หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)
แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) หมายถึง เทคโนโลยีการสร้างความสามารถให้แก่ เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทางสถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเรียนรู้ เลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ ในบางกรณีอาจไปถึงขั้นเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีบทบาทร่วมขับเคลื่อนในแต่ละภาคส่วนจะช่วยทำให้ภาคเศรษฐกิจ และมีการใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยยกระดับการเติบโตของเศรษฐกิจในหลาย ประเทศตอบโจทย์มิติของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) ที่ถูกตั้ง ไว้เป็นเป้าหมายของผลการดำเนินงานและมาตรฐานของทั้งภาคอุตสาหกรรมและการดำเนินธุรกิจในหลาย ประเทศทั่วโลก [video width="426" height="240" mp4="https://www.nstda.or.th/home/wp-content/uploads/2022/12/318634717_108037492084599_1728875540796485668_n.mp4"][/video] https://www.facebook.com/aithailandcommu ผลดัชนีชี้วัดความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาลทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2020 ได้จัดอันดับประเทศ ไทย อยู่ในลำดับที่ 60 ส่วนหนึ่งเนื่องจากยังไม่มีนโยบายและแผนปฏิบัติการด้านแห่งชาติทางด้าน ปัญญาประดิษฐ์อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะมีการอ้างอิงความจำเป็นในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายรัฐบาลปี 2562 ทั้งนโยบายหลักและนโยบายเร่งด่วน อีกทั้งแนวโน้มการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในประเทศก็มีการขยายตัวอย่างมาก อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรมให้มีความฉลาด เชื่อมโยง มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรที่จะพัฒนาแผนปฏิบัติการด้าน ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ ขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรวมถึงสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการแข่งขัน ของประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืน เป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศใน รูปแบบของการพัฒนาแบบองค์รวม ที่เรียกว่า BCG Economy ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติไปพร้อมๆ กัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) สำหรับการพัฒนาแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ นี้ มีการรวบรวมการศึกษานโยบาย และยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติของประเทศต่าง ๆ ทั้งในสหภาพยุโรปและอีก ๒๗ ประเทศที่ได้มีการ ตีพิมพ์ AI Strategies แล้ว ในขณะที่อีก 21 ประเทศ (ไม่รวมประเทศไทย) อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยภาพรวมแล้วนั้นยุทธศาสตร์ และ/หรือแนวนโยบายและมาตรการด้าน AI ของแต่ละประเทศมีความ แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ในแต่ละประเทศ แต่ถึงแม้ว่าจะมีเป้าหมายและการสนับสนุนพัฒนาที่แตกต่างกัน ในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การกำหนดนโยบาย/มาตรการของแต่ละประเทศที่ได้จัดทำจะมีความคล้ายคลึง กันในการกำหนดนโยบายและมาตรการในบางด้านของการพัฒนา ได้แก่ ด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (scientific research) การพัฒนาผู้ที่มีศักยภาพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI talent development) ทักษะและอนาคตของการทำงาน (skills and the future of work) การพัฒนาอุตสาหกรรมของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (industrialization of AI technologies/ industrial strategies) จริยธรรม ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI ethical standards) โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและดิจิทัล (data & digital infrastructure) ปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐ (AI in the government) และ ความครอบคลุมและความ เป็นอยู่ที่ดีทางสังคม (inclusion and social well-being) ดาวน์โหลดเอกสาร [pdf-embedder url="https://www.nstda.or.th/home/wp-content/uploads/2022/12/20220726-AI.pdf"]
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้าง สู่ Circular Economy ด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม
สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมมือในการศึกษาวิจัย "โครงการพัฒนาระบบก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน" เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายใต้การสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) , สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ บริษัท แอธเลติก โซลูชั่น จำกัด   โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ทีมนักวิจัยได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจการก่อสร้าง ซึ่งต่างให้ความสนใจการนำเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์มมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการใช้แพลตฟอร์มประเมินค่าหมุนเวียนวัสดุ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนไปพร้อมกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการก่อสร้างของไทย ไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตามแนวคิดเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy model อย่างแท้จริง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นายกฯ ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ รัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/prime-minister-chairs-the-first-meeting-of-national-ai-committee.html นายกฯ ประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ รัฐบาลเดินหน้าแผนพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย วันนี้ (8 ธ.