที 30 บาท ร่วมถ่ายภาพสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ส่งเข้า LINE เมืองใจดี (คลิ๊กเพื่อเป็นเพื่อน https://lin.ee/HGFEPND) - ที่จอดรถคนพิการ - ทางลาดคนพิการ - ห้องน้ำคนพิการ โครงการข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ หนึ่งในโครงการดีๆ จากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) ช่วยกันแชร์ให้ได้ 30,000 ภาพ ข้อมูลเพิ่มเติม - สอบถามผ่านไลน์ @fonduehelp https://lin.ee/pRPBNq2 - ผ่านเว็บ https://www.traffy.in.th/?page_id=3193
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
เชิญฟังการบรรยายออนไลน์เรื่อง “กฎหมายใหม่ แนวทางการวิจัยทางคลินิกและการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์”
สวทช. ขอเชิญผู้ที่สนใจทุกท่าน เข้าร่วมกิจกรรมสื่อสาร "กฎหมายใหม่ แนวทางการวิจัยทางคลินิกและการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์” วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 เวลา 9:00 น. - 11:30 น. ผ่านระบบออนไลน์ Webex . หัวข้อการบรรยาย : นิยามตาม พรบ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 แนวทางการวิจัยทางคลินิก และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แนวทางการขึ้นทะเบียนตามกฎกระทรวงและข้อบังคับอื่นๆ ที่ประกาศใช้ พ.ศ. 2564 โดย ผู้เชี่ยวชาญ กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) . ลงทะเบียนที่ >> shorturl.at/jCDMS . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาคุณภาพการวิจัย (RQM) สวทช. โทร 025647000 ต่อ 71836 และ 71839 อีเมล RQM@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
นาโนเทค สวทช. พัฒนา nSPHERE หมวกแรงดันบวก-ลบ ตอบโจทย์วิกฤตโควิด-19
  สำหรับวิกฤตโควิด-19 ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน การขาดแคลนวัคซีน ประสิทธิภาพการป้องกันการติดต่อของวัคซีนแต่ละยี่ห้อ รวมไปถึงการกลายพันธ์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์แล้ว สถานการณ์เช่นนี้ยังถือว่าอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยงและเปราะบางสูง และยังไม่สามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มที่ดีขึ้นได้ในเวลาอันใกล้ กลยุทธ์การรับมือข้อหนึ่งที่สำคัญมากและไม่สามารถละเลยได้ คือ มาตรการลดความเสี่ยงการติดเชื้อของบุคลากรด่านหน้า หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับบริการจากสถานพยาบาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ฟอกเลือด คลอดบุตร หรือประสบอุบัติเหตุ จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับเครือข่ายพัฒนา “nSPHERE หมวกแรงดันบวก-ลบ” นวัตกรรมเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ ด้วยแนวคิดประกอบง่าย ผลิตได้เร็ว ราคาไม่แพง สู่การใช้งานเป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่สะดวก น้ำหนักเบา และสามารถนำส่วนควบคุมกลับมาใช้ซ้ำได้ เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เอกชน กระจายการผลิตตอบความต้องการใช้งาน   [caption id="attachment_25391" align="aligncenter" width="700"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายหลักการเบื้องต้นว่า nSPHERE เป็นหมวกที่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนาได้ด้วยระบบการกรองประสิทธิภาพสูงร่วมกับการควบคุมความดันภายในหมวกให้สูงหรือต่ำกว่าภายนอกแล้วแต่กรณี เพื่อตัดโอกาสการเล็ดลอดของละอองไอจามซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยที่หมวกแรงดันบวก หรือ nSPHERE(+) เหมาะสำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือด่านหน้า ความดันภายในหมวกสูงกว่าภายนอก ในทางกลับกันหมวกแรงดันลบหรือ nSPHERE(-) สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการนั้น ความดันภายในหมวกต่ำกว่าภายนอก ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการควบคุมเชื้อในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่นับว่ามีประสิทธิภาพสูงวิธีหนึ่งในปัจจุบัน “สาเหตุที่ต้องเป็นหมวกเพราะความจริงแล้วเชื้อที่แพร่กระจายได้อยู่บริเวณศีรษะตั้งแต่คอขึ้นไปกว่า 95% ครับ ที่เหลืออยู่ในเลือดกับอุจจาระ ซึ่งหากเราจัดการกับบริเวณนี้ได้ โดยไม่ต้องขังผู้ติดเชื้อในตู้แคบ ๆ ได้ บางคนยังแข็งแรงเดินไปมาได้ การเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อก็น่าจะสะดวกขึ้นครับ” ดร. ไพศาลกล่าว พร้อมชี้ว่า ที่หลายคนสงสัยว่า ใส่หน้ากากอนามัยธรรมดาก็น่าจะเพียงพอแล้ว จุดนี้เป็นเรื่องจริงสำหรับพื้นที่เปิดโล่งครับ เพราะเมื่อศึกษาการฟุ้งกระจายของละอองหายใจพบว่า การใส่หน้ากากอนามัยทั่วไป ทำหน้าที่ในลักษณะการเบี่ยงเบนทิศทางการฟุ้งออกไปทางขอบหน้ากากมากกว่าการกรอง โดยเฉพาะเวลาหายใจออก ถ้าคนใส่แว่นจะทราบดีครับ แต่พอเราใส่หน้ากากให้กระชับเพื่อให้เกิดกลไกการกรองที่มีประสิทธิภาพ เช่น n95 เราก็จะหายใจลำบากมาก ดังนั้น ในพื้นที่ปิดที่ต้องอยู่ด้วยกันนาน ๆ เช่น ห้องฟอกเลือด ห้องคลอดบุตร จุดพักรอ หรือ เมื่อผู้ติดเชื้อต้องใช้พื้นที่หรืออุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น จุดนี้ค่อนข้างเสี่ยงมากครับ โดยเฉพาะเมื่อไวรัสกลายพันธุ์สามารถลอยตัวในอากาศ แพร่กระจายได้แม้ไม่สัมผัส หรืออยู่ใกล้ ๆ   [caption id="attachment_25395" align="aligncenter" width="1000"] หมวกแรงดันบวก หรือ nSPHERE(+)[/caption]   [caption id="attachment_25396" align="aligncenter" width="1000"] หมวกแรงดันลบหรือ nSPHERE(-)[/caption]   สำหรับหลักการในการพัฒนา nSPHERE หมวกแรงดันบวก-ลบ นั้น ถือเป็นหลักการง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนมาก นักวิจัยนาโนเทคชี้ว่า ในการออกแบบ เรากำหนดให้อากาศที่เข้าและออกจากหมวกถูกกรองด้วยการดูดอากาศผ่านฟิลเตอร์แต่มีความแตกต่างระหว่าง nSPHERE ลบและบวก คือ แบบลบ เราเน้นให้อากาศขาออกจากหมวกสะอาดที่สุด เพราะผู้สวมใส่มีหรืออาจมีเชื้อ แต่ในทางกลับกัน หมวกแบบบวก เราเน้นให้อากาศขาเข้าสะอาดที่สุดเนื่องจากต้องป้องกันเชื้อแพร่กระจายจากภายนอกสู่ผู้สวมใส่ “โจทย์นี้หินมาก ๆ ครับ เมื่อเราพยายามพัฒนาให้เป็นอุปกรณ์สวมใส่ส่วนบุคคล โดยเฉพาะกับ nSPHERE(-) ที่เป็นแนวคิดใหม่ สร้างความดันให้เป็นลบ ทำงานตรงกันข้ามกับ PAPR (Powered Air Purifying Respirator) ที่แพทย์มักจะเป็นผู้ใช้ แต่เรามีแนวคิดว่า หากทั้งผู้ติดเชื้อและผู้ดูแลได้ใช้ก็น่าจะมีประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย มาช่วงหลังเราจึงพัฒนาทั้งบวกและลบ เพื่อสร้างกลไกการป้องกันที่แน่นหนา ลดโอกาสแพร่เชื้อได้มากยิ่งขึ้น” และเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงเลือกใช้ฟิลเตอร์กรองอากาศประสิทธิภาพสูง หรือ HEPA ซึ่งต้องมีการออกแบบให้เหมาะสมต่อการใช้งานในลักษณะสวมใส่เป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ความยากจึงตกไปอยู่ที่ประสิทธิภาพและราคา ที่จะสะท้อนความคุ้มค่าของ nSPHERE ให้ได้ ดร.ไพศาลและทีมจึงพยายามหา benchmark ในการพัฒนาเชิงความคุ้มค่าครับ เช่น สำหรับ nSPHERE(-) ซึ่งเปรียบเทียบการใช้งานกับการลงทุนสร้างห้องแรงดันลบ ส่วน nSPHERE(+) อาศัยการเทียบค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด PAPR แต่ละครั้งกับการใช้งานหมวกแบบใช้แล้วทิ้ง   ‘ใช้แล้วทิ้ง’ ลดความเสี่ยงแพร่กระจายเชื้อ “สาเหตุที่ตอนแรกเราออกแบบหมวกให้ใช้ครั้งเดียวทิ้งก็เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานหมวกฯ จะไม่กลายเป็นพาหะในการแพร่กระจายเชื้อ ดังนั้นการออกแบบจึงให้ทุกส่วนประกอบที่สัมผัสกับละอองหายใจ ไอจาม จะถูกกำหนดให้ทิ้งทั้งหมด นั่นคือเราให้ทิ้งหมวกทั้งใบ ฟิลเตอร์ เซนเซอร์ และพัดลมดูดอากาศในทีเดียวเลย โดยที่ต้นทุนไม่หนักเกินไป ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด PAPR ตามมาตรฐานทั่วไปครับ” ดร.