ผลการค้นหา :
ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร เปิดตัว SOP ทุเรียน แนวทางแก้ไขโรคและแมลงด้วยชีวภัณฑ์ รองรับนโยบาย Thai go Green ภาคการเกษตรของรัฐบาล
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA introduces Standard Operating Procedure for biocontrol application in durian orchards
(18 ต.ค. 66) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง - ตามที่รัฐบาลสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยไม่สร้างผลเสียต่อเศรษฐกิจ "การฟื้นฟูสีเขียว หรือ Green Recovery" ซึ่งเป็นแนวทางและมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างความเจริญเติบโตแบบยั่งยืน รวมทั้งสอดคล้องตามนโยบาย “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้การนำของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานเกษตรจังหวัดระยอง
ได้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลทางด้านการเกษตร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เรียนรู้การจัดการโรคและแมลงในทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG แบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based): การจัดการทำแบบมาตรฐานจัดการศัตรูพืช (Standard Operating Procedure: SOP)
โดยใช้ชีวภัณฑ์แบบผสมผสานในพืชเศรษฐกิจ ทุเรียน” ซึ่งได้รวบรวมองค์ความรู้เป็น SOP คู่มือการจัดการศัตรูทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อช่วยให้เกษตรกร ดูแลรักษาทุเรียน จากโรคและแมลงศัตรู โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่าที่เป็นปัญหาร้ายแรง รวมถึงส่งเสริมให้ใช้ชีวภัณฑ์อย่างเหมาะสม ถูกวิธี และถูกเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามการระบาดของศัตรูพืช ช่วยลดปริมาณการใช้สารเคมีและลดปัญหาการตรวจพบสารเคมีตกค้าง ไม่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับทุเรียนสู่ตามมาตรฐานส่งออก โดยมีนางอุบล มากอง ผอ.สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผอ.ไบโอเทค และ น.ส.วรนุช สีแดง เกษตร จ.ระยอง ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย นายกฤษฎา ฉิมอินทร์ ผอ.ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จ.ชลบุรี ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รอง ผอ.ไบโอเทค และนักวิจัยไบโอเทค นำโดย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน และทีมวิจัย ตลอดจนผู้นำชุมชมและเกษตรกรจำนวนมากเข้าร่วมในงาน
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า การฟื้นฟูเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเติบโตแบบยั่งยืน เป็นเป้าหมายสำคัญในการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ในการขับเคลื่อนภาคการเกษตร ซึ่งประเทศไทยมีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงมาก ทั้งจุลินทรีย์ พืช และ สัตว์ โดยทางทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. ได้ทำการศึกษาความหลากหลายของสายพันธุ์จุลินทรีย์ มุ่งเน้นค้นหาและศึกษาความเป็นประโยชน์ของจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการเกษตร มุ่งเน้นจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติเป็นชีวภัณฑ์ การย่อยสลายวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นา และจุลินทรีย์การกระตุ้นการเจริญเติบโตและการดูดซับธาตุอาหารที่มีประสิทธิภาพ
ในปัจจุบันไบโอเทค สวทช. มีคลังจุลินทรีย์ของประเทศ (TBRC) ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของเอเชีย จากการวิจัยยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้สามารถคัดกรองและคัดเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช โรคและแมลงสำคัญในพืชเศรษฐกิจของประเทศ และผลักดันการใช้ประโยชน์ ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น ราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana) สำหรับควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไก่แจ้ แมลงหวี่ขาว ฯลฯ และราเมตาไรเซียม (Metarhizium) สำหรับควบคุมไรแดงชนิดต่าง ๆ ชีวภัณฑ์จากแบคทีเรียและราเพื่อควบคุมโรคพืช ได้แก่ ราไดรโคเดอร์มา (Trichoderma) ควบคุมราก่อโรคพืชต่าง ๆ เช่น โรครากเน่า-โคนเน่าจากเชื้อราไฟทอปธอร่า เป็นต้น ซึ่งชีวภัณฑ์เหล่านี้หากได้รับการส่งเสริมการใช้อย่างเหมาะสมไปสู่เกษตรกร จะเป็นการลดการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมการเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ด้านนักวิจัย ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงศัตรูที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จังหวัดระยอง และทดสอบประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ในการจัดการสวนทุเรียน ทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการระบาดของโรคและแมลงสำคัญ เพื่อสร้างองค์ความรู้และกระบวนการจัดการปัญหาโรคและแมลงในสวนทุเรียนด้วยชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมีที่มีอันตราย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอินทรีย์หรือทุเรียนปลอดภัย และส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกร แรงงานไทยและต่างชาติ รวมถึงผู้บริโภค และลดการปนเปื้อนของสารเคมีเกษตรสู่แหล่งน้ำหรือสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลเสียทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมสัตว์น้ำและการท่องเที่ยวด้วย
