หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ENTEC สวทช. ได้รับทุนวิจัยเรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap จาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund
ดร.นุวงศ์ ชลคุป หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานทดแทนและประสิทธิภาพพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund ภายใต้ Free Trade Agreement Framework เรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap มูลค่า $291,900.40 หรือ ประมาณ 9,649,136.7 1 บาท เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 โดยมี ASEAN Centre for Energy (ACE) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) Ministry of Trade, Industry and Energy (MOTIE) และ Republic of Korea (ROK) เป็นหน่วยงานพันธมิตร โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อหากลยุทธ์ในการรองรับเทคโนโลยีพลิกโฉม (disruptive technology ) ด้าน ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ต่อแนวทางการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในประชาคมอาเซียน โดยเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดย ENTEC และ ACE ในการทำ ASEAN Biofuel R&D Roadmap ภายใต้เครือข่ายด้านพลังงานหมุนเวียนอาเชียน หรือ ASEAN Renewable Energy Sub-sector Network (RE-SSN) ที่มี พพ. เป็นตัวแทนประเทศไทย ทั้งนี้การพัฒนาร่วมกันระหว่าง เชื้อเพลิงชีวภาพในยานยนต์ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาท จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas (GHG) ได้อย่างมีนัยยะสำคัญในภูมิภาคอาเซียนได้ ซึ่งสอดคล้องกับการบรรลุความสำเร็จในด้าน Climate Commitment ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) ตลอดจนแนวโน้มความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งประเทศไทยจะมีการประกาศเป้าหมายในที่ประชุม COP26 ที่ Glasgow
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
12 นักวิจัย สวทช. ที่มีบทความวิจัยได้รับการตีพิมพ์และอ้างอิงสูงที่สุดใน Top 2% ของโลก
สำนักพิมพ์ Elsevier บริษัท SciTech Strategies และ Stanford University มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เปิดเผยรายชื่อ World’s Top 2% Scientists by Stanford University ปี 2021 ซึ่งมีนักวิจัยของ สวทช. จำนวน 12 ท่าน อยู่ในรายชื่อดังกล่าว สำนักพิมพ์ Elsevier บริษัท SciTech Strategies และ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ในประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยรายชื่อ World’s Top 2% Scientists by Stanford University ปี 2021 ในสาขาวิชาต่างๆ แบ่งออกเป็น 22 สาขาหลัก 176 สาขาย่อย รวมมากกว่า 100,000 คน รายงานโดยทีมวิจัยนำโดย 1. Jeroen Baas จาก สำนักพิมพ์ Elsevier 2. Kevin Boyack จาก บริษัท SciTech Strategies และ 3. Professor John P.A. Ioannidis จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) การคัดเลือกและจัดอันดับนี้ประเมินจากการวิเคราะห์ผลกระทบงานวิจัยจากการอ้างอิงบทความที่ตีพิมพ์จากฐานข้อมูล Scopus ตั้งแต่ปี 1996 – 2020 โดยใช้ตัวชี้วัดที่หลากหลาย เช่น Citation, co-authorship, และ h-index จัดลำดับนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ จำแนกตามผลกระทบการอ้างอิงตลอดอาชีพนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ (career-long citation impact) จนถึงสิ้นปี 2020 ผลกระทบการอ้างอิงเฉพาะปี 2020 (citation impact during the single calendar year 2020) ข้อมูลการจัดลำดับสามารถดูได้ที่ Data for “Updated science-wide author databases of standardized citation indicators” https://elsevier.digitalcommonsdata.com/datasets/btchxktzyw/3 จากนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก มีนักวิจัย สวทช. ที่ติดอันดับจำนวน 12 ท่าน (โดยในจำนวนนี้มีนักวิจัย 3 ท่าน ที่ติดอันดับทั้งจำแนกตามผลกระทบการอ้างอิงตลอดอาชีพนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ และผลกระทบการอ้างอิงเฉพาะปี 2020) พิจารณาจากผลกระทบการอ้างอิงตลอดอาชีพนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ (career-long citation impact) จนถึงสิ้นปี 2020 มีนักวิจัย สวทช. ที่ติดอันดับจำนวน 7 ท่าน ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ จากทีมวิจัยวิศวกรรมโปรตีน-ลิแกนด์และชีววิทยาโมเลกุล (IPMT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพระดับโมเลกุลทางการแพทย์ (IMBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 292 จากนักวิจัยทั้งหมด 24,819 คน ในสาขา Mycology & Parasitology ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 734 จากนักวิจัยทั้งหมด 58,351 คน ในสาขา Food Science ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) อยู่ในอันดับที่ 1,945 จากนักวิจัยทั้งหมด 108,280 คน ในสาขา Optoelectronics & Photonics Dr.Masahiko Isaka จากทีมวิจัยเคมีอินทรีย์ชีวภาพ (IBOT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ (IBBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 719 จากนักวิจัยทั้งหมด 88,725 คน ในสาขา Medicinal & Biomolecular Chemistry ดร.จินตมัย สุวรรณประทีป จากกลุ่มวิจัยวัสดุและอุปกรณ์เฉพาะทางชีวภาพ (BMD) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) อยู่ในอันดับที่ 3,518 จากนักวิจัยทั้งหมด 285,331 คน ในสาขา Materials ดร.กมล เขมะรังษี กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) อยู่ในอันดับ 3,258 จากนักวิจัยทั้งหมด 183,648 คน ในสาขา Networking & Telecommunications ดร.วรายุทธ สะโจมแสง กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน (NHIC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) อยู่ในอันดับ 2,118 จากนักวิจัยทั้งหมด 100,162 คน ในสาขา Polymers พิจารณาจากผลกระทบการอ้างอิงเฉพาะปี 2020 (citation impact during the single calendar year 2020) มีนักวิจัย สวทช. ที่ติดอันดับจำนวน 8 ท่าน   ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 709 จากนักวิจัยทั้งหมด 58,351 คน ในสาขา Food Science Dr. Masahiko Isaka จากทีมวิจัยเคมีอินทรีย์ชีวภาพ (IBOT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ (IBBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 872 จากนักวิจัยทั้งหมด 88,725 คน ในสาขา Medicinal & Biomolecular Chemistry ดร.วรายุทธ สะโจมแสง กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน (NHIC) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) อยู่ในอันดับ 1,309 จากนักวิจัยทั้งหมด 100,162 คน ในสาขา Polymers ดร.กัลยาณ์ แดงติ๊บ จากทีมวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ (AQHT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำแบบบูรณาการ (AAQG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 701 จากนักวิจัยทั้งหมด 32,323 คน ในสาขา Fisheries ดร.พรกมล อุ่นเรือน จากทีมวิจัยเทคโนโลยีเอนไซม์ (IENT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ (IBBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 911 จากนักวิจัยทั้งหมด 52,513 คน ในสาขา Biotechnology ดร.เจนนิเฟอร์ เหลืองสอาด จากทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร (APMT) กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ (ACBG) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อยู่ในอันดับที่ 425 จากนักวิจัยทั้งหมด 24,819 คน ในสาขา Mycology & Parasitology ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย จากทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน (NMV) กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน (NCAP) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) อยู่ในอันดับที่ 2,375 จากนักวิจัยทั้งหมด 131,063 คน ในสาขา Pharmacology & Pharmacy ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ จากฝ่ายวิจัยกราฟีนและนวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (GPERD) ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) ศูนย์วิจัยและพัฒนาเฉพาะทำง (Focus Center) สำนักงานกลาง อยู่ในอันดับที่ 1,593 จากนักวิจัยทั้งหมด 102,767 คน ในสาขา Analytical Chemistry อ้างอิง Baas, Jeroen; Boyack, Kevin; Ioannidis, John P.A. (2021), “August 2021 data-update for “Updated science-wide author databases of standardized citation indicators””, Mendeley Data, V3, doi: 10.17632/btchxktzyw.3 ที่มา : https://www.nstda.or.th/archives/nstda-worlds-top-2-scientists-by-stanford-uni/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เผยโฉมนวัตกรอาหารรุ่นใหม่ คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรมอาหาร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ “โลกอนาคต” ในโครงการ Food Innopolis Innovation Contest 2021
