สมุดปกขาว การศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ


จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และระบบนิเวศที่มีแนวโน้มของความเสื่อมโทรมลง ทำให้การรักษาและบริหารจัดการทรัพยากรและสภาพแวดล้อมได้รับความสนใจจากประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย พลังงานนับได้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน และเป็นที่ทราบกันดีว่า แนวโน้มความต้องการใช้พลังงานเพื่อดำเนินชีวิตนั้นมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่แหล่งพลังงานเดิมมีแนวโน้มที่ลดลง ด้วยเหตุนี้ทั่วโลกจึงเริ่มค้นหาแหล่งพลังงานใหม่เข้ามาทดแทน เพื่อรองรับความต้องการและสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้แก่ประเทศของตน จำกแนวโน้มดังกล่าว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม และรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานที่กำลังเกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชำติ (สวทช.) จึงได้ทำการจัดทำสมุดปกขาวการศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติขึ้น เพื่อศึกษาแนวโน้มและสถานการณ์ด้านพลังงานของโลก การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศ ความเชื่อมโยงของแผนงานด้านพลังงานต่าง ๆ ของไทย การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของหน่วยงานวิจัยในไทย รวมถึงแผนงานการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของ สวทช. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและศึกษาข้อมูลเพื่อนำไปใช้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบำยต่อทิศทาง การวิจัยและพัฒนาด้านพลังงาน อีกทั้งเพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติหรับข้อมูลที่นำมาใช้ในการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายนั้น เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสำร รายงาน และข้อมูลของหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลโดยสรุปของ สมุดปกขาว การศึกษาเชิงนโยบายการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ 

 ดาว์นโหลดเอกสารฉบับเต็ม

5 Megatrends ปี 2020-2030 ที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม

5 Megatrends ปี 2020-2030 ที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม

          การเติบโตของนวัตกรรมสร้างความคาดหวังและความเครียดในสังคม การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจะสร้างอนาคตใหม่ ที่เราเรียกกันว่า “Megatrends” ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก  McKinsey ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเปรียบเสมือนเพื่อน การวิเคราะห์ คาดการณ์อนาคตทางธุรกิจและการลงทุนในอนาคต จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับภาคธุรกิจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน รวมถึงชีวิตการทำงาน

Megatrend 1: การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ

การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ ประเทศกำลังพัฒนาจะมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ สังคมและวิธีลงทุนอย่างมาก            

1.เศรษฐกิจใหม่กำลังเติบโต

คนรุ่นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาได้เปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการให้กับประเทศพัฒนา สู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการเพื่อบริโภคภายในประเทศของตนเอง ร้อยละ 80 ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และร้อยละ 85 ของการเจริญเติบโตของการบริโภคทั่วโลก คิดเป็นมากกว่าสองเท่าในปี 1990           

2.จีนจะเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก

เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา นโปเลียน โบนาปาร์ตได้กล่าวว่า “จีนเสมือนคนนอนหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้น จีนจะขับเคลื่อนโลก” เพียง 15 ปีผ่านไป เศรษฐกิจของจีนมีขนาดเท่ากับหนึ่งในสิบของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ถ้าหากยังเติบโตตามคาดการณ์ไว้เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่ามากกว่าสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 2020 คาดการณ์ว่าจีนจะมี 200 เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคนภายในปี 2025 เพื่อลดความแออัดในกรุงปักกิ่ง และดำเนินการสร้างเมืองใหม่ในชื่อ “สงอัน” ซึ่งห่างออกไป 100 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง โดยเมืองใหม่นี้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของแมนฮัตตันและคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าของนิวยอร์คและสิงค์โปร์

3.ข้อมูลประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง

ในปี 2016 ทั่วทั้งเอเชียมีประชากรประมาณ 4.4 พันล้านคน เท่ากับสี่เท่าในศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีประชากร 5 พันล้านคน ภูมิภาคเอเชียมีทรัพยากร ความหลากหลายทางนิเวศวิทยารองรับการเติบโต เป็นผลให้สามารถคาดหวังการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ต่อไป

ผลกระทบ           

1.มหาอำนาจเปลี่ยนจากตะวันตกเป็นตะวันออก

เศรษฐกิจของจีนมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และยุโรป จีนกำลังมาแทนที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลก ดังนั้นวาระทางการเมือง การค้าโลก และอิทธิพลจะเปลี่ยนจากกรุงวอชิงตันในสหรัฐอเมริกามาเป็นกรุงปักกิ่งในจีน            

2.ธุรกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จีนมีบริษัทเอกชนที่มีการประเมินมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และภายในสิ้นปี 2019 คาดว่าจะมีผู้ใช้ระบบสิทธิบัตรระดับสากลรายใหญ่ที่สุด ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่แล้วธุรกิจหกล้านแห่งได้รับการจดทะเบียนในประเทศจีน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้าน ในปี 2013 โดยภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บันเทิง กีฬา และการเงิน ในขณะที่จำนวนบริษัทเหมืองแร่ ไฟฟ้าและก๊าซมีจำนวนลดลง           

3.ความเป็นผู้นำมาจากตะวันออก

มาจากตะวันออกมากกว่าตะวันตก สถาบันอเมริกันและความเป็นผู้นำองค์กรกำลังลดลง เทียบได้จากจำนวนซีอีโอในซิลิคิน วัลเลย์ (Silicon Valley) ของอินเดีย การเปิดการค้าเสรีของจีนหมายถึงโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นอดีต  

Megatrend 2

ทรัพยากรขาดแคลนผลกระทบของสภาวะโลกร้อนและ อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพืชและผลผลิต ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ยากจน ในขณะเดียวกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะเกิดน้ำท่วมเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น           

1.ผลกระทบต่อทรัพยากรของโลก

ประชากรกำลังขยายตัวและความเจริญเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความต้องการพลังงาน น้ำและอาหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของโลก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ประมาณการว่าประชากรจะเกิน 9.1 พันล้านคน ภายในปี 2050 ด้วยหลักการนี้ ระบบการเกษตรของโลกจะไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน และองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำจืดจะเกินร้อยละ 40 ในปี 2030 และบางเมือง เช่น เคปเทาวน์ (Cape Town) ประเทศแอฟริกาใต้ จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ            

2.การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้โลกร้อนขึ้น

สภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และยังคงดำเนินต่อไป สาเหตุหลักคือการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ถูกปล่อยบนชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและไม่มีสัญญาณว่าจะลดลง คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสององศาก่อนปี 2100 ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรโลก เรื่องนี้ศึกษาโดย Pricewaterhouse Coopers (PwC) ได้คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปี2036

ผลกระทบ           

1.การผลิตมากขึ้น

เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุตสาหกรรมการเกษตรต้องปรับตัวโดยใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตให้น้อยลง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น เทคโนโลยีช่วยตรวจจับเซ็นเซอร์และสเปรย์สามารถลดการใช้สารกำจัดวัชพืชได้ถึงร้อยละ 95 โดย McKinsey กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ร้อยละ 20-40 ที่ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ภายในปี 2025            

2.การเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นพลังงานสะอาด

การใช้พลังงานที่ยั่งยืนมีความสำคัญมากกว่าการใช้พลังงานถ่านหิน แต่การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ            

3.การลดลงของการปล่อยคาร์บอน

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับยังคงเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับคันแรกในปี 2021 กับบริษัทต่างๆ โดยการวางแผนของเดมเลอร์ (Daimler Motor Company) บริษัทผลิตรถยนต์ระดับหรูของสหราชอาณาจักร

Megatrend 3 : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ปัจจุบันคือยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเข้าสู่การปฏิวัติดิจิทัล Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหารสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์เป็นศูนย์กลางของ Megatrends ทั้งหมด             

1.ก้าวของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลกระทบกับอุตสาหกรรม มีแนวโน้มว่าคนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เนื่องจากเครื่องจักร หุ่นยนต์ และ AI สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์            

2.ข้อมูลคือแหล่งน้ำมันใหม่

ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดได้ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด Jack Ma ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารอาลีบาบา (Alibaba) ได้เปรียบเทียบข้อมูลกับการค้นพบกระแสไฟฟ้า โดยกล่าวว่า “โลกกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของข้อมูลภายในปี 2025” จำนวนข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า

3.ระบบอัตโนมัติ

ในระบบอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น งานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ร้อยละ 60 ของการประกอบอาชีพจะมีอย่างน้อยร้อยละ 30 ของงานถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร แต่ทั้งนี้มนุษย์สามารถเรียนรู้และควบคุมระบบของเครื่องจักรได้

ผลกระทบ           

1.IOT เชื่อมต่อกับการใช้ชีวิต

ภายในปี 2020 โลกจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น รถยนต์ เครื่องชงกาแฟ เครื่องทำความเย็น ความร้อนสามารถควบคุมได้โดยแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน Gartner ได้ประเมินว่าในปี 2014 จะมีการเชื่อมต่อ “สิ่ง” 7 พันล้านอินเทอร์เน็ต ภายในปี 2020 จะเพิ่มเป็น 26 พันล้าน

2.การปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพผ่านหุ่นยนต์และ AI

หุ่นยนต์ AI จะถูกใช้งานมากขึ้นสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และค่าขนส่งจะลดลง

3.การปรับปรุงด้านสาธารณสุข

ประชากรจะมีอายุยืนมากขึ้น เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลด้านสุขภาพ พัฒนากำจัดโรคในผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาวที่สาธารณสุขที่ต้องคิดกันต่อไป

Megatrend 4 : เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในเอเชียมากกว่า 65 ประเทศซึ่งมีประชากรมากกว่าในสหรัฐอเมริกา ภายในปี 2042 จะมีมากกว่า 65 ประเทศในเอเชียจะมีประชากรมากกว่าในโซนยุโรป และอเมริกาเหนือ (ประชากร, เชื้อชาติ ระดับการศึกษาและด้านอื่นๆ ของประชากร) จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน  Megatrend สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปตามภูมิภาคจะมีผลกระทบต่อท้องถิ่นและตลาดโลกและสังคม            

1.ประชากรยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ตามที่องค์การสหประชาติได้คาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านคนภายในปี 2030 กับการเติบโตของตลาด และภายในปี 2050 องค์การสหประชาชาติประมาณการว่าร้อยละ 80 ของประชากรโลกจะมีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปและอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

2.ประชากรมีอายุยืน

ร้อยละ 30 ของประชากรญี่ปุ่นมีอายุมากกว่า 60 ปี จีนมีประชากร 29 ล้านคน อายุกว่า 80 ปี คาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีประชากร 120 ล้านคน รายงานข้อมูลประชากรขององค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดกับอีก 55 ประเทศ การที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลครอบคลุมบริการด้านสุขภาพ รวมถึงบริการด้านอื่น ๆ  หลายประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุขเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