พื้นที่สวนคุณสันติ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพื้นที่ทดสอบการใช้ชีวภัณฑ์ระดับแปลงและจัดทำเป็นแปลงสาธิตแสดงประสิทธิภาพของสารชีวภัณฑ์แก่ผู้ปลูกทุเรียน โดยมีเป้าหมายในการแก้ปัญหา ยุติความสูญเสียจากการยืนต้นตายของต้นทุเรียน โดยทีมวิจัยได้ทำการสำรวจโรคและแมลงที่เป็นปัญหาในแปลง พูดคุยสร้างความเข้าใจและถ่ายทอดความรู้เรื่องชีวภัณฑ์กับคุณสันติและคุณพ่อ รวมไปถึงคนงานที่อยู่ในสวนอย่างใกล้ชิด การทดสอบประสิทธิภาพของการใช้ชีวภัณฑ์แบ่งเป็นสามกรรมวิธี กรรมวิธีละ 1 ไร่ ประกอบด้วย กรรมวิธีใช้สารชีวภัณฑ์อย่างเดียวตามการระบาด กรรมวิธีผสมผสานชีวภัณฑ์และสารเคมี และกรรมวิธีดั้งเดิมตามแนวทางของเกษตรกรที่ใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว โดยเริ่มการทดสอบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ปัจจุบัน พบว่า ชีวภัณฑ์มีประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงศัตรูได้ดีหรือเทียบเท่าสารเคมี และยังพบการเพิ่มขึ้นของแมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์ (แมลงดี) ในแปลงที่ใช้ชีวภัณฑ์และผสมผสานมากกว่าแปลงสารเคมี แสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวภัณฑ์สามารถฟื้นคืนสมดุลธรรมชาติระบบนิเวศในสวนทุเรียนได้ดี ในด้านของโรคทุเรียน พบว่า ชีวภัณฑ์สามารถหยุดการตายของต้นทุเรียนได้ ต้นทุเรียนค่อย ๆ ฟื้นตัว ดังนั้น ทีมวิจัยจึงได้สนับสนุนให้คุณสันติฉีดพ่นไตรโคเดอร์มาแบบปูพรมทั้งสวน เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อราไฟทอปธอร่า และไตรโคเดอร์มา ทั้งยังสามารถส่งเสริมความแข็งแรงของพืชได้อีกด้วย เมื่อพิจารณาด้านคุณภาพและปริมาณผลผลิต พบว่า การใช้ชีวภัณฑ์หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวภัณฑ์ร่วมกับสารเคมี ไม่ส่งผลเสียต่อรสชาติและคุณลักษณะภายนอกของผลทุเรียน และทุเรียนยังให้ผลผลิตใกล้เคียงกับการใช้สารเคมีคือ เฉลี่ย 43-57 ผล/ต้น”
ขณะที่เจ้าของสวนทุเรียน คุณสันติ จิรเสาวภาคย์ เกษตรกรผู้ปลุกทุเรียน เผยว่า สวนทุเรียนของตน เกิดประสบปัญหาต้นทุเรียนติดเชื้อรากเน่าโคนเน่าจากราไฟทอปธอร่าและพิเทียมที่รุนแรง ทำให้มีการยืนต้นตายของทุเรียนหลายสิบต้น เสียหายอย่างมากมาย ตนจึงได้ปรึกษาทางทีมวิจัยของไบโอเทค ซึ่งมีความรู้เรื่องชีวภัณฑ์ ได้ทำการทดสอบในสวนทุเรียนของตน โดยถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องโรคและแมลง และการจัดการสวนทุเรียน ผลลัพธ์ที่เห็นได้ทำให้มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัดโรคแมลงในสวนทุเรียนมากขึ้น ปัจจุบันทางทีมวิจัยยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้อมูลผลผลิตในอีกหนึ่งรอบการผลิต
“นอกจากทุเรียนแล้วทีมวิจัยฯ ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพในระดับแปลงในหลากพืชพันธุ์และหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย อาทิ โหระพาเพื่อการส่งออก จ.นครปฐม, กล้วยไม้เพื่อการส่งออกในกลุ่มผู้ผลิตกล้วยไม้ภาคกลาง-ตะวันตก, ถั่วฝักยาวและพริก จ.ราชบุรี, เมล่อน จ.พระนครศรีอยุธยา และมังคุด จ.จันทบุรี เป็นต้น โดยชีวภัณฑ์ที่ใช้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างไปจากสารเคมี นอกจากนั้น ทีมวิจัยได้ริเริ่มจัดทำระบบสนับสนุนการใช้ชีวภัณฑ์แบบ one stop service ที่เชื่อมต่อเกษตรกร นักวิชาการ และผู้ผลิตชีวภัณฑ์ รวมถึงเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลผู้ให้บริการตรวจสอบสภาพอากาศ เพื่อสร้างผู้ช่วยส่วนตัวของเกษตรกรในการวินิจฉัยโรคและแมลง แนะนำ SOP หรือมาตรฐานการปฏิบัติงาน ในแต่ละพืชและชีวภัณฑ์ที่เหมาะสม และเป็นที่รวบรวมผู้ผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานมาให้บริการเกษตรกร คาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มเปิดใช้งานได้ในปี 2567 โดยคาดหวังว่าระบบนี้จะสนับสนุนให้เกิดการใช้ชีวภัณฑ์เป็นวงกว้างและยั่งยืนได้ต่อไป” ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยไบโอเทค กล่าวปิดท้าย
สำหรับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องที่สนใจ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3378, 3364 อีเมล ibct.biotec@gmail.com เพจ Facebook: ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย และทาง X (Twitter): Green Crop Defender @GCD_Squad
ข่าวประชาสัมพันธ์
6 องค์กร ผนึก ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เชื่อมระบบการบริการด้านสาธารณสุข ยกระดับงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
For English-version news, please visit : Six organizations form a partnership to leverage technology to enhance public health services, supporting health promotion and disease prevention
(วันที่ 17 ตุลาคม 2566) ที่ห้องประชุมวชิรเวช อาคารมหิตลาธิเบศร แพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข สภาเภสัชกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง การพัฒนาระบบบริการด้านเภสัชกรรมโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริการด้านสาธารณสุข ระหว่าง 6 องค์กร
ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สภาเภสัชกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิเภสัชกรรมชุมชน โดยมี ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รศ. พิเศษ ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายแพทย์สุนทร สุนทรชาติ รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ ภก.ธีรวุฒิ พงศ์เศรษฐไพศาล ประธานมูลนิธิเภสัชกรรมชุมชน ร่วมลงนาม