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอด บริวเวอรี่ พร้อมด้วยผู้สนับสนุนหลักโดย บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด  และ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการประกวดนวัตกรรมอาหารในโครงการ “Food Innopolis Innovation Contest 2021” เวทีออนไลน์ที่ให้เหล่านวัตกรอาหาร ที่มีใจรักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และไอเดียนวัตกรรมอาหารล้ำยุค ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Fly Weight) ระดับนักศึกษา (Light Weight) และระดับบุคคลทั่วไป (Heavy  Weight)  จำนวน 42 ทีม เข้าร่วมประชันไอเดียชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท และสร้างโอกาสในการต่อยอดสร้างธุรกิจด้านนวัตกรรมอาหารร่วมกับบริษัทชั้นนำของประเทศ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ในรูปแบบออนไลน์บนโลกเสมือนจริงแบบ Metaverse เทคโนโลยีดิจิทัลที่ผสานโลกเสมือนจริงคู่ขนานไปกับโลกจริง ผ่านทางเว็บไซต์ www.fiinnovationcontest.com           ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า กิจกรรมในปีนี้มีความพิเศษกว่าทุกปี เนื่องจากมีการเปิดรับผลงานเพิ่มในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Fly Weight) ภายใต้หัวข้อการแข่งขัน 2 หัวข้อ ได้แก่ Food Heritage Innovation หรือนวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหาร และ Future Lifestyle Food Innovation หรือนวัตกรรมอาหารสำหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต ซึ่งตลอดระยะการดำเนินงานที่ผ่านมาโครงการได้ทำการบ่มเพาะผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผ่านการอบรมและให้คำปรึกษาอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การออกแบบแนวคิดนวัตกรรม การพัฒนาต้นแบบ การจัดทำโมเดลธุรกิจ ตลอดจนเทคนิคการนำเสนอผลงาน โดยมุ่งหวังกระตุ้นให้เยาวชนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ สามารถนำความรู้ เครื่องมือการสร้างนวัตกรรมไปพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ และนำผลงานออกสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง โดยผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในทั้ง 3 รุ่นนี้ ผ่านการคัดสรรจากผู้ส่งผลงานเข้าประกวดทั้งหมดมากกว่า 200 ทีม จากทั่วประเทศ จนเหลือ 42 ทีมที่มีแนวคิดน่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในทางการตลาด โดยผู้ชนะการประกวดในครั้งนี้จะแบ่งเป็นรุ่นนักเรียนจะได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมโล่  ส่วนรุ่นนักศึกษาและบุคคลทั่วไป จะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาทพร้อมโล่เช่นกัน           นายปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอด บริวเวอรี่ เปิดเผยว่า สิ่งสำคัญที่เครือบุญรอดให้การสนับสนุนโครงการ Food Innopolis Innovation Contest เพราะเล็งเห็นว่าธุรกิจนวัตกรรมอาหารเป็นสิ่งที่สร้างศักยภาพให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ดังคำกล่าวที่ว่า อาหารไทยสามารถส่งออกได้ทั่วโลก หรือ ครัวไทย สู่ครัวโลก ที่มีการผลักดันเป็นนโยบายของภาครัฐ ทางบริษัทมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดของนวัตกรรมด้านอาหาร หรือการนำศิลปะทางด้านอาหารไปสู่ระดับโลกได้ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1. ส่วนที่เป็นต้นน้ำหรือแหล่งการผลิต คือการทำอย่างไรให้สามารถผลิตได้ตลอดทั้งปี รวมถึงการทำให้ต้นทุนการผลิตอยู่ในการควบคุม และการสร้างสินค้าทดแทนหรือการมีแหล่งวัตถุดิบที่ดีขึ้น 2. ส่วนที่เป็นกลางน้ำ หรือ นวัตกรรมในการทำอาหาร หรือการออกสินค้าใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากการแข่งขันมีอยู่ทั่วโลก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการนำเสนออย่างไรให้นวัตกรรมนั้นมีความน่าสนใจ และดึงดูดตลาดโลก  3. ส่วนที่เป็นปลายน้ำ เมื่อมีวัตถุดิบที่ดี มีนวัตกรรมที่ดีแล้ว จะขายสินค้าอย่างไร จะดึงจุดเด่นในการขายสินค้านั้นอย่างไร การจะสร้างอนาคตธุรกิจอาหารสู่ครัวโลก ต้องพัฒนาทั้ง 3 ส่วนนี้ รวมถึงมุมมองความคิดในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทั้งภาครัฐและภาคเอกชนและผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดแผนการตลาดหรือแผนการนำเสนอสินค้าที่น่าสนใจและสมบูรณ์แบบมากที่สุด           สำหรับผลการแข่งขันหัวข้อ Food Heritage Innovation หรือนวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหาร ทีมที่ชนะเลิศรุ่นนักเรียน ได้แก่ “ทีมปลาร้าวิวัฒน์” จากโรงเรียนสุรวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กับผลงาน “ปลาร้าวิวัฒน์ น้ำปลาร้าทรงเครื่องเพื่อสุขภาพโซเดียมต่ำ” ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความสะอาด และปัญหาปริมาณโซเดียมสูงด้วยการปรุงรสจากผักไชยาที่เป็นผักพื้นบ้าน รวมถึงการปรับรูปแบบผลิตภัณฑ์และตัวน้ำปลาร้าให้มีความข้นและความหนืดแบบพอดี ทีมชนะเลิศรุ่นนักศึกษา ได้แก่ “ทีม Rice gun muk” จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับผลงานชื่อ “มงคล” ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมวีแกนรสข้าวแช่เพื่อสุขภาพ และผู้ชนะเลิศรุ่นบุคคลทั่วไป ได้แก่ “ทีมร้าแซ่บ” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับผลงาน “ร้าแซ่บ ปลาร้าทอดสุญญากาศพร้อมทาน” ซึ่งช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ที่ชอบทานปลาร้าทอดให้สามารถหาซื้อทานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่วยแก้เรื่องกลิ่นรบกวนขณะปรุงสุกและกลิ่นหืนเมื่อเก็บไว้ รวมถึงปัญหาเรื่องของการพกพาอีกด้วย สำหรับหัวข้อ Future Lifestyle Food Innovation หรือนวัตกรรมอาหารสำหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต ผู้ชนะเลิศรุ่นนักเรียน ได้แก่ “ทีมน้องหนอนดุกดุ๋ยกระดึ๋บดุ๊กดิ๊ก” จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ กับผลงาน “DUKDIK สเปรดสุขภาพจากดักแด้ไหมปรุงรส” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ให้โปรตีนสูง แต่มีปริมาณแคลอรี่และไขมันต่ำ ส่วนผู้ชนะเลิศรุ่นนักศึกษา ได้แก่ “ทีม 5 SHADES” จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับ “ผลิตภัณฑ์ VELOAF มีทโลฟวีแกน” ผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อสัตว์พร้อมทานอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร  และผู้ชนะเลิศรุ่นบุคคลทั่วไป ได้แก่ “ทีม Trumpkin” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับผลงาน “Trumpkin Vegan Cheese” หรือ “Vegan mozzarella cheese” สัญชาติไทยจากเมล็ดฟักทองที่มีไฟเบอร์สูง เป็นผลิตภัณฑ์ Dairy free ที่ไม่มีส่วนผสมของนม ปราศจากคอเลสเตอรอลและสารก่อภูมิแพ้ 8 ชนิด ที่ตอบโจทย์กลุ่มคนทานอาหาร Vegan ที่อาจขาดสารอาหารที่จำเป็น รวมถึงแก้ปัญหา Vegan cheese ทางเลือก ที่มีอยู่ในตลาดทั่วไปที่มักทำจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้           โครงการ Food Innopolis Innovation Contest นับเป็นหนึ่งโครงการที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการอาหารของไทยให้ก้าวหน้า อีกทั้งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการด้านอาหารให้มีความรู้ความเข้าใจในด้านกลยุทธ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภค จนสามารถแข่งขันในตลาดไทยและตลาดโลกได้ นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่จะช่วยเชื่อมโยงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการทางด้านอาหารทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน เป็นพื้นที่ที่รวมแนวคิด และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนสู่การพัฒนาและพลักดันวงการอาหารไทยให้ก้าวเติบโตต่อไปได้ในอนาคต   /////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