ไพศาลกล่าว พร้อมชี้ว่า ข้อดีของการทิ้งหมวกทั้งใบ คือ ให้ความมั่นใจว่า ฟิลเตอร์ไม่รั่วระหว่างการใช้งาน และไม่เป็นที่สะสมเชื้อไวรัสครับ เพราะตามข้อกำหนดทั่วไปของการใช้ PAPR นั้น ควรจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง มีตั้งแต่ของจีนหลักหมื่นไปจนถึงยี่ห้อดังหลักแสน โดยส่วนใหญ่บุคคลาการทางการแพทย์จึงมักใช้ร่วมกันแต่ใช้วิธีทำความสะอาด ปัญหาจึงตกไปอยู่ที่มาตรการทำความสะอาดว่ารัดกุมมากเพียงพอหรือไม่นั่นเองครับ นอกจากนั้น การเปลี่ยนฟิลเตอร์ PAPR นั้น จริง ๆ แล้วต้องนำไปทดสอบการรั่วก่อนนำไปใช้งานด้วย จุดนี้เองด้วยสถานการณ์แบบนี้จึงไม่น่าจะทำได้ครับ อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นแบบได้ถูกนำไปทดลองใช้งานภายใต้สถานการณ์จริง นักวิจัยนาโนเทคเผยว่า คุณหมอและพยาบาลได้เสนอให้เป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคลแบบใช้ซ้ำได้ ทำให้ต้นทุนต่อการใช้งานแต่ละครั้งน้อยลงไปอีก แต่เรากำหนดระยะเวลาใช้งานสะสมต่อหมวกหนึ่งใบไว้ เพื่อไม่ให้ใช้งานในลักษณะถาวร โดยมีชุดทำความสะอาดด้วย UV/Ozone ให้ด้วยในกรณีที่มีการใช้งานจำนวนมาก   นวัตกรรมไทย ใช้ได้จริง “หลายคนอาจสงสัยว่า เราใส่เซนเซอร์วัดความดันไว้ทำไม จริง ๆ เป็นเพราะตอนเราทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของหมวกฯ เราพบว่าบรรยากาศภายนอกหมวกมีความดันขึ้นลงตลอดเวลา เราจึงติดเซนเซอร์วัดค่าเอาไว้ แล้วเราก็พบว่าค่าความแตกต่างความดันที่เราอยากได้ ควบคุมได้ลำบาก ในเชิงการออกแบบก็ทำได้ยาก เพราะถ้าความดันในหมวกฯ สูงหรือต่ำเกินไปก็จะทำให้อึดอัด ไม่สะดวกสบาย เช่น อาจหูอื้อ หรือขาดอากาศหายใจ ดังนั้นเราจึงเสนอแนวคิด ระบบการเตือนเมื่อความดันภายในหมวกไม่เป็นไปตามกำหนด โดยเราให้มีการวัดความดันภายในและภายนอกหมวกเปรียบเทียบกับตลอดเวลาครับ” ดร.ไพศาลกล่าว จุดนี้กลายเป็นจุดเด่นของ nSPHERE ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อทำได้จริงในเชิงปฏิบัติ เนื่องจากการเข้าออกจากห้อง การเข้าลิฟต์ หรือ พาหนะโดยสาร มีความแตกต่างความดันอยู่ตลอดเวลา ระบบเดิมจะไม่มีสัญญาณเตือน แต่ nSPHERE ให้ความสำคัญ ณ จุดนี้มากเป็นพิเศษ หลายคนกังวลเรื่องของต้นทุน แต่นักวิจัยมองว่า เราประนีประนอมต้นทุนได้ แต่เรื่องความปลอดภัยเราไม่ควรประนีประนอม จุดนี้เองทำให้ทีมวิจัยต้องนึกวิธีการผลิตและเลือกใช้วัสดุราคาประหยัด ซึ่งจริง ๆ ยากมาก แต่เราเล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ระยะยาว เนื่องจากหากกระบวนการผลิตหมวกสามารถทำได้ง่าย ลงทุนไม่สูงเกินไป เราก็จะสามารถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ง่าย นำไปสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้างได้อย่างทันท่วงที ดร.ไพศาลอธิบายว่า โถงหมวกฯ เราเลือกใช้กระดาษเคลือบกันน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ใช้หลักการพับคล้าย Origami สร้างจากกระดาษเพียงแผ่นเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงรอยต่อ เรากำหนดแบบให้ใช้กระดาษขนาดไม่เกิน 60x90 เซนติเมตร ด้วย เพราะอยากให้โรงพิมพ์ทั่วไปสามารถพิมพ์ได้ครับ จุดนี้เราต้องทำการออกแบบสลับกับขึ้นต้นแบบกว่า 50 รอบ กว่าจะได้แบบที่เห็นในปัจจุบัน “แค่ความหนากระดาษ ก็ต้องเลือกหลายรอบมากครับ เพราะต้องแข็งแรงพอ แต่ก็ต้องพับง่าย น้ำหนักเบา ดูเหมือนง่ายนะ แต่รายละเอียดเยอะมาก ผ่านการคิดมานับครั้งไม่ถ้วน” ความตั้งใจในช่วงแรกของทีมวิจัย ดร.