ผลการค้นหา :
ระบบ ISO คืออะไร?
รายการวันละนิดวิทย์เทคโนกับสวทช. ตอน ระบบ ISO คืออะไร?
ISO มาจากคำว่า International Organization for Standardization (ISO) เป็นมาตรฐานการวัดคุณภาพองค์กรต่างๆ เพื่อรับรองระบบการบริหารและการดำเนินงานขององค์กรในแต่ละประเทศเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
ตัวเลขที่อยู่ด้านหลังคำว่า ISO นั้น หมายถึง สินค้าและบริการที่แตกต่างกัน เช่น โรงแรม ภัตตาคาร สนามบิน และ โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ระดับของมาตรฐานการวัดคุณภาพจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
ISO9000
ISO9001
ISO9002
ISO9003
ซึ่งเป็นการวัดคุณภาพจากการจัดการขององค์กร และ ISO14000 จะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม
การจัดทำระบบคุณภาพ ISO มีข้อดีคือ ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริการว่าได้รับการคุ้มครองทั้งในเรื่องของ คุณภาพ และ ความปลอดภัย
วันละนิดวิทย์เทคโน
ค่า pH คืออะไร ?
รายการวันละนิดวิทย์เทคโนกับสวทช. ตอน ค่า pH คืออะไร ?
ค่า pH เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรด-เบส ของสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยค่า pH จะอยู่ในช่วง 1-14 ถ้าค่า pH น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นเบสหรือด่าง แต่ถ้าค่า pH นั้นมีค่าเท่ากับ 7 แสดงว่าสารชนิดนั้นเป็นกลางหรือที่เรียกว่า pH balance หรือไม่เป็นกรดหรือเบสไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง การหาค่า pH ในสารต่างๆ มีประโยชน์มากมายในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างด้านอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง จนรวมไปถึงวงการการแพทย์ การเกษตร ฯลฯ
วันละนิดวิทย์เทคโน
หนังสือ แนวทางการออกแบบนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หนังสือแนวทางการออกแบบนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - Exhibition Design
คลิกเพื่อดาวน์โหลด
ดาวน์โหลดจากคลัง OER
เอกสารเผยแพร่
คลื่นยักษ์สึนามิ คลื่นอภิมหาภัย
ตามที่มูลนิธิชัยพัฒนาได้จัดพิมพ์หนังสือ คลื่นยักษ์สึนามิ คลื่นอภิมหาภัย จำนวน 40,000 เล่ม เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับคลื่นสึนามิให้แก่สาธารณชนโดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา สำหรับใช้เป็นข้อมูลประกอบในการศึกษาและเพิ่มพูนความรู้ร่วมถึงวิธีการป้องกันภัย นั้นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค/สวทช.) แปลและเรียบเรียง รวมถึงการจัดทำรูปเล่มและศิลปกรรม ท่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้คลิกลิงก์
เอกสารเผยแพร่
สาร CFC คืออะไร?
สาร CFC หรือสารคาร์โรฟลูออโรคาร์บอน เป็นสารประกอบที่มนุษย์สร้างขึ้นมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีแหล่งกำเนิดจากโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ แอร์ในรถยนต์ และจากสเปรย์ฉีดพ่น สาร CFC มีองค์ประกอบเป็น คลอรีน ฟลูออไรด์ และโพรวีน ซึ่งเป็นสารที่สามารถทำลายโอโซนชั้นบรรยากาศของโลกได้ ส่งผลให้รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี ส่งมายังโลกได้มากกว่าปรกติและเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เช่น ก่อให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้
วันละนิดวิทย์เทคโน
ระบบนิเวศ คืออะไร
รายการ วันละนิด วิทย์เทคโน กับ สวทช. กระทรวงวิทย์
ตอน "ระบบนิเวศ คืออะไร?"
ระบบนิเวศคือ ความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา ตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ระหว่าง สัตว์ พืช หรือแม้แต่มนุษย์อย่างเรา ๆ
ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มจะมีความสัมพันธ์กันเป็นทอดๆ เช่น สัตว์กินพืช สัตว์กินสัตว์ และสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ สุดท้ายเมื่อสิ่งมีชีวิตตายลงจุลินทรีย์ก็ทำหน้าที่ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตต่อไป เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศอย่างเช่น มีสารเคมีแปลกปลอมเข้ามาทำลายสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งย่อมส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในระบบนิเวศทุกๆ สิ่งมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกทีเดียว
วันละนิดวิทย์เทคโน
Peer Assist
Peer assist เป็นการหาผู้ช่วย (ทีมผู้ช่วย) มาให้ความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ถึงโครงงานที่กำลังจะลงมือทำ เป็นกระบวนการหนึ่งที่ British Petroleum (BP) เรียกว่า การเรียนรู้ก่อนลงมือทำ (Leraning before doing) เพื่อเป็นการสะสมความรู้ ประสบการณ์ก่อนการทำงาน การพบปะของทีมที่ร้องขอ และทีมช่วยเหลืออาจใช้เวลาครึ่งวันถึง 2 วัน