โดย รศ.พิเศษ ภก.กิตติ พิทักษ์นิตินันท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่วว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 6 องค์กรในครั้งนี้ เพื่อดำเนินงานความร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยี และระบบบริการต่าง ๆ ในการสนับสนุนงานสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การลดความแออัด การเชื่อมต่อและส่งต่อผู้ป่วย เพื่อให้เกิดระบบเครือข่ายของการดูแลประชาชนตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ (ร้านยา) จนถึงระดับตติยภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้จะมีการดำเนินงานความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงระหว่างบริการ เภสัชกรรมกับทุกฝ่าย ตลอดจนร่วมมือกันเพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัยอันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยเฉพาะการสร้างบทบาทด้านนวัตกรรมบริการสาธารณสุขเพื่อประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจและเป้าหมายหลักมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญดำเนินงานวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ สวทช. ได้ตระหนักอย่างยิ่งถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบบริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุข ที่มาประยุกต์ใช้ในการดูแลประชาชนและผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ
จึงสนับสนุนเทคโนโลยีในการพัฒนาระบบการให้บริการด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านสาธารณสุข รวมทั้งการให้ข้อมูลความต้องการระหว่างกันเพื่อพัฒนาระบบบริการดังกล่าว เพื่อให้หน่วยบริการสามารถนำเทคโนโลยีพัฒนาระบบการให้บริการทั้งด้านเภสัชกรรมและนวัตกรรมบริการด้านการสาธารณสุขไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง
“สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร ทรัพยากร ภายใต้กรอบพันธกิจของหน่วยงานเพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยี ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ในการขับเคลื่อน การให้บริการด้านเภสัชกรรมและด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เกิดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบบริการสาธารณสุขที่ทันสมัย เพื่อการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยขยายผลการใช้งานในวงกว้างเพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียมต่อไป” ดร.อดิสร กล่าว
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง 6 หน่วยงาน เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพ การป้องกันและรักษาโรค โดยใช้ระบบเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดระบบเครือข่ายการเชื่อมต่อและส่งต่อผู้ป่วยในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิคือร้านยา ไปจนถึงระดับตติยภูมิคือโรงพยาบาล ที่มุ่งเน้นการป้องกันและรักษาโรคที่เกิดจากยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากคนสูบบุหรี่ แม้สูบไม่ทุกวัน จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 แต่ละปีคนไทยเสียชีวิตจากบุหรี่กว่า 80,000 คน หรือร้อยละ 18ของการเสียชีวิตทั้งหมด ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองกว่า 6,000 คน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 352,000ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ สสส. มีเครือข่ายร้านยาพาเลิกบุหรี่ 386 ร้านทั่วประเทศ และพัฒนาระบบบริการเภสัชกรรมทางไกลที่ประชาชนเข้าถึงบริการทั่วประเทศ
ที่พร้อมจะสนับสนุนความร่วมมือการสร้างเสริมสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเลิกบุหรี่ สุรา และการจัดการปัญหาการใช้ยา เพื่อให้คนไทยมีสุขภาวะดี ปลอดภัยจากควันบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อย่างไรก็ตามทั้ง 6 ฝ่ายพร้อมร่วมมือกันพัฒนาแนวทางและการดำเนินงานในทุก ๆ ด้าน ของการให้บริการเภสัชกรรม การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การลดความแออัดในหน่วยบริการ การเชื่อมต่อส่งต่อผู้ป่วยรวมถึงนวัตกรรมบริการใหม่ ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งเป็นความยั่งยืนของระบบการให้บริการด้านเภสัชกรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘Plant-based Chicken Mix’ เนื้อไก่ผงจากพืช DIY อร่อยตอบโจทย์เทรนด์รักษ์สุขภาพ-รักษ์โลก
For English-version news, please visit : NSTDA’s plant-based chicken mix hits the market
เทรนด์การบริโภคอาหารจากพืชหรือ ‘Plant-based food’ กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในปัจจุบันและมีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังได้รับการจัดให้เป็นหนึ่งในอาหารแห่งอนาคต เพราะไม่เพียงเป็นอาหารที่รักษ์สุขภาพเท่านั้น แต่กระบวนการผลิตยังรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย ล่าสุดนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนา ‘ผงไก่จากพืช’ ที่ให้ความอร่อยทดแทนเนื้อไก่ในเมนูอาหารได้สำเร็จ ปัจจุบันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เอกชนผลิตจำหน่ายแล้ว
สวทช. วิจัยปั้นโปรตีนถั่วเหลืองเป็นเนื้อไก่ Ve-Chick