ค.65) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศ บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้การขับเคลื่อนการพัฒนาบรรลุผลและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนมุ่งสู่ประเทศไทย 4.0 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) โดยความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งประเทศไทยและทั่วโลกต่างให้ความสำคัญอย่างมากเนื่องจากขณะนี้โลกกำลังขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดังนั้นประเทศไทยและทุกคนจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ซึ่งเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเรื่องใหม่ที่ภาครัฐต้องเร่งศึกษาและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในระยะต่อไป โดยเฉพาะการนำไปขับเคลื่อน Next Generation Growth ตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ ในดำดับแรกภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญกับการสร้างบุคคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ AI ในสาขาต่าง ๆ ที่ตรงตามความต้องการของภาคเอกชน ตลอดจนสร้างระบบการรับรองคุณวุฒิของบุคลากรที่เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและสากล นอกจากนี้ ภาครัฐต้องเน้นการสร้างสภาพแวดล้อม (Eco System) ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่องและไม่เกิดการปิดกั้นทางความคิด รวมไปถึงการออกกฎหมายหรือระเบียบเพื่อกำกับดูแล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาความต้องการ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผลกระทบของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการอย่างรอบคอบ เพื่อให้กฎระเบียบเอื้อต่อการส่งเสริมสนับสนุนการสร้าง Eco System ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการฯ ในแต่ละช่วงเวลาด้วย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ภาครัฐเตรียมการให้พร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะการเร่งพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทยให้เพียงพอสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ โดยให้ภาครัฐประสานความร่วมมือในการทำงานกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันดำเนินงานขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ขณะเดียวกันการดำเนินการต่าง ๆ ก็ขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชนและคนรุ่นใหม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายร่วมกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) สู่การปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของประเทศให้เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน เป็นรูปธรรม และยั่งยืน เน้นสร้างและพัฒนากำลังคนให้มีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ในทุกระดับ ทั้งการผลิตและใช้งานเทคโนโลยี AI รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบริการ AI เพื่อส่งเสริมการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สามารถเข้าถึงและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการใช้งานเริ่มที่ 15 ล้านครั้งในปี 2566 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ จะกำกับดูแลบูรณาการการทำงานสู่การปฏิบัติ และย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์เชิงรุก เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565–2570) ให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ที่มุ่งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วน และเชื่อมโยงแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570 โดยมีเป้าประสงค์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ สร้างคนและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1. ส่งเสริมการพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 13,500 คนต่อปี ผ่านหลักสูตรการอบรมพัฒนาทักษะความรู้ที่เหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นสูง คือ กลุ่มนักวิจัยและนักพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (2) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นกลาง คือ กลุ่มนวัตกรและวิศวกร และ (3) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นต้น คือ กลุ่มอาชีพการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถใช้งานบริการปัญญาประดิษฐ์ขั้นต้นในกลุ่มอาชีพของตนเอง 2. จัดทำแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) รองรับการให้บริการปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวในการสร้างนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ให้แก่ทุกภาคส่วนภายในประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งบูรณาการความร่วมมือเพื่อดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1: เตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ การพัฒนาข้อกำหนด กฎหมาย มาตรฐาน และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ AI ของประเทศ การสื่อสาร และการสร้างการรับรู้ด้านจริยธรรม AI ยุทธศาสตร์ที่ 2: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสร้างเครือข่ายเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พัฒนาศูนย์เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ พัฒนาแพลตฟอร์มกลางระดับประเทศเชิงบูรณาการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการประมวลผลและการคำนวณขั้นสูง ยุทธศาสตร์ที่ 3: เพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ทุกระดับการเรียนรู้ สนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรสู่ภาคธุรกิจ พัฒนากลไกความร่วมมือกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 4: พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่กลุ่มสาขาเป้าหมาย พัฒนาเทคโนโลยีฐาน (Core Technology) และการวิจัยเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มด้านปัญญาประดิษฐ์ และยุทธศาสตร์ที่ 5: ส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่ การใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งเสริมอุตสาหกรรมเชื่อมโยง AI สู่การใช้งาน พัฒนากลไก และ Sand Box เพื่อนวัตกรรม ทางธุรกิจ และ AI Startup สำหรับภาพรวมผลกระทบต่อประเทศ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2570 ได้แก่ (1) มีมูลค่าที่เกิดการจ้างงานและสร้างอาชีพในประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากบุคลากรที่มีทักษะทางด้านดิจิทัล และ AI รองรับการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้น (2) GDP ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการจากการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ตลอดจนการมีจำนวนผู้ประกอบการใหม่ด้านเทคโนโลยีในประเทศมากขึ้น (3) ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม จากการที่หน่วยงานภาครัฐนำ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานและการให้บริการ และ (4) ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถใช้ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ได้ในวงกว้าง สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ได้เพื่อสร้างประโยชน์และอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดกิจกรรมวันดินโลก เนื่องในโอกาส “วันดินโลก” เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
(8 ธันวาคม 2565) ณ พื้นที่ด้านข้างอาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม “วันดินโลก” เพื่อร่วมปลูก พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และรดน้ำต้นไม้ และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของดิน “ดิน” เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก โดยมี นางสาวศิรินาถ แถบทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และพนักงาน สวทช. เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ “ต้นก้ามปู” หรือ “ต้นจามจุรี” เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ มีลักษณะเป็นทรงพุ่ม ให้ร่มเงาสร้างความร่มรื่น โดยใบของต้นก้ามปูนั้นมีธาตุอาหารสูง โดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน ซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักในการเจริญเติบโตของพืชดินที่ผสมใบก้ามปูจึงเหมาะแก่การบำรุงรักษาต้นไม้ ซึ่งพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี มีต้นก้ามปูอยู่มากกระจายอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นเมื่อถึงฤดูการผลัดใบ จะมีใบก้ามปูเป็นจำนวนมากหล่นทับถมบริเวณใต้ต้น ซึ่งการทับถมของใบก้ามปูทำให้มีปุ๋ยเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการช่วยย่อยสลายและทำให้เกิดกระบวนการหมักตามธรรมชาติ พร้อมกันนี้ ฝ่ายอาคารสถานที่ และฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร จัดให้ความรู้ เรื่อง “ปุ๋ยหมักจากใบก้ามปู (ตามธรรมชาติ) และวิธีการนำมาใช้ประโยชน์” ให้แก่พนักงานสวทช. คนสวน และผู้ที่สนใจ เพื่อให้มีความรู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ทำปุ๋ยทั้งที่สำนักงานและที่บ้านได้  เป็นการการลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังช่วยกำจัดเศษใบไม้ ช่วยลดปัญหามลพิษจากการเผา และช่วยลดปัญหาขยะอินทรีย์ ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ “วันดินโลก (World Soil Day)” ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ตามมติขององค์การสหประชาชาติ กำหนดให้ตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องจากมีพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาที่ดินในประเทศไทย และเชิดชูพระอัจฉริยภาพด้านการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรดิน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค จับมือ 3 สถาบันการศึกษา มทร. ธัญบุรี จุฬาฯ และ มจธ. ร่วมวิจัยพัฒนาระบบก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/mtec-and-universities-present-a-modular-steel-construction-system-designed-with-a-digital-platform.html (วันที่ 6 ธันวาคม 2565) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ บริษัท แอธเลติก โซลูชั่น จำกัด ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เปิดผลสำเร็จงานวิจัยพัฒนาระบบก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อผลการศึกษา (Public Hearing) ในหัวข้อในวันนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้ โครงการ “การพัฒนาระบบก่อสร้างอาคารโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูปด้วยดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน” การก่อสร้างแบบโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป (modular steel construction) เป็นรูปแบบการก่อสร้างที่ความสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ทั้งในเรื่องการออกแบบและการก่อสร้างประกอบติดตั้งที่รวดเร็วและมีคุณภาพ ความสามารถในการนำวัสดุก่อสร้างมาใช้ซ้ำหรือการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่หลังจากการรื้อถอน อันจะนําไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมคาร์บอนต่ำ สอดคล้องตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในฐานะหน่วยงานผู้แทนของทีมวิจัยอีกทั้งเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมสนับสนุนในทุกภาคส่วนที่จะช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมผ่าน BCG model ที่สนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนประยุกต์ใช้กับกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่การใช้ประโยชน์รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในอนาคต ให้เกิดผลดีต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการพัฒนากำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ อันจะนําไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตัวแทนภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ ได้แก่ คุณวิกรม วัชระคุปต์ ประธานคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คุณวิชัย รายรัตน์ Sustainable Development Director บริษัทเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด คุณวีรกร สายเทพ Board of Directors  บริษัท บิมอ็อบเจ็คท์ (ไทยแลนด์) จำกัด และคุณบุญชัย ทรัพย์อุดมกุล Head of Project Engineering & Innovation (S&A) บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จํากัด (มหาชน) ร่วมเสวนาเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ หัวข้อ “แนวโน้มและการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบก่อสร้างมอดูลาร์ในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย” โดยมุ่งเน้นในเรื่องของบทบาทและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรค กลไกหรือการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน และความเป็นไปได้ในการร่วมมือหรือการดำเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนภายในอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน ดร. นงนุช พูลสวัสดิ์ นักวิจัย เอ็มเทค หัวหน้าชุดโครงการวิจัย กล่าวว่า ชุดโครงการนี้จะพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อออกแบบการก่อสร้างอาคารสำเร็จรูปด้วยการจำลองสารสนเทศอาคาร (Building Information Modeling, BIM) เพื่อใช้ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่เหมาะสมที่สุดของการก่อสร้างและพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพวัสดุ รวมทั้งนำไปสู่การประเมินค่าการหมุนเวียนของอาคารสำเร็จรูป ซึ่งพิจารณาถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ คุณภาพและอายุการใช้งาน ความสามารถในการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งเหมาะสมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โครงการนี้สำเร็จลุล่วงได้ จากการสนับสนุนงบประมาณจาก บพข. สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และ บริษัท แอธเลติก โซลูชั่น จำกัด ที่ให้ความสำคัญในการต่อยอดอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์และวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy) และสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ มุมมองของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้มองเพียงผลตอบแทนทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องของความยั่งยืนผ่านมุมมองของ BCG Economy อีกด้วย   /////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เทคโนโลยี CCUS ด้วยพลังงานสะอาด (CCUS By Green Power)
  ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกต้องร่วมกันแก้ไข ประเทศไทยประกาศในการประชุม COP26 ว่าจะเป็นประเทศ Net Zero Emission หรือปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากกิจกรรมต่าง ๆ เป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)     การลดใช้พลังงานจากฟอสซิลและเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ไม่น่าเพียงพอบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ต้องอาศัยเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (carbon capture, utilization & storage: CCUS) เข้ามาช่วยจัดการก๊าซ CO2 ก่อนปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ เทคโนโลยี CCUS ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย ได้แก่ (1) การดักจับก๊าซ CO2 ด้วยวัสดุดูดซับ (2) การนำก๊าซ CO2 ที่ดักจับได้ไปแปรรูปเป็นสารมูลค่าสูงในอุตสาหกรรม และ (3) การนำก๊าซ CO2 ไปกักไว้อย่างถาวร โดยการอัดเข้าไปเก็บใต้ผืนพิภพ หัวใจของเทคโนโลยี CCUS คือ การพัฒนาวัสดุและกระบวนการทางเคมีที่เปลี่ยนก๊าซ CO2 ให้อยู่ในรูปแบบที่จัดการได้ง่าย โดยไม่ใช้พลังงานมากจนเกินไป แต่ปกติแล้วก๊าซ CO2แทบจะทำปฏิกิริยากับสิ่งต่าง ๆ น้อยมาก จึงต้องอาศัยวัสดุดูดซับที่มีความจำเพาะสูงตรึงก๊าซ CO2 ออกจากไอเสียทางอุตสาหกรรมหรือจากอากาศ ได้ผลลัพธ์เป็นก๊าซ CO2 ที่มีความเข้มข้นและความบริสุทธิ์สูง ใช้เป็น “สารตั้งต้น” เพื่อผลิตสารเคมีที่มีมูลค่าสูงในอุตสาหกรรม เช่น แอลกอฮอล์ ก๊าซสังเคราะห์ (syngas) กรดอินทรีย์ ผงฟู พอลิเมอร์ต่าง ๆ     ส่วนการเปลี่ยนแปลงพันธะเคมีของก๊าซ CO2 ที่เสถียรมากต้องใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีพลังงานกระตุ้นสูง คือ “อิเล็กโทรไลเซอร์” เพื่อลดพลังงานลง ป้องกันไม่ให้ปล่อยก๊าซ CO2 ออกมาในกระบวนการเพิ่มเสียเอง จึงต้องใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และลมมาช่วยในกระบวนการแปรรูปพลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งอื่น หรือที่เรียกกันว่า power-to-X (P2X) เช่น การใช้เซลล์เคมีไฟฟ้าในการผลิตก๊าซไฮโดรเจนจากน้ำ การเปลี่ยนก๊าซ CO2 เป็นเชื้อเพลิง   ปัจจุบันหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีพันธกิจในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีขนาดใหญ่ เช่น ปตท., ปตท.สผ., SCG มีความร่วมมือกับ สวทช. ดำเนินงานวิจัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ตลอดจนสร้าง Hydrogen Consortium อันเป็นระบบนิเวศวิจัยและ Technology Gateway ที่เชื่อมโยงนักวิจัยกับบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
Sci News Flash: หนาวมาเยือนแล้ว ‘หนอนเจาะสมอฝ้าย’ ภัยกุหลาบก็มาด้วย
