หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. อว. อัปเดต 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ในงาน“APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)
11 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศาสตราจารย์  ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) ซึ่ง สวทช. จัดขึ้นภายใต้งาน งานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022 Thailand) และเปิดงาน Thailand Tech Show 2022 เวทีแสดงผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สำหรับการบรรยายเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่ควรจับตามอง ในปีนี้เป็น 10 เทคโนโลยี ที่คณะทำงานวิชาการเลือกเป็นการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะมีผลกระทบได้อย่างชัดเจนใน 5 - 10 ปีข้างหน้า โดยกลุ่มแรกเป็นเทคโนโลยีอยู่กับความสามารถของ AI และการเชื่อมต่อของระบบคอมพิวเตอร์กับมนุษย์และกับยานยนต์อัตโนมัติ ใน 3 เทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ Brain-Computer Interface (BCI) งานวิจัย BCI หรือ Brain-Computer Interface มีอีกชื่อหนึ่งว่า Brain-Machine Interface ต้องอาศัยการทำงานทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยฮาร์ดแวร์สำคัญคือ ตัวเซนเซอร์ที่คอยรับสัญญาณไฟฟ้าจากคลื่นสมอง ปัจจุบันการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าสำหรับ BCI ทำได้อย่างแม่นยำระดับเดียวกับการผ่าตัดเพื่อฝังขั้วไฟฟ้าเพื่อติดตามภาวะลมชักแล้ว และมีอุปกรณ์สวมศีรษะและอ่านสัญญาณไฟฟ้าใต้กะโหลกได้ดี ส่วนซอฟต์แวร์มีความสำคัญ เพราะใช้อ่านและวิเคราะห์คลื่นสมองของผู้ใช้งาน การพัฒนาของ AI และ Machine Learning อย่างรวดเร็วในหลายปีนี้ มีส่วนทำให้เกิดความก้าวหน้าในด้านนี้เป็นอย่างมาก มีการนำ BCI ไปใช้ประโยชน์ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต ไม่สามารถขยับแขนขาเองได้ และในประเทศไทยนั้น บริษัท BrainiFit จำกัด ที่เป็น NSTDA Startup จากเนคเทค สวทช. ใช้เทคโนโลยี BCI สำหรับการออกกำลังสมอง โดยใช้คลื่นสมองสั่งการควบคุมการเล่นเกมเพื่อฝึกสมาธิหรือความจำ เอไอแบบรู้สร้าง (Generative AI) เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ก้าวหน้ามากขึ้นและถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย และมีข้อมูล Big Data มากมายตลอดเวลา ซึ่งนำมาใช้ฝึก AI ได้ เช่น ใช้ช่วยการสเก็ตช์ภาพใบหน้าคนร้าย เทคนิคการสร้างแบบจำลองที่เรียกย่อว่า แกน (GAN, Generative Adversarial Networks) ใช้สร้างภาพใบหน้าที่สมจริง มีความละเอียดสูง นำไปใช้สร้าง Virtual Influencer ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพื่อทำหน้าที่เป็นนักร้อง ผู้ประกาศข่าว เสมือนจริงได้ ในประเทศไทย เนคเทค สวทช. ทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Generative AI มาอย่างต่อเนื่อง เช่น สร้าง VAJA ที่เป็นระบบการสังเคราะห์เสียงจากข้อความภาษาไทย เพื่อสร้างคำบรรยายภาพที่เป็นภาษาไทยอย่างอัตโนมัติ และโครงการ Z-Size Ladies ที่เป็นระบบการจำลองรูปร่างแบบ 3 มิติ สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ระยะ 2-40 สัปดาห์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ใช้ GAN เรียนรู้สไตล์ฟอนต์ภาษาอังกฤษ เพื่อประยุกต์ใช้สร้างฟอนต์ภาษาไทยใหม่ๆและแม้แต่ Chatbot ที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีการนำ Generative AI มาใช้เพื่อเพิ่มความสมจริงในบทสนทนาเช่นกัน ในอนาคตอาจจะมีเทคนิคใหม่ๆ ซึ่ง AI จะต้องเชื่อมโยงข้อมูล 2 รูปแบบที่แตกต่างกันคือ ข้อมูลภาพและข้อมูลตัวอักษรเข้าด้วยกัน หรือแปลงภาพให้เป็นตัวอักษรได้ เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติและเชื่อมต่อ CAV (Connected and Autonomous Vehicle) Technologies ยานยนต์อัตโนมัติและเชื่อมต่อหรือ CAV เป็นยานยนต์สมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีระบบอัจฉริยะหลายแบบ เข้าช่วยงาน โดยที่สำคัญคือ เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving Technology) ที่ไม่ต้องมีการควบคุมบังคับจากคนขับ ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ประกอบกับระบบการคำนวณ เพื่อวางแผนและควบคุมให้สามารถตอบสนองกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ ถัดไปคือ เทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (Driver Assistance Technology) เช่น ระบบตรวจจับคนเดินถนน ระบบรู้จำป้ายจราจร และระบบรักษาความเร็วคงที่แบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control)และสุดท้าย คือ เทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อ (Telematics) ที่ช่วยสื่อสารระหว่างรถเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ได้แก่ เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย และการสื่อสารระหว่างยานพาหนะกับสิ่งอื่นๆ โดยอาจแบ่งระดับของรถอัตโนมัติออกได้เป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 5 ซึ่งที่ระดับ 0 นั้น คนขับที่เป็นมนุษย์ทำหน้าที่ในการควบคุมทั้งระบบ และลดการควบคุมลงเรื่อยๆ จนเมื่อถึงระดับ 5 ก็ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดในการขับรถ ภายใต้เงื่อนไขเทียบเท่ากับการขับรถโดยมนุษย์ ความท้าทายของประเทศไทยมีแผนสร้างสนามทดสอบยานยนต์ CAV ระดับ 3 ที่ EECi โดยจะมีรถยนต์ที่ สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนหลายแห่ง วิจัยและสร้าง EV ที่ใช้เทคโนโลยี CAV ขึ้น และยังมีบริษัทเอกชนรายใหญ่อีกหลายรายที่ลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่พลังงานสูงที่ EECi อีกด้วย อย่างไรก็ดีประเทศไทยมีอุบัติเหตุค่อนข้างมาก มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากกว่า 22,000 คนต่อปี สูญเสียหลายแสนล้านบาท เทคโนโลยี CAV จะเข้ามาช่วยเรื่องเหล่านี้ได้ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า เทคโนโลยีต่อจากนี้จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ทั้งในแง่ของการรีไซเคิลตัวกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ และการกักเก็บพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย ระบบสำรองพลังงานแบบยาวนาน Long Duration Storage การสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบโครงข่ายพลังงานหรือระบบกริด (Grid Energy Storage System) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการกักเก็บพลังงานจากพลังงานทดแทน ใช้ระบบแบตเตอรี่ “ลิเทียมไอออน” ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ดี แต่มีต้นทุนสูง ตัวแบตเตอรี่อาจระเบิดได้ และสารเคมีที่ใช้อาจเป็นพิษกระทบสิ่งแวดล้อม แร่ลิเทียมมีราคาแพงและมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น โดยทั่วไประบบแบบนี้มักสำรองไฟฟ้าในระบบกริดได้นาน 4 ชั่วโมง แต่เนื่องจากความต้องการพลังงานมากขึ้น ควรสำรองให้ใช้งานได้อย่างน้อย 12 ชั่วโมง ซึ่งทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น คาดการณ์ว่าระบบสำรองไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มจาก 9 กิกะวัตต์/ 17 กิกะวัตต์ชั่วโมง ในปี 2018 เป็น 1,095 กิกะวัตต์/ 2,850 กิกะวัตต์ชั่วโมง ในปี 2040 ซึ่งการลงทุนอาจสูงถึง 6.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศไทยก็มีแนวโน้มที่ต้องสำรองไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ตามสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน และยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปัจจุบันด้วย หากประเทศไทยพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือกไว้ย่อมเป็นผลดีในหลายด้าน ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ หรือ NSD ของ สวทช. ได้นำร่องพัฒนาแบตเตอรี่ชนิด “สังกะสีไอออน” เพื่อเป็นทางเลือก แบตเตอรี่ชนิดนี้มีข้อดีคือ ราคาถูก มีแหล่งแร่ในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เป็นแบตเตอรี่ที่ปลอดภัย ไม่ติดไฟ และไม่ระเบิด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรีไซเคิลได้เกือบ 100% ปัจจุบันผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย มอก. แล้ว อยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อผลิตในระดับโรงงานต้นแบบ ซึ่งจะได้ตั้งโรงงานใน EECi ต่อไป การรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ Solar Panel Recycle ปัจจุบันเริ่มมีแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์ม และภายในปี 2050 คาดว่าทั่วโลกจะมีจำนวนแผงโซลาร์เซลล์ทยอยหมดอายุเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดเป็น 78 ล้านตัน เฉพาะในประเทศไทยอาจมีมากถึง 4 แสนตัน จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการจัดการแผง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเดิมเทคโนโลยีการแยกส่วนประกอบแผงโซลาร์เซลล์ (Photovoltaic Module) ที่มีกระจก ซิลิคอน อะลูมิเนียม พลาสติก และโลหะอื่นๆ เป็นส่วนประกอบ เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อ อาศัยการแยกเฟรมอะลูมิเนียมและกล่องสายไฟ จากนั้นจึงบดแผง แยกบางส่วนออก และฝังกลบบางส่วนวิธีการนี้มีจุดอ่อนคือ สัดส่วนวัสดุที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้มีน้อย กระจกนิรภัยที่มีน้ำหนัก 75-85% ของแผง ไม่ได้ถูกนำมารีไซเคิลด้วยแต่เทคโนโลยีใหม่นั้น เมื่อแยกเฟรมอะลูมิเนียมและกล่องสายไฟแล้ว จะมีการแยกกระจกออกจากส่วนอื่น โดยยังคงรูปเป็นกระจกทั้งแผ่น ซึ่งขายได้มูลค่าสูง ทำให้มีสัดส่วนวัสดุที่นำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้ถึง 70-80% ตัวอย่างเทคนิคใหม่ที่ใช้เรียกว่า Heated Blade คือใช้ใบมีดที่ร้อนจัดถึง 300 องศาเซลเซียส ตัดแยกกระจกออกจาก Solar Cell เปิดโอกาสใหม่ให้ ธุรกิจ Reuse/ Recycle วัสดุ ทำให้เกิดการใช้วัตถุดิบรอบสอง (Secondary Raw Material) ทำให้เกิดวงจรเศรษฐกิจแบบ Circular Economy ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจแบบ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้สวทช. มีงานวิจัยและพัฒนาด้านโซลาร์เซลล์ ด้านวัสดุศาสตร์และด้านสิ่งแวดล้อม สามารถร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาเทคโนโลยี และส่งเสริมให้เกิดการรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศได้ เทคโนโลยีการตรวจวัดและวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอน Carbon Measurement & Analytics ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เริ่มมีมาตรการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกผ่านการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซในภาคอุตสาหกรรม และการบังคับชดเชยการปล่อยก๊าซที่มากเกิน ผ่านธุรกิจการซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยคาดว่ามีความต้องการซื้อคาร์บอนเครดิต 500-800 ล้านตัน CO2 ในระหว่างปี 2020-2040 ขณะที่ประเทศไทยได้ตั้งป้าสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 ดังนั้นเทคโนโลยีการคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิต จึงมีความสำคัญมาก การพัฒนาเทคนิค Data Mining & Data Analytics เพื่อคำนวณ Carbon Footprint ผ่านฐานข้อมูล Thai National LCI Database มีส่วนช่วยอย่างมากสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs ขณะเดียวกันจำเป็นต้องพัฒนาแบบจำลองเพื่อใช้คำนวณมวลชีวภาพบนพื้นดินแทนการสำรวจภาคสนาม ซึ่งจะช่วยให้การประเมินทำได้ง่ายขึ้น และได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น ทั้งนี้เทคโนโลยีนี้ต้องอาศัยการพัฒนาแบบจำลองจากข้อมูล Remote Sensing ได้แก่ ข้อมูลภาพ 3 มิติจากเซนเซอร์ LIDAR และข้อมูลแถบสีความละเอียดสูงจากเซนเซอร์ Hyperspectral โดยวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลจากงานสำรวจภาคสนาม และใช้เป็นต้นแบบสำหรับ Machine Learning เพื่อใช้กับข้อมูลดาวเทียม เช่น ข้อมูลจาก Sentinel 2 หรือ Lansat 8 ต่อไป เทคโนโลยีการประเมินทั้งมวลชีวภาพและ Carbon Footprint ดังกล่าว นับเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อใช้รับมือการกีดกันทางการค้า เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินเพดาน สามารถซื้อ “คาร์บอนเครดิต” เพื่อชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกไปได้ เกิดการไหลเวียนของเงินตราภายในประเทศ และเกิดผลดีทั้งต่อประเทศและโลกไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังสอดคล้องตามแนวเศรษฐกิจแบบ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ เทคโนโลยี CCUS ด้วยพลังงานสะอาด CCUS By Green Power ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจก เป็นวิกฤติที่ทั่วโลกต้องร่วมกันแก้ไข ประเทศไทยประกาศในการประชุม COP26 ว่าจะเป็นประเทศ Net Zero Emission หรือปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากกิจกรรมต่างๆ เป็นศูนย์ ให้ได้ในปี 2065 การลดใช้พลังงานจากฟอสซิลและเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ไม่น่าเพียงพอบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ต้องอาศัย เทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization & Storage) หรือเทคโนโลยี CCUS เป็นอีกวิธีที่เข้ามาช่วยจัดการก๊าซ CO2 ก่อนปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ เทคโนโลยี CCUS ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อย ได้แก่ (1) การดักจับก๊าซ CO2 ด้วยวัสดุดูดซับ (2) การนำ CO2 ที่ดักจับได้ไปแปรรูปเป็นสารมูลค่าสูงในอุตสาหกรรม และ (3) การนำ CO2 ไปกักไว้อย่างถาวร โดยการอัดเข้าไปเก็บใต้ผืนพิภพ ปัจจุบัน สวทช. มีงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ทั้งใน NANOTEC, ENTEC, และ MTEC ซึ่งได้รับความสนใจจากเอกชนที่มีพันธกิจในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมีขนาดใหญ่ เช่น ปตท., ปตท.สผ., และ SCG นอกจากนี้ สวทช. ยังได้สร้างความร่วมมือกับพันธมิตร จนเกิดเป็น Hydrogen Consortium อันเป็นระบบนิเวศวิจัยและ Technology Gateway ที่เชื่อมโยงนักวิจัยกับบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ศ. ดร.ชูกิจ กล่าวต่อว่า สำหรับ 3 เทคโนโลยีสุดท้าย เกี่ยวข้องกับสุขภาพและอาหาร ไม่ว่าจะเป็น Telehealth ที่ช่วยเรื่องสุขภาพจากการตรวจรักษาระยะไกล Synbio ที่ให้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ๆ ที่ดีต่อโลกและมนุษย์ รวมถึงวิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ที่เป็นความวังในการช่วยชีวิตคนได้อีกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ การดูแลสุขภาพทางไกลในยุคถัดไป Next–Generation of Telehealth ในช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่านมา หลายคนอาจได้มีประสบการณ์ใช้งานระบบ Telehealth หรือ การดูแลสุขภาพทางไกล โดยระบบดังกล่าวเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาก เพราะช่วยลดการติดเชื้อ ช่วยติดตามผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ลดค่าใช้จ่ายการเดินทางของผู้ป่วย รวมไปถึงลดความหนาแน่นของโรงพยาบาล ประเมินกันว่าแนวโน้มเช่นนี้จะดำรงอยู่ต่อไปและน่าจะขยายตัวมากขึ้นด้วยในยุคหลังโควิด-19 ตัวอย่างการให้บริการแบบนี้ในต่างประเทศ เช่น ระบบบริการชื่อ XRHealth ของสหรัฐอเมริกาที่ให้บริการ “คลินิกแบบเสมือนจริง” หรือ Virtual Clinic ที่ให้บริการรักษาผ่านอุปกรณ์และแอปพลิเคชัน VR ที่บ้าน โดยผู้รักษาเป็นนักบำบัดอาชีพ และบริษัทประกันให้การยอมรับการรักษาแบบนี้ มีระบบชื่อ Proximie ให้บริการระบบ AR ที่แพทย์ผ่าตัดผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดตามการผ่าตัดและให้คำแนะนำกับแพทย์ที่อยู่ห่างไกลออกไป ที่เชี่ยวชาญน้อยกว่าได้ มีเครื่องมือชื่อ Digital Finger ที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญชี้ตำแหน่งต่างๆ ที่จะอธิบายให้แพทย์ที่อยู่หน้างานได้เข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในประเทศไทย การให้บริการ telehealth  มีแนวโน้มจะได้รับการยอมรับในการใช้งานมากยิ่งขึ้น จากการที่ได้บุคลากรสาธารณสุขและประชาชน เคยใช้ระบบนี้ในช่วง COVID-19 ในส่วนกรมการแพทย์ ปรับรูปแบบบริการทางการแพทย์ ออกจากโรงพยาบาลไปหาคนไข้ใน “ทุกที่  ทุกเวลา”  ผ่าน telehealth  ช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยที่โรงพยาบาล ในส่วนของ สปสช. เริ่มให้โรงพยาบาลเบิกจ่ายการให้บริการผ่าน telehealth ได้แล้ว ทั้งนี้ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระบบ A-MED Telehealth ที่ สวทช. พัฒนาขึ้น ได้ให้บริการผู้ป่วย COVID-19 ไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน ชีววิทยาสังเคราะห์ Synthetic Biology “ชีววิทยาสังเคราะห์” คือศาสตร์ใหม่ ที่ผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับวิศวกรรมศาสตร์ โดยเน้นที่ไปการใช้ความรู้สร้างจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตสารสำคัญ ซึ่งมีมูลค่าสูงจนคุ้มค่าแก่การลงทุน และสามารถใช้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นในการผลิตในระบบอุตสาหกรรม ได้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และยังถือทรัพย์สินทางปัญญาที่ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้อีก ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทางการค้าที่มาจากความรู้ด้านนี้ที่วางขายแล้ว เช่น เบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวัวที่มาจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ปุ๋ยไนโตรเจนยี่ห้อ Proven ของบริษัท Pivot Bio ที่คัดเลือกจุลินทรีย์จำเพาะกับข้าวโพดและดึงธาตุไนโตรเจนจากอากาศได้ น้ำมันยี่ห้อคาลีโน (Calyno) ของบริษัทคาลิกซ์ต (Calayxt) ที่ทำจากถั่วเหลืองมีกรดโอเลอิกสูง และสารต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดบี-เซลล์ ยี่ห้อ คิมไรอาห์ (Kymriah) ของบริษัท Novartis  ประเทศไทยที่มีความได้เปรียบจากความหลากหลายตามธรรมชาติสูง จึงมีโอกาสจากการใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ได้มาก ไบโอเทค สวทช. มีคลังทรัพยากรชีวภาพที่มีจุลินทรีย์มากเป็นลำดับต้นของโลก และมีเทคโนโลยีที่พร้อมทำวิจัยต่อยอดด้าน SynBio และ สวทช. ได้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการต่อยอดผลิตในปริมาณมากในโรงงานต้นแบบที่ EECi ตามนโยบายเศรษฐกิจแบบ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ การรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันแบบ CAR T–Cell CAR T-Cell (Chimeric Antigen Receptor T-Cell Therapy) โรคบางอย่างก็ยังมีความยากลำบากมากในการรักษา เช่น โรคมะเร็ง เพราะมะเร็งชนิดที่แตกต่างกัน มีธรรมชาติหลายอย่างที่แตกต่างกันมาก จึงมีผู้พยายามใช้ความรู้ไปดัดแปลงและปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้มีความสามารถในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ โดยไม่ส่งผลกระทบกับเซลล์ปกติ วิธีการที่ได้ผลดีแบบหนึ่งเรียก CAR T–Cell คำว่า CAR ในทีนี้ เป็นตัวอักษรย่อมาจากคำว่า Chimeric Antigen Receptor ขณะที่ T-Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม เซลล์ติดเชื้อโรค หรือเซลล์มะเร็ง หลักการสำคัญของวิธี CAR T-Cell คือ เราสามารถดัดแปลง T-Cell ของผู้ป่วย ให้สร้างโปรตีนที่เรียกว่า CAR ซึ่งคล้ายกับเครื่องตรวจจับติดอาวุธ เมื่อ T-Cell เจอกับเซลล์มะเร็ง จึงสามารถจดจำและกำจัดเซลล์มะเร็งจำเพาะเหล่านั้นได้ เทคโนโลยีแบบนี้มีจุดเด่นคือ มี “ความจำเพาะ” กับเซลล์มะเร็งสูงมาก แทบไม่ทำอันตรายเซลล์ปกติเลย CAR T-Cell จำเพาะกับผู้ป่วยแต่ละรายเท่านั้น จึงไม่ทำให้เกิดภาวะ Autoimmunity หรือ “ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง” จึงมีความปลอดภัยสูง ต่างกับวิธีการรักษามะเร็งส่วนใหญ่ที่ใช้กันอยู่ ปัจจุบัน ในต่างประเทศมีการใช้เทคโนโลยีนี้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิด B-Cell ซึ่งได้ผลดี มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ US FDA ให้ใช้จริงในผู้ป่วยแล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ชื่อ ทิสซาเจนเลกลูเซล (Tisagenlecleucel) ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งได้ แต่สำหรับมะเร็งชนิดที่เป็นก้อนเนื้อแข็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง ยังได้ผลไม่ดีมากนัก และยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาต แต่ได้มีการศึกษาทางคลินิกบ้างแล้ว สำหรับในประเทศไทย ทีมวิจัยนำโดย ศ. นพ.สุรเดช หงส์อิง นักวิจัยแกนนำของ สวทช. ก็กำลังศึกษาการใช้ CAR T–Cell รักษามะเร็งเม็ดเลือดอยู่ในระยะคลินิกเฟส 1 อยู่ที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับมะเร็งแบบก้อนนั้น การศึกษาในสัตว์ทดลองได้ผลดีชัดเจนคือ ลดขนาดก้อนมะเร็งได้มากกว่า 60% เทคโนโลยีแบบนี้จะเป็นทางเลือกสำคัญในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือด ทั้งนี้ 10 เทคโนโลยีทั้งหมดเป็นการคาดการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก ทุกคนอาจมีบทบาทเป็นผู้ใช้ประโยชน์ ผู้สร้างและสนับสนุนซึ่ง สวทช. อว. ได้ทุ่มเททรัพยากรไปกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไม่น้อยและมีผลงานคุ้มค่ากับทรัพยากรที่ลงทุนเพื่อความเข้มแข็งของ วทน. ของประเทศไทยในอนาคตต่อไป ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดงานวิจัยและเทคโนโลยีอื่นๆ ในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show2022) www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022  หรือสอบถาม โทร.  0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับมอบสื่อถ่ายทอดความรู้ด้านสะเต็มเตรียมอบรมครู ก่อนนำไปใช้จริงเปิดเทอมนี้
11 ตุลาคม 2565 ที่ ดิ แอทธินี โฮเต็ล : ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. รับมอบสื่อ Gearphun จำนวน 120 ชุด จากนายคอลิน ไซมอนด์ส ประธานบริษัท Thinklplay จำกัด ในงาน Bett Asia 2022 เพื่อนำมาใช้เป็นสื่อถ่ายทอดความรู้ด้านสะเต็มให้กับบุคลากรครูระดับประถมในกิจกรรม “การจัดการเรียนรู้ STEAM with Gears” ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้คัดเลือกโรงเรียนระดับประถมศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม “การจัดการเรียนรู้ STEAM with Gears” รวม 15 โรงเรียน และจะมีการจัดการอบรมสัมมนาให้แก่ครูจากโรงเรียนเหล่านี้ด้วยสื่อ Gearphun ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี หลังจากนั้นจะมีการติดตามผลการนำชุดสื่อนี้ไปใช้งานในโรงเรียน หลังจากที่ครูนำไปใช้สอนนักเรียนระหว่างภาคการศึกษา (พฤศจิกายน 2565 – มีนาคม 2566) สื่อ Gearphun ที่ได้รับการสนับสนุนจากในครั้งนี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับได้รับการเสริมทักษะสะเต็มความรู้คู่ความสนุกจากการเรียนในห้องเรียนมากยิ่งขึ้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เริ่มแล้ว สุดยอดงานประชุม-แสดงนวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจที่ยั่งยืน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022)
For English-version news, please visit : NSTDA kicks off APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz 10 ตุลาคม 2565 ณ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วยศาสตราจารย์  ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. จับมือพันธมิตรองค์กรภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในและต่างประเทศกว่า 40 หน่วยงาน เปิดงานประชุมและนิทรรศการ APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ภายใต้แนวคิด ผสานพลัง วทน. เพื่อธุรกิจที่ยั่งยืน (Synergizing STI to Sustainable Business) เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022 Thailand) และเปิดงาน Thailand Tech Show 2022 เวทีแสดงผลงานทางวิชาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจ พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมโอกาสความร่วมมือด้านธุรกิจ วิชาการระหว่างสมาชิกเอเปคให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2565 ที่ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ประธานเปิดงานและปาฐกถาหัวข้อ  "บทบาทกระทรวง อว.ในการผลักดันเศรษฐกิจ BCG วาระแห่งชาติของประเทศไทย" กล่าวว่า มีความยินดีอย่างยิ่งกับการเปิดงาน “APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to BIZ” (Thailand Tech Show 2022) ครั้งนี้ ซึ่งไม่เพียงเป็นเวทีที่จะนำเสนอการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ คือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) Economy ที่กระทรวง อว. โดยสวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดกิจกรรมที่ส่งเสริมความร่วมมือทั้งด้านการค้าการลงทุน และความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค APEC Thailand 2022 เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ทั้งนี้ด้วยโจทย์ความท้าทายของโลกปัจจุบัน ผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้จะได้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ระบบเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดความยั่งยืนทุกภูมิภาคของประเทศ โดยนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการจัดการเทคโนโลยีและการค้า ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศอย่างรวดเร็วและยั่งยืน อย่างไรก็ตามทุกประเทศในกลุ่ม APEC มีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่จะบรรลุความยั่งยืน ดังนั้นประเทศไทยตั้งเป้าที่ใช้การประชุมนี้เพื่อแนะนำระบบเศรษฐกิจ BCG ที่มีการเชื่อมโยงกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในบริบทที่แตกต่างกันไป ซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า งานนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นงานประชุมและแสดงนิทรรศการนวัตกรรมจากการวิจัยและพัฒนาของ สวทช.รวมถึงหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วยภาคเอกชน หน่วยงานวิจัย และสถาบันการศึกษา โดยนวัตกรรมที่นำมาจัดแสดง จะเป็นผลงานที่พร้อมส่งต่อให้กับผู้ประกอบการหรือนักลงทุนที่สนใจนำไปต่อยอดผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการแสดงความสามารถและศักยภาพของงานวิจัยไทย และเนื่องจากประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ในปี 2565 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่ประเทศไทยได้แสดงวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติเรื่องเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) หรือ โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ซึ่ง สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักของประเทศในการขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจ BCG ถือเป็นภารกิจหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันให้เกิดกิจกรรมที่ส่งเสริมโอกาสความร่วมมือทั้งด้านการค้าการลงทุนและความร่วมมือทางวิชาการ จึงเป็นที่มาของการจัดงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show2022) ในครั้งนี้ สำหรับไฮไลท์สำคัญ 5 ส่วน ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ การบรรยาย และการเสวนา การขับเคลื่อน BCG Economy Model สู่การปฏิบัติ ในเขตเศรษฐกิจ APEC ครอบคลุมวิทยากรจาก 8 เขตเศรษฐกิจ ในสาขา BCG ทั้งพลังงานและสิ่งแวดล้อม อาหารและเกษตร  ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งการพัฒนาชุมชน การบรรยายหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง” เพื่อการคาดการณ์เทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ประกอบการในปัจจุบันจะต้องรู้และปรับตัวให้เท่าทันกับเทรนด์โลกแห่งเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้น การจัด Investment Pitching เวทีแห่งการนำเสนอนวัตกรรมเด่นที่มีความพร้อมถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการ/นักลงทุนที่มองหาโอกาสและช่องทางในการทำธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งในปีนี้จะมีผลงานทั้งหมด 9 ผลงาน แบ่งเป็น สวทช. จำนวน 4 ผลงาน หน่วยงานพันธมิตรอีก 4 ผลงาน และผลงานจากประเทศเวียดนามอีก 1 ผลงาน รวมถึงการประกาศรางวัลผลงานที่ผู้เข้าร่วมงานโหวตให้เป็นผลงานที่น่าลงทุนที่สุด (The most interesting technology for investment) และผลงานที่นำเสนอได้ดีที่สุด (The best presentation) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอังคารที่ 11 ตุลาคม 2565 นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับอีกไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การจัดนิทรรศการ ซึ่งประกอบด้วย 4 โซน ได้แก่ 1.โซน APEC Economy Pavillion 2.โซน  IP Marketplace แหล่งรวมงานวิจัยในจุดเดียวโดยความร่วมมือจากพันธมิตรหน่วยงานวิจัยทั่วประเทศทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งจะมีผลงานวิจัยที่จะมานำเสนอมากกว่า 200 ผลงาน จาก 35 หน่วยงานจากทั่วประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นว่า วทน. ตอบโจทย์ BCG ช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขันให้กับธุรกิจแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน 3.โซน Showcase: BCG Model 3 โครงการ (ราชบุรีโมเดล, EECi, Circular Solar Module) และ 4.โซน ผลงานกลุ่ม BCG รวบรวมจากผลงานเด่น สวทช. / ผู้ประกอบการ BCG / NSTDA Startup / สินค้านวัตกรรม และไฮไลท์สุดท้ายกับ การเยี่ยมชม (Site Visit) โครงการที่ประสบผลสำเร็จจากการประยุกต์ใช้ BCG Model จำนวน 3 เส้นทาง ได้แก่ 1.ราชบุรีโมเดล ซึ่งเป็นพื้นที่การพัฒนาตามนโยบายด้านเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 2.พื้นที่ EECi จ.ระยอง และ3.พื้นที่ทดลองการทำแผงโซลาเซลล์ที่ปลดระวางกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อชุมชนและการเกษตร (Circular Solar Module) จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 12 ตุลาคม 2565 โดยผู้ร่วมงานสามารถเลือกเยี่ยมชมได้ตามความสนใจ ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดและเข้าร่วมงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show2022) ได้ฟรีที่ www.nstda.or.th/apecbcg-tts2022  หรือสอบถาม โทร.  0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด เปิดตัว ‘นวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบ’ ตอกย้ำศักยภาพด้านเครื่องมือแพทย์ของไทย เสริมความมั่นคงด้านสาธารณสุข
For English-version news, please visit : NSTDA and RX introduce negative pressure ambulance Rexcuer (10 ตุลาคม 2565) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ร่วมกับ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด จัดแถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบ โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ ภก.ชาญชัย อุดมลาภธรรม ประธานบริหาร บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด ร่วมเป็นประธานแถลงข่าว พร้อมด้วย นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนด้วยการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม เพื่อยกระดับและเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยการวิจัยและพัฒนาจะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการลงทุนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้เกิดการยกระดับและสามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม สวทช. ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ตอบโจทย์ BCG มิติการพึ่งพาตนเองและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยได้ร่วมดำเนินการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและต่อยอดการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย บทบาทของ สวทช. จะร่วมกับกรมการแพทย์ในการดำเนินการวิจัย พัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลเป็นจำนวนมาก โดยในขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสู่สถานพยาบาลอาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านละอองฝอยหรือผ่านทางอากาศได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่บุคลากรทางการแพทย์ และลดการแพร่กระจายออกสู่ภายนอกรถพยาบาล ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. และ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด จึงร่วมกันออกแบบพัฒนาวิจัยต้นแบบห้องแยกโรคติดเชื้อทางอากาศสำหรับรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อพัฒนาระบบความดันลบภายห้องพยาบาลของรถพยาบาล ซึ่งมีหลักการทำงานคือภายในห้องพยาบาลรถฉุกเฉินจะต้องสามารถสร้างแรงดันภายในห้องมากกว่าแรงดันภายนอก เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกและป้องกันสิ่งแปลกปลอมไหลเข้ามาภายในห้องพยาบาลรถฉุกเฉิน โดยได้นำความรู้จากคณะผู้วิจัย สวทช. ที่มีความรู้ ความสามารถด้านการออกแบบ วิเคราะห์งานทางวิศวกรรม และประสบการณ์ในการประกอบกิจการจำหน่ายยาและเครื่องมือแพทย์ของบริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด มากว่า 50 ปี ดำเนินการวิจัยพัฒนาร่วมกัน จนได้นวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบเพื่อใช้ประโยชน์และสร้างความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุข “ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม หน่วยงานภายใต้ สวทช. เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และแก้ปัญหาทางวิศวกรรม ได้ร่วมมือกับ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด ร่วมมือกันวิจัยพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบนี้ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญที่ได้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือช่วยส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาด้านอุปกรณ์การแพทย์และระบบสาธารณสุขของประเทศ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข ลดการนำเข้านวัตกรรมทางการแพทย์ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ภก.ชาญชัย อุดมลาภธรรม ประธานบริหาร บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด กล่าวว่า การเสริมสร้างนวัตกรรม ถือเป็น ค่านิยม หรือเป็น DNA ของบริษัท R.X.