พลังวิทย์ ตอน น้ำยาทำความสะอาดคอยล์เย็นเครื่องปรับอากาศสูตรนาโนอิมัลชั่น

สวทช. ร่วมกับบริษัทแพ็ค คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด วิจัยและพัฒนาสูตรน้ำยาทำความสะอาดคอยล์เย็นของเครื่องปรับอากาศ ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่สะสมบนคอยล์เย็น สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกรวมทั้งคราบไขมัน ด้วยเทคนิคนาโนอิมัลชั่น ทำให้เกิดความคงตัว ไม่ตกตะกอนอุดตันหัวฉีด และสามารถเก็บไว้ได้นาน

โดยสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้ ไม่กัดกร่อนหรือทำลายแผงคอยล์เย็น และอุปกรณ์ปรับอากาศภายในเครื่อง อีกทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อตัวผู้ใช้ และไม่ปลดปล่อยสารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ องค์ประกอบของสูตรน้ำยาทำความสะอาดที่พัฒนาขึ้นนี้ ยังใช้วัตถุดิบที่หาซื้อได้ในประเทศ ช่วยลดต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบ และมีขั้นตอนการผลิตที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน

ติดตามรายการพลังวิทย์ทั้งหมดได้ที่ รายการพลังวิทย์ คิดเพื่อคนไทย

งานวิจัยที่ร้อนแรงที่สุดในปี 2008

ตามธรรมเนียมปฏิบัติในการตีพิมพ์บทความวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทุกๆ บทความต้องมีการอ้างอิงบทความวิจัยก่อนหน้าเพื่อเป็นการแสดงถึงการยอมรับคุณค่า + การเชื่อมต่อของเนื้อหาเดิมที่ต้องใช้เป็นพื้นฐานเพื่อให้เกิดงาน ใหม่/สิ่งค้นพบใหม่

บริการ Science Watch (sciencewatch.com) ของ Thomson Reuters ทำการศึกษาแนวโน้มของการวิจัยวิทยาศาสตร์โดยใช้หลักการการวิเคราะห์ข้อมูล การอ้างอิงเป็นหลัก (citation analysis) ด้วยการติดตามแกะรอย (tracked) อย่างรอบคอบ พิถีพิถัน เพื่อตรวจนับวัดถึงความสำเร็จ/สำคัญของงานวิจัยที่ได้รับความสนใจ มีการอ้างอิงถึง แม้ว่าขณะนี้ข้อมูลการอ้างอิงมิใช่ตัวชี้วัดถึงความสำคัญของบทความเพียงค่าเดียว

สรุปผลระบุหัวข้อวิจัยที่ร้อนแรงจากสาขาวิชาหลักทางวิทยาศาสตร์ 4 สาขา ดังนี้

สาขาชีววิทยา (Biology) พบว่าหัวข้อวิจัยเรื่อง Cellular Autophagy มีจำนวนบทความสูงขึ้นตลอดมาตั้งแต่ปี 2004 ที่มีจำนวนบทความสูงขึ้นตลอดมาตั้งแต่ปี 2004 ที่มี 200 บทความในปี 2008 มีบทความสูงถึง 1000 เรื่อง โดยนักวิจัยทำการศึกษาค้นหาข้อเท็จจริงในการป้องกันเชื้อโรค + ความเติบโตของเชื้อโรค

สาขาแพทยศาสตร์ (Medicine) พบว่ามีงานวิจัยในหัวข้อ  Pluripotent Stem Cell มีความเข้มแข็งมาก เซลล์ประเภทนี้มีการค้นพบเมื่อปี 2006 ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญที่อาจช่วยให้นักวิจัยสามารถได้รับ Pluripotent Stem Cell ในการวิจัยโดยไม่ต้องใช้เซลล์ตัวอ่อน embryos

สาขาฟิสิกส์ (Physics)  หัวข้อการวิจัยที่ร้อนแรงที่สุดคือเรื่องวัสดุที่บางที่สุด  ( The thinnest material)  ที่ชื่อว่า Graphene ซึ่งประกอบด้วยชั้นโมเลกุลเดี่ยวของอะตอมคาร์บอน (Single molecular layer of carbon atoms) โดยมีการถูกนำไปใช้โดยบริษัท IBM ในการประดิษฐ์ field-effect transistors (FETs)

สาขาเคมี (Chemistry)  หัวข้อเรื่อง ตัวนำกระแสไฟฟ้ายิ่งยวดแบบแม่เหล็ก Iron based superconductors ได้เปิดเผย แสดงให้เห็นสมาชิก/สกุลใหม่ของสารประกอบตัวนำยิ่งยวดที่ในที่สุดในอนาคตอาจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่าน (transferring) และการกักเก็บ (storing) กระแสไฟฟ้าให้ดียิ่งขึ้นได้

นอกจากนี้ David ยังได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการทำนายรางวัลโนเบล Thomson Reuters Nobel Prize Prediction ที่มีการนำเสนอทุกปี และบทความงานวิจัยในวารสารต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาแล้วมีการจัดลำดับจาก modern classic เหมาะสมเป็น most cited articles David ใช้ข้อมูลหลักในการวิเคราะห์จาก Esential Science Indicators, ESI ทั้งจาก 2 หัวข้อคือ Hot Paper + Research Fronts ในสาขา Medicine/Molecular Bioloty/Physics/Chemistry

รายละเอียดเพิ่มเติม


เรียบเรียงโดย นางรังสิมา เพ็ชรเม็ดใหญ่ ศูนย์บริการความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี STKS สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ.