  หนอนเจาะสมอฝ้าย (Cotton bollworm) เป็นหนอนที่เจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกกุหลาบ ทำให้ดอกได้รับความเสียหายหนักจนเกษตรกรไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้ การระบาดของหนอนชนิดนี้มักเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ไบโอเทค สวทช. ขอเสนอ ‘ชีวภัณฑ์ไวรัส NPV (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV)’ เป็นทางเลือกในการกำจัดแมลงศัตรูพืช โดย NPV เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในแมลง ไม่มีสารพิษตกค้างในพืช ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญช่วยลดสารเคมีและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อีกด้วย จุดเด่นของไวรัสชนิดนี้ คือ มีความจำเพาะกับหนอน 3 ชนิด ได้แก่ หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้าย เมื่อหนอนกินไวรัสเข้าไป จะป่วย กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 5-7 วัน ซึ่งด้วยกลไกตามธรรมชาตินี้จะทำให้แมลงศัตรูพืชไม่เกิดการดื้อยา แตกต่างจากการใช้สารเคมีที่มักพบการดื้อยา สำหรับวิธีการใช้งานทำได้ง่ายเพียงผสมน้ำและฉีดพ่นให้ทั่วใบและดอกเท่านั้น ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด (06 4536 3549) และบริษัทบีไบโอ จำกัด (08 1806 1268) ผู้สนใจสามารถติดต่อบริษัทได้โดยตรง   รายละเอียดเพิ่มเติม : รู้จัก-รู้ใช้ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช อ้างอิงเรื่องการระบาดของหนอน : สำนักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
อว. ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
5 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณท้องสนามหลวง ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงฯ รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวงฯ และนางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ พร้อมด้วย ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด อว. ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 จำนวน 189 รูป ร่วมวางพานพุ่มดอกไม้และพิธีถวายบังคมเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
NCTC สวทช. ร่วมกับ Shimadzu เปิดเวทีประชุมด้านการวิเคราะห์ทดสอบ กัญชา กัญชงระดับโลก สู่การใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/the-1st-global-hemp-and-cannabis-summit-held-in-thailand,-showcasing-latest-technology-in-hemp-and-cannabis-testing-and-analysis.html (2 ธันวาคม 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ร่วมกับ Shimadzu Asia Pacific และบริษัท พาราไซแอนติฟิค จำกัด จัดงาน Shimadzu 1st Global Hemp & Cannabis Summit 2022 เพื่อเปิดพื้นที่ในการรับฟังความต้องการของผู้ประกอบการและผู้ที่ต้องการนำกัญชา กัญชง ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ โดยมีนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย Mr. Tetsuya Tanigaki กรรมการผู้จัดการ Shimadzu (Asia Pacific) ประเทศสิงคโปร์ คุณพูศักดิ์ หิรัณยตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พาราไซแอนติฟิค จำกัด ผศ.สุชาดา ไชยสวัสดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์ทดสอบยาชีววัตถุ (BPCL) มหาวิทยาเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. เข้าร่วมงาน นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยได้เริ่มกระบวนการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ กัญชาและกัญชงตั้งแต่ปี 2562 และในปัจจุบันได้มีการนำกัญชง กัญชา มาใช้อย่างแพร่หลายทั้งด้านการแพทย์ รวมถึงนำมาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มและเครื่องสำอาง เป็นต้น ทั้งนี้ในทางกฎหมายการนำกัญชา กัญชงและผลิตภัณฑ์จากกัญชา กัญชง มาใช้จะต้องมีการตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารสำคัญ ทั้ง CBD และ THC และสารปนเปื้อนต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ซึ่ง สวทช. โดย NCTC ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์กัญชา/กัญชง ที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC17025ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการประเมินความสามารถทางวิชาการของห้องปฏิบัติการ ครอบคลุมทุกด้านของการบริหารจัดการห้องปฏิบัติการ ตั้งแต่การเตรียมตัวอย่างถึงความชำนาญในการวิเคราะห์ทดสอบ และได้มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการผลักดันการนำกัญชา กัญชง มาใช้ประโยชน์ทั้งทางการแพทย์ การวิจัย และอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว Mr. Tetsuya Tanigaki กรรมการผู้จัดการ Shimadzu Asia Pacific ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากการก้าวทันโลกแล้วยังคงต้องรับมือกับการตอบสนองความต้องการที่รวดเร็วให้ได้ การที่ประเทศไทยเป็นผู้นำในการทำให้กัญชา กัญชง ถูกกฎหมาย จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่ บริษัทจะต้องรับฟังความต้องการและหาแนวทางเพื่อตอบโจทย์ปัญหาดังกล่าว โดยการจัดงาน 1st Global Hemp & Cannabis Summit 2022 ในครั้งนี้จึงแสดงถึงความมุ่งมั่นในการรับฟังปัญหาและความต้องการของลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำกัญชา กัญชง ไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม ซึ่งในอนาคตบริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งมอบคุณค่าและสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของลูกค้าได้ นอกจากนี้บริษัทยังยึดมั่นในการมีส่วนร่วมกับสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตั้งเป้าจะนำเสนอเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมชั้นนำ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมต่อไป ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. กล่าวว่า NCTC สวทช. เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC 17025 โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบสนับสนุนกลุ่มงานอุตสาหกรรมทั้งในและนอกประเทศอย่างครบวงจร NCTC ให้บริการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่ของกัญชา กัญชง ตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการสกัดและการสร้างผลิตภัณฑ์ เช่น ยา อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เป็นต้น รวมถึงการประกันคุณภาพและการควบคุมคุณภาพของสารออกฤทธิ์และสารปนเปื้อน นอกจากนี้ยังรองรับความต้องการด้าน R&D เช่น การค้นคว้ายา การพัฒนายา และการตรวจสอบสารประกอบที่ใช้งานอีกด้วย ซึ่ง Shimadzu เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับ NCTC มาเป็นเวลากว่า 8 ปี และได้สนับสนุนความมุ่งมั่นของ NCTC ในการเป็นศูนย์ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ ที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการจัดหาเครื่องมือที่ทันสมัยและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการสนับสนุนบริการที่หลากหลายของ NCTC ตั้งแต่การวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพไปจนถึงการวิเคราะห์เชิงเคมี การวิเคราะห์ลักษณะทางชีวภาพ และอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย นอกจากงานสัมมนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการวิเคราะห์ทดสอบ กัญชง/กัญชา ภายในงานยังมีการเยี่ยมชมแล็บตรวจวิเคราะห์ “กัญชา กัญชง กระท่อม” ของ NCTC สวทช. โดยผู้ร่วมสัมมนากว่า 100 คน จากประเทศในเอเชีย อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เนปาล ศรีลังกา อินเดีย เป็นต้น รวมถึงกลุ่มบริษัทสำคัญในประเทศไทย ที่เกี่ยวข้องกับการนำกัญชา กัญชง ไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งนี้ผู้ที่สนใจข้อมูลของแล็บตรวจวิเคราะห์ “กัญชา กัญชง กระท่อม” ของ NCTC สวทช. สามารถสอบถามรายละเอียด โทร. 0 2117 6850 , 0 2117 6864 E-mail : nctc@nstda.or.th   //////////////////////////////  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
FOODe’ care นวัตกรรมน้ำยาล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสด
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/foode%E2%80%99-care-food-wash-disinfectant-for-removing-chemical-residues-and-pathogens.html   การจัดการสุขอนามัยถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เพราะทั่วโลกมีผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียจากการติดโรคในระบบทางเดินอาหาร อาทิ ‘โรคอหิวาตกโรค’ จากการติดเชื้อ Vibrio cholera ‘โรคไทฟอยด์’ จากการติดเชื้อ Salmonella typhosa และ ‘โรคอุจจาระร่วง’ จากการติดเชื้อ E. coli และ Listeria มากกว่า 1 ล้านราย โดยจากจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในประเทศไทยมากถึง 120,000 ราย ซึ่งนอกจากเชื้อก่อโรคข้างต้นแล้ว ยังมีเชื้ออื่นๆ อีกมากมายที่สามารถปนเปื้อนไปกับอาหารสดในขั้นตอนการผลิตและขนส่งได้ ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะในช่วงที่โรคโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดหนักอย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้นอกจากการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคแล้ว การปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดและควบคุมศัตรูพืชที่อาจตกค้างในพืชผักก็เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคควรพึงระวังเช่นกัน เพราะสารพิษกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ออร์กาโนคลอรีน คาร์บาเมต และไพรีทอยด์ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์และเมตาบอลิซึมในร่างกาย ทำให้ผู้บริโภคเจ็บป่วยและมีความร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นแล้วผู้บริโภคควรป้องกันตนเองโดยเลือกรับประทานอาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ รวมไปถึงการล้างอาหารสดให้สะอาดหรือปรุงให้สุกก่อนการบริโภค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) เปิดตัวเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างอาหารสดคุณภาพสูง “FOODe’ care” บนเวที Investment Pitching ภายในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา   [caption id="attachment_38103" align="aligncenter" width="700"] ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล นักวิจัยกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ เอ็นเทค สวทช.[/caption]     ดร.สมศักดิ์ สุภสิทธิ์มงคล นักวิจัยกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ เอ็นเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้มาจากช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำยาฆ่าเชื้อจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทีมวิจัยจึงได้พัฒนานวัตกรรม ‘ENcase’ เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยวิธีไฟฟ้าเคมี โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และได้ส่งมอบ ENcase เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่สถานพยาบาล 10 แห่ง ใน 4 จังหวัด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565     “หลังจากนั้นทีมวิจัยได้คิดต่อยอดนำ ‘กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorous acid: HOCl)’ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อที่ผลิตจากเครื่อง ENcase มาปรับสูตรความเข้มข้นให้เหมาะแก่การฆ่าเชื้อบนผิวสัมผัสอาหารสด อาทิ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ เพื่อชำระล้างสารเคมีตกค้าง ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สปอร์ของแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา โดยได้เปิดตัวในชื่อผลิตภัณฑ์ FOODe’ care ผลิตภัณฑ์นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์ล้างอาหารสดประสิทธิภาพสูงที่ทำจากสารจากธรรมชาติ ซึ่งมีเพิ่มสูงขึ้นมากในปัจจุบัน เพราะการล้างผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ด้วยวิธีดั้งเดิม อย่างการล้างด้วยน้ำเปล่า ลดปริมาณสารเคมีตกค้างได้เพียงร้อยละ 25 (ระดับน้อย) ส่วนการล้างด้วยสารเคมีทั่วไปในครัวเรือน เช่น ผงฟู ด่างทับทิม หรือน้ำส้มสายชู แม้จะลดปริมาณสารตกค้างได้ดีขึ้นเป็นร้อยละ 40-67 (ระดับดี) แต่ก็อาจทำให้อาหารมีรสชาติและสีที่เปลี่ยนแปลงไปได้”     จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ FOODe’ care 1) เป็นสารธรรมชาติที่ปราศจากแอลกอฮอล์และสารเคมีที่เป็นพิษ โดยมีกรดไฮโปคลอรัส (Hypochlolorous acid: HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก 2) มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสารเคมีตกค้าง ฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคสำคัญบนพื้นผิวได้มากกว่า 