ผลการค้นหา :

ขอเชิญชวนพบกับความงามของดอกปทุมมา ในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก”
สวทช. ขอเชิญชวนทุกคน มาสัมผัสความงามของดอกปทุมมา ในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก” ระหว่างวันที่ 13 - 15 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาท้องถิ่นบ้านตาด มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จ.อุดรธานี
📍พิกัดความงามรอคุณอยู่! https://maps.app.goo.gl/9zC8GyGQ6gRcMYbM6
งานนี้จัดเต็มความสนุกและความรู้แบบครบวงจร ที่จะทำให้คุณหลงรักดอกปทุมมามากยิ่งขึ้น!
🎯 กิจกรรมไฮไลต์ห้ามพลาด!
📆 วันพุธที่ 13 สิงหาคม 2568
• เรียนรู้เรื่องราวของ ดอกปทุมมา/กระเจียว ตั้งแต่สายพันธุ์ วิธีการปลูก ไปจนถึงเส้นทางสู่พืชสวนโลกในงานนิทรรศการสุดพิเศษ
• ปลดปล่อยความเป็นศิลปินในตัวคุณกับเวิร์กช็อปสุดคิ้วท์ “การวาดภาพจากสีปทุมมา” (บนกระเป๋าผ้า, เสื้อยืด) และ “การจัดช่อดอกปทุมมาแบบมินิมอล” ในราคาเบา ๆ สบายกระเป๋า
• ช็อปปิงเพลิน ๆ กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรตัวจริง
• “เดินชมสวน ชวนเรียนรู้” ชมความงามของปทุมมาหลากหลายสายพันธุ์ในสวนแบบฟรี ๆ ! (เปิดให้เข้าชมเวลา 08.00 - 17.00 น.)
📆 วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568
• ร่วมพิธีเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ เวลา 09.00 น.
• ห้ามพลาด! การเสวนา “โอกาสและศักยภาพการขับเคลื่อนไม้ดอกปทุมมาของประเทศไทย” จากผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เวลา 10.30 - 12.30 น.
• ช็อปปิงเพลิน ๆ กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรตัวจริง
• เต็มอิ่มกับนิทรรศการและกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษเหมือนวันแรก พร้อมเพิ่มความสนุกด้วยเวิร์กช็อปใหม่ “การผลิตโลชั่นจากสารสกัดปทุมมา” และ “การอนุบาลกล้าปทุมมาจากเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ”
📆 วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568
• วันสุดท้ายของการเดินชมสวนสวย ๆ ! "เดินชมสวน ชวนเรียนรู้" ที่เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 08.00 - 17.00 น. และพิเศษยิ่งขึ้น คุณสามารถมาชมสวนปทุมมาได้ตลอด เดือนสิงหาคม - กันยายน เลย!
📸 กิจกรรมพิเศษ! แชะ & เช็กอิน
สำหรับนักท่องเที่ยวสายโซเชียลที่ชอบถ่ายรูปสวย ๆ ! เพียงเข้าชมและถ่ายรูปเช็กอินที่แปลงดอกปทุมมา ก็รับไปเลย ปทุมมา 1 กระถาง ฟรี!
(เฉพาะ 30 คนแรกในแต่ละวันของวันที่ 13 และ 14 สิงหาคม 68 เท่านั้น)
☎️ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. (คุณพรนิภา): 093-956-3033
คุณโสภิตา / คุณจิตตานันท์ : 042-240448
คุณพาริณี : 083-1507821
แล้วมาเจอกันในงาน “ปทุมมา มนต์เสน่ห์แห่งพืชสวนโลก”
ปฏิทินกิจกรรม

‘SIMPLE’ โครงการสร้างความตระหนักเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เรียนรู้วิธีฟื้นฟูป่าผ่านโลกเสมือน AR และ VR
‘ปลูกป่าอาจไม่เท่ากับการฟื้นฟูระบบนิเวศ’ ทุกวันนี้แม้จะมีการปลูกต้นไม้ใหม่นับล้านต้นต่อปี แต่ก็ยังไม่อาจฟื้นคืนพื้นที่ป่าได้มากเท่าไหร่นัก เพราะในความเป็นจริงแล้วป่าไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีต้นไม้ปกคลุมผืนดินจนเขียวขจี แต่ยังหมายรวมไปถึงการมีสายสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งภายในพื้นที่ด้วย ดังนั้นการปลูกป่าจึงควรดำเนินการด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความระมัดระวัง เพื่อให้ระบบนิเวศฟื้นคืนกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศฝรั่งเศส (IRD) และมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ (Can Tho University) ประเทศเวียดนาม ดำเนินโครงการ ‘SIMPLE (Sustainability Issue Metaverse for Building Participatory Learning Environments)’ เพื่อพัฒนาหลักสูตรสร้างความตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนไทย
โดยคณะทำงาน สวทช. ได้เลือกหัวข้อ ‘การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ’ มาพัฒนาเป็นต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ‘BiodiVRestorer: Immersive VR Experience for Biodiversity Restoration’ จนสำเร็จ และนำเวอร์ชันแรกไปทดสอบจัดกิจกรรมให้แก่เยาวชนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
BiodiVRestorer คือโลกจำลองที่เปิดโอกาสให้เยาวชนได้สวมบทบาทเป็นนักฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ทำการสำรวจ วิเคราะห์ วางแผน และลงมือฟื้นฟูป่าด้วยตัวเอง ผ่านเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เห็นผลการฟื้นฟูในทันทีผ่านระบบจำลองสถานการณ์ (simulation) เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ พร้อมนำองค์ความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสมต่อไป
ปลูกป่าด้วยความเข้าใจ ฟื้นฟูความหลากหลายอย่างสมดุล
[caption id="attachment_72242" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย[/caption]
ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการ SIMPLE ในฝั่งประเทศไทย เล่าว่า BiodiVRestorer คือ ต้นแบบหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้เรื่องการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบ 1 วันให้แก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
“กิจกรรมการเรียนรู้จะเริ่มต้นจากการบรรยายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และสายสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในระบบนิเวศ ซึ่งสายใยเหล่านี้กำลังพังทลายลงอย่างรวดเร็วจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุก ทำลาย หรือใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น จนท้ายที่สุดเมื่อธรรมชาติขาดความสมดุล ผลกระทบเหล่านั้นก็ได้หวนกลับมาทำร้ายตัวมนุษย์เอง ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนความมั่นคงทางอาหาร การต้องเผชิญกับภัยพิบัติธรรมชาติ หรือกระทั่งการไม่มีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจ
“จากจุดเริ่มต้นที่พาผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปสู่การตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว กิจกรรมต่อมาจะเป็นการลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเรียนรู้วิธีฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพที่เหมาะสม ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ ‘ฟื้นฟูป่า’ ผ่านเทคโนโลยี AR และ VR ซึ่งในระหว่างการทำกิจกรรมสุดสนุกนี้ จะมีการบรรยายให้ความรู้คู่ขนานกันไปด้วย เพราะเป้าหมายปลายทางของกิจกรรมคือการที่ผู้เข้าร่วมได้รู้จัก รัก และหวงแหนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพด้วยความเข้าใจ เพื่อให้ระบบเกิดความสมดุล และมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน”