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสการบริโภคอาหารรักษ์สุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้น โดยผู้บริโภคหันมาสนใจผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืช และลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารจากโปรตีนพืชมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น อย่างไรก็ดี การบริโภคโปรตีนพืชอาจมีเนื้อสัมผัส รสชาติ และกลิ่นที่ไม่ถูกปากในผู้บริโภคบางกลุ่ม ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ทีมวิจัยด้านวัสดุศาสตร์จะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การอาหารและวัสดุศาสตร์พัฒนาอาหารจากโปรตีนพืชเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขึ้น
“เราเลือกใช้โปรตีนถั่วเหลืองในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อไก่จากโปรตีนพืช Ve-Chick โดยอาศัยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่กับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนจริง จนได้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ 2 รูปแบบคือ ‘เนื้อไก่กึ่งสำเร็จรูป (Pre-cooked)’ เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเนื้ออกไก่ชุบแป้งทอดและชิ้นเนื้ออกไก่สำหรับปรุงอาหารทดแทนเนื้อไก่ได้หลากหลาย ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ‘เนื้อไก่แบบผง (Premix)’ ปราศจากกลูเตน สำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นเนื้อไก่ด้วยตนเอง ซึ่งมีเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่แบบผง นำไปผลิตจำหน่ายแล้วภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons)” นักวิจัยกล่าว
[caption id="attachment_48152" align="aligncenter" width="650"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
เอกชนรับไม้ต่อ เจาะตลาดอาหารสุขภาพ
คุณอารดา วินัยแพทย์ สตาร์ตอัปด้านอาหารสุขภาพเจ้าของแบรนด์ ‘กรีน สพูนส์’ (Green Spoons) เล่าว่า หลังจากเรียนจบปริญญาเอกด้านภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease) ที่สิงคโปร์เป็นเวลา 3 ปี ทำให้ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของหนูทดลองซึ่งเป็นผลกระทบจากอาหารที่กินเข้าไป ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนหันมาสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น กระแสการบริโภค plant-based food มีมากขึ้น จึงเริ่มสนใจอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะเราอยากให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และสุขภาพที่ดีต้องเชื่อมกับสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย ซึ่งการรับประทาน plant-based food มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับ plant-based food เพราะตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพในปัจจุบันและตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในอนาคต
[caption id="attachment_48149" align="aligncenter" width="650"] คุณอารดา วินัยแพทย์[/caption]
“หลังจากได้มีโอกาสคุยกับ ดร.กมลวรรณ และทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหารของเอ็มเทค สวทช. แล้วเห็นว่าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนถั่วเหลืองน่าสนใจและน่าจะไปได้ไกล จึงรับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยเราได้วิจัยพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อปรับสูตรให้เข้ากับการผลิตล็อตใหญ่และเหมาะกับผู้บริโภคมากขึ้น แต่สูตรหลักยังเป็นของ สวทช. โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ได้คือ เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งแบบพรีมิกซ์ สามารถนำมาผสมกับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่ระบุไว้ และปั้นเป็นชิ้นเนื้อไก่ตามใจชอบได้เลย”
[caption id="attachment_48150" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์[/caption]
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ผลิตจากโปรตีนถั่วเหลืองและใยอาหารจากข้าว ไม่ใส่สารกันบูด ปราศจากกลูเทน ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอล เป็นผงไก่แบบ DIY ที่ให้ผู้บริโภคขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามต้องการ ด้วยวิธีการปรุงไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ผสมผงไก่กับน้ำและน้ำมันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ แล้วปั้นขึ้นรูป ก็จะได้เนื้อไก่จากพืชที่นำไปประกอบอาหารแทนเนื้อไก่ได้ทุกรูปแบบ โดยมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่อร่อยคล้ายกับเนื้อไก่จริง
[caption id="attachment_48148" align="aligncenter" width="500"] เนื้อไก่ปรุงรสชนิดผงแห้งจากพืชแบบพรีมิกซ์สามารถนำมาปั้นขึ้นรูปได้อย่างง่ายดาย และปรุงอาหารได้หลากหลายตามต้องการ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]
“ผลตอบรับจากลูกค้าที่ได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ของเราส่วนใหญ่จะชอบมาก บอกว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนกับไก่มาก และคิดว่าน่าจะต่อยอดได้ แต่ด้วยเราเพิ่งจะมาจับธุรกิจทางด้านนี้ อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งที่จะหาคู่ค้าหรือธุรกิจต่อยอดในอนาคต ซึ่งเราวางแผนการตลาดไว้ทั้งการขายในประเทศและการส่งออก ตอนนี้ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ ส่วนในประเทศมีจำหน่ายแล้วที่ร้านอิ่มใจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ห้างไอซีเอส (ICS) ตรงข้ามไอคอนสยาม และร้าน healthy store หลายแห่ง หรือติดต่อสั่งซื้อผ่านไลน์ได้ที่ Line: @greenspoonsonly หรือติดตามได้ที่เฟซบุ๊กและอินสตาแกรม greenspoonsonly” คุณอารดากล่าว
