ผลการค้นหา :
นวัตกรรมยกระดับ ‘การนำส่งสารสกัด CBD ในกัญชา’ สร้างจุดขายเวชสำอางและท่องเที่ยวไทย
แม้ประเทศไทยจะอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2562 แต่ปัจจุบันตลาดกัญชายังคง ‘มีมูลค่าต่ำ’ เหตุจากยังไม่สามารถแปรรูปและใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘อนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารสกัด Cannabidiol (CBD) ในกัญชาและกัญชง (Cannabis sativa L.)’ เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้สารสกัด ทั้งในด้านการนำส่งสารเข้าสู่ร่างกายและการไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นการพัฒนาสารสกัด CBD สู่สารสำคัญมูลค่าสูงสำหรับประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เชิงพาณิชย์
[caption id="attachment_43240" align="aligncenter" width="500"] ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายถึงการพัฒนาอนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มอนุภาคของสารสกัด CBD ด้วยอนุภาคไขมันผ่านเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชัน (Nanoencapsulation) เพื่อลดจุดอ่อนของสารสกัด CBD ใน 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือ ‘การนำส่งสาร’ ที่ยังมีประสิทธิผลต่ำ เนื่องจากสารสกัด CBD ละลายน้ำได้น้อย ซึมผ่านผิวหนังได้ไม่ดี จึงมักสะสมอยู่ที่หนังกำพร้าชั้นนอก การห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมันจะช่วยให้สาร CBD ซึมผ่านชั้นผิวหนังของมนุษย์ได้ดีขึ้น สามารถละลายหรือนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านที่สอง คือ ‘ลดการเสื่อมสภาพของสาร’ การห่อหุ้มด้วยอนุภาคระดับนาโนจะช่วยลดการโดนแสง ค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงออกซิเจนในอากาศที่ทำให้คุณสมบัติแอนติออกซิแดนต์ (Antioxidant) ของสารเสื่อมสภาพ
“การลดข้อจำกัดของสารสกัด CBD ทั้ง 2 ด้านนี้ได้สำเร็จ จะทำให้สารสกัด CBD ออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้สารสกัด CBD ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และยังลดอัตราเสี่ยงให้แก่ผู้ใช้งานที่อาจต้องสัมผัสสารปริมาณมากจนเกิดการระคายเคือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์หากจำเป็นต้องใช้สารสกัด CBD ในปริมาณสูงเพื่อพัฒนายารักษาโรคในอนาคต”
[caption id="attachment_43241" align="aligncenter" width="550"] ตัวอย่างการนำสารสกัด CBD ในกัญชาไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ[/caption]
ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มนำสารสกัด CBD มาใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันเท่านั้น ‘เพราะสาร CBD ละลายได้ดีในน้ำมัน แต่จะแยกชั้นหรือตกตะกอนในน้ำ’ การวิจัยและพัฒนาอนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารสกัดนับเป็นโอกาสที่ช่วยให้คนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD รูปแบบใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น
ดร.คทาวุธ อธิบายว่า การห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมันจะช่วย ‘เพิ่มสมบัติการละลายน้ำ’ ให้แก่สารสกัด CBD ทำให้ผู้ประกอบการหรือนักพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถ ‘ใช้สาร CBD ในเวชสำอางประเภทซีรัมหรือน้ำตบ’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา ซึมเข้าผิวได้รวดเร็ว ให้ความรู้สึกเบาสบายผิว เหมาะแก่การใช้เป็นประจำทุกวันมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักซึมเข้าผิวช้าได้ โดยสารสกัด CBD เป็นสารสำคัญที่มีจุดเด่นทั้งในด้านการเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์หรือการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น และยังช่วยลดการอักเสบ สมานแผล รวมถึงเพิ่มคอลลาเจนไฟเบอร์ (Collagen fiber) ให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี
“อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สารสกัด CBD มีแนวโน้มเติบได้สูง คือ กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Health and wellness travel) เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมาย ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากที่มองหากิจกรรมการท่องเที่ยวประเภทสปาที่มีการนำสารสกัด CBD มาใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า ดังนั้นหากผู้ประกอบการมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรเฉพาะซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีก็จะเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาใช้บริการในช่วงที่การท่องเที่ยวไทยกำลังกลับมาคึกคักได้”
The global cannabis report โดย Prohibition partners ผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ชั้นนำระดับโลกคาดว่าในปี 2567 ตลาดกัญชาด้านสุขภาพและการแพทย์จะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60 และมีแนวโน้มว่าภาพรวมตลาดกัญชาจะมีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐและยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลงานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยผลักดันผู้ประกอบการไทยให้คว้าส่วนแบ่งการตลาดนี้มาครองได้สำเร็จ
ผู้ประกอบการที่สนใจวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพและการแพทย์ หรือขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ติดต่อได้ที่ ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ อีเมล katawut@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
BCG สาขาเกษตร เดินหน้าพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียว ชู “NAGA Belt Road” เป็น Quick Win ของ BCG สาขาเกษตร
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/naga-belt-road-develops-tourism-based-on-glutinous-rice-culture.html
BCG สาขาเกษตร ผลักดันการดำเนินงานร่วมกันระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เกษตรอินโน จำกัด และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-NAGA Belt Road (บีซีจี นาคาเบลต์โรด)) โดยลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการออกแบบโมเดลเส้นทางการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวจังหวัดอุดรธานี หนึ่งในจังหวัดนำร่อง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรม ได้แก่ 1) วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่างน้ำพาน และ 2) วิสาหกิจชุมชนโฮม สเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ที่ได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียวสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และสร้างกลไกการทำงานอย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่แบบ 4 P (ภาครัฐ เอกชน เกษตรกร และสถาบันการศึกษาในพื้นที่) ได้อย่างแท้จริง
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และเลขานุการคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร เปิดเผยว่า สวทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินโครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (BCG-NAGA Belt Road) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวบนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG นำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 4 แผนงานหลัก คือ 1) มุ่งพัฒนาทักษะเกษตรกรและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม 2) มุ่งยกระดับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวเหนียวและเพิ่มมูลค่าจากวัสดุเหลือทิ้ง 3) มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากทุนทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียว และ 4) มุ่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการผลิตและรายได้ โดยล่าสุดคณะอนุกรรมการการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษกิจ BCG สาขาเกษตร นำโดย น.สพ.ยุคล ลิ้มแหลมทอง ประธานคณะอนุกรรมการฯ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค และคณะ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในแผนงานที่ 3 ซึ่ง ดร.อรรจนา ด้วงแพง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และ ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ทำการศึกษาทรัพยากรในชุมชนและจัดทำคลังความรู้ชุมชนในด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับข้าวเหนียว จนเกิดเป็นเส้นทางท่องเที่ยงบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวในพื้นที่อุดรธานี
โมเดลเส้นทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวเหนียวในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ประกอบด้วย ทะเลบัวแดง-วัดหายโศก-วัดสุวรรณนารี-คำชะโนด-อ่างน้ำพานอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท-วัดป่าบ่องึม-อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง-ภูฝอยลม-สะพานหินท่าลี่ ภายใต้เส้นทางวัฒนธรรมดังกล่าว ได้มีการพัฒนาหมู่บ้านแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว 2 แห่ง ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศอ่างน้ำพาน ตำบลเชียงดา อำเภอสร้างคอม จังหวัดอุดรธานี โดยกลุ่มฯ มุ่งส่งเสริมให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งการท่องเที่ยวด้วยวัฒนธรรมข้าวเหนียว ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบแพสเตย์ (Eco-tourism) และการพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียว เช่น ล่องแพชมธรรมชาติอ่างน้ำพาน (ท่าแพบ้านแมด) ชมควายทามบนเกาะป่าทาม เป็นต้น รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน โดยได้ปรับปรุงสถานที่ติดตั้งต้นแบบ ระบบโซล่าเซลล์ในแพ เพื่อบริการนักท่องเที่ยวในการชาร์จแบตมือถือ พัดลม เครื่องเสียง และทำอาหาร ตลอดจนเป็นชุมชนคาร์บอนต่ำที่มีการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับข้าวเหนียวครบวงจร เป็นชุมชนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว (พันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคา พันธุ์ข้าวเหนียว กข6 ฯลฯ) และมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวอย่างหลากหลาย พัฒนาและรองรับสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป
และอีกแห่งหนึ่งคือที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์เชิงอนุรักษ์บ้านเชียงแหว ตำบลเชียงแหว อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ใกล้บึงหนองหาน แหล่งน้ำจืดธรรมชาติขนาดใหญ่ ช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ดอกบัวแดงจะเบ่งบานเต็มผืนน้ำของหนองหาน จึงเป็นที่มาของ “ทะเลบัวแดง” โดยแหล่งท่องเที่ยวนี้มีทั้งที่พัก ร้านอาหาร และร้านของฝากที่ระลึก รองรับนักท่องเที่ยวที่มาชมทะเลบัวแดง สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามตำนาน รวมถึงยังเป็นชุมชนผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว มีแปลงทดลองผลิตเมล็ดพันธุ์คัดต่าง ๆ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวเหนียวอย่างหลากหลาย สำหรับรองรับและพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เส้นทางการท่องเที่ยวบนฐานวัฒนธรรมข้าวเหนียวที่ได้พัฒนาให้เป็นหมู่บ้านการท่องเที่ยวข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่โครงการ BCG-NAGA Belt Road ได้ดำเนินการนำร่องในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะมีการขยายผลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและพัฒนาตลาดวัฒนธรรมข้าวเหนียวให้สามารถยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวให้สร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตลอดห่วงโซ่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
JAXA ชวนเด็กไทยเสนอไอเดียทดลองในอวกาศ คัด ‘สุดยอดไอเดีย’ สื่อสารการทดลองกับนักบินอวกาศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการ “Asian Try Zero-G 2023” ชวนเยาวชนไทยส่ง “แนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเพื่อทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติ” ร่วมแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2566
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ร่วมกับ JAXA ดำเนินการโครงการ Asian Try Zero-G 2023 เปิดรับไอเดียการทดลองวิทยาศาสตร์จากเยาวชนไทย เพื่อทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยคณะกรรมการของ สวทช. จะทำการคัดเลือกไอเดียการทดลองที่น่าสนใจจำนวน 3 การทดลอง ในฐานะตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันกับประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน สิงคโปร์ และออสเตรเลีย จากนั้น JAXA จะคัดเลือกรอบสุดท้ายจำนวน 4-6 การทดลอง สำหรับทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยนักบินอวกาศอวกาศญี่ปุ่น
“การรับสมัครของโครงการ Asian Try Zero-G 2023 ในปีนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Category A: Physics Experiments สามารถสมัครเป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม โดยส่งไอเดียการทดลองทางฟิสิกส์อย่างง่ายที่ทำได้โดยใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งข้อเสนอไอเดียการทดลองต้องมีสมมติฐาน หลักการ และเหตุผลของการทดลอง ที่สำคัญขั้นตอนการทดลองต้องมีความเรียบง่ายและทำให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 10 นาที ส่วน Category B: Exercise in Space เป็นการเสนอแนวคิดสำหรับการออกกำลังกายบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำที่ยังไม่เคยลองทำมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นไปไม่ได้บนโลก แต่เป็นไปได้ในอวกาศ และดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเวลา 10 นาที โดยวัตถุประสงค์ของการออกกำลังกาย ต้องไม่ใช่เพื่อการวิจัยทางการแพทย์หรือการรักษาพยาบาล ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่เยาวชนไทยจะได้เสนอไอเดียเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์คิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต
สำหรับโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ในปีที่ผ่านมาทาง JAXA ได้คัดเลือกการทดลองของเยาวชนไทยจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Water sphere disturbance in zero gravity) เสนอโดย นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Study of the height of water which is risen up in microgravity) เสนอโดย นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถส่งใบสมัครเป็นภาษาอังกฤษมาได้ที่อีเมล spaceeducation@nstda.or.th ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2023 ได้ที่ Website: https://www.nstda.or.th/spaceeducation/atzg2023 และ Facebook: https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือ สพฐ. เสริมสร้างศักยภาพครูพื้นที่ EEC ให้มีความเข้มแข็ง ในศาสตร์ด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่สอดคล้องนโยบาย BCG ต่อยอดในชั้นเรียน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการแพทย์และสุขภาพ ระหว่างวันที่ 8 - 10 พฤษภาคม 2566 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom
หลักสูตรออกแบบเพื่อให้สอดคล้องกับโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจ BCG โดยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมยกระดับความสามารถในการแข่งขันกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC ตามบริบทของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ “คุณครู” ผู้ถ่ายทอดความรู้ โดยนำเนื้อหาความรู้พื้นฐานวิชาวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมาเชื่อมโยงสู่ “วิทยาศาสตร์สุขภาพ การแพทย์ การแพทย์จีโนมิกส์ (Genomic Medicine) หรือ การแพทย์แม่นยำ และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ” ผ่านสื่อการเรียนรู้และกิจกรรมที่หลากหลาย นำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสู่โครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ต่อไป ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอบรมเป็นครูในระดับมัธยมศึกษา ในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 80 โรงเรียน จำนวน 160 คน
โดยได้รับเกียรติจาก ดร. ภูธร จันทะหงษ์ ปุญยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวเปิดการอบรม พร้อมด้วยนายไพฑูรย์ จารุสาร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และนางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ร่วมกล่าวต้อนรับ
เริ่มการอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เสริมพลังเชื่อมโยงสู่ศาสตร์การเรียนการสอน โดย ดร.กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนถนนหักพิทยาคม
และการบรรยายหัวข้อ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่วนสำคัญของการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การพัฒนาด้านการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดย ภญ. ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา นักวิจัย ทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. ได้ยกตัวอย่างผลงานวิจัย อิมัลเจลที่มีส่วนประกอบของอนุภาคนาโนอิมัลชันบรรจุสารสกัดจากเหง้าขิงและอนุภาคนาโนทองคำ เพื่อยับยั้งการอักเสบและสมานแผล ที่สามารถต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ โดยใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม ผลักดันเพิ่มคุณค่าสมุนไพร พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชุมชน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งหลักการอิมัลชันดังกล่าวผู้เข้าอบรมจะได้ทำการทดลองในวันสุดท้ายของการอบรม
ต่อด้วยการบรรยาย จาก ร.ต.ท.หญิง แพทย์หญิง อติพร เทอดโยธิน หัวข้อ เส้นทาง การแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ สู่การเป็นแพทย์ และอาจารย์แพทย์ และ กิจกรรมเรียนรู้ระบบร่างกาย และภูมิคุ้มกันสร้างสุข สุขภาพดี อย่างยั่งยืน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของวิชาชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ และการแพทย์ เนื้อหาเชื่อมโยงสาระสำคัญที่เกี่ยวกับกระบวนการสรีรวิทยาของระบบหมุนเวียนโลหิตและระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ รวมถึงการประยุกต์ใช้ความรู้ด้านพันธุศาสตร์กับงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ หลอดเลือด องค์ประกอบของเลือด หมู่เลือด โรคทางพันธุกรรมผ่านกิจกรรม สื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ชุด เชอร์ล็อก โฮมส์ กับคดีปริศนา ประยุกต์เข้ากับการแพทย์และนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อทำการไขคดีปริศนา ซึ่งเนื้อหาสามารถนำไปเสริมการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้น่าสนใจและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วยการบรรยายพิเศษ “การแพทย์จีโนมิกส์ โฉมหน้าใหม่ของการรักษาแห่งโลกอนาคต” ปูพื้นฐานภาพรวมการแพทย์โฉมใหม่ ที่เน้นการการดูแลรักษาผู้ป่วยโดยประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านพันธุกรรม ที่จำเพาะต่อผู้ป่วย และรักษาได้ตรงจุด โดย ศ. เกียรติคุณ ดร. วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ต่อด้วยการบรรยายและกิจกรรม หัวข้อ เจาะลึกพันธุศาสตร์กับไวรัสโคโรน่า สู่การพัฒนาชุดตรวจและวัคซีน เพื่อเรียนรู้กลไกการทำงานของสารพันธุกรรมของไวรัสโคโรน่า และการนำความรู้ทางพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ และพัฒนาวัคซีน เสริมด้วยกิจกรรมฝึกทักษะปฏิบัติการ การแยกสารด้วยชุดสื่อการเรียนรู้จำลองหลักการเคลื่อนที่ของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า (Gel electrophoresis) โดย น.ส.สุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช.