จำกัด  ซึ่งเราเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ และเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในการช่วยชีวิตในภาวะฉุกเฉิน โดยบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์คือ “สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นเลิศ สร้างเสริมคุณภาพชีวิตเพื่อทุกคน” โดย REXCUER เป็นชื่อเรียกรถพยาบาล  ของบริษัท ที่เราได้ผลิตออกจำหน่ายก่อนช่วงโควิด ในตอนแรกเรามีการพัฒนาในเรื่องความปลอดภัย โดยผลิตรถพยาบาลที่ยึดอุปกรณ์ต่างๆ ทนแรงกระแทกได้ถึง 10G หลังจากการระบาดของ โควิด 19 ทางบริษัท ก็ได้ร่วมมือกับ สวทช. ในการพัฒนาต้นแบบห้องแยกโรคติดเชื้อทางอากาศสำหรับรถพยาบาลฉุกเฉิน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ในขณะลำเลียง รับส่งผู้ป่วยโควิด นอกจากนี้ เรายังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลในการนำ Zinc Nano มาเคลือบบนผิววัสดุตบแต่งในรถพยาบาล ด้วยมาตรฐานการวิจัยค้นคว้าและการทดสอบของ สวทช. จนกระทั่งรถพยาบาลระบบแรงดันลบได้สำเร็จลุล่วงและได้รับอนุสิทธิบัตร ซึ่งทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่านวัตกรรมนี้จะมีประโยชน์ในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสโควิดและเชื้อโรคติดเชื้อต่างๆ ไม่ให้แพร่ไปสู่บุคลากรทางการแพทย์ในขณะปฏิบัติงานในรถพยาบาล นอกจากนี้ภายในงานเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานแถลงข่าวชมนวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบ และนวัตกรรมด้านการแพทย์ของ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด และ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. อย่างไรก็ดีการเปิดตัวนวัตกรรมรถพยาบาลแรงดันลบในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการผนึกกำลังและใช้จุดแข็งของทั้งสององค์กร ทั้งความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยของ สวทช. และความเชี่ยวชาญด้านยาและเครื่องมือแพทย์ของ บริษัท อาร์เอ็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นการตอบโจทย์งานวิจัยด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถนำนวัตกรรมมาคิดค้นพัฒนาเครื่องมือเพื่อตอบสนองต่อปัญหาต่อโรคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนทางด้านสุขภาพของประชาชน /////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ChelaPlant-Nano นวัตกรรมปุ๋ยนาโนคีเลต จุลธาตุอาหารเพื่อเร่งการเจริญของพืช
นักวิจัยศูนย์นาโนเทค พัฒนา ChelaPlant-Nano ปุ๋ยนาโนคีเลตจุลธาตุอาหารเพื่อเร่งการเจริญของพืช ซึ่งใช้เทคโนโลยีคีเลชันในการผลิต จะช่วยลดการสูญเสียธาตุอาหารและลดการตกค้างของสารเคมีในสิ่งแวดล้อม เพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนให้กับเกษตรกรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยและเพิ่มประสิทธิผลการเกษตรไทย รวมทั้งรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
‘เมืองนวัตกรรมอาหาร-พันธมิตร’ เปิดยิ่งใหญ่ การแข่งขันสุดยอดนวัตกรรมอาหาร Food Innopolis Innovation Contest 2022 เฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรม ‘อาหารสตรีทฟู้ด-อาหารหมักดองพื้นถิ่น’
(7 ตุลาคม 2565) ณ ลานคนเมือง ห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม กรุงเทพมหานคร : ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เอกอนงค์ จางบัว ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. นายพร ดารีพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด นายวุฒิชัย เจริญศุภกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังผัก จำกัด ดร.กีรติ ตระการศิริวานิช คณบดีคณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนายพิชิต วีรังคบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ รักษาการผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เชียงใหม่ ร่วมแถลงข่าวการเปิดงานประกวดนวัตกรรมอาหารรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ โครงการ Food Innopolis Innovation Contest 2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 ตุลาคมนี้ โดยมีทีมผู้เข้าแข่งขันและแสดงผลงานจำนวน 40 ทีมกว่า 40 ผลงานตลอด 3 วันของการจัดงาน ซึ่งจะมีการประกาศรางวัลชนะเลิศ ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อเฟ้นหาทีมที่ชนะในโจทย์การแข่งขันอาหารสตรีทฟู้ดและอาหารหมักดองพื้นถิ่น ในการนำไปต่อยอดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารสู่เชิงพาณิชย์จากโครงการประกวด ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า  สวทช. โดย เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis เป็นหน่วยงานที่มีความมุ่งมั่นและมีความเชี่ยวชาญในด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารของประเทศผ่านเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารของประเทศ ได้จัดประกวดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร โครงการ Food Innopolis Innovation Contest 2022 มาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 5 ภายใต้การดำเนินงานโดย Food Innopolis Accelerator แพลตฟอร์มเร่งรัดพัฒนาผู้ประกอบการอาหาร โดยร่วมกับพันธมิตรหลักคือ บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด บริษัทในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ และได้รับการสนับสนุนจาก KCG Corporation ศูนย์การศึกษาด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะวิทยาการอาหารนานาชาติ (iGTC) ,สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) และบริษัท พลังผัก จำกัด รวมทั้งมหาวิทยาลัยเครือข่ายของ Food Innopolis ทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการด้านอาหารรุ่นใหม่ และยกระดับผู้ประกอบการนวัตกรรมอาหารเพื่อความขีดความสามารถของประเทศ “โครงการนี้มีการจัดกิจกรรมอย่างเข้มข้นตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นความสนใจด้านการพัฒนานวัตกรรมอาหาร และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการผสมผสานทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารของไทย และได้เปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษา นักวิจัยและผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม ได้มีอีกหนึ่งเวทีสำคัญเพื่อเป็นเส้นทางในการพัฒนาและเติบโตในสายอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นการสร้างคนที่มีความรู้และทักษะใหม่ๆ เตรียมความพร้อมการเป็นนักนวัตกรรมอาหารที่สามารถเติบโตต่อไปในระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนธุรกิจและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ที่ไปอยู่ในตลาดในอนาคต” ดร.เอกอนงค์ จางบัว ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. กล่าวเสริมว่า โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ โครงการ Food Innopolis Innovation Contest 2022 ในปีนี้แบ่งผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย รุ่น Fly weight (ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) 16 ทีม รุ่น Light weight (ระดับปริญญาตรี) 16 ทีม และ รุ่น Heavy weight (รุ่นบุคคลทั่วไป) 8 ทีม โดยวันนี้ได้ 40 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย (จากผลงานที่ส่งเข้าประกวด 130 ทีมทั่วประเทศ) ซึ่งมีแนวคิดที่น่าสนใจที่สามารถนำต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารของทีมไปต่อยอดสู่เชิงพาณฺชย์ได้ โดยมี 2 หัวข้อในการประกวดการสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร ได้แก่ 1.นวัตกรรมอาหารสตรีทฟู้ด (Street Food Innovation) และ 2.นวัตกรรมอาหารหมักดองพื้นถิ่น (Local Fermented Food Innovation) ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดประกวดผลงานนวัตกรรมอาหารเท่านั้น แต่เป็นการอบรมพัฒนาให้ความรู้และให้คำปรึกษาอย่างเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาแนวคิดสู่การขึ้นต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร แนวคิดการดำเนินธุรกิจนวัตกรรมและการนำเสนอธุรกิจอย่างมืออาชีพ “ทุกปีของการจัดประกวด เราจะมีผลิตภัณฑ์ที่ถึงแม้ไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็มีการนำไปต่อยอดสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตอาหารในหลายผลิตภัณฑ์ โดยน้องๆ ในรุ่นมัธยมศึกษาก็จะได้รับโอกาสการพิจารณาเป็นพิเศษให้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ส่วนนักศึกษาในระดับปริญญาตรีก็มักได้รับโอกาสในการเข้าทำงานที่ดีๆ หรือสามารถเริ่มต้นพัฒนาธุรกิจด้านนวัตกรรมอาหารของตนเองได้ ส่วนนักวิจัยและผู้ประกอบการที่แข่งในรุ่นใหญ่ ก็เติบโตต่อในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาด ขยายลูกค้า หาคู่ค้า พันธมิตรธุรกิจใหม่ และการร่วมทุน” นายพร ดารีพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด กล่าวว่า วัฒนธรรมด้านอาหาร และ Local Food ของไทยมีความโดดเด่นอย่างมากและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยเฉพาะอาหารสตรีทฟู้ด (Street Food) และอาหารหมักดองพื้นถิ่น (Local Fermented Food) เช่น เครื่องปรุงรสต่างๆ ที่นำมาใช้เสริมรสชาติของอาหาร ให้มีความเฉพาะตัว แต่การที่จะ Transform สิ่งเหล่านี้ไปสู่ผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต ที่มีไลฟ์สไตล์แบบใหม่นั้น ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก จึงเป็นที่มาของโจทย์ 2 หัวข้อการแข่งขันของ Food Innopolis Innovation Contest ในครั้งนี้ คือการคิดค้นนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ เพิ่มคุณค่าและมูลค่าในรูปแบบต่างๆ ให้กับสตรีทฟู้ดและอาหารหมักดอง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ใช่แค่ในประเทศเท่านั้น