(more…)
การจัดการความรู้ (KM)
การจัดการความรู้ของ UiTM
อีกหนึ่งตัวอย่างของการจัดการความรู้ในหน่วยงานระดับมหาวิทยาลัย คือ Mara University of Technology หรือ UiTM ประเทศมาเลเซีย ที่ห้องสมุดเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงาน ติดตามตัวขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการประยุกต์ใช้ KM การพัฒนาระบบ KM KM Roadmap รวมถึงผลกระทบของและความสำเร็จที่เกิดขึ้น (more…)
การจัดการความรู้ (KM)
KM กรณี ธนาคาร Negara Malaysia
จากวิกฤตเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1997 ส่งผลให้เกิดการถดถอยทางการเงินไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในเอเชียตะวันออกซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ดังกล่าว ปัญหานี้ทำให้เกิดการปรับปรุงกลยุทธ์ต่างๆ ในประเทศมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือการสร้างสรรค์องค์กรที่มีความสามารถรอบตัว ตัวอย่างกรณี ธนาคาร Negara Malaysia ที่ตระหนักดีว่าความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้า ความฉลาดเฉลียว และการจัดการความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่ว่ามานั้นจะเพิ่มขึ้นได้ต้องอาศัยระบบการจัดการความรู้ เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นองค์กรแห่งความรู้ (more…)
การจัดการความรู้ (KM)
Practical Knowledge Management
หลักสูตร Practical Knowledge Management จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 – 22 มกราคม 2551 โดยอบรมที่ โรงแรมเชอราตัน อิมพีเรียล กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ผู้บรรยาย คือ Vernon Prior การอบรมประกอบด้วยการบรรยาย การแบ่งกลุ่มระดมความคิด การนำเสนอความคิดที่การผ่านการอภิปราย จนออกมาเป็นข้อสรุป และแลกเปลี่ยนกับกลุ่มอื่นๆ ผู้บรรยายจะแทรกคำคมของผู้มีชื่อเสียงที่เกี่ยวข้องกับแต่ละหัวข้อมาประกอบ ด้วยซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว จึงได้นำคำคมบางเรื่องมาแทรกเป็นระยะๆ ไว้ในรายงานเพื่อจะได้เห็นมุมมองอื่นๆ ด้วย
ประเด็นจากการบรรยาย สรุปได้ ดังนี้
ความหมายของการจัดการความรู้
“The only source of knowledge is experience. Everything else is just information.” - Albert Einstein
“Knowledge management ... is not a software product or a software category. Knowledge management doesn't even start with technology. It starts with business objectives and processes and a recognition of the need to share information.'' - Bill Gates
“Knowledge management is nothing more than managing information flow, getting the right information to the people who need it so that they can act on it quickly.” - Bill Gates
การจัดการความรู้เป็นกระบวนการรวบรวม การสงวนรักษา และการถ่ายทอดสารสนเทศไปสู่ความรู้ ที่สามารถเข้าถึงได้เพื่อนำไปปรับปรุงการปฏิบัติงานในองค์กร
สำหรับคำว่า Know-how ประกอบด้วยการสั่งสมทักษะ หรือประสบการณ์ทางวิชาชีพ ที่มีผลทำให้งานมีประสิทธิภาพแต่เป็นสิ่งที่ยากจะอธิบาย
สิ่งที่สัมพันธ์กับการจัดการความรู้
“Successful knowledge transfer involves neither computers nor documents but rather interactions between people” - Tom Davenport
“There's no such thing as knowledge management, there are only knowledgeable people. Information only becomes knowledge in the hands of someone who knows what to do with it.” - Peter Drucker
การจัดการความรู้มีความเกี่ยวข้องกับคน เป็นเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือไม่ใช่ในเรื่องของเอกสาร
กิจกรรมการจัดการความรู้ ประกอบด้วย
“After all, knowledge management is multi-disciplined, and about behaviors – smart people talking to each other.” - Tim Curry
การวางตัวคนกับความสามารถเฉพาะตัว
ความร่วมมือระหว่างบุคคล
การจัดหาช่องทางการเข้าถึงสารสนเทศที่มีอยู่
การจัดการสารสนเทศที่ยังไม่มีโครงสร้างหรือที่ยังไม่ได้จัดการ
การจัดการเอกสารที่เป็นความรู้ต่าง ๆ ก่อนที่จะสูญหายไป
การเปรียบเทียบ (Benchmark) กับหน่วยงานอื่น ๆ
การจัดทำบอร์ดประชาสัมพันธ์ จดหมายข่าว
การทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน พี่เลี้ยง
การประชุม การสัมมนา
การทำฐานข้อมูล การทำแผนที่ความรู้
การทำโปรแกรมการฝึกอบรม
การเป็นสมาชิกของสมาคมวิชาชีพ
การเป็นพันธมิตรกับสถานศึกษาและหน่วยงานวิจัย
เครือข่ายและชุมชนนักปฏิบัติ
ห้องสมุด
เครื่องมือพื้นฐานของการจัดการความรู้
“Classification is at the basis of all intelligence work, and is resorted to unconsciously by intelligent people. It is a thousand times more effective of consciously used as a tool.” - Bernard Palmer & Derek Austin