3.ำนวนเด็กน้อยลง

สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้คนมีการศึกษาแต่งงานน้อยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง สิ่งนี้ส่งผลต่อธุรกิจรวมถึงผลผลิตที่ลดลง การมีส่วนร่วมของแรงงานน้อยลง คนรุ่นใหม่จะมีภาระมากขึ้นอันเป็นผลจากความคาดหวังจากผู้สูงอายุ           

ผลกระทบ           

1.ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ

ในสหรัฐอเมริกาค่าใช้จ่ายในการดูแลด้านสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 8 ของจีดีพีในแต่ละปี โดยนับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2040 สหรัฐอเมริกาต้องใช้เงินประมาณ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเพื่อการดูแล  จากการวิเคราะห์ของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างการออมเพื่อการเกษียณใน 8 ประเทศใหญ่กำลังเติบโต 28 พันล้านเหรียญสหรัฐในทุกๆ 24 ชั่วโมงและจะสูงถึง 400 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2050 คิดเป็น 5 เท่าของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน โดยจะมุ่งเน้นการออมหลังเกษียณและการหาวิธีเพิ่มรายได้หลังเกษียณอีกด้วย เป็นผลให้อาจมีความต้องการในการได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ตลอดจนคำแนะนำเพิ่มมากขึ้น            

2.หุ่นยนต์จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์

เมื่อประชากรอายุยืนยาวมากขึ้น มีแนวโน้มจะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น (หุ่นยนต์ไม่หลับ ไม่ป่วย แต่ต้องการทักษะมากขึ้น) เป็นผลให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสำคัญ อาทิ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล             

3.ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหาร

ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคมากขึ้น ใส่ใจในอาหารและผลิตภัณฑ์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารออร์แกนิกในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 224 จากปี 2005 ถึงปี 2016 อาหารสดใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นที่ต้องการมากกว่าอาหารแปรรูป เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของอะโวคาโดและผลเบอร์รี่ นอกจากนี้จากการที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นส่งผลให้มีการใช้บริการสั่งอาหารทางออนไลน์มากขึ้น 

Megatrend 5 : การกลายเป็นมหานครอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันประชากรมากกว่าครึ่งโลกอาศัยอยู่ในเขตเมือง และในปี 2030 ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านคน การขยายตัวของเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในปี 1990 มีเพียง 10 เมืองในโลกที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคนซึ่งเรียกว่า “มหานคร” วันนี้จำนวน “มหานคร” ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนใหญ่ประชากรจะเพิ่มขึ้นในเมืองและเมืองใหญ่ใกล้เมืองหลวง สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของประชากรเหล่านี้นำไปสู่โอกาสและความท้าทายสำหรับสังคม ความต้องการของประชากรเมืองในอนาคตจะแตกต่างกับในปัจจุบัน เนื่องจากในอนาคตประชาชนต้องการการเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง และทุกอุปกรณ์ การเชื่อมต่อไร้สายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในเมือง            

1.การอพยพเข้าเมืองหลวง

ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าเขตชนบท และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 1950 ประชากรของโลกร้อยละ 30 อาศัยอยู่ในเมือง และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ภายในปี 2050

2.ความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง

ในสหรัฐอเมริกา พื้นที่ชนบทมีสัดส่วนแพทย์ 39.8 คน ต่อหนึ่งแสนคน เทียบกับแพทย์ในเขตเมืองมี 53.3 คน ต่อหนึ่งแสนคน การกระจายแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากร ด้วยการดูแลสุขภาพที่ดีและรวดเร็วจึงเป็นแรงจูงใจให้ประชากรนิยมโยกย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเขตเมือง  ขณะเดียวกัน ในเขตเมืองมีค่าตอบแทนในการจ้างงานที่ดี มีการศึกษา การเข้าสังคม และวัฒนธรรมที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอีกแรงดึงดูด อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจเติบโตได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน รายได้ของประชากรในเมืองได้มากกว่าสองเท่าของชนบท             

ผลกระทบ           

1.เมืองอัจฉริยะ

เมืองต่างๆ ได้รับแรงสนับสนุนจากประชากรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและการบริการ การย้ายถิ่นฐานแสดงออกถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและเครือข่ายต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการใช้ยานพาหนะของประชากรเพิ่มมากขึ้น            

2.การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย

จากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพต้องได้รับการพัฒนา เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากร โรงพยาบาลแบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีทดแทน และเนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองสูงกว่าชนบท รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังในระดับสูง การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นหมายถึงทุกกิจกรรมจะต้องถูกบันทึกและตรวจสอบได้

3.การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนไป รถยนต์ โรงจอดรถ บ้านหลังใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้จะมีความต้องการแตกต่างกันเมื่อต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดเล็กลง ความต้องการพื้นที่และการจัดเก็บลดลง อาหารจะสั่งผ่านดิลิเวอรี่เพื่อความรวดเร็ว วัฒนธรรมหมู่บ้านหายไปการรู้จักเพื่อนบ้านน้อยลงกลายเป็นสังคมเมือง ทรัพยากรจะถูกใช้ร่วมกัน เกิดเป็นพฤติกรรมกลุ่มรูปแบบใหม่   

 

Peter, Fisk. (2019, December) Retrieved from https://www.thegeniusworks.com/2019/12/mega-trends-with-mega-impacts-embracing-the-forces-of-change-to-seize-the-best-future-opportunities/

 

 

 

 

Smart Farming

สวทช. สนับสนุนการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในภาคการเกษตร
ตั้งแต่การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีการปลูก การจัดการพืช/สัตว์สมัยใหม่
ระบบเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ การเตือนการณ์ คาดการณ์ผลผลิต และการบริหารจัดการกระบวนการผลิต

ในแง่ของผู้ประกอบการ การนำเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์มมาปรับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนจากการลดการใช้ปุ๋ยและยาที่เป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรไทย และยังได้ผลิตผลที่ปลอดภัย ได้คุณภาพและปริมาณคงที่ ตรงตามความต้องการของตลาด
อีกทั้งยังสามารถนำผลผลิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพคงที่มาแปรรูปให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้อีกด้วย

nstda service booklet

ฐานข้อมูลและแหล่งความรู้เกี่ยวกับ Coronavirus (COVID-19)

การแพร่ระบาดของ Coronavirus (COVID-19) เป็นภัยคุกคามที่สำคัญและเร่งด่วนต่อสุขภาพของประชากรโลก ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลและผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว นับเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการรับมือและการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ Coronavirus เพื่อลดความเสียหายและสูญเสียที่จะเกิดขึ้น

บทความนี้ ขอแนะนำรายชื่อฐานข้อมูลและแหล่งความรู้ออนไลน์ต่างประเทศ ที่รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลและบทความวิจัยและวิชาการ รายงานเชิงเทคนิค และสื่อความรู้ประเภทต่างๆ เกี่ยวกับ Coronavirus (COVID-19) ที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดได้ฟรี (เรียงตามลำดับอักษร A-Z)

  1. BMJ หรือ British Medical Journal รวบรวมข่าว บทความวารสาร และสื่อความรู้เกี่ยวกับ Coronavirus (COVID-19) ที่ตีพิมพ์และเผยแพร่ใน BMJ เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  2. Cambridge University Press รวบรวมบทความวารสารและหนังสือเกี่ยวกับ Coronavirus (COVID-19) ที่ตีพิมพ์และเผยแพร่โดย Cambridge University Press เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  3. Centers for Disease Control and Prevention หรือ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ Coronavirus (COVID-19) (เช่น ขั้นตอนในการดูแลและป้องกันตนเอง จะทำอย่างไรเมื่อมีอาการป่วย อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสฯ และคำถามทั่วไปเกี่ยวกับไวรัสฯ) ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสฯ แบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย (เช่น ชุมชน โรงเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ และบุคลากรห้องปฏิบัติการ) อัพเดทสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสฯ (เช่น สรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสฯ ทั่วโลก กรณีการแพร่ระบาดของไวรัสฯ ในสหรัฐอเมริกา และการประเมินความเสี่ยง) และสื่อความรู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับไวรัสฯ (เช่น หนังสือ แผ่นพับ โปสเตอร์ และวิดีโอ) เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  4. Chinese Journal of Lung Cancer คือ วารสารแบบเปิด (Open Access) ฉบับรายเดือน โดย Chinese Anti-Cancer Association, Chinese Antituberculosis Association และ Tianjin Medical University General Hospital วารสารนี้ได้รับการจัดทำดัชนีใน เช่น DOAJ, EMBASE/SCOPUS, Chemical Abstract(CA), CSA-Biological Science, HINARI, EBSCO-CINAHL,CABI Abstract, Global Health, CNKI โดยมีบทความวิชาการที่เผยแพร่เกี่ยวกับชีวเคมี พันธุศาสตร์ ชีววิทยาโมเลกุล การวิจัยและการรักษาโรคมะเร็ง และแพทยศาสตร์ทางเดินหายใจและปอด รวมถึงมีการตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ Coronavirus (COVID-19) ในประเทศจีน (หมายเหตุบทความในวารสารเป็นภาษาจีน) เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  5. Elsevier รวบรวมผลงานวิจัยขั้นต้น เอกสารแนวทางการดูแลรักษาสำหรับแพทย์และผู้ป่วย รวมถึงแผนที่แสดงถึงข้อมูลสถาบันทั่วโลกที่ศึกษาวิจัยการระบาดและการควบคุมโรคจาก Coronavirus, SARS และ MERS โดยอาศัยข้อมูลผลงานวิจัยและวิชาการในฐานข้อมูล Scopus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ นอกจากนี้ยังได้ทำคอลเลคชั่นพิเศษรวม บทความที่เกี่ยวข้องกับ Coronavirus, SARS และ MERS ในฐานข้อมูล ScienceDirect เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  6. Emerald Publishing รวบรวมบทความในวารสารและหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ Coronavirus, SARS และ MERS ซึ่งเผยแพร่โดย Emerald Publishing เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  7. European Centre for Disease Prevention and Control (ECDC) หรือ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของสหภาพยุโรป มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการป้องกันโรคติดเชื้อในยุโรป โดย ECDC ได้รวบรวมข่าว ข้อมูล ผลงานตีพิมพ์ (เช่น หลักเกณฑ์การพิจารณาเพื่อยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยปลอดภัยหรือไม่ติดเชื้อ Coronavirus สามารถออกจากโรงพยาบาลหรือสามารถปล่อยตัวกลับบ้านได้ และ การประเมินทรัพยากรสำหรับการติดตามผู้ป่วย Coronavirus ในสหภาพยุโรปหรือเขตเศรษฐกิจยุโรป) รวมถึง Infographic เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ Coronavirus และการป้องกันตนเองจาก Coronavirus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  8. International Society for Infectious Diseases (ISID) หรือ สมาคมโรคติดเชื้อระหว่างประเทศ ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุด สิ่งพิมพ์ และบทความเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ Coronavirus จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  9. Microbiology Society สมาคมจุลชีววิทยา ได้รวบรวมบทความเกี่ยวกับ Coronavirus ของสมาคมฯ เพื่อเผยแพร่ให้ผู้สนใจสามารถเข้าถึงได้ฟรี เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  10. New England Journal of Medicine วารสารการแพทย์ภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์โดย Massachusetts Medical Society สมาคมทางการแพทย์ของรัฐที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา โดยวารสารได้นำเสนอบทความและแหล่งข้อมูลอื่นๆ รวมถึงรายงานผลการทดลองทางคลินิก แนวทางการจัดการและความเห็นเกี่ยวกับการระบาดของ Coronavirus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  11. Oxford University Press รวบรวมแหล่งข้อมูลออนไลน์และวารสารชั้นนำของ Oxford University Press ที่นำเสนอข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับ Coronavirus ที่สามารถเข้าถึงได้ฟรี เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  12. PLOS Blog แบ่งปันและขยายข้อมูลการวิจัยและการค้นพบที่เกี่ยวข้องกับการระบาด Coronavirus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่
  13. Springer Nature รวบรวมบทความวิจัยจากวารสารของ Springer Nature รวมถึงหนังสือ และ ความเห็นเพิ่มเติมจากนักวิชาการในหัวข้อ Coronavirus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่
  14. Social Science Research Network (SSRN) – Preprints นำเสนอผลการวิจัยขั้นต้นเกี่ยวกับ Coronavirus โดยจัดเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ 1. COVID-19 Research จากการระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน 2. การวิจัยโรคติดเชื้อเกี่ยวกับโรคติดเชื้อรวมถึง Coronavirus, SARD, MERS และ Ebola 3. Coronavirus และ สหวิทยาการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคมและการเงิน 4. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการติดตาม Coronavirus 5. เว็บไซต์ของ Johns Hopkins เกี่ยวกับ Coronavirus 6. เว็บไซต์ของ Centers for Disease Control and Prevention เกี่ยวกับ Coronavirus และ 7. Healthmap ของการแพร่กระจายของ Coronavirus เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  15. Taylor & Francis รวบรวมรายการของการศึกษาและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ Coronavirus ของตีพิมพ์และเผยแพร่โดย Taylor & Francis  เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  16. The Lancet ได้จัดทำ COVID-19 Resource Centre เพื่อรวมบทความวิจัยและวิชาการเกี่ยวกับ Coronavirus ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 
  17. World Health Organization รวบรวมรายการบรรณานุกรมบทความวิจัยและวิชาการเกี่ยวกับ Coronavirus ในวารสารต่างๆ ภายใต้ชื่อ Global research on coronavirus disease (COVID-19)เข้าถึงข้อมูลคลิกที่นี่ 

