หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ขอเรียนเชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน “Korea-Thailand TechBIZ Matching 2023”
🇰🇷 x 🇹🇭โอกาสใหม่ทางธุรกิจด้วยเทคโนโลยีเกาหลี!!! ห้ามพลาด!!!ขยายโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจากประเทศเกาหลี 📢 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP) ร่วมกับ TIPA (Korea Technology and Information Promotion Agency for SME), KTR (Korea Testing & Research Institute), MEKONGLINK (ตัวแทนของอุทยานเทคโนเกาหลี 19 แห่ง) จากเกาหลีขอเรียนเชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน “Korea-Thailand TechBIZ Matching 2023” 🗓️ วันที่ 24 พฤษภาคม 2566 🕑 เวลา 13.00-17.30 น. 📌อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย พบกับ 10 เทคโนโลยีจากเกาหลีที่กำลังมองหาพันธมิตรในประเทศไทยเพื่อสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความร่วมมือ โครงการ R&D ระดับโลก การแลกเปลี่ยนความรู้ การขยายตลาดและการสร้างเครือข่าย ลงทะเบียนออนไลน์: https://forms.gle/kWWaaEQMPiuV74rZ8 สอบถามรายละะอียด 📲(+66)0869799519(นรมน) 📧bcd@nstda.or.th 10 เทคโนโลยีของเกาหลี: 1) MEDIZEN HUMANCARE 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: เทคโนโลยีการวิเคราะห์พันธุกรรมและการทำนายโรค (ลิงค์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/1yDWtJNwoXkuwqINhqhSbIwC3pKr5IACF/view?usp=sharing 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/1xzEL892DX7kHCNK15KMOIBSnz2b2-vDP/view?usp=sharing 2) CHEIL ELECTRIC 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับบ้านอัจฉริยะเหมาะสำหรับครัวเรือนคนเดียว ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว และหมู่บ้านอัจฉริยะ (ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14JgxQ7BQLC3PjMJv7C0P7nbmaovcBS1x/view?usp=sharing 3) MOA DATA 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: ตรวจสอบสุขภาพและป้องกันโรคก่อนที่จะเกิดขึ้นด้วยระบบตรวจจับความผิดปกติ AI ขั้นสูง(ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14NF5k__Mg1dRMZ_rDJByDEfu3RFvt42T/view?usp=sharing 4) DAEUN MEDICAL 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: การรักษาบาดแผล (ลิงค์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/15Xb-vMVhCdom6oaQXZPGD4fzPzXwGC3v/view?usp=sharing 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/15aXzPaS45eXGVJnNdkpveRc06wSwtzvS/view?usp=sharing 5) THINKforBL 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: พร้อมเพิ่มผลกำไรของคุณหรือยัง? Smart Livestock สามารถช่วยคุณปรับปรุงสุขภาพและผลผลิตของปศุสัตว์ของคุณ (ลิงค์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14XdArfCkTx-5n5riDZeRmmamVo7d4Fyw/view?usp=sharing 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14WRCfbBAXQx0A-mlDyXg_Vgt0BQRdseL/view?usp=sharing 6) INVENTIS 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: แพลตฟอร์มวิดีโอ CG รถยนต์อัตโนมัติของเราจะทำให้แคมเปญการตลาดของคุณโดดเด่นและดึงดูดความสนใจของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า (ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14aoR4a9IgCBkd4WED4ZL7hd1Ylr8sab4/view?usp=sharing 7) R&D PROJECT 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: ลดความซับซ้อนของซัพพลายเชนและปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยระบบ MES และ ERP ของเรา (ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14r5IWULU0BckfHd0jVl59TuUkrRIo7Ch/view?usp=sharing +https://drive.google.com/file/d/14mCmkNv4aMe6nXkYdR61iY9vfltZXCNE/view?usp=sharing 8 ) E-RON SYSTEM 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: ปกป้องชุมชนของคุณจากภัยพิบัติน้ำท่วมด้วย ATOMS ระบบประตูอัตโนมัติอัจฉริยะ (ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14w-feZA5FrOw2pX-gn8_-zG_aJsG9VSO/view?usp=sharing 9) DARAM ENG 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: ยกระดับมาตรฐานคุณภาพอากาศของบริษัทคุณ และปรับปรุงผลกำไรของคุณด้วยอุปกรณ์ HVAC และโซลูชันห้องสะอาดของเรา (ลิงก์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14yBOpTCdwfKy58x70IJ2S95fU0gpJGAV/view?usp=sharing 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14yjn6_97Q9ifBxuPTSsSKxsoOWU-y1t0/view?usp=sharing 10) PKLNS 👉🏻 เทคโนโลยีหลัก: ระบบห้องเรียนอัจฉริยะสำหรับโรงเรียนและสถาบันการศึกษาในท้องถิ่น (ลิงค์โบรชัวร์ด้านล่าง) 👉🏻 https://drive.google.com/file/d/14zxyM2OHrPh8Xn6_3Jpr2TBQVOENw6LW/view?usp=sharing 📢 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย คือ พันธมิตรธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ นวัตกรรม 🔬 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 📌 The Integrated Ecosystem where Innovation Grows 🎯 Faster Better Prosper 🌐 www.sciencepark.or.th 📞 02-5647200 📧 customerrelation@sciencepark.or.th 🚙https://goo.gl/maps/GHtjhg1NoJWpAbN99
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ร่วมกับ วช. จัดพิธีรับเกียรติบัตรเยาวชน ฝึกทักษะวิจัย ภาคฤดูร้อน ปี 2566 กับนักวิจัย สวทช.
