ผลการค้นหา :

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2563
ข่าว
ทช. จับมือ สวทช. วิจัยพันธุ์ไม้ป่าชายเลนเสี่ยงสูญพันธุ์ เตรียมสร้างฐานข้อมูลจีโนมพืชป่าชายเลนครั้งแรกในไทย สู่ศูนย์กลางป่าชายเลนโลก
สวทช. ประกาศผลโครงการประกวดทักษะการพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมระดับประเทศ FabLab Thailand Student Design and Engineering Project Competition 2020
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี พัฒนาหลักสูตรสร้างเยาวชนไทยตอบโจทย์ยุค AI
สวทช. ผนึกกำลัง 5 หน่วยงาน พัฒนามาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้อีคอมเมิร์ซ
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาออร์แกนอยด์ หรือ อวัยวะจำลองมดลูกและรก เพื่อศึกษาวิธียับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก พร้อมเปิดระดมทุน Crowdfunding เพื่อต่อยอดงานวิจัย
สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จัดสัมมนาเตรียมความพร้อมภาคธุรกิจและเอกชน ก้าวทัน 5G และ IoT สู่ความสำเร็จทางธุรกิจ
ดีเอสไอ จับมือ สวทช. อว. ร่วมวิจัยและพัฒนาเพิ่มศักยภาพสอบสวนคดีพิเศษ-งานความมั่นคง
สวทช. อว. เจ๋งรับรางวัล Science Communicator Award for Organization หน่วยงานที่มีผลงานเด่นด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ
อว. สวทช. เสริมแกร่งหน่วยบ่มเพาะธุรกิจหนุนสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืน
โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. อว. จัดอบรมติดปีกผู้ประกอบการไทย
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จัดกิจกรรม “Easy Startup ฉบับขนมหวาน” ดึงนวัตกรรมไทย ปั้นผู้ประกอบการสายขนม สู่เมนูสร้างอาชีพ
โปรแกรม ITAP สวทช. อว. หนุนผู้ประกอบการ สร้างรถเคลื่อนที่อัตโนมัติประเภทนำทางด้วยเส้น ขนส่งของอัตโนมัติให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลชลบุรี
สวทช. โดย STKS และ ม.เกษตรศาสตร์ โดย สำนักหอสมุด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้
สวทช. จับมือ สรพ. หนุนโรงพยาบาลระยองใช้ “ริสแบนด์” ตัวช่วยแพทย์ระบุตัวผู้ป่วยฉุกเฉิน ตอบโจทย์ “ถูกต้อง-รวดเร็ว-แม่นยำ” เตรียมก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ
สวทช. เสริมแกร่งเยาวชน จัดอบรม การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน
สวทช. จัดงาน NSTDA Homecoming Day 2020 คืนสู่เหย้าศิษย์เก่า-ปัจจุบันชมรมนักเรียนทุน
บทความ
ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ ผู้พัฒนา ‘มดลูกจำลอง’ ครั้งแรกของไทย
Download เอกสารฉบับเต็ม [17.9 MB]
จดหมายข่าว สวทช.

Food Innopolis เปิดรับสมัคร โครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรมอาหาร Food Innopolis Innovation Contest 2020/21 ชิงรางวัลรวมทั้งสามรุ่นมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท
เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis: FI) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย FI Accelerator ร่วมกับ Food Factors บริษัทในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ,บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอเชิญ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย นิสิตนักศึกษาทุกชั้นปี และบัณฑิต อาจารย์ นักวิจัย ร่วมสมัคร “โครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรมอาหาร Food Innopolis Innovation Contest 2020/21” ภายใต้หัวข้อการประกวด “นวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหาร และ นวัตกรรมอาหารสำหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต” ชิงรางวัลรวมทั้งสามรุ่นมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท พร้อมโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยรอบ TCAS1 (สำหรับรุ่น Fry weight) ทริปศึกษาดูงานนวัตกรรมอาหารในต่างประเทศพร้อมอาจารย์ที่ปรึกษา (สำหรับรุ่น Light weight) และโอกาสแสดงผลงานใน THAIFEX2021 และโอกาสในการร่วมงานกับ Food Factors บริษัทในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ รวมถึงโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจของเมืองนวัตกรรมอาหาร
สมัครและอัพโหลดเอกสารได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 พ.ย. 63 ทาง
- ลิงก์สมัคร รุ่น “Fly weight” https://forms.gle/B7sC7vaargUKFBgo6
- ลิงก์สมัคร รุ่น “Light weight” https://forms.gle/S32eyK3kvVhbDjuN9
- ลิงก์สมัคร รุ่น “Heavy weight” https://forms.gle/pB9PDDi9PYZ7AiRB6
ติดตามข่าวสารและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Foodinnopolisinnovationcontest/
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดกิจกรรม “ถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์” ปีที่ 7 สู่การพัฒนาเยาวชน เพิ่มศักยภาพด้านวิทย์ฯ
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : (16 พ.ย. 2563) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม ถนนวิจัยรุ่นเยาว์ ปีที่ 7
