“ฟ้าผ่า” ข้อเท็จจริงที่ควรรู้

นักวิชาการร่วมไขข้อสงสัยการเกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่า และจริงหรือที่ตะกรุด สร้อย โทรศัพท์มือถือ MP3 เป็นสื่อล่อฟ้า?
    
ดร.คมสัน เพ็ชรรักษ์ หัวหน้าห้องจำลองฟ้าผ่า คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า  ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายใต้เมฆฝนฟ้าคะนอง  ซึ่งเมื่อก้อนเมฆเคลื่อนที่ก็จะมีลมและเกิดการเสียดสีกับโมเลกุลของหยดน้ำ และน้ำแข็งภายในก้อนเมฆ  ทำให้เกิดการแตกตัวของประจุไฟฟ้า โดยประจุลบส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านล่างของก้อนเมฆ ขณะที่ประจุบวกจะอยู่ทางด้านบนของก้อนเมฆ

“ประจุลบด้านล่างก้อนเมฆมีความสามารถในการเหนี่ยวนำให้วัตถุทุกสิ่งที่อยู่ ภายใต้ก้อนเมฆเป็นประจุบวกได้ทั้งหมด พร้อมทั้งดึงดูดให้ประจุบวกวิ่งขึ้นมาหาประจุลบได้ ทั้งนี้หากประจุลบใต้ก้อนเมฆมีปริมาณมากพอ จะทำให้อากาศด้านล่างก้อนเมฆค่อยๆ แตกตัว ประจุลบสามารถวิ่งลงมาด้านล่างและบรรจบกับประจุบวกที่วิ่งขึ้นมา เกิดเป็นฟ้าผ่าได้ในที่สุด  ฉะนั้นจะเห็นว่าทุกบริเวณใต้เงาเมฆฝนฟ้าคะนองมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าได้หมด ไม่ว่าที่สูง ที่ต่ำ กลางแจ้ง เพียงแต่จุดเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดฟ้าผ่าได้มากที่สุด คือ ที่โล่งแจ้ง เช่น สระน้ำ ชายหาด สนามกอล์ฟ  ฯลฯ และจุดที่สูงในบริเวณนั้นๆ  เช่น ต้นไม้  อาคารสูง  เนื่องจากประจุไฟฟ้ามีโอกาสวิ่งมาเจอกันได้เร็วที่สุด  ส่วนวัตถุที่เป็นตัวทำให้ฟ้าผ่าใส่มนุษย์ได้มากที่สุด คือ วัตถุที่อยู่สูงเหนือจากศีรษะมนุษย์ขึ้นไป โดยเฉพาะสิ่งของที่มีปลายแหลม เช่น ร่มที่ด้านปลายบนสุดเป็นเหล็กแหลม เป็นต้น

มนุษย์ไม่เพียงได้รับอันตรายนอกจากการถูกฟ้าผ่าโดยตรง แต่ยังมีฟ้าผ่าประเภทอื่นๆที่ทำอันตรายได้  อาทิ ฟ้าแลบด้านข้าง คือการที่กระแสไฟฟ้า “กระโดด” เข้าสู่ตัวคนทางด้านข้าง ในกรณีที่หลบอยู่ใต้บริเวณที่ถูกฟ้าผ่า เช่น ต้นไม้ หรือโครงไม้ของเพิงที่เปิดด้านใดด้านหนึ่ง และกรณีที่พบได้มากคือ กระแสวิ่งตามพื้น (Ground current) เกิดจากแรงดันไฟฟ้าช่วงเก้า (Step voltage) เพราะจุดที่ถูกฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้ายังสามารถวิ่งออกไปยังบริเวณโดยรอบ เช่น จากลำต้นลงมาที่โคนต้นไม้และกระจายออกไปตามพื้นดินที่มีน้ำเจิ่งนอง ซึ่งหากกระแสวิ่งผ่านเข้าสู่ตัวคน อาจได้รับอันตรายจนถึงเสียชีวิต

ส่วนกรณีของโลหะและโทรศัพท์มือถือ ไม่นับว่าเป็นสื่อล่อฟ้าได้แน่นอน เพราะโทรศัพท์เวลาใช้งานจะอยู่ต่ำกว่าตัวคน ที่สำคัญพลังงานของสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทำให้อากาศแตกตัวเป็นตัวนำ ได้  พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่าการใช้โทรศัพท์อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าผ่า อาจจะมีผลเหนี่ยวนำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรและเกิดการระเบิดจนเป็นสาเหตุ ของการบาดเจ็บได้  เป็นผลข้างเคียงแต่ไม่ใช่สื่อล่อให้ฟ้าผ่า อย่างไรก็ดีการใช้โทรศัพท์มือถือในสภาวะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำเข้าโทรศัพท์ก็มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรได้เช่นเดียว กัน”