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/certificate-presentation-ceremony-of-nstda-summer-school-2023.html วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีรับเกียรติบัตรและปัจฉิมนิเทศ โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2566 โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมเป็นประธานในพิธีและมอบเกียรติบัตรและปัจฉิมนิเทศ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ร่วมมือกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาร่วมเป็นพันธมิตรและให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการ ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม โดยโครงการได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักเรียนจากห้องเรียนโครงการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนของ สพฐ. รวมทั้งได้เปิดโอกาสให้ครูวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยได้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ด้วยการนำกระบวนการคิด การทำงานตามหลักการวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง สามารถนำไปใช้ในชีวิตการเรียน การสอน หรือการศึกษาเพิ่มเติมตามความชอบและความถนัดของตนเองเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักวิจัยอาชีพ รวมไปถึงมีโอกาสที่จะนำความรู้ไปพัฒนาประเทศในภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป “โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ ในปี 2566 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 มีนาคม – 3 พฤษภาคม 2566 โดยมีนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกและยืนยันเข้าร่วมโครงการจำนวน 85 คน และมีครูวิทยาศาสตร์ จำนวน 7 คน รวมทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมโครงการ 92 คนจาก 53 โรงเรียนทั่วประเทศ นักเรียนและครูจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิจัย สวทช. ซึ่งจะเป็นพี่เลี้ยงหลักดูแลให้คำปรึกษาให้แก่นักเรียนและครู จำนวน 28 คน และจะมีผู้ช่วยวิจัยในทีมช่วยดูแลเพิ่มเติม จากศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. นอกจากการฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฎิบัติการวิจัยแล้ว นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการยังได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์อื่น ๆ ที่ทางโครงการจัดให้ อาทิ การจัดบรรยายพิเศษในหัวข้อต่าง ๆ ทัศนศึกษานอกสถานที่ นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่าสำหรับนักเรียนและครูที่เข้าร่วมกิจกรรม” นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 (วช.) กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวอยู่ภายในโครงการส่งเสริมนักเรียน มัธยมศึกษาตอนปลายและครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัยภาคฤดูร้อนปี 2566 โดย วช. เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการบ่มเพาะและปลูกฝัง ให้เยาวชนมีใจรักและมีความสนใจในวิชาชีพทางวิทยาศาสตร์วิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมตั้งแต่เยาว์วัย จึงได้ให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการการวิจัยและ นวัตกรรมให้แก่ สวทช. เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 วช. ขอชื่นชมนักเรียนและครูทั้ง 92 คน ที่เลือกใช้เวลาในช่วงวันหยุด ปิดภาคฤดูร้อนตลอด 7 สัปดาห์ ไขว่คว้าหาความรู้นอกห้องเรียน โดยการสมัครเข้า ร่วมโครงการนี้จนกระทั่งได้รับการคัดเลือกให้ได้เข้ารับการฝึกทักษะในหัวข้อต่าง ๆ โดย สวทช. ซึ่งมีนักวิจัยที่นับเป็นบุคลากรวิจัยของประเทศที่มีความรู้ความสามารถสูง คอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดอีกทั้งห้องปฏิบัติการวิจัยที่มีเครื่องมืออุปกรณ์ การวิจัยต่าง ๆ ที่ทันสมัย จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่นักเรียนและครูจะได้รับประสบการณ์การฝึกฝนทักษะการวิจัยและมีความเข้าใจอาชีพนักวิจัยหรือ นักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น ในการลงมือปฏิบัติจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำวิจัยนั้นย่อมเจอปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งไม่อาจคาดเดาได้ แต่ทุกคนก็ได้พิสูจน์ แล้วว่าสามารถทำได้และผ่านมาได้จนถึงวันที่จบโครงการในวันนี้ ด้าน นางสาวธัญสิริ สุรียะกระจ่าง หรือน้องไข่มุก จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.ชลบุรี ตัวแทนเพื่อนในโครงการ ได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ได้เข้ามาทำงานในโครงการจริง ๆ ตัวเองก็ได้รับความรู้และประสบการณ์จากนักวิจัยพี่เลี้ยงมากมายเลย นักวิจัยพี่เลี้ยงทุกคนเป็นกันเองมาก ๆ แต่เมื่อถึงเวลาทำงานก็มีความตั้งใจและจริงจังเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องผลักดันตัวเองให้มากขึ้นเพื่อที่จะสามารถช่วยงานพี่ ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อยากเกิดการพัฒนาเป็นอย่างมากราวกับได้เปลี่ยนมาเป็นคนละคนเลย สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าหนูมีความสุขมากๆเลย ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมค่ายฝึกทักษะวิจัยของ สวทช. ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่ทำให้เกิดค่ายนี้ขึ้น นายฐิติวิวัฒน์ เท้าอิ่ม หรือน้องพุธโธ จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มอดินแดง) อีกหนึ่งตัวแทนเพื่อน ๆ เล่าให้ฟังว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นนักเรียนชั้น ม.ปลาย ที่ได้รับโอกาสให้มาฝึกทักษะวิจัยที่ สวทช. ก็รู้สึกภาคภูมิใจและ ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาฝึกในสถานที่ที่มีเครื่องมือที่ครบครัน ทำให้เราได้เรียนรู้ได้เต็มที่ และมีนักวิจัยที่มีประการณ์มาคอยช่วยแนะนำและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และยังมีเพื่อน ๆ คุณครู พี่เลี้ยง ที่คอยช่วยเหลือตลอด7สัปดาห์ที่อยู่ที่นี่ ซึ่งความรู้ที่ตัวเองได้รับนั้นสัญญาว่าจะทำความรู้นั้นไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์เพื่อพัฒนาตัวเอง พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศต่อไป น้องพุธโธ เล่าเพิ่มเติมว่า ถ้ามองย้อนไปก่อนเข้ามาที่นี่ผมคงคิดว่าการทำวิจัยมันอยู่ไกลตัวเรา แต่พอเข้ามาทำจริง ๆ แล้วการทำวิจัยก็อยู่รอบตัวเราครับ ไม่ว่าจะในการรักษาโรค การใช้ชีวิต ล้วนแล้วแต่เกิดจากการทำวิจัย การที่มีโอกาสได้เข้ามาที่นี่ทำให้ได้เรียนรู้หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกทักษะวิจัยซึ่งบางอย่างมีความยาก ต้องใช้เวลาในการทำด้วย แต่นักวิจัยก็คอยช่วยเหลือตลอด “การที่ได้มาเจอนักวิจัยที่มีความเชียวชาญ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ได้ทำงานในสถานที่จริง ได้ใช้เครื่องมือจริง ๆ ทำให้ผมรู้ว่านักวิจัยเค้าทำงานกันอย่างไรครับ และนอกจากนั้นการที่ผมมาที่นี่มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือมิตรภาพครับ ตั้งแต่วันแรก ที่ผมเข้ามาที่นี่จนถึงวันนี้ผมได้รู้จักคนเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พี่น้อง หรือแม้แต่นักวิจัยเอง ซึ่งการที่เราต้องอยู่ร่วมกัน กับคนเยอะ ๆ สิ่งที่สำคัญคือการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันครับ ซึ่งในค่ายนี้ก็มีกิจกรรมมากมายที่ทำให้เราได้สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจนเกิดคำว่ามิตรภาพขึ้นครับ”