Experimental-based Learning เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่า กิจกรรมแรกของการฟื้นฟูป่า คือ การสำรวจเพื่อประเมินระดับความเสื่อมโทรมของพื้นที่ โดยอิงหลักเกณฑ์และวิธีการ Rapid Site Assessment (RSA) หรือการประเมินพื้นที่เบื้องต้นอย่างรวดเร็วที่เจ้าหน้าที่และนักอนุรักษ์ป่าไม้ใช้ในการปฏิบัติงานจริง
“ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะเริ่มลงมือสำรวจป่า โดยนำสมาร์ตโฟนไปสแกน QR code เพื่อเข้าสู่พื้นที่ป่าสามมิติที่แสดงผลด้วยเทคโนโลยี AR เมื่อเข้าไปแล้วก็จะได้ลงมือสำรวจและเก็บข้อมูลความหนาแน่นและคุณภาพป่าไม้ในพื้นที่สุ่ม 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดจะมีข้อมูลคุณภาพป่าแตกต่างกันออกไป ผู้เข้าร่วมจะต้องเก็บข้อมูลจากทุกจุดให้ละเอียด เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม โดยต้องคำนวณว่าควรนำพืชชนิดใดเข้าไปปลูกทดแทนในปริมาณเท่าไหร่บ้างจึงจะทำให้ระบบนิเวศกลับมาสมดุลและอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้ง ซึ่งในการทำกิจกรรมผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มจะได้รับใบงานไว้ใช้เป็นตัวช่วยในการจดบันทึกการสำรวจและการคำนวณด้วย”
[caption id="attachment_72254" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
[caption id="attachment_72255" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าด้วยเทคโนโลยี AR[/caption]
หลังจากวางแผนฟื้นฟูกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าสู่กิจกรรมเชิงปฏิบัติการช่วงที่สอง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มจะได้พากันออกไปท่องโลกเสมือนผ่านเทคโนโลยี VR
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าในช่วงที่สองของการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจากทุกกลุ่มจะได้สวมแว่น VR เพื่อเข้าสู่เกมเก็บเมล็ดพันธุ์ แล้วออกเดินสำรวจป่าในโลกเสมือน เพื่อเลือกเก็บผลไม้ชนิดต่าง ๆ ให้ถูกต้องและได้ปริมาณที่เหมาะตามที่วางแผนไว้ โดยภายในเกมจะมีกับดักไว้ท้าทายความละเอียดรอบคอบของผู้เล่นด้วย
[caption id="attachment_72262" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72263" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72259" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72261" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72260" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72258" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
[caption id="attachment_72264" align="aligncenter" width="750"] สำรวจป่าเพื่อเก็บผลไม้ด้วยเทคโนโลยี VR[/caption]
“หลังจากทุกคนได้สนุกกันอย่างเต็มที่ไปกับการคิดวิเคราะห์ วางแผน คำนวณ และลงมือเก็บผลไม้เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ไปใช้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ป่าที่สำรวจ ก็จะเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกิจกรรม BiodiVRestorer นั่นคือการดูผลการฟื้นฟูป่าผ่านระบบจำลองสถานการณ์ โดยระบบจะจำลองสภาพป่าในช่วง 20 ปีหลังจากการนำต้นกล้าไปฟื้นฟูป่าให้เห็น ซึ่งปัจจัยความสำเร็จในการฟื้นฟูของแต่กลุ่มจะมาจาก 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ความละเอียดรอบคอบในการสังเกต การวางแผนร่วมกับเพื่อนในทีมอย่างเหมาะสม และการเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ถูกต้องได้อย่างครบถ้วน ไม่มากหรือน้อยเกินไป
“หากผู้เล่นคนไหนพลาดเก็บเอากับดักที่ผู้พัฒนาเกมวางไว้มาด้วย ระบบก็จะสะท้อนผลลัพธ์ออกมาให้เห็นผ่านระบบจำลองสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน โดยในที่นี้ผู้พัฒนาเกมได้ออกแบบให้กับดักที่ว่าคือพืชชนิดเดียวกันแต่มาจากต่างถิ่น ซึ่งพืชต่างถิ่นนั้นมีจุดแข็งเรื่องการเจริญเติบโตดีกว่าพืชท้องถิ่น ทำให้ท้ายที่สุดพืชต่างถิ่นก็ได้กลับกลายมาเป็นผู้เบียดเบียนการเจริญเติบโต จนพืชท้องถิ่นต้องล้มหายตายจากไปในที่สุด ความผิดพลาดดังกล่าวจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เรื่องการนำพืชต่างถิ่นเข้าไปปลูกในพื้นที่ป่าโดยขาดความรู้ความเข้าใจ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจร้ายแรงถึงขั้นทำให้พืชท้องถิ่นบางชนิดสูญพันธุ์ไปจากพื้นที่นั้น”
[caption id="attachment_72257" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าสำเร็จ[/caption]
[caption id="attachment_72256" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงผลกลุ่มที่ฟื้นฟูป่าไม่สำเร็จ[/caption]
นอกจากบทเรียนเรื่องพืชต่างถิ่นแล้ว เนื้อหาอื่น ๆ ที่วิทยากรบรรยายสอดแทรกเข้าไปตามลำดับการดำเนินกิจกรรมยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น หลักเกณฑ์และวิธีประเมินพื้นที่ป่าที่เจ้าหน้าที่ใช้ในการสำรวจจริง, หลักเกณฑ์การคัดเลือกและคำนวณปริมาณเมล็ดพันธุ์ให้สอดคล้องกับอัตราการงอกของพืชชนิดนั้น ๆ, หลักการคำนวณว่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์จากแหล่งต่าง ๆ ได้ในปริมาณเท่าไหร่, วิธีการดูแลพื้นที่ป่าที่ปลูกทดแทนในช่วงอนุบาลหรือ 1-2 ปีแรกของการเพาะปลูก
[caption id="attachment_72265" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption]
[caption id="attachment_72266" align="aligncenter" width="750"] ตัวอย่างใบงานประกอบกิจกรรมการเรียนรู้[/caption]
เตรียมขยายผลต้นแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในปี 2570
ที่ผ่านมาคณะทำงานโครงการ SIMPLE ได้นำกิจกรรม BiodiVRestorer ไปนำร่องทดสอบจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจาก 21 โรงเรียน ในกรุงเทพฯ, ปทุมธานี และเชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งสิ้นมากกว่า 200 คน
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าจากการทดลองจัดกิจกรรม ได้ผลลัพธ์ที่ดีในทุกครั้ง ทั้งด้านความรู้ความเข้าใจและการจดจำเนื้อหาสำคัญได้ในระยะยาว นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมยังสะท้อนด้วยว่ารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการได้มีส่วนร่วมในการทำทุกกิจกรรม รวมถึงการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เข้าร่วมกับวิทยากร
