ผลการค้นหา :

สวทช. – บ.ซัมมิท สานต่อความร่วมมือมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีชิ้นส่วนยานยนต์
สวทช. ร่วมกับ บริษัท ซัมมิท อาร์แอนด์ดี เซ็นเตอร์ จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการสานต่อ "โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์" หลังมีความร่วมมือกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี มีเป้าหมายในการผลักดันอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ลดการนำเข้าหรือพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ผ่านศักยภาพด้านการวิจัยพัฒนายานยนต์ของนักวิจัยไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

“ผึ้งหยาดอำพันภูจอง” และ “ผึ้งบุษราคัมภูจอง” ผึ้งหายาก 2 ชนิดใหม่ของโลก
For English-version news, please visit : New bee species discovered at Phu Chong Na Yoi National Park
นักวิจัย มรภ.อุบลฯ ค้นพบผึ้งสองชนิดใหม่ของโลก คือ “ผึ้งหยาดอำพันภูจอง” และ “ผึ้งบุษราคัมภูจอง” ระหว่างการสำรวจอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี ภายใต้โครงการวิจัย “ท่องเที่ยวเมืองรอง อุบลราชธานี เที่ยวได้ทั้งปี : ท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรม และสร้างฐานเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน” ตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
[caption id="attachment_33087" align="aligncenter" width="700"] ผู้บริหารและทีมนักวิจัย มรภ.อุบลราชธานี และทีมวิจัย สวทช.[/caption]
ดร.ประพันธ์ ไตรยสุทธิ์ สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี กล่าวว่า ทีมวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ร่วมกับทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการผึ้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินโครงการวิจัยฯ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของพืช สัตว์ ผลิตภัณฑ์ชุมชน วัฒนธรรม และนำไปสู่การค้นพบผึ้งชนิดใหม่ของโลกทั้ง 2 ชนิด
[caption id="attachment_33091" align="aligncenter" width="700"] ผึ้งหยาดอำพันภูจอง (Phujong resin bee) ภาพโดยภากร นลินรชตกัณฑ์[/caption]
[caption id="attachment_33092" align="aligncenter" width="700"] ผลึกตรงปากทางเข้ารังผึ้งหยาดอำพันภูจอง ภาพโดยภากร นลินรชตกัณฑ์[/caption]
“ผึ้งหยาดอำพันภูจอง (Phujong resin bee) มีชื่อวิทยาศาสตร์ Anthidiellum (Ranthidiellum) phujongensis n. sp. เป็นผึ้งเฉพาะถิ่นในอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย เป็นกลุ่มผึ้งหายากที่เคยมีการค้นพบก่อนหน้านี้เพียง 4 ชนิดในโลกเท่านั้น และค้นพบเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้นพบครั้งนี้มีรายงานข้อมูลลักษณะของเพศผู้และเพศเมีย รวมถึงข้อมูลทางชีววิทยาของรังที่ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด โดยลักษณะที่โดดเด่นคือ ทำรังบริเวณหน้าผาดิน เก็บยางไม้บริสุทธิ์มาสร้างปากทางเข้ารัง เมื่อโดนแสงอาทิตย์สะท้อนแสงประกายจะมีสีเหลืองสวยงาม เป็นลักษณะเฉพาะที่มีความงดงามอย่างยิ่ง จนเป็นที่มาของชื่อ “ผึ้งหยาดอำพันภูจอง” เป็นการตั้งชื่อเพื่อให้เกียรติสถานที่ที่พบและลักษณะเด่นเฉพาะที่งดงามของตัวผึ้ง
[caption id="attachment_33090" align="aligncenter" width="700"] ผึ้งบุษราคัมภูจอง (Topaz cuckoo bee) ภาพโดยภากร นลินรชตกัณฑ์[/caption]
ส่วนผึ้งบุษราคัมภูจอง (Topaz cuckoo bee) เป็นผึ้งปรสิตชนิดใหม่ของโลก พบในรังของผึ้งหยาดอำพันภูจอง ผึ้งชนิดนี้จะแอบวางไข่ในรังของผึ้งหยาดอำพันและแย่งอาหารของลูกผึ้งหยาดอำพันกิน ปัจจุบันยังค้นพบเฉพาะในผืนป่าของอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยในประเทศไทยเท่านั้น ผึ้งชนิดนี้ได้รับเกียรติตั้งชื่อโดย คุณรังสิมา ตัณฑเลขา ผู้อำนวยการโปรแกรมอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. โดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Stelis flavofuscinular n. sp. จากลักษณะพิเศษที่มีสีเหลืองเข้ม สลับลายดำบริเวณลำตัว ทำให้นึกถึงความสวยงามของบุษราคัม และเป็นเรื่องราวของผึ้งที่นำไปต่อยอดสร้างงานหัตศิลป์นำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์ชุมชนสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน”
ดร.ประพันธ์ กล่าวว่า ผึ้งสองชนิดนี้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศในฐานะผู้ผสมเกสรที่สำคัญ สร้างความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศของพรรณไม้ในป่า และการค้นพบผึ้งหายากทั้งสองชนิดนี้แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความสำคัญของผืนป่าแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ควรค่าแก่การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ ทั้งนี้คณะผู้วิจัยได้ประสานความร่วมมือกับอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยดำเนินการเพิ่มพื้นที่การสร้างหน้าผาดินธรรมชาติบริเวณใกล้กับลำห้วย เพื่อเพิ่มโอกาสและสถานที่ในการสร้างรังและขยายพันธุ์ของผึ้งกลุ่มนี้
“นอกจากนี้ยังจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องราวของผึ้ง ทั้งความสำคัญ ความงดงาม รวมถึงข้อมูลทางชีววิทยาที่ช่วยให้ประชาชนได้ตระหนัก และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ขณะเดียวกันยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ใช้ผึ้งเป็นแรงบันดาลใจสร้างมูลค่าผ่านงานศิลปะ ทำเป็นของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งจะสร้างให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน”
นางรังสิมา ตัณฑเลขา ผู้อำนวยการโปรแกรมอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เป็น 1 ใน 7 มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดสรรทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สวทช. เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวมีส่วนร่วมกับผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว มีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงและสร้างความสุขในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และเป้าหมายการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่เป็นวาระแห่งชาติ
“สวทช. โดยฝ่ายสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ ได้สนับสนุนการวิจัยให้กับคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ภายใต้โครงการวิจัย “ท่องเที่ยวเมืองรอง อุบลราชธานี เที่ยวได้ทั้งปี: ท่องเที่ยวธรรมชาติ วัฒนธรรม และสร้างฐานเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน” เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของพืช สัตว์ ผลิตภัณฑ์ชุมชน วัฒนธรรม แหล่งศาสนสถานต่างๆ ในแง่ของการอนุรักษ์บนซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า ‘นวนุรักษ์’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้ชุมชนหรือหน่วยงานจัดเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเองและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ให้ข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพท้องถิ่นคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