30th Anniversary Story of NSTDA: นวัตกรรมรับมือ “สังคมผู้สูงอายุ”
  โลกกำลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ เมื่อประเทศพัฒนาแล้วแทบทุกชาติเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประเทศกำลังพัฒนาเกือบทุกประเทศมีสัดส่วนประชากรของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยเองกำลังอยู่ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ซึ่งการเข้าสู่สังคมชราภาพนับเป็นความท้าทาย เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีวัยพึ่งพิงมากกว่าวัยทำงานนั้น ย่อมต้องประสบปัญหาทั้งการขาดแคลนแรงงาน สุขภาพ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญต่อการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ   นวัตกรรม ‘รถเข็นไฟฟ้า’ เพื่อคนพิการและผู้สูงวัย ปัจจุบันมีผู้สูงอายุและคนพิการทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องการใช้รถเข็นเพิ่มมากขึ้น ทว่ารถเข็นที่ใช้งานส่วนใหญ่มักเป็นรถเข็นแบบทั่วไป ต้องอาศัยกำลังแรงคนในการใช้มือผลักดัน ในกรณีที่ผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ไม่มีกำลังแขนก็ต้องพึ่งพาคนใกล้ชิด ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระ และไม่สะดวกในการเดินทางนัก ขณะที่รถเข็นไฟฟ้าแม้จะใช้งานง่าย แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ราคา 20,000-100,000 บาท ทำให้มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้   [caption id="attachment_28151" align="aligncenter" width="700"] M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า[/caption]   [caption id="attachment_28152" align="aligncenter" width="700"] ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้วิจัยพัฒนา ‘M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า’ ที่สะดวก ปลอดภัย และราคาไม่แพง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้รถเข็นทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ยังใช้งานร่างกายท่อนบนได้ดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ดียิ่งขึ้น โดยอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ ชุดขับเคลื่อน ชุดควบคุมการเคลื่อนที่ และชุดแหล่งพลังงาน เน้นใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด สำหรับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ หากชาร์จไฟฟ้า 8 ชั่วโมง จะใช้งานได้ต่อเนื่องนาน 4 ชั่วโมง หรือระยะทาง 20 กิโลเมตร ซึ่งในกรณีที่แบตเตอรี่หมดสามารถสลับเปลี่ยนการใช้งานจากระบบไฟฟ้ามาเป็นระบบปกติเหมือนเดิมได้ ทั้งนี้ M-Wheel ผ่านการประเมินผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทางไฟฟ้า ด้วยการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้า การป้องกันสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งผ่านการประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์ โดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)   Power Lift Bed เตียงนอนสุดล้ำ ลุก-นั่งปลอดภัย ด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมไปตามวัย ทำให้หลายๆ ครั้ง การใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุมีอุปสรรคทั้งในด้านการลุก การนั่ง การยืน และเป็นสาเหตุของการพลัดตกหกล้ม   [caption id="attachment_28153" align="aligncenter" width="700"] Power Lift Bed[/caption]     ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค พัฒนา “Power Lift Bed” เตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้นหลังการผ่าตัด ซึ่งมีกลไกช่วยให้สามารถลุก นั่ง ยืน ได้สะดวกสบาย มีความปลอดภัยสูง โดยมีการออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ใช้งานและควบคุมได้ง่ายผ่านรีโมตคอนโทรล มีตัวหนังสือและสัญลักษณ์อธิบายที่ชัดเจน ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญเตียงยังสามารถปรับหมุนไปด้านซ้าย-ขวาได้ถึง 90 องศา ทำให้ผู้สูงอายุที่นอนอยู่สามารถกดรีโมตปรับเตียงมาอยู่ในท่านั่ง และกดคำสั่งให้เตียงหมุนมาด้านข้างเพื่อนั่งรับประทานอาหาร หรือดูโทรทัศน์ได้ทันที ช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองมากขึ้น สร้างความมั่นใจในการลุกขึ้นนั่งหรือยืน ไม่รู้สึกเป็นภาระต่อครอบครัว ล่าสุด เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับบริษัท SB Design Square ปรับรูปลักษณ์เทคโนโลยีให้มีความสวยงาม ทันสมัย มีฟังก์ชันใช้สอยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตอบโจทย์ผู้บริโภค สร้างความรู้สึกที่แตกต่างจากเตียงผู้ป่วยแบบทั่วไป ปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้วที่ SB Design Square หรือสั่งสินค้าออนไลน์ได้ที่ www.sbdesignsquare.com นับเป็นเฟอร์นิเจอร์ทางเลือกใหม่ที่สร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตภายในบ้านให้กับผู้สูงอายุ   สื่อกระตุ้นความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อมเป็นปัญหาที่พบมากในผู้สูงอายุ โดยผู้ป่วยจะมีอาการลืมเลือนสิ่งต่างๆ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ซึ่งผู้ที่ดูแลนอกจากจะต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างมากแล้ว การพยายามกระตุ้นให้ผู้ป่วยคงความสามารถ ด้วยการหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำ เช่น การทายภาพสมาชิกใครอบครัว การเล่นเกม จะช่วยพัฒนาสมองและฟื้นฟูความทรงจำได้มากขึ้น   [caption id="attachment_28155" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28156" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   ดร.สิทธา สุขกสิ ทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค ได้พัฒนา “AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง” ที่มีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยผลงานนี้มีลักษณะเป็นผ้าห่มที่ทำจากผ้าไทย มีความสวยงาม เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม เวลาผู้สูงอายุสัมผัสเนื้อผ้าจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ หรือบางครั้งเวลาที่ผู้สูงอายุรู้สึกหงุดหงิดเมื่อจับหรือสัมผัสผ้าจะช่วยให้รู้สึกว่าได้คลายความหงุดหงิด ลดความเครียด และความกระวนกระวายใจได้ นอกจากนี้ AKIKO ยังถูกออกแบบให้มีช่องใส่รูปภาพ หรือกลิ่นหอมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความคุ้นเคยของผู้สูงอายุ ซึ่งนำมาทำเป็นเกมช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสและความทรงจำที่ดีให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ ขณะนี้มีการนำไปใช้จริงในสถานดูแลผู้สูงอายุ และมีบริษัทเอกชนเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเตรียมผลิตขายเชิงพาณิชย์   [caption id="attachment_28171" align="aligncenter" width="500"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28157" align="aligncenter" width="700"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   นอกจากนี้ยังมี “MONICA เกมฝึกสมอง” สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น โดยเกมจะช่วยกระตุ้นสมองส่วนต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้งาน ทั้งในเรื่องความจำ การตัดสินใจ การมองเห็นและตอบสนองต่างๆ รวมถึงการใช้ภาษา โดยตัวเกม MONICA