นายสรรเสริญ ทรงเผ่า วิศวกรฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนา “ระบบป้องกันฟ้าผ่า” ซึ่งได้รับรางวัลชมเชยผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2548 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่เชื่อว่า สื่อโลหะและโทรศัพท์มือถือไม่ใช่สื่อล่อฟ้าผ่า แต่อาจส่งผลให้ผู้ที่ถูกฟ้าผ่าได้รับการบาดเจ็บมากขึ้นภายหลังที่เกิดฟ้าผ่า แล้ว ดังกรณีของเครื่องประดับ เช่น สร้อยที่ไม่ใช่สื่อล่อฟ้าผ่า แต่เมื่อฟ้าผ่ามาที่คน กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกายจะถูกเหนี่ยวนำให้มาที่สร้อยปริมาณมาก เนื่องจากมีค่าความต้านทานต่ำกว่าตัวคน จึงทำให้เกิดความร้อนและละลาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้าผ่าได้รับการบาดเจ็บมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณที่สวมเครื่องประดับที่เป็นโลหะ

นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนใจและควรพึงระวังในขณะนี้ คือประชาชนมีการติดตั้งจานดาวเทียมจำนวนมากโดยไม่มีการต่อสายดิน เมื่อเกิดฟ้าผ่าลงเสาไฟฟ้าบริเวณใกล้เคียง จะทำให้เกิดสนามไฟฟ้าออกมาด้วย ซึ่งจานดาวเทียมหรือเสาอากาศทีวีที่อยู่ใกล้จะเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเข้ามา และจะวิ่งเข้าสู่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต่อกับปลั๊กไฟส่งผลให้เครื่องใช้ ไฟฟ้าภายในบ้านเกิดความเสียหายด้วย  ดังนั้นทางที่ดีจึงควรมีการต่อสายจากจานดาวเทียมที่เป็นโครงสร้างคล้ายโลหะ ต่อลงหลักดินด้วย

ขณะที่ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ  ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากฟ้าผ่าจากก้อนเมฆลงสู่พื้นจะเป็นอันตรายต่อคนมากที่สุดแล้ว ฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้น ยังถือเป็นภัยจากฟ้าผ่าอีกรูปแบบหนึ่งที่มีอันตรายต่อคนได้ แต่ประชาชนกลับยังไม่ค่อยรู้จักนัก

“ฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้นนั้น เป็นการปลดปล่อยประจุบวกออกจากก้อนเมฆ (ฟ้าผ่าแบบบวก)  สามารถผ่าได้ไกลออกไปจากก้อนเมฆถึง 30 กิโลเมตร นั่นคือแม้ท้องฟ้าเหนือศีรษะจะดูปลอดโปร่ง แต่ก็อาจจะถูกฟ้าผ่า (แบบบวก) ได้ หากมีเมฆฝนฟ้าคะนองอยู่ห่างไกลออกไปราว 30 กิโลเมตร  โดยฟ้าผ่าแบบบวกมักจะเกิดในช่วงท้ายของพายุฝนฟ้าคะนอง คือ หลังจากฝนที่กระหน่ำเริ่มซาลงแล้ว และแม้ว่าฟ้าผ่าแบบบวกจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก (น้อยกว่า 5% ของฟ้าผ่าทั้งหมด) แต่ก็ทรงพลังมากกว่าฟ้าผ่าแบบลบถึง 10 เท่า กล่าวคือ กระแสไฟฟ้าอาจสูงถึง 300,000 แอมแปร์ และความต่างศักย์ 1 พันล้านโวลต์เลยทีเดียว อีกทั้งฟ้าผ่าแบบบวกยังอาจทำให้เกิดไฟป่าได้อีกด้วย หากในป่าบริเวณที่โดนฟ้าผ่าเกิดไฟลุกไหม้ลาม และไม่มีฝนตกลงมาดับไฟ