99.9% โดยไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายภายหลังชะล้างด้วยน้ำสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3) ใช้กับผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ โดยไม่ทำให้เสียรสชาติและสารอาหารที่สำคัญ 4) ผลิตภัณฑ์ผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานทดสอบ ASTM E1053-20 และ AOAC (955.14, 955.15, 955.17, 964.02) 5) กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlolorous acid: HOCl) ได้รับการรับรองด้านความปลอดภัยสำหรับฆ่าเชื้อในอาหารและพื้นผิวที่สัมผัสอาหาร จากหน่วยงาน U.S. Environmental Protection Agency (EPA) และ Food and Drug Administration (FDA) สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลี     แม้กรดไฮโปคลอรัสจะเป็นสารที่นำมาใช้ล้างทำความสะอาดอาหารสด โดยเฉพาะอาหารที่เสิร์ฟโดยไม่ผ่านความร้อน เช่น ปลาดิบ สลัด เป็นปกติอยู่แล้วในบางประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยผลิตภัณฑ์ชำระล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสดที่มีกรดไฮโปคลอรัสเป็นส่วนประกอบหลักยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากยังไม่มีผู้ผลิตภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ผลิตภัณฑ์จึงมีราคาสูง อย่างไรก็ตามหลังจากนี้คนไทยจะเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้ง่ายขึ้น เมื่อทีมวิจัยเอ็นเทค สวทช. พร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต “ENcase” เครื่องผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ และ “FOODe’ care” ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างสารเคมีตกค้างและฆ่าเชื้อจุลชีพก่อโรคในอาหารสด ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ดร.สมศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นว่า เครื่อง ENcase ผลิต ‘กรดไฮโปคลอรัส’ ขึ้นจากสารตั้งต้นที่มีราคาถูก อย่างน้ำและเกลือได้มากถึง 50 ลิตรต่อชั่วโมง ผู้ประกอบการสามารถนำสารนี้มาเจือจางเพื่อล้างอาหารสดและทำความสะอาดพื้นผิวสถานที่ประกอบอาหารในระดับอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารและลดต้นทุนในการผลิต ส่วนผลิตภัณฑ์ “FOODe’ care” ที่ผลิตจากเครื่อง ENcase จะเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงน้ำยาล้างอาหารสดคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้       “ตลาดของนวัตกรรมประเภทนี้มีโอกาสเติบโตสูงทั้งในรูปแบบ B2B (การค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน) และ B2C (การค้าระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภครายบุคคล) จากการวิจัยคาดว่าตลาดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้ในไทยมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 2568” ดร.สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือร่วมลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ติดต่อได้ที่ นางสาวปภาวี ลิขิตเดชาโรจน์ (ฝ่ายประสานพันธมิตร) โทร 0 2564 6500 ต่อ 4306 Email: papawee.lik@entec.or.th   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และวีรวรรณ เจริญทรัพย์ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
FleXARs นวัตกรรมฟิล์มป้องกันเพรียง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/flexars-antifouling-film.html   ปัญหาเพรียงทะเลเกาะบนพื้นผิวเรือเดินสมุทร เสาแท่นขุดเจาะน้ำมัน และโครงสร้างทางวิศวกรรมใต้ทะเลที่ทำจากเหล็กคาร์บอน ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่สร้างมูลค่าความเสียหายมากถึง 4.5 ล้านล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการป้องกันและบำรุงรักษา อีกทั้งกระบวนการป้องกันที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังมีความเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมสูงและเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำอีกด้วย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว FleXARs (เฟล็กซาส์) นวัตกรรมฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิว ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ปกป้องพื้นผิวเรือเดินสมุทร เสาแท่นขุดเจาะน้ำมัน และสิ่งก่อสร้างในทะเล ในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)   [caption id="attachment_38593" align="aligncenter" width="700"] ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก (SMD-1) ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) เนคเทค สวทช.[/caption]   ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก (SMD-1) ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) เนคเทค สวทช. เล่าถึงที่มาของการพัฒนาเทคโนโลยีว่า ปัจจุบันทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมทางทะเล ต้องเผชิญปัญหาใหญ่จากการเกาะของเพรียงทะเล ทั้งบนเรือเดินสมุทร เครื่องจักร และสิ่งก่อสร้างจำพวกคาร์บอนสตีล เพราะเมือกที่เพรียงปล่อยออกมาเพื่อยึดเกาะจะทำให้พื้นผิวของวัสดุเกิดตามดหรือรูขนาดเล็ก (Pinholes)  ทำให้เกิดการกัดกร่อนสูง นอกจากนี้การที่มีเพรียงมาเกาะปริมาณมาก จะส่งผลให้เรือเดินสมุทรมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เกิดการต้านน้ำ ทำให้ต้องใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนมากกว่าปกติ เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ภาวะโลกร้อนอีกด้วย     ปัญหาเหล่านี้เป็นที่ตระหนักดีของผู้ประกอบการที่ทำอุตสาหกรรมทางทะเล อย่างไรก็ตามยังไม่มีเทคโนโลยีใดในปัจจุบันที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ครบ ทั้งด้านประสิทธิภาพในการป้องกัน ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และราคาที่จับต้องได้ ดร.