จะประกอบด้วยส่วนของโปรแกรมและปุ่มกดที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ การทำงานของเกมจะมีให้เลือกความยากง่าย เน้นการใช้ภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ โดยมีตัวอย่างเกม เช่น เกมเปรียบเทียบภาพปัจจุบันกับภาพก่อนหน้าว่าเหมือนหรือแตกต่าง หากเหมือนกันให้กดเครื่องหมายถูก หากต่างกันให้กดเครื่องหมายผิด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุเล่นเกมผ่านจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ มีความรู้สึกมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น   อาหารเคี้ยวกลืนง่าย ปลอดภัย ไม่สำลัก การสำลักน้ำและอาหาร รวมถึงภาวะการกลืนยาก เป็นปัญหาสำคัญของผู้สูงอายุ เกิดจากอวัยวะในช่องปากเสื่อมลงและไม่สามารถดื่มน้ำหรือบริโภคของเหลวได้เหมือนคนปกติ ซึ่งนอกจากอันตรายแล้วยังส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การขาดน้ำ ขาดอาหาร ที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ [caption id="attachment_28158" align="aligncenter" width="500"] ผงเพิ่มความหนืด[/caption]   ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค ได้ร่วมงานกับบริษัทเอกชน พัฒนา “ผงเพิ่มความหนืด” ที่ใช้เติมในน้ำและเครื่องดื่มให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการไหลเข้าสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่ติดอยู่บริเวณคอหอยหรือหลุดเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสำลักได้ ในเรื่องการบดเคี้ยวอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ทีมวิจัยยังใช้องค์ความรู้ในการปรับโครงสร้างของเนื้อสัตว์ให้เกิดการแตกหักง่ายขึ้น เมื่อผู้สูงอายุรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ง่ายจากการใช้เหงือกหรือการใช้ลิ้นดุนเพื่อให้เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ และเกิดการย่อยได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังศึกษาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D food printing) เพื่อตอบรับความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคลที่คาดว่าจะมีปริมาณมากขึ้นในอนาคต   [caption id="attachment_28159" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   [caption id="attachment_28160" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย” ผลงานวิจัยของ ดร.นิสภา ศีตะปันย์ ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการปรับโครงสร้างร่วมกับการใช้ตัวปรับเนื้อสัมผัส เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ “เนื้อสัตว์ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม” บดเคี้ยวง่ายด้วยฟันหรือเหงือก กลืนง่าย มีปริมาณไขมันสัตว์น้อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ที่สำคัญยังคงรูปร่างได้ มีลักษณะปรากฏคล้ายอาหารที่เตรียมจากเนื้อสัตว์ทั่วไป สามารถหั่นหรือตัดเป็นชิ้นได้ จึงนำไปเตรียมเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ คั่วกลิ้ง ลาบหมู มัสมั่นหมู หมูกระเทียม ช่วยให้ความรู้สึกในการบริโภคคงเดิม   [caption id="attachment_28161" align="aligncenter" width="700"] สเต๊กเนื้อนุ่ม[/caption]   ส่วนที่พิเศษสุดคืออาหารปราบเซียนอย่างสเต๊ก ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ เอ็มเทค สามารถพัฒนาตัวปรับเนื้อสัมผัสอาหารสำหรับประเภทเนื้อสัตว์สู่ผลิตภัณฑ์ “สเต๊กเนื้อนุ่ม” พร้อมอุ่นร้อนจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวบดหยาบที่มีปริมาณเนื้อสัตว์มากกว่า 70% โดยน้ำหนัก และมีไขมันน้อยกว่า 5% โดยผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อชิ้นแต่นุ่มและบดเคี้ยวง่าย ช่วยลดอุปสรรคในการบริโภคของผู้สูงอายุ   ผลิตภัณฑ์จากพืช โปรตีนทางเลือก ไม่เพียงการปรับเนื้อสัมผัสเนื้อสัตว์เพื่อให้ผู้สูงอายุรับประทานได้ง่ายและได้โปรตีนครบถ้วนแล้ว สวทช. ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร “โปรตีนทางเลือก” ทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด อาทิเช่น “Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช” ผลงานวิจัยของ ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ได้นำความรู้เรื่องการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่ไปกับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนอาหารต้นแบบ ดังนั้นเมื่อผู้บริโภครับประทาน Ve-Chick จะได้รับความรู้สึกเหมือนรับประทานเนื้อไก่จริง และยังได้รับสารอาหารในปริมาณที่แทบไม่แตกต่างกัน โดยเนื้อไก่ปกติ100 กรัม จะมีโปรตีนประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนัก ขณะที่ Ve-Chick มีโปรตีนประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนัก ที่สำคัญไม่มีคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตที่อาจตกค้างมาในเนื้อไก่   [caption id="attachment_28162" align="aligncenter" width="500"] Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช[/caption]   [caption id="attachment_28164" align="aligncenter" width="500"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   มีอาหารแล้วต้องมีเครื่องดื่ม ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา “M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว” โดยนำโปรตีนถั่วเขียวมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดโครงสร้างโปรตีนตามต้องการ ร่วมกับการใช้ไฮโดรคอลลอยด์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการพยุงโครงสร้าง และช่วยในการกระจายตัวของโปรตีนให้คงสภาพได้ดีภายหลังการให้ความร้อนระดับพาสเจอไรซ์ ทำให้ได้เครื่องดื่มโปรตีนสูงชนิดเจลจากโปรตีนพืชที่มีลักษณะปรากฏเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสัมผัสที่เทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดเจลทางการค้าที่ไม่มีโปรตีนหรือมีโปรตีนในปริมาณที่ต่ำกว่า โดยผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษานาน 2 สัปดาห์ในตู้เย็น และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น  ทั้งนี้ เครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink มีปริมาณโปรตีนสูงกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) หรือร้อยละ 6 โดยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ และมีการเสริมแคลเซียมกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI)   [caption id="attachment_28163" align="aligncenter" width="700"] M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว[/caption]   [caption id="attachment_28165" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]            ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาพันธุ์ข้าวเจ้านาปี “หอมสยาม” ข้าวหอม ผลผลิตสูง คุณภาพดี ต้านทานโรคไหม้ หวังส่งออกตลาดต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และพันธมิตร ร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวนาปีใหม่ “หอมสยาม (Hom Siam)” ซึ่งเป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ผลผลิตสูง ต้นเตี้ยทนการหักล้ม ต้านทานโรคไหม้ ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ซึ่งได้มีการนำมาปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม ให้ผลเป็นที่น่าพอใจต่อเกษตรกรและโรงสี โดยคาดว่าข้าวหอมสยามนี้จะสามารถส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศต่อไปในอนาคต ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเร่งรัดพัฒนาประเทศโดยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการใช้โมเดลทางเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG model” คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยการขับเคลื่อนเป็นองค์รวมที่มีพื้นฐานมาจากการใช้ทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งสาขาเกษตรเป็นหนึ่งในสาขายุทธศาสตร์เป้าหมายที่ต้องเร่งรัดพัฒนาให้ความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ไบโอเทค