NETPIE 2020

NETPIE 2020 คือแพลตฟอร์มที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานเชิงพาณิชย์ เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ IoT, อุตสาหกรรม, โรงงาน และองค์กรที่พัฒนาสู่ยุค Digital Transformation 4.0 ซึ่งจะช่วยธุรกิจให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่ง หรือ Internet of Things (IoT)

โดยแพลตฟอร์มจะช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารกันได้ เกิดการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์แบบ real-time ทำให้ผู้ใช้งานทราบถึงข้อมูลของอุปกรณ์ ณ เวลานั้นๆ ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ที่ไหนเวลาใดก็ตาม ทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ได้จำนวนมหาศาล ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานเชิงพาณิชย์ที่มีอุปกรณ์ IoT จำนวนมากอย่างแน่นอน

คุณสมบัติหลักๆของ NETPIE 2020 Platfrom ประกอบไปด้วย

  1. การแสดงค่าข้อมูลจากเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์แบบ Real-time (Monitoring)
  2. การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ผ่าน Cloud Platform (Controlling)
  3. การเก็บค่าข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์ (Data Storage)
  4. การแจ้งเตือนความผิดปกติของเซ็นเซอร์หรืออุปกรณ์จากที่ได้กำหนดไว้ (Notification)
  5. การแสดงผลและควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ผ่าน Dashboard (Dashboard for monitor & control)

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 11 เดือน พฤศจิกายน 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 11 เดือน พฤศจิกายน 2562

การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสไทย-สหภาพยุโรป ครั้งที่ 14 ณ กรุงบรัสเซลส์

ระเบียบวาระ เรื่อง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือของสหภาพยุโรปที่ร่วมกับภูมิภาคอาเซียนในการจัดโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน (Enhanced Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument) หรือโครงการ E-READI ซึ่งนักวิจัยในภูมิภาคอาเซียนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้เป็นอย่างมาก ในส่วนประเทศไทยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronic and Computer Technology Center, NECTEC) หรือ เนคเทค และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) หรือ สวทช. เป็นตัวแทนในการเข้าร่วม ในอนาคตประเทศไทยต้องการกระชับความสัมพันธ์และพัฒนาโครงความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกับสหภาพยุโรปให้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น โครงการแลกเปลี่ยนนักวิจัย หรือโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่นักวิจัยระหว่างประเทศไทยหรือภูมิภาคอาเซียน และสหภาพยุโรป โดยปัจจุบันประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสนใจ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นสาขาที่ประเทศไทยสามารถสร้างความร่วมมือกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้

ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (Thailand National Metal and Materials Technology Center, MTEC) หรือ เอ็มเทค มีความประสงค์ที่ส่งโครงร่างการวิจัยในหัวข้อการพัฒนาโปรตีนเกษตร และการใช้เทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารร่วมกับโปรตีนที่สกัดได้จากพืชหรือวัสดุชีวภาพอื่นๆ

เขตนวัตกรรม ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation, EECI) หรืออีอีซีไอ ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ของนโยบายประเทศไทย 4.0 โดยจะใช้เป็นศูนย์กลางของแหล่งนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ของประเทศ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อและถ่ายทอดเทคโนโลยี นวัตกรรม และความเชี่ยวชาญจากพันธมิตรในสหภาพยุโรปสู่ประเทศไทยในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้

ระเบียบวาระ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change)

นายกรัฐมนตรีได้ประกาศเป้าหมายที่สำคัญ ของอาเซียนในด้านสภาพภูมิอากาศใน 2 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านพลังงาน : อาเซียนจะลดความเข้มข้นของการใช้พลังงานลงร้อยละ 30 และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 23 ภายในปี ค.ศ. 2025 และ 2) ด้านการขนส่งทางบก : อาเซียนจะลดการใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ยของยานพาหนะขนาดเล็กที่จำหน่ายในอาเซียนร้อยละ 26 ระหว่างปี ค.ศ. 2015-2025 รวมถึงจะเสนอและเสริมสร้างมาตรการนโยบายการคลังบนพื้นฐานการประหยัดพลังงานหรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระดับประเทศ และส่งเสริมการประกาศใช้มาตรฐานการใช้เชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะขนาดเล็กของแต่ละประเทศ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและทุกภาคส่วน โดยอาเซียนพร้อมที่จะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนกับประชาคมโลกในการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อประกันความยั่งยืนให้กับอนุชนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

แบคทีเรียจากแม่ : หนึ่งกุญแจสำคัญสำหรับการพัฒนาด้านสุขภาพของทารก

แบคทีเรียและไวรัสที่ส่งผ่านจากแม่สู่ทารกมีบทบาทสำคัญในการกำหนดสถานะสุขภาพในภายหลังของเด็กได้ ซึ่งผลจากงานวิจัยนี้สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาวิธีในการจัดการโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วนและอาการภูมิแพ้ หากแม่ของคุณเป็นโรคอ้วน คุณก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคอ้วนเช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถอธิบายได้โดยปัจจัยทางวิทยาศาสตร์หลายๆ ปัจจัย ปัจจัยแรก คือ เด็กที่เป็นโรคอ้วนตามแม่นั้นเป็นเพราะได้รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นเดียวกับแม่ของตนเอง ปัจจัยที่สอง คือ ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เด็กได้รับยืนจากแม่ ซึ่งยีนนี้มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดภาวะโรคอ้วนเช่นเดียวกับแม่ และปัจจัยที่สาม ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในวงการวิจัย นั่นก็คือ จุลินทรีย์ทั้งหมดที่อาศัยในร่างกายของเด็ก หรือ ไมโครไบโอตา ซึ่งบางส่วนได้รับมาจากแม่ตั้งแต่ตอนอยู่ในมดลูก หรือจะในระหว่างการให้นมบุตร

ไมโครไบโอตา (Microbiota)

ไมโครไบโอตา หรือ ชุมชนจุลชีพ คือ จุลินทรีย์ทั้งหมดที่อาศัยในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง โดยนับรวมทั้งที่อยู่บนผิว ภายในเนื้อเยื่อ หรือในสารคัดหลั่งของอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ผิวหนัง ต่อมน้ำนม รก น้ำอสุจิ มดลูก รังไข่ ปอด น้ำลาย เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ท่อน้ำดี และทางเดินอาหาร สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีทั้งที่เป็นแบคทีเรียอาร์เคีย เชื้อรา โปรติสต์ และไวรัส นอกจากนี้ยังอาจมีสัตว์ขนาดเล็กอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ ในร่างกายของคนปกติ โดยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 อยู่ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนท้ายที่เรียกว่าโคลอน ในร่างกายมนุษย์มีเซลล์จำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านล้านเซลล์ หากความเป็นจริงแล้วเซลล์มนุษย์เป็นเพียง 1 ใน 10 ส่วนของจำนวนเซลล์ของจุลินทรีย์ โดยจุลินทรีย์เหล่านี้มีผลต่อระบบการทำงานและของร่างกายในส่วนต่างๆ ตามแหล่งที่อาศัยอยู่ บางชนิดมีส่วนช่วยป้องกันจุลินทรีย์ก่อโรคอื่นๆ ที่เข้ามารุกรานช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร ระบบการเผาผลาญและระบบขับถ่าย บางชนิดช่วยสร้างสารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตในร่างกาย เสริมสร้างและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แต่บางครั้งความผิดปกติของร่างกายก็อาจเกิดจากจุลินทรีย์เหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน เมื่อจุลินทรีย์บางชนิดมีจำนวนมากเกินไปหรือลดน้อยลงไปจากสภาวะปกติหรือ เรียกอีกอย่างว่า การเสียสมดุลของ ไมโครไบโอตา