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งพัฒนาและบ่มเพาะศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยาวชนไทย ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายพิเศษ การฝึกอบรม กิจกรรมค่าย และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝน เรียนรู้ และทำวิจัยภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทย เป็นการบ่มเพาะเยาวชนเหล่านี้สู่เส้นทางการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมนี้ จัดโดยงานส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย สวทช. ซึ่งกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 16 - 19 พฤศจิกายน 2563 เพื่อบ่มเพาะเยาวชนตั้งแต่วัยเยาว์ให้มีโอกาสได้เรียนรู้ เปิดโลกวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมตามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อฝึกกระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ และเป็นการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยอาศัยความร่วมมือจากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในการคัดเลือกเยาวชนที่มีศักยภาพสูงที่ได้รับเหรียญรางวัลในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ประจำปี 2562 ที่กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สมัครเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งในปีนี้มีเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 50 คน (ชาย 30 คน หญิง 20 คน) จากโรงเรียน 20 แห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เยาวชนจะได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น ฟังบรรยายพิเศษ เรื่อง “ภูมิรู้นิเวศ : นิเวศวิทยาทำไมต้องรู้” บอกเล่าความสัมพันธ์ของมนุษย์กับระบบนิเวศในฐานะที่เป็นผู้มีบทบาทหน้าที่ในส่วนหนึ่งของกระบวนการในระบบนิเวศ เพื่อปูพื้นฐานให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องระบบนิเวศวิทยา ก่อนลงมือทำกิจกรรม "Terrarium ระบบนิเวศในภาชนะใส" ร่วมกับผู้ปกครอง จากนั้นจะได้ฟังบรรยายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การหาหัวข้อโครงงานวิจัย กิจกรรม “พืชดอกที่เล็กที่สุดในโลก” จะได้เรียนรู้การวางแผนการศึกษา ”ไข่น้ำ” ซึ่งเป็นพืชดอกที่เล็กที่สุดในโลก ผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยฝึกให้เกิดการสังเกต การตั้งสมมติฐาน และการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ผ่านการทำงานทีม เรียนรู้ Unplugged Coding ซึ่งเป็นการเรียนเขียนโปรแกรมโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ กิจกรรมสุดท้าย จะได้แข่งขันการทำจรวด เป็นการเรียนรู้หลักการทางวิศวกรรม ฟิสิกส์และการออกแบบ ผ่านการออกแบบและประดิษฐ์จรวดของตัวเอง ตามโจทย์ที่ได้รับ เพื่อนำไปทดสอบการยิง ในรูปแบบของการยิงจรวดแอลกอฮอล์ ที่อาศัยการจุดแบบเผาไหม้ในชั่วพริบตา และทัศนะศึกษานอกสถานที่ ณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ
หลังจากกิจกรรมถนนนักวิจัยรุ่นเยาว์ ทางโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะคัดเลือกเยาวชน จำนวน 25 คน จากกิจกรรมดังกล่าว เพื่อเข้ารับทุน JSTP-SCB ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช. และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเยาวชนจะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนต่อเนื่องในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ได้แก่ การสนับสนุนทุนพัฒนาตนเอง การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ
ด้าน ด.ญ.ธนิกาญจน์ ตันตราธิปไตย หรือ น้องมิว จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยชลบุรี ผู้เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมว่า ตนรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรมนี้ เพราะชอบทำกิจกรรมลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว ชอบการทดลองและได้ลงมือทำเองทำให้สนุกและจดจำได้ดี ซึ่งทางโรงเรียนก็มีโครงงานต่างๆให้ทำ และจะได้เอาความรู้ในกิจกรรมที่ตัวเองได้เข้าร่วมมาใช้ในโครงงานด้วย อีกหนึ่งความรู้สึกประทับใจจาก ด.ช.สิปปกร รัตนธน หรือ น้องกำปั้น จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยนครศรีธรรมราช บอกว่าตัวเองชอบการทดลองและชอบกิจกรรมด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันน่าสนใจและการที่ได้มาร่วมกิจกรรมนี่ทำให้ได้ลงมือทำเองด้วย เวลาได้ลงมือทำอะไรสักอย่างมันจะมีสมาธิในการทำและสนุกมากกับกิจกรรมต่างที่ตนได้รับในครั้งนี้
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. สร้างความเข้มแข็งชุมชนโดยถ่ายทอดข้าวเหนียว “พันธุ์หอมนาคา” สู่เกษตรกรโดยให้สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวเองตามเกณฑ์มาตรฐาน
อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ พันธมิตร พัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียว “หอมนาคา” ขยายผลสู่เกษตรกร ในพื้นที่ อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการผลิตข้าวคุณภาพตรงตามพันธุ์