 

 

รายงานข้อมูลวิชาการอุตสาหกรรมเป้าหมายเรื่อง หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม จากเอกสารบทความวิจัยและสิทธิบัตร

ตามที่ประเทศไทยมีนโยบายผลักดัน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) จำนวน 10 คลัสเตอร์  ซึ่งอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics)  เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้บอกรับเป็นสมาชิกฐานข้อมูลวิชาการที่เป็นบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ ชื่อ Scopus ที่ครอบคลุมบทความวิจัยจากวารสารวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลก และฐานข้อมูลเอกสารสิทธิบัตรที่ครอบคลุมสำนักสิทธิบัตรทั่วโลกชื่อว่า Thomson Innovation ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือสามารถแสดงเป็นแผนที่ของข้อมูลชุดหนึ่งๆ ที่สนใจได้ เรียกว่า ThemeScape Map  ที่ช่วยให้ผู้สืบค้นสามารถสรุป ตีความ ข้อมูลเทคโนโลยีในเอกสารสิทธิบัตรจากทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจได้ง่าย

สวทช. ได้ใช้หลักการ Technology Readiness Level (TRL) เป็นเครื่องมือในการกำหนดแนวทางบริหารจัดการงานวิจัยและพัฒนา ซึ่งมี 9 ระดับ โดยที่ TRL1 คือ Literature Review : Basic Principle Observed and Reported ซึ่งเป็นงานที่ STKS สามารถปฏิบัติได้ พร้อมให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายวิจัยนโยบาย และฝ่ายกลยุทธ์องค์กร สวทช.

รายงานฉบับนี้ขอนำเสนอรายการบทความวิจัยและสิทธิบัตรของหัวข้อ “หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (Industrial Robot)” ที่ STKS สืบค้นจากฐานข้อมูล Scopus, Thomson Innovation และ Frost & Sullivan

บทสรุปจากรายงาน

ผลจากการสืบค้นเพื่อตรวจสอบผลงานการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) และผลงานด้านสิทธิบัตร(Patenting) ในระดับนานาชาติ จากฐานข้อมูลวิชาการระดับโลก สามารถสรุปได้ว่าทั่วโลกมีการทำวิจัยและยื่นขอจดสิทธิบัตรในหัวข้อเรื่อง หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (Industrial Robot) เพิ่มมากขึ้นตลอดมาตั้งแต่ในช่วงปี 2006 -2017 โดยประเทศจีน เป็นผู้นำการวิจัยสูงสุด จากหน่วยงานวิจัยคือ Harbin Institute of Technology, Beihang University, South China University of Technology เป็นต้น ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำการวิจัยลำดับที่สอง สาขาวิชาหลักในการวิจัยคือ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และพบว่าประเทศไทยมีศักยภาพงานวิจัยในเรื่อง หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม โดยพบผลงานวิจัยของสถาบันในไทย  เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น โดยที่ เนคเทค สวทช. มีบทความวิจัยในเรื่องนี้ด้วย

ส่วนสิทธิบัตรพบว่ามีการยื่นขอในประเทศสหรัฐอเมริกามากที่สุด บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรสูงสุดคือ Kuka Roboter GMBH ประเทศเยอรมนี ส่วนหัวข้อย่อย robot arm, tool measurement เป็นหัวข้อย่อยที่พบสูงสุดตามการวิเคราะห์กลุ่มคำ ตามลำดับ รวมถึงพบรายงานการวิเคราะห์แนวโน้มล่าสุดของปี 2016-2017 ของหุ่นยนต์เรื่องอุตสาหกรรม จากแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง Frost & Sullivan อีกด้วย

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม

หน่วยวัดคุณภาพงานวิจัย : Research Metrics

คำนำ และ ความหมาย (Definitions)

วงการวิจัยวิทยาศาสตร์ มีความต้องการวัดคุณภาพงานวิจัยวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับวงการอื่นๆ เพื่อให้ทราบถึงสถานภาพโดยรวม จุดแข็ง จุดอ่อน การเปรียบเทียบ ฯลฯ โดยเฉพาะผู้ให้ทุนวิจัย (Funder) ผู้บริหารองค์กรวิจัย (Research institutes) นักวิทยาศาสตร์ บรรณารักษณ์ ต่างต้องการให้สามารถทำการประเมินคุณภาพงานวิจัยในทุกๆระดับ คือ ระดับบทความวิจัย ระดับวารสารวิชาการ ระดับนักวิทยาศาสตร์ ระดับองค์กร ระดับประเทศ โดยให้มีวิธีการวัด หน่วยวัดที่ชี้ได้ถึง ความสมเหตุสมผลแสดงได้ถึงคุณภาพงานวิจัย เพื่อจะได้นำไปใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการและพัฒนาระบบงานวิจัยต่อไป และสามารถตรวจสอบหา Performance, Benchmarking & Collaboration ของระดับนักวิทยาศาสตร์ ระดับองค์กร ระดับประเทศได้ รวมถึงสำรวจหาแนวโน้ม (Trends) ของงานวิจัยในหัวข้อหนึ่งๆ ในระดับโลกได้อีกด้วย

การศึกษาเรื่องนี้มีชื่อว่า Bibliometrics หมายถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์และสถิติ คือการนับจำนวน สิ่งพิมพ์วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะบทความวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์ จำนวนการอ้างอิงผลงานวิจัย และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อเป็นการประเมินผลกระทบของคุณภาพงานวิจัย (ในภาษาไทยอาจมีชื่อว่า บรรณมาตร บรรณมิติ ดัชนีวรรณกรรม ดรรชนีวรรณกรรม)

Bibliometrics คือการศึกษาถึงวิธีการวัด (Measure) สารสนเทศ หรือข้อความชุดหนึ่ง มีพัฒนาการมายาวนานกว่า 40 ปี นับเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการประเมินงานวิจัย จัดอยู่ในสาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ สามารถนำไปประยุกต์ในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้มากมาย ( Bibliometrics, Scientometrics และ Informetrics ทั้ง 3 คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน)

วิธีการของ Bibliometrics สามารถค้นหาผลกระทบ (Impact) ได้ในทุกระดับ คือ ระดับบทความ (Paper) ระดับสาขาวิชา (Field) ระดับนักวิจัย (Researcher) ระดับสถาบัน (Institutes / Affiliations ) และระดับประเทศ (Country )

