หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ล็อกคุณค่าสารสกัดมะขามป้อมด้วยนวัตกรรมนาโนสู่เวชสำอางบำรุงผิว “HERBLOC”
  Tech: สุดปิ๊ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมสู่นวัตกรรมซีรัมบำรุงผิวหน้าทรงประสิทธิภาพ “HERBLOC” ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีช่วยกักเก็บสารสำคัญไว้ในอนุภาคนีโอโซม (niosomes) ช่วยเพิ่มความคงตัวของสารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงานการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women 2022 : GSW2022) BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ วิจัยและพัฒนาโดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. รับถ่ายทอดเทคโนโลยีไปผลิตและจำหน่ายโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ติดต่อสอบถามได้ที่ อีเมล : k.marketingmania@gmail.com เฟซบุ๊ก : herbloc2021 หรือไลน์ : @herbloc   [caption id="attachment_45214" align="aligncenter" width="750"] ดร.สกาว ประทีปจินดา และ สักรินทร์ ดูอามัน ทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.สกาว ประทีปจินดา นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า มะขามป้อมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในกระบวนการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งได้รับการยอมรับในการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างกว้างขวาง แต่ปัญหาหลักของสารสกัดจากมะขามป้อมคือเรื่องของความคงตัว เมื่อเจอกับความชื้นหรือแสงแดดจะเสื่อมสภาพได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมให้อยู่ในรูปของอนุภาคนีโอโซมด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น (Nanoencapsulation) เพื่อเพิ่มความคงตัวให้สารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น เมื่อนำไปพัฒนาเป็นสูตรตำรับเวชสำอางและทดสอบในอาสาสมัครพบว่ามีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวแลดูขาว กระจ่างใสและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว สักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าต่อว่า สารสกัดจากสมุนไพรมีข้อดีคือประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ แต่ยังมีจุดอ่อนในเรื่องการทำละลายและการคงตัว จึงต้องพัฒนาสารสกัดให้มีความพร้อมแก่การนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพดี มีความคงตัว ออกฤทธิ์ได้ตลอดการใช้งาน และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อย่างเช่นสารสกัดมะขามป้อม ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดสูง ทำให้พัฒนาสูตรได้ยาก แต่เมื่อเราพัฒนาสารสกัดให้อยู่ในอนุภาคนีโอโซมแล้วทำให้พัฒนาสูตรตำรับได้ง่ายและหลากหลายมากขึ้น โดยหนึ่งในสูตรตำรับที่พัฒนาขึ้นคือผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวหน้า Emblica Encapsulation Anti-Aging Facial Serum ปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ผลิตจำหน่ายภายใต้แบรนด์ HERBLOC   [caption id="attachment_45213" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวจากสารสกัดมะขามป้อม HERBLOC[/caption]   จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้า HERBLOC คือ มีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสารสกัดมะขามป้อมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นสาเหตุผิวหมองคล้ำ ผลิตด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น เพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บสารสำคัญและค่อยๆ ปลดปล่อยเข้าสู่เซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ชะลอการเกิดริ้วรอย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว HERBLOC ผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และผลิตภัณฑ์ผ่านการจดแจ้งจาก อย. เรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่นำคุณค่าของสมุนไพรไทยมาเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ และตอบโจทย์การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีของประเทศ   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สภาเภสัชฯ ผนึกกำลัง สวทช. และ สปสช. เดินหน้านำเทคโนโลยี A-MED Care Pharma เชื่อมระบบบริการเภสัชกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย
(เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566) ณ ห้องประชุมชั้น 10 อาคารมหิตลาธิเบศร สภาเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี : รศ. พิเศษ ภก. กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ นพ.สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมแถลงพิธีลงนามความร่วมมือในการนำเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบบริการด้านเภสัชกรรม รศ. พิเศษ ภก. กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า นับตั้งแต่วิกฤตการระบาดของโควิด 19 เภสัชกรได้มีบทบาทในการช่วยเหลือระบบสาธารณสุขต่าง ๆ ตั้งแต่การแจกชุด ATK การมีส่วนร่วมดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในการแยกตัวที่บ้าน (Home Isolation) ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นในการที่ได้รู้จักและใช้งานในระบบ A-MED Care และได้มีการพัฒนาต่อมาเพื่อใช้ใน โครงการเจอ แจก จบ หรือ โครงการ Self-isolation ที่ร้านยา (เป็นหน่วยร่วมบริการส่งต่อเฉพาะด้านเภสัชกรรมของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ได้ให้บริการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด 19 (กลุ่มสีเขียว) ที่บ้าน โดยใช้ระบบ A-MED Care ในการบันทึกอาการ จ่ายยา และติดตามอาการไปจนถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าบริการ นับเป็นบริการแรกที่ประชาชนจำนวนมากได้รู้จักและชื่นชมในบทบาทของเภสัชกร มีผู้ป่วยได้รับการดูแลจากเภสัชกรชุมชนใน โครงการเจอ แจก จบ นี้ร่วม 6 หมื่นคน จาก 700 ร้านยาที่ร่วมโครงการ ในปีงบประมาณ 2566 ทางสภาเภสัชกรรมจึงเสนอบริการ 16 อาการเล็กน้อยมารับยาที่ร้านยา โดยเภสัชกรจะแนะนำการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้น และหลังจากรับยาไป 3 วัน จะติดตามผลการใช้ยาว่าผู้ป่วยดีขึ้นหรือไม่อย่างไร โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการนี้ สร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนนับเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของการให้บริการโดยเภสัชกรชุมชน ประชาชนสามารถสังเกตสติ๊กเกอร์ของร้านยาที่ให้บริการ ที่เขียนว่า “ร้านยาคุณภาพของฉัน ” “ระบบ A-MED Care พัฒนาโดย สวทช. เป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการ การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ซึ่งร้านยาที่เข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีมาตรฐานการปฏิบัติที่ดีทางเภสัชกรรม (Good Pharmacy Practice / GPP) ของกระทรวงสาธารณสุขแล้วจะต้องผ่านเกณฑ์การรับรอง “ ร้านยาคุณภาพ” และผ่านการอบรมหลักสูตร “การดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ”ตามที่สภาเภสัชกรรมกำหนดด้วย  ทั้งนี้เพื่อให้การบริการเป็นไปตามมาตรฐาน ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ดีมีมาตรฐานตามที่สภาเภสัชกรรมกำหนด และมีการจ่ายยาอย่างถูกต้องสมเหตุผล   นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ระบบ A-MED Care Pharma ช่วยให้การให้บริการของเภสัชกรในโครงการเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว  ใช้งานง่าย  มีความเสถียรและมีแอดมินคอยช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดเวลา ผนวกกับการดูแลจ่ายยา ให้คำแนะนำ ติดตาม หรือส่งต่อพบแพทย์ ตรงตามความต้องการของประชาชน จะเห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยมารับบริการมีจำนวนถึง 2 แสนคน มารับบริการที่ร้าน 3 แสนกว่าครั้ง (ข้อมูล ณ. วันที่ 26 กรกฎาคม 2566) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งผู้รับบริการและร้านยาที่เข้ามาร่วมโครงการ “ก้าวต่อไปในปี 2567  คือ การพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma ในบริการจ่ายยาเพื่อลดความแออัด หรือ ระบบ e-prescription  รูปแบบที่เรียกว่า โมเดล 3  เพื่อให้ร้านยาได้ใช้งานระบบเดียว ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ทั้ง ระบบการบันทึก การรายงาน และการส่งเบิกจ่าย  เป็นระบบเดียวในร้านยาซึ่งจะทำให้ร้านยาไม่ต้องใช้หลายระบบในการทำงานบันทึกการให้บริการ ซึ่งเป็นความท้าทายของวิชาชีพเภสัชกรในการปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ (New Normal) เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมบริการต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมโยง ประมวลผล และบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ” ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจและเป้าหมายหลักมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สวทช. ได้ตระหนักอย่างยิ่งถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบบริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข ที่มาประยุกต์ใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด19 ซึ่งเกิดขึ้นในไทยเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2563 จนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามแม้สถานการณ์ต่าง ๆ จะดีขึ้น แต่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางสุขภาพและจำเป็นต้องปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) โดยที่โควิด 19 ได้เพิ่มอัตราเร่งในการนำเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข มาใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยเพื่อลดการเดินทางและลดความแออัดมายังสถานบริการสุขภาพแต่ยังคงดูแลประชาชนและผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบ A-MED Care Pharma พัฒนาโดย สวทช. เพื่อเป็นแพลตฟอร์มหลังบ้านในการบริหารจัดการการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิบัตรทอง ซึ่งร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการจะต้องผ่านมาตรฐานหลักวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน ของกระทรวงสาธารณสุข และผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของสภาเภสัชกรรม เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลรักษาที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเต็มที่ โดย สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร ทรัพยากร ภายใต้กรอบพันธกิจของหน่วยงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ “ทั้งนี้ สวทช. ได้รับความไว้วางใจจากเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและนายกสภาเภสัชกรรม ในการร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี้ เข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อน การให้บริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัย ให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยขยายผลการใช้งานในวงกว้าง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศในการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างทั่วถึง” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว นพ.สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า เภสัชกรรมเป็นวิชาชีพสุขภาพที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีบทบาทหน้าที่ในการปรุงยาและใช้ยาเพื่อบริบาลผู้ป่วย และด้วยศักยภาพของวิชาชีพเภสัชกรรมที่เข้าถึงทุกชุมชนในรูปแบบร้านยา จึงได้ร่วมให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ภายใต้ชื่อ “ร้านยาชุมชนอบอุ่น” ปัจจุบันมีจำนวนกว่าหนึ่งพันแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแล้ว ล่าสุดยังได้เพิ่มนวัตกรรมบริการ “ร้านยาบริการดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ” (common illnesses) โดยร้านยาคุณภาพของฉัน เพื่อให้คำปรึกษาสุขภาพ จ่ายยาตามอาการ และติดตามอาการผู้ป่วย โดยได้รับการตอบรับด้วยดีจากประชาชนผู้ใช้สิทธิ ดังนั้น เพื่อให้บริการร้านยาชุมชนอบอุ่นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบ A-MED Care Pharma เพื่อรองรับ จึงนำมาสู่ความร่วมมือครั้งนี้ โดยการสนับสนุนจากสภาเภสัชกรรมและสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีความร่วมมือที่ดีกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาโดยตลอด และจะนำไปสู่การพัฒนาแนวทางและการดำเนินงานทุก ๆ ด้านของการให้บริการเภสัชกรรม เกิดนวัตกรรมบริการเภสัชกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาระบบข้อมูลต่าง ๆ ในส่วนงานเภสัชกรรม เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศต่อไป สำหรับ ระบบบริการด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านการสาธารณสุขผ่านร้านยาคุณภาพของฉันด้วยระบบ A-MED Care Pharma เริ่มดำเนินการให้บริการประชาชนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยครอบคลุม 16 กลุ่มอาการ เช่น ปวดหัว เวียนหัว ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเสีย ผื่นคัน และบาดแผล หากประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยตาม 16 กลุ่มอาการที่กล่าวมา สามารถเข้ารับบริการได้ที่ร้านยาคุณภาพใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อร้านยาในโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. หรือสายด่วน สปสช. 1330 หรือสังเกตสติกเกอร์ “ร้านยาคุณภาพของฉัน” ที่หน้าร้านยา โดยเภสัชกรจะซักถามอาการและจ่ายยาพร้อมให้คำแนะนำการใช้ยาและการปฏิบัติตัว รวมถึงติดตามอาการเมื่อครบ 3 วัน ทั้งนี้ หากพบว่าคนไข้มีอาการไม่ดีขึ้น ร้านยาจะส่งต่อคนไข้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) ครั้งที่ 18
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขอเชิญร่วม งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 7-11 สิงหาคม 2566  หัวข้อ “วิจัยไทยก้าวไกล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน”  ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติที่นำเสนอความก้าวหน้าผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ  เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการองค์ความรู้ไปสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติเชิงวิชาการ นโยบาย สังคม/ชุมชน และพาณิชย์/อุตสาหกรรม  โดยลงทะเบียนเข้าร่วมงานผ่านทางเว็บไซต์  https://www.researchexporegis.com  และลงทะเบียนเข้าร่วมเยี่ยมชมงานแบบหมู่คณะผ่านทาง QR Code ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2566 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.researchexpo.nrct.go.th  และ  www.nrct.go.th 