[caption id="attachment_48147" align="aligncenter" width="650"] นักเก็ตไก่ทำจากผลิตภัณฑ์ผงไก่ปรุงรสจากพืช ‘กรีน สพูนส์’ ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อไก่ (เครดิตภาพ www.facebook.com/greenspoonsonly)[/caption]
‘FoodSERP’ พร้อมเสิร์ฟนวัตกรรมสู่ภาคธุรกิจ
ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ผงจากพืชแบบพรีมิกซ์เป็นหนึ่งในผลผลิตจาก ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน’ หรือ ‘FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ ที่ สวทช. จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งเน้นให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน แบบ One-stop Service โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางของประเทศให้แข่งขันได้และสอดรับกับทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต
สำหรับบริการด้านอาหาร FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ พร้อมบริการวิเคราะห์ทดสอบเนื้อสัมผัสของอาหาร ทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร และทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากล
ผู้ประกอบการที่สนใจพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์อาหารรูปแบบใหม่ สามารถติดต่อรับบริการจากแพลตฟอร์ม FoodSERP โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th หรือเฟซบุ๊ก facebook.com/FoodSERP
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
UNIDO เยือน สวทช. ตอกย้ำความร่วมมือ ด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดต่อการขนส่งที่ยั่งยืนของไทย
For English-version news, please visit : Visit of UNIDO Director General strengthens UNIDO-NSTDA collaboration on clean energy
(วันที่ 15 ตุลาคม 2566) ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี Dr.Gerd Müller ผู้อำนวยการองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ United Nations Industrial Development Organization (UNIDO) ได้เข้าเยี่ยมชมและหารือร่วมกับ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ทั้งสองหน่วยงานมีความร่วมมือในการพัฒนาและวิจัยเพื่อผลักดันด้านอุตสาหกรรมในประเทศไทยกันมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลายาวนาน ผ่านการสนับสนุนจาก the Global Environment Facility (GEF) โดยในการประชุมครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงโครงการความร่วมมือที่ผ่านมา และได้มีการหารือแนวความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตประกอบด้วยด้าน battery swapping และ Bio Technology และ South-South Cooperation
Dr.Gerd Müller กล่าวว่า มีความภูมิใจสำหรับความร่วมมือซึ่งที่ผ่านมา UNIDO ได้ร่วมงานกับ สวทช. มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2008 ซึ่ง สวทช. เป็นหน่วยงานที่สำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศไทย ทั้งโครงการการพัฒนาต้นแบบรถไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดระยอง โครงการการบูรณาการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในรูปแบบ South-South Cooperation ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดสำหรับ SMEs และ start up และโครงการจัดทำแผนปฏิบัติการรายชื่อสารเคมีที่เป็นพิษแห่งชาติ ที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญาสต็อกโฮม และมีความยินดีที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้การต้อนรับคณะ UNIDO การเยือนครั้งนี้เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงการที่มีอยู่และแสวงหาความร่วมมือในอนาคตเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของประเทศไทย ทั้งนี้ขอขอบคุณ Dr. Müller และ UNIDO สำหรับการมาเยือนและโอกาสในการร่วมงานกัน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วการเยือนครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของไทยต่อการขนส่งที่ยั่งยืนและความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านนี้
ทั้งนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำเสนอภาพรวมโครงสร้าง สวทช. และได้มีการนำเสนอโครงการที่ผ่านมาที่ได้รับการสนับสนุนจาก UNIDO นอกจากนี้ ดร.เกื้อกูล ปิยะจอมขวัญ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) ได้นำเสนอในที่ประชุมในหัวข้อ The Pilot Case of Ethanol Production from Cassava, และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) นำเสนอหัวข้อ Accelerating the adoption and life-cycle solutions to electric mobility in Thailand
อย่างไรก็ตามในการประชุมได้นำเสนอถึงความเป็นไปได้ในร่วมมือกันในอนาคต ในโครงการ Swapping Battery Motorcycle Project นำเสนอโดย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ ENTEC และโครงการ Sustainable Manufacturing Center: SMC นำเสนอโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โอกาสนี้ภายหลังการหารือเสร็จสิ้น Dr.Gerd Müller ได้ทดลองขับขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า ผลงานวิจัยภายใต้โครงการ Swapping Battery Motorcycle ที่พัฒนาโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. นำคณะผู้บริหารเข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช”เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