แต่ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ด้วย ทั้งนี้ ฟู้ดแฟคเตอร์ก็พร้อมสนับสนุนน้องๆ นวัตกรรุ่นใหม่ ด้วยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรในธุรกิจอาหารแบบครบวงจรของเรา ให้สามารถ Commercialize ได้จริง ทั้งด้านการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ การต่อยอดด้านการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หรือการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของนวัตกรรมอาหารไทยบนเวทีโลก ด้าน ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท เคซีจีฯ พร้อมให้การสนับสนุนนักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบการนวัตกรรมอาหารเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารสู่ความเป็นไปได้ในการต่อยอดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร ในโครงการฯ ประกวดแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งการจะกระตุ้น ชักจูงและโน้มน้าวให้เกิดนวัตกรรมทางด้านอาหาร จะต้องเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งโจทย์การแข้งขันปีนี้เป็นเรื่องท้าทาย คือ ด้านอาหาร Street Foods เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกรู้จักเราดี ด้วยความอร่อย ความหลากหลายและราคาที่ยุติธรรม การแข่งขันจะช่วยยกระดับและพัฒนา Street Foods ไปอีกขั้นเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ชื่นชอบอาหารไทน ส่วนเรื่องโจทย์ด้านอาหารหมักดองพื้นถิ่น (Local Fermented Foods) ก็เป็นการยกระดับและสร้างโอกาสให้กับชุมชนและอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้บริษัท เคซีจีฯ พร้อมซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน โดยให้ความสําคัญด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในทุกโอกาสเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกับ นายวุฒิชัย เจริญศุภกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังผัก จำกัด กล่าวว่า การประกวดนี้จะมีส่วนช่วยผู้ประกอบการ นักเรียน นักศึกษา ให้มีเวทีการประกวดที่สร้างแรงจูงใจ และผลักดันให้ผู้เข้าแข่งขันมีโอกาสการทํางานวิจัยที่สร้างสรรค์ รวมทั้งได้ประสบการณ์ใหม่ๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะที่มีคุณค่าจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อนําไปปรับใช้ในอนาคต ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการทําธุรกิจให้ประสบความสําเร็จ ที่ต้องอาศัยองค์ประกอบด้านการทํางานวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรม ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในทางการตลาดและธุรกิจ อย่างไรก็ตามบริษัท พลังผักฯ พร้อมให้การสนับสนุนหากผู้เข้าแข่งขันมีความต้องการหาความร่วมมือกับบริษัทฯ โดยเฉพาะด้านการตลาดที่เข้าถึงช่องทางการค้าที่สมัยใหม่ (Modern trade) ซัพพลายเชน และการบริหารธุรกิจที่เป็นมืออาชีพและมีระบบที่เป็นมาตรฐานสากล
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. นำ “เปลปกป้อง (PETE)” คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565 รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ
For English-version news, please visit : Patient Isolation and Transportation Chamber (PETE) takes 2nd Prize in the National Innovation Awards ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ  ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เข้ารับรางวัลนวัตกรรมเเห่งชาติ ประจำปี 2565 รองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ จากผลงานเปลปกป้อง (พีท) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ (Patient isolation and transportation chamber (PETE)) โดยมี รศ. นพ. สรนิต ศิลธรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ในงาน “วันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2565” จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน กรุงเทพฯ เปลปกป้อง นวัตกรรม “ทันเหตุการณ์ ตอบโจทย์ผู้ใช้ ได้มาตรฐาน” ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจ อาทิ โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค มีประสิทธิภาพการกรองเชื้อ 99.995% จัดเก็บง่าย สามารถใช้งานบนรถพยาบาลและรองรับการนำผู้ป่วยที่อยู่ภายในชุดเปลปกป้องเข้าตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่อง CT scan ได้ มีช่องสําหรับทําหัตถการและใส่สายเครื่องมือแพทย์สําหรับผู้ป่วยหนัก ผลิตด้วยวัสดุและอะไหล่ที่หาได้ในประเทศ ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยเครื่องมือแพทย์ และได้รับการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยแล้ว PETE เป็นเปลความดันลบที่ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Chamber) มีลักษณะเป็นท่อพลาสติกใสขนาดพอดีตัวคน และระบบสร้างความดันลบ (Negative pressure unit) เพื่อควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในเปล ทำให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก อากาศภายในเปลจะผ่านการกรองเชื้อโรคด้วยแผ่นกรองอากาศ (HEPA Filter) และฆ่าเชื้อด้วยแสง UV-C ก่อนปล่อยสู่ภายนอก ซึ่งนอกจากระบบฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพแล้ว ทีมวิจัยยังพัฒนาตัวเปลให้มีช่องสำหรับร้อยสายเครื่องช่วยหายใจและสายน้ำเกลือเข้าไปยังผู้ป่วย และมีถุงมือสำหรับทำหัตถการ 6 จุดรอบเปล เพื่ออำนวยความสะดวกในการรักษาให้กับบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย จุดเด่นของ PETE เปลปกป้อง ไม่เพียงมีการออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะที่แข็งแรงและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 แล้ว ยังสามารถทลายข้อจำกัดการใช้งานของเปลความดันลบเดิมที่มีทั่วไปในท้องตลาด   สำหรับการมอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ จัดขึ้นเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทยที่ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานอันเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่น และเกิดคุณค่าที่ชัดเจนต่อประเทศชาติในหลากหลายด้าน หรือหน่วยงานองค์กรที่มีการบริหารจัดการโดยใช้ความรู้ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการสร้างคุณค่าทั้งในเชิงพาณิชย์และเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กรตั้งแต่ระดับยุทธศาสตร์ หรือกระบวนการ ไปจนถึงระดับโครงสร้าง ส่งเสริมให้เกิดการตื่นตัวด้านนวัตกรรมขึ้นในทุกภาคส่วนของสังคมไทย สร้างให้เกิดความภาคภูมิใจในศักยภาพนวัตกรรมจากฝีมือคนไทย และสร้างให้เกิดภาพลักษณ์สู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ” (National Innovation Awards) จัดประกวดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) นับตั้งแต่ปี 2548 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ถือเป็นรางวัลนวัตกรรมทรงเกียรติสูงสุดของประเทศไทย ที่จัดขึ้นเพื่อประกาศเกียรติคุณและเชิดชูเกียรติแก่คนไทยที่สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความโดดเด่นและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในศักยภาพของคนไทยและเผยแพร่ต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมด้านต่างๆ สู่สาธารณะชนในวงกว้าง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวด้านนวัตกรรมในทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นชาติแห่งนวัตกรรม การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ แบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านเศรษฐกิจ 2.ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม 3.ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ 4.ด้านสื่อและการสื่อสาร 5.ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น โดยกำหนดจัดพิธีมอบรางวัลทรงเกียรตินี้ขึ้นในวันนวัตกรรมแห่งชาติ (5 ตุลาคม) ของทุกปี
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
FleXARs นวัตกรรมฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิต
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) เนคเทค สวทช. พัฒนา FleXARs ฟิล์มป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิต เป็นชั้นฟิล์มพอลิเมอร์ที่สร้างด้วยวัสดุที่มีค่าพลังงานเชิงผิวต่ำ มีสมบัติน้ำและน้ำมันไม่เกาะแบบยิ่งยวด (Superamphiphobic surface) ที่สามารถป้องกันการเกาะของสิ่งมีชีวิต(Antifouling film)บนพื้นผิววัสดุต่างๆได้ (Antifouling surface) มีชั้นกาวด้านหลังเพื่อให้สามารถแปะและยึดติดกับผิววัสดุ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานทางการแพทย์ งานทางทะเล และพื้นผิววัสดุในระบบขนส่งมวลชนและพื้นที่สาธารณะได้
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