นางรังสิมา กล่าวต่อว่า สำหรับการค้นพบผึ้งสองชนิดใหม่ของโลก “ผึ้งหยาดอำพันภูจอง” และ “ผึ้งบุษราคัมภูจอง” ทีมวิจัยได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยในวารสารระดับนานาชาติ Zookeys เรียบร้อยแล้ว และรวบรวมไว้ในฐานข้อมูลผึ้งในประเทศไทยที่ สวทช. สนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินการจัดทำ นอกจากนี้ชุมชนยังได้นำลักษณะเฉพาะของผึ้งหยาดอำพันภูจองและผึ้งบุษราคัมภูจอง ไปสร้างงานศิลปะส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน อาทิ ผ้าทอมือ เครื่องจักสาน เสื่อกก ตามความถนัดของชุมชน นับเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ BCG model อีกทางหนึ่ง ประกอบกับช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้มีแรงงานย้ายถิ่นออกจากกรุงเทพฯ รวมถึงคนรุ่นใหม่ หรือบัณฑิตจบใหม่ที่มีความรู้และทักษะทางเทคโนโลยีย้ายคืนสู่ถิ่นฐานภูมิลำเนาของตน ในพื้นที่หมู่บ้านใกล้กับอุทยานฯ ทำให้แรงงานคืนถิ่นเหล่านี้มีโอกาสในการสร้างงานสร้างอาชีพในถิ่นฐานของตนเองอีกครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการสร้างอาชีพและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ชุมชน
ข่าว
บทความ

เปิดนวัตกรรมเด่นด้านสุขภาพและการแพทย์ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG
สวทช. แถลงความคืบหน้าผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ ตอบโจทย์ #BCG มิติการพึ่งพาตนเองและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมนำเสนอตัวอย่าง 3 นวัตกรรมเด่นด้านการแพทย์ที่มีบทบาทและถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วย ระบบแพทย์ทางไกล A-MED Telehealth , หมวกควบคุมแรงดันบวกและลบ nSPHERE และ อุปกรณ์ช่วยฝึกเดิน Space Walker
โดยทั้ง 3 ผลงานเป็นเพียงบางส่วนของความสำเร็จ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวกระโดดในการพัฒนาด้านการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคนไทย.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. จับมือ SUMMIT สานต่อความร่วมมือวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ยกระดับมาตรฐานการผลิต ลดการนำเข้า และพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
For English-version news, please visit : NSTDA and Summit Auto Body Industry renew commitment to bring research and innovation to car part production
วันที่ 13 มิถุนายน 2565 : ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. คุณกรกฤช จุฬางกูร ประธานบริหาร บริษัท ซัมมิท อาร์แอนดี เซ็นเตอร์ จำกัด และคุณอุณรุธ ปรารมภ์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท ซัมมิท อาร์แอนดี เซ็นเตอร์ จำกัด ร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บริษัท ซัมมิท อาร์แอนด์ดี เซ็นเตอร์ จำกัด ในโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในหลายมิติ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ด้วยจุดแข็งในหลายๆ ด้าน ทั้งความพร้อมและศักยภาพของผู้ประกอบการ ความได้เปรียบในเรื่องของแรงงาน ตลอดจนนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ ล้วนเป็นปัจจัยเสริมให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยช่วงเวลานี้อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หรือยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถทางด้านวิศวกรรม ตัวอย่างเช่น การพัฒนาการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนกลุ่มน้ำหนักเบา หรือ Light Weight ด้วยวัสดุทดแทนต่างๆ / เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ /และการพัฒนาเทคโนโลยีอัตโนมัติในส่วนของการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
“ความร่วมมือที่เกิดขึ้นระหว่าง สวทช. และ บริษัท ซัมมิท อาร์แอนด์ ดี เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและถือเป็นหนึ่งความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐและเอกชนได้ร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตนเอง ลดการนำเข้าหรือพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ผ่านศักยภาพด้านการวิจัยพัฒนายานยนต์ของนักวิจัยไทย ทั้งด้านเทคโนโลยีการออกแบบและกระบวนการผลิตโดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย”
คุณกรกฤช จุฬางกูร ประธานบริหาร บริษัทซัมมิท อาร์แอนดี เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทซัมมิท อาร์แอนดี เซ็นเตอร์ จำกัด เป็นบริษัทในกลุ่ม บริษัท ซัมมิท โอโต บอดี้ อินดัสตรี จำกัด ซึ่งมีบริษัทในเครือ 20 กว่าบริษัท โดยเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ปั้มขึ้นรูปโลหะส่งมอบให้กับผู้ประกอบรถยนต์ทุกยี่ห้อที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์ถือว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ หรือ ยานยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จึงจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถทางด้านวิศวกรรมที่ใช้ในการออกแบบยานยนต์ ด้านวัสดุศาสตร์ ด้านเทคโนโลยีการผลิตและการทดสอบ ซึ่งบริษัทได้รับความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ 2555 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลาถึง 10 ปี โดยมีความร่วมมือด้านงานวิจัยหลายโครงการที่ช่วยสร้างมูลค่าผลกระทบให้แก่บริษัทได้จำนวนมาก เช่น
โครงการร่วมวิจัย จำนวน 11 โครงการ ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 9 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการวิจัยอีก 2 โครงการ โดยมีงบประมาณการลงทุนด้านการวิจัยกว่า 4.3 ล้านบาท
โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งบริษัทได้ผ่านการรับรองโครงการจาก สวทช.
ในปี 2554 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 26 โครงการ งบประมาณรวม 202 ล้านบาท
โครงการพัฒนาชิ้นงานกลุ่มมีน้ำหนักเบา (Light Weight) ชิ้นงาน Stay Side Step หรือ ขายึดจับบันไดข้าง ซึ่งบริษัทได้ทำวิจัยร่วมกับศูนย์เอ็มเทค สวทช. ในการผลิตชิ้นงานต้นแบบที่สามารถช่วยลดน้ำหนักชิ้นงานลงได้ถึง 24% ซึ่งเกินความคาดหวังที่บริษัทตั้งไว้ลดลง 20%
คุณกรกฤช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือด้านการวิจัยนี้ ถือเป็นหนึ่งในแรงกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพด้านการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของบริษัท เพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้ออกแบบ และผลิตชิ้นส่วนใหม่ๆ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือในโครงการต่างๆ ระหว่าง สวทช. กับ บริษัท ซัมมิท อาร์แอนดี เซ็นเตอร์ จำกัด ภายใต้การดำเนินการวิจัยและพัฒนากับทีมวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (RMT) สวทช. ที่ผ่านมามีโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน จำนวน 7 โครงการ ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วจำนวน 5 โครงการ ได้แก่
การศึกษาสมบัติของวัสดุและตัวแปรในกระบวนการรีดขึ้นรูปเหล็กแผ่นด้วยเทคนิคการจำลองไฟไนต์
เอลิเมนต์เพื่อขึ้นรูปชิ้นส่วนยานยนต์
การพัฒนาระเบียบวิธีเชิงปฏิบัติสำหรับการออกแบบและปรับแต่งแม่พิมพ์ ในการปั๊มขึ้นรูปเหล็กแผ่นความแข็งแรงสูงมุ่งเน้นเพื่อลดการเกิดปัญหาการดีดตัวกลับ เหล็ก 780 Mpa.