วันสุดท้ายของการอบรม เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เกี่ยวกับ นวัตกรรมเวชสำอาง ซึ่งเป็นการบรรยายปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีกับเครื่องสำอางและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดย รศ.ภญ.ดร.จิตติมา ลัคนากุล รองคณบดีฝ่ายพันธกิจสากลและวิรัชกิจ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกิจกรรมปฏิบัติการ เตรียม “Nano emulsions” และการประเมินผลิตภัณฑ์ โดย ผศ.ภญ.ดร.ดุษฎี ชาญวาณิช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต และทีมวิทยากร คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้ในกลุ่มย่อยผ่านการทดลองปฏิบัติการอย่างสนุกสนาน ระดมสมองในกลุ่มย่อย และฝึกปฏิบัติการสร้างตำรับครีมทาผิว โดยใช้หลักการนาโนอิมัลชัน ซึ่งมีประโยชน์ทางเวชสำอาง เช่น ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญผ่านผิวหนัง ช่วยกักเก็บน้ำในผิวหนัง ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นอย่างยาวนาน เป็นต้น โดยแลกเปลี่ยนผลงานผ่าน padlet พร้อมนำเสนอในรูปแบบ pitching และรับฟังคำแนะนำจากทีมวิทยากร
เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม
“เป็นกิจกรรมที่ดีมาก สนุก สามารถนำมาประยุกต์กับโครงงานและบริบทชุมชนได้”
“อยากให้จัดทุกปี ถ้ามีโอกาส ทางโรงเรียนขอเข้าร่วมทุกปี”
“เนื้อหาและกิจกรรมจากการอบรม สามารถนำมาเขียนแผนการจัดการเรียนการสอนได้”
“การอบรมนำเสนอเนื้อหาชีววิทยาที่ยากและเยอะ ให้สนุก น่าสนใจ ในรูปแบบกิจกรรมและสื่อรวมถึงเทคนิคการใช้ quiz ในการสอน”
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
นับถอยหลังส่งใจเชียร์เยาวชนไทยนำผลงานวิทย์แข่งขันบนเวทีระดับโลก ร่วมลุ้นประกาศผล 18-19 พ.ค. 66
🇹🇭ค่ำวันนี้ (13 พฤษภาคม 2566) ทีมพี่เลี้ยงจาก สวทช. โดยคุณอติพร สุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง และคุณสุนทรี กริชชัยศักดิ์ นักวิชาการ พร้อม 15 เยาวชนไทย ผู้พิชิตรางวัลการประกวดโครงงานนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ YSC2023 เตรียมนำ 6 โครงงานบินลัดฟ้าเข้าชิงชัยในเวทีการประกวดที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก “โครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติ Regeneron ISEF 2023 (2023 Regeneron International Science and Engineering Fair) pre-college STEM” ณ เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
.
🏆วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เวลา 19.00-21.00 น. (ตามเวลา 🇺🇸) - ประกาศผลรางวัล Special Awards
🏆วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 เวลา 9.00-11.30 น. (ตามเวลา 🇺🇸) - ประกาศผลรางวัล Grand Award
🏆ร่วมลุ้นแบบเกาะติดขอบเวทีไปพร้อมกันที่เพจ NSTDA-สวทช.
.
สนใจติดตามผลงานน้องๆ จากการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
👍สาขาชีวการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Biomedical and Health Sciences)
BMED047T – Neuroprotective Effect of Centella asiatica
โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง
🌐https://projectboard.world/isef/project/125332
.
👍สาขาชีววิทยาเชิงคำนวณและชีวสารสนเทศศาสตร์ (Computational Biology and Bioinformatics)
CBIO50T – PROSynMOGN: Synergistic Cancer Drug Combinations
โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง
🌐 https://projectboard.world/isef/project/125814
.
👍สาขาพลังงาน: วัสดุและการออกแบบที่ยั่งยืน (Energy: Sustainable Materials and Design)
EGSD058T – Biomass-Based Porous Carbon for Supercapacitor
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช
🌐https://projectboard.world/isef/project/126549
.
👍สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ (Physics and Astronomy)
PHYS057T – Magnetic Nanoparticles Cluster in Blood Flow
โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จ.ระยอง
🌐 https://projectboard.world/isef/project/125815
.