การส่งผ่านไมโครไบโอตาจากแม่สู่ลูก

จุลินทรีย์ที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล มีชนิดและจำนวนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละอวัยวะ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามช่วยอายุของการเจริญเติบโต พบว่าไมโครไบโอตาตั้งตันที่อาศัยในร่างกายได้ส่งผ่านจากแม่มาสู่ทารก โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งผิวหนังของทารกได้รับจากแม่ทั้งก่อนและหลังคลอด เมื่อถึงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ทารกเริ่มกลืนน้ำคร่ำได้ จุลินทรีย์ในรกสามารถส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ การคลอดก่อนหรือหลังกำหนดคลอดจึงมีความสัมพันธ์ต่อชนิดของไมโครโอตาในทารกแรกเกิดด้วย นอกจากนี้วิธีคลอดไม่ว่าจะเป็นการคลอดโดยวิธีธรรมชาติ หรือการผ่าคลอดยังส่งผลต่อความหลากหลายของชนิดจุลินทรีย์ในไมโครไบโอตา พบว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติผ่านทางช่องคลอดจะได้รับกลุ่มจุลินทรีย์ที่อยู่ในช่องคลอดของแม่ที่เป็นประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนกลุ่มจุลินทรีย์ที่พบในทารกที่ผ่าคลอดนั้นจะเป็นกลุ่มแบคทีเรียที่พบได้ทั่วไปบริเวณผิวหนัง การให้นมบุตรเป็นอีกช่องทางในการส่งผ่านจุลินทรีย์จากแม่สู่ลูก น้ำนมแม่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในทารก เนื่องจากน้ำนมแม่มีองค์ประกอบที่สำคัญคือโมเลกุลน้ำตาลสายสั้นๆ (human milk oligosaccharides, HMOs) หรือที่เรียกว่าพรีไบโอติก (prebiotics) เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์กับร่างกายหรือโพรไบโอติคส์ (probiotics) อีกทั้งน้ำนมแม่ยังมีสารที่สามารถยับยั้งไวรัสหรือจุลินทรีย์ก่อโรคบางชนิดได้ การศึกษาพบว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติและได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า มีโอกาสเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีการผ่าและไม่ได้รับนมแม่

งานวิจัยด้านไมโครไบโอตา

นักวิทยาศาสตร์การอาหารและนักจุลชีววิทยา กล่าวว่า จุลินทรีย์ในลำไส้วัยแรกเกิดจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงสถานะสุขภาพของบุคคลนั้นๆ ในอนาคต โดยเมื่อไมโครไบโอตาในร่างกายเสียสมดุล จะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังซึ่งสามารถส่งผลต่อระบบเผาผลาญของเซลล์ในร่างกาย ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจึงเริ่มให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมในทางเดินอาหารตั้งแต่วัยแรกเกิดเพื่อส่งเสริมการสร้างไมโครไบโอตาที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

ไขความลับของการดื้อยาต้านจุลชีพ

ปัจจุบันการดื้อยาจุลชีพถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในวงการสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเผชิญ ในยุโรปมีประชากรที่เสียชีวิตจาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาต้านจุลชีพเป็นจำนวนกว่า 33,000 คนต่อปี และมีการประมาณการว่าในปี ค.ศ. 2050 จะมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากแบคทีเรียดื้อยาต้านจุลชีพเป็นจำนวนสูงถึง 10 ล้านคน โดยการใช้ยาต้านจุลชีพเกินขนาดถูกมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหานี้

ความสำคัญของยาต้านจุลชีพ

เกือบ 100 ปีมาแล้วที่ Alexander Fleming ได้ค้นพบยาต้านจุลชีพ หรือ ยาปฏิชีวนะ penicillin ซึ่งได้กลายมาเป็นหนทางในการรักษาโรคติดเชื้อแทบทุกชนิดบนโลก และกลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ช่วยให้เราสามารถทำการผ่าตัดที่อาจก่อให้เกิดแผลขนาดใหญ่ การปลูกถ่ายอวัยวะ การดูแลรักษาทารกที่คลอดก่อนกำหนด เคมีบำบัด รวมไปถึงการรักษาอาการติดเชื้อที่นำไปสู่โรคร้ายแรงและการเสียชีวิตได้

การดื้อยาต้านจุลชีพคืออะไร?

การดื้อยาต้านจุลชีพ คือ ภาวะที่จุลชีพมีความสามารถทนต่อยาต้านจุลชีพที่เคยมีประสิทธิภาพดีในการรักษา โรคที่เกิดจากการติดเชื้อจุลชีพดังกล่าว ทั้งนี้การดื้อต่อยาปฏิชีวนะนี้เกิดขึ้นในจุลชีพเท่านั้น คนหรืออวัยะที่เกิดการติดเชื้อจุลชีพนั้นไม่อาจก่อให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะได้ ในปี ค.ศ. 2014 ด้วยความรุนแรงของการดื้อยาต้านจุลชีพทำให้องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, WHO) ประกาศให้การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียเป็น “ปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่สุดที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกและทุกคนต้องได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ไม่ว่าวัยใด หรือประเทศใดก็ตาม การดื้อยานี้ทำให้แบคทีเรียเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ดังนั้น ยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ได้ผลจะไม่สามารถใช้งานได้กับคนที่ต้องการการรักษาโรคที่เกิดติดเชื้อนี้และประกาศให้ การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นภัยคุกคามหลักต่อการสาธารณสุขในปัจจุบัน

แบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการดื้อยาต้านจุลชีพได้อย่างไร

การดื้อยาต่อปฏิชีวนะของแบคทีเรียนั้นเป็นภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก โดยการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียเป็นการตอบสนองและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในขณะที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียนั้นๆ โดยการดื้อยานี้อาจเกิดจากการปรับตัวทางกายภาพหรือทางพันธุกรรมของแบคทีเรียนั้นก็ได้ การดื้อยาสามารถเกิดขึ้นได้เองทั่วไปในธรรมชาติ โดยมีการค้นพบยีนที่มีมาแต่โบราณซึ่งเป็นยีนทำให้แบคทีเรียเหล่านั้นดื้อต่อยาปฏิชีวนะ โดยยาปฏิชีวนะนั้นอาจเป็นยาที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยแบคทีเรียนั้นๆ โดยยีนที่ดื้อยาอาจถูกถ่ายทอดจากแบคทีเรียที่ไม่ก่อโรคไปยังแบคทีเรียอื่นที่ก่อโรคและทำให้แบคทีเรียที่ได้รับยีนนี้เข้าไปสามารถทนต่อยาปฏิชีวนะได้เช่นกัน

ก้าวต่อไปของงานวิจัยการดื้อยาต้านจุลชีพ

ในโครงการ uCARE ของสหภาพยุโรปกำลังศึกษาผลกระทบจากการใช้ยาประเภทอื่นที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะถึงความเป็นไปได้ในการเหนี่ยวนำให้เกิดการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่เราอาจมองข้ามไป โดยมีกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ยาประเภทอื่นที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ ณ ความเข้มข้นปกติสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ได้เช่นกัน โครงการ uCARE ได้ทดสอบยาประเภทอื่นที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะจำนวน 800 ชนิด พบว่าหนึ่งในสี่ของยาที่ถูกทดสอบสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ได้ โดยมีความเป็นไปได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเชื้อแบคทีเรียจะพัฒนาความสามารถของการดื้อยาต่อยาเหล่านี้ได้เหมือนในกรณีของยาต้านจุลชีพ ซึ่งนั้นหมายความว่าการทานยาที่ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะอาจทำให้ร่างกายเกิดอาการดื้อยาต้านจุลชีพได้เช่นกัน

ทางออกต่อปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ

หนึ่งในวิธีการรักษาที่ทางโครงการ uCARE กำลังศึกษาอยู่คือ การใช้ยาหลายๆ ประเภทร่วมกัน โดยปกติแล้วในปัจจุบันเราจะใช้ยาชนิดเดียวในการรักษาโรคแต่ละโรค ซึ่งการใช้ยาหลายประเภทในการจัดการกับเชื้อแบคทีเรียอาจจะทำให้เชื้อแบคทีเรียปรับตัวได้ยากกว่า ซึ่งยาที่จะถูกเลือกใช้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นยาปฏิชีวนะโดยยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติต้านจุลชีพได้ นอกจากนี้ยังมีการวิจัยในการค้นหาและพัฒนายาที่ไม่จำเป็นต้องยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และไปหยุดกระบวนการการพัฒนาความสามารถในการดื้อยา

อุจจาระรักษาโรค

อีกหนึ่งวิทยาการทางการแพทย์ คือ Faecal Microbiota Transplantation (FMT) หรือ การปลูกถ่ายเชื้อจุลินทรีย์ในอุจจาระ ซึ่งหมายถึงการนำอุจจาระของคนที่มีสุขภาพแข็งแรงมีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีไปใส่ลำไส้ของผู้ติดเชื้อเพื่อเปลี่ยนไมโครไบโอตาในลำไส้และจัดการกับแบคทีเรียชนิดที่ก่อให้เกิดโรค การรักษาแบบ FMT มีแนวคิดในการนำอุจจาระของผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง นำมาใส่ในลำไส้ของผู้ป่วยระหว่างการส่องกล้องตรวจลำไส้ (colonoscopy) ซึ่งการนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตจากอุจจาระคนหนึ่งเข้าสู่ลำไส้ใหญ่อีกคน เสมือนเป็นการเปลี่ยนถ่ายหรือการนำสิ่งมีชีวิตไปใส่ จึงเรียกว่า Faecal Transplantation ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มศักยภาพของจุลินทรีย์ประจำถิ่นชนิดดีที่เสียหายจากการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งจากผลการรักษาชี้ให้เห็นว่าการรักษาโดยวิธีนี้มีประสิทธิภาพและได้ผลดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ การรักษาด้วย FMT เป็นวิธีการที่ยังไม่มีหลักเกณฑ์ข้อบังคับในระดับสากล ดังนั้นการกำหนดรายละเอียดในวิธีการนำ FMT มาใช้รักษาจึงแตกต่างกัน

 

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200225-newsletter-brussels-no11-nov62.pdf

 

 

Megatrends 2020 – 2030 สิ่งที่มีความหมายต่อคุณ ธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม

ความนำ “Megatrends” แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อมนุษย์

เนื้อความ Megatrends 2020-2030 สิ่งที่มีความหมายต่อคุณธุรกิจและการเติบโตของนวัตกรรม

           การเติบโตของนวัตกรรมสร้างความคาดหวังและความเครียดในสังคม การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงจะสร้างอนาคตใหม่ ที่เราเรียกกันว่า “Megatrends” ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก  McKinsey ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเปรียบเสมือนเพื่อน การวิเคราะห์ คาดการณ์อนาคตทางธุรกิจและการลงทุนในอนาคต จะแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับภาคธุรกิจ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน รวมถึงชีวิตการทำงาน