ไพศาลกล่าวว่า จริง ๆ ตอนแรก เราอยากให้ nSPHERE เป็นหมวกที่ใคร ๆ ก็ประกอบขึ้นได้ คล้าย ๆ ประกอบเก้าอี้  IKEA เพราะเราเชื่อว่าคนติดเชื้อจะมีจำนวนมาก อันนี้ตอนแรกเกือบคิดผิดแล้ว ดังนั้น แค่ขั้นตอนการพับขึ้นรูปหมวก เราก็คิดอย่างละเอียดว่า จะทำอย่างไรให้ง่ายที่สุด เมื่อปีที่แล้วเราถึงกับลงพื้นที่โรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย อสม. ฯลฯ กว่า 10 จังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อทดสอบว่าดีไซน์เราดีพอสำหรับการประกอบได้เองหรือไม่ เป็นประสบการณ์ที่ในฐานะนักวิจัยจะไม่มีทางลืมเลยครับ เพราะมีอาสาสมัครกว่า 1000 คน มาทดลองพับ และได้ข้อคิดเห็นมาเยอะมาก “ในขณะที่ส่วนคอนโทรลเลอร์ เราใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่หาได้ง่าย สามารถซื้อส่วนประกอบได้ไม่ยาก ผมขอยกตัวอย่างสายสัญญาณที่ใช้เชื่อมระหว่างกล่องควบคุมกับตัวหมวก เราเลือกใช้สาย LAN ที่หาได้ทั่วไป และใช้ประโยชน์จากกลไกการล๊อคเข้ากับช่องเสียบ จุดนี้เพื่อป้องกันสายหลุดเมื่อใช้งาน ซึ่งอาจจะมีการขยับตัวหรือพลั้งเผลอไปโดนครับ โดยออกแบบให้คอนโทรลเลอร์ทำงานง่าย ๆ ชาร์จไฟผ่านสาย USB มีไฟบอกสถานะต่าง ๆ เช่น ความดันไม่เป็นไปตามที่กำหนด ระดับแบตเตอรี่ ไฟเตือนแบตเตอรี่ใกล้หมด ที่สำคัญเราออกแบบให้คอนโทรลเลอร์ใช้งานได้ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง” ซึ่งการที่ต้องเป็น 4 ชั่วโมง เพราะนักวิจัยได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ ว่าอยากนำไปใช้ในศูนย์ไตเทียม ซึ่งแออัด และมีรายงานพบการติดเชื้อในห้องฟอกเลือด ผู้ป่วยหลายรายมีอาการ แต่ก็จำเป็นต้องให้บริการเนื่องจากเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เป็นสถานการณ์ที่แทบไม่มีทางหลีกเลี่ยงเลยครับ การให้คอนโทรลเลอร์เพียงพอต่อการใช้งานระหว่างฟอกเลือดในแต่ละครั้งจึงจำเป็น ลดความเสี่ยงและต้นทุนลงได้อย่างมาก   [caption id="attachment_25397" align="aligncenter" width="1000"] หมวกแรงดันบวก หรือ nSPHERE(+) และหมวกแรงดันลบหรือ nSPHERE(-)[/caption]   ผ่านมาตรฐานระดับสูง ส่งต่อสู่ผู้ใช้จริง ความท้าทายอย่างหนึ่งของนวัตกรรมนี้คือ เรื่องของมาตรฐาน ดร.ไพศาลเผยว่า ทีมวิจัยส่งนวัตกรรม nSPHERE นี้ ไปทดสอบมาตรฐานที่มีความท้าทายสูง เนื่องจากการทดสอบยังไม่มีมาตรฐานรองรับชัดเจนเพราะมีลักษณะเป็นนวัตกรรมที่มีข้อบ่งใช้ใหม่ จึงต้องมีการประยุกต์ใช้มาตรฐานใกล้เคียงตามข้อมูลที่ทาง CDC และ OSHA กำหนดเป็นไกด์ไลน์เอาไว้ อาทิ มาตรฐาน ISO 14644-3 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กับห้อง Clean Room ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่หมวกของเรามีปริมาตรช่องอากาศไม่ถึงลูกบาศก์ฟุต ดังนั้นในทางปฏิบัติจริง จึงต้องขอความร่วมมือจากผู้ทดสอบ และต้องใช้กรอบที่กำหนดขึ้นเฉพาะเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งสุดท้ายก็สามารถผ่านมาตรฐานในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจาก CDC หลายเท่าตัว สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยที่มีข้อกังวลมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังได้นำหมวกไปทดสอบความปลอดภัยด้านไฟฟ้า และการแผ่รังสีรบกวน ที่ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ในมุมของวัสดุเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับโครงสร้างกระดาษเคลือบกันน้ำ เมื่อรวบรวมผลการทดสอบมาตรฐานเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพร้อมกับการทดสอบที่นาโนเทค สวทช. สร้างขึ้น เช่น เทคนิคการใช้การกระเจิงแสงเลเซอร์ต่อละอองฝุ่นจำลอง และการใช้กล้อง thermal camera ช่วยระบุตำแหน่งจุดอับทำให้ร้อนเมื่อสวมใส่ ก็ทำให้สร้างความเชื่อมั่นในนวัตกรรมนี้ได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบัน มีการนำไปใช้งาน รวมถึงการใช้ในเชิงสาธิตกว่า 900 ชุด ใน 37 หน่วยงานและสถานพยาบาลทั่วประเทศ อาทิ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ), โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์, โรงพยาบาลสิรินธร, โรงพยาบาลลาดกระบัง, โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่, โรงพยาบาลกำแพงเพชร เป็นต้น   จับมือเครือข่ายวิทยาลัยเทคนิคเพิ่มกำลังผลิตเร่งด่วน ความท้าทายต่อมาคือ กำลังการผลิตไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก ด้วยทีมวิจัยมองว่า หากจะใช้นวัตกรรมนี้ให้ได้ประสิทธิภาพ ต้องผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน ซึ่งการออกแบบให้สามารถประกอบได้เองแก้ปัญหานี้ได้ แต่ก็มีความกังวลเรื่องของประสิทธิภาพหากนำไปประกอบเอง ในช่วงแรก จึงรวมทีมทั้งนักวิจัย และกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน มีอาสาสมัครมาช่วยนิดหน่อย ประกอบหมวกฯ เพื่อนำไปแจกจ่ายยังสถานพยาบาลที่แสดงความจำนงค์ขอรับไปใช้ในพื้นที่ “จุดนี้ เราพยายามจะตอบเรื่อง speed และ scale ให้ได้ จากเริ่มแรกเราผลิตได้ไม่กี่สิบใบต่อวัน จนตอนนี้เราได้กว่า 100 ใบ กำลังขยายกำลังผลิตสู่พันธมิตร เช่น วิทยาลัยเทคนิคในแต่ละภูมิภาค เช่น วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี, วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่, วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย, วิทยาลัยเทคนิคอยุธยา ตั้งเป้าไว้ที่ 800 ใบต่อวันครับ” ดร.ไพศาลกล่าว   ส่งไม้ต่อเอกชน รับความต้องการเร่งด่วน “ในขั้นตอนของการพัฒนาเทคโนโลยี เราผ่านมาแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนของการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้อื่นสามารถนำไปผลิตได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด แต่ก็สำคัญที่สุด เพราะมองว่า หากสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่การใช้จริง จะตอบความตั้งใจที่ริเริ่มนวัตกรรมนี้ขึ้น สามารถช่วยลดความเสี่ยง ลดการแพร่กระจายเชื้อ เกิดประโยชน์กับประชาชน ในขณะเดียวกัน นวัตกรรมไทยในราคาที่เอื้อมถึง ก็จะเป็นเม็ดเงินที่สร้างรายได้กับผู้ผลิตไทย รวมถึงกลายเป็นเงินภาษีกลับคืนให้ประเทศ ส่งต่อเป็นงบประมาณให้เกิดงานวิจัยไทยได้อีก จะทำให้ยั่งยืนได้” ดร.ไพศาลแย้มว่า ปัจจุบันมีผู้ประสงค์ขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วหลายราย โดยอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา คาดว่าจะทราบผลเร็ว ๆ นี้ ซึ่งพยายามทำให้เป็นนวัตกรรมที่ราคาไม่แพง และเปิดถ่ายทอดสิทธิแบบ Non Exclusive เพื่อให้เกิดการกระจาย เพิ่มจำนวนการผลิตไปสู่ผู้ใช้ได้มากและเร็ว ทันสถานการณ์และความต้องการ “รางวัลของงานนี้ไม่ใช่เงินทองหรือชื่อเสียง แต่เป็นคำขอบคุณจากบุคลากรด่านหน้าและผู้เกี่ยวข้อง ที่ใช้หมวก nSPHERE แล้วมั่นใจ อยู่รอดปลอดภัยเมื่อเกิดความเสี่ยงติดเชื้อ มีหลายครั้งที่คุณหมอ พยาบาล โทรมาบอกว่า ถ้าไม่ได้หมวกน่าจะติดไปแล้ว เป็นการยืนยันเบื้องต้นว่า นวัตกรรมที่เราทำน่าจะมีประโยชน์จริงๆ และสิ่งที่เราคิดก็เป็นจริงได้ ซึ่งหลังจากนี้ ถ้าเราถ่ายทอดเทคโนโลยีเสร็จ เราก็อยากทดสอบผลสัมฤทธิ์ของการใช้งานในเชิงสถิติในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ร่วมกับสถาบันบำราศนราดูร รวมถึงการผลักดันให้เป็นอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ตามนิยามของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งเราจำเป็นต้องทดสอบความสามารถในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ไม่ใช่เพียงละอองไอจาม จุดนี้เองเราร่วมมือกับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดลในการทำการทดสอบอยู่ครับ” ดร.ไพศาลเล่าถึงแผนอนาคต นอกจากนี้ nSPHERE Pressurized Helmet ยังเปิดระดมทุน RDI เพื่อสมทบทุนการผลิต nSPHERE สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ปฏิบัติงานรับมือสถานการณ์โควิด-19 ในสถานพยาบาล ผ่านบัญชี “เงินบริจาคกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 080-0-13324-1