👍สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ปริวรรต (Translational Medical Science)
TMED073T – A Game-Changing Idea for Rapid Cancer Screening
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จ.นครปฐม
🌐https://projectboard.world/isef/project/126530
TMED80T – mICKEY: Cancer Origin & Biomarker Predictor
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จ.กรุงเทพฯ
🌐https://projectboard.world/isef/project/126772
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ลุยการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรชุมนุมวิทยาศาสตร์ใหม่ เพื่อเด็กไทยสนุก กับการเรียนรู้สะเต็มศึกษา 80 ชั่วโมง ผ่านโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.) ดำเนินโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีผ่านกระบวนการของหลักสูตรและเครือข่าย โดย สวทช. ได้ออกแบบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวมจำนวนชั่วโมงการเรียนรู้ทั้งหมด 80 ชั่วโมง สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 ชั่วโมง และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 40 ชั่วโมง สำหรับให้ทางโรงเรียนนำกิจกรรมไปใช้ในวิชาชุมนุมหรือค่ายวิทยาศาสตร์ต่อไป ซึ่งในปี 2566 ได้มีการถ่ายทอดกิจกรรมให้กับครูที่เข้าร่วมโครงการผ่าน การอบรมครูโรงเรียนศูนย์วิทยาศาสตร์พลังสิบ โครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ระดับประถมศึกษา ในวันที่ 25-26 เมษายน 2566 ณ โรงแรมบางกอกชฎา กรุงเทพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 198 คน จาก 98 โรงเรียนเพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนในโรงเรียน และขยายผลให้กับโรงเรียนเครือข่ายอีก 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศต่อไป
ในการอบรมวันที่ 25 เมษายน 2566 เริ่มต้นด้วย “การบรรยายภาพรวมและแนวทางการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน” โดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ซึ่งสวทช. ได้ออกแบบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีแนวคิดทางการศึกษา 2 ข้อที่สำคัญ คือ ข้อที่ 1 เด็กและครูช่วยกันสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (Co-construction) และข้อที่ 2 เด็กมีวิธีการประเมินการเรียนรู้ของตนเอง (Metacognition) และมีแนวทางการจัดการเรียนรู้รูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมในการสอน (Game Based Learning)
2) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)
3) การสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity Based Learning)
4) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (Inquiry Based Learning)
และ 5) การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning)
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่
1) กิจกรรมแปลงร่างพลังงาน
2) กิจกรรมนักเคมีน้อย...ปล่อยของ
3) กิจกรรมท่องโลกและอวกาศ
4) กิจกรรมนักวิทย์คิดปรุง และ
5) กิจกรรมเรียนรู้ระบบร่างกาย ใส่ใจสุขภาพ
รวมชั่วโมงการเรียนรู้ทั้งหมด 40 ชั่วโมง
กิจกรรมแรก คือ กิจกรรมแปลงร่างพลังงาน โดย นางสาวจิดากาญจน์ สีหาราช เป็นกิจกรรมที่เรียนรู้ “พลังงาน” ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถเปลี่ยนรูป (แปลงรูป) ได้หลายรูปแบบ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ พลังงานเคมี เป็นต้น โดยทดลองเปลี่ยนรูปพลังงานต่าง ๆ ให้เป็นพลังงานกล ตัวอย่างกิจกรรมย่อย เช่น กังหันลมพลังงานความร้อน
ต่อด้วย กิจกรรมนักเคมีน้อย...ปล่อยของ โดย นางสาวกรกนก จงสูงเนิน เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการรู้จักสารเคมีที่เราพบเห็นได้รอบตัว การเรียนรู้คุณสมบัติทางเคมีผ่านการทดลองพิสูจน์สารปริศนาซึ่งเป็นหลักฐานในคดีด้วยการใช้ทักษะกระบวนการทางเคมี กิจกรรมการจำลองการเกิดความผิดปกติในร่างกายเพื่อศึกษาการทำงานของตัวยาในการรักษาโรค และใช้ความรู้ของปฏิกิริยาเคมี ผลิตสารเพื่อแก้ไขสถานการณ์ หรือปัญหาได้อย่างถูกต้อง
จากนั้นช่วงเช้าวันที่ 26 เมษายน 2566 พาไปเรียนรู้เรื่องโลกและอวกาศผ่านภารกิจที่ท้าทายในกิจกรรมท่องโลกและอวกาศ โดย นางสาวสลิลรัตน์ ประสพฤกษ์ ซึ่งในการอบรมครั้งนี้มีตัวอย่างกิจกรรมภารกิจนำยานอวกาศลงจอดบนดาวเคราะห์ปริศนา ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้รู้จักกับเทคโนโลยีอวกาศเบื้องต้นและได้เรียนรู้ขั้นตอนของการออกแบบเชิงวิศวกรรม ผ่านกิจกรรมการออกแบบและสร้างแบบจำลองยานอวกาศและพานักบินอวกาศไปลงจอดบนดาวเคราะห์ปริศนา เพื่อสำรวจหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีให้อย่างจำกัด นักบินอวกาศต้องปลอดภัย และสามารถติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานของยานได้ครบตามจำนวน เป็นต้น
อาหาร เป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ทุกคน กิจกรรมชุดนี้จะช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้วิทยาศาสตร์เบื้องต้นเกี่ยวกับอาหาร ตั้งแต่การรับรู้รสชาติของอาหาร ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 และเจาะลึกวิทยาศาสตร์ในน้ำนมและไข่ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ง่าย ๆ และการนำมาปรุงเป็นอาหารง่าย ๆ
ที่เด็ก ๆ โปรดปรานใน กิจกรรมนักวิทย์คิดปรุง โดย นางสาวสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล
และกิจกรรมสุดท้ายของการอบรมคือ กิจกรรมเรียนรู้ระบบร่างกาย ใส่ใจสุขภาพ เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด อันประกอบด้วยหัวใจ หลอดเลือด และเลือด บูรณาการทักษะความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อสร้างความตระหนักในการดูแลสุขภาพร่างกายตัวเอง การอบรมครั้งนี้มีตัวอย่างกิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม ได้แก่ สถานีหัวใจ-ชีพจรชีพใจ-เพลงของหัวใจ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้จำลองทิศทางการไหลเวียนเลือดผ่านหัวใจ ได้สังเกตชีพจร และลงมือประดิษฐ์หูฟัง (Stethoscope) อย่างง่ายเพื่อฟัง
การเต้นของหัวใจ จากอุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไป โดย นางสาวกนกพรรณ เสลา
โดยหลังจากจบการอบรม ครูจะนำกิจกรรมไปใช้เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนในโรงเรียน และขยายผลให้กับโรงเรียนเครือข่ายอีก 1,000 โรงเรียนทั่วประเทศต่อไป
ความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมอบรม
นางพรณภัสส์ อินรอดวงศ์ ครูโรงเรียนอนุบาลสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า รู้สึกโชคดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมกิจกรรมกับวิทยากรทุกท่านของ สวทช.ได้รับความรู้พร้อมความสนุกสนาน รู้สึกประทับใจและตื่นเต้นทุกกิจกรรม มีกิจกรรมให้ทำอย่างต่อเนื่อง เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดกระบวนการคิด เกิดทักษะในการวางแผนการทำงาน มีความร่วมมือในการทำงาน ทำให้เห็นความสำคัญของการให้ลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 จะนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนการสอนนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
นางสาวกันยารัตน์ เลิศรัตนพันธุ์ ครูโรงเรียนแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า กิจกรรมของ สวทช. เน้นให้ครูได้ลงมือปฏิบัติจริง ไม่น่าเบื่อ เข้าใจได้ง่าย ทำให้สามารถนำไปถ่ายทอดต่อกับนักเรียนได้ ชอบทุกกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมแปลงร่างพลังงาน เพราะได้เรียนรู้เปลี่ยนพลังงานลมเป็นพลังงานไฟฟ้า สามารถนำกิจกรรมไปใช้กับนักเรียนได้จริง เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน และนำวัสดุทั่วไปมาใช้ในการทดลอง