“แม้การจัดกิจกรรมนำร่องจะให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว ปัจจุบันคณะทำงานก็ยังคงเดินหน้าใช้เวลาที่เหลือภายในโครงการพัฒนาหลักสูตรให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งการปรับกระชับเนื้อหา และการเพิ่มกิจกรรมเกม VR ให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือปลูกและดูแลพืชในช่วงอนุบาล เพื่อประคับประคองให้พืชเหล่านั้นรอดพ้นจากทั้งภัยธรรมชาติและการรุกล้ำพื้นที่จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จนแข็งแรงพอที่จะเติบโตต่อด้วยตัวเองตามวิถีธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เกิดความหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้ พร้อมทั้งได้เรียนรู้กระบวนการฟื้นฟูป่าแบบครบขั้นตอนตามหลักการที่ถูกต้อง”
ปัจจุบันโครงการ SIMPLE ในส่วนของประเทศไทยดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว คณะทำงานคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะพัฒนากิจกรรมส่วนต่อขยายได้แล้วเสร็จ และในปี 2570 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการดำเนินงาน คณะทำงานได้มีแผนที่จะพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะแก่การนำไปติดตั้งยังแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าทิ้งท้ายว่า คณะทำงานคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นจะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและการฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างเหมาะสมให้แก่เยาวชน เพื่อให้พวกเขาได้นำองค์ความรู้ไปปรับใช้ สื่อสารอย่างถูกต้อง ช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันสร้างโลกใบนี้ให้เป็นบ้านที่ปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตตลอดไป
สำหรับผู้ที่สนใจนำหลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ไปใช้จัดกิจกรรมในสถานศึกษา ติดต่อสอบถามได้ที่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. อีเมล nbt.pr@nstda.or.th และติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ผ่าน www.project-simple.eu
ผู้ดำเนินงานหลักด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาเนื้อหาและระบบจำลองสถานการณ์
ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรมให้แก่ผู้เรียน
ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. ดำเนินงานด้านการออกแบบโมเดลสามมิติ และจัดทำสื่อ AR
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. ดำเนินงานด้านการพัฒนาสื่อ VR
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย คณะทำงานโครงการ SIMPLE ประเทศไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช.-กรมชลประทาน-กรมควบคุมมลพิษ-จุฬาฯ ผนึกกำลังสร้างระบบจัดการคุณภาพน้ำยั่งยืน รับมือสารปนเปื้อนอุบัติใหม่
วันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ กรมชลประทาน สามเสน กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมชลประทาน กรมควบคุมมลพิษ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “การยกระดับขีดความสามารถด้านการจัดการคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของประเทศไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษา วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านการจัดการคุณภาพน้ำและการควบคุมสารมลพิษอุบัติใหม่ (Emerging Contaminants) เช่น สาร PFAS และโลหะหนักในแหล่งน้ำของประเทศไทย ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ การพัฒนาบุคลากร การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ
การลงนามความร่วมมือครั้งนี้ มีนายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และรองศาสตราจารย์ ดร.อักษรา พฤทธิวิทยา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนาม โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาคีเข้าร่วมงาน และการสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "Understanding the Perils of Emerging Contaminants in Water and Environment" โดยผู้แทนจากหน่วยงานพันธมิตร และการบรรยายพิเศษออนไลน์จาก Professor Denis O'Carroll, Deputy Head of School of Civil and Environmental Engineering & Managing Director of the Water Research Laboratory, University of New South Wales (UNSW) ประเทศออสเตรเลีย
นายสุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานมีหน้าที่ในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ โดยความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรการเชิงป้องกัน แก้ไข การออกมาตรฐานคุณภาพน้ำ เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติด้านการตรวจวัด ติดตาม และประเมินผลคุณภาพน้ำของแม่น้ำและแหล่งน้ำทั้งระบบตามหลักวิชาการ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาระดับพื้นที่อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่จะช่วยให้การจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ปัญหาด้านคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยหรือจากพื้นที่โดยรอบที่เข้าสู่ประเทศไทย ล้วนมีความรุนแรง ซับซ้อน และแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว การปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารมลพิษอุบัติใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการตรวจวัด วิเคราะห์ ติดตาม และกำจัด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการเฝ้าระวังที่เท่าทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับสากล กรมควบคุมมลพิษมีบทบาทสำคัญในการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของประเทศ ซึ่งความร่วมมือของทั้ง 4 หน่วยงานในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการร่วมกัน ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา รวมถึงการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการแก้ไขปัญหาและการจัดการคุณภาพน้ำ ตลอดจนการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ เพื่อยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศและประชาชนได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดี
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัญหาคุณภาพน้ำและการปนเปื้อนในแหล่งน้ำเป็นความท้าทายระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาควิจัย
สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยหลักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มีความมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา มาสนับสนุนการทำงานร่วมกันในครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจวัดและบำบัดสารมลพิษอุบัติใหม่ รวมถึงสาร PFAS และโลหะในน้ำ โดยมีประสบการณ์ในการดำเนินงานโครงการสำรวจสาร PFAS ในแม่น้ำท่าจีน แม่กลอง และชายฝั่งตะวันออก รวมทั้งร่วมกับสำนักงานภูมิภาคองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ในการเก็บตัวอย่างน้ำเพื่อตรวจหาสาร PFAS และการพัฒนาต้นแบบคัดกรองโลหะในน้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำความรู้และเทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ สวทช. โดย นาโนเทค และเอ็มเทค ยังได้ทำงานร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ หรือ สคพ. ในการตรวจวัดและพัฒนาคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคสำหรับชุมชนภายใต้แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระหว่างปี 2566-2567 เพิ่มการเข้าถึงน้ำสะอาดมากกว่า 2,700 ครัวเรือน ในปี 2568 มากกว่า 24,000 ครัวเรือน และจะขยายวงกว้างในพื้นที่อื่นในอนาคต โดยอาศัยนวัตกรรมตรวจวัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำ กิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับทิศทางการวิจัยของนาโนเทคหรือที่เรียกว่า strategic focus น้ำและสิ่งแวดล้อม ที่ตอบโจทย์และปัญหาที่สำคัญของประเทศ ตามเป้าหมายสำคัญของ สวทช. คือ “การทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น”
การลงนาม MOU ในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ และหน่วยงานวิจัย ในการวางรากฐานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและตอบสนองต่อความท้าทายของการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในหลายมิติต่อการดำรงชีวิตของประชาชนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล (Blockchain Technology for Business Transformation: B4B)
หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ
เทคโนโลยี BLOCKCHAIN เพื่อการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล
(Blockchain Technology for Business Transformation: B4B)
KEY HIGHLIGHT
รู้จักและเข้าใจเทคโนโลยี Blockchain ทั้งหลักการและการประยุกต์ใช้งาน รวมถึงจุดเด่น
และข้อจำ กัดหากนำ มาใช้งาน
เรียนรู้การประยุกต์ใช้งาน Blockchain ในหลากหลายองค์กรจากกรณีศึกษาจริง อาทิ
ทางการแพทย์, การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล, Real-World Asset, Stablecoin
ได้แนวคิดและเห็นโอกาสในการนำ เทคโนโลยี Blockchain ไปประยุกต์ใช้และปรับเปลี่ยน
ธุรกิจ/องค์กร ให้สอดคล้องกับสังคมดิจิทัลในอนาคต
ฝึกปฏิบัติ (Workshop) เข้มข้น การใช้งานเทคโนโลยี Blockchain พื้นฐานด้วยตนเอง
กับผู้เชี่ยวชาญ Blockchain ทั้งเชิงกลยุทธ์และเทคนิค
โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ
3 - 5 กันยายน 2568
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ
นักพัฒนาโปรแกรม ผู้ดูแลระบบ (Developer)
ผู้บริหาร และเจ้าของธุรกิจ ที่สนใจ Digital Transformation และการนำ Blockchain มาใช้ในองค์กร
ผู้กำหนดนโยบายในองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่สนใจนำ Blockchain ไปใช้เพื่อบริการสาธารณะ
นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้วางแผนกลยุทธ์องค์กร
นักวิเคราะห์ด้านการเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี
ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี และ Startup
ค่าลงทะเบียน
Package A: For Management
10,700 บาท (อบรม 2 วัน)
Package B: For Developer
14,900 บาท (อบรม 3 วัน)
ดูรายละเอียดได้ที่:
https://www.career4future.com/b4b
0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
Email: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. ประกาศ นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
ประกาศสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เรื่อง นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ดาว์นโหลดไฟล์ : Poster_นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)_A3.pdf
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ มจพ. สร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เตรียมกำลังคน สู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์พัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. มาบตาพุด จ.ระยอง - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา “เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาทักษะความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า และการจัดการแบตเตอรี่อย่างยั่งยืนให้กับบุคลากรภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับ นางปิยะฉัตร ใคร้วานิช เบอร์ทัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาพื้นที่และกำลังคน เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ซึ่งทาง TECE สวทช. จะร่วมกับ มจพ. ในการขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนากำลังคนพัฒนาทักษะ บุคลากรในกลุ่มผู้ประกอบการ และนักเรียนนักศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือการพัฒนาด้านกำลังคน สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งเน้นการเรียนรู้พื้นฐานการทำงาน และการซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนสำคัญอย่างมอเตอร์ขับเคลื่อนไฟฟ้า โดยใช้องค์ความรู้จาก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และการจัดการแบตเตอรี่อย่างปลอดภัย โดยใช้องค์ความรู้จากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ในการตรวจสอบ ซ่อมบำรุง รวมถึงแนวทางการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วในยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ในอนาคต
ทั้งนี้ภายในงานได้รับเกียรติจากประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง ปลัดเทศบาลนครระยอง และรองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคระยอง ร่วมเป็นสักขีพยาน