สำหรับคำแนะนำถึงวิธีการสังเกตการเกิดฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้นมีกฎจำ ง่ายๆ ที่เรียกว่า กฎ 30/30 เป็นข้อปฏิบัติที่ทหารใช้กัน โดยเลข 30 ตัวแรกมีหน่วยเป็นวินาที หมายถึงว่า หากเห็นฟ้าแลบ แล้วได้ยินเสียงฟ้าร้องตามมาภายในเวลาไม่เกิน 30 วินาที แสดงว่า เมฆฝนฟ้าคะนองอยู่ใกล้มากเพียงพอที่ฟ้าผ่าจะทำอันตรายคุณได้ ให้หาที่หลบที่ปลอดภัยทันที (ตัวเลขนี้มาจากการที่เสียงเดินทางด้วยอัตราเร็วประมาณ 346 เมตร/วินาที ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส) ส่วนเลข 30 ตัวหลังมีหน่วยเป็นนาที หมายถึงว่า หลังจากที่พายุฝนฟ้าคะนองหยุดลงแล้ว (นั่นคือ ฝนหยุด และไม่มีเสียงฟ้าร้อง) คุณควรจะรออยู่ในที่หลบอีกอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้มั่นใจว่า เมฆฝนฟ้าคะนองได้ผ่านไป หรือสลายตัวไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าฟ้าผ่าแบบบวกมักจะเกิดในช่วงท้ายของพายุฝนฟ้าคะนอง”

นายกิตติ  เพ็ชรสันทัด หัวหน้ากองเทคโนโลยีสายส่งและการบิน  การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  กล่าวว่า สภาพฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินั้น เป็นวิกฤติที่สร้างความสูญเสียต่อระบบการส่งไฟฟ้าอย่างมาก ดังนั้น กฟผ. จึงติดตั้งระบบการตรวจวัดค่าการเกิดฟ้าผ่าและพายุฝนฟ้าคะนอง  เพื่อรับรู้สภาพการเกิดฟ้าผ่าและความถี่ที่เกิดฟ้าผ่ารวมถึงความรุนแรงที่ เกิดฟ้าผ่าในประเทศไทย ซึ่งมีระบบตรวจวัดทั่งหมด 11  สถานีครอบคลุมทั่วประเทศ  ซึ่งผลจากการเก็บข้อมูลในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พบว่า ฟ้าผ่าลงมาในประเทศไทยนั้นมีมากเฉลี่ยถึง 100,000 ครั้งต่อเดือน นับว่ามีความถี่สูงขึ้นและรุนแรงมากขึ้น คาดว่าอาจเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน

“พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าได้มาก คือบริเวณที่เป็นแนวพาดผ่านของลมมรสุม กอปรกับมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่สูง เช่น เทือกเขา สันเขา หรือเนินเขา รวมถึงบริเวณที่ติดทะเล เนื่องจากมีความชื้นสูงก่อให้เกิดฝนฟ้าคะนองได้ ซึ่งเมื่อพิจารณา 2 ส่วนพร้อมกันแล้วจะพบว่า ภูมิภาคที่เสี่ยงต่อการเกิดฟ้าผ่าและมีความถี่สูง อาทิ พื้นที่ภาคใต้ของไทย ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต กระบี่ ระนอง และพังงา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝนตกชุกและอยู่ระหว่าง 2 ฝั่งมหาสมุทรที่มีความชื้นของน้ำทะเลเป็นตัวนำให้เกิดฟ้าผ่าร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ จ.จันทบุรี จ.ตราด ก็ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงด้วย เนื่องจากมีเขาสูงและมีการการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศบ่อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร กาฬสินธุ์ และอำนาจเจริญ ขณะที่ภาคเหนือ คือจังหวัดลำพูนและลำปาง ส่วนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ยังถือเป็นพื้นที่ที่เกิดฟ้าผ่า แต่ส่วนใหญ่ฟ้าจะผ่าลงไปในบริเวณอาคารสูงและหอคอยสูง ซึ่งจุดเหล่านี้ถูกป้องกันโดยระบบล่อฟ้าไว้เรียบร้อยแล้ว