12 ตุลาคม 2566 ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. นำคณะผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
โอกาสนี้ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผนึกกำลังโครงการ WiL บูรณาการการเรียนรู้กับการทํางาน
สวทช. โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ บริษัท โซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันดําเนินโครงการ "การบูรณาการการเรียนรู้กับการทํางาน" หรือ WiL (Work-integrated Learning) พร้อมเปิดศูนย์ฝึกอบรม Training Center เพื่อรองรับการพัฒนาทักษะการทำงานของบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการ
สำหรับโครงการ WiL มีเป้าหมายพัฒนากำลังคนที่กำลังศึกษาในระดับ ปวส. และปริญญาโท ให้มีทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้วยวิธีบูรณาการการเรียนในสถาบันการศึกษา ควบคู่ไปกับการทำงานจริงในภาคอุตสาหกรรม เป็นการพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ภาคธุรกิจในปัจจุบัน พร้อมกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. หนุนกิจกรรมเยาวชน จัดค่ายวิทยาศาสตร์ STEM Camp
สวทช. จัดกิจกรรม One Day STEM Camp ตอน "เปิดประตูนักวิจัยรุ่นเยาว์ ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน" มีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนต่าง ๆ มาร่วมสนุกและเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมการทดลองต่าง ๆ ตลอด 1 วันเต็ม เป็นหนึ่งในกิจกรรมเยาวชที่ดำเนินการโดย บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. ซึ่งพร้อมจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่เยาวชน โรงเรียนหรือหน่วยงานที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ "บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร"
www.nstda.or.th/ssh
Facebook : SSH.NSTDA
E-mail : ssh@nstda.or.th
Line : @ssh.nstda
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ดาวเทียม THEOS-2 ประสบความสำเร็จขึ้นสู่วงโคจรแล้ว
ดาวเทียม THEOS-2 ประสบความสำเร็จขึ้นสู่วงโคจรแล้ว เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลก นายกฯ เศรษฐา ร่วมยินดีขอบคุณกระทรวง อว.ที่ช่วยขับเคลื่อนและผลักดันวงการอวกาศของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า ขณะที่ “ศุภมาส” ชี้ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกนำมาวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 5 - 8 วันจากนี้
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. มีการนำส่งดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 (Thailand Earth Observation Satellite 2) ขึ้นสู่วงโคจรจากท่าอวกาศยานยุโรปเฟรนช์เกียนา(Guiana Space Center) เมืองกูรู รัฐเฟรนช์เกียนา ทวีปอเมริกาใต้ มี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA รวมทั้งสักขีพยานจากประเทศไทยและสาธารณรัฐฝรั่งเศสรวมถึงประชาชนทั่วโลก ที่สนใจในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้
โดยเมื่อถึงเวลา 08.36 น.ตามเวลาในประเทศไทย ดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกนำส่งด้วย จรวด VEGA พร้อมมีการให้สัญญาณนับถอยหลังใน 10 วินาทีสุดท้ายหลังจากนั้นดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ได้ถูกส่งขึ้นสู่วงโคจรท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจ หลังจากลุ้นระทึก โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญต่างพากันจับมือแสดงความยินดี
ทั้งนี้ น.ส.ศุภมาส กล่าวภายหลังจากดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรของอวกาศว่า รู้สึกดีใจและโล่งใจที่การปล่อยดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ราบรื่น ประสบความสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการ โดยขณะนี้ สามารถกล่าวได้ว่าดาวเทียม THEOS-2 ได้เริ่มปฏิบัติการสำรวจโลกแล้ว โดยหลังจากปล่อยดาวเทียมในเวลา 08:36 น.จะใช้เวลากว่า 52 นาทีในการเข้าสู่วงโคจรที่ระดับความสูง 621 กิโลเมตร เมื่อดาวเทียมขึ้นไปแล้ว จะทดสอบระบบในอวกาศร่วมกับสถานีภาคพื้นดินราวๆ 3 เดือน ก่อนจะใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีสถานการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้น อาทิ ภัยพิบัติ THEOS-2 ก็สามารถสั่งถ่ายภาพได้ภายใน 5 - 8 วัน หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร
“ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของกระทรวง อว.และประเทศไทย หลังจากนี้จะมีการต่อยอดยกระดับด้านต่างๆ ของประเทศรวมทั้งการให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนให้รู้ว่าดาวเทียม THEOS-2 มีประโยชน์อย่างไร สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะถูกใช้ในการปรับปรุงและทำให้ข้อมูลในทุกพื้นที่ของไทยเป็นปัจจุบัน ทันสมัย และมีความละเอียดที่ถูกต้อง ช่วยให้ทุกการวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” รมว.กระทรวง อว.กล่าว
ในโอกาสนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดี ว่า ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนคนไทยทุกคน ขอแสดงความยินดีที่วันนี้ประเทศไทยประสบความสำเร็จสามารถส่งดาวเทียม THEOS-2 ขึ้นสู่วงโคจรได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นมาตลอดว่าจะใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องประชาชน ข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 จะเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการนำไปพัฒนาสร้างประโยชน์ได้ในหลากหลายมิติ อาทิ การบริหารจัดการเกษตร การบริหารจัดการเมือง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการภัยธรรมชาติ ซึ่งจะนำมาสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงของพี่น้องประชาชน
“ผมขอขอบคุณกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ GISTDA ที่จะช่วยขับเคลื่อนและผลักดันวงการอวกาศของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้า” นายเศรษฐา กล่าว (อ่านข้อมูลเพิ่ม:- https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/73133)
ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า หลังจากดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรแล้ว จะทำการปรับตัวเพื่อเข้าสู่โหมดของการทำงาน รวมทั้งทดสอบระบบควบคุมและติดต่อสื่อสารกับภาคพื้นดินเพื่อความเสถียรและความแม่นยำของข้อมูลโดยใช้เวลาประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้น GISTDA จะเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้าถึงข้อมูล เพื่อนำไปต่อยอดหรือให้การบริการเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงจะเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อนด้านการศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมในการใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ และเทคโนโลยีอวกาศในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรในสาขาที่เกี่ยวข้องต่อไป
เครดิตภาพจาก https://www.facebook.com/gistda
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญผู้ที่สนใจในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม (Deep Tech Startups) เข้าร่วมกิจกรรม Pitching & Investor Day “ภายใต้โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter 2566)”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (Technology Management Center)
โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (ฺBIC)
ขอเชิญผู้ที่สนใจในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม (Deep Tech Startups)
เข้าร่วมกิจกรรม Pitching & Investor Day
"ภายใต้โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter 2566)"
ในวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2566
เวลา 09.00-17.00 น.
สถานที่ : UOB Plaza Bangkok ชั้น 5 ห้อง Auditorium
ในกิจกรรมประกอบด้วย
▶ เวที Pitching ของ 20 Startups ในโครงการ "Techbiz Starter"
▶ มุมมองการลงทุนใน Deep Tech Startups จากนักลงทุนตัวจริง
▶ นิทรรศการแสดงผลงาน + ผลิตภัณฑ์ของทั้ง 20 ผลงาน แสดงโชว์ภายในงาน
📌ลงทะเบียนฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ผ่านลิงก์ด้านล่างนี้📌
https://forms.gle/AtD1U6xLon2cjdZn7
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Email: techbiz.starter@nstda.or.th
Tel: 02-564-7000 ext.81490
ปฏิทินกิจกรรม
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 4 ประจำเดือนกรกฎาคม 2566
ข่าว
เสริมแกร่งพลังสิบ ด้วยเทคนิคการจัดค่ายวิทยาศาสตร์จาก สวทช.
สวทช. เตือนภัย ‘เห็ดพิษอันตราย’ ภัยร้ายฤดูฝน
คณะผู้บริหาร อว. ร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
ไทย-UK โดย ไบโอเทค มจธ. และ ม.เคนท์ ม.คอลเลจลอนดอน แถลงผลความสำเร็จ ๓ โครงการร่วมวิจัย ทุนร่วมกว่า 170 ล้านบาทมุ่งเดินหน้า 2 เรื่องใหญ่ (ชีวเวชภัณฑ์ และสาหร่ายเซลล์เดียว) ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
สวทช. ผนึก กรมโรงงานฯ สภาอุตฯ จัดสัมมนา End of Waste Thailand ติดอาวุธผู้ประกอบการ เปลี่ยนของเสียในอุตสาหกรรมเป็น ‘ทรัพยากร’
ไบโอเทค/สวทช. จับมือ มจธ. นำคณะเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ชี้เป็นแล็บต่อยอดวิจัยระดับสูงเชิงพาณิชย์ หนุนอุตฯ ชีวเวชภัณฑ์ของประเทศ
นาโนเทค สวทช. รับมอบใบรับรอง ISO13485 สำหรับชุดตรวจและตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ
สวทช. ผนึก พันธมิตรภาครัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนศักยภาพ ‘การเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรง’ ของประเทศไทย
สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน รับรางวัล Ajinomoto – FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประจำปี 2566
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี
สวทช. เปิดขุมพลังวิจัย ฟูดเซิร์ป (FoodSERP) “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางไทย
สวทช. ลุยพื้นที่ EECi จัดค่ายเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นกิจกรรมฝึกทักษะปฏิบัติการ นวัตกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่
องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวโครงการ RIAN พร้อม MOU ร่วม 5 หน่วยงาน ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ
สวทช. ร่วมกับ บพข. Kick off โครงการ “ยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘”
ENTEC สวทช. กฟผ. เอกชนไทย-จีน ร่วมจัดพิธีฉลองมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 50 คัน ให้กับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสาธารณะ ในเขตพื้นที่บางกรวย นนทบุรี และบางพลัด กรุงเทพฯ
PTEC สวทช. โชว์ขุมพลังระบบนิเวศวิจัย ด้านการวิเคราะห์-ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า EV ตามมาตรฐานสากล
บทความ
แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
Download เอกสารฉบับเต็ม (9.8MB)
จดหมายข่าว สวทช.