Megatrend 1: การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางเศรษฐกิจ

การเติบโตของประชากรเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนอำนาจทางเศรษฐกิจ ประเทศกำลังพัฒนาจะมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ สังคมและวิธีลงทุนอย่างมาก            

1.เศรษฐกิจใหม่กำลังเติบโต

คนรุ่นใหม่กับประเทศกำลังพัฒนาได้หายไปจากการเป็นผู้ผลิตสินค้าให้กับประเทศพัฒนาแล้ว โดยจะเน้นผลิตสินค้าและบริการสำหรับบริโภคภายในประเทศ โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และร้อยละ 85 ของการเจริญเติบโตของการบริโภคทั่วโลก ซึ่งมากกว่าสองเท่าของปี 1990           

2.จีนจะเป็นมหาอำนาจใหม่ของโลก

เมื่อสองศตวรรษที่ผ่านมา นโปเลียน โบนาปาร์ตได้กล่าวว่า “ประเทศจีนเสมือนคนนอนหลับ แต่เมื่อตื่นขึ้น จีนจะขับเคลื่อนโลก” เพียง 15 ปีผ่านไป เศรษฐกิจของประเทศจีนมีขนาดเท่ากับหนึ่งในสิบของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ถ้าหากยังเติบโตตามคาดการณ์ไว้เศรษฐกิจจีนจะมีมูลค่ามากกว่าสหรัฐฯในช่วงปี 2020
คาดการณ์ว่าจีนจะมี 200 เมืองที่มีประชากรหนึ่งล้านคนภายในปี 2025 เพื่อลดความแออัดในกรุงปักกิ่ง และดำเนินการสร้างเมืองใหม่ในชื่อ “สงอัน” ซึ่งห่างออกไป 100 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง โดยเมืองใหม่นี้มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของแมนฮัตตันและคาดว่าจะเพิ่มเป็นสองเท่าของนิวยอร์คและสิงค์โปร์

3.ข้อมูลประชากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลง

ในปี 2016 ทั่วทั้งเอเชียมีประชากรประมาณ 4.4 พันล้านคน เท่ากับสี่เท่าในศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีประชากร 5 พันล้านคน ภูมิภาคเอเชียมีทรัพยากร ความหลากหลายทางนิเวศวิทยารองรับการเติบโต เป็นผลให้เราสามารถคาดหวังการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ต่อไป                  

ผลกระทบ           

1.มหาอำนาจจากตะวันตกไปตะวันออก

แม้จะมีความท้าทายทางเศรษฐกิจจากจีน หนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มขยายการเติบโตในระยะยาว เศรษฐกิจจีนมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรป จีนกำลังมาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลก ดังนั้นวาระทางการเมือง การค้าโลก และอิทธิพลจะเปลี่ยนจากกรุงวอชิงตันมาเป็นกรุงปักกิ่ง            

2.การเติบโตของธุรกิจจีนเติบโตต่อเนื่อง

จีนมีบริษัทเอกชนที่มีการประเมินมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และภายในสิ้นปี 2019 คาดว่าจะมีผู้ใช้ระบบสิทธิบัตรระดับสากลรายใหญ่ที่สุด ปัจจุบันจีนอยู่ในอันดับสองรองจากสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วธุรกิจหกล้านแห่งได้รับการจดทะเบียนในประเทศจีน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้าน ในปี 2013 โดยภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บันเทิง กีฬา และการเงิน ในขณะที่จำนวนบริษัทเหมืองแร่ ไฟฟ้าและก๊าซมีจำนวนลดลง            

3.ความเป็นผู้นำมาจากภาคตะวันออก

แนวคิดการปฏิบัติที่ดีที่สุดมาจากตะวันออกมากกว่าตะวันตก สถาบันอเมริกันและความเป็นผู้นำองค์กรกำลังลดลง เทียบได้จากจำนวนซีอีโอในซิลิคิน วอลเลย์ ของอินเดีย การเปิดเศรษฐกิจเสรีของจีนหมายถึงสันนิษฐานว่าโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษจะกลายเป็นอดีต

Megatrend 2 ทรัพยากรขาดแคลน

ผลกระทบของสภาวะโลกร้อนอยู่รอบๆ ตัวเรา อุณหภูมิที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพืชผลผลิต ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อชุมชนที่ยากจน ในขณะเดียวกันพื้นที่ชายฝั่งทะเลจะเกิดน้ำท่วมเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น           

1.ผลกระทบกับทรัพยากรของโลก

ประชากรกำลังขยายตัวและความเจริญเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว นำไปสู่ความต้องการพลังงาน น้ำและอาหารก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดของโลก องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติประมาณการว่าประชากรจะเกิน 9.1 พันล้านคน ภายในปี 2050 ด้วยหลักการนี้ ระบบการเกษตรของโลกจะไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน และองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำจืดจะเกินร้อยละ 40 ในปี 2030 และบางเมือง เช่น เคปเทาวน์ จะได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำ            

2.การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นทำให้โลกร้อนขึ้น

สภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และยังคงดำเนินต่อไป สาเหตุหลักจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมไปถึงการที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมและไม่มีสัญญาณว่าจะลดลง สำหรับอุณหภูมิคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสององศาก่อนปี 2100 ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อทรัพยากรโลก งานศึกษาของ Pricewaterhouse Coopers (PwC) ได้คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ภายในปี2036           

ผลกระทบ           

1.ได้ผลิตมากขึ้น

เพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุตสาหกรรมการเกษตรต้องปรับตัวโดยใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตให้น้อยลง โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มีผลผลิตมากขึ้น เทคโนโลยีช่วยตรวจจับเซ็นเซอร์และสเปรย์สามารถลดการใช้สารกำจัดวัชพืชได้ถึงร้อยละ 95 โดย McKinsey กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ร้อยละ 20-40 ที่ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-15 ภายในปี 2025            

2.เปลี่ยนจากน้ำมันเป็นพลังงานสะอาด

การใช้พลังงานที่ยั่งยืนมีความสำคัญมากกว่าการใช้พลังงานถ่านหิน และมีการเปลี่ยนแปลงในการบริโภคสินค้า แต่การเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงกระทำ            

3.การลดลงของการใช้คาร์บอน 

การกำหนดภาษีรถยนต์กำหนดโดยการใช้ลักษณะเครื่องยนต์ ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 จะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทน ขณะที่รถยนต์ไร้คนขับยังคงเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับคันแรกในปี 2021

Megatrend 3 : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

ขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเข้าสู่การปฏิวัติดิจิตอล Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหารสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) กล่าวว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์เป็นศูนย์กลางของ Megatrends ทั้งหมด             

1.ก้าวของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีมีผลกระทบกับอุตสาหกรรม มีแนวโน้มว่าคนจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร เนื่องจากเครื่องจักร หุ่นยนต์ และ AI สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่ามนุษย์            

2.ข้อมูลคือแหล่งน้ำมันใหม่

ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดได้ว่าจะมีประสิทธิภาพเพียงใด Jack Ma ผู้ก่อตั้งและประธานบริหารอาลีบาบา ได้เปรียบเทียบข้อมูลกับการค้นพบกระแสไฟฟ้า เขากล่าวว่า “โลกกำลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของข้อมูลภายในปี 2025” จำนวนข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า

3.ระบบอัตโนมัติ

ในระบบอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น งานบางอย่างจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ร้อยละ 60 ของการประกอบอาชีพจะมีอย่างน้อยร้อยละ 30 ของงานถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร แต่ทั้งนี้มนุษย์สามารถเรียนรู้และควบคุมระบบของเครื่องจักรได้                

ผลกระทบ           

1.IOT เชื่อมต่อกับการใช้ชีวิต

ภายในปี 2020 โลกจะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตมากขึ้น รถยนต์ เครื่องชงกาแฟ เครื่องทำความเย็น ความร้อนสามารถควบคุมได้โดยแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน การ์ตเนอร์ได้ประเมินว่าในปี 2014 7 พันล้านสิ่งจะสามารถเชื่อมต่อด้วยอินเตอร์เน็ต และภายในปี 2020 จะเพิ่มเป็น 26 พันล้าน

2.ปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพผ่านหุ่นยนต์และ AI
หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะถูกใช้งานมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลง ประชาชนจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี ในขณะเดียวกันการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และค่าขนส่งจะลดลง

3.การปรับปรุงด้านสาธารณสุข
ประชากรจะมีอายุยืนมากขึ้น เป็นผลจากการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลด้านสุขภาพ พัฒนาวิธีการรักษาโรคให้ผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระยะยาวที่สาธารณสุขที่ต้องคิดกันต่อไป

Megatrend 4 : เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในเอเชียมากกว่า 65 ประเทศซึ่งมีประชากรมากกว่าในสหรัฐฯ ภายในปี 2042 จะมีมากกว่า 65 ประเทศในเอเชียจะมีประชากรมากกว่าในโซนยุโรป และอเมริกาเหนือ การเปลี่ยนแปลงของประชากรโลก (ประชากร, เชื้อชาติ ระดับการศึกษาและด้านอื่นๆ ของประชากร) จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายและโอกาสสำหรับภาครัฐและภาคเอกชน  Megatrend สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปตามภูมิภาคจะมีผลกระทบต่อท้องถิ่นและตลาดโลกและสังคม            

1.ประชากรยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ตามที่องค์การสหประชาติได้คาดการณ์ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 พันล้านคนภายในปี 2030 กับการเติบโตของตลาด และภายในปี 2050 องค์การสหประชาชาติประมาณการว่าร้อยละ 80 ของประชากรโลกที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา

2.ประชากรมีอายุยืน

ร้อยละ 30 ของประชากรในประเทศญี่ปุ่นมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปี เช่นเดียวกับจีนที่ปัจจุบันมีประชากรอายุกว่า 80 ปี ประมาณ 29 ล้านคน และภายในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ล้านคน รายงานข้อมูลประชากรขององค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดกับอีก 55 ประเทศ การที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลครอบคลุมบริการด้านสุขภาพ รวมถึงบริการด้านอื่น ๆ  หลายประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุขเพื่อให้แน่ใจว่าผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

3.จำนวนเด็กน้อยลง

สังคมเปลี่ยนแปลงทำให้คนมีการศึกษาแต่งงานน้อยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง สิ่งนี้ส่งผลต่อธุรกิจรวมถึงผลผลิตที่ลดลง การมีส่วนร่วมของแรงงานน้อยลง คนรุ่นใหม่จะมีภาระมากขึ้นอันเป็นผลจากความคาดหวังจากผู้สูงอายุ           