นอกจากนี้  Bibliometrics ยังมีการนำไปใช้เพื่อตรวจสอบถึงความสัมพันธ์ระหว่างการอ้างอิงของวารสารวิชาการ ข้อมูลการอ้างอิงถือว่ามีความสำคัญ ดัชนีการอ้างอิงฐานข้อมูล Web of Science ที่ผลิตโดยบริษัท Clarivate Analytics (เดิมคือบริษัท Thomson Reuters) และฐานข้อมูล Scopus ของสำนักพิมพ์ Elsevier B.V. มีฟังชั่นให้ผู้สืบค้นสามารถค้นบทความที่อ้างอิงกันไปมาได้ ดัชนีการอ้างอิงสามารถสื่อถึงความเป็นที่นิยม มีผลกระทบต่อบทความ ผู้แต่ง และวารสาร

Bibliometrics เป็น Truly Interdisciplinary Research มีกลุ่มหลักที่ศึกษา 3 กลุ่ม คือ

  1. Bibliometrics for Bibliometricians (เน้น Methodology หาวิธีการ เทคนิคต่าง ๆ ในการวัด)
  2. Bibliometrics for scientific disciplines (Scientific information) เป็นกลุ่มที่มีความสนใจกว้างขวางมากที่สุด มุ่งเน้นเนื้อหาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  3. Bibliometrics for Sciences Policy & Management (เป็นกลุ่มที่ศึกษาในระดับชาติ ภูมิภาค สถาบัน ด้วยการแสดงแบบเปรียบเทียบหรือพรรณา)

การประยุกต์ดัชนี Bibliometrics แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

  1. เชิงปริมาณ (Quantitative) ได้แก่ข้อมูล
    – จำนวนบทความ (No. of Publications) ตามชื่อนักวิจัย สถาบัน ประเทศ สาขาวิชา แบบรายปี เป็นต้น
    – จำนวนการได้รับการอ้างอิง (No. of Citations : Citing, Times Cited)
    – จำนวนที่มีผู้เขียนร่วม (No. Co-Authors)
    – จำนวนสิทธิบัตร (No. Patents) การยื่นขอจดสิทธิบัตรจากพลเมืองตนเองหรือต่างชาติ
  2. เชิงความสัมพันธ์ (Relation)
    – ดัชนีผลงานตีพิมพ์ร่วมกัน (ความเป็นนานาชาติ)
    – ดัชนีเชื่อมโยงจากบทความอ้างอิง (หาคำตอบประเทศใดอ้างอิงถึงประเทศใดบ้าง)
    – ดัชนีสัมพันธ์บทความวิชาการกับเอกสารสิทธิบัตร
    – ดัชนีอ้างอิงบทความร่วมกัน (วัดหาการอ้างอิงจากหลายบทความไปยังบทความเดียวกัน) ฯลฯ

หน่วยงานผู้ให้ทุนวิจัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีระบบบริหารจัดการการให้ทุนวิจัย รวมถึงมีระบบติดตามผลงานและผลกระทบ (Impact) จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ เช่น Web of Science, Scopus, SciVal, InCites ฯลฯ เพื่อให้สามารถเห็นภาพรวมและกำหนดทิศทางการสนับสนุนทุนวิจัยในมิติต่างๆ ได้เช่น การวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งทางการวิจัย วิเคราะห์หาสาขาที่มีความชำนาญ หัวข้อวิจัยที่อยู่ในกระแสหลักระดับโลก หรือความต้องการของประเทศ ตลอดจนถึงการประเมินความสามารถของนักวิจัยรายบุคคล เป็นต้น เพื่อจะได้นำไปสู่การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการของหน่วยงาน ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์หาความร่วมมือทางด้านการวิจัยระหว่างองค์กร ระหว่างภูมิภาค ระหว่างประเทศ (Research Collaboration) หากพบว่าบทความวิจัยที่มีผู้แต่งร่วมอยู่ในสถาบันต่างประเทศที่มีความเข้มแข็งทางการวิจัย เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่น มีแนวโน้มจะได้รับการอ้างอิง (citation) สูง และเป็นผลงานวิจัยที่มีคุณภาพดี ควรให้การสนับสนุนให้ทุนวิจัยเพื่อเกิดความร่วมกัน

เครื่องมือ / แหล่ง (ฐาน) ข้อมูลที่เป็นข้อมูลดิบในการวัดและประเมินคุณภาพงานวิจัยวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญมีหลายแหล่งคือ

  • Web of Science – https://webofknowledge.com ให้ข้อมูลรายการบทความวิจัยและการอ้างอิง (แบบบอกรับเป็นสมาชิก)
  • Scopus – https://scopus.com ให้ข้อมูลรายการบทความวิจัยและการอ้างอิง (แบบบอกรับเป็นสมาชิก)
  • Google Scholar – https://scholar.google.co.th (ฟรี)
  • SciVal – https://www.scival.com แพลทฟอร์มที่สรุปภาพรวมของกิจกรรมการวิจัยทั่วโลก (แบบบอกรับเป็นสมาชิก)
  • InCites – https://incites.thomsonreuters.com/ แพลทฟอร์มที่สรุปภาพรวมของกิจกรรมการวิจัยทั่วโลก (แบบบอกรับเป็นสมาชิก)