รศ.ดร.สมนึก วิสุทธิแพทย์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานบริการวิชาการและอุตสาหกรรมสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) กล่าวว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเริ่มจาก มุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ให้แก่ผู้เข้าร่วมจากภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในการทำงาน นอกจากนี้ ยังเป็นการเชื่อมโยงงานวิจัยกับอุตสาหกรรมด้วยการดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย เพื่อขยายเครือข่ายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทำให้ความต้องการบริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย แต่จำนวนอู่ซ่อมที่มีทักษะและความรู้เฉพาะทางยังมีจำกัด การพัฒนาทักษะบุคลากรจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยให้กับช่างและผู้ใช้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ยุคใหม่
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC และ TECE สวทช. กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. โดยศูนย์ฯ TECE มีพันธกิจในการผลักดันงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ และในบริบทของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) สวทช. ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศ EV ที่ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี บุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการนำไปใช้ โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ตามนโยบายด้าน EV ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของประเทศไทย สวทช. ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานในหลายมิติ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ การถ่ายทอดองค์ความรู้ และการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ร่วมกับมหาวิทยาลัย ฯ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานมีทักษะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ยังมีการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการจัดการแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน การพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงนวัตกรรมที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้มแข็งในประเทศ และด้านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน สวทช. พร้อมสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโครงการ ทั้งบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ อุปกรณ์วิจัย ตลอดจนเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพของการดำเนินงานให้ทัดเทียมนานาประเทศ ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า บทบาทในฐานะศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. มุ่งมั่นที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง เพื่อให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างครบวงจร ซึ่งนอกจากจะมุ่งหวังผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนอย่างแท้จริง
หลังจากพิธีลงนาม มีการจัดกิจกรรมการ Showcasing: การทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบการ บรรยายและสาธิต หัวข้อ “การทดสอบหาคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า” ถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและเชิงวิชาชีพแก่คณาจารย์ นักวิจัย วิศวกร นักศึกษาในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ตลอดจนผู้ที่สนใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า การสาธิตการใช้งานแท่นทดสอบวัดคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้า สามารถใช้ในการหาพารามิเตอร์ที่สำคัญต่าง ๆ ของมอเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนใช้ในการตรวจสอบความผิดปกติของมอเตอร์ไฟฟ้าในยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แท่นทดสอบวัดคุณลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้าดังกล่าว เป็นผลงานวิจัยที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. โดยผลงานดังกล่าวได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้สิทธิการใช้ประโยชน์แก่บริษัท เพาเวอร์ไดรฟ์ ออโตเมชั่น จำกัด เพื่อใช้ในการพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ช่วยยกระดับศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้สูงยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังกำหนดจัด กิจกรรม “การพัฒนาผู้ประกอบการไทยด้านความปลอดภัยในการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า” โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. ร่วมกับ มจพ.ระยอง มุ่งเน้นสร้างความรู้ความเข้าใจด้านความปลอดภัย และเทคนิคเฉพาะทางในการซ่อมตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า ตั้งแต่การเรียนรู้โครงสร้างและวัสดุของตัวถัง EV การประเมินความเสียหายหลังอุบัติเหตุ การตัดการเชื่อมต่อระบบแรงดันสูงอย่างถูกวิธี และการใช้เครื่องมือวัดและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ลงมือปฏิบัติจริงกับรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ (Nissan Leaf, BYD Dolphin) และระบบจำลองเสมือนจริง VR/AR เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการทำงานจริง ซึ่งกิจกรรมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 2 กันยายน 2568 ณ ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์เพื่ออุตสาหกรรม มจพ. จ.ระยอง เพื่อยกระดับทักษะและความรู้ด้านการซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า (EV) แก่ผู้ประกอบการไทย รองรับการขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

“การรังสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มจากพืชผักสมุนไพรพรีเมี่ยม” ในงาน Smart Agri Days 2025
🌿 เปิดมุมมองใหม่! กับ Workshop สุดพิเศษ
“การรังสรรค์เมนูอาหารและเครื่องดื่มจากพืชผักสมุนไพรพรีเมี่ยม”
ในงาน Smart Agri Days 2025
🍹 เรียนรู้ไอเดียการแปรรูปเมนูสุดว้าว
👨🍳 จากเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร
🥤 พร้อมลงมือทำ Healthy Refreshing Drink สูตรพิเศษ ด้วยตัวเอง
✨ เปลี่ยนสมุนไพรไทยให้กลายเป็นเมนูสร้างมูลค่าได้จริง!
📌 พิเศษสำหรับผู้เข้าร่วม
Workshop กับ อาจารย์เป็นเอก ทรัพย์สิน
อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ
โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
🗓 วันที่: 29 สิงหาคม 2568
⏰ เวลา: 14.00 – 16.00 น.