การปรับปรุงการออกแบบโครงสร้างแม่พิมพ์เพื่อแก้ปัญหาการโก่งตัวของโครงสร้างแม่พิมพ์
การประยุกต์ใช้ Design Guideline และ Simulation Technique ในการออกแบบชุดลูกรีดสำหรับกระบวนการรีดขึ้นรูปชิ้นส่วนยานยนต์
โครงการเตรียมความพร้อมและพัฒนาความสามารถในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วน STAY SIDE STEP สำหรับรถกระบะด้วยวัสดุทดแทน
ทั้งนี้ ยังมีโครงการวิจัยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ การศึกษากระบวนการเชื่อมแบบ Laser Welding และโครงการพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์จากพลาสติกที่เสริมแรงด้วยเส้นใยคาร์บอนและจากความร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างองค์ความรู้ ช่วยยกระดับศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวไกลได้ต่อไปภายใต้ความเป็นคนไทย เป็นบริษัทของคนไทย สร้างความเติบโตให้กับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช.กล่าวว่า นอกจากโครงการวิจัยภายใต้ความร่วมมือกับเอ็มเทค สวทช.แล้ว ยังมีความร่วมมือผ่านกลไกการสนับสนุนจากศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี โดยโครงการไอแทปจำนวน 7 โครงการ และบริษัทฯ ได้ยื่นขอรับรองโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อ สวทช. ตั้งแต่ปี 2554-ปัจจุบัน และผ่านการพิจารณาแล้ว 26 โครงการ โดยบริษัทฯ สามารถนำไปยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลตามระเบียบของกรมสรรพากรได้
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ชวนเยาวชนร่วมประกวดคลิป “BCG Happy Story – เรื่องนี้ดีต่อใจ” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 300,000 บาท
ปัจจุบันรัฐบาลเห็นชอบให้โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) เป็นวาระแห่งชาติ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาต่อยอดความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมที่เป็นจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยคำนึงถึงการรักษาสมดุลของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้เพื่อสร้างการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่ประชาชนทั่วไป กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้จัดการแข่งขัน “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 10 ก.ค. 2565
[caption id="attachment_32924" align="aligncenter" width="500"] กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” เปิดรับสมัครนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อมาร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอสำหรับสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ โดยไม่จำกัดเนื้อหาและเทคนิคในการผลิตสื่อ เพื่อใช้เผยแพร่สร้างการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป
“นักเรียน นิสิต และนักศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการพร้อมส่งแนวคิดเนื้อหาและรูปแบบของสื่อที่จะนำเสนอได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 โดยในรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีข้อเสนอน่าสนใจมากที่สุด 20 ทีม เพื่อสนับสนุนเงินทุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับผลิตสื่อจริงเพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศซึ่งจะจัดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม โดยจะมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสินผลการแข่งขัน ทั้งนี้ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล นอกจากนี้ยังมีรางวัลอันดับรองลงมาอีก 5 รางวัล และรางวัล Popular Vote ที่เปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับสื่อที่โดนใจมากที่สุด รวมเงินสนับสนุนและรางวัลมากกว่า 300,000 บาท”
ติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ “BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ได้ที่เว็บไซต์ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ bcghappystory@nstda.or.th
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ
โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยในปี 2564-2570 โดยโมเดลนี้จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมกัน ผ่านการนำข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม มายกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยในระยะแรกมุ่งเน้น 4 สาขายุทธศาสตร์ ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจหลักของประเทศ มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 21 และเกี่ยวข้องกับอาชีพและการจ้างงานของคนในประเทศมากกว่า 16.5 ล้านคน ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้สู่ประชาชนทั่วประเทศตั้งแต่ระดับฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างทั่วถึงบนฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืน https://www.youtube.com/watch?v=HKVrXRyPxikในการนี้เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ให้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป กระตุ้นให้เกิดการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยงานพันธมิตรจึงได้จัด “โครงการประกวดคลิปวิดีโอ BCG Happy Story: เรื่องนี้ดีต่อใจ” ขึ้น เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ที่มีความรู้ความสามารถในการผลิตสื่อได้ร่วมสร้างสรรค์คลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที (ไม่จำกัดเทคนิคการผลิต) สำหรับสื่อสารประเด็นเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (ไม่จำกัดขอบเขตเนื้อหา) ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ เข้าใจง่าย และน่าสนใจ เพื่อใช้ในการสื่อสารสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่อไป
ภาพรวมการแข่งขัน
นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาถึงปริญญาตรีหรือเทียบเท่าที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการพร้อมส่งแนวคิดเนื้อหาและรูปแบบของสื่อที่จะนำเสนอ และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
ในรอบแรกคณะกรรมการจะคัดเลือกทีมที่มีข้อเสนอน่าสนใจมากที่สุด 20 ทีม เพื่อสนับสนุนเงินทุนจำนวน 10,000 บาท สำหรับผลิตสื่อจริงความยาว 30-60 วินาที เพื่อใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะจัดขึ้นภายในเดือนสิงหาคม โดยมีคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และการผลิตสื่อสมัยใหม่ของประเทศเป็นผู้ตัดสินผลการแข่งขัน และจะมีการจัดการแข่งขัน Popular Vote เพื่อเปิดให้ประชาชนร่วมโหวตคะแนนให้กับสื่อที่โดนใจมากที่สุด
ผลงานที่ชนะจะมีการนำไปใช้เผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ และประชาชนทั่วไป ผ่านช่องทางการสื่อสารสมัยใหม่
ชิงเงินรางวัลพร้อมโล่และประกาศนียบัตร
รางวัลชนะเลิศ50,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง30,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง20,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัลชมเชย (3 รางวัล)10,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
รางวัล Popular Vote15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล
กำหนดการการแข่งขัน15 มิ.ย. - 10 ก.ค.รับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมเปิดให้จัดส่งแนวคิดของสื่อที่จะผลิต (Concept paper) และ Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 10 ก.ค. 2565 คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัครนับถอยหลังปิดรับสมัคร
Days Hours Minutes Seconds
ปิดรับสมัคร
21 ก.ค.แจ้งผลการผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย พร้อมข้อเสนอแนะในการพัฒนาสื่อและมอบงบประมาณในการผลิตสื่อ 10,000 บาท
21 ก.ค. - 11 ส.ค.ผู้เข้าแข่งขันดำเนินการผลิตสื่อให้เสร็จสมบูรณ์แล้วจัดส่งผลงานภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565นับถอยหลังการจัดส่งผลงานรอบชิงชนะเลิศ
Days Hours Minutes Seconds
หมดเขตจัดส่งผลงาน
15-18 ส.ค.จัดการแข่งขัน Popular Vote ผ่านทางFacebook: BCG in Thailandนับถอยหลังการแข่งขัน Popular Vote
Days Hours Minutes Seconds
หมดเวลาลงคะแนน
20 ส.ค.งานประกาศผลรางวัล ถ่ายทอดสดทาง Facebook: BCG in Thailandหมายเหตุ: กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