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
“End of Waste” เพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรม ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ลงนามความร่วมมือ การวิจัยและพัฒนาการผลักดันเพิ่มมูลค่ากากของเสียอุตสาหกรรม ให้เป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อการสิ้นสุดการเป็นของเสีย (End of Waste) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Econo my) โดยความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. พร้อมนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปช่วยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเพิ่มมูลค่ากากของเสีย หรือวัสดุเหลือทิ้ง ให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการนำกลับมาเป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่าตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม มีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy Model
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
นาโนเทค สวทช. วิจัยเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดใบบัวบกด้วยระบบการนำส่ง ต่อยอดสู่เวชสำอางมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Nanocarrier as a delivery system for bioactive compounds in Centella asiatica   บัวบก (Centella asiatica) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย และนิยมใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจากประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นกำเนิดแบรนด์เวชสำอางชั้นนำของโลกก็มีการใช้ใบบัวบกเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่นกัน เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารออกฤทธิ์บำรุงรักษาที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำความเชี่ยวชาญและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานวิจัยพัฒนา ‘ประสิทธิภาพการนำส่ง’ และ ‘การคงตัว’ ของสารสกัดใบบัวบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง มุ่งยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยให้ยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_45209" align="aligncenter" width="750"] ดร.อรพรรณ คิง (ซ้าย) และคุณสักรินทร์ ดูอามัน (ขวา)[/caption]   ดร.อรพรรณ คิง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ใบบัวบกเป็นพืชที่มีสารสำคัญหลัก 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ Asiaticoside และ Madecassoside เป็นสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ แต่สารสกัดสมุนไพรยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์เวชสำอาง 2 ด้าน ด้านแรกคือเป็นสารกลุ่มละลายน้ำได้ดี จึงซึมผ่านชั้นผิวหนังได้น้อยกว่าสารกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่งคือเป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active ingredient) ในเครื่องสำอาง เนื้อของผลิตภัณฑ์อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหากโดนแสงหรือความร้อน เช่น สีเปลี่ยนไปก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพ และเกิดความไม่สบายใจที่จะใช้สินค้าต่อ   [caption id="attachment_45507" align="aligncenter" width="450"] บัวบก (Centella asiatica)[/caption] “เพื่อยกระดับสารสกัดจากใบบัวบก ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน (Nanoencapsulation) ด้วยสารห่อหุ้มที่มีความจำเพาะในกลุ่ม Lipid-based nanocarrier ช่วยให้สารซึมผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และออกฤทธิ์ยังบริเวณเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้งานจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้การห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารมีความคงตัว ผลิตภัณฑ์จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีและจะยังคงมีปริมาณสารออกฤทธิ์ตามที่กำหนดจนถึงวันหมดอายุด้วย” ภายหลังการวิจัยและพัฒนากระบวนการยกระดับสารสกัดใบบัวบกจนได้มาตรฐานพร้อมนำไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. จะรับช่วงต่อนำสารสกัดที่ได้พัฒนาในรูปของ Lipid-based nanocarrier มาสร้างสรรค์เป็น ‘ตำรับเวชสำอางใหม่’ ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานทั้งในไทยและต่างประเทศ คุณสักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าถึงกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยจะนำโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์ร่วมกับคุณสมบัติของสารสำคัญ เพื่อพิจารณาว่าควรผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใด ก่อนผสานความเชี่ยวชาญด้านวิทย์และศิลป์ สร้างสรรค์ออกมาเป็นเวชสำอางที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในการใช้งาน     “ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 4 ผลิตภัณฑ์ คือ Facial Serum, Facial Sleeping mask, Emulgel และ Hand cream ทุกผลิตภัณฑ์ล้วนโดดเด่นด้านการชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวหนังและลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย โดยแต่ละตำรับจะใส่สารสำคัญอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงด้วย เช่น สารตรึงความชุ่มชื้นและเคลือบผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำระหว่างวัน สารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยกระบวนการตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มนี้แล้ว 2 บริษัท ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางของสื่อสารของแบรนด์ Herb Miracle และ iNSIEME     นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดและเวชสำอางเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมคือการให้บริการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเวชสำอางตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพสารสกัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์​ ไปจนถึงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์และความปลอดภัย ภายใต้ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ดร.อรพรรณ อธิบายว่า ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนายกระดับประสิทธิภาพการนำส่งและการคงตัวของสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน ด้วยเทคโนโลยีนาโนการห่อหุ้มหรือกักเก็บ (Nanoencapsulation) และพร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาตำรับเวชสำอางประสิทธิภาพสูงสูตรเฉพาะของแบรนด์ตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ นอกจากความพร้อมด้านการให้บริการวิจัยแล้ว นาโนเทค สวทช. ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ โรงงานต้นแบบสำหรับผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ภายใต้มาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP สำหรับให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบและสินค้าด้วย “ที่นี่เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พร้อมให้บริการเครื่อง High-pressure homogenizer หรือเครื่องลดขนาดอนุภาคของสารในระดับนาโนเพื่อการผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรมแก่ภาคเอกชน นอกจากนี้นาโนเทคยังมีความเชี่ยวชาญด้านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วยการผ่านการทดลองทางคลินิก (Clinical test) และมีผู้เชี่ยวชาญด้านเงื่อนไขข้อบังคับ (Regulation) การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ช่วยพิจารณาส่วนประกอบและกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของแต่ละประเทศด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนาจะมีคุณภาพสูง มีศักยภาพที่จะจำหน่ายได้จริงทั้งในไทยและประเทศเป้าหมาย คุณสักรินทร์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย การพัฒนากระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งสารสกัดจากสมุนไพร รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเวชสำอาง เป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญที่นาโนเทค สวทช. ภูมิใจและพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตหรือร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากใบบัวบก ติดต่อได้ที่ ฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100 ต่อ 6610, 6680 หรืออีเมล bitt-ind@nonotec.or.th สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมกับ สวทช. และภาคีเครือข่าย จัดพิธีรับตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประจำปีการศึกษา 2565 เดินหน้าปลุกศักยภาพเด็กไทยตั้งแต่ปฐมวัยมุ่งสู่การพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน
มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และภาคีเครือข่าย จัดพิธีรับตราพระราชทาน โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2565 ระหว่างวันที่ 18 – 23 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องแสงเดือน แสงเทียน ชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จ.ปทุมธานี วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้แทนพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มอบตราพระราชทานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ประจำปีการศึกษา 2565 พร้อมแสดงความยินดีกับเครือข่ายและโรงเรียนทั่วประเทศที่ผ่านการประเมินขอรับตราพระราชทาน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. วิทยากรหลักอาวุโสของโครงการ ฯ กล่าวว่า ในปีนี้มีผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น วิทยากรเครือข่ายท้องถิ่น และผู้แทนจากโรงเรียนที่ผ่านการประเมินเพื่อรับตราพระราชทาน จำนวน 13,461 คนทั้งในระดับปฐมวัยและประถมศึกษา  โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่มีโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาผ่านการประเมินรับตราพระราชทาน ครั้งที่ 1  และโรงเรียนระดับปฐมวัยในเครือข่าย สวทช. ผ่านเกณฑ์การประเมินเข้าร่วมรับตราพระราชทานครั้งที่ 4 จำนวนทั้งสิ้น 14 โรงเรียน โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เป็นโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการโดย 8 หน่วยงานภาคีเครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กลุ่มบริษัท บี.กริม และเป็นความร่วมมือกับ มูลนิธิ Haus der kleinen Forscher สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยทั้งเนื้อหาและกระบวนการส่งเสริมให้เด็ก ๆ พัฒนากระบวนการคิด ปลูกฝังให้มีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ส่งเสริมให้ตั้งคำถาม หาคำตอบ สื่อสารความรู้ที่ได้และได้ทำงานเป็นทีม เรียนรู้ด้วยความสนุก ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เปิดประสบการณ์การเรียนรู้และทักษะใหม่ ๆ โดยพัฒนาศักยภาพของครูปฐมวัยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ในปี 2566 โครงการฯ ดำเนินการครบ 12 ปี มีสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 29,144  โรงเรียนทั่วประเทศ ผ่านผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น 255 แห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ และครูผู้สอนกว่า 50,000 คน ซึ่งปรากฎผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ คือครูและเด็กสนใจเรียนรู้และสนุกกับกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ที่ผ่านมา โครงการฯ ได้จัดให้มีกิจกรรมอบรมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การอบรมครูปฐมวัยและประถมศึกษาด้าน STEM ในหัวข้อรอบตัว เช่น น้ำ อากาศ แม่เหล็ก ESD ฯลฯ การจัดทำสื่อการเรียนการสอนสำหรับครู การจัดทำรายการโทรทัศน์ "บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย" และ  จัดเทศกาลวันนักวิทยาศาสตร์น้อย ในปีนี้โครงการฯ มุ่งเน้นปลูกฝังแนวคิดเรื่อง “ความยั่งยืน” หรือ Education for Sustainable Development (ESD) ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้อย่างเข้าใจด้วยการฝึกให้เด็ก ๆ คิดถึงสิ่งที่อยู่รอบตัว ชุมชน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมายขององค์การสหประชาชาติ (UN) อีกด้วย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไทยเดินหน้า “เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน” มุ่งสนับสนุนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
  วันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี คือ “วันสากลของการอนุรักษ์ป่าชายเลนโลก (International day for the conservation of the mangrove ecosystem)” หรือที่นิยมเรียกว่า “วันป่าชายเลนโลก” เป็นวันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ระบบนิเวศในแนวเชื่อมต่อระหว่างทะเลกับผืนแผ่นดิน พบได้ในแถบเขตร้อน (tropical) และกึ่งเขตร้อน (subtropical) ของโลก ป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนและสัตว์ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน แหล่งกักเก็บคาร์บอน และยังเป็นแนวกำแพงช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลม ภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดำเนินโครงการการศึกษาชีพลักษณ์และการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนของไทยในสภาพปลอดเชื้อ โดยมุ่งหวังพัฒนาวิธีการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนแบบระยะยาว เพื่อเป็นคลังความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนในประเทศ   [caption id="attachment_45227" align="aligncenter" width="450"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันมีการอนุรักษ์พันธุ์พืชป่าชายเลนด้วยการจัดทำศูนย์รวบรวมพันธุ์ทั้งแบบอนุรักษ์ในพื้นที่ (in situ) และแบบนอกพื้นที่ (ex situ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ด้วยสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน ภัยแล้ง น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ยากแก่การวางแผนรับมือล่วงหน้า ต่างส่งผลโดยตรงต่อการกระจายพันธุ์ของพืชบางชนิด ทำให้การเก็บรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จในระยะยาว ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญพันธุ์ของพืชในธรรมชาติ ทีมวิจัย NBT จึงได้ศึกษาวิจัย “การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชชายเลนด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ” ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว “การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการเพิ่มจำนวนต้นพืชแบบไม่อาศัยเพศในสภาพปลอดเชื้อ เหมาะแก่การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคที่มีคุณลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ สามารถเพิ่มปริมาณได้รวดเร็วในพื้นที่ขนาดจำกัด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดเก็บเชื้อพันธุกรรมพืชที่มีเมล็ดแบบ Recalcitrant หรือเมล็ดชนิดที่ไม่สามารถลดความชื้นเพื่อการเก็บรักษาระยะยาวในสภาวะเยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส) ได้ ซึ่งเมล็ดชนิดนี้พบมากในพืชพรรณที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อน”   [caption id="attachment_45228" align="aligncenter" width="450"] การสำรวจป่าชายเลนเพื่อการทำวิจัย[/caption]   ถึงกระนั้นแม้จะเป็นที่ทราบกันดีในวงการวิจัยว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการอนุรักษ์พืชป่าชายเลนที่มีประสิทธิภาพ แต่จนถึงปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยด้านนี้ออกมาไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจาก “ความยากในการเพาะเลี้ยง” ดร.ปัญญาวุฒิ อธิบายว่า ความยากของการวิจัยด้านนี้คือต้องค้นหาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เหมาะสมแบบจำเพาะ เนื่องจากพืชแต่ละชนิด (species) ต้องการอาหารและสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน อีกทั้งพืชป่าชายเลนบางชนิดยังมีอัตราการเจริญเติบโตช้า ทำให้การวิจัยแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลานานหลักปี ซึ่งหากไม่ประสบความสำเร็จจะต้องเริ่มต้นกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก   [caption id="attachment_45229" align="aligncenter" width="750"] ภาพการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]   [caption id="attachment_45232" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]   “ตัวชี้วัดความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือการทำให้ชิ้นส่วนพืชปลอดเชื้อและเจริญเติบโตต่อบนอาหารสังเคราะห์ภายหลังการฟอกฆ่าเชื้อได้สำเร็จ ส่วนที่สองคือยอดใหม่ของพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ผ่านการสับเปลี่ยนอาหารแล้ว 2 ครั้ง (subculture) หลังจากผ่านทั้งสองขั้นตอนที่สำคัญเหล่านี้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่ากระบวนการเตรียมตัวอย่างพืชและสูตรอาหารมีความเหมาะสมต่อการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมชนิดนั้น ๆ ในระยะยาว ทั้งนี้เป็นการอิงตามหลักกระบวนการวิจัย (protocol) ที่ NBT ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรมากว่า 200 ชนิดพันธุ์” สำหรับการวิจัยเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลนในสภาพปลอดเชื้อในเฟสแรก สวทช. และ ทช. ได้ร่วมกันคัดเลือกพันธุ์พืชป่าชายเลนมาศึกษากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 16 ชนิด คือ หงอนไก่ใบเล็ก พังกา-ถั่วขาว ใบพาย โปรงขาว ลำแพน หลุมพอทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ โปรงแดง ฝาดดอกแดง พังกาหัวสุมดอกแดง และลำแพนหิน ซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงตามประกาศของ IUCN Red List ตั้งแต่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ในระดับต่ำ (least concern) จนถึงใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าถึงสถานการณ์การวิจัยเพาะเลี้ยงพืชป่าชายเลนในเฟสนี้ว่า ผลจากการดำเนินงานทำให้ทีมพบปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชป่าชายเลนที่เก็บตัวอย่างจากธรรมชาติ คือ ตัวอย่างเหล่านี้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์สูง โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Endophytic microbial หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยในชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่สามารถทำให้ตายผ่านการฆ่าเชื้อที่พื้นผิวตามปกติ ทีมวิจัยจึงได้นำต้นกล้าที่จัดเก็บตัวอย่างจากป่ามาปลูกในโรงเรือนที่มีความชื้นน้อยกว่าธรรมชาติเพื่อลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ ก่อนฆ่าเชื้อด้วยรูปแบบและวิธีการที่ปรับให้เหมาะสม จนทำให้ต้นพันธุ์ปลอดเชื้อได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการวิจัยสูตรอาหารเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชพันธุ์ต่าง ๆ ต่อไป   [caption id="attachment_45230" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน[/caption]   [caption id="attachment_45231" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร[/caption]   ขณะเดียวกันกับการมุ่งมั่นเพาะเลี้ยงพืชชายเลนทั้ง 16 ชนิด ทีมยังได้วิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่พบบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อประโยชน์ด้านการอนุรักษ์คู่ขนานกันไปด้วย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงแล้ว 6 ชนิดพันธุ์ คือ ผักเบี้ยทะเล ผักหวานทะเล ขลู่ เทพี สำง้ำ และสำมะงา ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าภายในธนาคารพืช NBT มีการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พรรณพืชป่าชายเลนอีกหลายด้าน เช่น การศึกษาลักษณะเรณูหรือละอองเกสร (pollen) เพื่อการระบุชนิดพันธุ์ของพืช เพราะปริมาณและความหลากหลายของเรณูที่ตรวจพบบ่งชี้ถึงความสามารถด้านการกระจายพันธุ์ของพืชในบริเวณนั้นได้ อีกตัวอย่างคือการศึกษา DNA barcode หรือรหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญที่บ่งชี้ถึงชนิดพันธุ์พืช เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการระบุชนิดพันธุ์ ซึ่งการตรวจสอบชนิดพันธุ์พืชผ่านรูปแบบ DNA barcode เป็นวิธีการที่มีความแม่นยำสูง ตรวจสอบง่าย และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงนักอนุกรมวิธานในการวิเคราะห์ผล   [caption id="attachment_45236" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นหลุมพอทะเล[/caption]   [caption id="attachment_45235" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นฝาดดอกแดง[/caption]   [caption id="attachment_45234" align="aligncenter" width="750"] กระบวนการสกัด DNA เพื่อทำ DNA barcode[/caption]   “ทั้งนี้เป้าหมายการทำงานในระยะยาวของทีมวิจัยจากธนาคารพืช NBT คือ การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านการทำงานเป็นเครือข่าย เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำวิจัย มุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ของประชากรโลก คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” ดร.ปัญญาวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย หากคุณสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือร่วมทำวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพไทยทั้งด้านพืชและจุลินทรีย์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT และติดต่อได้ที่ www.nationalbiobank.in.th  เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. เปิดโครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการ กลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง
For English-version news, please visit : New acceleration program aims to build entrepreneurial skills for countries in Lancang – Mekong region 25 กรกฎาคม 2566  ณ อาคาร C ASEAN ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) “Lancang - Mekong Young Leaders and Entrepreneurship Acceleration Camp” ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริหาร กล่าวว่า โครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการในกลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง เป็นความร่วมมือในระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) Beijing International Exchange Association และ InnoLab Asia เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือของนักวิจัย เเละผู้ประกอบการ ในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงโดยเน้นการพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ และผู้ประกอบการในกรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และไทย ที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นฐาน โดยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับผู้นำรุ่นใหม่ สร้างความพร้อมในการเข้าสู่การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ “ประเด็นที่สำคัญคือ การสร้างผู้ประกอบการที่มีศักยภาพโดยกระบวนการปลูกฝังแนวคิดการเป็น Leaders and Entrepreneurship ให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อให้มีมุมมองในการประกอบกิจการ โดยพัฒนาทักษะพื้นฐาน ตามความถนัดของแต่ละบุคคล ประกอบธุรกิจที่เหมาะสมในปัจจุบันและอนาคต  มีการเชื่อมโยงเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสเพิ่มเติมในการประกอบอาชีพ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันให้กับประเทศ กลุ่มล้านช้าง - แม่โขง ในอนาคต ซึ่งจะเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาธุรกิจในกลุ่มประเทศ ต่อไป” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว สำหรับกิจกรรมโครงการเร่งพัฒนาศักยภาพผู้นำรุ่นใหม่- ผู้ประกอบการในกลุ่มกลุ่มประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือ ล้านช้าง – แม่โขง เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอบรม Young Leaders Mindset to Achieve More จากสมาคม Thai Startup ต่อด้วยกิจกรรม Workshop “Huawei Leadership” จาก Huawei Technologies (Thailand) โดยในวันนี้ เป็นกิจกรรม Innovation Pitching มีผู้เข้าอบรมในโครงการ 21 ทีม ซึ่งจะคัดเลือก 10 ทีม ไป Business Trip to China
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. เผยผลการศึกษาเชิงนโยบายการปรับตัวระบบอาหารท้องถิ่น รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตต่าง ๆ
25 กรกฎาคม 2566 กรุงเทพฯ - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ม.อุบลราชธานี และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast ได้รับทุนวิจัยจาก Foreign Commonwealth & Development Office รัฐบาลสหราชอาณาจักร โดยความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย จัดกิจกรรมเผยแพร่การศึกษาในโครงการ “การสร้างความสามารถของระบบอาหารชุมชนในการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เพื่อเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะช่วยเสริมสร้างระบบอาหารท้องถิ่นของไทยให้สามารถรับมือและปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิกฤตต่าง ๆ อันจะสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศบนฐานความยั่งยืน โดยศึกษาใน 2 พื้นที่หลัก คือ เมือง/ชานเมือง (กทม. นนทบุรี และนครปฐม) และชนบท/พื้นที่เกษตรกรรม คือ อุบลราชธานี เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญและที่ผ่านมาเจอปัญหาน้ำท่วม พร้อมกันนี้ ยังเปิดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำผลที่ได้เสนอต่อ “คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ” ต่อไป ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ระบบอาหารของไทยในปัจจุบันต้องเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวนมากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูง ผนวกกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ วิกฤตทางเศรษฐกิจ การระบาดของโควิด-19 ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ เหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลกระทบทำให้ระบบอาหารของไทยมีความเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบอาหารท้องถิ่น ซึ่งผู้ที่อยู่ในระบบนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ที่ยังมีปัญหาในการเข้าถึงทรัพยากร แหล่งทุน องค์ความรู้ ที่จำเป็นสำหรับการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดังนั้น Foreign, Commonwealth and Development Office (FCDO), South Asia Research Hub โดยความร่วมมือกับ สถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย จึงให้ทุนไบโอเทค สวทช. โดยฝ่ายศึกษานโยบายและความปลอดภัยทางชีวภาพ ร่วมกับ ม.อุบลราชธานี และศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (IJC-FOODSEC) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค ม.ธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast ให้เป็นผู้ดำเนินโครงการ “Climate resilience of local or community food systems in Thailand” เพื่อเสริมสร้างความสามารถของระบบอาหารของท้องถิ่น ให้มีความสามารถในการรับมือและปรับตัวต่อวิกฤตต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยกลไกทางนโยบาย และความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารบนฐานของความยั่งยืน “ผลจากการดำเนินโครงการครั้งนี้ จะนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร ในการร่วมกันพัฒนาและใช้ประโยชน์วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับระบบอาหารของไทยสู่ระบบอาหารที่มีความยั่งยืน สามารถบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs 2030 ในอนาคตอันใกล้นี้” ผอ.