📍 สถานที่: ลานกิจกรรม Event Square
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ ปทุมธานี
💥 สมัครเข้าร่วมฟรี! (จำนวนจำกัด)
👉 https://www.nstda.or.th/agri2025/activity/workshop/
ปฏิทินกิจกรรม

MEET THE FOOD EXPERT by FoodInnopolis การแปรรูปและถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน
MEET THE FOOD EXPERT by FoodInnopolisการแปรรูปและถนอมอาหารโดยการใช้ความร้อน
ขอเชิญผู้ประกอบการอาหาร เข้าร่วมกิจกรรมให้คำปรึกษาแบบ One on Oneกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยสวนดุสิตเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือพบปัญหาในการแปรรูป/ถนอมอาหารด้วยกระบวนการที่ใช้ความร้อน อาทิ
พาสเจอไรซ์ (Pasteurization)
สเตอริไลซ์ (Sterilization)
ยูเอชที (UHT)
วันและเวลา: 18 - 19 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไปรูปแบบ: ออนไลน์ผ่าน Zoomวิทยากร:
ผศ.ดร.ศวรรญา ปั่นดลสุข
รศ.ดร.ภัทรทิพย์ รอดสำราญ
พิเศษ!รับจำนวนจำกัดเพียง 10 บริษัทเท่านั้นปิดรับสมัครวันที่ 12 สิงหาคม 2568ประกาศผลผู้ได้รับสิทธิ์วันที่ 14 สิงหาคม 2568
ลงทะเบียนได้ที่: [สแกน QR ในโปสเตอร์ หรือคลิกที่นี่]
#หมายเหตุ:ผู้ได้รับสิทธิ์จะได้รับ Link เข้ารับคำปรึกษาผ่านทางออนไลน์
ปฏิทินกิจกรรม

Thailand Tech Show 2025 นวัตกรรมไทย พร้อมใช้… เชื่อมต่อธุรกิจไทยสู่อนาคต
Thailand Tech Show 2025
นวัตกรรมไทย พร้อมใช้… เชื่อมต่อธุรกิจไทยสู่อนาคต
กลับมาอีกครั้ง! กับงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับชาติ
ภายใต้ อว.แฟร์: Sci Power for Future Thailand
9–17 สิงหาคม 2568
โซน D: Valley of Growth | Hall 1 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม Thailand Tech Show 2025 (TTS2025) ในงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ (อว. แฟร์: Sci Power for Future Thailand) ณ. ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน และยกระดับผู้ประกอบการจากการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม เพิ่ม High Value และต่อยอดธุรกิจและ/หรือเกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเติบโตได้เร็ว เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย รูปแบบการจัดงานนำเสนอในรูปแบบตลาดกลางเทคโนโลยี ผู้ซื้อพบผู้ขาย โดย นำผลงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดจากมหาวิทยาลัย และหน่วยงานวิจัยของรัฐทั่วประเทศ มานำเสนอ เพื่อให้นักธุรกิจ นักลงทุน ผู้ประกอบการ และผู้ที่สนใจได้เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมนำไปต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์
ในงานคุณจะได้พบกับ…
National IP MARKETPLACE โอกาสทางธุรกิจกับนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ และการลงทุน เพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ช่วยเสริมขีดความสามารถการแข่งขัน ให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน 340 ผลงาน จาก 31 หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยภาครัฐ/ภาคเอกชน จากทั่วประเทศ
S & T Implementation for Sustainable Thailand นวัตกรรมตอบโจทย์ประเทศ อย่างยั่งยืนในมิติลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมนำเสนอแพลตฟอร์ม บริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue สนุกกับ เกมบอร์ดยักษ์ “Bangkok Road”
โอกาสเจรจาจับคู่ธุรกิจ กับเจ้าของเทคโนโลยี
การบรรยายทิศทางเทคโนโลยีที่ต้องจับตามองสำหรับธุรกิจ : 10 Technologies to Watch โดย ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
กิตติกรรมประกาศความสำเร็จในการถ่ายทอดเทคโนโลยี
Investment Pitching การนำเสนอผลงานเด่นเทคโนโลยีต่อนักลงทุนเป้าหมาย และเปิดโหวตให้ลงคะแนนเสียง เพี่อคัดเลือกผลงานที่น่าลงทุนที่สุดและผลงานที่มีการนำเสนอดีที่สุด
ผลงานเด่น ที่นำเสนอ Investment Pitching ในปีนี้ จำนวน 10 ผลงาน ได้แก่
นวัตกรรมแคลเซียมจากก้างปลา โดย ผศ.ดร.วัชระ ดำจุติ : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
Pure Air Better Quality of Life โดย ดร.ศุภมาส ด่านวิทยากุล : ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช.
ชุดตรวจวัดโลหะและสารเคมีในน้ำสำหรับการใช้งานภาคสนาม (CHEM Sense) โดย ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ : ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช.
เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติแบบหลายหัวฉีดพร้อมเตาอบ โดย ดร.โพธิวัฒน์ งามขจรวิวัฒน์ : สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
ระบบตรวจสอบย้อนกลับทุเรียนข้ามพรมแดน (Durian Trace) โดย ดร.สุพร พงษ์นุ่มกุล : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช.
ชุดตรวจโรคกุ้งเพื่ออุตสาหกรรมกุ้ง (AquaDiag) โดย ดร.ณรงค์ อรัญรุตม์ : ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.
โซลาร์เซลล์ที่ง่ายต่อการรีไซเคิล (SolaRE) โดย ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี : ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ สวทช.
Roxizyme -Microbial antioxidant enzyme โดย ดร.พิษณุ ปิ่นมณี : ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช.
FITKAN - เรา Young Fit โดย ดร.วินัย ชนปรมัตถ์ : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช.
Pathumma Connect โดย ดร.ศราวุธ คงยัง : ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช.
พร้อมโอกาสในการเจรจาธุรกิจกับเจ้าของเทคโนโลยีโดยตรง
ยกระดับธุรกิจด้วยงานวิจัยที่ “พร้อมใช้” เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย
ลงทะเบียนฟรีเข้าร่วมงานได้ที่ >> https://www.mhesifair.com/
เข้าสู่เว็บไซต์ Thailand Tech Show >> https://www.thailandtechshow.com
dcf0fa
วันที่
เวลา
กิจกรรม
9 สิงหาคม 2568
10.30-11.30 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
14.00-15.00 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
10 สิงหาคม 2568
10.30-11.30 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
14.00-14.40 น.
ส้อมวัดความเค็ม (NT)
14.40-15.20 น.
ชุดตรวจโรคไต (NNT)
15.20-16.00 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
11 สิงหาคม 2568
10.00-11.00 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
11.00-12.00 น.
ระบบเอนไซม์และจุลินทรีย์: เทคโนโลยีสะอาดสำหรับกระบวนการผลิตน้ำตาลเชิงหน้าที่ (BT)
14.00-15.00 น.
สาธิตวิธีการใช้ strip test ตรวจโรคใบด่าง (BT)
13 สิงหาคม 2568
10.00-12.00 น.
Humanoid Robot: Unitree G1
14.00-16.00 น.
Humanoid Robot: Unitree G1
14 สิงหาคม 2568
10.00-10.40 น.
ชีวภัณฑ์ไบโอเทค เพื่อผักผลไม้ปลอดภัย (BT)
10.40-11.20 น.
Aquaculture Service and Research Platform (BT)
11.20-12.00 น.
AquaDiag: ชุดตรวจโรคกุ้งด้วยเทคนิคแลมป์ (BT)
14.00-14.40 น.
Open Innovation: Handy Sense B Farm (NT)
14.40-15.20 น.