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้ บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า จากนำเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์ต่างๆ พบว่าตั้งแต่มกราคม 2550-มิถุนายน 2552 ได้เกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าจนทำให้คนไทยเสียชีวิต 39  คน และบาดเจ็บ 16 คน และหลายกรณีถูกระบุว่ามีสาเหตุมาจากการพกพาหรือใช้โทรศัพท์มือถือขณะที่ฝนตก รวมทั้งในต่างประเทศก็มีหลายกรณีที่โทรศัพท์มือถือถูกระบุว่าเป็นสาเหตุให้ เกิดฟ้าผ่าเช่นกัน ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการใดที่สามารถยืนยันว่าโทรศัพท์มือถือเป็น สื่อล่อฟ้าได้ แต่เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ประชาชนควรปิดมือถือเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะฝนตกฟ้าคะนอง นอกจากนี้ยังควรหลีก เลี่ยงการอยู่ในจุดเสี่ยง เช่น ที่โล่งแจ้ง สระน้ำ และอื่นๆ และเมื่อหลบเข้าภายในตัวอาคารแล้ว ก็ควรงดการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งทีวี อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์แบบมีสาย เพราะหากเกิดฟ้าผ่าลงมาที่อุปกรณ์นอกอาคาร อาจจะได้รับอันตรายจากกระแสไฟฟ้าวิ่งมาตามสายไฟฟ้าหรือสายโทรศัพท์ได้ ส่วนกรณีที่อยู่ในรถ ควรปิดประตูและกระจกหน้าต่างให้สนิท อย่าสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะ และไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ กรณีที่หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่ทัน ให้นั่งยองๆ เท้าชิดกันและเขย่งปลายเท้า พร้อมทั้งเอามือปิดหูเพื่อป้องกันเสียง โดยพยายามให้ร่างกายสัมผัสกับพื้นให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงกรณีกระแสไฟไหลมาตามพื้น

ทั้งนี้ภายในงานยังมีปฏิบัติการจำลองสภาวะฟ้าผ่ากับโทรศัพท์มือถือ เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสื่อล่อฟ้าดังที่กล่าวอ้างหรือไม่ โดยการทดลองแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.โทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่อง 2.โทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่องและมีสายเรียกเข้า 3.โทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่อง มีสายเรียกเข้าและมีการตั้งรับอัตโนมัติ ซึ่งผลการทดลองทั้ง 3 รูปแบบ พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือแต่อย่างใด และโทรศัพท์ทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

นอกจากนี้เพื่อให้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงจากอันตรายจากฟ้าผ่า จึงได้มีการสาธิตกับวัตถุที่จำลองเป็นต้นไม้ โรงเรียน และคน พบว่าฟ้าผ่าลงที่บริเวณดังกล่าวเนื่องจากเป็นจุดที่สูงกว่าบริเวณอื่นๆ ที่สำคัญยังมีการจำลองสถานการณ์ให้ตุ๊กตา (เปรียบกับคน) ยืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อมีฝนฟ้าคะนอง ซึ่งผลปรากฏว่าฟ้าผ่าลงต้นไม้และมีกระแสไฟกระโดดเข้าตัวตุ๊กตา พบมีรอยไหม้บริเวณศีรษะ นับเป็นกรณีตัวอย่างอันตรายจากฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศไทย

ที่มา: เอกสารเผยแพร่ความรู้โดยศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช.

การปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่

เศรษฐกิจกระแสใหม่ (New Economy) เป็นระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อต้องการยกระดับการพัฒนาประเทศ จากการเป็นประเทศ “รับจ้างผลิตสินค้า” เป็นประเทศที่มีความสามารถใน “การพัฒนานวัตกรรม” โดยใช้จุดแข็งของประเทศ เช่น ต้นทุนทางสังคมและวัฒนธรรม ต้นทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างขีดความสามารถของระบบเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งประกอบด้วยภาคเศรษฐกิจ 5 สาขาหลัก คือ เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) , เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) , เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม (Creative and Cultural Economy) , เศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy) และเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy) ซึ่งจัดทำโดยคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่ ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และผ่านความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว

เศรษฐกิจกระแสใหม่

 

สรุปความก้าวหน้าของการปฏิรูป
โดย อนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจกระแสใหม่

เรื่องที่เสนอ ความคืบหน้า
การปฏิรูปเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy)
  • 29 กพ. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 9/59
  • 24 มีค. 59 เสนอนายกรัฐมนตรี และ นรม. เห็นชอบแล้ว และส่งให้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ คณะที่ 2 รองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) / สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ให้ความเห็นเพิ่มเติม
  • 20 เมย. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว
  • บรรจุในร่างแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12

alt Download เอกสาร [229 KB]

การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy)
  • 7 มีค. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 11/59
  • 24 มีค. 59 เสนอนายกรัฐมนตรี และ นรม.เห็นชอบแล้ว ส่งให้คณะกรรมการ ขับเคลื่อนฯ คณะที่ 2 รองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) / สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ให้ความเห็นเพิ่มเติม
  • 20 เมย. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว
  • 30 สค. 59 ราชกิจจานุเบกษา ประกาศพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559 ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการวิสาหกิจเพื่อสังคมและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่สนับสนุนวิสาหกิจเพื่อสังคม
  • 2 พย. 59 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการต่อคณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย ในการประชุม ครั้งที่ 35/2559

alt Download เอกสาร [174 KB]

การปฏิรูปเศรษฐกิจ เชิงสร้างสรรค์และเชิงวัฒนธรรม (Creative and Cultural Economy)
  • 28 มีค. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 14/59
  • 20 เมย. 59 เสนอนายกรัฐมนตรี และ นรม.เห็นชอบแล้ว ส่งให้รองนายกฯ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง และนายวิษณุ เครืองาม) / คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ คณะที่ 2 รองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) / สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) / สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ให้ความเห็นเพิ่มเติม
  • 18 พค. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว
  • มีการนำเสนอเรื่องการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC) ไปให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว
  • 19 ตค. 59 รัฐบาลจัดงานเปิดตัวโครงการ Creative Thailand เพื่อประกาศความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำ ด้านการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

alt Download เอกสาร [381 KB]

การปฏิรูปเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)
  • 4 เมย. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 17/59
  • 12 พค. 59 เสนอนายกรัฐมนตรี และ นรม. เห็นชอบแล้ว ส่งให้รองนายกฯ (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) / คณะกรรมการ ขับเคลื่อนฯ คณะที่ 2 รองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) / คณะที่ 3 รองนายกฯ (นายวิษณุ เครืองาม) / กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร / สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ แล้ว
  • 1 มิย. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว
  • 12 พค. 59 สภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม
  • 19 พย. 59 คณะกรรมาธิการฯ ขอขยายเวลาการพิจารณาศึกษา ออกไปอีก 30 วัน
  • รัฐบาลได้มีการเปิดเว็บไซต์ ชื่อ http://www.data.go.th เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลบริการภาครัฐแล้ว และมีการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐในรูปแบบ Open data จำ นวน 790 ชุดข้อมูล และจัดทำ ระบบ Big Data Analytics เสร็จเรียบร้อย

alt Download เอกสาร [735 KB]

การปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property System)
  • 27 มิย. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 32/59
  • 22 กค. 59 เสนอนายกรัฐมนตรีแล้ว และส่งรายงาน ไปยังรองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงพาณิชย์
  • 25 สค. 59 คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญา (คทป.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีมติเห็นชอบแผนที่นำทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา (IP Roadmap) ของไทยระยะ 20 ปี เพื่อปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญารองรับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอการปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาของ สปท.
  • 14 กย. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว

alt Download เอกสาร [1.13 MB]

เศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)
  • 1 สค. 59 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 38/59
  • 27 กย. 59 เสนอนายกรัฐมนตรีแล้ว อยู่ระหว่างส่งรายงาน ไปยังรองนายกฯ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) / กระทรวงการคลัง / กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์/ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • 9 พย. 59 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่ายเห็นชอบแล้ว

alt Download เอกสาร [1.06 MB]

การปฏิรูประบบนิเวศและการลงทุนในเศรษฐกิจกระแสใหม่ (Ecosystem and Investment in New Economy)
  • 20 ก.พ. 60 สปท. เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 4/60
  • 13 มี.ค. 60 ประธาน สปท. นำเสนอนายกรัฐมนตรี และให้นำส่งคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 2 ด้านเศรษฐกิจ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง เพื่อเร่งรัดขับเคลื่อนต่อไป
  • 31 มี.ค. 60 คณะกรรมการประสานงาน รวม 3 ฝ่าย ส่งรายงานถึงทุกหน่วยงานตามบัญชา นรม.

alt Download เอกสาร [4.41 MB]

 

รายชื่อคณะกรรมการธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ
สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