เครื่องมือสำคัญ สำหรับการจัดการสารสนเทศ คือ การจัดหมวดหมู่และการทำดัชนี
การจัดหมวดหมู่เป็นพื้นฐานในการจัดเนื้อหาให้เป็นระบบ การทำดัชนีช่วยในการจัดเอกสารและลงรายการเอกสาร ด้วยการรวมทั้งหัวเรื่องและแหล่งที่อยู่ของเอกสารเข้าด้วยกัน ถ้าการทำดัชนีมีประสิทธิภาพ จะต้องทำให้ผู้ใช้รู้ว่าต้องใช้คำสำคัญคำใดเพื่อที่จะหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกันได้ ด้วยการใช้คำศัพท์ควบคุม โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ taxonomy หรือศัพท์สัมพันธ์เข้ามาช่วย
“Besides the investment in technology, taxonomies take a great deal of intellectual effort. Most require a fair amount of manual effort at some point, too, no matter what sales people tell you.” - Susan Feldman
หน้าที่ของ Taxonomy ในการจัดการความรู้ก็คือ ทำให้สารสนเทศสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ด้วยการใช้คำศัพท์ที่ควบคุมและอย่างมีโครงสร้าง
การสร้าง Taxonomy
กำหนดขอบเขตของ Taxonomy
มีทีมทำงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านสารสนเทศ
รวบรวมคำศัพท์กว้าง ๆ ที่อธิบายตัวเนื้อหา
กำหนดคำที่ใช้และกำหนดคำจำกัดความโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่ใช้คำศัพท์
ใช้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่เพื่อให้ครอบคลุมด้านอื่น ๆ ด้วย
เลือกคำสำคัญจากชื่อเรื่อง สาระสังเขป เนื้อหา หรือคำที่แนะนำโดยผู้จัดทำดรรชนี
สนับสนุนให้มีการใช้อย่างแพร่หลาย
ฝึกอบรมการใช้
ฯลฯ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
“The computer is merely a tool ... knowing how a typewriter works does not make you a writer. Now that knowledge is taking the place of capital as the driving force in organisation worldwide, it is all too easy to confuse data with knowledge and information technology with information” - Peter Drucker
คอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นตัวจัดหาความรู้ แต่คนต่างหากที่เป็นผู้หาความรู้ ดังนั้น การจัดการความรู้ จึงเป็นเรื่องของเครือข่าย การวางตัวบุคคล การติดตาม การสร้างชุมชนนักปฏิบัติ การสอน เป็นต้น คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจข้อมูลที่ประมวลผล ไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ หรือทำสาระสังเขปได้ แต่การจัดการความรู้ก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของ ดาต้าไมนิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ การจัดเก็บและระบบการสืบค้น เป็นต้น
ระบบการจัดการความรู้
ระบบการจัดการความรู้ของ Teltech มีการจัดทำแผนที่ความรู้ มีฐานข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้ทางออนไลน์จำนวน 1600 ฐานข้อมูล มีระบบให้ลูกค้าสืบค้นได้ มีบริการที่เรียกว่า Technical alert service
ระบบการจัดการความรู้ของ Xerox มีโครงการ Eureka ประกอบด้วยฐานข้อมูลที่เป็น best practices ความคิด และการแก้ปัญหาต่าง ๆ มีระบบอินทราเน็ตที่อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
ระบบการจัดการความรู้ของ Price WaterhouseCoopers มีระบบ KnowledgeCurve เป็นระบบอินทราเน็ต ในการจัดการคลังความรู้ที่เป็น best practices เทคนิคการให้คำปรึกษา ทำเนียบนามผู้เชี่ยวชาญ หลักสูตรอบรมทางออนไลน์ การเชื่อมโยงเว็บไซต์และการให้บริการข่าวสารต่าง ๆ
ระบบการจัดการความรู้ของ Whirpool มีฐานข้อมูล My Page ซึ่งเป็นฐานข้อมูลประวัติ มีข้อมูลการติดต่อ บทบาทหน้าที่ และความเชี่ยวชาญ ; ฐานข้อมูล My Experience ประกอบด้วยโครงงานต่าง ๆ มีข้อมูลโครงงาน ผลประโยชน์ ปัญหา และ lesson learned ; มีฐานข้อมูลคำถามและคำตอบ ซึ่งจะคอยตอบคำถามที่เข้ามาใหม่ ๆอยู่เสมอ ; การอบรมและการให้ศึกษาต่อ
เนื้อหาที่ควรจัดเก็บ (ภายใน) ประกอบด้วย
แผนที่ความรู้ หรือฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ
Know-how ประกอบด้วยคำอธิบายตัวโครงงานอย่างสั้น ๆ ทั้งโครงงาน/กิจกรรมที่เป็นปัจจุบันและโครงงาน/กิจกรรมที่เคยทำไปแล้ว พร้อมกับปัญหาที่เคยพบและวิธีการแก้ปัญหา รวมทั้งรายละเอียดของการติดต่อต่าง ๆ
การจัดทำคำถาม ที่ถามบ่อย ๆ
การจัดทำ Taxonomy หรือศัพท์สัมพันธ์
คำศัพท์ทางเทคนิค
รายชื่อบริษัท ประกอบด้วยบุคคลสำคัญ โครงสร้าง การวิเคราะห์ จดหมายข่าว การสำรวจตลาด
มาตรฐานรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ จดหมาย โครงงาน รายงาน สื่อที่เผยแพร่ และเอกสารอื่นๆ
เนื้อหาที่ควรจัดเก็บ (ภายนอก) ประกอบด้วย
CI ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานได้เกี่ยวกับสถานภาพในองค์กร