หน่วยวัดคุณภาพงานวิจัย สามารถวัดได้ในหลายระดับ คือ

  • Article Metrics วัดระดับบทความวิจัยเป็นเรื่องๆ หรือ หัวข้อหนึ่งๆ เช่น Citation Tracking
  • Author Metrics วัดบทความวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชื่อหนึ่งๆ เช่น Number of Publications , h-index
  • Journal Metrics วัดคุณภาพวารสารวิจัยจากจำนวนการตีพิมพ์บทความและจำนวนการได้รับการอ้างอิง เช่น
    ค่า Impact Factor, IF
    ค่า Eigenfactor
    ค่า CiteScore
    ค่า SNIP – Source Normalized Impact per Paper
    ค่า SJR – SCImago Journal Rankings
  • Institutional Metrics ตรวจสอบภาพรวมและแสดงหน่วยวัดขององค์กร ได้ที่ SciVal, InCites
  • Emerging Metrics หรือ Altmetrics ย่อมาจาก Alternative Metrics คือหน่วยวัดงานวิจัยที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคดิจิทัลได้แก่จำนวน page views, downloads, saves to social bookmarks, tweets, Facebook mentions, Wikipedia mentions จากแหล่งข้อมูลที่ให้บริการ ต่างๆ ทั้งแบบฟรีและบอกรับเป็นสมาชิก
    แหล่งฟรี เช่น Academia.edu, CiteULike, figshare, Peer Evaluation, ResearchGate
    แหล่งบอกรับเป็นสมาชิก เช่น ImpactStory, Publish or Perish, Altmetric.com, PlumX

อาจแบ่งประเภทของหน่วยวัดของงานวิจัยได้เป็น

Productivity Metrics เช่น Scholarly output, Output in Top Percentiles, Publication in Top Percentiles
Citation Impact Metrics เช่น Citation counts, Citation per publication, h-index
Collaboration Metrics เช่น Geographical
Disciplinarity Metrics เช่น Journal count, Journal category count
Usage Metrics เช่น View count, Download count

วิวัฒนาการของการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการ  The Evolution of Journal Evaluation

ชุมชนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโลก ได้พึ่งพาสิ่งพิมพ์วิชาการโดยเฉพาะวารสารวิชาการ (Scholarly Journal ) ให้เป็นแหล่งตีพิมพ์ผลงานเพื่อเผยแพร่  โดยมีการนำเสนอความคิดใหม่ การทดลองใหม่ การค้นพบความรู้ใหม่ หรืออื่นๆ ได้ก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในสาขาวิทยาศาสตร์ทั่วโลก วารสารวิชาการส่วนใหญ่มีขนวบการ peer review  และเมื่อพูดถึงวารสารวิชาการที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด (most influential journals) นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างพูดทันทีถึงค่า Impact Factor, IF ที่ตีพิมพ์ในบริการชื่อ Journal Citation Report, JCR ของบริษัท Clarivate Analytics (ชื่อเดิม ISI Thomson Reuters) เป็นบริการที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี

ค่า IF คือ ค่าเฉลี่ยของจำนวนการได้รับการอ้างอิงของบทความในวารสารชื่อหนึ่ง ต่อ จำนวนบทความที่พิมพ์ก่อนหน้านั้น ในช่วง 2 ปี  JCR ออกบริการแบบรายปี และ JCR ชุดใหม่เริ่มมีการคิดค่า IF แบบช่วง 5 ปี ที่ผ่านมามีการนำค่า IF ไปใช้ในทางที่ผิด (misuse)  ซึ่งเป็นการกระทำที่สืบทอดกันมาจากรุ่นก่อนๆ ถือเป็นเรื่องน่ากลัว คือ มีการนำค่า IF ไปวัดถึงบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารรวมถึงวัดถึงผู้แต่งหรือ นักวิทยาศาสตร์อีกด้วย

การตัดสินคุณภาพของนักวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากยิ่ง ต้องในผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นเป็นผู้ประเมินด้วยขนวบการ peer review ประเมินคุณภาพในแต่ละบทความวิจัยโดยตรง

วิธีการคำนวณหาค่า IF คือวิธีการศึกษาในสาขา Bibliometrics ซึ่งมีคำจำกัดความดังนี้ “The statistical analysis of bibliographic data, mainly in scientific and technical literatures. It measures the amount of scientific activity in a subject category / journal / country/ topic or other area of interest. ”

นัก Bibliometrician มีการนำเสนอหน่วยวัดวารสารหลากหลายค่า เพื่อปรับปรุงแก้ไขตามคำวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียง กันในชุมชนวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อให้มีหน่วยวัดหลากหลาย ด้วยวิธีการที่อยู่บนหลักการของ จำนวนบทความ ( Number Publications) จำนวนการได้รับการอ้างอิง ( Number Citations) จำนวนการใช้ (Usag) และอื่นๆ มีการสรุปว่า ขณะนี้ ยังไม่มีหน่วยวัดที่สมบูรณ์ เพียงพอ ในการวัดถึงผลกระทบของวารสารที่แท้จริง ค่า IF เป็นเพียงผิวๆ / เส้นรอบวง (periphery) ของตาชั่ง

ขณะนี้ มีการนำเสนอหน่วยวัดคุณภาพวารสาร ชุดใหม่ ที่ชื่อ Eigenfactor ที่ทำการจัดอันดับวารสารวิชาการที่ทรงอิทธิพลด้วยวิธีการเดียวกับ Google จัดอันดับเว็บไซต์ ด้วยอัลกอธิธัมที่ชื่อ Network Theory ทำการจัดลำดับวารสารตามอิทธิพลหากมีการอ้างอิงบทความภายในเล่มในจำนวนมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ประวัติพัฒนาการของหน่วยวัด เพื่อประเมินคุณภาพวารสารวิชาการ มีมายาวนานกว่า 50 ปี 

ลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ (Timelines) ของการศึกษา Bibliometreics มีดังนี้