ไบโอเทค กล่าว นางสาวกุลวรางค์ สุวรรณศรี นักวิจัยนโยบาย งานวิจัยนโยบาย ฝ่ายศึกษานโยบายและความปลอดภัยทางชีวภาพ ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการศึกษาคือการเข้าใจบทบาทของเทคโนโลยี นวัตกรรม นโยบายและมาตรการ รวมถึงความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ในการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบอาหารท้องถิ่นที่ยั่งยืน นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงการศึกษาช่องว่างด้านนโยบาย โดยทีมมุ่งพัฒนากรอบนโยบายและกลยุทธ์การพัฒนาความสามารถของระบบอาหารท้องถิ่น ในการรับมือและปรับตัวเป็นระบบอาหารที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารและโภชนาการได้อย่างเท่าเทียม โดยจากข้อมูลดัชนีความมั่นคงอาหารโลก (Global Food Security Index: GFSI) ชี้ว่าโดยรวมประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารในระดับดี ในปี 2564 มีระดับคะแนนฉลี่ยอยู่ที่ 64.5 จาก 100 อย่างไรก็ดี ครัวเรือนไทยบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ยังมีปัญหาด้านโภชนาการ ได้รับสารอาหารที่ให้พลังงาน ธาตุอาหารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับภัยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วม ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงต่อระบบอาหารระดับท้องถิ่น ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงในการมีอาหารเพียงพอ การเข้าถึงอาหาร และคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ส่งผลต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาสังคม เช่นความยากจน ถือเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นฐานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นช่องว่างด้านนโยบายที่สำคัญในหัวข้อต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ประกอบด้วยในหลายด้าน เช่น ด้านความสามารถในการตั้งรับปรับตัว (resilience) ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของระบบอาหารประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีการจัดตั้งคณะกรรมการอาหารแห่งชาติเพื่อดำเนินการจัดการด้านอาหารในทุกมิติ แต่ยังขาดโครงสร้างและหน่วยงานในการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในระดับท้องถิ่น ประเด็นเรื่องการสร้างความสามารถของระบบอาหารในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังไม่ได้ถูกบรรจุในแผนอาหารระดับจังหวัด อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มีแผนระดับชาติและระดับท้องถิ่นในการจัดการความมั่นคงด้านอาหาร หรือเตรียมการรับมือกับภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ผลการศึกษาพบว่า งานวิจัยระดับพื้นที่ (area-based research) ซึ่งมีความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประเทศไทย ยังไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร ในการจัดสรรทุนวิจัยด้านเกษตรและอาหาร นอกจากนี้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชอาหารที่ไม่ใช่ข้าวให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคาดการณ์และเตือนภัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีไม่เพียงพอและไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเหล่านี้ต้องการการวิจัยพัฒนาที่เข้มข้นมากขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องการสร้างความสามารถของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบอาหาร พบว่า ความรู้และความสามารถของเกษตรกรไทยยังเป็นปัญหาหลักของการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงคุ้นเคยกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม มีเพียงร้อยละ 10 ของเกษตรกรไทยที่สามารถปรับใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และจากปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้โอกาสของการเกิดความเสียหายและการเกิดเชื้อก่อโรคจากการจัดเก็บและขนส่งอาหารที่ไม่ดีพอเพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้นระบบตรวจสอบย้อนกลับจึงเป็นประเด็นที่ผู้ค้าและตลาดต้องการยกระดับให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ธ.ก.ส. เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกร อีกทั้งยังมีการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) รูปแบบต่าง ๆ โดยมีการสนับสนุนวงเงินนับจากปี 2563 กว่า 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นนโยบายที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบอาหาร และระบบคุ้มครองทางสังคม ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม (Public Private Partnerships; PPPs) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสร้างความสามารถของระบบอาหารท้องถิ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะภาคเอกชนและ NGOs แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มพืชที่ปลูกเพื่อการค้า (cash crop) เท่านั้น“จากผลการศึกษาข้างต้น ทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อยกระดับความสามารถในการตั้งรับปรับตัวของระบบอาหารท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาและใช้ประโยชน์ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีนโยบายเพื่อการรับมือและปรับตัวของระบบอาหารของประเทศไทยต่อวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องในระบบอาหาร ทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาสังคม ในการร่วมกันขับเคลื่อนให้มีการดำเนินการขับเคลื่อนทั้งในเชิงนโยบายและปฏิบัติการต่อไป” นางสาวกุลวรางค์ สุวรรณศรี กล่าวปิดท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา DIGITAL HEALTH กุญแจปลดล็อกความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ (ฟรี)
Digital Health เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยวินิจฉัยโรค, การเก็บข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ (Big data) สำหรับการวิเคราะห์และวางแผนการดูแลสุขภาพมาช่วยในการจัดการ การดูแลสุขภาพและการป้องกันโรค เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการใช้ Digital health เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาและการดูแลสุขภาพ ผ่านนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ สัมมนานี้เป็นการรวมตัวกันของ สถาบันทางการแพทย์ หน่วยงานวิจัยภาครัฐและบริษัทเอกชนที่สนใจประเด็นปัญหาดังกล่าว จึงได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ควบคู่ไปกับการรักษาแบบเดิม ทำให้ลดภาระการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำรวมถึงการลดภาระความแออัดของผู้ป่วยในโรงพยาบาล คุณจะได้พบกับกูรูทางการแพทย์จากหลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (Assistive Technology and Medical Devices Research Center: A-MED) ดร. สุนทร หลั่นเจริญ หัวหน้าฝ่ายสารสนเทศของโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ดร. สรรพฤทธิ์ มฤคทัต นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) คุณวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัทหัวเว่ย ประเทศไทย งานนี้เหมาะกับผู้บริหารโรงพยาบาล แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ นักพัฒนาระบบด้านสุขภาพและทางการแพทย์ นักศึกษาและบุคคลทั่วไป ร่วมรับฟังและถอดบทเรียนจากการนำเทคโนโลยีไปใช้งานจริง งานสัมมนานี้คุณจะได้พบกับผู้พัฒนาระบบ ผู้นำเทคโนโลยีไปใช้งานจริง นักวิจัยที่ศึกษางานด้าน AI ทางการแพทย์ ภาคเอกชนกับการนำเทคโนโลยีโทรคมนาคม 5G มาใช้ในงานอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพ Highlights แนวทางการพัฒนา Digital Health ในประเทศไทย โอกาสและความท้าทายผ่านนโยบาย BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ The Future of Smart Hosptals in Thailand AI in Thailand Healthcare Empowering Smart Healthcare Journey with Digital Transformation ลงทะเบียน ที่นี่ รับจำนวนจำกัด พบกันวันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 9.30-12.00น. ณ ห้อง Asia Health Room ใน Hall 7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณประภัสสร (หนิง) โทร. 0-2564-7000 ต่อ 5365 มือถือ. 081-854-1844 อีเมล์ bcd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ร่วมกับ KBTG จัดสัมนา AI and Big Dataแลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวทางการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาระบบ Big Data/AI