1. นาย สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมาธิการ
2. นาย รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองประธานกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง
3. นาย คณิสสร นาวานุเคราะห์ รองประธานกรรมาธิการ คนที่สอง
4. นาย ทวีศักดิ์ กออนันตกูล รองประธานกรรมาธิการ คนที่สาม
5. พลเอก วิชิต ยาทิพย์ ที่ปรึกษากรรมาธิการ
6. นาย ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ที่ปรึกษากรรมาธิการ
7. นาย มนู เลียวไพโรจน์ ที่ปรึกษากรรมาธิการ
8. นาย สันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการ
9. นาย สมชัย ฤชุพันธุ์ โฆษกกรรมาธิการ
10. นาย กฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้ช่วยโฆษกกรรมาธิการ
11. นาย กลินท์ สารสิน กรรมาธิการ
12. นาย เฉลิมศักดิ์ อบสุวรรณ กรรมาธิการ
13. นาย ชูชาติ อินสว่าง กรรมาธิการ
14. นาย ชูศักดิ์ เกวี กรรมาธิการ
15. นาย ดุสิต ลีลาภัทรพันธุ์ กรรมาธิการ
16. พันเอก ธนศักดิ์ มิตรภานนท์ กรรมาธิการ
17. นาย ธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ กรรมาธิการ
18. นาย เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ กรรมาธิการ
19. นาย สุวัฒน์ จิราพันธุ์ กรรมาธิการ
20. นาง อรมน ทรัพย์ทวีธรรม กรรมาธิการ
21. นาย กอบศักดิ์ ภูตระกูล เลขานุการกรรมาธิการ
22. นาง ปัทมา เธียรวิศิษฏ์สกุล ผู้ช่วยเลขานุการกรรมาธิการ

 

รายชื่อคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจกระแสใหม่
ภายใต้คณะกรรมการธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ
สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

1. นายปีติพงศ์  พึ่งบุญ ณ อยุธยา ประธานอนุกรรมาธิการ
2. นายทวีศักดิ์  กออนันตกูล รองประธานอนุกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง
3. นางอรมน  ทรัพย์ทวีธรรม รองประธานอนุกรรมาธิการ คนที่สอง
4. นายอนุสร  จิรพงศ์ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
5. นางนภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
6. นายศักดิ์  เสกขุนทด ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
7. นายดุสิต  ลีลาภัทรพันธุ์ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
8. นางสาวอรฉัตร เลียงพิบูลย์ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
9. นายณัฐวรรธน์ สุขวงศ์ตระกูล ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
10. นางสาววันทนีย์  พันธชาติ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
11. นายกฤษณ์ไกรพ์  สิทธิเสรีประทีป ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
12. นายประกาศิต กายะสิทธิ์ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ
13. นายสนธิรัตน์  สนธิจิรวงศ์ อนุกรรมาธิการและที่ปรึกษา
14. นายอนุกูล  แต้มประเสริฐ อนุกรรมาธิการ
15. นายอภิสิทธิ์  ไล่สัตรูไกล อนุกรรมาธิการ
16. นายณัฐพงษ์  จารุวรรณพงศ์ อนุกรรมาธิการ
17. นายพันธุ์อาจ  ชัยรัตน์ อนุกรรมาธิการ
18. ศาสตราจารย์ พิมพ์ใจ  ใจเย็น อนุกรรมาธิการ
19. นายวรรณวิทย์  อาขุบุตร อนุกรรมาธิการ
20. นายวีระพงศ์  มาลัย อนุกรรมาธิการ
21. นายเวทางค์  พ่วงทรัพย์ อนุกรรมาธิการ
22. นายสุธรรม  อยู่ในธรรม อนุกรรมาธิการ
23. นางอุทัยวรรณ  กรุดลอดยมา อนุกรรมาธิการและเลขานุการ
24. นางสุชาดา  ชยัมภร อนุกรรมาธิการและผู้ช่วยเลขานุการ

Physical Web

Physical Web

Physical Web คือเทคโนโลยีที่กูเกิลพัฒนาขึ้นมา เพื่อทำให้อุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนสามารถเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆ ผ่านทาง Bluetooth เมื่อสมาร์ทโฟนเข้าไปอยู่ในรัศมี การปล่อยสัญญาณของ Beacon สมาร์ทโฟนจะได้รับการเเจ้งเตือน โดยได้รับข้อมูลเป็น URL เว็บไซต์ เพื่อคลิกเปิดดูข้อมูลต่อไป  