ปี ค.ศ. 1960 Dr. Eugene Garfield ได้นำเสนอแนวคิดในการนำข้อมูลการอ้างอิงมาวัดคุณภาพวารสาร โดยตีพิมพ์บทความในวารสาร Science เมื่อปี 1955
ปี ค.ศ. 1961 Dr. Eugene Garfield ก่อตั้งสถาบัน Institute for Science Information (ISI)
ปี ค.ศ. 1963 ISI เปิดบริการฐานข้อมูล Science Citation Index, SCI เสนอบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ที่มีข้อมูลการอ้างอิง
ปี ค.ศ. 1970 เกิดฐานข้อมูล Social Science Citation Index เป็นการนำเสนอบทความวิจัยสังคมศาสตร์ที่มีข้อมูลการอ้างอิง
ปี ค.ศ. 1976 เกิดบริการ Journal Citation Report, JCR นำเสนอค่า Journal Impact Factor, JIF
ปี ค.ศ. 1979 มีการตีพิมพ์วารสารชื่อ Scientometrics ขึ้นเป็นฉบับแรก
ปี ค.ศ.1980 เกิดฐานข้อมูล Arts & Humanities Citation Index เสนอบทความวิจัยมนุษยศาสตร์ที่มีข้อมูลการอ้างอิง
ปี ค.ศ. 1988 ISI เปิดบริการฐานข้อมูล SCI บน แผ่น CD-ROM
ปี ค.ศ. 1990 ISI นำเสนอข้อมูล Indicators Datasets & Citation Report
ปี ค.ศ. 1992 บริษัท Thomson Reuters เข้าซื้อกิจการและบริการของ ISI
ปี ค.ศ. 1995 Thomson Reuters เปิดบริการ ISI แบบเว็บเบส – ในชื่อ Web of Knowledge
ปี ค.ศ. 1997 Thomson Reuters ให้บริการออนไลน์ชุดใหม่ ชื่อ Web of Science – Core Collection
ปี ค.ศ. 2000 Thomson Reuters เปิดบริการ Essential Science Indicators, ESI
ปี ค.ศ. 2004 สำนักพิมพ์ Elsevier เปิดบริการฐานข้อมูล Scopus คู่แข่งของ Web of Science
ปี ค.ศ. 2005 Prof. Jorge E. Hirsch คิดค้นและเสนอหน่วยวัดคุณภาพงานวิจัย h- index
ปี ค.ศ. 2007 มีการเสนอหน่วยวัดคุณภาพงานวิจัย Eigenfactor Metrics
ปี ค.ศ. 2008 บริการ Web of Knowledge ได้เพิ่มหน่วยวัดค่า h-index ในฐานข้อมูล
ปี ค.ศ. 2008 Thomson Reuters ได้เพิ่ม Citation mapping tool ในฐานข้อมูล Web of Science
ปี ค.ศ. 2011 Thomson Reuters เปิดบริการใหม่ Book Citation Index
ปี ค.ศ. 2011 Google ประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Google Scholar Citations
ปี ค.ศ. 2014 เปิดบริการ InCites ในรุ่นที่ 2 ที่เป็นการรวมบริการเดิมคือ Essential Science Indicators และ Journal Citation Reports เข้ารวมในแพลทฟอร์มเดียวกัน
ปี ค.ศ. 2017 บริษัท Clarivate Analytics เข้าซื้อบริการฐานข้อมูล Web of Knowledge จากบริษัท Thomson Reuters

จนถึงขณะนี้ วงการวิจัยวิทยาศาสตร์ มีหน่วยวัด คุณภาพงานวิจัยวิทยาศาสตร์ หลายค่า ได้แก่

  1. Impact Factor, IF (Immediacy index, Cited half life)
  2. H index
  3. Eigenmetrics
  4. Usage Statistics (ขณะนี้มีการนำเสนอหน่วยวัดที่ชื่อ usage factor ซึ่งกำลังมีการพัฒนาอยู่ที่ Oxford University Press)
    จากหน่วยวัด 3 ค่าหลักข้างต้น ทุกๆหน่วยต่างก็ใช้ข้อมูลการอ้างอิง (citation count) เป็นสำคัญ

เหตุผลในการใช้ข้อมูลการอ้างอิง ในการวัด performance ของงานวิจัย คือ 

การอ้างอิงถึงบทความอื่นๆ หมายความว่ามีการใช้ (use) / เป็นการตอบรับ (reception) / เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ (utility) / การมีอิทธิพล (influence) / มีความสำคัญ (significance) / มีผลกระทบ (impact) ฯลฯ  แต่ไม่ได้วัดถึงคุณภาพ การประเมินคุณภาพต้องเป็นการตัดสินด้วยมนุษย์เท่านั้น

ข้อมูลการอ้างอิง เป็นดัชนีชี้ถึงผลกระทบต่อบทความวิจัยและมีผลประโยชน์ต่อชุมชนวิจัยทั่วโลก ถือเป็นการแสดงถึงรูปแบบการตรวจทานที่ยอมรับ (peer acknowledge) จากนักวิทยาศาสตร์กลุ่มงานวิจัยในสาขาเดียวกันนั้น

ขนวบการ peer review ยังคงเป็นวิธีการรากฐานของการประเมินคุณภาพงานวิจัย ฉะนั้นการวิเคราะห์เชิงปริมาณไม่ควรเข้ามาแทนที่การ peer review ควรเป็นเพียงสิ่งที่มาเสริมให้สมบูรณ์และใช้ให้ถูกต้องตามแต่ละกรณี

หน่วยวัด citation ดีพอสำหรับการวัด กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ หรือไม่

Citation metrics มีคุณสมบัติที่สำคัญคือ Transparent โปร่งใส / Repeatable ใช้ซ้ำได้ / Understand เข้าใจได้

ข้อเด่นในการนำไปใช้ คือ
– สำหรับชุมชนที่ 3 ใช้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนได้
– เชื่อถือได้ เพราะมีแหล่งข้อมูลให้ตรวจสอบได้
– ปรับใช้ตามที่ต้องการได้

โดยหน่วยวัด 3 ประเภทที่สำคัญนั้น อยู่บนหลักการที่อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