นิธิ เล่าว่า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Technology Research Institute, ITRI) สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสถาบัน Fraunhofer สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมฟิล์ม FleXARs ที่มีคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวด (Superamphiphobic surface) เพื่อแก้ปัญหาการเกาะของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิววัสดุจากต้นน้ำ โดยการทำให้เมือกที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กปล่อยออกมาไม่สามารถยึดเกาะบนพื้นผิววัสดุได้ เทคโนโลยีใหม่นี้สามารถใช้ทดแทนสีกันเพรียงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของสัตว์น้ำขนาดเล็ก และมีความปลอดภัยมากกว่าการส่งนักประดาน้ำลงไปฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อลอกเพรียงทะเลออกจากพื้นผิว อีกทั้งยังไม่เป็นการรบกวนการสื่อสารของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับการใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ในการไล่ตัวอ่อนของเพรียงทะเลออกจากพื้นผิววัสดุด้วย     ดร.นิธิ อธิบายว่า ในการพัฒนาฟิล์ม FleXARs ทีมวิจัยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก เพื่อให้วัสดุมีความทนทานสูง สามารถใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และเหมาะแก่การผลิตเพื่อใช้งานในระดับอุตสาหกรรม การพัฒนาในส่วนแรก คือ การออกแบบลวดลายจุลภาคแบบทนทาน (Robust micro-structure) ขนาด 500 ไมโครเมตร ที่มีความแข็งแรงทนทานต่อการถูกสัมผัสและสามารถรับแรงกระทำจากภายนอกได้ โดยจะพิมพ์ลวดลายดังกล่าวบนวัสดุที่มีค่าพลังงานเชิงผิวต่ำ เช่น พอลิไดเมทิลไซลอกเซน(Polydimethylsiloxane: PDMS) ทำให้พื้นผิวของฟิล์ม FleXARs มีคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวด การพัฒนาในส่วนที่สองคือ การผลิตฟิล์ม FleXARs ให้มีขนาดใหญ่หน้ากว้าง 30 เซนติเมตร ยาวถึง 300 เมตรต่อม้วน ฟิล์มมีความบาง ใส และยืดหยุ่น เพื่อความสะดวกในการใช้งานกับพื้นผิวขนาดใหญ่ และส่วนที่สามคือการพัฒนาชั้นฟิล์มกาวด้านหลังเพื่อให้ติดแผ่นฟิล์ม FleXARs ลงบนผิววัสดุได้ง่าย ลดความยุ่งยากและเวลาในการติดตั้ง     “จากการทดสอบการใช้งานจริงเป็นเวลา 12 เดือนในทะเลประเทศญี่ปุ่นและอ่าวไทยพบว่า  ฟิล์ม FleXARs ปกป้องพื้นผิวคาร์บอนสตีลได้ดีกว่าการเคลือบผิวด้วยวัสดุเทฟลอนที่มีราคาสูง และจากการทดสอบแบบเร่งเวลาในสภาวะห้องทดลองด้วยกระบวนการกัดกร่อนด้วยเกลือ (Salt spray test) พบว่า FleXARs ใช้งานในทะเลได้นานถึง 15 ปีโดยไม่เสื่อมสภาพ (การใช้งานจริงอาจมีอายุสั้นกว่าเนื่องจากมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มาเกี่ยวข้อง) นอกจากนี้ยังมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าวิธีการกำจัดเพรียงที่นิยมใช้กันอยู่ ที่สำคัญ FleXARs มีราคาเพียง 1000 บาทต่อตารางเมตร ต่ำกว่าวัสดุที่มีการใช้งานทั่วไปในปัจจุบันซึ่งมีราคาตั้งแต่ 2000-6000 บาทต่อตารางเมตร ทำให้ FleXARs ได้เปรียบทั้งด้านราคาและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”     FleXARs ไม่ได้มีประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมทางทะเลเท่านั้น เพราะด้วยคุณสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะอย่างยิ่งยวดทำให้ฟิล์มชนิดนี้มีคุณสมบัติป้องกันการเกาะของเชื้อก่อโรคอีกด้วย     ดร.นิธิ อธิบายว่า จุลชีพก่อโรคจำพวกแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา จำเป็นต้องอาศัยชั้นกาวหรือการสร้างไบโอฟิล์มในการยึดเกาะกับพื้นผิวเช่นเดียวกับเพรียงทะเลที่ปล่อยเมือกมายึดเกาะวัสดุ ดังนั้นแล้วการตัดปัจจัยเหล่านั้นออกตั้งแต่แรกจะช่วยลดการสะสมของเชื้อได้เป็นอย่างดี จากการทดสอบพบว่าพื้นผิวของ FleXARs ลดการสะสมของแบคทีเรียและการเกิดชั้นไบโอฟิล์มได้ดีกว่าเทฟลอนที่นิยมใช้เคลือบพื้นผิววัสดุทางการแพทย์ถึงร้อยละ 25 แผ่นฟิล์มชนิดนี้จึงเหมาะแก่การใช้งานกับอุปกรณ์การแพทย์ ใช้งานในสถานพยาบาล รวมถึงสถานที่ที่มีการสัมผัสร่วมสูง เช่น ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า สนามบิน โดยเฉพาะช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรค     หากคุณคือผู้ที่สนใจลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ทีมวิจัยพร้อมเปิดรับการลงทุนเพื่อก้าวสู่การเป็นสตาร์ตอัป โดยทีมวิจัยมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต รวมถึงเครือข่ายโรงงานเฉพาะทางที่พร้อมให้บริการรับจ้างผลิต หรือ OEM (Original Equipment Manufacturer) ดร.นิธิ ทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยพร้อมเดินหน้าสู่การทำธุรกิจแบบ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) โดยต้องการเงินลงทุน 20 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจสู่การผลิตและจัดจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2566-2567 โดยจากการวิจัยทางการตลาดพบว่า FleXARs มีโอกาสมีส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 10 หรือคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ผู้ประกอบการที่สนใจร่วมลงทุนติดต่อได้ที่ nithi.atthi@nectec.or.th     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ผนึก กทม. ยกระดับกรุงเทพ สู่ Smart City ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในกรุงเทพ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการ สวทช. ลงนามร่วมกับ รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร   โดย ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า พร้อมร่วมมือกับ สวทช. ในการพัฒนาและนำเทคโนโลยีของ สวทช. ไปใช้ประโยชน์ปรับปรุงงานในด้านต่างๆ เช่น การบริหารจัดการจราจรด้วยระบบอัจฉริยะ , ระบบการแพทย์ทางไกล , การศึกษาทางไกล , การพัฒนา Open Data และการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม   นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ยังเผยถึงการนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ของเนคเทค สวทช. ไปใช้บริหารจัดการปัญหาเมืองในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังให้ความสนใจ A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ทางไกล พัฒนาโดยศูนย์ A-MED ซึ่ง กทม. พร้อมนำไปขยายผลบริการให้กับประชาชนต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์