รายละเอียดเกี่ยวกับการแข่งขันเงื่อนไขในการสมัครเข้าร่วมเป็นนักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า สามารถสมัครได้ทั้งแบบบุคคลและทีม ไม่จำกัดจำนวนสมาชิกในทีม
ประเภทของสื่อที่จะส่งเข้าร่วมแข่งขันคลิปวิดีโอความยาว 30-60 วินาที เพื่อสร้างการรับรู้หรือความตระหนักถึงความสำคัญของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ไม่จำกัดเนื้อหาและเทคนิคการผลิตสื่อ (อาทิ Film Production, 2D&3D Animation, Motion Graphic)
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องส่งเพื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมเอกสารอธิบายแนวคิดของสื่อที่จะผลิต เนื้อหาที่จะถ่ายทอด และเทคนิคที่จะใช้ในการผลิตสื่อ (Concept paper) ความยาวไม่เกิน 1 หน้า A4 หรือ 600 คำ พร้อม Storyboard หรือคลิปดราฟต์งาน โดยจัดส่งพร้อมการสมัครเข้าร่วมกิจกรรม คลิกเพื่อดาวน์โหลดใบสมัคร
เกณฑ์การตัดสินสัดส่วนการให้คะแนน เนื้อหาร้อยละ 40 ความคิดสร้างสรรค์ร้อยละ 30เทคนิค ความสวยงาม ความละเอียดและประณีตร้อยละ 30
การสนับสนุนในการผลิตสื่อหลังจากผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายโครงการจะให้คำแนะนำในการพัฒนางานต่อ พร้อมสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนางาน 10,000 บาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด งวดแรก 5,000 บาท หลังจากผ่านเข้ารอบ และงวดที่สอง 5,000 บาท หลังจากจัดส่งงานเพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องจัดส่งให้กับโครงการคลิปผลงานความยาว 30-60 วินาที ความละเอียด Full HD (1,920x1,080 pixels) โดยจัดส่งงานในรูปแบบลิงก์ YouTube แบบ Unlisted และอัปโหลดไฟล์วิดีโอนามสกุล MP4 เข้า Cloud Storage เช่น Google Drive (จะต้องจัดส่งทั้ง 2 รูปแบบ ภายในวันที่ 11 ส.ค. 2565 และเปิดให้ดาวน์โหลดได้จนถึงวันที่ 23 ก.ย. 2565)ชื่อคลิปผลงาน พร้อมคำโปรยแนะนำคลิปความยาวไม่เกิน 200 คำคลิปนำเสนอผลงานงานผลงานสำหรับให้คณะกรรมการพิจารณา ความยาวไม่เกิน 3 นาที (1 คลิป)หากไม่จัดส่งผลงานตามข้อเสนอเพื่อรับทุนพัฒนาสื่อ และตามเงื่อนไขที่ระบุข้างต้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องคืนเงินสนับสนุนให้แก่โครงการ
เงื่อนไขในการผลิตสื่อผลงานจะต้องไม่เคยได้รับรางวัลจากโครงการอื่น ไม่คัดลอกหรือใช้สื่อที่ติดลิขสิทธิ์ประกอบในผลงาน ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์การใช้งานโปรแกรม หากตรวจพบการกระทำที่ผิดกฎหมายผู้พัฒนาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณี และผลการตัดสินจะถือเป็นโมฆะผลงานเป็นของผู้พัฒนา โดยอนุญาตให้ สวทช. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เผยแพร่ผลงานและพัฒนาต่อยอดผลงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ประกาศนียบัตรผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะได้รับประกาศนียบัตรในงานประกาศผลรางวัล(หรือภายหลังงานประกาศผลรางวัล)
การเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัลผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมสุดท้าย จะต้องเข้าร่วมหรือส่งตัวแทนเข้าร่วมงานประกาศผลรางวัล (หากไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑลสามารถเข้าร่วมทางออนไลน์ได้) หากไม่สามารถมาเข้าร่วมได้จะต้องแจ้งเหตุผลที่เหมาะสมแก่คณะทำงานล่วงหน้าก่อนการจัดงานอย่างน้อย 3 วัน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ BCGรายละเอียดเพิ่มเติม : โมเดลเศรษฐกิจ BCG โลโก้สำหรับใช้ประกอบในคลิปหรืองานนำเสนอ : คลิกเพื่อดาวน์โหลด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่E-mail: bcghappystory@nstda.or.thFacebook Inbox: BCG in Thailand
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ขอเชิญผู้ประกอบการพบกับงานเสวนาทางด้านการลงทุนระดับโลก “World Business Angel Investor Week 2022”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย ขอเชิญผู้ประกอบการ นักลงทุน และบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจใน Entrepreneurship ecosystem พบกับงานเสวนาทางด้านการลงทุนระดับโลก “World Business Angel Investor Week 2022” ที่พร้อมจะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Angel investment, Startup economy, Financial inclusion, Gender quality, Entrepreneurship และ Innovation ในรูปแบบออนไลน์ผ่าน Zoom Webinar ตั้งแต่วันที่ 20 – 26 มิถุนายน 2565
สำหรับเวทีประเทศไทยเผยแพร่ออนไลน์วันที่ 23 มิถุนายน 2565 เวลา 17.00-19.10 น.
ท่านจะได้พบกับ
การบรรยายในหัวข้อ ความสำคัญของนักลงทุน Angel,สถานะของประเทศไทยในปัจจุบัน,กลไกในการสนับสนุนผู้ประกอบการจากศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ Country chair WBAW และรองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
การบรรยายในหัวข้อ การริเริ่มโครงการ BCG ประเทศไทยสำหรับเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาด โดย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล, ผู้อำนวยการ สวทช.
การบรรยายในหัวข้อ: สตาร์ทอัพนำพาบริษัทให้อยู่รอด ทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง COVID-19 ได้อย่างไร โดย คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ CEO and Co-Founder บริษัท Techsauce Media จำกัด และ ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย
การเสวนาในหัวข้อ: เส้นทางสู่การสนับสนุนสตาร์ทอัพ BCG ในประเทศไทย
โดย คุณปริวรรต วงษ์สำราญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)
คุณยุทธนา ศรีสวัสดิ์ คณะกรรมการและเหรัญญิก สมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (TSTA)
คุณเปรมปรีดี กิตติรัตน์ตระการ ผู้อำนวยการ สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)
คุณนฤชา ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุนอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
การเสวนาในหัวข้อ: มุมมองนักลงทุนต่อการลงทุนในธุรกิจ BCG
โดย คุณสุเมธ ลักษิตานนท์ นายกสมาคมทีบาน
คุณณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ คณะกรรมการสมาคมทีบาน
นพ.พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส คณะกรรมการสมาคมทีบาน
คุณเมธา จารัตนากร คณะกรรมการสมาคมทีบาน
และพบกับการสัมภาษณ์พิเศษ BCG Startup : บริษัท ALTO TECH จำกัด โดยนายกสมาคมทีบาน
ลงทะเบียนร่วมงานฟรี
ลงทะเบียนสำหรับเวทีประเทศไทย 23 มิถุนายน 2565 : https://forms.gle/oxB1BMjgRbF6Voxr8
ลงทะเบียนเพิ่มเติมสำหรับเวทีเสวนาประเทศอื่นๆ 20-26 มิถุนายน 2565 : https://www.angelsweek.org
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.angelsweek.org
สอบถามได้ที่ 02 5839992 ต่อ 81484 คุณชญานันท์
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. แถลงความคืบหน้าผลงาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ มุ่งเป้าใช้นวัตกรรมไทยพึ่งพาตนเองและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
สวทช. แถลงความคืบหน้าผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ อาทิ A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการแพทย์ทางไกล หรือ ระบบสำหรับบริหารจัดการผู้ป่วยในการกักตัวที่บ้าน (Home isolation) และที่ชุมชน (Community isolation) พัฒนาโดยนักวิจัยไทย ช่วยลดภาระงานแพทย์-พยาบาล ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่ม HI และ CI แบบเบ็ดเสร็จ กว่าล้านราย ขณะที่ ‘หมวกควบคุมแรงดันบวกและลบ’ เป็นอีกอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่สามารถใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันผู้ป่วยติดเชื้อโควิด -19 ในวงจำกัด นอกจากนี้ยังผลักดันนวัตกรรม สเปซ วอล์กเกอร์ อุปกรณ์ช่วยฝึกเดินพร้อมระบบพยุงน้ำหนักฯ เข้าสู่ตลาดภาครัฐ ‘บัญชีนวัตกรรมไทย’ เพื่อให้คนไทยใช้นวัตกรรมไทย ลดการพึ่งพาต่างประเทศ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
(วันที่ 13 มิถุนายน 2565) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธาน BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นพ.สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมแถลงข่าวผลงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่ตอบโจทย์ BCG มิติการพึ่งพาตนเองและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานแถลงข่าวและร่วมแสดงความยินดี โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่นำนวัตกรรมไปใช้และให้บริการ อาทิ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร สภาเภสัชกรรม สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) บริษัทเวลล์เนส อินโนเวชั่น บียอนด์ จำกัด และบริษัท เมดิคิวบ์ จำกัด ร่วมงานแถลงข่าว