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ภายใต้หัวข้อ “โควิด-19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ” ในรูปแบบออนไลน์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED)  เป็นเครือข่ายพันธมิตรวิชาการด้านคนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ภายใต้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดสัมมนาวิชาการระดับชาติด้านคนพิการ ครั้งที่ 13 ภายใต้หัวข้อ โควิด-19 สู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการ (FROM COVID-19 TO DEVELOPMENT OF INNOVATION FOR PERSON WITH DISABILITIES) พบกับกิจกรรมเสวนาเรื่อง “โรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ”และการบรรยายพิเศษหัวข้อ “Home Isolation” และ “อาชีพที่ใช่หลังโควิด-19” ในวันที่ 10 กันยายน 2564 เวลา 08.30-12.30 น. ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom เพื่อส่งเสริมความร่วมมือภาคีเครือข่าย ระหว่างสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในการผลิตผลงานวิชาการด้านคนพิการที่มีมาตรฐานสูง และสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งนำนวัตกรรมองค์ความรู้มาต่อยอดทางความคิดและสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในสังคมต่อไป ผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://bit.ly/38oD5Ii หรือทางคิวอาร์โค้ดบนหน้าสื่อประชาสัมพันธ์ โดยเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 5 กันยายน 2564 ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมทาง facebook fanpage : NCPD 2021
ปฏิทินกิจกรรม
 
สัมมนาออนไลน์..เสริมแกร่งธุรกิจด้วยแหล่งทุนและกลไกสนับสนุนผู้ประกอบการ
  มาร่วมช่วยผู้ประกอบการสู้วิกฤตโควิด ให้ธุรกิจไปต่อ เข้าถึงแหล่งทุน และมาตรการเสริมสภาพคล่อง สุดพิเศษ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย สวทช. 👍ขอเชิญท่านผู้ประกอบการ… ร่วมงานสัมมนาออนไลน์..เสริมแกร่งธุรกิจด้วยแหล่งทุนและกลไกสนับสนุนผู้ประกอบการ Exclusive Promotion โดย KTB และ SCB เฉพาะผู้เข้าร่วมกิจกรรมเท่านั้น Tip & Technique การเตรียมตัวและเสริมแกร่งทางการเงิน Special talk ประเมินศักยภาพและเสริมแกร่งธุรกิจนวัตกรรม โดย TTRS Model 🗓 วันอังคาร ที่ 14 ก.ย. 64 ⏰ 13.00 - 15.00น. ผ่านออนไลน์ Cisco WebEx ด่วน รับจำนวนจำกัด ร่วมสัมมนาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ท่านสามารถลงทะเบียนเพื่อรับลิงก์งานสัมมนาโดยสแกน qr code หรือ https://forms.gle/7Xot9owBPkKqFMho6 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม bcd@nstda.or.th, Line ID : maiys19, โทร. 085-289-2669 (คุณใหม่), 099-498-3635 (คุณปอ), 086-821-7666 (คุณเอม)
ปฏิทินกิจกรรม
 
ไอแทป สวทช. หนุนผู้ประกอบการก่อสร้างต่อยอดธุรกิจพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ‘ปลูกได้ทุกฤดูกาล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ตอบโจทย์ BCG
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สนับสนุนด้านวิชาการและเทคโนโลยีนวัตกรรมให้กับธุรกิจก่อสร้างต่อยอดธุรกิจพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) มาใช้กับการปลูกพืชออร์แกนิคในห้องพักอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงเทพฯ โดยสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญโปรแกรม ITAP จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้คำปรึกษาจนเป็นผลสำเร็จ โดย บริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP สวทช. ในการเริ่มพัฒนาธุรกิจการเกษตรในอนาคตด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) แบบอินทรีย์ ด้วยการนำเทคโนโลยีและระบบควบคุมสภาวะการเพาะปลูกที่ทันสมัย เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ น้ำ และสารอาหารพืชแบบอัจฉริยะ เพื่อให้บริษัทสามารถปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวในเมืองที่มีคุณภาพได้ตลอดทั้งปี ได้นำเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร มาใช้กับการปลูกผักและผลไม้ออร์แกนิคในห้องพักอพาร์ตเมนต์ ทำให้ได้ต้นแบบห้องที่ปลูกผักและผลไม้ออร์แกนิคชนิดต่าง ๆ เช่น ผักเคล สตรอว์เบอร์รี และสมุนไพรเมืองหนาว เป็นต้น พร้อมเป็นสถานที่ดูงานของบริษัทต่างๆ ที่สนใจจะทำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารได้ศึกษาต้นแบบ เพราะผักและผลไม้ออร์แกนิคที่ปลูกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูงในตลาด ราคาแพง และการลงทุนของเทคโนโลยีนี้เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถลงทุนได้ ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า สวทช. หน่วยงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย มีเป้าหมายในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG “เพิ่มคุณภาพชีวิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” ต่อยอดจุดแข็งของประเทศในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ด้วยการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญจากโปรแกรม ITAP สวทช. ในการเริ่มพัฒนาธุรกิจการเกษตรในอนาคตด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร (Plant Factory) แบบอินทรีย์ ด้วยการนำเทคโนโลยีฟาร์มเกษตรอัจฉริยะมาปรับใช้ในการปลูกพืชระบบปิดในอาคาร ด้วยระบบควบคุมสภาวะการเพาะปลูกที่ทันสมัย เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ น้ำ และสารอาหารพืชแบบอัจฉริยะ เพื่อให้บริษัทสามารถปลูกพืชผักผลไม้เมืองหนาวในเมืองที่มีคุณภาพได้ตลอดทั้งปี ถือเป็นนวัตกรรมการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ที่ตอบโจทย์สังคมเมืองและเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี โปรแกรม ITAP สวทช. ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและถ่ายทอดงานวิจัยที่ตอบโจทย์การพัฒนาเกษตรกรรมสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้ยังสนับสนุนผู้ประกอบการด้านโรงเรือนอัจฉริยะในหลากหลายรูปแบบเพื่อหนุนผู้ประกอบการและเกษตรกรพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันและยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าการเกษตร รวมถึงนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศตามแผนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน รองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล ผู้เชี่ยวชาญ และหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมระบบไซเบอร์-กายภาพทางการผลิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ผู้เชี่ยวชาญในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร มาร่วมพัฒนาธุรกิจเกษตรในอนาคตของบริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ด้วยการพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร โดยทำโรงงานปลูกพืชระบบปิด Plant Factory ที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ ทั้งการให้น้ำ แสง อุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดีแล้ว ยังสามารถปลูกพืชนอกฤดูกาลได้ “การวิจัยนี้ได้พัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคารที่ควบคุมสภาวะการเพาะปลูก ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ลม คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและสารอาหารพืช ด้วยระบบอัตโนมัติประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีดิจิทัล โดยตั้งค่าการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถปรับตั้ง แก้ไข ควบคุมการทำงานผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตจากนอกสถานที่ได้ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อมน้อยที่สุด โดยเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรของบริษัทฯ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมด้วยระบบอัตโนมัติ เช่น อุณหภูมิ แสงเทียม (LED) เพื่อการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์แสงนี้จะผ่านแสงจากหลอดไฟ LED ที่มีการควบคุมความเข้มของแสง คลื่นความถี่และระยะเวลาของแสงในแต่ละช่วงการปลูก เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ทั้งนี้การใช้แสง