โสมไทย Black Ginger คุณค่าแห่งการชะลอวัย (NNT)
15.20-16.00 น.
Workshop "คลีนิคน้ำ : น้ำดี น้ำปลอดภัย ให้ ChemSense บอกคุณ" (NNT)
15 สิงหาคม 2568
10.00-11.00 น.
ร็อกซิไซม์ - เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระจากเชื้อจุลินทรีย์ (BT)
11.00-12.00 น.
UNAI อยู่ไหน (NT)
14.00-15.00 น.
ParaDough – ดินปั้นจากยางพารา (MT)
15.00-16.00 น.
สีย้อมผ้าเชิงหน้าที่จากลิกนิน และกรรมวิธีการย้อมผ้าโดยการใช้สีย้อมผ้าจากลิกนิน (BT)
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน Asian Science Camp 2025
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทรงเปิด Asian Science Camp 2025 ณ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยมีคณะผู้บริหารเฝ้ารับเสด็จฯ ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 21 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวิเชียร สุขสร้อย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา รองประธานมูลนิธิ สอวน.รองศาสตราจารย์ ดร.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการมูลนิธิ สอวน. ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม นายปรีดี ภูสีน้ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีกิตติคุณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รองศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ ทองระอา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี รองศาสตราจารย์ ดร.พินิติ รตะนานุกูล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิ สอวน. รองศาสตราจารย์ เย็นใจ สมวิเชียร กรรมการมูลนิธิ สอวน. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. ม.ร.ว.ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ กรรมการมูลนิธิ สอวน. และประธานคณะกรรมการดำเนินงาน
เมื่อเสด็จเข้าห้องประชุม RSP Hall 1 (A305) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเอกสารประกอบการประชุม นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึก ในการนี้ รองประธานมูลนิธิ สอวน. กราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และกล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วม Asian Science Camp 2025 Professor Tomiyoshi Haruyama ผู้แทน International Committee of the Asian Science Camp กราบบังคมทูลรายงานความเป็นมาของ Asian Science Camp อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กราบบังคมทูลเบิกวิทยากร (Plenary speakers) และผู้แทนหน่วยงานเจ้าภาพร่วมเข้ารับพระราชทานของที่ระลึก จำนวน 17 ราย
จากนั้น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสเปิด Asian Science Camp 2025 และทรงรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ Creating paths to the commercialisation of antibody pharmaceuticals (เส้นทางสู่การพัฒนาแอนติบอดีเชิงพาณิชย์) โดย Prof. Dr. Sir Gregory P. Winter นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล สาขาเคมี ปี 2018 นักชีวเคมีจากสหราชอาณาจักร ผู้บุกเบิกเทคนิค Phage Display สำหรับพัฒนาแอนติบอดีสังเคราะห์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการผลิตยาชีวภาพสมัยใหม่ ภายหลังพิธีเปิดงาน เสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทอดพระเนตรนิทรรศการ ประกอบด้วย
นิทรรศการเทิดพระเกียรติ แสดงราชกรณียกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่นำเสนอพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและพระเมตตาธิคุณที่มีต่อการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ ผ่านความร่วมมือระดับนานาชาติในโครงการสำคัญ อาทิ Thai-CERN, Thai-KATRIN, Thai-GS/FAIR, Thai-JUNO รวมถึง Thai-CAS ร่วมกับสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน เป็นต้น
มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ( สอวน.) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานมูลนิธิฯ ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดโครงการ Asian Science Camp (ASC) 2025
การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษา อีกทั้งยังมุ่งส่งเสริมเครือข่ายเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียให้ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และวัฒนธรรมในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของภูมิภาค
ทั้งนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดกิจกรรมโครงการ ASC2025 ได้ดำเนินการคัดเลือกเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษในโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) และโครงการนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมกิจกรรม เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 มีผู้สมัครจำนวน 19 คน ผ่านการคัดเลือกจำนวน 10 คน โดยจัดอบรมเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
โอกาศเดียวกันนี้ ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา และนางอติพร สุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารภาพลักษณ์และกิจกรรมด้านพัฒนากำลังคนของบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. ได้นำเยาวชนผู้แทนประเทศไทยทั้ง 10 คน เฝ้ารับเสด็จฯ และเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2568 การส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในระดับนานาชาติครั้งนี้ จะทำให้เยาวชนได้เพิ่มพูนศักยภาพ เป็นแรงกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจในพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มความสามารถต่อไปในอนาคต ซึ่งนับเป็นพันธกิจหลักด้านการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช.