  1. Impact Journal Metrics
    – เป็นการนับจำนวนการได้รับการอ้างอิง ต่อจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ (ในวารสาร)
    – เป็นวิธีที่ง่าย เข้าใจได้
    – เป็นหน่วยวัดที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในชุมชนวิจัยทั่วโลก คือค่า JIF, Immediacy index, Time half life index
  2. H Family
    – อยู่บนหลักการเรียงลำดับจากสูงสุดไล่เรียง ของจำนวนบทความตีพิมพ์
    – เป็นหน่วยวัดที่ง่าย เข้าใจได้
    – สามารถนำประยุกต์ได้กับทุกระดับ คือ วารสาร นักวิทยาศาสตร์ สถาบัน ประเทศ
  3. Influence Metric
    – เป็นการให้ค่าน้ำหนักในการวัดของโครงสร้างเครือข่ายของการอ้างอิงทั้งหมด
    – คิดหน่วยวัดเป็น 2 ค่าหลัก คือ Eigenfactor Influence (EI) / Article Influence (AI)

ค่า Journal Impact factor, JIF
วิธีการคำนวณหาค่า Journal Impact Factor, JIF
คำจำกัดความ หมายถึงสัดส่วนระหว่าง จำนวนการได้รับการอ้างอิง / จำนวนบทความที่ตีพิมพ์
JIF = current year cites to items published in 2 preceeding years
Number of articles (citable items) exclude editorials, letter, news, meeting abs.

ประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงของค่า JIF
– Citable items ไม่มีมาตรฐานและคำจำกัดความไม่แน่ชัด
– Citation Pattern ในแต่ละสาขาวิชามีความผันแปรแตกต่างกันอย่างมาก
– การคิดค่า แค่ช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี เป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินไป
– ประเภทของบทความตีพิมพ์ (Review, Research article) มีความผันแปรในการอ้างอิงแตกต่างกัน
– คิดค่า JIF เฉพาะวารสาร ไม่มีสิ่งพิมพืประเภทอืนๆ
– เป็นการวัดที่บิดเบือนของการกระจายตัวของค่าต่างๆ

ค่า h index
คำจำกัดความ “A scientist has index h if h of his/her np papers have at least h citation each, and the other (Np – h) papers have less than or equal to h citation each”
คุณลักษณะของการคิดคำนวณค่า h คือ
– เป็นการนับรวมทั้งปริมาณ (size) กับผลกระทบ (impact)
– สามารถปรับ ใช้วัดได้กับสิ่งพิมพ์ทุกประเภท
– มีข้อสังเกต ว่าทำไมไม่วัดที่ค่าเฉลี่ย (median)
วิธีการคำนวณหาค่า h ดังนี้ วารสาร Nature ปี 2009 ได้ค่า h = 15 (ณ สิงหาคม 2009)

ประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงของค่า h
– เป็นการตัด / ไม่สนใจ ดูเฉพาะบทความที่มีจำนวนการได้รับการอ้างอิงสูงเท่านั้น (highly cited paper)
– วิธีการใช้ ควรนำค่าที่คำนวณได้ไปใช้เปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ
– ไม่มีกรอบของช่วงเวลา ค่า h มีแต่จะเพิ่มขึ้นเสมอ
– ใช้ค่านี้ เพื่อเป็นการยกย่อง / ชื่นชมแก่นักวิทยาศาสตร์

ค่า Eigenfactor
Eigenmetrics ประกอบด้วย 2 ค่า คือ
EigenFactor Influence Score (EI) กับ Article Influence Score (AI)
ค่า EI เป็นค่าที่มาจาก
– พิจารณาโดยใช้หลักการ Citation Network เพื่อใช้วัดถึง Citation Influence จัดอันดับวารสารเป็นลักษณะแบบเดียวกับกูเกิ้ล จัดอันดับหน้าเว็บไซต์
– ใช้ข้อมูลดิบจาก JCR ของบริษัท ISI ในช่วงระยะเวลา 5 ปี
– คิดคำนวณค่าโดยการตัด self citation ออก
– แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของรูปแบบการอ้างอิงในสาขาวิชาต่างๆ
ค่า AI มีคุณลักษณะดังนี้
– เป็นค่าที่ใช้เทียบเคียงกับค่า IF ได้
– เป็นการวัดสัดส่วนของค่า EF ต่อปริมาณจำนวนบทความ

ประเด็นที่ถกเถียงเกี่ยวกับ Eigenmetric
– เข้าใจได้ยาก มีความสลับซับซ้อนมาก
– ไม่มีมาตรฐานในขนาดหรือปริมาณ
– เป็นการวัดระหว่างอิทธิพล (influence) กับผลกระทบ (impact)

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อต้องการใช้หน่วยวัดเพื่อการประเมิน

  • วิธีการวัด/นับแบบง่าย (simple count) จากจำนวนต่างๆ เช่นจำนวนบทความตีพิมพ์ / การได้รับการอ้างอิง / ค่าเฉลี่ยการอ้างอิงต่อบทความ ถือเป็นข้อมูลสถิติเบื้องต้นและเป็นพื้นฐาน ที่วัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ รวมทั้งมีการใช้ค่ามาตรฐานทางสถิติต่างๆ เช่น ค่าเฉลี่ย mean / median
  • เป็นการวัดข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งๆ (time series data) 1 ปี / 5 ปี / 25 ปี
  • การวัดแบบคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ (percent share) ของจำนวนบทความ/การอ้างอิง ภายใต้ข้อมูลหลักเช่น สาขาวิชา หน่วยงาน ประเทศ
  • ความคาดหวังในความถี่ในจำนวนของการอ้างอิง (expected citation counts) ที่มีต่อบทความ คิดบนพื้นฐาน ต่อปี ต่อวารสาร ต่อนักวิทยาศาสตร์
  • สาขาวิชาที่เกิดใหม่ / ที่มีความเข็มแข็ง (emerging field & research strengths) เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลียนแปลงรูปแบบการอ้างอิง หรือการอ้างอิงร่วมกันของสาขาวิชาใหม่
  • การเทียบเคียงกับค่ามาตรฐาน (benchmarks for context) บนหลักการของสาขาวิชา เทียบในระดับโลก ประเทศ เพื่อให้เห็นผลกระทบ
  • ปัจจัยที่มีผลต่อหน่วยวัดคุณภาพขึ้นกับ งบประมาณการวิจัย จำนวนนักวิจัย สิ่งอำนวยความสะดวกในการวิจัย