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
(สวทช.) เปิดรับสมัครอบรมหลักสูตร”การวิเคราะห์และการประเมินประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรด้วย AppSheet เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขอเครื่องจักร” (Overall Equipment Effectiveness : OEE)
สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต(Career for the Future Academy : CFA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครอบรมหลักสูตร"การวิเคราะห์และการประเมินประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรด้วย AppSheet เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขอเครื่องจักร" (Overall Equipment Effectiveness : OEE) กลุ่มเป้าหมาย : สถานประกอบการและผู้สนใจในการเตรียมตัวเข้าสู่ อุตสาหกรรม 4.0 สิ่งที่จะได้ภายในนี้!! เพื่อเข้าใจหลักการประเมินประสิทธิผลโดยรวมเครื่องจักรอย่างถูกต้องทางด้านข้อมูลเพื่อการชี้วัด เพื่อเข้าใจถึงหลักการวิเคราะห์และแก้ไขปรับปรุงพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประยุกต์ใช้โปรแกรม AppSheet สำหรับประยุกต์ใช้เก็บข้อมูล และการแสดงผลประสิทธิผลโดยรวมเครื่องจักร ในรูปแบบ Dashboard ระยะเวลาการอบรม กิจกรรมที่ 1 (Overview) : จำนวน 1 วัน (9.00–14.00 น.)   อบรมวันอังคารที่ 16 พ.ค 66         กิจกรรมที่ 2 (Advance)  : จำนวน 1 วัน (9.00–16.00 น.)   อบรมวันอังคารที่ 23 พ.ค 66 และเข้าให้คำปรึกษาที่สถานประกอบการจำนวน 3 ครั้ง ตามนัดหมายภายในวันที่ 21 กันยายน 2566   โปรโมชั่นพิเศษ!! รับฟรี โปรแกรม AppSheet คำนวณและวิเคราะห์ประสิทธิผลโดยรวมเครื่องจักร   สถานที่การจัดอบรม : โรงแรม ไอบิส โรงแรมไอบิส สไตล์ กรุงเทพ รัชดา   สนใจสอบถามรายละเอียดและลงทะเบียนทั้งสองกิจกรรมได้ที่ Website : https://www.career4future.com/oee   สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2644 8150 ต่อ 1368 (วลัยรัตน์), 1381 (ชนากานต์) หรือ e-mail : cfa-psc@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากรา ตรวจสารพิษ 5 ชนิดพร้อมกัน ความไวสูง ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mycosmart-mycotoxin-strip-based-on-microarray-technology.html   สารพิษจากรา (Mycotoxin) คือภัยเงียบที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อมนุษย์และสัตว์ เนื่องจากพบได้ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมทั้งในดินและอากาศ จึงมีโอกาสปนเปื้อนอยู่ในอาหารหรือวัตถุดิบอาหารทางการเกษตรตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก เก็บเกี่ยว เก็บรักษา ไปจนถึงแปรรูป ทั้งนี้ราเหล่านี้สามารถสร้างสารพิษได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยผู้บริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อราจะได้รับอันตรายต่อร่างกาย เช่น เบื่ออาหาร ชัก หมดสติ หรือหากได้รับสารพิษสะสมเป็นเวลานานก็อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด นอกจากนั้นยังพบว่าสารพิษจากรายังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์อีกด้วย โดยสัตว์ฟาร์มที่ได้สารพิษจากราจะมีอัตราการเจริญเติบโตและระบบภูมิคุ้มกันลดลง อีกทั้งระบบสืบพันธุ์และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ทำให้ผลผลิตลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหายและขาดทุนสูง โชคไม่ดีนักที่การควบคุมและเก็บรักษาวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราตลอดกระบวนการผลิตเป็นเรื่องยาก ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันก็ยังเอื้อต่อการเติบโตและผลิตสารพิษของราอีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยไบโอเทค เนคเทค และเอ็มเทค ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen's University Belfast สหราชอาณาจักร พัฒนา “MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบที่พัฒนาจากเทคนิคไมโครอะเรย์” เพื่อคัดกรองอาหารและผลผลิตทางการเกษตรที่ปนเปื้อนสารพิษจากราตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการบริโภคสารพิษจากรา รวมถึงลดความเสียหายให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและปศุสัตว์   [caption id="attachment_42963" align="aligncenter" width="750"] ดร.กฤศ พิจยเวทินท์ นักวิจัย เนคเทค สวทช. (ขวา)[/caption]   ดร.กฤศ พิจยเวทินท์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า MycoSMART เป็นชุดตรวจวินิจฉัยที่เกิดจากการทำงานบูรณาการระหว่างนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญในหลายสาขาวิชาทั้งในและต่างประเทศ โดยระบบประกอบด้วยเทคโนโลยี 3 ส่วนหลัก คือ เครื่องอ่านสัญญาณไมโครอะเรย์ ชุดตรวจวินิจฉัยแบบแถบทดสอบด้วยเทคนิคไมโครอะเรย์ และสารเรืองแสงที่มีความไวและเสถียรสูง ส่วนวิธีการใช้งานนั้นทำได้ง่าย เพียงนำสารสกัดจากอาหารหรือวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง มาหยดที่ชุดตรวจแบบแถบทดสอบ จากนั้นนำชุดตรวจใส่ในเครื่องอ่านสัญญาณ แล้วกดปุ่มควบคุมการทำงานผ่านหน้าจอทัชสกรีน เครื่องอ่านจะตรวจจับสัญญาณการเรืองแสงและรายงานผลการวิเคราะห์ผ่านหน้าจอได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ     “จุดเด่นของ MycoSMART คือออกแบบและพัฒนาระบบการตรวจจับสารพิษจากราโดยใช้เทคนิคไมโครอะเรย์ร่วมกับสารเรืองแสงที่มีความเสถียร มีความไวสูง และต้นทุนต่ำ จึงตรวจจับสารพิษจากเชื้อราได้หลายชนิดพร้อมกันเพียงใช้หนึ่งชุดทดสอบ และแสดงผลปริมาณการปนเปื้อนได้ทันที MycoSMART จึงเหมาะกับการใช้งานแบบพกพา ให้ผลการตรวจวัดอย่างรวดเร็ว และใช้ต้นทุนการตรวจวัดที่ถูกกว่าชุดตรวจในท้องตลาด ปัจจุบัน MycoSMART สามารถตรวจวัดสารพิษจากราได้ถึง 5 ชนิด ได้แก่ Aflatoxin B1 (AFB1) พบในผลิตภัณฑ์ประเภทแป้งและถั่วลิสง, Deoxynivalenol (DON) พบในผลิตภัณฑ์ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์, Fumonisin B1 (FUMB1) พบในเมล็ดข้าวโพดที่ใช้บริโภคทั้งในคนและสัตว์, T-2 toxin (T-2) พบในธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย และ Zearalenone (ZON) พบมากในวัตถุดิบอาหารสัตว์”     ดร.กฤศ กล่าวเพิ่มเติมว่า เทคโนโลยี MycoSMART ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตร ปศุสัตว์ และการแปรรูปอาหาร นำไปใช้ตรวจสารพิษจากราเพื่อคัดกรองผลผลิตทางการเกษตรได้สะดวกตั้งแต่ในแปลงปลูกผักจนถึงโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร ช่วยให้ผู้บริโภครับประทานอาหารได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงและมูลค่าความเสียหายให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเทคโนโลยี MycoSMART ชุดตรวจวินิจฉัยสารพิษจากราแบบแถบทดสอบอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยี ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2145     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ICAO, CAAT เยี่ยมชมศักยภาพความพร้อมบริการทดสอบด้านการบิน PTEC สวทช. หนุนมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการบินสู่นานาชาติ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-welcomes-the-visit-of-icao-and-caat,-showcasing-quality-infrastructure-supporting-aviation-safety.html (2 พฤษภาคม 2566) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้การต้อนรับ นายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย หรือ CAAT (The Civil Aviation Authority of Thailand) และคณะจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมกว่า 70 คน เข้าเยี่ยมชมศักยภาพความพร้อมบริการทดสอบด้านการบินของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)  สวทช. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า มีความยินดีที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ร่วมกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)  ได้ให้ความสำคัญมาเยี่ยมชมความพร้อมด้านการบริการทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์การบิน ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. โดยที่ผ่านมา สวทช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านมาตรฐานจึงมีนโยบายในการพัฒนา “โครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ” (National Quality Infrastructure: NQI)  โดย PTEC  มีศักยภาพและความพร้อม การปฏิบัติงานทดสอบ สอบเทียบ ตรวจสอบ และรับรองผลิตภัณฑ์บริการทดสอบ ภาคอุตสาหกรรมการบินด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์การบิน , อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ ระบบขนส่งทางราง ฯลฯ ทั้งนี้ปัจจุบัน  PTEC ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบด้านชิ้นส่วนเครื่องบิน โดยได้รับการรับรองระบบคุณภาพตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ตามมาตรฐาน RTCA-DO160 เรียบร้อยแล้วหลายรายการ และมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางในการให้บริการทดสอบชิ้นส่วนการบินตามมาตรฐานสากลในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต นอกจากผลิตภัณฑ์ในระบบการบินแล้ว PTEC ยังได้รับการยอมรับให้เป็นหน่วยทดสอบผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ จากหน่วยงานควบคุมของภาครัฐเช่น กสทช. สมอ. อย. เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อการผลิต การส่งออก ผลักดันเศรษฐกิจและการทดสอบเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศให้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์สินค้าที่ปลอดภัยอีกด้วย สำหรับในการเยี่ยมชมครั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ร่วมกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้เยี่ยมชมห้องปฎิบัติการทดสอบของ สวทช. หลายห้องปฏิบัติการ อาทิ 1 การทดสอบด้านความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์การบิน ตามมาตรฐาน RTCA-DO 160 และ MIL - STD 461 ซึ่งเป็นการวัดสัญญาณรบกวนที่แพร่ออกจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์การบินชิ้นนั้นแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกไปรบกวนอุปกรณ์ในเครื่องบินอื่น ๆ ที่ถูกติดตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน 2 การทดสอบภูมิคุ้มกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic immunity) ของอุปกรณ์ชิ้นส่วนการบิน จากการนำชิ้นส่วนการบินใหม่ ๆ ไปติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ใช้งานอยู่เดิม หรือความสามารถในการต้านทานสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ในสนามบินที่แพร่ออกมารบกวนการทำงานของชิ้นส่วนการบินที่ถูกนำไปติดตั้งใหม่ เช่น เรดาห์ สถานีวิทยุ ป้ายไฟในสนามบิน ฯลฯ 3 การทดสอบความปลอดภัยของแบตเตอรี่แพ็ค (Battery Pack) เพื่อขนส่งตามมาตรฐานของสหประชาชาติหรือ UN 38.3 เนื่องจากแบตเตอรี่ถือเป็นวัตถุอันตราย (dangerous goods) ดังนั้นการขนส่งแบตเตอรี่ผ่านทางเส้นทาง ถนน เรือ เครื่องบิน ต้องได้รับการอนุญาตตามกฎหมายเสียก่อน โดยจะต้องทำการทดสอบในหลายหัวข้อ เช่น การทดสอบการสั่นและการกระแทก (shock and vibration test) การจำลองการตก (drop test) การทดสอบ Mechanical Integrity (crush test) การทดสอบการบีบอัด (crush test) 4 การทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อการขนส่งที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน UL 2580 เป็นการทดสอบโดยจำลองสภาวะการวางของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ ในทิศทางต่างๆ เช่น แนวตั้ง แนวนอน แนวเอียงมุม และสังเกตความสามารถในการทรงตัวบนพาหนะ ในขณะทำการขนส่งทางบก เรือ อากาศ รถไฟฯ 5 การทดสอบความสามารถในการป้องกันการลัดวงจรแบตเตอรี่ (Battery short circuit) ขณะทำการขนส่งที่อาจทำให้ขั้วไฟฟ้าบวกและลบของแบตเตอรี่สัมผัสกัน และอาจทำให้เกิดการติดไฟหรือเกิดการระเบิดได้ตามมาตรฐาน UN 38.3 6 การทดสอบการต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศในเครื่องบิน ที่ระดับความสูงและอุณหภูมิต่างๆ ตามมาตรฐาน RTCA-DO 160 MIL-STD810 และการทดสอบบรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำการขนส่งทางเครื่องบิน 7 การทดสอบการป้องกันการปะทุไฟและการระเบิด (Explosive proof) ของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า เช่น โคมไฟ มอเตอร์ พัดลม ขั้วต่อต่างๆ ที่ติดตั้งในบริเวณ คลังน้ำมัน สถานีปั๊มน้ำมัน สถานีแก๊สฯ ตามมาตรฐาน IEC EX EX-d และ ATEX เมื่อเกิดการลัดวงจรภายใน จะไม่ทำให้ไอแก๊สบริเวณรอบเกิดการปะทุไฟหรือระเบิด 8 การวัดระดับความแรงสนามแม่เหล็กของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ขณะทำการขนส่งบนเครื่อง ซึ่งแพร่สนามแม่เหล็กออกไปรบกวนระบบเข็มทิศนำร่องของเครื่องบิน ตามมาตรฐาน IATA 953 9 การทดสอบการอ่านพาสปอร์ตเดินทาง บัตรโดยสาร สมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Near Field Communication (NFC) ซึ่งหลายประเทศนำไปใช้งาน เนื่องจากสามารถใช้เครื่องโทรศัพท์ส่วนบุคคลทำการอ่านข้อมูลและใช้แสดงตัวตนได้ ที่ผ่านมา สวทช. ได้ลงนามความร่วมมือกับ กพท. เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการบินในประเทศให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล และพัฒนาผู้ประกอบการในประเทศเพื่อการรับจ้างผลิตจากบริษัทการบินขนาดใหญ่ระดับโลกเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ PTEC ยังให้บริการทดสอบคลื่นความถี่การใช้งานของผลิตภัณฑ์ประเภทโดรน UAV และอากาศยานน้ำหนักเบา ก่อนการขออนุญาตการใช้งานคลื่นความถี่ควบคุมจาก กสทช. อีกด้วย โดยมาตรฐานที่ให้บริการ ประกอบด้วย RTCA-DO 160 UN38.3 และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอีกหลายรายการ สำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนการบิน ผู้ซ่อมบำรุง ผู้ติดตั้งระบบการบินในสนามบิน ที่สนใจพัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่ 0 2117 8600 อีเมล sales@ptec.or.th   ###############
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมหลักสูตร “แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่” รุ่นที่ 1 ฟรี!!!