สวทช. โดย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ได้มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศในด้านการพัฒนาพันธุ์พืช และการบริหารจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. เป็นหน่วยงานสร้างความเป็นเลิศทางด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านการปรับปรุงพันธุ์แนวอณูวิธี (molecular breeding) กับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของผู้ผลิต ผู้บริโภค และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเน้นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ผลงานที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย อาทิ ข้าวเหนียวพันธุ์ธัญสิริน ข้าวเหนียว กข6 ต้นเตี้ย ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง ข้าวน่าน59 และข้าวเหนียวหอมนาคา เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในพื้นที่ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหารของพื้นที่ และลดปัญหามลพิษจากสารเคมี ส่วนพันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน เป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ให้ผลผลิตสูงเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และภาคใต้ โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดน ทำให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ยังถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี มีมาตรฐานไว้ใช้เองได้ เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จนได้ชื่อ “ไบโอเทคติดนา” ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร สถาบันการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดพลังแห่งการพัฒนาประเทศ ด้าน ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา หัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค ปัจจุบันรักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. นำความเชี่ยวชาญทางด้านการถอดรหัสจีโนม เพื่อระบุยีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและคุณภาพข้าว และพัฒนาระบบการตรวจสอบยีนจาก ดีเอ็นเอ เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีลักษณะตามความต้องการ (Tailor-made rice variety) โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือก จนเป็นหน่วยงานชั้นนำของประเทศในด้านการปรับปรุงพันธุ์โดยใช้เทคโนโลยี (Marker Assisted Selection) ในสถานการณ์วิกฤตของข้าวไทย การพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมนุ่ม ผลผลิตสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ “หอมสยาม” ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ผลผลิตสูง ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ยทนการหักล้ม ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย โดยมีความสูงต้นประมาณ 120 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่เครื่องจักร ปัจจุบันทาง ไบโอเทค สวทช. อยู่ระหว่างการยื่นขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 กับกรมวิชาการเกษตร โดยข้าวพันธุ์หอมสยามนี้ จะเป็นข้าวหอมไทยคุณภาพอีกพันธุ์หนึ่งที่สามารถส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการข้าวคุณภาพในราคาที่ไม่สูงเกินไป ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม  ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2563 ทีมงานวิจัยได้มีการทำงานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรของบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ในการนำข้าวไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกร ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ และ จ.ศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 14%) สูงกว่าข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ประมาณ 2.1 เท่าที่ปลูกในแปลงเดียวกัน ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมทดสอบพันธุ์ จำนวน 31 คน พันธุ์ข้าวหอมสยาม ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดีเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข15 เป็นการลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรค “พันธุ์ข้าวหอมสยามจึงเป็นพันธุ์ข้าวที่ช่วยยกระดับรายได้เกษตรกร สร้างเศรษฐกิจชุมชมเข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เกษตรกรที่สนใจสามารถลงทะเบียนขอรับพันธุ์ข้าวไปทดลองปลูกได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/15ml0i7FPytICen3hOZR7BBoAQKSHt32IbpvdAwMrz3U/edit?usp=drivesdk
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทุนวิจัยหลังปริญญาเอก NSTI (NBT&NOC)
(ขยายเวลารับสมัครถึงวันที่ 3 ธ.ค. 64) สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มีแนวทางการดำเนินงานโครงการสนับสนุนทุนนักวิจัยหลังปริญญาเอก ในลักษณะของการเป็น NSTDA postdoctoral school เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก จากทั้งในและต่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานวิจัยภายใต้การดูแลของนักวิจัยพี่เลี้ยงของ สวทช. และเครือข่ายวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญและมีผลงานวิจัย และอาศัยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยของ สวทช. โดยการดำเนินงานดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อมขั้นพื้นฐาน เพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการวิจัย เพื่อก้าวสู่การเป็นนักวิจัยอาชีพนำไปสู่การเสริมสร้าง career path ให้กับนักวิจัยหลังปริญญาเอก ในการก้าวไปสู่การทำงานวิจัยในระดับที่สูงขึ้น จึงเป็นกลไกการพัฒนาบุคลากรวิจัยในระดับสูง เพื่อผลิตนักวิจัยอาชีพที่มีคุณภาพ คุณสมบัติของผู้สมัคร เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในสาขาพฤกษศาสตร์, ชีววิทยา, เทคโนโลยีชีวภาพ , Ecology/remote sensing หรือสาขาที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ไม่เกิน 5 ปี มีผลงานตีพิมพ์เป็นชื่อแรกในวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่มี impact factor เป็นที่ยอมรับ อย่างน้อย 1 เรื่อง หรือมีสิทธิบัตร สามารถทำงานวิจัยเต็มเวลา ที่ สวทช. จบสาขาวิชาหรือมีความเชี่ยวชาญดังต่อไปนี้ Biology, Molecular Biology, Molecular pathology, Chemistry, Molecular Genetics, Biochemistry, Food Biotechnology, Microbiology, Virology, Plant Physiology, Plant Biochemistry, Ecology/remote sensing หรือสาขาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หากมีประสบการณ์ด้านเมตาโบโลมิกส์ จะพิจารณาเป็นพิเศษ หากมีความรู้เน้นด้านอนุกรมวิธานพืช โดยมีเกรดเฉลี่ยระดับปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.00 และปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.50 มีความความรู้และเคยทำวิจัยด้านอนุกรมวิธานพืชและการประเมินสถานะภาพของพื้บในระดับโลก จะพิจารณาเป็นพิเศษ   ขอบเขตงานและผลงานที่คาดหวัง ตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่มี impact factor อย่างน้อย 1 เรื่อง และ/หรือ เข้าบรรยายในการประชุมวิชาการที่จัดขึ้นในประเทศหรือต่างประเทศ หรือเลขที่คำขอยื่นจดสิทธิบัตรหรือผลงานทางวิชาการอื่นที่เทียบเท่าตามหลักเกณฑ์ของ สวทช. จัดทำรายงานการศึกษาวิจัยทุก 6 เดือน อื่นๆ ตามที่ สวทช. กำหนด   ระยะเวลาทุน สนับสนุนทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี และอาจพิจารณาสนับสนุนต่อในปีที่ 2 โดยพิจารณาตามความเหมาะสม   ระยะเวลาการรับสมัคร 20 ตุลาคม 2564 – 3 ธันวาคม 2564   เอกสารประกอบการสมัคร แบบสมัครขอรับทุนนักวิจัยระดับปริญญาเอก พร้อมรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว ใบแสดงผลการศึกษาระดับปริญญาเอก บทคัดย่อวิทยานิพนธ์ หนังสือรับรอง 3 ฉบับ   ดาวน์โหลด แบบสมัครขอรับทุนนักวิจัยระดับหลังปริญญาเอก   ติดต่อ ฝ่ายบริการทรัพยากรบุคคล (HRSS) (คุณศิถยา เมธาวีกุลชัย) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71123 อีเมล์ sitthaya@nstda.or.th
กลุ่มพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทุนการศึกษาและวิจัย สวทช.
 
นาโนเทค สวทช. ต่อยอด “ใบขลู่” สู่ “แชมพู-ครีมอาบน้ำอนุภาคนาโนขลู่ต้านอนุมูลอิสระ”เตรียมถ่ายทอดให้ชุมชน สร้างนวัตกรรมของดีเมืองกระบี่
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. นำของดีเมืองกระบี่มาต่อยอดเพิ่มมูลค่าสู่ผลิตภัณฑ์แชมพูและครีมอาบน้ำจากอนุภาคนาโนสารสกัดใบขลู่ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ตอบแนวโน้มการดูแลตัวเองในยุคที่ต้องเผชิญมลภาวะ ด้วยจุดเด่นคือ ง่าย ไม่ซับซ้อน เอื้อให้ชุมชนทำกันได้เอง เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างรายได้จากของดีพื้นถิ่นที่จะเป็นอัตลักษณ์ชุมชน น.ส.วลีวัลย์ เอกนัยน์ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย กล่าวว่า “แชมพู-ครีมอาบน้ำอนุภาคนาโนขลู่ต้านอนุมูลอิสระ” เกิดจากชุมชนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่ ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับใบขลู่ พืชพื้นถิ่นของกระบี่ สู่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากเดิมที่ชาวบ้านใช้กระบวนการง่ายๆ อย่างการตากแห้งเพื่อนำไปทำเป็นชา ด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านว่าใบขลู่มีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ และลดน้ำตาลในเลือด ขลู่ หรือ Pluchea indica (L.) Less เป็นไม้พุ่มที่อยู่ในวงศ์ Asteraceae สามารถพบได้ทั่วไปในบริเวณที่ชื้นแฉะของประเทศแถบเอเชีย โดยทางภาคใต้ของไทย มีการนำใบขลู่มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบของชา เพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนี้ในส่วนของประโยชน์ด้านความงาม ยังพบรายงานฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก “ความท้าทายหลักของงานวิจัยนี้คือ เราต้องออกแบบกระบวนการผลิตทุกขั้นตอนให้ง่ายสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน ในขณะเดียวกัน องค์ประกอบหรือวัตถุดิบต่างๆ ต้องน้อยที่สุด เพื่อให้ชุมชนสามารถจัดหาได้จริง ไม่ยุ่งยาก แต่ก็ยังต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานที่ดีควบคู่กันไปด้วย ทีมวิจัยซึ่งประกอบด้วยตนเอง พร้อมกับ ดร.รวีวรรณ ถิรมนัส, น.ส.สุภัชยา แจ่มใส และน.ส.ชุติกร พึ่งบุญ จึงเริ่มศึกษาวิธีการสกัดใบขลู่เพื่อพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของอนุภาคนาโน จากนั้นศึกษาการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และนำอนุภาคนาโนขลู่ที่ได้ไปใช้ในตำรับแชมพู และครีมอาบน้ำ” “อนุภาคนาโนขลู่ที่ผลิตด้วยกระบวนการที่ทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนาขึ้นนี้ มีจุดเด่นคือ ใช้วิธีการประดิษฐ์อย่างง่าย ทดสอบแล้วพบว่า มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง ดังนั้น เมื่อนำไปต่อยอดใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์กลุ่มชำระล้าง เช่น แชมพู และครีมอาบน้ำจึงสามารถตอบความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองในยุคที่ผิวและผมต้องเผชิญมลภาวะไม่ว่าจะเป็นแดด ลม หรือฝุ่นควัน” น.ส.วลีวัลย์กล่าว แชมพูและครีมอาบน้ำจากอนุภาคนาโนขลู่ จากการวิจัยและพัฒนาของนาโนเทค สวทช. พร้อมสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน สู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมชุมชน ที่สามารถต่อยอดไปสู่การให้บริการในโรงแรม สปา ที่ต้องการเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนจากสารสกัดพื้นบ้านจำเพาะของท้องถิ่นชุมชนบ้านไหนหนัง จังหวัดกระบี่
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนาวิชาการออนไลน์ หัวข้อ “Microbial Genomics and Genomic Medicine”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมเทคโนโลยีเพื่อเตรียมพร้อมป้องกันโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ร่วมกับ ศูนย์วิจัยจีโนมจุลินทรีย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์พรชัย มาตังคสมบัติ (CENMIG) มหาวิทยาลัยมหิดล มีกำหนดจัดงานสัมมนาวิชาการออนไลน์ภายใต้แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย กลุ่มโรคติดเชื้อ หัวข้อ “Microbial Genomics and Genomic Medicine” ระหว่างวันที่ 13 -14 ธันวาคม 2564 เวลา 09.30-15.00 น. ผ่านระบบ Cisco Webex meeting โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ด้านจีโนมิกส์เพื่อการศึกษาเชื้อก่อโรค ทั้งในแง่ของการจำแนกเชื้อ การศึกษาในเชิงระบาดวิทยา การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางพันธุกรรมและลักษณะการแสดงออกของเชื้อ การศึกษาไมโครไบโอม รวมทั้งนำเสนอการประยุกต์ใช้ข้อมูลจีโนมิกส์ในเชิงการแพทย์ ประกอบด้วยการค้นหาเชื้อสาเหตุของโรค หรือการศึกษาความผิดปกติทางพันธุกรรมในผู้ป่วยโรคหายากด้วยเทคโนโลยีการหาลำดับพันธุกรรม การวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อคัดเลือกรูปแบบรักษาที่จำเพาะและแม่นยำ รวมทั้งภาพรวมแผนปฏิบัติการจีโนมิกส์ประเทศไทยในส่วนที่ดำเนินการโดย สวทช. รวม 8 หัวข้อ ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ : (โปรดลงทะเบียนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน)https://meeting-nstda.webex.com/webappng/sites/meeting-nstda/meeting/info/9e359bccf0c44447accb17fd3748257e?isPopupRegisterView=true เข้าร่วมสัมมนาได้ที่  Link: https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=m6029a7d848862187889887789bc2734c Meeting number: 2518 040 6328 Password: GenomicsEID (more…)
eid
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค จับมือพันธมิตร เสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการ NECTEC-ACE 2021 ในรูปแบบออนไลน์
19 พฤศจิกายน 2564: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหน่วยงานพันธมิตร จัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2564 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2021 (NECTEC–ACE 2021) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” มุ่งเน้นด้าน “Digital Transformation for Sustainable Manufacturing and Services” เพื่อแสดงถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมในยุคดิจิทัลที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีเป้าหมายแสดงผลงานทางด้านนวัตกรรมการผลิตและบริการที่ยั่งยืน ตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาไทยสู่ Industry 4.0 ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ในฐานะศูนย์แห่งชาติที่มุ่งเน้นวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือน“เครื่องจักรสำคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ” ช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ามหาศาลและเป็นอุปสรรคสำคัญที่ภาครัฐและเอกชนต้องติดกับดักการลงทุนทางเทคโนโลยี ส่งผลให้การดำเนินงานหรือประกอบธุรกิจเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เนคเทค สวทช.ยังได้เตรียมความพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยร่วมกับพันธมิตรผลักดันให้เกิดระบบนิเวศน์ของการใช้เทคโนโลยีที่วิจัยและพัฒนาขึ้นให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน ที่ให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ต่อไป ปัจจุบันจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติทำให้ไม่สามารถจัดงานหรือทำกิจกรรมที่มีคนหมู่มากมาร่วมงานได้นั้น การจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทคประจำปี 2564 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2021 (NECTEC-ACE 2021) ซึ่งจัดมาอย่างต่อเนื่องนั้นในปีนี้เนคเทค-สวทช. ได้จับมือร่วมกับพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ จึงได้จัดงานในรูปแบบออนไลน์ โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 13-16 ธันวาคม 2564  และมีพิธีเปิดงาน ณ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” มุ่งเน้นด้าน “Digital Transformation for Sustainable Manufacturing and Services” เพื่อแสดงถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมในยุคดิจิทัลที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีเป้าหมายแสดงผลงานทางด้านนวัตกรรมการผลิตและบริการที่ยั่งยืน ตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาไทยสู่ Industry 4.0 เป็นสำคัญ ภายในงานมีหัวข้อการสัมนาด้านเทคโนโลยี ซึ่งมุ่งเน้นการนำเสนอ แลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมอง โดยนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานพันธมิตรภาคเอกชนด้านอุตสาหกรรมทั้งรายใหญ่และรายย่อย