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเครื่องมือแพทย์ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญของ BCG Economy Model ที่ต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ผลักดันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศ เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2562 การระบาดแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มีผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตจำนวนมากทั่วโลก ทำให้เกิดวิกฤตการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ ทั้งในแง่ของวัสดุ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่สามารถนำเข้าหรือผลิตได้ทันตามความต้องการในประเทศ ตลอดจนระบบสาธารณสุขของประเทศที่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้อย่างเพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นตัวเร่งความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์และนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและทันสมัย ซึ่งต้องอาศัยศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของบุคลากรภายในประเทศ เพื่อพัฒนาเครื่องมือแพทย์และระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ลดการนำเข้าสามารถพึ่งพาตนเองได้ ตลอดจนสนับสนุนการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อยกระดับการให้บริการทางสาธารณสุขของประเทศในการดูแลรักษาคนไทยได้อย่างทันถ่วงที ทั่วถึง และเท่าเทียมลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
สำหรับการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ โดย สวทช. ซึ่งได้พัฒนาผลงาน “A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการแพทย์ทางไกล : ระบบสำหรับบริหารจัดการผู้ป่วยในการกักตัวที่บ้าน (Home isolation) และที่ชุมชน (Community isolation)” และ “หมวกควบคุมแรงดันบวกและลบ (nSPHERE Pressurized Helmet)” ประกอบกับการร่วมสนับสนุนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขยายผลการใช้ประโยชน์ผลงาน “สเปซ วอล์กเกอร์ อุปกรณ์ช่วยฝึกเดิน พร้อมระบบพยุงน้ำหนักบางส่วน (Space Walker)” นวัตกรรมเพื่อผู้ป่วยหลังกายภาพบำบัดและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในสังคมสูงวัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการรองรับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขของประเทศ ถือเป็นความสำเร็จของการวิจัยด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“ตอนนี้เรามาถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่แล้ว จากใช้นวัตกรรมต่างประเทศ เปลี่ยนเป็นเราต้องสร้างเอง บริโภคเอง ซึ่งนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ที่เห็นในวันนี้ ทาง สปสช. มีมาตรการที่จะสนับสนุนนวัตกรรมของไทยเยอะ ทำให้เรากำลังสร้างและเปลี่ยนวิธีคิดของประเทศ ซึ่งนอกจากมีวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมแล้ว เรายังเปลี่ยนให้เป็นผลิตภัณฑ์บริการเพื่อใช้งานและพึ่งพานวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยด้วย โดยในวันนี้ได้เห็นตัวอย่างนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมที่สุดแล้ว ดังนั้นเป้าหมายเราที่อยากจะเป็นชาติวิทยาศาสตร์เราเป็นได้แน่ ๆ หากมีผลิตภัณฑ์และบริการที่อิงอยู่บนวิทยาศาสตร์ฯ ไปต่อได้แน่ๆ และไปได้เร็ว และขอแสดงความยินดีและเป็นให้กำลังใจให้กับ บริษัทเวลล์เนส อินโนเวชั่น บียอนด์ จำกัด และ บริษัท เมดิคิวบ์ จำกัด และสวทช. เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีผลงานเป็นที่ภาคภูมิใจของ กระทรวง อว.และจับคู่ทำงานร่วมกับ สปสช. ในการผลักดันเรื่องการสาธารณสุขได้อย่างเหมาะสม เพราะสิ่งที่พวกท่านทำเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการส่งเสริมและป้องกันโรค ซึ่งการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีประสิทธิภาพและเป็นองค์รวม ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชนในการพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขรวมทั้งอุตสาหกรรมการแพทย์ภายในประเทศที่จะสนับสนุนระบบบริการที่เข้มแข็งร่วมกันมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรอย่างแท้จริง
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นมา ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพึ่งพาตนเอง การลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ จากการขาดแคลนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระทรวงกระทรวง อว. สวทช. โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ผู้พัฒนาผลงาน A-MED Telehealthแพลตฟอร์มบริการแพทย์ทางไกล : ระบบสำหรับบริหารจัดการผู้ป่วยในการกักตัวที่บ้าน (Home isolation) และที่ชุมชน (Community isolation) อย่างเป็นระบบ ซึ่งสนับสนุนการทำงานทางการแพทย์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยในระยะแรก ที่โรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้เพียงพอ จนถึงการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน
โดยมีหน่วยบริการที่นำระบบไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่กักตัวอยู่ที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (รพ.สต.) โรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมถึงร้านยาในเครือข่าย โดยรวมแล้วมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สะสม ที่ได้รับการดูแลผ่านระบบ A-MED Telehealth แล้วมากกว่า 1,000,000 คน โดยทำงานร่วมกับ สปสช. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กรมการแพทย์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ สภาเภสัชกรรม อย่างใกล้ชิด จากประสบการณ์ที่ผ่านมาระบบการดูแลสุขภาพทางไกล (A-MED Telehealth) มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการดูแลที่เข้าถึงและใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด เพื่อให้เกิดการดูแลสุขภาพประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งจะนำมาประยุกต์และเสริมสร้างศักยภาพของการดูแลผู้ป่วยโรคทั่วไป เช่น โรคเกี่ยวกับ NCD และอื่นๆ ต่อไปได้ในอนาคต “ในระยะแรก A-MED Telehealth ช่วยให้แพทย์สื่อสารกับผู้ป่วยได้ผ่านระบบวิดีโอคอล และผู้ป่วยสามารถรายงานข้อมูลอุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด ความดันโลหิต รวมทั้งการบันทึกอาการทั่วไป เพื่อให้แพทย์ประเมินและให้คำปรึกษาในการรักษารายวัน
ต่อมาได้เกิดเชื้อกลายพันธุ์ที่รุนแรงและแพร่เชื้อได้เร็ว ทำให้ผู้ป่วยรายใหม่กลุ่มสีเหลืองและแดงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีการนำระบบ A-MED Telehealth มาประยุกต์ใช้กับระบบ HI และ CIในการดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียว เพื่อลดอัตราครองเตียง มีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมที่ได้รับการดูแลผ่านระบบ A-MED Telehealth แล้วมากกว่า 1 ล้านคน ที่สำคัญคือมีความร่วมมือกับ สปสช. ในการเชื่อมโยงข้อมูลด้านหลักฐานการเบิกจ่าย หรือ PreAudit ตรวจสอบให้เสร็จก่อนจะจ่ายเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกของหน่วยบริการในการส่งหลักฐานการเบิกจ่าย และร่วมกับ สพร. เชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ ผ่านระบบ DGA RC เพื่อการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการทรุดลงและส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ทันท่วงที” ผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
ด้าน นายแพทย์สินชัย ต่อวัฒนกิจกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาด แม้จะเป็นภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุข แต่ทำให้เกิดการพัฒนานำเทคโนโลยีด้านสุขภาพมาใช้ในระบบบริการสุขภาพอย่างก้าวกระโดด ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากผู้รับบริการและผู้ให้บริการ โดย A-MED Telehealth แพลตฟอร์มบริการแพทย์ทางไกล ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 ที่แยกกักตัวที่บ้านและการแยกกักตัวในชุมชน เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ สปสช. นำมาใช้เพื่อขยายการบริการเพื่อดูแลผู้ป่วยโควิดสีเขียว ภายใต้ “โครงการร้านยาดูแลผู้ป่วยโควิดกลุ่มสีเขียวบริการ เจอ-แจก-จบ” ช่วยเพิ่มช่องทางรับบริการโดยเฉพาะที่หน่วยบริการใกล้บ้าน ทำให้เกิดการเข้าถึงบริการที่ดี ซึ่ง สปสช. และสภาเภสัชกรรม