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมอบรมหลักสูตร "แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่" รุ่นที่ 1 ฟรี!!! 📅 วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 ⏰ เวลา 09:00 – 16:00 น. 📌 ออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Cisco Webex Webinar พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ บรรยายโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่มาและความสำคัญของ BCG Model หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนในองค์กร การศึกษาค่าการหมุนเวียนวัสดุในภาคอุตสาหกรรม Circular Design การออกแบบ พัฒนา และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โมเดลธุรกิจหมุนเวียน   สำหรับผู้เข้าร่วมที่ผ่านเกณฑ์การอบรมตลอดหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจาก สวทช. และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สนใจลงทะเบียนโดยสแกน QR CODE ในโปสเตอร์ หรือลิงก์ https://shorturl.at/kmxNW ผู้ลงทะเบียนจะได้รับลิงก์เข้าร่วมอบรมผ่านทางอีเมล สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ : ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ โทร. 02-117-6455 (สุทธิชา) และ 02-117-6455 (ปริสรินทร์)
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดตัว! แบบมาตรฐานอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายรถบรรทุก
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก เปิดตัวแบบมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายรถบรรทุก ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล บรรจุในฐานข้อมูลที่มีแบบเชิงวิศวกรรมรวมไว้กว่า 90 แบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการรถบรรทุกเลือกนำไปผลิตตามมาตรฐานและติดตั้งให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถบรรทุกแต่ละประเภท โดยไม่มีค่าใช้จ่าย   ทั้งนี้เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนถนนในลักษณะที่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์พุ่งชนและมุดเข้าไปใต้ท้องรถบรรทุก พร้อมเสนอกลไกสนับสนุนและส่งเสริมด้านงบประมาณให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถบรรทุกให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาภายในประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/rice-disease-bot-chatbot-for-rice-disease-identification.html   ประเทศไทยผลิตข้าวได้มากกว่า 26 ล้านตันต่อปี เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญอันดับ 4 ของโลก หากแต่รายได้ที่นำกลับเข้าประเทศมากกว่าแสนล้านบาทต่อปีนี้กลับไม่ได้สะท้อนถึงผลกำไรที่เกษตรกรควรได้รับ เพราะชาวนาไทยส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในวังวนของการ ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ต้องเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพอากาศ รวมถึงวิกฤตโรคระบาดที่ฉุดรั้งผลผลิตข้าวไทยให้ถดถอยลงทุกที กลุ่มโปรแกรมเกษตรสมัยใหม่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนทุนในการดำเนินโครงการวิจัย “โมบายแอปพลิเคชันเพื่อการวินิจฉัยโรคข้าวโดยใช้การวิเคราะห์ภาพถ่ายและปัญญาประดิษฐ์” ให้แก่ทีมวิจัยจาก สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อดำเนินการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงทีแก่เกษตรกร เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกปัญหาการรับมือกับโรคระบาด ลดต้นทุนการใช้สารเคมีที่เสียไปอย่างไร้ค่า และยกระดับผลผลิตข้าวไทยให้มากขึ้น   [caption id="attachment_42337" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ (กลาง) และทีมวิจัย[/caption]   นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบอทโรคข้าวเล่าว่า การพัฒนาแพลตฟอร์มนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2562 โดยความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. กับภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ต้องการสร้าง ‘แพลตฟอร์มกลาง’ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องมือการวินิจฉัยโรคข้าวที่มีประสิทธิภาพ พร้อมได้รับคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเหมาะสม ซึ่งจะช่วยยับยั้งการลุกลามของโรคระบาดในพื้นที่และในภาพรวมของประเทศได้อย่างทันการณ์ “จากโจทย์ปัญหานำมาสู่การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ ระบบแชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยแพลตฟอร์มนี้ผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ต่างใช้งานจนคุ้นเคยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกษตรกรพบเห็นความผิดปกติของต้นข้าวในแปลงนาสามารถส่งข้อมูลให้ระบบวินิจฉัยโรคได้ทันที วิธีการใช้งานเพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นข้าวแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมารายงานให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที ช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบโรคข้าวที่เกิดขึ้นในแปลงนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”   [caption id="attachment_42336" align="aligncenter" width="700"] ภาพขณะกำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม[/caption]   อย่างไรก็ตามการพัฒนา ‘บอทโรคข้าว’ ให้ดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล ต้องอาศัยการดำเนินงานแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านโรคข้าว การพัฒนาคลังจัดเก็บชุดข้อมูล​ และการพัฒนาเทคโนโลยี AI นายวศิน เล่าว่า ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม อาจารย์และทีมงานจากภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ที่ช่วยดำเนินงานภาคสนาม ต่างมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยจัดทำชุดข้อมูลเพื่อให้ทีมวิจัยได้นำมาใช้ออกแบบการเรียนรู้ให้แก่ AI “ปัจจุบันบอทโรคข้าวให้บริการวิเคราะห์โรคข้าวที่สำคัญในไทยได้แล้วถึง 10 โรค ได้แก่ โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบจุดสีน้ำตาล โรคใบขีดสีน้ำตาล โรคใบขีดโปร่งแสง โรคไหม้คอรวง โรคดอกกระถิน โรคใบวงสีน้ำตาล โรคเมล็ดด่าง และโรคใบหงิก โดยเปิดให้เกษตรกร ศูนย์ข้าวชุมชน หน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงภาคเอกชน ทดลองใช้บริการแล้วผ่าน ‘กลุ่มบอทโรคข้าวของแต่ละจังหวัด’ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้าวตรวจทานความถูกต้องของผลการวินิจฉัย รวมถึงช่วยตอบข้อสงสัยและให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่เกษตรกรด้วย”   [caption id="attachment_42344" align="aligncenter" width="700"] ‘บอทโรคข้าว’ แชตบอตวินิจฉัยโรคเพื่อยับยั้งปัญหาอย่างทันท่วงที[/caption]   ทั้งนี้ผลการรวบรวมข้อมูลสถิติการใช้งานพบว่าในปี 2566 มีผู้ใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ แล้วประมาณ 3,500 คน โดยมีทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นฟันเฟืองหลักนำแพลตฟอร์มไปขยายผลให้เกษตรกรในหลายจังหวัดทั่วประเทศได้ทดลองใช้งาน   [caption id="attachment_42346" align="aligncenter" width="450"] ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์[/caption]   ผศ. ดร.สุจินต์ ภัทรภูวดล อาจารย์ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ริเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มเล่าว่า หลังจากทีมร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มจนพร้อมเปิดให้บริการในปี 2565 ทีมงานจากภาควิชาฯ ได้นำแพลตฟอร์ม ‘บอทโรคข้าว’ ไปเผยแพร่และอบรมให้เกษตรกรเป้าหมายกว่า 3,200 คน จากจังหวัดลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม ที่เข้าร่วมโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-Naga Belt Road) ทดลองใช้งาน ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ในการขับเคลื่อนชุมชนให้มีการสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร นำไปสู่การยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียว “เกษตรกรส่วนใหญ่ที่ได้ทดลองใช้ต่างชื่นชมว่าแพลตฟอร์มใช้งานง่าย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งการที่แพลตฟอร์มนี้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ยิ่งทำให้ได้รับกระแสตอบรับที่ดีในเรื่องความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น (เกษตรกรส่วนใหญ่ขาดความพร้อมในการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่) และเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างยินดีที่จะแนะนำให้คนรู้จักได้ใช้งานร่วมกันต่อไป นอกจากนี้การที่ระบบมีการ ‘ให้บริการในลักษณะกลุ่มพื้นที่’ ยังช่วยให้เกษตรกรรวมถึงผู้ใช้บริการจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม ได้ตระหนักถึงชุดข้อมูลความถี่และช่วงเวลาในการเกิดโรค ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวางแผนเฝ้าระวังการระบาดของโรคข้าวเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี”   [caption id="attachment_42339" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]   [caption id="attachment_42340" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการแนะนำแพลตฟอร์มแก่กลุ่มเป้าหมาย[/caption]   อย่างไรก็ตามแม้โรคข้าวจะเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนผลผลิตในแต่ละรอบอย่างมาก แต่ในการเพาะปลูกข้าวยังมีปัญหาอีกหลายด้านที่เกษตรกรต้องเผชิญ เช่น แมลงศัตรูพืช การขาดธาตุอาหาร ดังนั้นแล้วแพลตฟอร์มนี้จึงยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาระบบให้ครอบคลุมความต้องการของเกษตรกรมากยิ่งขึ้น ผศ. ดร.