อุตสาหกรรม ข้อมูลทางอุตสาหกรรม แนวโน้ม พันธมิตร การรวมกิจการ
เทคโนโลยี การเกิดเทคโนโลยีใหม่ และการนำไปประยุกต์ใช้
การออกแบบระบบการจัดการความรู้
มีการแต่งตั้งผู้จัดการโครงการและทีมจัดการความรู้ตามความเหมาะสมกับทักษะและความสามารถ
หาข้อสรุปข้อตกลงของผู้บริหารระดับสูง
ใช้คำศัพท์ควบคุม
ใช้งานง่าย
เน้นสารสนเทศที่จำเป็นตามความต้องการจริง ไม่ใช่เทคโนโลยีสารสนเทศ
ปรับกฎเกณฑ์ให้ง่ายขึ้น
เผยแพร่และให้รางวัลผู้ที่มีส่วนร่วม
ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
แผนที่ความรู้หรือฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญ หลักเกณฑ์ที่ควรคำนึง คือ จะประกอบด้วยเขตข้อมูลอะไรบ้าง
“The organizational chart is not a good guide for finding people with certain knowledge. If you want a map to know what, you're got to create one. And knowledge mapping is one of the best early activities in knowledge management.” - Tom Davenport & Larry Prusak
บริษัท BP-Amoco มีระบบอินทราเน็ตที่มีคลังความรู้ที่เป็นมันสมองของพนักงาน มีสื่อกลางที่มีประสิทธิภาพก็คือเครือข่าย ทำให้พนักงานสามารถเข้าไปหาผู้เชี่ยวชาญ แก้ปัญหา และสร้างความคิดใหม่ๆ เนื่องจากประกอบด้วยรายละเอียดการติดต่อ สาขาความเชี่ยวชาญ รูปภาพและการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์
Miter Corporation ใช้แผนที่ความรู้ในการค้นหาสถานที่ ความเป็นเจ้าของ คุณค่า การใช้ความรู้ขององค์กร นอกจากนี้ยังช่วยในการเรียนรู้ถึงบทบาท หน้าที่ และความเชี่ยวชาญของคน การบ่งชี้ลักษณะการไหลของความรู้ ในองค์กร
AT & T มีฐานข้อมูลที่รู้จักกันในชื่อ AAA เป็นข้อมูล 1 หน้าประกอบด้วยรายละเอียดความรู้ของพนักงานในบริษัท ผลิตภัณฑ์ ภาค ภูมิประเทศ ภาษา ทำให้พนักงานอื่น ๆ สามารถเข้าไปดึงข้อมูลความเชี่ยวชาญในการจัดการความรู้ และ best practices ได้
แผนที่ความรู้ ควรประกอบด้วย
ชื่อ
สาขาความเชี่ยวชาญ
ชื่อตำแหน่งหรือชื่อของงาน
รายละเอียดการติดต่อ
การปฏิบัติงาน กิจกรรม โครงการที่เกี่ยวข้อง
รายละเอียดส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกประเภทสารสนเทศที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ในการเข้าถึง
รายละเอียดของผู้บังคับบัญชาคนก่อนหรือนายจ้างคนก่อน
การเป็นสมาชิกของสมาคม กลุ่ม หรือคณะกรรมการ
ทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ
ปี
การสื่อสาร
“We make sense of information by talking with other people. We need rich relationship with diverse people. We need gnarly conversational networks. We need to get smart together. And talk is how we do it. That's also how we come up with new ideas. At least as important, it's how we quickly find out that bad ideas are bad.” - David Weinberger
อุปสรรคในการสื่อสาร
ขาดความเชื่อถือ
infogut
สถานที่
ความลำเอียง
ความเข้าใจผิด ความไม่เข้าใจกัน
การกรองข่าวสาร
เวลา
การสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
การใช้สื่อหรือช่องทางการสื่อสารที่ไม่เหมาะสม
การสื่อสารที่ก่อให้เกิดประโยชน์
“In the new economy, conversations are the most important form a work. Conversations are the way knowledge workers discover what they know, share it with colleagues, and in the process create new knowledge for the organization.” - Alan Webber
ใช้วิธีการเล่าเรื่อง
เครือข่าย (การสื่อสารแบบเผชิญหน้า หรือทางออนไลน์)
สื่อสารเฉพาะสารสนเทศที่สำคัญ
ทำรายงานอย่างถูกต้อง กระชับ กระทัดรัด ชัดเจน
ใช้สื่อหรือช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสาร
ปรับปรุงทักษะการฟัง
แลกเปลี่ยนสารสนเทศกับเพื่อนร่วมงาน
ส่งสารสนเทศให้กับกลุ่มคนที่สนใจ
ยอมรับความผิด จุดอ่อน
รวบรวมแผนที่ความรู้และรู้จักใช้
สร้างเครือข่าย ชุมชนนักปฏิบัติ อินทราเน็ต บล็อค วิกิ ideas fairs โปรแกรมฝึกอบรม
ให้รางวัลพนักงานที่แลกเปลี่ยนความรู้
บริษัท 3M มีการประชุมด้วยกันทุกเดือน และทุกปีมีการจัด knowledge fair เป็นเวลา 3 วัน และมีการประชุมบ่อยครั้งมากในหัวข้อที่พิเศษ ทำให้พนักงานในบริษัทได้สร้างเครือข่ายกันขึ้น มีการสื่อสารแบบเผชิญหน้า มีการแลกเปลี่ยนความคิด และการถ่ายทอดความรู้
การสร้างเครือข่าย
“Much knowledge is passed through informal networks, across networks and communities of practice. You've got to facilitate the functioning of these networks if you want to manage knowledge. Once they are functioning well, you can apply technology to ease the capture and sharing of knowledge across a network. But don't start with the technology.” - Tom Davenport & Larry Prusak