มาร่วมแชร์ประสบการณ์การใช้งานเทคโนโลยีของเนคเทค สวทช. รวมกว่า 30 ท่าน ในรูปแบบการสัมมนาออนไลน์กว่า 19 หัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจและไม่ควรพลาด นอกจากนี้นิทรรศการผลงานและบริการที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลกล่าว 50 ผลงาน นายศักดิ์ณรงค์ แสงสง่าพงศ์ ประธานคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรหลักภาคเอกชนที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ ประกอบด้วย 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ มีนโยบายในการส่งเสริมการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับสมาชิก จึงได้จัดตั้ง “สถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม” เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนในเรื่องนวัตกรรมของภาคอุตสาหกกรรม และจัดตั้ง “สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรม” หรือ ICTI เพื่อส่งเสริมด้าน Digital ให้กับสมาชิก ในฐานะที่สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นฝั่ง Demand Side   มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเป็นจะโยชน์ต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมโดยตรง ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะโรงงาน และ SME ต่างๆ ได้เข้าถึงงานวิจัยและเทคโนโลยีที่สามารถจับต้องได้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยจาก NECTEC  คอยให้การสนับสนุน ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการได้ ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ จะเชิญชวนสมาชิกเข้าร่วมการประชุมวิชาการและนิทรรศการ NECTEC–ACE 2021 ครั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ด้วยเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนของ AIS ต่อการนำศักยภาพของ 5G มาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ จากการเดินหน้าลงทุนพัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีโครงข่ายอย่างต่อเนื่องทำให้วันนี้โครงสร้างพื้นฐานหรือ Digital Infrastructure มีความสมบูรณ์ พร้อมให้บริการกับภาคอุตสาหกรรม โดยยึดแนวทางการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายเพื่อสร้างความสมบูรณ์ของ Digital Ecosystem เพราะเราเชื่อว่าความสามารถและพลังของพาร์ทเนอร์จะช่วยส่งเสริมธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นได้แบบทวีคูณ ทั้งนี้ AIS ยังทำงานร่วมกับภาครัฐอย่าง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมีแผนงานสนับสนุน 5G infrastructure สำหรับเป็นสนามทดสอบ 5G (5G testbeds) เพื่อเตรียมความพร้อมของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมการผลิต รับการมาถึงของเทคโนโลยี 5G ณ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ Sustainable Manufacturing Center: SMC อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางนวัติกรรมของภาคอุตสาหกรรมการผลิต Smart Manufacturing แห่งใหม่ในพื้นที่ EEC ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับการดำเนินธุรกิจให้เติบโตคือคู่ขนานสำคัญ ที่ AIS พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่เราพร้อมเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองของประเทศในการฟื้นฟูและสร้างการเติบโตร่วมกัน จากโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G ที่มีขุมพลังความสามารถในการหนุนโลกธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปสู่การเติบโตท่ามกลางการแข่งขันจากโลกใหม่ในปัจจุบันได้อย่างดีที่สุด โดยภายในงานทาง AIS ได้นำเสนอ Smart Manufacturing Solutions ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมการผลิตทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ Smart Workforce, Smart Production Line , Remote Factory , Smart Workplace , Energy & Emission Management , Smart Logistics & Warehouse พร้อมส่งมอบบริการที่หลากหลายมากที่สุดในไทยมาโชว์ในงาน อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการผลิต การทำงานระยะไกลสำหรับภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น ผ่านการทำงานร่วมกับ Mitsubishi, Omron, TKK และล่าสุดร่วมกับ Schneider ผู้นำด้านโซลูชันการผลิตอัจฉริยะที่จะมาเสริมการทำงานภายใต้แพลตฟอร์ม EcoStruxture ซึ่งประกอบไปด้วย 3 แอปพลิเคชั่นได้แก่ Machine Advisor ซึ่งสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆได้ว่าทำงานอย่างไร สำหรับ Augmented Operator Advisor ใช้ AR เทคโนโลยีในการดูข้อมูลต่างๆ และ Secure Connect Advisor ให้คำแนะนำผู้ที่ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งหมดนี้พบกันได้ที่ virtual booth ของ AIS นางสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด กล่าวว่า ซีเมนส์มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมกับ เนคเทค สวทช. ในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ จากความร่วมมือในโครงการที่ผ่านมาตลอดจนถึงการเข้าร่วมงาน NECTEC ACE ในปีนี้ โดยซีเมนส์ได้นำเทคโนโลยีชั้นนำที่จะช่วยผลักดัน Industry 4.0 อาทิ IoT สำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์และระบบเครื่องจักรในอุตสาหกรรม รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อนำมาพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมสาธิต use case จากการใช้งานจริงมาจัดแสดง เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจทั่วไปเข้าร่วมฟังและศึกษาเพื่อเป็นต้นแบบหรือแนวทางในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยให้ก้าวหน้าต่อไป นางสาวรัชนีกร เทวอักษร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสนับสนุนเทคโนโลยี บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การระบาดของโควิด-19 ทำให้เราเห็นว่าการหยุดชะงักของระบบการผลิตและซัพพลายเชนนั้นสร้างความเสียหายเพียงใด วันนี้ภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเอง ต่างก็ทราบถึงความจำเป็นของการนำเทคโนโลยีอย่าง AI มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต โดยในงานฯ ไอบีเอ็มและดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จะโชว์เคสในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สำคัญสำหรับภาคการผลิตมากมายในงาน ประกอบด้วย IBM Visual AI Solutions ที่นำความสามารถของ AI ในการอ่านภาพและวิดีโอได้แบบเรียลไทม์ มาช่วยตรวจหาความบกพร่องและตำหนิของสินค้าแม้จะเป็นจุดที่เล็กมาก โดยระบบสามารถเชื่อมต่อกับกระบวนการผลิต หุ่นยนต์โรงงาน และเชื่อมต่อกับระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ช่วยลดความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน IBM Acoustic AI Solutions ที่นำ AI ตรวจจับเสียงของเครื่องจักร เครื่องยนต์ คอมเพรสเซอร์ เสียงลมจากจุดรั่ว เสียงการหมุนของมอเตอร์ หรือแม้แต่การสั่นสะเทือนในโครงสร้าง โดยสามารถตรวจจับเสียงการทำงานผิดปกติที่แม้แต่หูคนเรายังไม่ได้ยินเหล่านี้ ช่วยให้โรงงานทราบปัญหาของระบบพร้อมแก้ไขได้ล่วงหน้าก่อนจะเกิดความเสียหาย และสุดท้าย IBM AR for Smart Guidance ที่นํา Augmented Reality หรือ AR ที่เป็นเทคโนโลยีภาพจำลองสามมิติเสมือนจริงแบบในเกม มาช่วยพนักงานแก้ปัญหาหน้างานโดยอาศัยความช่วยเหลือระยะไกลจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงฝึกสอนพนักงานแบบ Interactive เสมือนปฏิบัติงานกับเครื่องจักรหรือชิ้นงานจริง โดยที่ผ่านมาไอบีเอ็มและพันธมิตร ได้ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าช่วยพัฒนาระบบโรงงานอัจฉริยะให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลกมาแล้ว และวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจไทยให้พร้อมเดินหน้าสู่ก้าวย่าง Industry 4.0 อย่างเต็มตัว”   ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้างร่วมงาน ได้ที่  www.nectec.or.th/ace2021
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ส่องนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ในงาน Health Tech Thailand 2021