(24 กรกฎาคม 2566)  ณ K+ Building ซอยจุฬาลงกรณ์ 20 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย โดยชมรม ThailandSPIN ร่วมกับ บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) จัดงานสัมนาหัวข้อ AI and Big Data: เรื่องบ่นและหนทางออก (ภาค 2) Reflect and Resolve ได้รับการร่วมสนับสนุนจาก Google / ETDA / IMC / ร.พ.ศิริราช / ธ.ก.ส. / Innocop / GISDA / SCG / AIS / KBTG / Ascend Group / มหาวิทยาลัยมหิดล / Huawei / Data Science Thailand / Microsoft โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์บริษัทกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นประธานกล่าวเปิดงานในครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์ KBTG   กล่าวว่า ทุกคนรู้จักปัญญาประดิษฐ์ AI มาระยะหนึ่งแล้ว เรารู้จัก AlphaGo ใช้ Deep Neural Network ชนะ Lee Sodol World Champion ถึง 5-0 ในปี คศ. 2015 ที่สร้างความมั่นใจว่า AI ได้กลับมาแล้ว หลังจากยุคแห่งการซบเซาที่เราเรียกว่า AI Winter ซึ่งสมัยก่อนเราคิดว่า AI ทำงานได้เฉพาะกิจเฉพาะเรื่องและคิดว่า General AI คอมพิวเตอร์คงทำไม่ได้เหมือนที่มนุษย์ทำ แต่เราผิดไปถนัด Generative AI อย่างเดียวสามารถครอบคลุม Art, Writing, Software Development, Product Design, Healthcare, Finance, Gaming, Marketing, และ Fashion อย่างไรก็ดี Generative AI (Gen-AI) มีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิดเช่นสร้าง Fake News หรือ Deep Fakes ที่หลอกลวงประชาชาชนได้ ซึ่งในการประชุมสภาความมั่นคงของสหประชาชาติ เมื่อวันที่18 กรกฎาคม 2023 เลขาธิการสหประชาชาติ เสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ด้าน AI คล้ายกับ International Atomic Energy Agency, International Civil Aviation Organization หรือ The Intergovernmental Panel on Climate Change เพื่อผลักดันประโยชน์และควบคุมโทษของ AI ให้ทั่วทุกประเทศ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2023 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน ได้ประชุมกับผู้แทนบริษัทยักษ์ใหญ่ ผู้นำของสหรัฐ 7 บริษัท (Amazon, Anthropic, Google, Inflection, Meta, Microsoft, and OpenAI) ที่ทำเนียบขาวและแถลงถึงการป้องกันความเสี่ยงจากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ 1. การทดสอบระบบ AI โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภายนอกและในบริษัทก่อนจะ Release ผลิตภัณฑ์ 2. สร้าง Watermarks บนผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มาจาก Generate AI 3. มีการรายงานต่อสาธารณะถึงความสามารถและข้อจํากัดของ AI อย่างสม่ำเสมอ 4. ค้นคว้าวิจัยความเสี่ยง เช่น ความลำเอียง Bias การเลือกปฏิบัติ Discrimination และการละเมิดความเป็นส่วนตัว Privacy วัตถุประสงค์ก็เพื่อสร้างการรับรู้ว่า Online Content นั้นสร้างมาจาก AI ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ชมรม Thailand SPIN เกิดขึ้นจากการผลักดันของภาครัฐ โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ สวทช. ร่วมกับภาคเอกชนจำนวนมาก รวมถึงภาคการศึกษา และ Community ชื่อดังต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศดิจิทัล และนวัตกรรม โดยกิจกรรม AI and Big Data: เรื่องบ่นและหนทางออก (ภาค 2) ในวันนี้เป็นเวทีแลกเปลี่ยน ช่วยเหลือ ถ่ายทอดความรู้ และสร้างความตระหนัก ในกลุ่ม Software Process Improvement อีกทั้ง สร้างเครือข่ายการปรับปรุง กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ยั่งยืน ทางคณะผู้จัดมองเห็นว่า AI และ Big Data มี ส่วนสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ จึงได้จัดงานนี้ขึ้น โดยมีคนที่ทำจริงด้าน AI และ Big Data จากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และบริษัทด้านเทคโนโลยีชื่อดังมากมาย มาร่วมกันถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ที่น่าสนใจมากกว่า 10 หัวข้อ เช่น AI กับโอกาสที่มีต่อธุรกิจ ศักยภาพด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ การบริหารจัดการข้อมูลทางด้านการเงินการธนาคาร การบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ รวมถึง แนวโน้มเทคโนโลยีด้าน Al และ Big Data เป็นต้น สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและกูรูด้าน Big Data และ AI จากนวัตกรรมดิจิทัล หลากหลายภาคีทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา อาทิ นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ Green Business Director SCG International Corporation Co., Ltd ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute) ผศ. ดร.ประพัฒน์ สุริยผล รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ และ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมข้อมูลศิริราช คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล นายพงษ์เทพ พรหมศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์และบริหารจัดการข้อมูล ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดร.กานต์ อุ่ยวิรัช Data Product Developer and Technical Coach ODDS นายสุรศักดิ์ วนิชเวทย์พิบูล CTO of Huawei Cloud Business บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยากรอีกมากมายที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แล็บวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ “สาหร่าย”
ไบโอเทค สวทช. นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพด้านสาหร่าย ประกอบด้วย "หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง" ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ "กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย" ที่สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี   โดยทั้ง 2 หน่วยวิจัยของไบโอเทค สวทช. มุ่งวิจัยและพัฒนาสารสกัดจากสาหร่าย เพื่อนำไปใช้สำหรับการแก้ปัญหาโรคในสัตว์น้ำ โดยเฉพาะกุ้งและปลา เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดความสูญเสีย มีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยให้กลับมาเป็นผู้นำการส่งออกในตลาดโลกอีกครั้ง.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์