ผลกระทบ           

1.ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพในสหรัฐฯ ค่าใช้จ่ายในการดูแลด้านสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 8 ของจีดีพีในแต่ละปี โดยนับตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงปี 2040 สหรัฐฯต้องใช้เงินประมาณ 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี  จากการวิเคราะห์ของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่าช่องว่างระหว่างการออมเพื่อการเกษียณใน 8 ประเทศใหญ่กำลังเติบโต 28 พันล้านเหรียญสหรัฐทุกๆ 24 ชั่วโมงและจะสูงถึง 400 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯภายในปี 2050 คิดเป็น 5 เท่าของเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน โดยจะมุ่งเน้นการออมหลังเกษียณและการหาวิธีเพิ่มรายได้หลังเกษียณอีกด้วย เป็นผลให้อาจมีความต้องการในการได้รับความช่วยเหลือทางการเงิน ตลอดจนคำแนะนำเพิ่มมากขึ้น            

2.หุ่นยนต์จะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเมื่อประชากรอายุยืนยาวมากขึ้น มีแนวโน้มจะใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์มีประสิทธิภาพมากขึ้น (หุ่นยนต์ไม่หลับ ไม่ป่วย แต่ต้องการทักษะมากขึ้น) เป็นผลให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสำคัญ อาทิ นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล             

3.ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมอาหาร

ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคมากขึ้น ใส่ใจในอาหารและผลิตภัณฑ์ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของอาหาร ตัวอย่างเช่น อาหารออร์แกนิกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 224 จากปี 2005 ถึงปี 2016 อาหารสดใหม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นที่ต้องการมากกว่าอาหารแปรรูป เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของอะโวคาโดและผลเบอร์รี่ นอกจากนี้จากการที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นส่งผลให้มีการใช้บริการสั่งอาหารทางออนไลน์มากขึ้น  

Megatrend 5 : การกลายเป็นมหานครอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันประชากรมากกว่าครึ่งโลกอาศัยอยู่ในเขตเมือง และในปี 2030 ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านคน การขยายตัวของเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบทวีปแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในปี 1990 มีเพียง 10 เมืองในโลกที่มีประชากรเกิน 10 ล้านคนซึ่งเรียกว่า “มหานคร” วันนี้จำนวน “มหานคร” ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3 เท่า ส่วนใหญ่ประชากรจะเพิ่มขึ้นในเมืองและเมืองใหญ่ใกล้เมืองหลวง สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของประชากรเหล่านี้นำไปสู่โอกาสและความท้าทายสำหรับสังคม ความต้องการของประชากรเมืองในอนาคตจะแตกต่างกับในปัจจุบัน เนื่องจากในอนาคตประชาชนต้องการการเชื่อมต่อกับทุกสิ่ง และทุกอุปกรณ์ การเชื่อมต่อไร้สายจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในเมือง            

1.การอพยพเข้าเมืองหลวง

ประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าเขตชนบท และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในปี 1950 ประชากรของโลกร้อยละ 30 อาศัยอยู่ในเมือง และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 ภายในปี 2050

2.ความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง

ในสหรัฐฯ พื้นที่ชนบทมีสัดส่วนแพทย์ 39.8 คน ต่อหนึ่งแสนคน เทียบกับแพทย์ในเขตเมืองมี 53.3 คน ต่อหนึ่งแสนคน การกระจายแพทย์ที่ไม่เท่าเทียมกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชากร ด้วยการดูแลสุขภาพที่ดีและรวดเร็วจึงเป็นแรงจูงใจให้ประชากรนิยมโยกย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในเขตเมือง  ขณะเดียวกัน ในเขตเมืองมีค่าตอบแทนในการจ้างงานที่ดี มีการศึกษา การเข้าสังคม และวัฒนธรรมที่ดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอีกแรงดึงดูด อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจเติบโตได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีน รายได้ของประชากรในเมืองได้มากกว่าสองเท่าของชนบท             

ผลกระทบ           

1.เมืองอัจฉริยะ

เมืองต่างๆ ได้รับแรงสนับสนุนจากประชากรสมัยใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและการบริการ การย้ายถิ่นฐานแสดงออกถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการใหม่ๆ โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและเครือข่ายต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการใช้ยานพาหนะของประชากรเพิ่มมากขึ้น            

2.การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย

จากความหนาแน่นของประชากรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพต้องได้รับการพัฒนา เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากร โรงพยาบาลแบบดั้งเดิมจะต้องเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีทดแทน และเนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองสูงกว่าชนบท รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเฝ้าระวังในระดับสูง การเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นหมายถึงทุกกิจกรรมจะต้องถูกบันทึกและตรวจสอบได้

3.การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่เปลี่ยนไป รถยนต์ โรงจอดรถ บ้านหลังใหญ่ ปัจจัยเหล่านี้จะมีความต้องการแตกต่างกันเมื่อต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ ผลิตภัณฑ์ต้องมีขนาดเล็กลง ความต้องการพื้นที่และการจัดเก็บลดลง อาหารจะสั่งผ่านดิลิเวอรี่เพื่อความรวดเร็ว วัฒนธรรมหมู่บ้านหายไปการรู้จักเพื่อนบ้านน้อยลงกลายเป็นสังคมเมือง ทรัพยากรจะถูกใช้ร่วมกัน เกิดเป็นพฤติกรรมกลุ่มรูปแบบใหม่   

 

Peter, Fisk. (2019, December) Retrieved fromhttps://www.thegeniusworks.com/2019/12/mega-trends-with-mega-impacts-embracing-the-forces-of-change-to-seize-the-best-future-opportunities/

ชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน G Suite for education

แนะนำบริการ G Suite for Education

G Suite for Educatin ชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน เปิดให้ใช้บริการฟรีสำหรับโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา

จุดเด่นของบริการ G Suite for Education

  • เป็นบริการฟรีทั้งหมด มีคุณลักษณะเทียบเท่า G Suite for Business
  • มี email ในโดเมนของหน่วยงานเอง เช่น xxx@school.edu
  • สามารถใช้ Gmail, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides, Google Form และ Google Classroom และอื่นๆ ร่วมกันได้
  • มีพืนที่เก็บข้อมูลไม่จำกัด
  • ไม่มีโฆษณา
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในระดับสูง
  • ใช้ได้ในอุปกรณ์ทุกประเภท

บริการหลักของ G Suite for Education

Gmail

บริการ email ภายใต้โดเมนของสถานศึกษา ให้บริการพื้นที่ไม่จำกัด รับส่ง email อย่างปลอดภัยกับสมาชิกในชั้นเรียน

Google Drive

จัดเก็บและส่งต่อให้เพื่อนร่วมชั้นได้ง่าย และเข้าถึงได้จากอุปกรณ์ทุกชนิด

Google Sheets Docs Slides

เครื่องมือสร้างและแก้ไขเอกสาร ที่ผุ้ใช้หลายคนสามารถทำงาร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้อัติโนมัติ

Google Forms

เครื่องมือสร้างแบบฟอร์ม แบบทดสอบ และแบบสำรวจเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์คำตอบ

Google Sites

เครื่องมือสร้างเว็บใช้งานง่ายสำหรับการสร้างเว็บไซต์ จัดเก็บข้อมูลหลักสูตร สร้างทักษะการพัฒนา และช่วยให้นักเรียนได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด

Classroom

Classroom เป็นผลิตภัณฑ์ใน G Suite for Education ซึ่งประกอบด้วย Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides และอื่นๆ อีกมากมาย โดย Classroom จะทำงานร่วมกับ G Suite for Education เพื่อให้ผู้สอนและนักเรียนสามารถสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย

วิธีใช้งานเครื่องมือ

การเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือของ G Suite for education แต่ละชนิดนั้น ทุกท่านสามารถศึกษาได้ที่ https://oer.learn.in.th/event/event_media/31#top  

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญนานาชาติรวม 25 คนเข้าไปในจีน และต่อไปนี้ก็คือ ข้อสรุปหลักๆ ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้หลังจากปฏิบัติงานผ่านไป 9 วัน

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญนานาชาติรวม 25 คนเข้าไปในจีน และต่อไปนี้ก็คือ ข้อสรุปหลักๆ ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้
หลังจากปฏิบัติงานผ่านไป
9 วัน

แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์, ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
[ต้นฉบับภาษาอังกฤษเข้าถึงที่ https://www.reddit.com/r/China_Flu/comments/fbt49e/the_who_sent_25_international_experts_to_china/?utm_medium=android_app&utm_source=share]
การแปลครั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์สาธารณะ ในการทำความเข้าใจกับการระบาดของโรคโควิด-19
ที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยเช่นกัน เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจในประชาชนไทยในวงกว้าง]

ดาวน์โหลดเอกสาร


ทีมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ 25 คน ที่องค์การอนามัยโลกส่งเข้าไปสืบสวนสถานการณ์ในจีน สรุปว่า