ชุมชนนักปฏิบัติ เป็นช่องทางการในพัฒนา best practices หรือการแก้ปัญหาโดยผ่านช่องทางการสื่อสาร ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ หรือกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
การสร้างชุมชนนักปฏิบัติ เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ดีที่สุด การเรียนรู้ การเกิดนวัตกรรม และการแก้ปัญหา ซึ่งต้องสานให้เกิดความต่อเนื่องและมีความยั่งยืน
ประโยชน์ของการจัดการความรู้
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ การแลกเปลี่ยน และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
เป็นตัวชี้ให้เห็นลักษณะและสถานที่ของแหล่งความรู้ที่เป็น know-how และผู้เชี่ยวชาญ
ช่วยในการวางแผนและการตัดสินใจ
สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง
เปิดเผยความคิดที่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่หรือบริการใหม่
ช่วยปรับปรุงการทำงานของพนักงาน ด้วยการยอมรับพนักงาน การให้รางวัลในการร่วมสร้างความรู้
สามารถแยกแยะกระบวนการที่เกินความจำเป็นในการทำงาน
เป็นการคุ้มครองทุนทางปัญญาและ know-how ขององค์กร
ผู้จัดการความรู้ (Knowledge Manager) ควรจะมีลักษณะดังนี้
มีประสบการณ์การจัดการความรู้อย่างน้อย 1 ปี ได้แก่ การสร้างความรู้ การจัดหมวดหมู่ การทำดัชนี การจัดเก็บ การค้นคืน การสื่อสาร การเผยแพร่ หรือการนำไปประยุกต์ใช้
มีความรู้ในสภาพแวดล้อมที่ทำงานอยู่ รวมทั้งการตระหนักถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ
มีความคุ้นเคยกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ก่อให้เกิดความรู้ต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด กลุ่มงานวิจัย สารสนเทศที่มีอยู่ สำนักพิมพ์ นักวิจัย ที่ปรึกษา ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้วางแผนกลยุทธ์ รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือกรุ๊ปแวร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีการติดต่ออย่างสม่ำเสมอกับสมาชิกระดับผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารในวิชาชีพต่าง ๆ
ตัววัดความสำเร็จ ประกอบด้วย
การนัดพบผู้บริหารระดับอาวุโสแต่ละคน เพื่อสนับสนุนและเพื่อการยอมรับ
มีการตรวจสอบการเข้าถึงความต้องการ เพื่อชี้ให้เห็นถึงสารสนเทศที่มีอยู่ ความเชี่ยวชาญ และเพื่อเลือกเนื้อหาให้มีความเหมาะสมมากขึ้น (แผนที่ความรู้, best practices, know-how, competitive intelligence)
มีการพัฒนาคำศัพท์ควบคุมและคำศัพท์เทคนิคต่าง ๆ
มีการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและการติดตั้งอินทราเน็ต
มีการจัดการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม เพื่อการจัดการความรู้อย่างเป็นทีมและเพื่อการจัดการโดยภาพรวม
มีการสนับสนุนการสื่อสารอย่างเปิดเผยและการมีการแลกเปลี่ยนสารสนเทศซึ่งกันและกัน
มีการประยุกต์ใช้วิธีการหรือเทคนิคในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศอย่างหลากหลาย
มีการลดจำนวนกฎหรือระเบียบข้อบังคับที่ไม่เป็นจำเป็นออกไป
ใช้ช่องทางการสื่อสารหลาย ๆ ทางในการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้
ทำระบบให้ใช้งานง่าย
เสนอในเรื่องการยอมรับ และการให้รางวัล
Standard resume (1 ถึง 3 คะแนน)
Minor report or briefing (5 ถึง 10 คะแนน)
Major report or briefing (10 ถึง 25 คะแนน)
KM tool (เช่น Taxonomy, style guide, glossary) (20 ถึง 100)
Training (1 ถึง 3 ต่อชั่วโมงต่อคน)
“Knowledge management will not succeed if there are no workers and managers whose primary jobs involve extracting and editing knowledge from those who have it, facilitating knowledge networks, and setting up and managing knowledge technology infrastructure.” - Tom Davenport & Larry Prusak
เรียบเรียงโดย สุภาพร ชัยธัมมะปกรณ์
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
การจัดการความรู้ (KM)
จัดการความรู้ด้วย KUI
บันทึกสรุปการสัมมนา การสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการส่งเสริมการใช้เวทีอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจัดการความรู้ด้วยโปรแกรมสถาปนาองค์ความรู้ (Knowledge Unifying Initiator : KUI) วันที่ 16 มกราคม 2551 ณ โรงแรมสยามซิตี้ กรุงเทพฯ โดยนางสาวสุภาพร ชัยธัมมะปกรณ์
ศูนย์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Center - STKC) สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดงานสัมมนาในครั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมและพัฒนาการใช้โปรแกรมสถาปนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือ คุยซายน์ (KuiSci)