LED จะช่วยลดระยะเวลาการปลูกลงได้ครึ่งหนึ่งของระยะเวลาการเติบโต อีกทั้งยังมีการควบคุมลมและความชื้นในอากาศ หากความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำกว่ากำหนด ระบบจะเชื่อมต่อกับระบบพ่นละอองน้ำแบบพิเศษเพื่อปรับความชื้นสัมพัทธ์ให้อยู่ในช่วงที่กำหนด ซึ่งโดยภาพรวมระบบจะควบคุมพารามิเตอร์ เพื่อให้เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด” ด้าน นายพีรพงษ์ ตันตยาคม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอฟท์ บิวเดอร์ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการ กล่าวว่า เนื่องจากบริษัทดำเนินธุรกิจก่อสร้างเป็นหลัก และมีแนวคิดที่ต้องการปลูกพืชผักและผลไม้เมืองหนาวของต่างประเทศแบบออร์แกนิคไว้กินเอง แต่ด้วยพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นดินที่มีจำกัดเนื่องจากอยู่ในกรุงเทพฯ อีกทั้งปัญหาด้านแมลงศัตรูพืช สภาพดินฟ้าอากาศ และฤดูกาล แต่มีห้องว่างในอพาร์ตเมนต์จึงได้นำแนวคิดนี้ไปขอรับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.โดยมีรองศาสตราจารย์วันชัย แหลมหลักสกุล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นผู้เชี่ยวชาญและได้ดำเนินโครงการจากการทดลองปลูกผักสลัดได้สำเร็จ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้ทดลองปลูกสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์ต่างประเทศ ผักเมืองหนาว เช่น ผักเคล เซเลอรี่ สวิสชาร์ด พาสเลย์ และสมุนไพรต่างประเทศ รวมถึงดอกไม้กินได้ เป็นต้น “ผลที่ได้รับจากการนำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารมาใช้คือ นวัตกรรมการปลูกผักผลไม้อินทรีย์ในอาคารในพื้นที่จำกัดที่กรุงเทพฯ และยังสามารถปลูกให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ไม่มีฤดูกาล มีคุณภาพทางกายภาพ ทางเคมีของผลผลิต สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งแตกต่างจากการปลูกโดยทั่วไปที่จะออกผลผลิตตามฤดูกาลและต้องใช้น้ำและสารเคมีและยาปราบศัตรูพืชเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังลดต้นทุนด้านการขนส่งเนื่องจากปลูกใกล้แหล่งจัดจำหน่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ได้จัดตั้งเป็นศูนย์สาธิตระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร เมื่อดำเนินการโครงการแล้วเสร็จ เพื่อสาธิตระบบฟาร์มเกษตรในอาคารให้กับลูกค้าของบริษัทฯ และผู้สนใจในการนำระบบฟาร์มเกษตรในอาคารไปใช้ในธุรกิจ ร้านอาหาร และบ้านอยู่อาศัย จากในสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ผู้บริโภคต้องทำงานที่บ้าน (Work From Home) มากขึ้น บริษัทฯ ได้จัดจำหน่ายพืชผักแบบออร์แกนิคที่ปลูกได้จากฟาร์มเกษตรในอาคารได้แก่ ผักเคล และสมุนไพรต่างประเทศ เช่น โรสแมรี่ ไทม์ ออริกาโน โหระพาอิตาเลี่ยน ซึ่งทำการตลาดภายใต้แบรนด์ "Kale Factory" ผ่านหลายช่องทางที่ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้น ทั้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, LINE และผ่านแพลตฟอร์มบริการส่งด่วน เช่น LINE MAN, Robinhood และ AOW” นายพีรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีการปลูกแห่งอนาคตนี้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของการปลูกพืชที่ต้องการความปลอดภัยสูง จึงควรเป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เช่น พืชผักผลไม้เมืองหนาว สมุนไพร หรือยารักษาโรค โดยใช้เทคโนโลยีการปลูกพืชในอาคารที่มีการควบคุมสภาวะการเพาะปลูก ทำให้สามารถทำการเกษตรได้ทุกเวลา ไม่มีฤดูกาล มีคุณภาพทางกายภาพ-ทางเคมีของผลสะอาดและปลอดภัยตามที่ต้องการ ผู้ประกอบการที่สนใจเทคโนโลยีระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร สามารถขอรับบริการได้ที่ โปรแกรม ITAP สวทช. โทร 0 2- 564 -7000 ต่อ 1301 หรืออีเมล panita@nstda.or.th
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์