  • กรณีส่วนใหญ่ (78-85%) เกิดจากการติดต่อกันในครอบครัวจากละอองเสมหะ (droplet) ไม่ใช่จากการกระจายจากละอองลอย (aerosol) เป็นหลัก
  • ส่วนใหญ่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ติดเชื้อ (จากทั้งหมด 2,055 คน) ติดเชื้อจากที่บ้าน หรือไม่ก็ติดเชื้อจากการระบาดในช่วงแรกที่ยังไม่มีการประกาศมาตรการรับมือโรค
  • ราว 5% ของคนที่วินิจฉัยว่าป่วย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อีก 15% ต้องใช้ออกซิเจนเข้มข้นสูง
  • ช่วงการฟื้นตัวโดยเฉลี่ยราว 3–6 สัปดาห์ สำหรับรายที่อาการหนัก และ 2 สัปดาห์สำหรับราย
    ที่ป่วยไม่มาก
  • จำนวนผู้ป่วยและช่วงเวลาที่ใช้รักษาเป็นภาระหนักเกินกว่าระบบที่อู่ฮั่นรองรับได้ จังหวัดหูเป่ย เมืองหลวงมณฑลอู่ฮั่นมีผู้ป่วยราว 65,596 คน (ข้อมูลวันที่ 2 มี.ค. 2563)
  • มีการส่งคนไปช่วยรับมือที่หูเป่ยราว 40,000 คน ในอู่ฮั่นมีโรงพยาบาล 45 แห่งที่ใช้รองรับผู้ป่วย โดย 6 แห่งรองรับผู้ป่วยขั้นวิกฤติ และอีก 39 แห่งรองรับผู้ป่วยหนัก โดยเฉพาะกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี
  • มีการสร้างโรงพยาบาลสนามขนาด 2,600 เตียงอย่างรวดเร็ว
  • ผู้ป่วยราว 80% มีอาการไม่หนัก มีโรงพยาบาลชั่วคราว 10 แห่งที่ปรับใช้จากการดัดแปลงยิมเนเซียมและห้องจัดแสดงนิทรรศการ
  • ขณะนี้ จีนผลิตชุดตรวจโรคโคโรนาไวรัสใหม่นี้ ราว 6 ล้านชุด/สัปดาห์ โดยรู้ผลการตรวจได้ในวันเดียว ใครที่มีไข้และไปพบแพทย์ จะได้รับการตรวจเบื้องต้นด้วยชุดตรวจนี้ ในเมืองกวางตุ้งที่ห่างจากอู่ฮั่น ได้ทดสอบกับคนไปแล้วรวม 320,000 คน และมี 0.14% ที่ตรวจแล้วพบไวรัส
  • คนส่วนใหญ่ที่ได้รับเชื้อ มักจะมีอาการในที่สุด แม้ว่าจะช้าเร็วต่างกัน ในกรณีที่ตรวจพบไวรัสแต่ยังไม่มีอาการนั้น หายาก และส่วนใหญ่จะป่วยในอีกสองสามวันต่อมา
  • อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ มีไข้ (88%) ไอแห้งๆ (68%) ไม่มีเรี่ยวแรง (38%) ไอแบบมีเสมหะ (33%) หายใจลำบาก (18%) เจ็บคอ (14%) ปวดหัว (14%) ปวดกล้ามเนื้อ (14%) หนาวสั่น (11%) อาการที่พบน้อยลงมาหน่อยคือ คลื่นไส้และอาเจียน (5%) คัดจมูก (5%) และท้องเสีย (4%)
  • อาการที่ไม่ใช่สัญญาณโรคของโควิด-19 คือ น้ำมูกไหล
  • จากการตรวจสอบคนจีนที่ติดเชื้อรวม 44,672 คน มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 4%
  • อัตราการเสียชีวิตขึ้นเป็นอย่างมากกับ อายุ, สภาพร่างกายก่อนติดเชื้อ, เพศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบสุขภาพที่รับมือโรค
  • ตัวเลขการเสียชีวิตนับจนถึงวันที่ 17 ก.พ. ทุกรายสะท้อนผลระบบสุขภาพที่ใช้รับมือของจีน ซึ่งจะต่างออกไปเป็นอย่างมากในอนาคต สำหรับที่อื่นๆ
  • ระบบสุขภาพของจีน: คนที่ติดเชื้อในจีนราว 20% ต้องการการรักษาที่โรงพยาบาลนานหลายสัปดาห์ จีนมีโรงพยาบาลเพียงพอจะใช้รักษาประชากรได้ 4% ของทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มีศักยภาพราว 0.1–1.3% และเตียงส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีผู้ป่วยโรคอื่นใช้อยู่แล้ว
  • วิธีการรับมือที่สำคัญแรกสุดที่จะช่วยป้องกันการกระจายของไวรัสได้อย่างชะงัด คือทำให้จำนวนผู้ป่วยหนักโรคนี้มีจำนวนน้อย และขั้นตอนสำคัญรองลงมาคือ การเพิ่มจำนวนเตียง (รวมทั้งวัสดุและบุคลากร) จนกว่าจะมีเพียงพอสำหรับผู้ป่วยหนัก
  • จีนทดสอบการรักษาด้วยวิธีการที่หลากหลายกับโรคที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก และนำวิธีการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดไปใช้ทั่วประเทศ ด้วยวิธีการตอบสนองเช่นนี้เอง ที่ทำให้อัตราการตายลดลงกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
  • สภาพร่างกายก่อนการติดเชื้อ: อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อที่มีโรคระบบหลอดเลือดหัวใจในจีนคือ 2% ขณะที่สำหรับคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (เบาหวานที่ไม่ควบคุม) อยู่ที่ 9.2% และ 8.4% สำหรับโรคความดันสูง, 8% สำหรับโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และ 7.6% สำหรับโรคมะเร็ง
    คนที่ไม่มีอาการป่วยใดๆ ก่อนติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตที่
    1.4%
  • อายุ: ยิ่งอายุน้อย ก็ยิ่งติดเชื้อยาก และแม้จะติดเชื้อ ก็จะป่วยไม่หนักเท่ากับผู้ที่อายุมากกว่า

อายุ (ปี)

% ของประชากร

% ของการติดเชื้อ

อัตราการเสียชีวิต

0-9

12.0%

0,9%

0 as of now

10-19

11.6%

1.2%

0.1%

20-29

13.5%

8.1%

0.2%

30-39

15.6%

17.0%

0.2%

40-49

15.6%

19.2%

0.4%

50-59

15.0%

22.4%

1.3%

60-69

10.4%

19.2%

3.6%

70-79

4.7%

8.8%

8.0%

80+

1.8%

3.2%

14.8%

คำอธิบายตาราง: จากคนที่อาศัยในจีน, มี 13.5% ที่อายุระว่าง 20-29 ปี จากจำนวนผู้ติดเชื้อในจีน มี 8.1% ที่อยู่ในอายุกลุ่มนี้ (แต่ไม่ได้หมายความว่า มี 8.1% ของคนอายุ 20-29 ปีที่ติดเชื้อ) นี่หมายความว่า มีแนวโน้มที่ใครก็ตามที่มีอายุในช่วงนี้ จะมีโอกาสติดเชิ้อค่อนข้างต่ำกว่าเฉลี่ย และในกลุ่มอายุนี้ที่ติดเชื้อจะเสียชีวิต 0.2%

Continue reading “องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญนานาชาติรวม 25 คนเข้าไปในจีน และต่อไปนี้ก็คือ ข้อสรุปหลักๆ ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้หลังจากปฏิบัติงานผ่านไป 9 วัน”

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 10 เดือน ตุลาคม 2562

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 10 เดือน ตุลาคม 2562

การประชุมทีมประเทศไทยเพื่อติดตามสถานะความก้าวหน้าของสหราชอาณาจักร ประจำปี 2562

การประชุมทีมประเทศไทย ในสหราชอาณาจักร (เต็มคณะ) ประจำปี 2562 ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2562 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน โดยมีข้อหารือต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นการหารือถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการที่สหรราชอาณาจักรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) นอกจากนี้ยังได้เข้าพบปะผู้บริหารท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์เพื่อรับฟังความการบรรยายถึงความก้าวหน้าและแผนการพัฒนาท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์ ตลอดจนการหารือถึงโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทย และสหราชอาณาจักร โดยใช้เมืองแมนเชสเตอร์เป็นฐานทางเหนือของสหราชอาณาจักร และได้เยี่ยมชมศูนย์หัตถกรรมและการออกแบบแมนเชสเตอร์ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้สำหรับการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าฝีมือพื้นเมืองของประเทศไทยได้

ความสำคัญด้านวทน. ของเมืองแมนเชสเตอร์

การปฏิวัติในทางอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักรและของโลกเกิดขึ้นครั้งแรกที่เมืองแมนเชสเตอร์ทำให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก และทำให้แมนเชสเตอร์เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสิ่งทอในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีการคิดค้นและนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาใช้ในอุตสาหกรรม เมืองแมนเชสเตอร์ยังมีความสำคัญและมีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของโลก เริ่มตั้งแต่การค้นพบอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ในเมืองนี้ และล่าสุดคือการค้นพบกราฟีนซึ่งเป็นวัสดุที่ประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนเป็นโครงสร้างตาข่ายหกเหลี่ยมคล้ายรังผึ้งโดย 2 นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้รพบกราฟีนซึ่งเป็นวัสดุมหัศจรรย์ เนื่องจากมีความแข็งแกร่งทนทานมากกว่าแหล็กกล้าหลายร้อยเท่ามีความยึดหยุ่นสูง สามารถนำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงหลายเท่า อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานเป็นวัสดุในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างกว้างขวางในอนาคต

การศึกษาดูงาน ณ Manchester Craft and Design Centre (MCDC)

Manchester Craft and Design Centre (MCDC) ก่อตั้งขึ้นโดยความริเริ่มของ Manchester City Council เมื่อปี 2516 ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า Manchester Craft Village เพื่อส่งเสริมการรวมตัวของช่างฝีมือในลักษณะสหกรณ์ โดยพัฒนาตลาดปลาที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งสภาเมืองให้ช่างฝีมือเช่าพื้นที่ในราคาถูกเพื่อดำเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการ และจำหน่ายสินค้า มีทีมบริหารที่มีหัวคิดก้าวหน้าโดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตามโอกาสและเทศกาลต่างๆ  ในปี 2544 Manchester Craft Village เปลี่ยนชื่อเป็น Manchester Craft and Design Centre และปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานจากสหกรณ์มาเป็นบริษัทจำกัดที่ไม่แสวงหาผลกำไร นอกจากนี้บริษัทได้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของ MCDC เพื่อให้บุคคลภายนอกสามารถเช่าเพื่อจัดกิจกรรมเกี่ยวกับงานหัตถศิลป์ต่างๆ อีกด้วย ในปี 2556 MCDC ได้เริ่มการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ช่างฝีมือมีพื้นที่ตลาดจำหน่ายสินค้าและสามารถผลิตงานฝีมือที่เป็นเอกลักษณ์

การศึกษาดูงาน ณ ท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์

Manchester Airport Group (MAG) เป็นบริษัทที่บริหารท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์ ซึ่งดูแลท่าอากาศยานอีก 2 แห่ง ได้แก่ London Stansted Airport ชานกรุงลอนดอน และ East Midlands Airport เมืองดาร์บี้ ท่าอากาศยานแมนเชสเตอร์มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 รองจากท่าอากาศยานฮีทโรว์และท่าอากาศยานแกตวิค ชานกรุงลอนดอน ให้บริการผู้โดยสารประมาณ 29 ล้านคนต่อปี มีเที่ยวบินไปยังเมืองต่างๆ 234 แห่ง ในขณะที่ท่าอากาศยานฮีทโรว์มีเที่ยวบินไปยังเมืองต่างๆ 232 แห่ง โดยเมืองแมนเชสเตอร์มีโครงข่ายการคมนาคมที่เชื่อมโยงกับเมืองอื่นๆ ทั่วสหราชอาณาจักร จึงนับว่าอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้โดยสาร ทั้งกลุ่มธุรกิจ นักศึกษา ประชาชนทั่วไปในแถบ Midlands ซึ่งสามารถเชื่อมไปถึงสกอตแลนด์และตอนเหนือของเขตปกครองเวลส์ด้วย

ความสำคัญด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของเมืองแมนเชสเตอร์

แมนเชสเตอร์ได้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางและเขตเศรษฐกิจทางภาคเหนือของประเทศ (Northern Powerhouse) ที่มีความสำคัญและเป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร และยุทธศาสตร์ Northern Powerhouse Strategy 2016 โดยใช้จุดแข็งด้านอุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิมและ สนับสนุนการพัฒนาโครงข่ายด้านคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ และต่างประเทศ เมืองแมนเชสเตอร์เป็นที่ตั้งของบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง และมีท่าอากาศยานนานาชาติ

สถานะด้าน วทน. ของสหราชอาณาจักร

สาขาที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญประกอบด้วย การแพทย์ เภสัชศาสตร์และสุขภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ นาโนเทคโนโลยี พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ สภาวิจัยแห่งราชอาณาจักร (Research Councils UK, RCUK) ได้เสนอ 8 เทคโนโลยีแห่งชาติที่จะใช้ในการขับเคลื่อนให้สหราชอาณาจักรเติบโตและพัฒนาขึ้นเป็นผู้นำของโลก ประกอบด้วย วัสดุขั้นสูง (Advanced materials) วิทยาศาสตร์การเกษตร (Agri-science) การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน (Energy storage) เวชศาสตร์การฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative medicine) ระบบหุ่นยนต์และอัตโนมัติ (Robotics and autonomous systems) เทคโนโลยีดาวเทียมและการประยุกต์ เทคโนโลยีอวกาศไปใช้เชิงพาณิชย์ (Satellites and commercial applications of space) และ ชีวสังเคราะห์ (Synthetic biology) สำหรับอุตสาหกรรมที่สหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ คือด้านอากาศยานและระบบการบินอัตโนมัติ

สถานะทางระบบอุดมศึกษาของสหราชอาณาจักร

ในปัจจุบันมหาวิทยาลียหลายแห่งในสหราชอาณาจักรเริ่มจัดตั้งส่วนที่บริหารงานแบบภาคเอกชนโดยมีห้องปฏิบัติการ ห้องประชุม และพื้นที่สำนักงานให้เช่า โดยอนุญาตให้ผู้เช่าสามารถใช้เครื่องมือและอุปกรณ์จากห้องปฏิบัติการได้ เพื่อส่งเสริมการทำวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสร้างรายได้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนหลังจากที่สหราชอาณาจักรจะได้รับเงินทุนสนับสนุนการวิจัยน้อยลง เพราะสหราชอาณาจักรจะไม่มีสิทธิในกองทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปหลังจาก Brexit ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Imperial College มีการจัดตั้ง Imperial White City Incubator เพื่อส่งเสริมการต่อยอดเชิงพาณิชย์ของงานวิจัย ในขณะที่มหาวิทยาลัย Newcastle ได้จัดตั้งแพลตฟอร์ม Newcastle Helix ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อหลายๆ ภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เข้ามาทำงานร่วมกันในการรังสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินงานในลักษณะนี้จะเป็นประโยชน์กับนักศึกษาไทยในระดับชั้นปริญญาเอกที่กำลังศึกษาในสหราชอาณาจักร ที่จะได้มีโอกาสร่วมทำวิจัยกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนที่สามารถนำผลงานไปประยุกต์ใช้ได้จริง

โครงการ Human Brain Project

เป็นหนึ่งในโครงการเรือธงของสหภาพยุโรป ที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาบูรณาการใช้ร่วมกับศาสตร์ด้านประสาทด้านวิทยาศาสตร์และประสาทวิทยา เพื่อให้เข้าใจถึงการทำงานของสมองมนุษย์และการทำงานของเทคโนโลยีในสาขาวิชานี้ได้ดียิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างประโยชน์ซึ่งกันและกันระหว่าง 2 สาขาวิชา อย่างแรกคือ การใช้วิทยาการขั้นสูงด้านสารสนเทศและการสื่อสารในงานประสาทวิทยาศาสตร์ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมองและโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองได้ดียิ่งขึ้น สองคือการนำองค์ความรู้ด้านชีววิทยามาพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสาร

ผลงานจากโครงการ Human Brain Project

โครงการ Human Brain Project ได่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอิวีการประยุกต์ใช้เทคโนลีด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างคือ การทำแบบจำลองสมองที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละบุคคลเพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงการผ่าตัดคนไข้โรคลมชัก (Epilepsy) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของร่างกาย จำทำให้เกิดอาการชัก โดยมีแผนจะทดสอบเทคโนโลยีนี้ทางคลินิกกับผู้ป่วยจำนวน 400 ราย อีกหนึ่งผลงานคือการจัดทำแผนที่สามมิติของสมองมนุษย์ที่มีความละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โครงการ Human Brain Project ได้ศึกษาผ่านการทดลองในหนูและมนุษย์ ร่วมกับการใช้องค์ความรู้และทฤษฎีด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใน 6 สาขาด้วยกันคือ ประสาทสารสนเทศ การวิเคราะห์และคำนวณประสิทธิภาพสูง ระบบประมวลผลโดยใช้แนวคิดเลียนแบบสมอง หุ่นยนต์ประมวลสัญญาณประสาท และสารสนเทศการแพทย์

การวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในยุคของอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

การพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์อย่างรวดเร็วประกอบกับศักยภาพในการจัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเรียนรู้เชิงลึก (Deep learning) ของปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งการเรียนรู้เชิงลึกนำมาซึ่งข้อสงสัยที่ว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทันสมัยจะสอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลหรือไม่ ปัจจุบันการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญในการพัฒนาเข้าสู่ยุคดิจิทัล คือการเข้าถึงบุคคลากรที่ความสามารถเป็นเลิศ และทุนวิจัยก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการสรรสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก โดยการทำงานร่วมกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง และปัญญาประดิษฐ์ คือจะต้องมีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอในการผลักดันผลงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อออกสู่ตลาด แต่หนึ่งความท้าทายหลักในการถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูงจากมหาวิทยาลัยไปยังภาคอุตสาหกรรมในยุโรป คือการขาดความสัมพันธ์ระหว่างผู้คิดค้นนวัตกรรมกับนักลงทุน โดยสภานวัตกรรมยุโรป (European Innovation Council, EIC) สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสองภาคส่วนนี้ได้ เพื่อที่จะให้กระบวนการนำงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ดำเนินได้สะดวกยิ่งขึ้น


การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์


ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นมากมาย เช่น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ เครื่องแปลภาษา จนไปถึงการวินิจฉัยตรวจหาโรคมะเร็ง และการวิเคราะห์ระบบการจัดซื้อ โดยนักวิศวกรด้านปัญญาประดิษฐ์ต่างก็มีการพัฒนาความสามารถที่สูงขึ้นจนสามารถออกแบบวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งวิวัฒนาการของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั้นถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยหลัก
3 ประการดังนี้ การเข้าถึงข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ฮาร์ดแวร์ที่มีการประมวลผลด้วยความเร็วสูง (fast hardware) และอัลกอริทึมของการเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) ที่ทันสมัย
Artificial General Intelligence (AGI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไปเป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของปัญญาประดิษฐ์โดย AGI เป็นระบบเครื่องจักรฉลาดที่สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ มีความคิดอ่าน วิเคราะห์ข้อมูลและสามารถตอบโต้กับมนุษย์ทั่วไปได้ แต่ไม่สามารถมีอารมณ์และความรู้สึกในด้านละเอียดอ่อนอย่างที่คนทั่วไปมีได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ห่างจากการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ไปสู่ AGI อย่างมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจระบบสมองหรือการคิดของมนุษย์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการอธิบายการใช้วิจารณญาณหรืออารมณ์ที่แตกต่างกันไปใน
แต่ละบุคคล


ตัวอย่างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์


การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สำคัญ คือรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ
(self-driving car) ซึ่งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะถูกนำมาใช้ในการคาดคะเนถึงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สามารถคาดคะเนถึงการเคลื่อนที่ของคนที่เดินอยู่บนถนน ดังนั้นรถยนต์สามารถควบคุมทิศทางไม่ให้ไปชนกับคนเหล่านั้นได้  นอกจากนี้นักวิจัยยังสามารถพัฒนาอัลกอริทึม ซึ่งจะใช้ภาพที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปมาซึ่งเป็นภาพ 2 มิติมาสร้างเป็นแผนที่ 3 มิติ ณ สถานที่นั้นแบบ real time และด้วยเทคโนโลยีแบบเดียวกันนี้ ก็สามารถนำไปใช้ในแวดวงกีฬา โดยใช้สร้างภาพ 3 มิติของการเคลื่อนไหวของนักกีฬาเพื่อวิเคราะห์หาจุดเด่น จุดด้อย เทคโนโลยีถัดไป คือการระบุตำแหน่งพร้อมกับการสร้างแผนที่ (Simultaneous Localization and Mapping, SLAM) เป็นกระบวนการที่หุ่นยนต์จะสร้างแผนที่ของสภาพแวดล้อมในขณะที่กำลังเคลื่อนที่ และระบุตำแหน่งของตัวเองในเวลาพร้อมๆ กัน โดยที่หุ่นยนต์นั้นไม่มีข้อมูลของสิ่งแวดล้อมมาก่อน ซึ่ง SLAM นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับหุ่นยนต์ที่ต้องการการโต้ตอบแบบทันการณ์ ซึ่งนำไปพัฒนาเป็นหุ่นยนต์เคลื่อนที่แบบไร้คนควบคุมที่สามารถทำหน้าที่นำทางโดยใช้คอมพิวเตอร์วิทัศน์


โครงการทุนการศึกษาของสหภาพยุโรป “อีราสมุส พลัส”


เป็นโครงการที่ให้ทุกการศึกษาสำหรับนักศึกษาและนักวิชาการจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป รวมถึงประเทศไทย โดยทุนที่มอบให้นั้นเป็นทุนเต็มจำนวนครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่ค่าเดินทางไปจนถึงค่าที่พักและอาหาร ตลอดจนค่าเล่าเรียน และประกันต่างๆ และเป็นทุนให้เปล่าโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ โดยจุดมุ่งหมายของโครงการ คือ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และการศึกษาระหว่างประเทศ สร้างสัมพันธไมตรี และเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างประเทศได้มาศึกษาในสหภาพยุโรป และยังเปิดโอกาสในการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอันหลากหลายของยุโรปอีกด้วย


ประเภททุนการศึกษา


โครงการทุนการศึกษาของสหภาพยุโรป อีราสมุส พลัส สามารถแบ่งประเภทของทุนได้เป็น
3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ทุนการศึกษาสำหรับหลักสูตรปริญญาโทร่วม
ทุนแลกเปลี่ยนสำหรับศึกษาต่อ ทำวิจัย หรือ สอน
ทุนส่งเสริมความร่วมมือด้านนโยบาย

  ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200225-newsletter-brussels-no10-oct62.pdf