คุยซายน์เป็นซอฟต์แวร์เพื่อสังคมของนักวิจัยและนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โปรแกรมนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันของชุมชนในลักษณะของการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยอาศัยอินเทอร์เน็ตเป็นเวทีที่จะทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้ต้องการผลงานหรือผู้ให้ทุน หรือเจ้าของปัญหา หรือเจ้าของโครงการ ที่เสนอปัญหาหรือโจทย์เข้ามาในระบบ กับผู้แก้ปัญหาหรือนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อค้นหาคำตอบหรือ แนวทางในการแก้ปัญหา โดยใช้กระบวนการในแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูล ข่าวสารจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ
ในเบื้องต้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะบริการระบบนี้แก่นักเรียนทุนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับทุน ของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และสำเร็จกลับมาแล้ว เพื่อส่งเสริมให้เข้าร่วมทำงานวิจัยมากยิ่งขึ้น โดยสามารถเรียกใช้งานได้จาก http://kui.most.go.th/kuisci
คุยซายน์ประกอบด้วย
พื้นที่ในส่วนของผู้ต้องการผลงาน
ผู้ที่ต้องการนำผลงานไปใช้ในกิจกรรมการวิจัยเพื่อพัฒนาองค์กร หรือผู้สนับสนุนให้ทุนเพื่อให้มีการสร้างสรรค์ผลงาน สามารถใช้พื้นที่ในส่วนนี้เพื่อเสนอปัญหา กำหนดความต้องการ ทุนหรือรางวัล รวมถึงข้อกำหนดอื่น เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาของนักวิจัย
พื้นที่ในส่วนของนักวิจัย / ผู้แก้ปัญหา
นักวิจัยที่สนใจหรือได้รับเชิญให้เข้าร่วมชุมชนเพื่อแก้ปัญหาจากรายการปัญหาที่ รอคำตอบ สามารถใช้พื้นที่ส่วนนี้เพื่อเสนอคำตอบหรือแนวทางในการแก้ปัญหาที่สนใจ
ตลาดความรู้คุยซายน์
เป็นที่พื้นที่บนเว็บไซต์ที่ถูกจัดให้เป็นที่พบปะระหว่างผู้ต้องการผลงานกับผู้แก้ปัญหา
โพลซายน์
ใช้เป็นพื้นที่สำหรับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องการผลงานกับผู้แก้ปัญหา หรือระหว่างผู้แก้ปัญหาด้วยกันเอง สำหรับปัญหาทั่วไปที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรในการแก้ปัญหามากนัก หรือใช้เป็นพื้นที่สำหรับตั้งโจทย์ปัญหาเบื้องต้น
คุยซายน์เป็นโปรแกรมประยุกต์ของ KUI หรือ Knowledge Unifying Initiator โดยหน่วยวิจัยภาษาศาสตร์คำนวณ ศูนย์วิจัยเอ็นไอซีทีแห่งเอเชีย ซึ่งเป็นระบบพัฒนาฐานความรู้ออนไลน์แบบ Open Source เพื่อให้สมาชิกใช้เป็นเครื่องมือสร้าง-รวบรวมองค์ความรู้ตามกระบวนการทาง ความคิดของมนุษย์ คือ เริ่มจากการมีความคิดเห็นต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เสนอความคิดนั้น แลกเปลี่ยนทัศนะในชุมชน ทำประชาพิจารณ์ และลงประชามติในประเด็นนั้น ๆ โดยวิธีลงคะแนน เป็นการสร้างชุมชนความรู้ออนไลน์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถมีส่วนร่วมใน การสร้างองค์ความรู้ได้อย่างกว้างขวาง ทุกเวลา เท่าเทียมและทั่วถึง
ประเด็นสำคัญที่มีการเสวนากันขึ้นก็คือ
ถ้าเป็นโปรแกรมที่ใช้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ก็น่าจะเป็นโปรแกรมที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดเวทีการพบปะกันระหว่างผู้ให้ทุน กับนักวิจัยได้
ควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ถ้ามีการ post เข้าไปคุยกันแล้ว เกิดเป็นซอฟต์แวร์ที่ได้เงิน ลิขสิทธิ์ตรงนั้นจะเป็นของใคร อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ร่วมแก้ปัญหาไม่อยาก post
ควรมีผู้ทรงคุณวุฒิ คอยตรวจสอบความคิดที่เสนอเข้าไป
ควรมีกฎ กติกา มารยาทในการใช้ Virtual space
ขยายการเชื่อมโยงฐานข้อมูลนักวิจัยให้มากขึ้น ขณะนี้เชื่อมโยงเพื่อหานักวิจัยจากฐานข้อมูล http://www.thairesearch.in.th เท่านั้น
การจัดการความรู้ (KM)
ระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) ในการจัดการความรู้
ระบบพี่เลี้ยงเป็นระบบที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานที่มีประสบการณ์มากกว่ากับพนักงานที่มีประสบการณ์น้อย โดยพี่เลี้ยงหรือผู้ที่มีประสบการณ์สูงจะทำหน้าที่ในการคำปรึกษา แนะนำ ผู้สอนงาน และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพในการทำงานให้กับพนักงานที่อ่อนประสบการณ์
ระบบพี่เลี้ยงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของการจัดการความรู้ในแง่ของการถ่ายทอดความรู้ระหว่างผู้ที่ประสบการณ์มากกว่าและเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์น้อยกว่า เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ความรู้ยังคงอยู่ในองค์กรตลอดเวลา และเป็นการดักจับความรู้ก่อนที่จะสูญหายหรือออกไปเป็นผู้แข่งขัน เนื่องจาก วิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด ก็คือ การที่บุคคลได้พูดคุยกับอีกคนหนึ่ง ดังนั้น การพูดคุยในระบบพี่เลี้ยง แท้จริงแล้ว ก็คือ การติดต่อสื่อสารระหว่างเพื่อนร่วมงานที่ประสบการณ์มากกว่าอีกคนหนึ่งนั่นเอง การถ่ายทอดความรู้จำนวนมากจึงเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรในปัจจุบัน ที่จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างพนักงาน การให้ความรู้ลื่นไหลไปยังทั่วทั้งองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่ความอยู่รอดขององค์กรและธุรกิจ