สุจินต์ ชี้ว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดในการยืนหยัดพัฒนาระบบให้ครอบคลุมปัญหาการปลูกข้าว รวมถึงการให้บริการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว คือ ‘การได้มาซึ่งเงินทุน’ เพราะการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งด้านการรวบรวมข้อมูล การวิจัยและพัฒนาระบบ AI รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการให้บริการระบบดิจิทัล ดังนั้นแล้วในอนาคตจึงอาจมีความจำเป็นต้องเรียกเก็บค่าบริการจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม เพื่อให้แพลตฟอร์มนี้เดินหน้าสร้างประโยชน์แก่เกษตรกรไทยต่อไปได้อย่างยั่งยืน ‘บอทโรคข้าว (Rice Disease Bot)’ คือหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างองค์กรเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่เกษตรกรไทย อีกทั้งยังเป็นกลไกที่เกื้อหนุนการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจฐานรากไทยอย่างยั่งยืนตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี หน่วยงานที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มติดต่อได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. สำหรับเกษตรกรที่สนใจใช้บริการ เข้าร่วมได้ผ่านการเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์โดยแสกน QR Code ด้านล่าง และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model ได้ที่ www.bcg.in.th [caption id="attachment_59935" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าใช้งาน ‘บอทโรคข้าว’ (สำหรับบุคคลทั่วไป)[/caption]   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จับมือ เค เอช โรเบิร์ต เอกชนผู้นำด้านอุตสาหกรรมกลิ่น-รสระดับโลก พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย
(เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร แพลตฟอร์ม Flavor Academy ลงนามความร่วมมือกับบริษัท เค เอช โรเบิร์ต จำกัด ประเทศสิงคโปร์ เพื่อขยายขีดความสามารถด้านนวัตกรรมกลิ่นรสในประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธาน โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายปีเตอร์ เค.ซี. ออง (Dr. Peter K.C. Ong) ซีอีโอ บริษัท เค เอช โรเบิร์ต จำกัด ประเทศสิงคโปร์ ร่วมลงนาม ณ ห้อง Creative and Innovation Center สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร ร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย 6 แห่งได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร จัดตั้ง Flavor Academy โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านกลิ่นและรสอาหาร รวมถึงการให้บริการด้านการวิเคราะห์ทดสอบด้านกลิ่นรสด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง และการพัฒนางานวิจัย และเทคโนโลยีทางด้านกลิ่นรสร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในภาคเอกชน จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ Flavor Academy โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. เป็นที่รู้จัก และมีความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐ และเอกชน ในครั้งนี้ สวทช. ร่วมกับบริษัท เค เอช โรเบิร์ต จำกัด ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิต และจำหน่ายสารให้กลิ่นรสชั้นนำในระดับโลก โดยความร่วมมือครั้งนี้เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนา และนวัตกรรมด้านกลิ่นรสในประเทศไทย นอกจากนี้ยังบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถด้านการสร้างสรรค์ และพัฒนากลิ่นรสในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย รวมถึงการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมกลิ่นรสในประเทศ ด้านนายปีเตอร์ เค.ซี. ออง (Dr. Peter K.C. Ong) ซีอีโอ บริษัท เค เอช โรเบิร์ต จำกัด ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า บริษัท เค เอช โรเบิร์ต จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมกลิ่นรสระดับโลก ได้พยายามพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รังสรรค์กลิ่นรสใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงนำมาสู่การร่วมมือกับ Flavor Academy โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย ต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้สามารถออกสู่ตลาดได้ มุ่งเน้นการวิจัยพัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมกลิ่นและรสชาติท้องถิ่น เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับนวัตกรรมและคุณภาพในอุตสาหกรรมเครื่องปรุง พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอแสดงความยินดีกับ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) สวทช. ที่ได้รับรางวัล Award for the Heroes of Public Health ประจําปี ค.ศ. 2023
ขอแสดงความยินดีกับ นายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) สวทช. และที่ปรึกษาสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ด้านการต่างประเทศ) ที่ได้รับรางวัล Award for the Heroes of Public Health (วีรบุรุษสาธารณสุข) ประจําปี ค.ศ. 2023 ในฐานะผู้มีผลงานโดดเด่น สร้างระบบสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง จากสํานักงานองค์การอนามัยโลกประจําภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (WHO SEARO) เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา . ทั้งนี้ WHO SEARO มอบรางวัล Award for the Heroes of Public Health เป็นประจําทุกปี เพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลที่มีผลงานเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในภูมิภาค . สำหรับการได้รับรางวัลดังกล่าวของ นพ.สุวิทย์ เป็นการตอกย้ำถึงบทบาทนําและสร้างสรรค์ด้านสาธารณสุขของไทย ในเวทีระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก และความมุ่งมั่นของไทย ในการร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก และหุ้นส่วนต่างๆ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน . อ้างอิงจาก - https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3931696
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก เปิดตัวอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายรถบรรทุก ลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมหนุนผู้ประกอบการผลิตในประเทศ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mtec-nstda-unveils-side-and-rear-protective-devices-for-trucks-to-enhance-road-safety-and-boost-competitiveness-of-local-auto-parts-industry.html “เอ็มเทค สวทช. วิจัยพัฒนาอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุกที่มีความแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐาน สามารถผลิตขึ้นจากวัสดุที่หาได้ภายในประเทศและใช้กระบวนการผลิตที่ผู้ผลิตในประเทศทั่วไปทำได้ มีต้นทุนไม่สูงสามารถแข่งขันได้ พร้อมแนะแนวทางการออกแบบและผลิตให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศ ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ผลิตรถบรรทุกในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และลดการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ” (วันที่ 26 เมษายน 2566)  ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.