นางณัฐธยาน์ สงวนแสง ครูโรงเรียนบ้านทวดทอง จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า เกิดความสนุกสนาน ทุกคนได้ลงมือทำ ได้ทั้งความรู้ทักษะการลงมือปฏิบัติ และแนวทางในการนำกิจกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ และยังสามารถนำกิจกรรมไปบูรณาการกับวิชาอื่น ๆ หรือระดับชั้นอื่น ๆ ได้ด้วย ชอบกิจกรรมเพลงของหัวใจ เพราะเราได้ฟังเสียงหัวใจของตนเองและผู้อื่น อุปกรณ์สามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่สิ้นเปลือง
นายสุรเชษฐ์ วิทยากุลเดช ครูจากโรงเรียนอนุบาลนางรอง (สังขกฤษณ์อนุสรณ์) จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า เป็นกิจกรรมที่ดี ส่งเสริมให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง ได้ศึกษาและสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง นำความรู้ ทักษะทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน มีความสนุก ตื่นเต้น ในการทำกิจกรรม ยกอย่างเช่นกิจกรรมการลงจอดของยานอวกาศ เป็นกิจกรรมที่ท้าทาย ได้ระดมความคิด ช่วยกันแก้ปัญหา และออกแบบชิ้นงานให้บรรลุตามโจทย์ที่กำหนด
ภาพผลงานบางส่วนของผู้เข้าร่วมอบรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. พัฒนาเครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่น พร้อมนำ NanoSampler สำรวจ 3 พื้นที่ใน กทม. พบไอเสียรถยนต์ เป็นสาเหตุหลักฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nanotec-nstda-study-reveals-vehicle-emissions-as-main-source-of-pm2-5.html
เมื่อฝุ่นละอองกลายเป็นวาระแห่งชาติ ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ออกแบบและพัฒนาเครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่นโดยประยุกต์ใช้ร่วมกับอุปกรณ์ NanoSampler นำเครื่องติดตั้งใน 3 พื้นที่ของ กทม. (อารีย์, บางนา และดินแดง) ชูความต่างที่สามารถเก็บและแยกตามขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็น 6 ระดับชั้น ตั้งแต่ PM>10 จนถึง PM0.1 พร้อมวิเคราะห์หาการกระจายขนาดและองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละออง พบฝุ่น PM2.5 จากไอเสียรถยนต์มากสุด รอลงมาคือฝุ่นจากกิจกรรมก่อสร้าง พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลหนุนการจัดการมลพิษ
ดร.รัฐพร แสนเมืองชิน ทีมวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโน กลุ่มวิจัยการวิเคราะห์ระดับนาโนขั้นสูงและความปลอดภัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ "การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก" เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" เมื่อปี 2652 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีขั้นตอน/การปฏิบัติงานที่ชัดเจนในช่วงสถานการณ์วิกฤตปัญหาฝุ่นละอองด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่, การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ
โครงการวิจัย “การตรวจวิเคราะห์หาการกระจายขนาดและองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” นำโดย ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมีความร่วมมือทางวิชาการ ด้านการศึกษาวิจัยในประเด็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ร่วมกันเพื่อสนับสนุนมาตรการการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การบริหารจัดการมลพิษ รวมถึงแนวทางการป้องกันและลดมลพิษที่ต้นทางได้ในอนาคต
“โครงการวิจัยนี้ เราได้ศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและสัดส่วนแหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดเล็กโดยเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศสำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ สถานีตรวจวัดอากาศของกรมควบคุมมลพิษ 3 แห่ง ได้แก่ สถานีกรมประชาสัมพันธ์อารีย์ สถานีการเคหะชุมชนดินแดง และสถานีกรมอุตุนิยมวิทยาบางนา โดยใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่าง NanoSampler (Furuuchi et al., Aerosol and Air Quality Research, 10: 185–192, 2010) ที่สามารถเก็บและแยกตามขนาดฝุ่นละอองขนาดเล็กเป็น 6 ระดับชั้น คือ PM0.1, PM0.1-0.5, PM0.5-1, PM1-2.5, PM2.5-10 และ PM>10 ในเครื่องเดียว ซึ่งแตกต่างจากเครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่นที่หน่วยงานต่างๆ ใช้ในปัจจุบัน ที่จะเก็บตัวอย่างฝุ่นและรายงานค่าความเข้มข้นฝุ่นเป็น PM2.5 และ PM10 ตามชนิดของเครื่องเก็บตัวอย่าง โดยส่วนใหญ่จะสามารถเก็บได้เพียงขนาดเดียวเท่านั้น” ดร.รัฐพรชี้
เครื่องเก็บตัวอย่างฝุ่น ได้รับการออกแบบให้สามารถดูดอากาศโดยรอบเข้ามาในอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง NanoSampler ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนสุด ด้วยอัตรา 40 ลิตรต่อนาที โดยจะมีการเก็บตัวอย่าง 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นหนาแน่นในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูหนาวที่มีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน ความกดอากาศสูง ส่งผลให้อากาศไม่ไหลเวียน/ไม่กระจายตัว จนเกิดการสะสมของฝุ่น ซึ่งทีมวิจัยนาโนเทคเก็บตัวอย่างในช่วงเดือนมกราคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2564 รวมทั้งหมด 40 ครั้งต่อสถานี จากนั้นนำตัวอย่างไปวิเคราะห์องค์ประกอบของฝุ่น และประเมินแหล่งกำเนิดของฝุ่นโดยอาศัยข้อมูลฝุ่นที่จำแนกทางเคมี แหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งเทคนิคทางสถิติ
ผลจากการวิเคราะห์ฝุ่นละอองที่เก็บจาก 3 สถานีตรวจวัด เมื่อมองจากความเข้มข้นโดยมวลและการกระจายตัวของฝุ่น พบว่า ความเข้มข้นฝุ่นสูง (80-180 มค.ก./ตร.ม.) ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม และความเข้มข้นของฝุ่นต่ำลง (20-85 มค.ก./ตร.ม.) ในช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น (40-190 มค.ก./ตร.ม.) อีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม โดยพบฝุ่นช่วง PM0.5-1 และ PM2.5-10 มีสัดส่วนสูงที่สุดจากทุกสถานี และการศึกษาพบว่า ความเข้มข้นของฝุ่นขนาดเล็กละเอียด (PM0.1) พบในสัดส่วนที่มากที่สุดในทุกสถานีตลอดทั้งปี
ในด้านความเข้มข้นของสารคาร์บอนทั้งหมด (TC) ประกอบด้วยสารคาร์บอนอินทรีย์ (OC) และธาตุคาร์บอน (EC) พบว่า ความเข้มข้น TC สูงที่สุด ในช่วง PM0.5-1.0 และมีความเข้มข้น TC ต่ำสุดในช่วง PM>10 ซึ่งสารคาร์บอนทั้งหมดในแต่ละช่วงฝุ่นมีแนวโน้มสอดคล้องกันในทุกสถานี ความเข้มข้นของสารคาร์บอนอินทรีย์ที่พบในทุกช่วงฝุ่นสูงกว่าความเข้มข้นของธาตุคาร์บอน โดยที่มีความเข้มข้นที่สูงในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม และความเข้มข้นลดต่ำลงในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และพบว่า สถานีดินแดงมีความเข้มข้นคาร์บอนสูงที่สุดทั้งสารคาร์บอนอินทรีย์ และธาตุคาร์บอน ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง และฝุ่นทุติยภูมิ หรือ ฝุ่นจิ๋วที่ลอยอยู่ในบรรยากาศ ซึ่งโดยทั่วไปถูกปล่อยจากแหล่งกำเนิดโดยตรงที่เกิดจากการเผาไหม้จากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ โรงงาน โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิง และการเผาในที่โล่ง เป็นต้น