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. โดย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ได้มีการทำงานร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศ โดยเน้นด้านการพัฒนาพันธุ์พืช และการบริหารจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยปัจจุบันไบโอเทค สวทช. เป็นเลิศทางด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์แนวอณูวิธี (molecular breeding) กับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าว ซึ่งเน้นพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของผู้ผลิต ผู้บริโภค และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเน้นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยพันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นนั้น
โดยที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย อาทิ ข้าวพันธุ์เหนียวพันธุ์ธัญสิริน ข้าวเหนียว กข6 ต้นเตี้ยต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง ข้าวน่าน59 และ กข18 ต้านทานโรคไหม้ ซึ่งเผยแพร่ให้เกษตรกรทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อความมั่นคงในการบริโภคข้าวเหนียวของพื้นที่ และลดปัญหามลพิษจากสารเคมี พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ที่ผลผลิตสูงซึ่งเผยแพร่ให้เกษตรกรในภาคใต้โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งสร้างความมั่นคงด้านอาหาร
นอกจากนั้น เผยแพร่ให้เกษตรกรทั้งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ซึ่งทำให้เกษตรกรมีความเสี่ยงน้อยลงและเพิ่มรายได้ ข้าวเหนียวหอมนาคา เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวใหม่ ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหนือข้าวเหนียวชนิดไม่ไวต่อช่วงแสงในปัจจุบัน เช่น ทนต่อน้ำท่วม ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้และขอบใบแห้ง มีความหอมและนิ่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ไบโอเทค สวทช. ยังได้ทำงานร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งทำงานร่วมกับชุมชนในแง่ของการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมเอง และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในแง่ของการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้ใช้เองอีกด้วย
ด้าน ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา หัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค ปัจจุบันรักษาการ รองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. นำความเชี่ยวชาญทางด้านจีโนมและเครื่องหมายโมเลกุลมาใช้ในกระบวนการคัดเลือก (Marker- Assisted Selection, MAS) เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีลักษณะตามความต้องการที่เกื้อกูลการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวของประเทศ เน้นไปที่ผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิตเป็นหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารแก่พื้นที่ที่บริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยได้พันธุ์ข้าวเหนียวนาปีหลายสายพันธุ์ที่ตอบโจทย์ของเกษตรกร ปัจจุบันได้พัฒนาข้าวเหนียวที่เหมาะสำหรับนาปี และนาปรัง คือข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ “หอมนาคา” ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง และต้านทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง นอกจากนี้ยังมีลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่เครื่องจักรจะเข้ามาแทนที่
ดร.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า พันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคา มีคุณสมบัติเด่น คือ กลิ่นหอม และนุ่มเหนียวเมื่อหุงสุก สามารถปลูกได้ตลอดปี (ปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง) เพราะเป็นข้าวไม่ไวแสง มีระยะเวลาในการปลูกประมาณ 130–140 วัน ให้ผลผลิตสูง โดยผลจากการทดลองปลูกพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิต 800–900 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานมีผลผลิตสูงถึง 700–800 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคานี้ ทาง ไบโอเทค สวทช. ได้ยื่นขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา มูลนิธิรวมใจพัฒนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2562 ได้มีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในการนำไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกร ในพื้นที่ จ.ลำปาง จ.พะเยา และ จ.เชียงราย รวมพื้นที่ประมาณ 95 ไร่ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 807 กิโลกรัมต่อไร่ โดยในการปลูกทดสอบครั้งนี้ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานและตรงตามพันธุ์ โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวใช้เอง และเกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจเมล็ดพันธุ์เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมนาคาในอนาคต
และในปี 2563 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด โดยจัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาให้ทางสหกรณ์ฯ จำนวน 400 กิโลกรัม สามารถปลูกได้จำนวน 58 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมปลูกจำนวน 6 คน ซึ่งทาง ไบโอเทค สวทช. ภายใต้โปรแกรมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ได้ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร ดำเนินการอบรมเกษตรกรเรื่อง “การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี” โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา มีเกษตรกรเข้าร่วมทั้งสิ้น 33 คน เพื่อสร้างความตระหนักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการเพิ่มพูนและแลกเปลี่ยน ความรู้ระหว่างเกษตรกร ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการผลิตข้าวคุณภาพตรงตามพันธุ์ และมีการบริหารจัดการแปลงที่ดีนำไปสู่การได้รับมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)
คุณธีรภัทร์ คำสม ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์ได้นำเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาจากไบโอเทค สวทช. กว่า 400 กิโลกรัม มาปลูกในพื้นที่อำเภอห้างฉัตร รวมจำนวนกว่า 58 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ของสหกรณ์ห้างฉัตรฯ 8 ไร่ และกลุ่มเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ รวม 50 ไร่ โดยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูกาลแรกคาดว่าจะได้เป็นเมล็ดพันธ์ุข้าวคุณภาพดี 10-15 ตัน เพื่อปลูกในฤดูถัดไป และข้าวเปลือก 20-25 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่เกษตรกรในพื้นที่ปลูกกันอยู่นานแล้ว “ข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 มีข้อเสียคือ มีความไวต่อแสง ลำต้นสูงหักล้มง่าย และปลูกได้เพียงครั้งเดียวต่อปีเท่านั้น ขณะที่ข้าวเหนียวหอมนาคามีลักษณะเด่นของพันธุ์ คือ ลำต้นเตี้ยแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่ายขึ้น ลดค่าแรงคนในการเก็บเกี่ยว และปลูกได้ 2 ครั้งต่อปี ทนต่อโรคได้ดี ที่สำคัญจากการทดลองนำข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคาที่เก็บเกี่ยวได้จากแปลงทดลองมาลองหุงกิน ยืนยันได้ถึงคุณภาพของข้าว เพราะหุงสุกแล้วมีความนุ่มหอมไม่ต่างจากพันธุ์ กข6 ที่มีจุดเด่นเรื่องความหอมและนุ่มนาน”
ผู้จัดการ สหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่ให้ความสนใจสอบถามถึงพันธุ์ข้าวหอมนาคาจำนวนมาก เพราะเห็นถึงลักษณะเด่นของพันธุ์ข้าวที่มีลำต้นเตี้ย ไม่หักล้มง่าย และผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างดี ทำให้สหกรณ์ฯ เตรียมวางแผนขยายผล โดยจะถ่ายทอดให้ความรู้เกษตรกรในพื้นที่ตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับถ่ายทอดการผลิตจากทีมวิจัย สวทช. และเครือข่าย เพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรที่สนใจนำพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาไปปลูก เมื่อได้ผลผลิตแล้ว มีแผนวางจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง โดยเกษตรกรที่เป็นสมาชิกจำนวนหนึ่งสามารถนำข้าวมาสีที่โรงสีของสหกรณ์ฯ เพื่อจำหน่ายได้เลย โดยในเบื้องต้นวางจำหน่ายข้าวเปลือกราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม และข้าวสาร 35 บาทต่อกิโลกรัม ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด โทร.054-269062-3
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘โรงเรือนอัจฉริยะ’ ความหวังผลิตพืชอาหาร ในโลกยุคหลังโควิด
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง
หนึ่งในบทเรียนและภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดจากวิกฤตการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ "การสร้างความมั่นคงทางอาหารด้วยการเกษตร" โลกในยุคหลังโควิด มนุษย์จะปรับตัวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และหันมาใส่ใจการผลิตอาหารมากขึ้น ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการทำเกษตรให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้พัฒนา 'โรงเรือนอัจฉริยะ' นวัตกรรมโรงเรือนปลูกพืชที่สามารถควบคุมระบบการปลูกพืชผ่านสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และเกษตรกรทำงานได้สะดวกมากขึ้น พร้อมทั้งร่วมกับ บริษัท นาวิต้าฟู้ดส์ จำกัด ทดสอบการปลูกพืชในระบบโรงเรือนอัจฉริยะ โดยมีเป้าหมายทดสอบการปลูกเมลอนให้มีขนาดผลและความหวานได้คุณภาพและตรงตามมาตรฐานของท้องตลาด เพื่อนำไปสู่การขยายผลความรู้แบบครบวงจรให้แก่เกษตรกรหรือผู้ประกอบการ
วิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ สท. อธิบายว่า สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร มีบทบาทหน้าที่ในการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ให้เกิดการปฏิรูปภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่การทำเกษตรแบบยั่งยืน ในครั้งนี้ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะ
"โรงเรือนอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นเป็นโรงเรือนแบบน็อกดาวน์โครงสร้าง SMART Greenhouse Knockdown สามารถขึ้นโครงและติดตั้งได้ในทุกพื้นที่ มีขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาว 20 เมตร สูง 5.6 เมตร ออกแบบหลังคา 2 ชั้นพร้อมพัดลมระบายอากาศ และประตูกันแมลง 2 ชั้น ช่วยลดปัญหาแมลงเล็ดลอดเข้าไปในแปลงปลูก การทำงานของโรงเรือนอัจฉริยะได้นำระบบเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) ทีมีเซนเซอร์ต่างๆ มาช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก ได้แก่ เซนเซอร์วัดความเข้มแสง ควบคุมการทำงานของม่านพรางแสง เซนเซอร์วัดความชื้นดิน ควบคุมการทำงานของระบบน้ำหยด เซนเซอร์วัดความชื้นอากาศ ควบคุมการทำงานของระบบพ่นหมอก และเซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ควบคุม การทำงานของพัดลมใต้หลังคา โดยเซนเซอร์ทั้งหมดสามารถแสดงผล แจ้งเตือน และควบคุมการทำงานผ่าน Smart phone และ Web base ด้วยเทคโนโลยีเพื่อทดสอบและพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมในการเพาะปลูกผลผลิตทางการเกษตร บริษัท นาวิต้าฟู้ดส์ฯ ได้สนับสนุนเมล็ดพันธุ์เมลอนสายพันธุ์ดีเกรดพรีเมียมสำหรับทดลองปลูกในโรงเรือนอัจฉริยะ พร้อมทั้งให้ความรู้ในการผลิต เพื่อร่วมค้นหาปัจจัยที่เหมาะสมในการเติบโตของเมลอน
นายสุวิทย์ ไตรโชค ผู้ก่อตั้ง บริษัท นาวิต้าฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า การคัดเลือกสายพันธุ์เมลอนที่ดีมาปลูก เป็นเรื่องที่นาวิต้าฟู้ดส์ให้ความสำคัญมาก ตั้งแต่การทดลองจนมั่นใจว่าเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกได้ในเมืองไทย และ ได้ผลที่อร่อยตามความต้องการของผู้บริโภค บางสายพันธุ์ต้องใช้เวลาทดลองและคัดเลือกมากกว่า 5 ปี เป็นสายพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งนี้จากการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้นาวิต้าฟู้ดส์ มีผลผลิต ที่มีคุณภาพดีสม่ำเสมอ ปลอดภัยต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม การันตีด้วยใจผู้ปลูกและใบรับรอง (Certificate) จาก Central Lab และกรมวิชาการเกษตร
สายพันธุ์เมลอนที่นำมาทดลองปลูกในโรงเรือนอัจฉริยะมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ 1. เพิร์ลเมลอนเนื้อเขียว (Green Pearl Melon) : เนื้อสัมผัสนุ่มฉ่ำ มีกลิ่นหอมสไตล์มินิมอล หอมเย็นๆ ทานแล้วสดชื่น รสชาติลงตัว 2. โกลเด้นดราก้อน (Golden Dragon Melon) เนื้อส้ม หวานกรอบ 3. กาเลียเมลอนญี่ปุ่น (Japanese Galia Melon) เนื้อสีขาว มีกลิ่นหอมเข้มข้นเฉพาะตัว และ 4. เพิร์ลเมลอนเนื้อส้ม (Orange Pearl Melon) เนื้อสัมผัสนุ่มฉ่ำ มีกลิ่นหอมสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ หอมหวานเข้ากัน ซึ่งในการทดลองปลูกจะมีการเก็บบันทึกข้อมูลนำไปสู่การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง"
สำหรับผลการทดลองเพาะปลูกเมลอนทั้ง 4 สายพันธุ์ในโรงเรือนอัจฉริยะ นายเฉลิมชัย เอี่ยมสอาด นักวิชาการ ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่าง ดี ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิตเมลอนได้มาตรฐานทั้งขนาดของผลและรสชาติหวานเป็นไปตามความต้องการของตลาด โดยข้อดีอันเป็นจุดเด่นของการเพาะปลูกในโรงเรือนอัจฉริยะ คือ สะดวกในการดูแล สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก รวมถึงลดความเสี่ยงผลผลิตเสียหายจากแมลงและฝน "ในโรงเรือนนี้จะสามารถควบคุมการรดน้ำให้ปุ๋ยให้ตรงตามความต้องการของพืชได้ เรื่องแสงเราก็สามารถปรับม่าน และสามารถพ่นสเปรย์หมอกเพื่อควบคุมความชื้นได้ด้วย ซึ่งในรอบการปลูกรอบแรกค้นพบวิธีการลดอุณหภูมิประมาณ 5 องศา เพื่อไม่ให้พืชป่วยได้ รอบการปลูกถัดไปเราจะได้ค่าที่เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งกำลังหาสูตรที่เหมาะสมในรอบการปลูกถัดไป
โดยองค์ความรู้ที่ได้จากการทดลองนี้จะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรในการนี้ไปยกระดับการเพาะปลูกของตน เพื่อให้มีผลประกอบการที่สูงขึ้น ลดความเสี่ยงในการทำการเกษตร นำไปสู่ความยั่งยืน ซึ่ง สท. - สวทช. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชในระบบโรงเรือนอัจฉริยะ ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่สนใจ โดยสอบถามและดูงานได้ที่อุยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
อย่างไรก็ดีผลผลิตเมลอนเกรดพรีเมียมจากโรงเรือนอัจฉริยะ ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ได้เก็บเกี่ยวและส่งมอบแก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยมี ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานต่อสู้กับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

เอ็มเทค สวทช.- ไทยเบฟ เปิดตัว Green Rock นวัตกรรมวัสดุเม็ดมวลเบาสังเคราะห์ สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างสู่ความยั่งยืน
13 พฤศจิกายน 2563 ณ โถงชั้น1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถนน โยธี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเปิดตัว ผลิตภัณฑ์ G Rock สู่ Green Rock นวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างสู่ความยั่งยืน
โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และนายประวิช สุขุม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสายบริหารทั่วไป บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว Green Rock นวัตกรรมวัสดุเม็ดมวลเบาสังเคราะห์สำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างสู่ความยั่งยืนเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุน BCG Model สวทช. ได้กำหนดเป็นแผนงานสำคัญภายใต้แผนกลยุทธ์ สวทช. (2564-2568) ได้ระดมความเชี่ยวชาญใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อน BCG สู่การปฏิบัติ โดยมีแนวทางการส่งเสริมธุรกิจนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อน BCG ที่เน้นทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดด้วยกลไกการสนับสนุนด้านต่างๆ อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน ผ่านศูนย์ลงทุน/NSTDA Holding สิทธิประโยชน์ทางภาษี การพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Startup Voucher โครงการ Research Gap Fund รวมทั้งยังบริการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เมืองนวัตกรรมอาหารและการทำงานร่วมวิจัยกับภาคเอกชน ทั้งนี้ตัวอย่างความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมา เช่น ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้ประกอบการผู้ผลิตไข่ พัฒนานวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าจากไข่แบบครบวงจร ตั้งแต่ ไข่แดง ไข่ขาว (antimicrobial peptide) เยื่อไข่ (eggshell membrane hydrolysate) ตลอดไปถึงเปลือกไข่ (แคลเซียม) ตอบโจทย์ BCG โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ในการลดของเสียจากอุตสาหกรรมอาหารและการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์
นอกจากนี้ สวทช. ร่วมกับ GIZ และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยร่วมดำเนินการโครงการ “Single-use Plastic Prevention in Southeast Asia (CAP-SEA)” สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน และยังมีด้านการท่องเที่ยว ซึ่ง สวทช. โดยโปรแกรม ITAP สนับสนุนผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ประยุกต์ใช้นวัตกรรมสนับสนุนเศรษฐกิจ BCG โดยเริ่มดำเนินการโครงการ Krabi Go Green Model ร่วมกับ จ.กระบี่ เน้นการพัฒนาด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ความปลอดภัยด้านอาหาร การเพิ่มรายได้การท่องเที่ยว ล่าสุดผลงาน Green Rock เป็นอีกตัวอย่างความสำเร็จของความร่วมมือภาครัฐและเอกชนที่เข้มแข็ง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน ภายใต้แนวคิดระบบเศรษฐกิจ ในโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ได้นำองค์ความรู้ด้านวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมวัสดุเพื่อพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยใช้ประโยชน์จากวัสดุพลอยได้จากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พื้นที่ในการฝังกลบ และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหล่านั้น ซึ่งวัสดุเม็ดมวลเบาสังเคราะห์ หรือ G-Rock พัฒนาขึ้นโดย ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล หัวหน้าทีมวิจัยวิศวกรรมเซรามิกส์ เอ็มเทค ที่มีความสนใจงานวิจัยด้านวัสดุก่อสร้าง โดยมีแนวทางคือการนำวัสดุพลอยได้จากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมกลับมาใช้ประโยชน์ โดยประยุกต์ใช้ทดแทนหินจากธรรมชาติในส่วนผสมของชิ้นส่วนคอนกรีตประเภทต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระน้ำหนักโครงสร้างของตัวอาคารได้อย่างมาก โดยยังคงความแข็งแรงตามมาตรฐานด้านการก่อสร้าง รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานของอาคารได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีโครงสร้างที่ประกอบด้วยฟองอากาศภายในเป็นจำนวนมาก จึงช่วยป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากแสงอาทิตย์เข้าสู่ภายในอาคารได้ดี “ทีมวิจัยเอ็มเทคใช้เวลากว่า 3 ปี ทำงานร่วมกับบริษัท จรัญธุรกิจ 52 จำกัด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง ในเครือบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่การออกแบบและพัฒนาสูตรส่วนผสมในกระบวนการผลิตระดับอุตสาหกรรมโดยใช้วัสดุพลอยได้จากกระบวนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมไทยเบฟเวอเรจฯ และร่วมมือกับบริษัท พีซีเอ็ม คอนสตรัคชั่น แมททีเรียล จำกัด ทดสอบประสิทธิภาพด้านการต้านทานความร้อนของแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปผสม G-Rock ปัจจุบันบริษัท จรัญธุรกิจ 52 จำกัด ประสบความสำเร็จในการผลิตเชิงพาณิชย์และใช้ชื่อทางการค้า “Green rock” วัสดุเม็ดมวลเบาสังเคราะห์”
ผู้อำนวยการเอ็มเทค กล่าวด้วยว่า แนวคิด Circular Economy สามารถนำมาใช้ได้จริงทั้งในเรื่องการเติบโตของธุรกิจและโอกาสทางธุรกิจใหม่ มีตัวอย่างความสำเร็จที่อยากชวนให้ร่วมกันถอดบทเรียนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอื่นๆ ได้นำไปปรับใช้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีวัสดุสามารถช่วยยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ทั้งนี้ความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยและของโลก
นายประวิช สุขุม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดสายบริหารทั่วไป บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทที่เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มระดับโลกที่ได้รับการจัดอันดับ โดย DJSI ติดต่อกัน 2 ปีซ้อน ไทยเบฟ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม โดยน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy) มาเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy มาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรในห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไทยเบฟ สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาและประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ หรือกระบวนการใหม่ๆ ที่มีคุณค่า (Value Creation) และมีประโยชน์ต่อผู้คน สังคมและเศรษฐกิจ ทำให้สามารถนำไปขยายผล ต่อยอดเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ไทยเบฟ กำหนดนโยบายด้าน สิ่งแวดล้อม และนโยบายด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ ในการบริหารจัดการภายใน ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าการจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทนั้น ถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับและมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องนโยบายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนของไทยเบฟในการที่จะจัดการและป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อผลประโยชน์ ของคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต ล่าสุด ไทยเบฟ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง “โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG โมเดล) สร้างความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน” เพื่อร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศไทยภายใต้เศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) โดยการผนึก 3 เศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อมุ่งเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) โดยอาศัยองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงทางสาธารณสุข ความมั่นคงทางพลังงาน หลักประกันการมีงานทำ และความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ไทยเบฟ เล็งเห็นความสำคัญเรื่องนวัตกรรม ที่ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟเป็นผู้นำทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ บริษัท จรัญธุรกิจ 52 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีความเชี่ยวชาญการผลิตกระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นมากกว่า 20 ปี ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานชั้นนำด้านการพัฒนาและวิจัยระดับประเทศ เพื่อพัฒนานวัตกรรม โดยไทยเบฟ ให้การสนับสนุนงานวิจัยผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต ซึ่งนำมาพัฒนาต่อยอดให้เป็น Green Rock หรือ เม็ดวัสดุมวลเบาสังเคราะห์ ที่เป็นนวัตกรรมเพื่องานวัสดุก่อสร้างตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ทั้งทางด้านคุณภาพ การใช้งาน สามารถใช้ทดแทนหินบดหรือทรายทั่วไปจากธรรมชาติ ทำให้ช่วยลดการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมได้โดยแท้จริง”
สำหรับผู้ที่สนใจชม “นวัตกรรมเม็ดวัสดุมวลเบาสังเคราะห์ Green Rock” สามารถรับชมนวัตกรรมเต็มรูปแบบได้ภายในงานประชุมนานาชาติทางสถาปัตยกรรมและแสดงเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง “สถาปนิกปันสุข” (ACT Forum’20 Design + Built) ระหว่างวันที่ 18 - 22 พ.ย. 63 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ข่าวประชาสัมพันธ์

งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563
งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563 ในวันที่ 13 -23 พฤศจิกายนนี้ ที่ IMPACT Challenger 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี .....สัมผัสการเข้าชมงานมิติใหม่ ในรูปแบบ Hybrid Event ที่สามารถเลือกเข้าร่วมงานได้ทั้งแบบ
On Ground - สัมผัสประสบการณ์จริงในสถานที่จัดงาน
Online - สัมผัสประสบการณ์นิทรรศการวิทยาศาสตร์เสมือนจริงผ่านทางหน้าจอ ในรูปแบบ 360 องศา
ลงทะเบียนเข้าชมหน้างาน ได้ที่นี่
https://www.registerthailandnstfair.com/home.aspx
13-23 พ.ย. 63
ปฏิทินกิจกรรม

Future Food Economic Forum 2021
โอกาสแห่งศตวรรษใหม่!
Future Food Economic Forum 2021 งานสัมมนาที่จะพาคุณส่องเทรนด์อุตสาหกรรมและนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต
ด้วยประเทศไทย ต้องยอมรับว่าเป็นประเทศที่อุดสมสมบูรณ์ด้วยอาหารที่มีวัตุดิบที่น่าสนใจ และมีประโยชน์ ประกอบกับผู้บริโภคคนไทยมีการระวังเรื่องสุขภาพมากขึ้น และอาหารเป็น 1 ในความหลากหลายที่เป็นโอกาสให้ภาคธุรกิจ สามารถขยายธุรกิจออกไป เพราะ “Future food & Health & Wellness” คืออุตสาหกรรมที่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของโลกใบนี้
5 Highlight ที่คุณไม่ควรพลาด !!
1.Future Food Trend Book ที่รวบรวมโดย ศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคต Baramizi Lab
2.งานวิจัย 12 รูปแบบการออกแบบรายได้ทางธุรกิจในอนาคต (12 Type of Revenue model design)
3.Future Food Innovation trend จากอาจารย์ อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ ผู้อำนวยการ Food Innopolis
4.IP strategy for future food business : กลยุทธ์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับธุรกิจอาหารแห่งอนาคต จากที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินปัญญาและนวัตกรรม IDG
5. การเปิดตัว Future food business academy รุ่นที่ 1
วันศุกร์ที่ 27 พ.ย. 2020 I 13.00-17.00 น.