ชมนวัตกรรมเด่นด้านการแพทย์และสุขภาพของไทย เช่น หุ่นยนต์ส่งยาในโรงพยาบาล และโดรนยักษ์สำหรับขนส่งเวชภัณฑ์ รวมไปถึงนวัตกรรมการแพทย์ที่เกี่ยวกับโควิด-19 มีทั้งชุดตรวจแบบต่าง ๆ และต้นแบบวัคซีนพ่นจมูก NASTVAC ที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. ทั้งหมดนี้จะถูกนำไปโชว์ในงาน BCG Health Tech Thailand 2021 งาน BCG Health Tech Thailand 2021 จะเป็นงานที่รวบรวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพมากที่สุดกว่า 100 นวัตกรรม มีทั้งผลงานจากนักวิจัย สวทช. และผู้ประกอบการ ผู้ผลิตทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่จะนำสุดยอดนวัตกรรมมาโชว์ในงานครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 9 ธันวาคม 2564 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และในรูปแบบออนไลน์ที่ www.Healthtech-thailand.com
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ร่วมยินดีกับเยาวชน (YSC) ในการรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Sigma Xi และรางวัล Top Presenters จากการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Sigma Xi Annual Meeting & Student Research Conference
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง โครงการการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนโครงการ YSC นายกฤษฎิ์ กสิกพันธุ์ นายพัฒฒ์ พฤฒิวิลัย และ นายกรวีร์ ลีลาอดิศร นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โดยมี ดร. เกียรติภูมิ รอดพันธ์ ที่ปรึกษาโครงงาน ในการนำผลงาน โครงงาน Rapid Osteoporosis Risk Assessment: Non-Invasive Detection Kit of Calcium, Phosphate and pH in Human Sweat คว้ารางวัล Top Presenters ในการนำเสนอภาคโปสเตอร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในสาขาเคมี  จากการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Sigma Xi Annual Meeting & Student Research Conference พร้อมรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Sigma Xi องค์กรวิทยาศาสตร์ระดับโลกซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ในรูปแบบออนไลน์ ณ The Conference Center Niagara Falls รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา Sigma Xi, The Scientific Research Honor Society องค์กรทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลก ได้เชิญ นายกฤษฎิ์ กสิกพันธุ์ นายพัฒฒ์ พฤฒิวิลัย และ นายกรวีร์ ลีลาอดิศร เจ้าของผลงาน "Rapid Osteoporosis Risk Assessment: Non-Invasive Detection Kit of Calcium, Phosphate and pH in Human Sweat" รางวัลรองชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 23: YSC 2021 ซึ่งได้รับคัดเลือกจากโครงการ YSC เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมกวด โครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นานาชาติ  Regeneron ISEF2021 และคว้า 2 รางวัล ได้แก่รางวัล Grand Award อันดับ 4 สาขาเคมี และรางวัล Special Award:  The best demonstration of interdisciplinary research team จาก Sigma Xi โดยทาง Sigm Xi ได้เชิญเยาวชนทั้ง 3 คน เข้าร่วมการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Sigma Xi Annual Meeting & Student Research Conference ในฐานะผู้ที่ได้รับรางวัล The best demonstration of interdisciplinary research team จากเวทีการประกวดดังกล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไขเคล็ดลับ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’ คว้าแชมป์ ‘AHiS’ ปลูกโหระพาบนโลกเทียบผลกับบนอวกาศ
  ไม่บ่อยครั้งที่เด็กและเยาวชนไทยจะได้ทำการทดลองบนโลกคู่ขนานกับการทดลองบนอวกาศ แต่ในที่สุดโอกาสดีๆ ก็มาถึงแล้ว เมื่อสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตรจัดโครงการ Asian Herb in Space หรือ AHiS ขึ้นเมื่อต้นปี 2564 เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยกว่า 300 ทีมทั่วประเทศได้ทดลองปลูกโหระพา ราชาพืชสมุนไพรบนโลก เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบผลกับที่นักบินอวกาศปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)     กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการ Asian Herb in Space เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอวกาศ ในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะเรื่องสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Microgravity) ซึ่งความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากระบวนการผลิตอาหารต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการที่เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้าน STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) ผ่านการลงมือเรียนรู้ด้วยตนเอง (Project-based learning) อีกด้วย “เด็กและเยาวชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการ AHiS จะได้รับชุดอุปกรณ์สำหรับทำการทดลองปลูกต้นโหระพา 2 โครงงาน โครงงานแรกเป็นการทดลองปลูกต้นโหระพาเป็นระยะเวลา 30 วัน ด้วยปัจจัยควบคุมที่เหมือนกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการ ทั้งเมล็ด ภาชนะเพาะปลูก วัสดุเพาะปลูก ปุ๋ย อุณหภูมิ และความชื้น ฯลฯ เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าการปลูกโหระพาบนโลกกับบนสถานีอวกาศที่มีระดับแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตอย่างไรบ้าง ส่วนโครงงานที่ 2 เป็นโครงงานอิสระ ผู้สมัครสามารถเลือกว่าจะทำโครงงานนี้หรือไม่ก็ได้ โดยมีโจทย์คือให้ตั้งตัวแปรควบคุมที่คาดว่าจะมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นโหระพาเพิ่มเติม แล้วทำการทดลองอีก 1 การทดลอง เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกับโครงงานที่ 1 จากนั้นหลังจากสิ้นสุดการทดลองเป็นระยะเวลา 30 วัน ให้ทุกทีมที่สมัครเข้าร่วมส่งสรุปการทดลองมายังโครงการฯ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาสรุปการทดลองของแต่ละทีม แล้วคัดเลือกผู้ชนะที่มีกระบวนการการทดลองเป็นระบบ มีความถูกต้องตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และมีการรายงานผลการทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ชนะ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการ AHiS ได้ประกาศผลทีมผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ ทีม AHiS034 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย”   AHiS034 ใช้ “ทรัพยากรที่มี”​ เป็นตัวแปรควบคุม เยาวชนทีม AHiS034 ประกอบด้วยเด็กชายปัณณทัต อรุณพัลลภ (เหว่ยซัน) เด็กชายปฐวี จารุกิจขจร (ต้าเหว่ย) และเด็กชายธชย จารุวิศิษฏ์ (คิริน) พวกเขาเริ่มต้นลงชื่อเข้าโครงการ AHiS ตั้งแต่ต้นปี 2564 ตอนที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบหมาดๆ ก่อนจะใช้ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่มีวางแผนการทดลองอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้     ปัณณทัตเล่าถึงเหตุผลที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ว่า ตนเองและเพื่อนอีก 2 คน ต่างมีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมุมที่ต่างกัน แต่ความสนใจเหล่านั้นบังเอิญมาตรงกับโจทย์การทดลองของโครงการนี้พอดี ทั้งเรื่องพฤกษศาสตร์ ชีววิทยา และอวกาศ จึงเป็นเหตุผลให้ได้มารวมตัวกันสมัครเข้าการแข่งขันนี้ และได้ขอให้ครูที่โรงเรียนช่วยเป็นที่ปรึกษาประจำทีมให้ “ในการแข่งขันโครงการนี้ มีโจทย์การทดลองเป็น 2 โครงงาน คือ การปลูกโหระพาในปัจจัยควบคุมที่คล้ายกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการแตกต่างกันที่ระดับแรงโน้มถ่วง และอีกโครงงานเป็นโครงงานอิสระ ให้แต่ละทีมออกแบบตัวแปรควบคุมในการปลูกต้นโหระพาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่ออัตราการเจริญเติบโต ซึ่งจากการตัดสินใจร่วมกันในทีมได้ข้อสรุปว่า ‘จะทำการทดลองทั้ง 2 โครงงาน เพื่อให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น’ จากการศึกษาคู่มือหลายครั้งและศึกษาเกี่ยวกับต้นโหระพาอย่างละเอียดตามคำแนะนำของครูที่ปรึกษา จึงทำให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญว่า ‘ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นโหระพา’ กับ ‘สภาพแวดล้อมบนสถานีอวกาศ’ มีจุดที่เชื่อมโยงกันคือ ‘ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)’ เพราะโหระพาเป็นพืชในกลุ่ม C3[1] ที่ต้องได้รับปริมาณ CO2 มากพอจึงจะสามารถสังเคราะห์อาหารได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่บนสถานีอวกาศมีปริมาณ CO2  มากกว่าสภาพแวดล้อมปกติบนโลกถึง 10 เท่า (อ้างอิงจากคู่มือประกอบการทดลองของทาง JAXA) ทีมจึงตัดสินใจใช้ CO2  เป็นตัวแปรควบคุมในการทำโครงงานที่สอง เพื่อศึกษาว่าหากต้นโหระพาที่ปลูกบนโลกได้รับ CO2 ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตที่มากขึ้นหรือไม่” (more…)
BCG
 
ข่าว
 
บทความ