จากผลการวิเคราะห์ไอออนละลายน้ำในองค์ประกอบของฝุ่น พบค่าความเข้มข้นของไอออนรวมมีแนวโน้มสอดคล้องกับความเข้มข้นฝุ่นโดยมวล โดยในช่วง PM0.1, PM0.5-1 และ PM1-2.5 พบซัลเฟตไอออน (SO42–) ในสัดส่วนที่สูง และในช่วง PM2.5-10 และ PM>10 พบไนเทรตไอออน (NO3–) ในสัดส่วนที่สูง โดยที่ทั้งไนเทรตไอออนและซัลเฟตไอออนมีแหล่งกำเนิดมาจากยานพาหนะและฝุ่นทุติยภูมิ ส่วนผลการวิเคราะห์ธาตุโลหะหนักในองค์ประกอบของฝุ่น พบว่า ความเข้มข้นธาตุโลหะหนักรวมมีปริมาณที่น้อยกว่าความเข้มข้นของสารคาร์บอนและไอออนละลายน้ำในทุกช่วงฝุ่น โดยความเข้มข้นของโลหะหนักแต่ละช่วงฝุ่นจะแตกต่างกันไป แต่พบเหล็ก (Fe), โซเดียม (Na), แมกนีเซียม (Mg), อะลูมิเนียม (Al) และโพแทสเซียม (K) ในปริมาณสูงในทุกสถานี ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากการจราจร อุตสาหกรรม ฝุ่นดิน ฝุ่นถนน และการเผาวัสดุชีวมวล
ดร.รัฐพร กล่าวต่อว่า ในประเด็นของแหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) และการมีส่วนร่วมของฝุ่นในแต่ละช่วง ได้แก่ PM0.1, PM0.5-2.5 และ PM2.5-10 ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม 2564 โดยอาศัยข้อมูลหลักเกี่ยวกับฝุ่นและองค์ประกอบทางเคมี ผลการศึกษาพบว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) มาจากไอเสียรถยนต์สูงถึง 48% รองลงมาคือ ฝุ่นทุติยภูมิ, การเผาในที่โล่ง และฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรมและฝุ่นถนน เป็นต้น
และเมื่อจำแนกแหล่งกำเนิดของฝุ่นตามช่วงขนาด พบว่า แหล่งกำเนิดหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก ละเอียด (PM0.1) มาจากไอเสียรถยนต์ถึง 65% สำหรับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM0.5-2.5) มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากไอเสียรถยนต์ 41% และแหล่งที่มาสำหรับฝุ่นหยาบ (PM2.5-10) มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากฝุ่นจากการก่อสร้างถึง 50% โดยฝุ่นละอองขนาดเล็กส่วนใหญ่มาจากการมีส่วนร่วมของมนุษย์
PM0.1
PM 1-2.5
Bare filter
ไส้กรองจาก Nano Sampler
“ผลจากการวิเคราะห์นี้จะเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ภาครัฐจะนำไปใช้ประโยชน์ต่อ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นข้อมูลเชิงวิชาการในด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก ที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขจะนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน” ดร.รัฐพรกล่าว พร้อมชี้ว่า ในเชิงการต่อยอดวิจัยนั้น หากมีโอกาสได้ไปเก็บตัวอย่างในที่ ๆ ตรงจุดที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น ฝุ่นจากไอเสียรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแตกต่างกัน ฝุ่นจากภาคการผลิตในอุตสาหกรรมก็อาจจะเป็นการติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นในนิคมอุตสาหกรรมฯ และเมื่อนำมาวิเคราะห์ ก็อาจจะเห็นสารที่เป็นตัวชี้วัด (marker) ของฝุ่นในแต่ละพื้นที่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ทราฟฟี่ ฟองดูว์” ตัวช่วยรับแจ้งปัญหา พร้อมต่อยอดบริการตอบโจทย์ทุกพื้นที่ ปักหมุดใช้จริงทุกหน่วยราชการ 10 จังหวัด
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/success-of-traffy-fondue-presented-in-an-online-seminar.html
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จัดกิจกรรมเสวนา KM Online หัวข้อ “Traffy Fondue”(ทราฟฟี่ ฟองดูว์) ยกระดับบริการ ตอบโจทย์บริหารเชิงพื้นที่” เป็นการเสวนาออนไลน์แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและความสำเร็จของการใช้งานในหน่วยงานระดับจังหวัดและท้องถิ่น ในการนำแพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิจัยเนคเทค สวทช. ไปใช้งานจริงในพื้นที่
นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาระบบการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น กล่าวเปิดสัมมนาว่า แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ถือว่าเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่ตอบโจทย์แนวทางการทำงานของ ก.พ.ร. ที่กำลังขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนารูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารราชการในจังหวัดให้มีการทำงานที่มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance Province: HPP) เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบการบริหารราชการเชิงพื้นที่ให้มีความคล่องตัว โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมของรัฐ (Public Innovation) การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการทำงาน (Digital Government) การพัฒนาไปสู่ราชการระบบเปิด (Open Government) และการพัฒนาสู่การบริการภาครัฐที่เป็นเลิศ (Public Service for Excellence) ในขณะที่เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนด้วย
นอกจากนี้ Traffy Fondue ยังนับเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบราชการด้านงานบริการประชาชน ตอบโจทย์ 4 ถึง คือ เข้าถึง ทั่วถึง ถึงที่ และถึงตัว ทำให้การติดต่อราชการเร็วขึ้น ถูกขึ้น ง่ายขึ้น สมาร์ทขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน (Faster Cheaper Easier Smarter for Better Life)
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หัวหน้าทีมผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue กล่าวว่า ปัจจุบัน Traffy Fondue มีหน่วยงานใช้งานและอยู่ในระบบกว่า 10,614 หน่วยงาน มีสถิติการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนปัญหารวมแล้วกว่า 300,000 เรื่อง โดยมี 10 จังหวัดที่ให้ทุกส่วนราชการทั้งจังหวัดใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในการรับแจ้งปัญหาประชาชน ได้แก่ นครราชสีมา อุบลราชธานี ขอนแก่น พะเยา ลำพูน ปราจีนบุรี ภูเก็ต เพชรบูรณ์ สมุทรปราการ และสระบุรี ขณะที่เชียงใหม่ และฉะเชิงเทรา เป็นอีก 2 จังหวัดที่เตรียมประกาศใช้ทั้งจังหวัดเร็ว ๆ นี้
ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีสถิติประชาชนแจ้งปัญหาแล้วกว่า 271,658 เรื่อง แก้ไขปัญหาแล้ว 197,848 เรื่อง ปัญหาที่แจ้งมากที่สุดส่วนใหญ่เป็นปัญหาถนน ทางเท้า น้ำท่วม ความปลอดภัย แสงสว่าง และความสะอาด
ดร.วสันต์ กล่าวด้วยว่า จากการที่ทีมวิจัยทำแบบสอบถามสำรวจความเห็นประชาชนที่ใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในกรุงเทพมหานคร พบว่าจำนวน 14,200 คน หรือ 91% พึงพอใจกับการใช้งานที่ง่าย ขณะที่มีการสำรวจความเห็นของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ใช้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ประมาณ 1,200 คน พบว่าเจ้าหน้าที่ 1,190 คน หรือ 84% พึงพอใจในการใช้งาน มีประโยชน์ช่วยให้รับแจ้งได้รวดเร็ว มีข้อมูลในการบริหารจัดการและวางแผนงบประมาณ
นายสันติธร ยิ้มละมัย ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จ.ลำพูน มีนโยบายให้ทุกส่วนราชการในจังหวัดใช้ Traffy Fondue เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สามารถติดตามการแก้ไขปัญหาของประชาชนได้ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยปัจจุบัน จ.ลำพูน ใช้งานครอบคลุมทั้ง 104 ส่วนราชการของจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน ได้รับแจ้งปัญหา 481 เรื่อง แก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 341 เรื่อง คิดเป็น 71% หลังจากนี้จะขยายผลการใช้งาน เช่น นำไปใช้ลงทะเบียนสวัสดิการผู้สูงอายุ เป็นต้น
นพ.ชูชาติ นิจวัฒนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฉลอง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ทุกส่วนราชการใน จ.ภูเก็ต ใช้ Traffy Fondue ครอบคลุม 119 หน่วยงาน เป็นไปตามนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต โดยปัจจุบันยังมีการร่วมมือกับเนคเทค สวทช. ในการพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์การใช้งานในพื้นที่ โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต เป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงมีความต้องการเพิ่มเมนูภาษาอังกฤษเพื่อรองรับการใช้งานของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในอนาคต รวมทั้งได้ต่อยอดนำ Traffy Fondue มาเป็นเครื่องมือในการรายงานการกระทำผิดกฎจราจราจร โดยเฉพาะการไม่สวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งประชาชนหรือนักท่องเที่ยวสามารถแจ้งผ่าน Traffy Fondue ได้เช่นกัน
นายเทพพร จําปานวน นายกเทศมนตรีตําบลอาจสามารถ อําเภออาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า เทศบาลตำบลอาจสามารถ เป็นหน่วยงานนำร่องของ จ.ร้อยเอ็ด ในการนำ Traffy Fondue มาใช้รับแจ้งปัญหาประชาชนในระดับชุมชน ซึ่งเดิมใช้วิธีการรับแจ้งโดยการให้ประชาชนมาเขียนคำร้อง ทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าในการแก้ปัญหา เนื่องจากต้องมีขั้นตอนการประสานงาน อีกทั้งไม่สามารถติดตามการแก้ไขปัญหาเพราะไม่มีการบันทึกอย่างเป็นระบบ การมี Traffy Fondue จึงนับว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยให้การทำงานของเทศบาลตำบลอาจสามารถมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ปัจจุบันได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว 274 เรื่อง แก้ปัญหาแล้ว 256 เรื่อง โดยมีบางเรื่องต้องประสานส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ และในอนาคตอยากเห็น Traffy Fondue เป็นแอปพลิเคชันอยู่บนมือถือของทุกคน และใช้กับทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ก็จะถือเป็นการบูรณาการการแก้ปัญหาให้กับประชาชนร่วมกัน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
จ.สระบุรี ใช้ Traffy Fondue บูรณาการทุกหน่วยงานแก้ปัญหาเมือง
แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง Traffy Fondue ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิจัย เนคเทค สวทช. ยังมีการขยายผลถูกนำไปใช้งานในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด จ.สระบุรี ได้บูรณาการการทำงานของทุกหน่วยงานราชการทั่วทั้งจังหวัด ในการนำ Traffy Fondue ไปใช้เป็นเครื่องมือในการรับแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านไลน์ @traffyfondue เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ไทยเดินหน้าพัฒนานโยบายและอุปกรณ์ลดความรุนแรงอุบัติเหตุ ‘ชนมุดท้าย-ข้าง รถบรรทุก’ หนุนลดอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนน
ประเทศไทยมีสถิติการเกิดเหตุรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ‘ชนหรือมุดเข้าด้านท้าย-ข้างของรถบรรทุก’ ติดอันดับต้นของโลก มีอัตราการเกิดเหตุเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือมากกว่า 60 ครั้งต่อปี ซึ่งอุบัติเหตุเหล่านี้มักนำมาซึ่งการบาดเจ็บสาหัสและการเสียชีวิต กรมการขนส่งทางบกร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และพันธมิตร เดินหน้าพัฒนานโยบายและอุปกรณ์ลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ ‘ชนหรือมุดท้าย-ข้างรถบรรทุก’ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ตั้งเป้าออก ‘ข้อกำหนด’ ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านท้ายและข้างรถบรรทุก
[caption id="attachment_43075" align="aligncenter" width="700"] นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรม กรมการขนส่งทางบก[/caption]
นายจักรกฤช ตั้งใจตรง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิศวกรรม กรมการขนส่งทางบก อธิบายถึงสาเหตุความรุนแรงของอุบัติเหตุประเภทนี้ว่า ด้วยโครงสร้าง ขนาด ความสูง และความแข็งแรงที่แตกต่างกันมากระหว่างรถบรรทุกกับยานพาหนะขนาดเล็ก อาทิ รถเก๋ง รถกระบะ รถจักรยานยนต์ ทำให้รถขนาดเล็กที่พุ่งเข้าชนท้ายหรือสไลด์เข้าด้านข้างรถบรรทุก ‘ไม่อาจต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นได้มากนัก’ แม้รถเหล่านั้นจะผ่านการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อลดความรุนแรงของอุบัติเหตุมาเป็นอย่างดี
“จากความสูญเสียที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลงอย่างชัดเจนตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรออกข้อกำหนดการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD) และด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD) บนรถบรรทุก สำหรับลดความเสี่ยงในการมุดหรือสไลด์เข้าไปใต้ตัวรถหากเกิดเหตุยานพาหนะขนาดเล็กพุ่งชน ‘เพื่อลดความเสียหายและเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต’ ดังข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ (UN vehicle regulations) ที่มีการใช้งานแล้วในยุโรปและหลายประเทศในเอเชีย เพราะแม้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะไม่ได้มีเหตุมาจากรถบรรทุกหรือผู้ขับขี่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงเมษายน 2565 กรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. และพันธมิตรผู้ประกอบการด้านการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาประกาศเรื่อง ‘การกำหนดคุณลักษณะและเงื่อนไขในการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายของรถที่ใช้ในการขนสัตว์หรือสิ่งของ’ โดยพิจารณาร่วมกันทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยที่เป็นสากล การปรับเงื่อนไขของอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับการใช้งานรถบรรทุกในประเทศไทย และการพิจารณาความพร้อมในการติดตั้งอุปกรณ์ของผู้ประกอบการ จนปัจจุบันคณะทำงานได้ข้อสรุปที่มีความพร้อมแล้ว คาดว่าจะออกประกาศได้ภายในกลางปีนี้ โดยมีผลบังคับใช้ในปีหน้า (มกราคม 2567)”
เปิดตัว ‘อุปกรณ์กันมุด’ ที่เหมาะสมกับรถบรรทุกไทย
ในด้านการพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้าย เอ็มเทค สวทช. ในฐานะองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้เร่งดำเนินการศึกษาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านท้ายและข้างที่ปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล มุ่งเน้นการผลิตในประเทศ ลดต้นทุนการผลิต ลดการนำเข้า และผู้ผลิตในไทยสามารถผลิตอุปกรณ์ได้ทันรองรับความต้องการภายในประเทศเมื่อข้อกำหนดมีผลบังคับใช้
[caption id="attachment_43076" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ในการพัฒนาต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย ทีมวิจัยได้นำข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ UN R73 และ UN R58 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ป้องกันด้านข้างและด้านท้ายรถบรรทุกตามลำดับ มาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบเชิงวิศวกรรมรวมถึงการวิเคราะห์และทดสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของอุปกรณ์
[caption id="attachment_43088" align="aligncenter" width="700"] อุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43082" align="aligncenter" width="700"] อุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD)[/caption]