มีการเชิญชวนร้านยาที่มีความพร้อมให้บริการร่วมเป็นหน่วยบริการในโครงการนี้ มีร้านยาเข้าร่วมจำนวน 1,063 แห่ง (ข้อมูล ณ 8 มิ.ย. 65) โดยมีการเชื่อมโยงการบริการผ่านระบบ A-MED Telehealth นี้ ด้วยระบบ A-MED Telehealth ทำให้ร้านยาหรือผู้ให้บริการสามารถเห็นข้อมูลผู้ป่วยทั้งหมดได้ เช่น จำนวนวันที่อยู่ในระบบ รายงานอาการ และแบ่งกลุ่มผู้ป่วยตามอาการเพื่อติดตาม หากอาการแย่ลงจะได้ส่งต่อที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที เป็นต้น โดยข้อมูลในระบบ A-MED Telehealth ยังใช้เป็นข้อมูลการเบิกจ่ายค่าบริการได้ อย่างไรก็ตามด้วยศักยภาพของ A-MED Telehealth นี้ เชื่อว่าจะมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่การบริการสุขภาพด้านต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการรับบริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ยังได้พัฒนาหมวกควบคุมแรงดันบวกและลบ (nSPHERE Pressurized Helmet) เพื่อเป็นอุปกรณ์ส่วนบุคคลที่สามารถใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ ใช้งานสะดวก โดยสามารถป้องกันละอองไอจามและฝุ่นด้วยการกรองที่มีประสิทธิภาพ ร่วมกับการควบคุมแรงดันให้เหมาะกับประเภทของกลุ่มผู้ใช้งาน คือ หมวกแรงดันบวก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีแรงดันภายในหมวกสูงกว่าภายนอก
และหมวกแรงดันลบ สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งมีแรงดันภายในหมวกต่ำกว่าภายนอก โดยนาโนเทค สวทช. ได้อนุญาตให้บริษัท เวลล์เนส อินโนเวชั่น บียอนด์ จำกัด นำนวัตกรรมนี้ไปผลิตเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นาโนเทค สวทช. ได้ส่งมอบหมวกควบคุมแรงดันบวกลบจำนวนมากกว่า 1,000 ใบ ให้แก่โรงพยาบาลมากกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ จากการสนับสนุนด้านงบประมาณขององค์กร หน่วยงาน และบริษัทต่างๆ นวัตกรรมนี้ยังถูกนำไปใช้กับผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องเคลื่อนย้าย เข้ารับการรักษา หรือทำหัตถการที่จำเป็น เช่น การฟอกเลือด ฟอกไต เป็นต้น ซึ่งนักวิจัยกำลังมองโอกาสในการต่อยอดไปใช้ให้ยาทางอากาศหรือยาพ่นสูดในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้พัฒนาผลงาน สเปซ วอล์กเกอร์ อุปกรณ์ช่วยฝึกเดิน พร้อมระบบพยุงน้ำหนักบางส่วน (Space Walker) เป็นอุปกรณ์ช่วยฝึกเดินสำหรับผู้ป่วยหลังกายภาพบำบัดรวมถึงผู้สูงอายุ โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกเดิน ลดภาระการบาดเจ็บของผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เพิ่มประสิทธิภาพการกายภาพบำบัด
ผลงานนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 (Gold Award) จากงาน (i-CREATe 2017) และอีกหลายรางวัลต่อมา จนนักวิจัยสามารถตั้งบริษัทเมดิคิวบ์ จำกัด เพื่อรับถ่ายทอดเทคโนโลยี นำไปผลิตและจำหน่าย ได้ขยายผลการใช้งานเพื่อยกระดับการให้บริการและการดูแลผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัย ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ สังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ปัจจุบัน สเปซ วอล์กเกอร์ (Space Walker) ได้รับการพิจารณาจาก สำนักงบประมาณในการขึ้นทะเบียนนวัตกรรมไทย สาขาการแพทย์และสุขภาพ เมื่อเดือน มีนาคม 2565 เพื่อจะได้รับการส่งเสริมในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อให้คนไทยได้ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่คนไทยผลิตได้คุณภาพมาตรฐานและลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตามผลงานเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนของความสำเร็จ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวกระโดดในการพัฒนาด้านการแพทย์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนคนไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – จุฬาฯ ผนึกกำลัง ศึกษาชีววิทยายุคใหม่ ด้วย ‘วิทยาศาสตร์โอมิกส์’ ป้องกัน-ฟื้นฟูภาวะขาดสมดุลสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : National Biobank of Thailand and Chulalongkorn University embark on studies of biological resources
(10 มิถุนายน 2565) ณ ห้องประชุม 203 ชั้น 2 อาคารจามจุรี 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “ด้านการวิจัย พัฒนา และ วิชาการ เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพและฐานข้อมูลของประเทศไทย”
เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ และนำข้อมูลที่มีค่าของทรัพยากรมาพัฒนาต่อยอดเป็นระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าในงานวิจัยใหม่ ๆ และเกิดการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงรักษาสมดุลในการใช้ทรัพยากรตามกรอบความคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG “เพิ่มคุณภาพชีวิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” จากการต่อยอดจุดแข็งของประเทศในด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ด้วยการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ประกอบด้วย Bioeconomy (ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร Circular Economy (ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน) และ Green Economy (ระบบเศรษฐกิจสีเขียว) ที่มุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก และเกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเสริมการวิจัยและพัฒนา จนสามารถถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ พร้อมส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งภารกิจหนึ่งของ สวทช. คือการพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐาน ทางด้านกลุ่มวิจัย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของประเทศช่วยเสริมฐานความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในประเทศไทย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ NBT เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของ สวทช. ที่มีบทบาทหลักในการใช้ วทน. และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ชั้นนำ มาช่วยสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพอันมีค่าของประเทศ โดย NBT มีคลังจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวที่เป็นฐานที่สำคัญ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG และเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดภาวะวิกฤตของการสูญเสียทรัพยากรชีวภาพอย่างถาวรในธรรมชาติ
นอกจากนี้ NBT ยังเป็นแหล่งอ้างอิงของข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่น่าเชื่อถือพร้อมกับการนำเอาข้อมูลระดับจีโนม และสารสนเทศอื่น ๆ ที่เกิดจากการวิจัยบนทรัพยากรชีวภาพเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นระบบสารสนเทศเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจและสร้างองค์ความรู้ใหม่ในวงการวิจัย กิจกรรมของ NBT สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน องค์กรในประเทศ และนานาชาติ ผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยที่ยังสามารถเก็บรักษาหรืออนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพไว้ได้อย่างยั่งยืน
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในการ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และ วิชาการ เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพและฐานข้อมูลของประเทศไทย ในครั้งนี้ คือการวิจัยและพัฒนาร่วมกันเพื่อรวบรวม จัดเก็บ และต่อยอดนวัตกรรม เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรชีวภาพและฐานข้อมูลของประเทศ อันครอบคลุม จุลินทรีย์ พืช และสัตว์ ในนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลองค์ความรู้และประสบการณ์ของบุคลากร ทรัพยากร และการผลักดันโครงการสําคัญระดับประเทศ ระหว่างทั้งสององค์กร และก่อให้เกิดการศึกษาชีววิทยายุคใหม่และเป็นเทคโนโลยีที่สนับสนุนการวิจัยให้ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วทั่วโลกที่ เรียกว่า วิทยาศาสตร์โอมิกส์ประเทศไทยซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นอุตสาหกรรมสําคัญ ทําให้ข้อมูลองค์ความรู้และการบริหารจัดการทรัพยากรจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันภาวะขาดสมดุลและฟื้นฟูสมดุลของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