การตั้งค่า Physical Web

  1. ต้องมีอุปกรณ์ที่กระจายสัญญาณ Bluetooth Low Energy (BLE)
  2. กำหนดใช้งานเเบบ Eddystone URL เเละใส่ URL เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ

  

 

ใช้งาน Physical Web ใน สมาร์ทโฟน

  1. เปิดใช้งาน Bluetooth
  2. ติดตั้งและตั้งค่า Chrome เพื่อเปิดใช้งาน Physical Web
  3. เมื่อสมาร์ทโฟนเข้าไปอยู่ในรัศมีการปล่อยสัญญาณของ Beacon สมาร์ทโฟนจะได้รับการเเจ้งเตือน โดยได้รับข้อมูลเป็น URL เว็บไซต์อัติโนมัติ

การตั้งค่า ios เเละ android สามารถดูได้จาก https://google.github.io/physical-web/try-physical-web

 

การใช้งาน Application Physical Web

  1. Download เเละติดตั้งที่สมาร์ทโฟน ค้นหาคำว่า Physical Web 
  2. คลิกโปรแกรมเพื่อเปิดใช้งาน โปรแกรมจะสแกนหา Beacon ถ้าพบก็จะเเสดงข้อมูลดังภาพ

 

 

สำหรับเทคโนโลยีนี้ ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูล โดยที่เริ่มต้นจากที่ต้องพิมพ์ URL  ต่อมาเป็นยุค  QR Code จนมาถึง Bluetooth ดังนั้นเราสามารถประยุกต์การใช้งานเพื่อเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลายขึ้น เช่น พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด ร้านค้า ร้านอาหาร  

ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2559

ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ ๒๕๕๙ ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนาประเทศ 2559

การจัดทำดัชนีการวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยใช้วิธีการสำรวจฯ และได้จัดทำ Hand Out “ดัชนีการวิจัย : บันไดสู่การพัฒนา  ประเทศ 2559″ ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสำรวจของหน่วยงานภาครัฐบาล ภาคอุดมศึกษา ภาครัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนไม่ค้ากำไร และ ข้อมูลประมาณการของภาคเอกชน

  ดาวน์โหลดเอกสาร

โครงการพหุสัมพันธ์คนกับไก่ ตอน 6

โครงการวิจัยพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเจ้าชายอากิฌิโนโนมิยา ฟูมิฮิโตะ แห่งประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
The Human-Chicken Multi-Relationships (HCMR) Research Project,
H.I.H. prince Akishinonomiya Fumihito’s Research
under the Royal Patronage of
H.R.H. princess Maha Chakri Sirindhorn

โครงการพหุสัมพันธ์คนกับไก่ ตอน 5

โครงการวิจัยพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเจ้าชายอากิฌิโนโนมิยา ฟูมิฮิโตะ แห่งประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
The Human-Chicken Multi-Relationships (HCMR) Research Project,
H.I.H. prince Akishinonomiya Fumihito’s Research
under the Royal Patronage of
H.R.H. princess Maha Chakri Sirindhorn

โครงการพหุสัมพันธ์คนกับไก่ ตอน 4

โครงการวิจัยพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเจ้าชายอากิฌิโนโนมิยา ฟูมิฮิโตะ แห่งประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
The Human-Chicken Multi-Relationships (HCMR) Research Project,
H.I.H. prince Akishinonomiya Fumihito’s Research
under the Royal Patronage of
H.R.H. princess Maha Chakri Sirindhorn

โครงการพหุสัมพันธ์คนกับไก่ ตอน 3

โครงการวิจัยพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเจ้าชายอากิฌิโนโนมิยา ฟูมิฮิโตะ แห่งประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
The Human-Chicken Multi-Relationships (HCMR) Research Project,
H.I.H. prince Akishinonomiya Fumihito’s Research
under the Royal Patronage of
H.R.H. princess Maha Chakri Sirindhorn

โครงการพหุสัมพันธ์คนกับไก่ ตอน 2

โครงการวิจัยพหุสัมพันธ์ระหว่างคนกับไก่
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในเจ้าชายอากิฌิโนโนมิยา ฟูมิฮิโตะ แห่งประเทศญี่ปุ่น
ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
The Human-Chicken Multi-Relationships (HCMR) Research Project,
H.I.H. prince Akishinonomiya Fumihito’s Research
under the Royal Patronage of
H.R.H. princess Maha Chakri Sirindhorn