ขอเชิญผู้สนใจเข้าอบรมหลักสูตร “การพัฒนาผู้จัดการงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ด้านเศรษฐกิจ รุ่นที่ 2”
“พัฒนาศักยภาพและยกระดับบุคลากรทั้งด้านความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นและทันสมัยในการบริหารจัดการงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจแบบครบวงจร” และ"เชื่อมโยงเครือข่ายและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับ RDI Manager ด้านต่าง ๆ" กับหลักสูตร "การพัฒนาผู้จัดการงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ด้านเศรษฐกิจ รุ่นที่ 2"
👨🏫 ระยะเวลาของหลักสูตร
เดือนธันวาคม 2566 - เดือนเมษายน 2567
👨🏫 สถานที่ฝึกอบรม
โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
💰 ค่าลงทะเบียน
ท่านละ 46,000 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
หมายเหตุ: ค่าลงทะเบียนปกติ 120,000 บาท
โดยหลักสูตรนี้ได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจาก สกสว.
📝 ลงทะเบียนเรียน
รับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ - 15 พ.ย. 2566
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการอบรม 24 พ.ย. 2566
คุณสมบัติผู้เข้าอบรม
1. เป็นผู้บริหาร มีบทบาทในการกำกับดูแล ขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์และ/หรือมีประสบการณ์บริหารงานวิจัยและนวัตกรรม
2. นักวิจัยที่มีประสบการณ์ในการบริหารโครงการขนาดใหญ่/แผนงานด้านอุตสาหกรรม
📞 ติดต่อสอบถาม
1. ดร.ใจรัก เอื้อชูเกียรติ
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1347
e-Mail: jairak@nstda.or.th
2. คุณอรุณศรี ศรีธนะอิทธิพล
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1319
e-Mail: arunsri@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. – ม.เกษตรฯ ผสานความร่วมมือต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนข้อมูลวิชาการ-สารสนเทศ เสริมแกร่งด้านงานวิจัย
(วันที่ 6 ตุลาคม 2566) ที่ห้องออดิทอเรียม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี: ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสิรฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นางสาวสุพรรณี หงษ์ทอง ผู้อำนวยการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ร่วมลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เรื่อง การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้” ระหว่าง สวทช. โดยฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) และสำนักหอสมุด ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อเป็นพันธมิตรการจัดการและบริการสารสนเทศและองค์ความรู้ ที่ช่วยสนับสนุนการเรียการสอน การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษา อาจารย์ นักวิจัยและบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.
นางสาวสุพรรณี หงษ์ทอง ผู้อำนวยการสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การลงนามในวันนี้ เป็นการขยายความร่วมมือต่อเนื่องหลังจากที่ทั้งสองหน่วยงานได้มีข้อตกลงความร่วมมือ ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ สวทช. ด้วยการแบ่งปันทรัพยากรสารสนเทศที่นักวิจัย สวทช. ต้องการเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาโดยเฉพาะฐานข้อมูลออนไลน์ต่างประเทศที่สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสืบค้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าเพื่อการวิจัยอย่างมาก “สวทช. ขอขอบคุณสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้ให้การสนับสนุน ซึ่งเป็นการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระดับประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านวิชาการและด้านการวิจัยและพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” รองผู้อำนวยการ สวทช. ระบุ
สำหรับวัตถุประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมกันพัฒนาระบบสนับสนุนการจัดการองค์ความรู้ผ่านโครงการระบบสื่อสาระออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ทางไกลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ร่วมกันให้บริการสารสนเทศห้องสมุดสนับสนุนการวิจัย เพื่อให้เกิดการแบ่งปันและใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันอย่างประสิทธิภาพสูงสุด ด้านการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนาบุคลากรของทั้งสองสถาบันและเกิดความคุ้มทุนในการจัดหาและใช้ทรัพยากรฯ ตลอดจนร่วมกันพัฒนาให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการ การแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ องค์ความรู้ หรือเทคโนโลยีสำหรับบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยอาศัยสื่อออนไลน์และสื่อสมัยใหม่อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาการปฏิบัติงานและพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์