“ซึ่งปัจจุบันทีมวิจัยได้พัฒนาแบบเชิงวิศวกรรมชิ้นส่วนย่อยของอุปกรณ์ RUPD และ LPD ที่จำเป็นต้องติดตั้งให้ผู้ประกอบการได้เลือกใช้ผลิตอุปกรณ์รวมแล้วมากกว่า 90 แบบ โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้งานส่วนเชื่อมต่อ (Spacer/ Bracket & support), คานขวาง (Protective beam/ Cross section/ Beam section) และขายึด (Stay/ Chassis attachment) ได้ตามความเหมาะสม ผ่านการจัดชุดอุปกรณ์แบบผสมฟังก์ชันให้สอดคล้องกับรูปแบบลักษณะของรถในประเทศไทย ด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘Morphological Matrix’ ที่ช่วยให้ผู้ผลิตจัดสรรอุปกรณ์สำหรับนำไปผลิตตามได้หลากหลายรูปแบบ โดยทีมวิจัยได้จัดเตรียมเครื่องมือนี้ไว้ให้บริการในแพลตฟอร์มแล้ว ผู้ที่สนใจเข้าใช้บริการได้ที่แพลตฟอร์มฐานข้อมูลแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับผู้ผลิตในประเทศ”
[caption id="attachment_43080" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43081" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (Lateral Protective Device: LPD)[/caption]
[caption id="attachment_43079" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบอุปกรณ์ป้องกันด้านท้าย (Rear Underrun Protective Device: RUPD)[/caption]
[caption id="attachment_43077" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบชิ้นส่วนอุปกรณ์เชื่อมต่อ[/caption]
[caption id="attachment_43078" align="aligncenter" width="700"] ผลงานต้นแบบชิ้นส่วนอุปกรณ์เชื่อมต่อ[/caption]
โครงการความร่วมมือนี้นับเป็นการทำงานโดยคนไทยเพื่อคนไทยอย่างแท้จริง เพราะชุดข้อมูลที่ทีมวิจัยเลือกใช้เป็นหัวใจของการพัฒนา คือ ความพร้อมด้านการผลิตของผู้ประกอบการไทย และประสบการณ์การใช้งานจริงจากผู้ให้บริการด้านการขนส่ง
ดร.ศราวุธ อธิบายว่า ความท้าทายในการพัฒนาอุปกรณ์นี้มีถึง 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาอุปกรณ์ให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล การออกแบบให้อุปกรณ์มีน้ำหนักเหมาะสม วัสดุที่ใช้ผลิตหาได้ในประเทศ ผู้ผลิตภายในประเทศดำเนินการผลิตด้วยโรงงานที่มีอยู่ และสุดท้ายคือต้นทุนการผลิตต้องถูกกว่าการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ เพราะหากตกหล่นข้อใดข้อหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบให้การดำเนินงานขับเคลื่อนไม่สำเร็จได้
“อีกด้านหนึ่งที่ สวทช. ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในไทย (SMEs) มีโอกาสคว้าส่วนแบ่งทางการตลาดได้ทันการประกาศใช้นโยบายที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) จึงได้เตรียมพร้อมให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนในการวิจัยตามเงื่อนไขที่กำหนดแล้ว” ดร.ศราวุธ ทิ้งท้าย
ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งผู้ประกอบการด้านการขนส่ง ผู้ผลิตรถ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้นำเข้า และผู้ประกอบตัวถังรถบรรทุกในประเทศไทย ติดตามประกาศบังคับใช้จากกรมการขนส่งทางบกได้ในช่วงกลางปีนี้ และสำหรับผู้ที่สนใจขอรับคำปรึกษาด้านโครงสร้างเชิงวิศวกรรม ร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือนำอุปกรณ์เข้าทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ผนึก บ้านปู เดินหน้าวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมพลังงาน มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-banpu-pcl-teamp-up-to-accelerate-carbon-neutrality-journey.html
(8 พฤษภาคม 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมอุตสาหกรรมในการเร่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนร่วมกัน โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ดร.ธีระชัย พรสินศิริรักษ์ Head of Digital and Innovation บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. และ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมเป็นพยาน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ที่เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ของประเทศ และเชื่อมโยงกับพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยผ่านความร่วมมือจากศูนย์วิจัยภายใต้ สวทช. ซึ่งเป็นศูนย์แห่งชาติที่มีความเชี่ยวชาญและมีความรู้ความสามารถในทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะก่อให้เกิดนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศผ่านการสร้างมูลค่าทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทยและทำให้เกิด 'เศรษฐกิจหมุนเวียน' ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1.พลังงานไฟฟ้าและแบตเตอรี่ 2.การลดคาร์บอนคาร์บอนเพื่อความเป็นกลางของคาร์บอน 3. Digital transformation 4. Modern and advance agriculture และ 5. มาตรฐานและโครงสร้างพื้นฐาน โดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมในภาพรวม
“ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และช่วยส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด”
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ บ้านปูมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน ทั้งในกระบวนการทำงานและการสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) ภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter สำหรับความร่วมมือกับ สวทช. นี้ จะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสององค์กรทั้งในภาพใหญ่ คือ ภาพด้านกลยุทธ์และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นกลางทางคาร์บอน และความร่วมมือในระดับนานาชาติที่ทั้งสององค์กรมีเครือข่าย และประโยชน์ในทางปฏิบัติ ทั้งความร่วมมือเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมอุตสาหกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล รวมถึงการแลกเปลี่ยนทักษะและองค์ความรู้ระหว่างบุคลากรทั้งสององค์กรอีกด้วย
/////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญฟังสัมมนาฟรี “Industry 4.0 ลงทุนง่าย ๆ สบายกระเป๋า” ภายในงาน Intermach & Subcon Thailand 2023
สวทช. โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย (Thailand i4.0 Platform Group) ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ร่วมจัดสัมมนา “Industry 4.0 ลงทุนง่ายๆ สบายกระเป๋า” ภายในงาน Intermach & Subcon Thailand 2023 ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.00-17.00 น. ห้อง MR 222 ชั้น 2 ไบเทคบางนา
พบกับการบรรยายพิเศษ เสวนา และรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
Highlight : โอกาสการเข้ารับการประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 (มูลค่ากว่า 100,000 บาท) จากผู้เชี่ยวชาญจาก Thailand i4.0 index โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการปรับปรุงและยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0
รับฟังประสบการณ์ตรงจากตัวแทนองค์กรที่ได้ลงทุนยกระดับปรับปรุงโรงงาน ปัญหา อุปสรรค และคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
รับคำปรึกษาและแนวทางการประเมินโรงงานด้วย Thailand i4.0 Index
จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไปร่วมสัมมนา
สามารถลงทะเบียนได้ที่ >>> https://shorturl.at/gntxy
ปฏิทินกิจกรรม