โครงการ Asian Science Camp (ASC) 2025 ถือเป็นงานค่ายวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติสำหรับเยาวชนในภูมิภาคเอเชีย ที่จัดขึ้นเพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี พ.ศ.2568 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยและเยาวชนจากประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และการเข้าร่วมดำเนินงานของสวทช.ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง และนับเป็นแรงผลักดันสำคัญยิ่งต่อภารกิจของ สวทช. ในการส่งเสริมศักยภาพเยาวชนไทยในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้ก้าวไกลสู่ระดับนานาชาติ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

รับสมัครทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2569
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ขอเชิญชวนผู้สนใจ รับฟังการเปิดรับสมัครทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2569ในวันอังคารที่ 5 สิงหาคม 2568 เวลา 13.30-15.00 น.ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Cisco Webexสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่https://www.nstda.or.th/r/4CH76ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับการประกาศรับข้อเสนอการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2569ได้ที่ https://nriis.go.th/www/NewsEventDetail.aspx?nid=12158หากมีข้อสงสัยในการลงทะเบียนหรือวันงาน สามารถสอบถามได้ที่02 564 7000 ต่อ 6433 (วนัสนันท์) / wanatsanan.sir@nstda.or.th02 564 7000 ต่อ 6425 (รัตนพร) / rattanaporn@nstda.or.thหมายเหตุ: หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ระบบจะส่ง link เข้าร่วมงานไปยังอีเมลตามที่ท่านได้ลงทะเบียนไว้โดยอัตโนมัติ
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. เปิดตัว “ไผ่ตัดอายุ” นวัตกรรมยกระดับการปลูกไผ่ไทย สู่เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน
(31 กรกฎาคม 2568) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) จ. ระยอง - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เปิดตัว “เทคโนโลยีระบบโซมาติกเอมบริโอเจเนซิสในการพัฒนาต้นไผ่ตัดอายุ” (Somatic Embryogenesis) นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโฉมการปลูกไผ่ของไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชขั้นสูงที่สามารถผลิตต้นกล้าไผ่คุณภาพสูงจำนวนมากในเวลารวดเร็ว ที่สำคัญคือกระบวนการนี้สามารถพัฒนาต้นพันธุ์ไผ่ที่เริ่มอายุจากหนึ่งใหม่โดยสร้างเอมบริโอจากเซลล์และพัฒนาเป็นต้นสมบูรณ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ช่วยควบคุมวงจรชีวิตของไผ่อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากการออกดอกแล้วทยอยตายทั้งกอพร้อมกันเป็นวงกว้าง ปัญหาใหญ่ที่เกษตรกรมักเผชิญเมื่อปลูกไผ่ที่ไม่ทราบอายุ นวัตกรรมนี้จะช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงต้นพันธุ์ไผ่ที่มีลักษณะเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ เนื้อไม้มีความสม่ำเสมอ และเติบโตเร็ว ส่งผลต่อการปลูกไผ่เพื่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ไม้ไผ่แปรรูป พลังงานไฟฟ้าชีวมวล เยื่อกระดาษ และนำไปใช้เป็นโครงสร้าง มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น พร้อมสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ
ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า EECi คือศูนย์กลางนวัตกรรมของประเทศไทย ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัย พัฒนา และต่อยอดเทคโนโลยีสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมี “เทคโนโลยีชีวภาพ” เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก ภายใน EECi มีเมืองนวัตกรรมชีวภาพ (BIOPOLIS) ที่เน้นวิจัยและพัฒนาเพื่อเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร เช่น เกษตรสมัยใหม่ รวมถึงเทคโนโลยีโซมาติกเอมบริโอเจเนซิสเพื่อพัฒนาไผ่ตัดอายุ ซึ่งไม่ใช่แค่การขยายพันธุ์ แต่เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมไผ่ทั้งระบบ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรไทย
ด้าน นางรังสิมา ตัณฑเลขา ผู้อำนวยการโปรแกรมอาวุโส ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. เสริมว่า โครงการวิจัยไผ่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน สวทช. มุ่งมั่นที่จะนำงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกที่หันมาสนใจวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไผ่จึงมีศักยภาพสูงที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญในอนาคต
และ ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบโซมาติกเอมบริโอเจเนซิส (Somatic Embryogenesis) สำหรับสร้างต้นอ่อนไผ่ (embryo) จากเนื้อเยื่อเจริญ ซึ่งเป็นการสร้างต้นโคลน (clonal plant) จากต้นแม่ที่มีลักษณะดีเด่น โดยเริ่มศึกษาจากการนำส่วนเนื้อเยื่อเจริญในส่วนดอกและตาข้างของไผ่ฟ้าหม่นและไผ่ซางหม่นที่ผ่านการคัดเลือก มาเพาะเลี้ยงบนอาหารเพาะเลี้ยงสูตรเฉพาะในห้องปฏิบัติการ ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อเจริญให้เป็นเอมบริโอและพัฒนาเป็นต้นสมบูรณ์ในที่สุด ต้นไผ่ที่ได้จากระบบดังกล่าว จะมีพันธุกรรมเหมือนต้นแม่แต่เกิดการตัดอายุ เริ่มวงจรชีวิตใหม่ เพราะเป็นเอมบริโอที่พัฒนาจากเซลล์ร่างกาย (somatic cell) มีการเริ่มโปรแกรมการพัฒนาจุดเจริญใหม่ ส่งผลให้ต้นที่พัฒนาจาก somatic embryo นี้ เป็นพันธุ์ไผ่ใหม่ที่รู้อายุเริ่มต้น ไม่พบการออกดอกเหมือนต้นแม่ซึ่งทยอยตายทั้งกอ ช่วยให้ไผ่คงสภาพการเจริญเติบโตทางลำต้นได้นานขึ้น ส่งผลให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูงสุด ในปัจจุบัน ทางทีมวิจัยประสบความสำเร็จแล้วในการพัฒนาพันธุ์ “ไผ่ฟ้าหม่นตัดอายุ” ที่มีลักษณะลำเปลาตรง เนื้อไม้หนาสม่ำเสมอ กิ่งแขนงน้อย ข้อเรียบ เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมไม้แปรรูป โครงสร้าง และอื่น ๆ ได้หลากหลาย ส่วน “ไผ่ซางหม่นตัดอายุ” กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาต้นเพื่อรอการประเมินผล
ในด้านการต่อยอดและใช้ประโยชน์ของไผ่ตัดอายุนี้ สามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมอุตสาหกรรมไผ่ของประเทศได้ในหลายด้าน เช่น การผลิตต้นพันธุ์คุณภาพสูงจำนวนมาก เพื่อตอบสนองความต้องการขยายพื้นที่เพาะปลูก การจัดการวงจรชีวิตไผ่ เพื่อควบคุมการเติบโต ลดการตายจากการออกดอกพร้อมกัน การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต เพื่อต้นพันธุ์ดี วงจรชีวิตควบคุมได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและได้ผลผลิตสูงขึ้น รวมถึงยังสนับสนุนอุตสาหกรรมหลากหลาย ทั้งในด้านการใช้ไผ่เป็นพืชพลังงานชีวมวล เยื่อกระดาษ วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงอาหารและยา ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพและเศรษฐกิจหมุนเวียน สอดคล้องกับนโยบายของประเทศในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
“สวทช. พร้อมสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อให้ผู้ประกอบการนำงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจไผ่ ผู้ประกอบการและกลุ่มอุตสาหกรรมที่สนใจ สามารถติดต่อทีมวิจัยได้ที่เบอร์ 097-203-6632” ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์