ระบบพี่เลี้ยงได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและนิยมใช้กันมากในหลายๆ ปีที่ผ่านมา เป็นช่องทางที่ดีสำหรับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กร เนื่องจากระบบพี่เลี้ยงเป็นรูปแบบหนึ่งของการแลกเปลี่ยนความรู้ ที่มีจุดประสงค์พื้นฐานในการสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการระหว่างพี่เลี้ยง (Mentor) กับพนักงานที่ถูกสอนงาน
การทำหน้าที่พี่เลี้ยง อาจเริ่มตั้งแต่ การทำหน้าที่พี่เลี้ยงของพนักงานใหม่ เพื่อให้พนักงานใหม่สามารถปรับตัวเข้ากับองค์กร เพื่อนร่วมงานและสภาพแวดล้อมการทำงาน ไม่เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยว หรือเข้ากันไม่ได้กับเพื่อนร่วมงาน เป็นการป้องกันการลาออกจากองค์กร ให้พนักงานใหม่มีความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรมองค์กร ลักษณะการทำงาน และนำไปสู่การมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร
การทำหน้าที่ให้กับพนักงานที่ถูกสอนงานจะเป็นการสร้างกลุ่มคนที่มีความสามารถ มีศักยภาพได้เร็วกว่าพนักงานปกติ เป็นการจูงใจพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีและมีศักยภาพในการทำงานสูงให้คงอยู่กับหน่วยงาน เป็นการกระตุ้นให้พนักงานสร้างผลงานมากขึ้น พร้อมที่จะทำงานหนักและท้าทายมากขึ้น เป็นการสร้างบรรยากาศของการนำเสนอผลงานใหม่ๆ หรือความคิดนอกกรอบมากขึ้น ซึ่งการทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับพนักงานที่ถูกสอนงานหรือลูกน้อง ขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง ถ้าลูกน้องมีผลการปฏิบัติงานที่สูงกว่ามาตรฐาน หัวหน้าจะรับบทบาทการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring) หากลูกน้องมีผลการปฏิบัติงานตรงตามมาตรฐาน หัวหน้างาน จะรับบทบาทเป็นผู้สอนงาน (Coaching) และหากลูกน้องมีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่ามาตรฐาน หัวหน้างานจะรับบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษา (Counsleing)
บทบาทและความรับผิดชอบของพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
ลงทะเบียนเป็นผู้รับการสอนงาน
เรียนรู้และทักษะจากพี่เลี้ยง
เสาะหาและพัฒนาทักษะใหม่และความสามารถที่ต้องการมีในอนาคต
มีความรับผิดชอบในการพัฒนาตนเอง
มีการริเริ่มในการบริหารความสัมพันธ์
รักษาความลับ
เป็นผู้รับและมีการตอบสนองด้วยความคิดใหม่
ฟังและซักถาม
มีเครือข่ายภายในและภายนอกองค์กร
มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์
มีการแลกเปลี่ยน ความคิดและสิ่งอื่นๆตามความเหมาะสม
เข้าร่วมการพัฒนาอย่างเป็นทางการ
ทำงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามความสามารถของตนเอง
แนะนำความคิดใหม่ๆให้กับพี่เลี้ยง
เคารพความแตกต่าง
ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่ถูกตั้งโดยพี่เลี้ยง
บทบาทและความรับผิดชอบของพี่เลี้ยง
สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพให้กับพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
รักษาความลับ
ดูแลพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน ดูแลเสมือนเป็นทรัพยากรอันมีค่า
สอนกลยุทธ์ ค่านิยม วิสัยทัศน์ และวัฒนธรรมองค์กรเป็นอันดับแรก
ยอมรับความสัมพันธ์ในระยะยาว
ปฏิบัติในฐานะที่เป็นเสียงของกรรมการและช่วยพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน ในการชี้นำและเข้าถึงวัตถุประสงค์ที่จะสามารถไปถึงได้
ลงทุนในเรื่องเวลาและพลังงานในการพัฒนาอย่างเข้มแข็งและความสัมพันธ์กับพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทักษะ ความรู้ กลยุทธ์ และบทเรียนที่เหมาะสม
ส่งเสริมให้มีวิจารณญาณ มุมมอง และการตอบสนองที่สร้างสรรค์ต่อพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
เผชิญหน้ากับพฤติกรรมและทัศนคติในทางลบ
ส่งเสริมให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ต่อวัฒนธรรมองค์กร
เป็นต้นแบบที่ดีและสอนด้วยตัวอย่าง
ให้คำแนะนำ ความช่วยเหลือ เมื่อถูกร้องขอจากพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน ตามความเหมาะสม
สนับสนุนและให้คำแนะนำอย่างฉลาดตามความเหมาะสม
เคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคล
เสนอให้พนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน ได้รับการพัฒนาความเป็นมืออาชีพ
เข้าร่วมการพัฒนาบุคลากร
บทบาทและความรับผิดชอบขององค์กร