สถานที่ : ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)
ห้องออดิทอเรียม อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก
(ฟรีสัมมนา) ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/oNTTFTA3e78a7NVP8
ปฏิทินกิจกรรม

งาน Food Innovation แห่งปี 2563
พร้อมหรือยังกับโลกของวงการอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
50 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น กับที่สุดของงาน Food Innovation แห่งปี
ลงทะเบียนด่วน (ไม่มีค่าใช้จ่าย) เหลือเพียง 50 ที่นั่งสุดท้าย
https://forms.gle/gJMRVH3GcXHbER1K8
ร่วมอัพเดทความรู้ เทคโนโลยี เชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกรรมอาหารทั่วโลก เพื่อสร้างโอกาสและต่อยอดธุรกิจในงาน Food Innopolis International Symposium 2020: The Quest For Sustainable Food System
9 พ.ย. – 11 พ.ย. นี้ พบกับหลากหลายประเด็นน่าสนใจ อาทิ
• The Future World of Food
• Way Forward from Asian Region: Challenges & Opportunities
• Growing the Healthy Food
• Tech-Solution for the Healthy Food
• The Innovative Post-Harvest
• Responsible Chef
• The Sustainability Pathway
• The Circular Food System: The Food and the City
โดยวิทยากรชั้นนำจาก PT Indo Food (Indonesia), AINIA (Spain), A-Star (Singapore), Tetra Pak (Thailand), Food & Bio Cluster (Denmark), Food Valley (the Netherlands), SCG Packaging Public Company Limited (Thailand), Hitachi Asia (Thailand) และ Future Food Institute (Italy) และอีกมากมาย
รายละเอียดกำหนดการ
shorturl.at/lHKV0
ลงทะเบียนด่วน (ไม่มีค่าใช้จ่าย) เหลือเพียง 50 ที่นั่งสุดท้าย
https://forms.gle/gJMRVH3GcXHbER1K8
++ รับจำนวนจำกัด ++
(หากท่านลงทะเบียนแล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนซ้ำ)
Voice of Participants, Food Innopolis International Symposium 2019
https://youtu.be/dB8acBmDIwk
* กิจกรรมบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ - มีระบบแปลภาษา เฉพาะวันที่ 9 และ 10 พ.ย. 63
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Food Innopolis
Tel. +66 (0) 9 4341 7111
+66 (0) 9 4249 7333
+66 (0) 9 4340-4333
Email: bd@foodinnopolis.or.th
www.foodinnopolis.or.th
Facebook: FoodInnopolis (fb.com/foodinnopolis)
TMA
คุณจตุพร 02-319-7677 ต่อ 122 jatuporn@tma.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

งาน Thailand Tech Show 2020
ปฏิทินกิจกรรม

รับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการ JSTP รุ่นที่ 24
ประกาศรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน JSTP รุ่นที่ 24
วันที่รับสมัคร : 1 ต.ค.63 - 15 ธ.ค.63
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. จับมือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขีดความสามารถ SMEs และ Startups นำเทคโนโลยียกระดับธุรกิจ
For English-version news, please visit : NSTDA teams up with the Stock Exchange of Thailand to support SMEs and startups
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนาม MOU กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และ Startups นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในดำเนินธุรกิจอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและลดขั้นตอนด้วยการเชื่อมโยงผ่านระบบจัดการองค์กรที่สำคัญ
อาทิ ระบบบัญชี ระบบการเงิน ระบบบริหารจัดการทรัพยากรทางธุรกิจ พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงผลงานวิจัยของ สวทช. เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจหรือสร้างธุรกิจใหม่ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างความพร้อมให้เติบโตผ่านกลไกตลาดทุน
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. มีเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยนำความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันให้ผู้ประกอบการทั้งภาคการผลิต ภาคบริการและการค้า ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา สวทช. โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ได้ให้บริการผู้ประกอบการ SMEs และ Startups นำ วทน. ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตมาอย่างต่อเนื่องกว่า 12,000 ราย ผ่านโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ที่ให้การสนับสนุนด้านผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและด้านงบประมาณ แก่ผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลมีความจำเป็นในทุกธุรกิจ ได้แก่ ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่ช่วยให้องค์กรเกิดกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐาน สามารถบริหารจัดการธุรกิจได้บนฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกันจากทุกแผนก สามารถแจ้งเตือนข้อมูลสำคัญได้แบบ real time เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น IoT, RFID, AI, Data Analytic หรือการพัฒนา Application เฉพาะทาง ซึ่งการจะยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมที่จะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน จนเกิดความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุนได้ในอนาคต
“สวทช. เล็งเห็นว่าการจะยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนได้ จำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร และผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยกันผลักดันผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสม โดย สวทช. จะร่วมสนับสนุนงบประมาณและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในโครงการความร่วมมือครั้งนี้ภายใต้กลไกของโปรแกรม ITAP” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ผ่านการให้องค์ความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจ สู่โอกาสการเติบโตและเข้าถึงกลไกตลาดทุน ผ่านโครงการ LiVE Platform ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด ภายใต้กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมุ่งมั่นเป็น “Transformation Partner: ส่งเสริม SMEs และ Startups ให้เติบโตไปอีกขั้นผ่านกลไกตลาดทุน” โดยเป็น platform พัฒนา SMEs และ Startups ตั้งแต่การเสริมรากฐานความรู้สำหรับผู้ประกอบการการสร้างความแข็งแกร่งผ่านการให้ความรู้เชิงลึกและพัฒนาระบบการทำงานสำคัญ และการเติบโตด้วยกลไกตลาดทุน
“ความร่วมมือกับ สวทช. ในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ที่อยู่ภายใต้ LiVE Platform ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ โดย LiVE Platform จะเป็นศูนย์รวมผู้ให้บริการระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่จัดการระบบสำคัญภายในองค์กร เช่น ระบบบัญชี ระบบการเงิน ระบบบริหารจัดการทรัพยากรทางธุรกิจ อย่างเชื่อมโยงและเป็นระบบ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของ SME Startups ที่จะวางรากฐานความแข็งแกร่งพร้อมสู่การขยายธุรกิจนอกจากนี้ ผู้ประกอบการภายใต้ LiVE Platform ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลและผลงานวิจัยของ สวทช. เพื่อต่อยอดธุรกิจหรือสร้างธุรกิจใหม่ด้วย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เติบโตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โดยผู้ประกอบการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือก สามารถใช้บริการ ERP ได้ตั้งแต่ปี 2564”
ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.live-platforms.com หรือ contact@live-platforms.com
ข่าวประชาสัมพันธ์