‘ฟู้ดแฟคเตอร์’ ผนึก ‘เมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช.’สร้างระบบนิเวศนวัตกรรม เสริมแกร่งอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ
(7 ตุลาคม  2565) เมืองสุขสยาม ชั้น G ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) และ บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านนวัตกรรมอาหาร ร่วมกันแถลงข่าวพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริม สนับสนุน พัฒนานวัตกรรมและนวัตกรด้านอาหาร โดยมี ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ดร.เอกอนงค์ จางบัว ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. และนายปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ร่วมแถลงข่าว เพื่อให้เกิดการผลักดันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมด้านอาหารของประเทศเสริมความแข็งแกร่งของ Ecosystem ระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ผศ. ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า  สวทช. มีนโยบายให้การสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนา มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก โดยนำความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยให้ภาคการเกษตรและอาหารให้สามารถดำเนินงานได้ดีและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจทั้งด้านการผลิต การส่งออก การสร้างผู้ประกอบการ การจ้างงาน รวมถึงการใช้วัตถุดิบภายในประเทศโดยมีการเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรมในห่วงโซ่อุปทานจากทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังสนับสนุนให้มีการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs สตาร์ตอัป เกษตรกร และอุตสาหกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดย สวทช. มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้างนวัตกรรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศในอนาคต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีการค้าโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ดร.เอกอนงค์ จางบัว ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. กล่าวว่า เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis เป็นหน่วยงานที่มีความมุ่งมั่นและมีความเชี่ยวชาญในด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมอาหารของประเทศผ่านเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารของประเทศ ผ่านการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (one stop service) และ Service Platform เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการวิจัย พัฒนาและสร้างนวัตกรรม ของเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหาร ได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น “เมืองนวัตกรรมอาหาร ได้ดำเนินงานร่วมกันกับบริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ ปีนี้เป็นปีที่ 4 ในการสนับสนุนด้านนวัตกรรมอาหาร ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการพัฒนาศักยภาพนวัตกรด้านอาหารทุกระดับ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ที่ทันสมัยระดับโลก ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ ได้แก่ โครงการประกวดนวัตกรรมอาหาร ภายใต้โครงการ Food Innopolis Innovation Contest การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการนวัตกรรมอาหาร ภายใต้ โครงการ PADTHAI และอื่นๆ ที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรม” ผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร สวทช. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ความร่วมมือในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริม สนับสนุน พัฒนานวัตกรรม และนวัตกรด้านอาหาร มีวัตถุประสงค์หลัก 6 ข้อ ได้แก่ 1.เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน การพัฒนา รวบรวม และบริหารจัดการองค์ความรู้ ด้านนวัตกรรมอาหารของไทย นวัตกรรมอาหารท้องถิ่น รวมถึงนวัตกรรมอาหารคุณค่าสูง ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2. สร้างนวัตกรในทุกระดับให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในด้านการคิดค้นและพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมด้านอาหารที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 3. ส่งเสริมและสนับสนุน การคิดค้น พัฒนา และยกระดับนวัตกรรมอาหารของไทย ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 4. ส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน ให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มความแข็งแกร่งของเครือข่ายนวัตกรรมในอุตสาหกรรมด้านอาหารของประเทศไทย 5. ส่งเสริมและสนับสนุนในการสร้างโอกาสและต่อยอดทางธุรกิจ ให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในห่วงโซ่คุณค่าของนวัตกรรมอาหาร และ 6. ส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมืออื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านอุตสาหกรรมอาหาร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมอาหารของประเทศ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารของประเทศแข็งแรงมากขึ้น สามารถส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมอาการของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลได้ ส่งผลถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ด้าน นายปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแฟคเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ฟู้ดแฟคเตอร์ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ทั้งคิดค้น ผลิต และจัดจำหน่าย อีกทั้งยังเตรียมพร้อมนวัตกรรมด้านอาหารใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างยั่งยืนโดยมีเป้าหมายหลัก F 3 ตัว คือ “Food – Form – Future” โดยเริ่มจาก “Food” ซึ่งเป็นเสาหลักของบริษัทที่มีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยบุญรอดฯ เริ่มทำธุรกิจอาหารจากร้านอาหาร ซึ่งจากเป้าหมายใหญ่ด้านอาหารเมื่อหลายสิบปีก่อนมาสู่ “Form” ขยายธุรกิจด้านอาหารในเครือของบุญรอดเข้าด้วยกัน มาเป็น Food Factors ที่เป็น Integrated Food Business ธุรกิจอาหารครบวงจร ซึ่งปัจจุบันมุ่งมั่นที่จะ Form ธุรกิจด้านอาหารให้แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง Form ผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ๆ รวมถึง Form พันธมิตร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา Startup SMEs ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อ Connect Ecosystem ของบุญรอดเข้ากับ Ecosystem อื่น ๆ ที่กว้างขึ้น และเป็นธุรกิจอาหารครบวงจร อย่างแท้จริง และตัวสุดท้าย “Future” อนาคต คือ นวัตกรรม และความยั่งยืน เพื่อพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของทั้งวิถีชีวิตผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เราจึงต้องเตรียมพร้อมนวัตกรรมด้านอาหารใหม่ ๆ อย่างจริงจัง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ต้องยกระดับ Food Innovations Center (FIC) ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหารของเราเอง ต้องทำ Open Innovation สร้างนวัตกร สร้างนวัตกรรม รวมถึงต่อยอดธุรกิจ โดยร่วมมือพันธมิตรอย่าง Food Innopolis และ สวทช. ผ่านบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนานวัตกรรมและนวัตกรด้านอาหาร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการผลักดันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรมด้านอาหารของประเทศเสริมความแข็งแกร่งของ Ecosystem ระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ############  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
FOODe’ care น้ำยาฆ่าเชื้ออิเล็กโทรไลต์ปลอดภัยสำหรับอาหาร
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) พัฒนา FOODe´care ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างสารพิษและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ปลอดภัยทางอาหาร เป็นน้ำยาฆ่าเชื้ออิเล็กโทรไลต์ ผลิตขึ้นจากธรรมชาติที่ได้จากชุด ENcase system ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการกระตุ้นน้ำเกลือ ผลิตและปรับสภาพ จนเป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีกรดไฮโปคลอรัส (HOCl) เป็นองค์ประกอบหลัก มีประสิทธิภาพในการล้างสารพิษและฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก่อโรคที่พบส่วนใหญ่ในอาหาร
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
Prolifera นวัตกรรมแผ่นแปะปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน
นักวิจัยศูนย์นาโนเทค พัฒนา Prolifera แผ่นแปะปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน พัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยี ไมโครนีดเดิล หรือเข็มจิ๋ว ทำงานด้วย แนวคิด microninjury โดยกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผู้ใช้ไม่มีความเจ็บปวด และช่วยให้ผิวฟื้นฟูตามกระบวนการธรรมชาติ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
อร่อยสมจริง! ‘กินใจ (GIN Zhai)’ เนื้อไก่จากโปรตีนพืช
  ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชคือหนึ่งในนวัตกรรมอาหารที่มาแรงในช่วงปีนี้ และคาดว่ามูลค่าตลาดโลกจะเติบโตถึง 3 แสนล้านบาทภายในปี 2568 เพราะนอกจากจะเป็นโปรตีนทางเลือกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพและการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยังทำให้นักวิจัยสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความสมจริงทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติในราคาที่ย่อมเยาได้อีกด้วย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “เนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based Chick)” ที่พร้อมวางจำหน่ายให้ประชาชนได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว   [caption id="attachment_36851" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เอ็มเทคให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการนำความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์มาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเคี้ยว กลืน และย่อยง่ายสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช ซึ่งล่าสุดเอ็มเทคได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช หรือ ‘Ve-Chick’ ให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 3 ราย รายแรกคือ โรงงานรับจ้างผลิต (OEM) อาหารทางเลือก รายที่สองคือ บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปด้านอาหารเพื่อสุขภาพที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปีหน้า และล่าสุดรายที่สามคือ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘GIN Zhai (กินใจ)’ ให้ผู้บริโภคได้ทดลองรับประทานโปรตีนจากพืชแล้วในวันนี้ จุดแข็งสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืชหรือ ‘Ve-Chick’ เป็นที่หมายตาของผู้ประกอบการตั้งแต่การเปิดตัวเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2564 คือ ‘เทคนิคการจัดเรียงโครงสร้างให้ได้ลักษณะเส้นใยคล้ายกับเนื้อจริง’   [caption id="attachment_36852" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้ด้านคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบ ‘การจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้ออกมามีลักษณะเป็นเส้นใย’ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัมผัสและรสคล้ายเนื้อไก่จริง โดยผลิตภัณฑ์หลัก 2 ชนิดที่ทีมพัฒนา คือ ผลิตภัณฑ์ Precook เนื้อไก่ขึ้นรูปที่ผ่านการปรุงรสเป็นเมนูอาหารแช่แข็งต่างๆ และผลิตภัณฑ์ Premix ที่ผู้บริโภคสามารถนำผงวัตถุดิบมาตีผสมกับน้ำและน้ำมันเพื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน อีกทั้งผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ยังมีจุดแข็งคือผง Premix (ผลิตภัณฑ์ก่อนผสม) เก็บรักษาได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องแช่แข็ง ทำให้ผู้ผลิตอาหาร อาทิ ร้านอาหาร หรือผู้ให้บริการแคเทอริง สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน พื้นที่จัดเก็บ และการทิ้งอาหารที่มากเกินความต้องการได้เป็นอย่างดี “ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เป็นโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีคอเลสเตอรอล และปราศจากกลูเตน (เฉพาะผลิตภัณฑ์ Premix) ที่สำคัญวัตถุดิบตั้งต้นส่วนใหญ่มีการผลิตภายในประเทศ ทำให้การผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้มีราคาย่อมเยา” ดร.กมลวรรณ กล่าวเสริม   [caption id="attachment_36850" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูไก่ย่าง[/caption]   [caption id="attachment_36848" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูแกงกะหรี่ไก่ทอด[/caption]   วันนี้เนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ โดยนักวิจัยเอ็มเทคจะอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ผู้ผลิตแบรนด์ GIN Zhai (กินใจ) ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่างๆ ให้นักชิมได้ลิ้มลอง   [caption id="attachment_36853" align="aligncenter" width="700"] ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด[/caption]   ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เล่าว่า บริษัทมีประสบการณ์ด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมากว่า 20 ปี จึงมีความมั่นใจในด้านการรังสรรค์เมนูอาหารต่างๆ ให้ถูกใจผู้บริโภค เมื่อเอ็มเทคเปิดตัว ‘Ve-Chick’ บริษัทจึงไม่รอช้าคว้าโอกาสในการขยายตลาดอาหารเจทันที “ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของอาหารเจอาจไม่ได้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนัก เพราะภาพที่ใครหลายคนนึกถึงมักเป็นผัดผักน้ำมันเยิ้ม หรือผัดหมี่ที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบปริมาณมาก แต่ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช เหมาะกับผู้รักการลิ้มรสอาหารอร่อยและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เป็นอาหารทางเลือกเมนูใหม่ให้ผู้คนหันมาเปิดใจรับประทานอาหารเจมากยิ่งขึ้น ในวันนี้บริษัทพร้อมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช คือ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อรูปแบบต่างๆ เช่น น่องไก่ ชิ้นเนื้อไก่ พร้อมให้ผู้บริโภคนำไปปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีมิกซ์ (GIN Zhai Plant J – PreMix)’ ผลิตภัณฑ์รูปแบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้บริโภคปรุงแต่งรสชาติ เติมสารอาหาร และขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มสีสันในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ GIN Zhai Plant J เพื่อลิ้มลองรสชาติความอร่อยได้แล้วผ่าน 7-11 Delivery App ราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาทเท่านั้น”   [caption id="attachment_36849" align="aligncenter" width="700"] กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)[/caption]   นอกจาก 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้เปิดตัวแฟรนไชส์ ‘GIN Zhai’ คีออสจำหน่ายอาหารจาก GIN Zhai Plant J และ GIN Zhai จากพืชในรูปแบบพร้อมรับประทาน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดคีออสจำนวน 100 สาขา ภายใน 1 ปีหลังจากนี้ และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมียอดขายผลิตภัณฑ์กินใจ แพลนต์เจ ทั้ง PreMix และ PreCook 200 ล้านบาท ภายในปี 2567   [caption id="attachment_36855" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูน่องไก่ทอดเจ จิ้มแจ่ว ข้าวเหนียว[/caption]   [caption id="attachment_36854" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูเต้าหู้ทอด[/caption]   ธนินท์รัฐ เสริมว่า เป้าหมายของบริษัทไม่เพียงต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการบริโภคอาหารที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยด้วย บริษัทจึงลงพื้นที่สำรวจการเพาะปลูกในประเทศ คัดเลือกเกษตรกรที่เพาะปลูกได้มาตรฐาน สามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี เพื่อทำสัญญารับซื้อในราคาที่เหมาะสมโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบให้แก่บริษัทวางใจได้ว่าจะไม่ต้องทิ้งผลผลิต และไม่ต้องสู้รบกับราคาจำหน่ายที่ตกต่ำในแต่ละปี “อยากให้ผู้บริโภคได้ลองพิสูจน์ว่าอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพแบรนด์ ‘GIN Zhai’ อร่อยสมจริงตามคำโฆษณาหรือไม่ครับ” คำทิ้งท้ายของธนินท์รัฐ     ปัจจุบันบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เปิดรับผู้ลงทุนแฟรนไซส์ร้าน Gin Zhai ทั้งผู้ที่มีทำเลที่ตั้งร้านอยู่แล้ว หรือต้องการให้บริษัทเสนอทำเลให้ รวมถึงรับจัดอาหารแบรนด์ GIN Zhai สำหรับงานเลี้ยงด้วย ติดต่อได้ที่ Facebook: Gin Zhai-กินใจ, Line: @ginzhai หรือโทรศัพท์ 09 4885 9228 และสำหรับผู้ที่ต้องการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘Ve-Chick’ หรือขอรับบริการการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพติดต่อสอบถามได้ที่เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ E-mail: chanitw@mtec.or.th     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงาน
 
ผลงานวิจัยเด่น