ทั้งนี้ประเด็นความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและหน่วยงานหลายประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา และยุโรป รวมทั้งจีนซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลจุลินทรีย์ของโลก (World Data Center for Microorganisms, WDCM) ที่มีการรวมกลุ่มกันทั้งในระดับประเทศและเครือข่ายระดับนานาชาติ เพื่อต่อยอดการสร้างฐานข้อมูลและนวัตกรรมการบริหารจัดการคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่สําคัญและมีคุณค่านี้
ข่าวประชาสัมพันธ์

จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม 2565
ข่าว
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา ‘ไวรัสตัวแทน’ ทดสอบสูตรวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 แบบเชิงรุก
นักวิจัย สวทช. คว้า 2 รางวัลผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2565
นักวิจัย สวทช. คว้า 2 รางวัลผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ประจำปี 2565
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การออกแบบกิจกรรมสะเต็มศึกษาบูรณาการสร้างสมรรถนะ เตรียมความพร้อมสู่ยุค Metaverse สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
แจ็กซา (JAXA) ร่วม สวทช. ชวนเด็กไทย เสนอไอเดียทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. และ ทีมก่อการครู จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เตรียมความพร้อมการนำเสนอผลงานวิชาการ SHOW & SHARE สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC สู่หลักสูตรสถานศึกษา
เอ็มเทค สวทช. มอบ “ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ช่วยให้ ‘เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น’ ลดสารเคมี สู่ต้นแบบสวนทุเรียนพรีเมี่ยมเพื่อการส่งออก
สวทช. จับมือ อคส. ร่วมขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าและแปรรูปสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน
วช. - สวทช. มหาวิทยาลัยไทย 5 แห่ง และ Tokyo Tech ลงนามความร่วมมือ ร่วมพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงสำหรับภาคอุตสาหกรรม
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่งมอบสิ่งของพระราชทาน “หมวกควบคุมแรงดันลบ (nSPHERE-)” โดยนาโนเทค สวทช. ให้กับ 3 โรงพยาบาลในพื้นที่ภาคเหนือ
NCTC สวทช. เปิดแล็บบริการตรวจวิเคราะห์พืช “กระท่อม” ต่อจาก “กัญชา-กัญชง”หนุนวิสาหกิจชุมชนปลูกให้ได้มาตรฐานปลอดภัยก่อนการแปรรูป
สวทช. ร่วมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมือง สร้างห้องเรียนธรรมชาติ เสริมสร้างนักวิทย์ฯ พลเมือง
บทความ
ครั้งแรกในไทย! เปิดตัว ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ 4 คัน จากองค์ความรู้นักวิจัยไทย พัฒนาโดยภาคเอกชนไทย
Download เอกสารฉบับเต็ม (21.4MB)
จดหมายข่าว สวทช.

ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. ผลักดันธุรกิจสู่ตลาดภาครัฐ หวังดันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดิจิทัลขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย
(9 มิ.ย. 2565) ณ อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถนนแจ้งวัฒนะ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เปิดโครงการ “ค่ายธุรกิจจากซอฟต์แวร์พาร์ค: Road Map to บัญชีนวัตกรรมไทย และสิทธิประโยชน์ BOI” รุ่นที่ 1
ได้รับเกียรติจาก ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (สวทช.) กล่าวเปิดงาน ได้วิทยากรจากหลากหลายหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านโดยตรง รวมถึงผู้ดูแลมาตรการบัญชีนวัตกรรมไทย มาร่วมบรรยายพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้ร่วมโครงการ นำโดยคุณทัชนันท์ กังวานตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท ไอเซ็ม จำกัด, ดร.ชยากร ปิยะบัณฑิตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอเซ็ม จำกัด, คุณธีรศักดิ์ วงศ์ปิยะ Managing Director บริษัท โบลด์ กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด, คุณวฑัญญู ตันธีระพงศ์ นักวิเคราะห์ ฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม สวทช., คุณไผท ผดุงถิ่น กรรมการผู้บริหาร บริษัท บิลค์เอเชีย จำกัด, คุณชาญชัย เจียมโชติพัฒนกุล Founder & CEO บริษัท เน็ตก้า ซิสเต็ม จำกัด, คุณวิสุทธิ์ ลือชัยเฉลิมสุข หัวหน้าทีมที่ปรึกษา บริษัท วีแอลบิสซิเนสคอนซัลแตนท์ จำกัด, ดร.ใจรัก เอื้อชูเกียรติ ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA), คุณอรุณศรี ศรีธนะอิทธิพล ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA), คุณเมธา จารัตนากร CEO บริษัท ซีไอพี แวลู จำกัด อีกด้วย
ด้าน ดร.ภัทราวดี พลอยกิติกูล ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (สวทช.) กล่าวว่า ผลสำรวจจากผู้ประกอบการจากซอฟต์แวร์พาร์ค ที่สมัครเข้าร่วมโครงการยกระดับองค์กรด้วยมาตรฐานสากล ISO/IEC 29110 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พบว่าเป้าหมายหรือความต้องการของธุรกิจ คือการนำสินค้าและบริการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทยมาเป็นอันดับแรก คิดเป็นร้อยละ 91.3
ซึ่งเป็นที่มาของโครงการนี้เพราะ สวทช. ได้ตระหนักถึงปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการ จึงมีการหารือร่วมกัน ระหว่าง “ผู้ดูแลมาตรการบัญชีนวัตกรรมไทย” โดยฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม สวทช. และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ถึงแผนงานความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัลให้ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการดิจิทัลไทย นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งมีคุณภาพและมาตรฐานที่เชื่อถือได้ต่อยอดสู่การขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย ให้สามารถเติบโตและง่ายต่อการประกอบธุรกิจผ่านกระบวนจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐได้ ซึ่ง โครงการ “ค่ายธุรกิจจากซอฟต์แวร์พาร์ค: Road Map to บัญชีนวัตกรรมไทย และสิทธิประโยชน์ BOI” รุ่นที่ 1 นี้ จะสามารถช่วยและขับเคลื่อนผู้ประกอบได้ดังนี้
1.เตรียมความพร้อมผู้ประกอบการให้บริหารองค์กรสไตล์ IPO ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท/หรือก่อตั้งหน่วยงาน
2.คัมภีร์สร้างนวัตกรรมทั้ง Product และ Service ด้วยกระบวนการระดับ World Class
3.นำ Product และ Service ขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย และรับสิทธิประโยชน์ BOI ครบจบในที่เดียว
4.สร้างพิมพ์เขียวองค์กร การจัดเตรียมองค์กร กลยุทธ์ในการบริหารองค์กร การเงิน ภาษี บัญชี และนวัตกรรม ครบจบทุกด้าน
5.กรอกแบบฟอร์มจบในโครงการ เพื่อขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย รวมถึงการขอสิทธิประโยชน์ BOI
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครั้งแรกในไทย! เปิดตัว ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ 4 คัน จากองค์ความรู้นักวิจัยไทย พัฒนาโดยภาคเอกชนไทย
ถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับ 4 ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าฝีมือคนไทยทำ ซึ่งดัดแปลงจากรถเมล์ ขสมก. ใช้แล้ว 20 ปีที่ถูกปลดระวางไปแล้ว และนำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นรถโดยสารไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ลดต้นทุนการนำเข้าร้อยละ 30 หรือลดต้นทุนได้ 7 ล้านบาทต่อคันด้วยมูลค่าสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนในประเทศร้อยละ 40
ทั้งนี้ภายหลังทีมวิจัยและผู้ประกอบการภาคเอกชนไทยนำมาวิ่งบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. นานกว่า 3 เดือน ทีมวิจัย สวทช. และภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทยที่ร่วมกันพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า ได้ส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า ให้กับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ ขสมก. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. นำไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ ที่สำคัญคือได้เห็นโอกาสและศักยภาพภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ โดยทั้ง 4 คัน ทีมวิจัย สวทช. ยังให้เสนอแนวทางและองค์ความรู้ต่างๆ ในการออกแบบและพัฒนา ซึ่งมีใช้วัสดุในประเทศช่วยประหยัดต้นทุนรถบัสนำเข้า 30 %
การผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและทำการส่งมอบครั้งนี้ เกิดขึ้นภายใต้โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. (City transit E-buses) โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดแถลงข่าว “เปิดตัวและส่งมอบผลงานโครงการการพัฒนาต้นแบบอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายใต้โครงการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. (City transit E-buses)” หรือ EV BUS ครั้งแรกในไทย จำนวน 4 คัน ณ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมี ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ประธานคณะกรรมการพิจารณาและติดตามโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้วฯ ร่วมแถลงข่าว พร้อมส่งมอบต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าให้แก่ 4 หน่วยงานประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานแถลงข่าวส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าฯ กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีและน่าชื่นชม ที่โครงการฯ ดังกล่าว เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการออกแบบ พัฒนา และผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี รวมถึงความร่วมมือในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิต พลังงาน สิ่งแวดล้อม และกฎหมายข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ทำให้โครงการฯ ประสบความสำเร็จกระทั่งได้เปิดตัวและส่งมอบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการฯ ที่เป็นตัวอย่างของการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เป็นรูปแบบหนึ่งตัวอย่างสำคัญในการผลักดันงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์ได้จริง เพื่อผลักดันให้งานวิจัยและพัฒนาด้านยานยนต์ไฟฟ้าต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ ช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมระบบคมนาคมไทย ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติอื่น
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่าในช่วงระยะเวลา 2 – 3 ปียานยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากประโยชน์ในการลดต้นทุนด้านพลังงาน และที่สำคัญที่สุดคือการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มรถโดยสารสาธารณะถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าลงทุนและน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าระดับอุตสาหกรรม จึงถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือ (Consortium) ภาคีเครือข่ายพัฒนาอุตสาหกรรมรถโดยสารไฟฟ้าไทย ที่ดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย ประกอบไปด้วยสมาชิกจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจร กรมการขนส่งทางบก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) บริษัทเอกชนผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ทั้งนี้ สวทช. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา โครงการการพัฒนารถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้าเพื่อพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ระหว่าง สวทช. กฟผ. กฟภ. กฟน. และ ขสมก. ซึ่งภายใต้โครงการฯ ดังกล่าวใช้ความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าที่มีคุณภาพ สามารถใช้งานได้ดี มีมาตรฐานและต้นทุนต่ำ ซึ่งต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ถูกพัฒนาจากรถโดยสารประจำทางใช้แล้วของ ขสมก. ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ถูกแจ้งปลดระวางไปแล้ว นำมาปรับปรุงและพัฒนาเป็นรถโดยสารไฟฟ้า ให้สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย ลดต้นทุนการนำเข้าหรือผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใหม่ ด้วยมูลค่าสัดส่วนการผลิตชิ้นส่วนจากในประเทศมากกว่าร้อยละ 40 และมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตและนำเข้ารถโดยสารไฟฟ้าใหม่มากกว่าร้อยละ 30 หรือประมาณ 7 ล้านบาทต่อคัน ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้เพิ่มขีดความสามารถในการออกแบบและผลิตรถโดยสารไฟฟ้าได้มีคุณภาพภายใต้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเชิงวิศวกรรมจากความเชี่ยวชาญของนักวิจัยของ สวทช.และพันธมิตร
“สวทช. โดยทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้ร่วมให้คำปรึกษาการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า พัฒนาต้นแบบสถานีประจุไฟฟ้าสำหรับรถโดยสารไฟฟ้าที่มุ่งเน้นให้มีต้นทุนต่ำ ออกแบบวิธีการประเมิน วิเคราะห์คุณลักษณะ ทดสอบประสิทธิภาพ สมรรถนะ รวมถึงพัฒนาสนามทดสอบน้ำท่วมขังร่วมกับ มจพ. วิทยาเขตปราจีนบุรี และรับการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์การใช้งาน และได้ประเมินประสิทธิภาพการให้บริการ ความเหมาะสมผ่านการทดลองให้บริการบนเส้นทางให้บริการจริงของ ขสมก. เป็นระยะเวลา 3 เดือน นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือกับ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการพัฒนารถโดยสารไฟฟ้า จากรถโดยสารประจำทางใช้แล้ว ขสมก.”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้มีภาคเอกชนร่วมพัฒนารถโดยสารใช้แล้วของ ขสมก. เป็นรถโดยสารไฟฟ้า ก่อนส่งมอบให้กับหน่วยงานผู้สนับสนุน กฟน. กฟภ. กฟผ. และ ขสมก. นำไปใช้งานจริง ประกอบด้วย1. บริษัท โชคนำชัย-ไฮเทคเพลสซิ่ง จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (CNC EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% ที่มุ่งเน้นการพัฒนาตัวถังจากวัสดุน้ำหนักเบา ด้วยตัวถังอลูมิเนียม ลดน้ำหนักตัวถังเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ เพื่อส่งมอบให้กับ กฟน. 2. บริษัท พานทอง กลการ จำกัด พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (PTM EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 60% โดยมีความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชุดแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนภายในประเทศเพื่อส่งมอบให้กับ กฟผ. 3. บริษัท รถไฟฟ้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พัฒนารถโดยสารไฟฟ้า (EVT EV BUS) สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 40% มีจุดเด่นที่ใช้ชิ้นส่วนสำคัญจากผู้ผลิตชั้นนำจากต่างประเทศโดยตรง ทำให้มีความเชื่อมั่นในการใช้งานและรับประกัน เพื่อส่งมอบให้กับ กฟภ. และ 4. บริษัท สบายมอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด พัฒนา รถโดยสารไฟฟ้า (SMT EV BUS) ที่มีจุดเด่นในความเชี่ยวชาญด้านวิศกรรมการออกแบบระบบขับเคลื่อน จากประสบการณ์พัฒนารถโดยสารไฟฟ้าและทดสอบใช้งานบนสภาวะการขับขี่จริง บนระยะทางกว่า 25,000 กิโลเมตร เพื่อส่งมอบให้กับ ขสมก.
โดยทั้ง ขสมก. กฟผ. กฟน.และ กฟภ. ในฐานะผู้สนับสนุนการพัฒนาจะนำรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่นไปทดลองขับใช้งานเต็มประสิทธิภาพ เพื่อการออกแบบรูปแบบการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าสาธารณะในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ ที่สำคัญทำงานร่วมกับของหน่วยงานต่างๆ แบบจตุภาคี ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำตามแนวนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่สามารถผลิตรถโดยสารไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทย
ทั้งนี้ภายในงานแถลงข่าวนอกจากการส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าแล้ว คณะผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ได้ชมและทดสอบนั่งรถโดยสารไฟฟ้าทั้ง 4 รุ่น ระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งประสิทธิภาพและสมรรถนะของรถโดยสารไฟฟ้า สามารถวิ่งทดสอบได้อย่างราบรื่น ไม่ก่อมลพิษทั้งทางเสียง และทางอากาศ ภายในกว้างขวางมีสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยต่อผู้โดยสารตามมาตรฐานสากล
ถือเป็นมิติใหม่ของการวิจัยและพัฒนารวมทั้งแสดงให้เห็นศักยภาพของผู้ประกอบการไทยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันของในอุตสาหกรรมรถบัสไฟฟ้าที่ผลิตและประกอบชิ้นส่วนได้เองภายในประเทศ
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น