ในหลายๆองค์กร ระบบพี่เลี้ยงมักจะล้มเหลว เพราะองค์กรขาดการส่งเสริม เป็นหน้าที่ขององค์กรที่จะให้มีจัดกระบวนการของการรับสมัครพี่เลี้ยงที่มีศักยภาพและเสนอโอกาสให้ทั้งพี่เลี้ยงและพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน นอกเหนือจากนี้ องค์กรควรจะฝึกหัดและสนับสนุนระบบพี่เลี้ยง มีการฝึกอบรม และมีการให้คำแนะนำต่อพี่เลี้ยงและพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
ปัจจัยที่ทำให้ระบบพี่เลี้ยงล้มเหลว
ขาดความผูกพันและขาดการให้คำปรึกษา เมื่อพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน ไม่มีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมกับการวางแผนและการปฏิบัติหรือการนำไปประยุกต์ใช้ระบบพี่เลี้ยง ระบบพี่เลี้ยงจะล้มเหลว โดยเฉพาะเมื่อจะมีการจัดการเพียงฝ่ายเดียว
ขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารเป็นทักษะที่มีความสำคัญมากที่สุดในการทำให้ระบบพี่เลี้ยงดำเนินไปด้วยดี กลยุทธ์ในการทำให้ระบบพี่เลี้ยงเป็นไปด้วยดีจะต้องมีการติดต่อสื่อสารทั่วทั้งองค์กร การขาดการติดต่อสื่อสาร การขาดการแลกเปลี่ยนความรู้ การตอบสนองต่อกลยุทธ์ของระบบพี่เลี้ยง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบพี่เลี้ยงล้มเหลว
ขาดการฝึกอบรมที่ไม่เพียงพอ การขาดการฝึกอบรม การฝึกอบรมที่ไม่เพียงพอ และการขาดการสนับสนุนอื่นๆ ที่จะทำให้ระบบพี่เลี้ยงดำเนินไปได้
มีการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ระบบพี่เลี้ยงต้องการการเปลี่ยนแปลงในการบริหาร ผู้บริหารจำนวนมาก มักจะยังคงต่อต้านโปรแกรมของระบบพี่เลี้ยง ผู้บริหารเหล่านี้รู้สึกว่าถูกยกเลิกอำนาจถ้ามีการใช้ระบบพี่เลี้ยง
คัดเลือกพี่เลี้ยงที่ไม่เหมาะสม หลายบริษัทเลือกพี่เลี้ยงผิด โดยคิดว่าพนักงานที่มีประสบการณ์มากจะเป็นพี่เลี้ยงที่ดีที่สุด พี่เลี้ยงควรเป็นผู้ที่คนที่มีทักษะ มีวิสัยทัศน์ที่ดีในองค์กร ในทุกฝ่ายงาน และในทุกฟังก์ชั่นการทำงาน
แยกโครงการพี่เลี้ยงออกมาจากการพัฒนาบุคลากร ไม่เป็นการดีที่จะบูรณาการเข้ากับการพัฒนาบุคลากรของฝ่ายบุคคล โครงการของระบบพี่เลี้ยงควรถูกจับแยกออกมา เพื่อจะได้สร้างหรือริเริ่มโดยผู้บริหารผู้มองเห็นผลประโยชน์ของระบบพี่เลี้ยง
ปัจจัยที่ทำให้ระบบพี่เลี้ยงประสบผลสำเร็จ
การยอมรับในองค์กร ต้องมีการทำความเข้าใจกันอย่างชัดเจนว่า โครงการพี่เลี้ยงเป็นสิ่งที่ต้องการในองค์กร ผลประโยชน์ของโครงการพี่เลี้ยงควรจะได้รับการเสนอเป็นจุดเด่น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการมีส่วนร่วมของผู้บริหารระดับอาวุโส เพราะไม่เพียงแต่เรื่องเงินทุนสนับสนุน แต่ยังสามารถที่จะแสดงให้องค์กรเห็นว่า จะทำให้เกิดผลประโยชน์
ในการพัฒนาทางอาชีพของคนในองค์กรอีกด้วย
คุณลักษณะของพี่เลี้ยงที่เหมาะสม การตัดสินว่าใครจะมีความเหมาะสมในการทำหน้าที่พี่เลี้ยง ผู้บริหารควรจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการมีส่วนร่วมในกำหนดคุณลักษณะความเป็นพี่เลี้ยงและประเมินความสำเร็จของบทบาทและหน้าที่ของพี่เลี้ยง
การจับคู่ได้อย่างเหมาะสม การจับคู่ระหว่างพี่เลี้ยงและพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงานนี้มีความสำคัญ บางครั้งพี่เลี้ยงที่สามารถให้คำปรึกษาได้ควรมีประสบการณ์ในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักถึงก็คือความขัดแย้งเป็นการส่วนตัว
การฝึกอบรมกลุ่มพี่เลี้ยง การฝึกอบรมพี่เลี้ยงสามารถเพิ่มโอกาสของความสำเร็จได้ถึง 40% แต่อย่างไรก็ตามทุกบทบาทควรได้รับการฝึกเพื่อให้เข้าใจถึงความเคลื่อนไหว ของระบบพี่เลี้ยงและบทบาท ความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
การสื่อสาร การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญของระบบพี่เลี้ยง การขาดการสื่อสาร การขาดการแลกเปลี่ยนความรู้ และการขาดการตอบสนองเกี่ยวกับกลยุทธ์ของความเป็นพี่เลี้ยงเป็นสาเหตุสำคัญของความล้มเหลวในระบบพี่เลี้ยง
การยอมรับในความหลากหลาย เป็นลักษณะสำคัญของความสำเร็จของระบบพี่เลี้ยง หมายความว่า พี่เลี้ยงต้องทราบว่าวิธีใด/เรื่องใดที่จะส่งผลกระทบถึงภูมิหลังของความสัมพันธ์ระหว่างพี่เลี้ยงและพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน นอกจากนี้ พี่เลี้ยงต้องเข้าใจในภูมิหลังของพนักงานใหม่/พนักงานที่ได้รับการสอนงาน
การติดตามและการประเมินผล เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ ที่ต้องมีการติดตามและประเมินผลเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์
บรรณานุกรม : Mavuso, Michael Abby. 2007. Mentoring as a Knowledge Management Tool in Organisations. Thesis (M.Phil.) -- Stellenbosch University, 2007.
อ่านเพิ่มเติม : http://www.mentoringgroup.com/html/archive.html Zachary, Lois J. 2000. The Mentor's Guide: Facilitating Effecting Learning Relationships. Wiley : Jossey-Bass.
การจัดการความรู้ (KM)