กฤษดา ประภากร   รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้จัดการโครงการและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบกแถลงข่าวเปิดตัวอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุก ยกระดับความปลอดภัยของรถบรรทุกที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ ที่มีเป้าหมายในการนำความรู้ เครื่องมือ และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาสร้างกระบวนการวิจัยและกลไกที่จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จริง เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือประชาชนและชุมชนต้องเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง งานในวันนี้ เป็นหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ที่พร้อมทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ช่วยตอบโจทย์ และให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทย โดยหนึ่งในภารกิจหลัก ที่คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ที่ได้มีความร่วมมือมาต่อเนื่องกับกรมการขนส่งทางบก คือ ด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety ที่เกี่ยวเนื่องกับการยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน ด้วยการออกแบบเชิงวิศวกรรมของโครงสร้างและชิ้นส่วนของรถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะให้มีความปลอดภัยเป็นไปตาม มาตรฐานระดับสากล แต่ยังคำนึงถึงความพร้อมของผู้ผลิตและผู้ประกอบการในประเทศ ทั้งในด้านการผลิต หรือต้นทุน โดยคณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบกดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยคำนึงถึงความพร้อมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งจากผู้ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ผู้ประกอบการและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็นเร่งด่วน สวทช. ภายใต้ความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก มีความยินดียิ่งที่จะนำเสนอแนวทางการออกแบบ ให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคแก่ผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนาในการออกแบบ วิเคราะห์ และทดสอบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถบรรทุก นอกจากนี้ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP สวทช. ยังยินดีให้คำปรึกษาด้านการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอีกด้วย นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้ให้ความสำคัญ กับความปลอดภัยและมุ่งที่จะลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทางของประชาชน ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะโดยที่ผ่านมาพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุของรถยนต์ในลักษณะมีการชนและมุดเข้าไปด้านท้ายของรถบรรทุก หรือการที่มีรถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุแล้วลอดเข้าไปด้านข้างของรถบรรทุก มีจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ครั้งต่อปี ด้วยเหตุนี้เอง กรมการขนส่งทางบกจึงได้ร่วมกับ เอ็มเทค สวทช. ดำเนินการศึกษาแนวทางการจัดทำแบบมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ เพื่อจัดทำร่างประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง กำหนดคุณลักษณะ ขนาด ประสิทธิภาพ ตำแหน่ง และเงื่อนไขในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ พ.ศ. .... ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องตามข้อกำหนดของสหประชาชาติโดยคำนึงถึงความพร้อมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และตามความจำเป็นเร่งด่วน ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนน ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของเอ็มเทค สวทช. คือการนำผลงานวิจัยและพัฒนาเชิงวิศวกรรม โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Road safety มาปรับใช้ให้เหมาะสม โดยมีบทบาทในการวิจัยพัฒนาภายใต้ความร่วมมือกับสำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบกในครั้งนี้ คือ ศึกษาแนวทางการนำมาตรฐานสากล ได้แก่ UN R58 และ UN R73 มาประยุกต์ใช้ในการร่าง ข้อกำหนดให้เหมาะสมสำหรับในประเทศ ออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LUPD) และด้านท้าย (RUPD) โดยคำนึงถึง 1) ความแข็งแรงรองรับแรงปะทะจากการชนตามมาตรฐานสากล 2) วัสดุที่ใช้ผลิตสามารถหาได้ภายในประเทศ 3) กระบวนการผลิตที่ผู้ผลิตขนาดใหญ่และเจ้าของรถสามารถผลิตเองได้ 4) น้ำหนักของอุปกรณ์ที่เหมาะสม และ 5) มีต้นทุนของการผลิตอุปกรณ์ที่ต่ำกว่าการนำเข้า จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) ของรถบรรทุกเพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ โดยที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานร่วมกับ สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุก ได้ให้ข้อมูลแก่คณะวิจัยในด้านขีดความสามารถในการผลิต ประเด็นอุปสรรคปัญหา จากประสบการณ์ผู้ใช้รถบรรทุกในประเทศ และร่วมพิจารณาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดระยะเวลาการศึกษา ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้จัดการโครงการและผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจาก สำนักวิศวกรรมยานยนต์ กรมการขนส่งทางบก ได้มีการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในด้านขีดความสามารถในการผลิตประเด็นอุปสรรคปัญหา จากประสบการณ์ผู้ใช้รถบรรทุกในประเทศ ผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุก มาโดยตลอด และได้จัดทำแนวทางและเอกสารสำหรับผู้ผลิตและประกอบรถบรรทุกในประเทศไทย ได้แก่ แบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) เพื่อเป็นแบบสำหรับการผลิตที่ใช้วัสดุในประเทศ และต้นทุนที่ต่ำกว่าการนำเข้ารวมกว่า 90 แบบ บรรจุในเว็บไซต์ฐานข้อมูล แบบเชิงวิศวกรรมสำหรับผู้ผลิตและประกอบ รวมถึงประชาชนทั่วไป ในการเข้าถึงแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับรถบรรทุกลักษณะต่างๆ จัดเตรียมเครื่องมือ ได้แก่ แท่นทดสอบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) ที่อ้างอิงมาตรฐาน UN R73 และ UN R58 ตามลำดับ เพื่อเป็น “จุดตั้งต้น” ให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ ที่มีลักษณะรถบรรทุกที่หลากหลาย คณะวิจัยได้จัดทำแบบเชิงวิศวกรรมที่พร้อมนำไปใช้ในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย จากวัสดุที่หาได้ ในประเทศ ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันได้ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า "Morphological matrix” หรือการผสมฟังก์ชันย่อยของแต่ละชิ้นส่วน โดยให้สามารถสับเปลี่ยนชิ้นส่วนหลักต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนที่ยึดกับแชสซีที่เรียกว่า สเตย์ (Stay) สเปเซอร์ (Spacer) และชิ้นส่วนรับแรงปะทะ ที่เรียกว่า โพรเทคทีพบีม (Protective beam) เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศทั้งรายใหญ่และรายย่อย สามารถเลือกใช้แบบเชิงวิศวกรรมของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายนำไปผลิตและติดตั้งได้เหมาะสมกับลักษณะรถต่างๆ ที่มีความหลากหลายในประเทศ  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
11 หน่วยพันธมิตร หนุน “มาตรฐาน-ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” ในภาคอุตสาหกรรม เฟส 2 ตั้งเป้า 2 หน่วยงานต้นแบบนำร่องใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสาขานาโนเทคโนโลยี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nanosafety-consortium-enters-second-phase-to-boost-confidence-in-nanotechnology-products.html กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วันที่ 25 เมษายน 2566 : นาโนเทค สวทช. พร้อม 10 หน่วยงานพันธมิตร แถลงความร่วมมือทางวิชาการ โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ระยะที่ 2 ต่อยอดขยายการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี การสร้างความตระหนักต่างๆ พร้อมเดินหน้าหนุนหน่วยงานเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ นำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสาขานาโนเทคโนโลยี ไปใช้เป็นแนวทาง ตั้งเป้า 2 หน่วยงานต้นแบบในปี 68 หวังกระตุ้นให้เกิดการนำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสาขานาโนเทคโนโลยี ไปใช้สร้างความเชื่อมั่นให้ผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก การลงนามความร่วมมือทางวิชาการใน “โครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” เป็นการต่อยอดจากความร่วมมือระหว่างศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในการจัดทำมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อประกาศใช้เป็นมาตรฐานของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ต่อการพัฒนานาโนเทคโนโลยีในประเทศไทย รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการสร้างความตระหนักถึงความปลอดภัย และมาตรฐานด้านนาโนเทคโนโลยีภายในประเทศ ความสำเร็จจากการดำเนินงานในระยะที่ 1 (2563-2565)  มี 9 องค์กรทั้งภาครัฐ และสมาคมต่าง ๆ ร่วมขับเคลื่อน สนับสนุน และส่งเสริม ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงการนำ มาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีสู่การประยุกต์ใช้ในในระดับมหภาค นำสู่การดำเนินงานในระยะที่ 2 (2566-2568) ที่มีการขยายความร่วมมือสู่ 11 หน่วยงานพันธมิตร ได้แก่  นาโนเทค สวทช.,  กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.), สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท), สมาคมนาโนเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สนทท.), กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และกรมควบคุมมลพิษ ดร.จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า อว. มีวิสัยทัศน์ และพันธกิจ ในการ “สานพลังการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย พลิกโฉมให้ประเทศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และพร้อมก้าวสู่อนาคต” ซึ่งปัจจุบันแผนเศรษฐกิจ BCG  คือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และยังเป็นแนวทางการพัฒนาที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติอีกด้วย “นอกเหนือจากการพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแล้ว การคำนึงถึงผลกระทบ ความเสี่ยงต่อผู้ผลิต ผู้ใช้งาน และสิ่งแวดล้อม ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การพัฒนานวัตกรรมที่ยั่งยืนได้ ประเทศไทยจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ การสนับสนุนจากหน่วยในขั้นตอนการดำเนินการ รวมถึงการทำงานอย่างเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในวันนี้ก็เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญ และร่วมมือกันขับเคลื่อนเกี่ยวกับมาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการพัฒนานาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนตามแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย” หัวหน้าผู้ตรวจราชการกล่าว ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบัน สวทช.  มีนโยบายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณภาพ เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ เอื้ออำนวยให้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สามารถขยายไปสู่การใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะกลไกการสนับสนุนภาคธุรกิจและเครือข่ายอุตสาหกรรมของประเทศ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากไปกับการนําสินค้าและบริการไปวิเคราะห์ทดสอบในต่างประเทศ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สามารถปิดช่องว่างและตอบโจทย์ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ สามารถเข้าถึงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้างมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ที่สำคัญต้องให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล “ที่ผ่านมา สวทช. ได้ผลักดันการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน ผ่านหน่วยบริการด้านการวิเคราะห์และทดสอบตามมาตรฐานสากล  อาทิ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและเซรามิกอุตสาหกรรม (CTEC) ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) และศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) ตลอดจน Technology Platform ของศูนย์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเพิ่มมูลค่าและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยต่อการใช้งานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เสริมแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” ศ.ดร.ชูกิจกล่าว พร้อมย้ำว่า การสานต่อความร่วมมือในครั้งนี้จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์นาโนของไทยในตลาดโลก โดย สวทช. พร้อมที่จะเป็นขุมพลังหลักของประเทศ ร่วมกับพันธมิตรทุกๆภาคส่วน ในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศไทยได้อย่างก้าวกระโดด ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า นาโนเทค ให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยทางด้านนาโนเทคโนโลยี โดยมีการจัดทำแผนแม่บทขึ้นมารองรับ ซึ่งแผนแม่บทฉบับปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 กลยุทธ์ โดยมีกลยุทธ์การขับเคลื่อนการพัฒนานาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนเป็นกลยุทธ์ที่ 3 ซึ่งงานวิจัยและพัฒนาทางด้านนาโนเทคโนโลยีนั้น มีจุดมุ่งหมายในการนำไปถ่ายทอดและใช้งานเพื่อยกระดับ กระบวนการผลิตและอุตสาหกรรมในประเทศ และเกี่ยวข้องกับหลายหลายผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเมื่อมีการนำไปใช้จริงในภาคประชาสังคม ก็มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับกับความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ที่จะต้องมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาและขับเคลื่อนนาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป “การจะพัฒนานาโนเทคโนโลยีให้มีความยั่งยืนในประเทศไทยนั้น จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม จากการดำเนินงานร่วมกันในระยะที่ 1 มีการทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรทั้งสิ้น 9 หน่วยงานที่สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ และได้สร้างการรับรู้เรื่องมาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี ให้กับภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคมได้อย่างกว้างขวาง และในระยะที่สองก็มีพันธมิตรเพิ่มเติม คือ กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน และกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมงานกับนาโนเทค เกี่ยวกับการจัดการวัสดุนาโน ซึ่งพันธมิตรทุกหน่วยงานจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการนำมาตรฐาน และความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีไปใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจ และสังคมต่อไป” ดร.วรรณี กล่าว พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ เชิดชู ประธานคณะทำงานโครงการพัฒนาเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม เรื่อง ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี กล่าวว่า ความสำเร็จในระยะแรก มุ่งเน้นการสร้างความตระหนัก และความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสาขานาโนเทคโนโลยี 7 ฉบับ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดการนำมาตรฐานดังกล่าวไปปรับใช้กับองค์กรของตนในอนาคต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดสัมมนาวิชาการ นิทรรศการ และการเผยแพร่ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีความตระหนักถึงมาตรฐาน ความปลอดภัย และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้นาโนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต ซึ่งถือว่าการดำเนินการโครงการในระยะที่ 1 นั้นประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ซึ่งการดำเนินงานตลอดทั้งสองปี แม้ในระหว่างการดำเนินงาน 2 ปีที่ผ่านมา จะมีอุปสรรคจากสถานการณ์โควิด -19 แต่เนื่องจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งสิ้น 9 หน่วยงานได้ร่วมกันคิดหาหนทางในการแก้ปัญหาทำให้การดำเนินประสบความสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และในระยะที่ 2 นี้ ยังคงมุ่งเน้นสร้างความตระหนักในการนำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยี ไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมร่วมกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคประชาสังคม ในขณะเดียวกันก็เน้นกิจกรรมทางด้านนาโนเทคโนโลยี รวมถึงจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยี อย่างน้อย 2 เรื่อง/ปี "ที่สำคัญ เราคาดหวังให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม อย่างน้อย 2 หน่วยงานต้นแบบ นำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนาโนเทคโนโลยี ไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้เกิดระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นาโน ที่เชื่อมโยงกันทั้ง ภาคการผลิต ภาคบริการ และผู้บริโภคตลอดห่วงโซ่ ที่สร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่ใช้นาโนเทคโนโลยี สามารถลือกซื้อเลือกใช้ และสร้างมูลค่า ขยายตลาด เพิ่มการยอมรับทั้งในตลาดไทยและตลาดโลก ต่อไป” พลตรี รศ.ดร.ชัยณรงค์ย้ำ
ข่าวประชาสัมพันธ์