ข้อมูลหลักที่ใช้วัดความสามารถของงานวิจัยวิทยาศาสตร์
Scholarly output – หมายถึงจำนวนนับทั้งหมดของผลงานวิจัยที่อยู่ในรูปสิ่งพิมพ์และกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ที่มีการสื่อสารในวงการวิชาการเพื่อเปิดเผย แสดงถึงความรู้ใหม่ที่ก้าวหน้าให้แก่วงการวิจัยได้รับรู้ ถือเป็นความสามารถในการผลิตของงานวิจัย (productivity) อันได้แก่ บทความวิจัยจากวารสาร บทความในหนังสือ โมโนกราฟ โปสเตอร์ รายงานการวิจัย เอกสารนำเสนอในการประชุม วิทยานิพนธ์ สิทธิบัตร ซอฟต์แวร์ เอกสารนำเสนอ สื่อความรู้แบบต่างๆ การทำหน้าที่กรรมการกองบรรณาธิการ กรรมการที่ปรึกษา สมาชิกของสมาคมวิชาชีพ การได้รับรางวัล การได้รับทุนวิจัย ฯลฯ หน่วยวัดนี้เป็นวิธีการวัดแบบดั้งเดิม

หน่วยวัดนี้มีประโยชน์ใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบผลผลิต (benchmark productivity) ของนักวิทยาศาสตร์ในสาขาวิชาใกล้เคียงกันและอยู่ในอาชีพในช่วงเวลาเดียวกันด้วย หรือระดับองค์กร ประเทศ ด้วย

การวัดโดยการนับเพียงปริมาณอย่างเดียวยังถือว่าเป็นการประเมินที่ไม่พอเพียง จำเป็นต้องหาหน่วยวัดค่าอื่นๆ มาประกอบด้วย

Citation Count – หมายถึง จำนวนการได้รับการอ้างอิงแสดงถึงคุณภาพ (มากกว่าปริมาณ) ของบทความวิจัยเรื่องหนึ่งๆ หัวข้อหนึ่งๆ นักวิทยาศาสตร์ชื่อหนึ่งๆ หรือ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันหนึ่ง ประเทศหนึ่ง รวมถึง วารสารวิชาการชื่อหนึ่งๆ หรือ สาขาหนึ่งๆ ซึ่งหมายถึงสามารถวัดได้จากการรวมตัวกันของทั้งระดับบทความ (Research article) ระดับนักวิทยาศาสตร์ผู้แต่งบทความ (Author) และระดับรายชื่อวารสาร (Journal)
ตัวอย่างของค่าวัดการอ้างอิงในระดับต่างๆ คือ
– ระดับบทความ เช่นหา Most-cited papers
– ระดับผู้แต่งบทความ เช่นหาค่า h-index
– ระดับชื่อวารสาร เช่นหาค่า Journal Impact Factor, JIF

หน่วยวัดนี้สามารถแสดงความนัยได้ถึง 4 มิติที่เกี่ยวโยงต่อกัน คือ productivity, visibility, reputation และ impact

ข้อมูลการอ้างอิง มีบริการที่แหล่งข้อมูลหลัก 3 ชื่อ คือ Web of Science, Scopus, Google Scholar ทั้ง 3 ฐานข้อมูลนี้เนื้อหาเป็นสหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมวารสารกว้างขวางมากที่สุด ให้บริการแก่ผู้ใช้ซึ่งสามารถตรวจสอบการอ้างอิงได้ (ส่วนฐานข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นเฉพาะสาขาวิชา ซึ่งเริ่มมีการพัฒนาให้บริการข้อมูลการอ้างอิงแล้ว)

จำนวนการได้รับการอ้างอิงถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับจำนวนบทความตีพิมพ์ โดยที่สามารถแสดงถึง คุณภาพ ผลกระทบ ต่องานวิจัยในสาขาหนึ่งๆ ปกติผู้ให้ทุนวิจัยมักตรวจสอบจำนวนบทความและจำนวนการได้รับการอ้างอิง ควบคู่กัน

ข้อควรรับรู้เกี่ยวกับจำนวนการอ้างอิง คือ

  • บทความตีพิมพ์ที่เป็นลักษณะ รีวิว (Review) มักจะได้รับการอ้างอิงมากกว่าบทความประเภทอื่นๆ
  • บทความวิจัยที่ไม่มีคุณภาพ อาจจะได้รับการอ้างอิงจากการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ส่วนใหญ่อ้างอิงเพื่อการยกย่อง
  • รูปแบบการอ้างอิงของแต่ละสาขาวิชามีความแตกต่างกันมาก เช่น สาขาการแพทย์ มีการอ้างอิงสูง ส่วนสาขาคณิตศาสตร์ สาขาฟิสิกค์มักมีการอ้างอิงต่ำกว่า

จำนวนการอ้างอิงมีข้อจำกัด ด้วยแหล่งข้อมูลการอ้างอิงแต่ละแหล่งจัดทำดัชนีแตกต่างกัน เช่นบทความเรื่องเดียวกันในฐานข้อมูล Web of Science และ Scopus จะแสดงจำนวนการได้รับอ้างอิงไม่เท่ากัน

พลังวิทย์ ตอน อวัยวะจำลองมดลูกและรกเพื่อศึกษาวิธียับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก

นักวิจัย สวทช. พัฒนาออร์แกนอยด์ หรือ อวัยวะจำลองมดลูกและรก เพื่อศึกษาวิธียับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก เพราะเชื้อไวรัสสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้ ซึ่งมีผลให้ทารกมีอาการสมองเล็ก สมองไม่พัฒนา และรวมไปถึงการเสียชีวิตทันทีหลังกำเนิด

ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการสร้างออร์แกนอยด์ ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติคล้ายกับอวัยวะจริงในร่างกาย ใช้ทดสอบและพัฒนาสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสซิกา เพื่อการนำมาใช้ต้านทานเชื้อไวรัสซิกา และป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้จากแม่สู่ทารกในครรภ์ต่อไป สามารถสนับสนุนงานวิจัยนี้ได้ที่ www.experiment.com/nozika4baby

 

ติดตามรายการพลังวิทย์ทั้งหมดได้ที่ รายการพลังวิทย์ คิดเพื่อคนไทย

พลังวิทย์ ตอน Power Lift Bed เตียงนอนช่วยการลุกนั่งลุกยืนของผู้สูงอายุและผู้ป่วยฟื้นฟู

สวทช. ร่วมกับ บริษัท SB Design Square พัฒนาเตียง Power Lift Bed ที่มีระบบปรับหมุนเบาะจากท่านอน สู่ท่านั่ง และท่าลุกยืน โดยผู้ใช้งานสามารถควบคุมด้วยตนเอง ผ่านรีโมตคอนโทรล มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม
Power Lift Bed มีความแข็งแรงสูง สามารถรองรับน้ำหนักผู้ใช้งานได้ไม่ต่ำกว่า 250 กิโลกรัม เหมาะกับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยฟื้นฟูหลังการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยที่ต้องทำกายภาพบำบัด เตียงนี้จะช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้งาน ในการลุกมาทำกิจกรรมต่างๆ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ติดตามรายการพลังวิทย์ทั้งหมดได้ที่ รายการพลังวิทย์ คิดเพื่อคนไทย

โครงการ การขยายผลการใช้ประโยชน์หน้ากากอนามัย Safie Plus เพื่อบุคลากรทางการแพทย์

Download เอกสาร
– แบบฟอร์มการบริจาคเงิน
– รายละเอียดโครงการหน้ากากอนามัย Safie Plus
– พรฎ.ลดหย่อนภาษีเงินบริจาคเข้ากองทุน

สวทช. ขอเชิญร่วมบริจาคสมทบทุน “กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เพื่อโครงการ

การขยายผลการใช้ประโยชน์ หน้ากากอนามัย Safie Plus เพื่อบุคลากรทางการแพทย์

โดยใบเสร็จการบริจาค ลดหย่อนภาษีได้

หน้ากากอนามัย Safie Plus

ผลงานวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช.

เทคโนโลยี
– แผ่นชั้นกรองที่เคลือบคอมพอสิทของไฮดรอกซีอาปาไทต์ (HA) และไททาเนียมไซด์ (Ti) สามารถป้องกันฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดเล็ก เช่น PM2.5 และป้องกันสารพิษ เช่น คาร์บอนมอนออกไซด์ สามารถฆ่าเชื้อโรค ย่อยสลายสารหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ (ไวรัสแบคทีเรีย) เมื่ออยู่ภายใต้แสง UV

มาตรฐานการรับรอง
– ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรอง PM2.5 ระดับ 99% โดย TUV SUD สิงค์โปร์
– ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส H1N1 (Influenza A Virus) โดย ม.มหิดล
– ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรองไวรัส (Viral filtration efficiency: VFE) ระดับ 99% โดย Nelson Laboratory สหรัฐอเมริกา

ร่วมบริจาคเงินผ่านบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุทยานวิทยาศาสตร์
ชื่อบัญชี “เงินบริจาคกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 080-0-13324-1
หรือเช็คสั่งจ่าย
“เงินบริจาคกองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
กรุณาส่งหลักฐานการบริจาคเพื่อขอรับใบเสร็จรับเงินฉบับจริงทาง
email: sararee.cha@nstda.or.th

สอบถามเพิ่มเติม: คุณสรารี ชาญอุไร
ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED)
โทร. 02 564 7000 ต่อ 71818, 086 789 8223
email: sararee.cha@nstda.or.th

แนวทางปฏิบัติกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้และจุดรวมพลอาคารต่างๆ ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

1. เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง หรือสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ให้ตั้งสติ และหยุดกิจกรรมทันที
2. ใช้ทางหนีไฟ หรือบันไดหนีไฟที่ใกล้ที่สุด เพื่อออกนอกอาคาร
3. ห้ามใช้ลิฟต์โดยเด็ดขาด
4. ไปที่จุดรวมพลของอาคารนั้นๆ
5. ตรวจสอบเพื่อร่วมงาน หรือกลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่กำกับดูแล และแจ้งให้ทีมสื่อสารประสานงานทราบ
6. ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้จัดการเหตุการณ์ หรือผู้อำนวยการระงับอัคคีภัย

จุดรวมพลตามหมายเลขอาคาร ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนกรกฎาคม 2563

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน กรกฎาคม 2563

สารจากเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ถึง นักเรียนและนักศึกษาไทย

สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกกับภารกิจดูแลนักเรียนไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย
ต้องออกมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าว กระทรวงกลาโหมรู้สึกห่วงใยคนไทยที่ใช้ชีวิตต่างประเทศ และพยายามร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต
ให้ความช่วยเหลือประชาชนคนไทยให้สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในสหรัฐอเมริกากับภารกิจดูแลนักเรียนไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19

สำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำกรุงวอชิงตัน ได้ประสานกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อนุมัติให้กองทัพบกสามารถใช้เครื่องบินของสหรัฐฯ รับคนไทยจาก
อเมริกาไปยังเมืองไทยได้ ในวันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 จำนวน 162 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและเยาวชนไทย ได้เดินทางออกจากสนามบิน
เมือง
ดัลลัส รัฐเท็กซัส ด้วยเครื่องบินของกองทัพบกสหรัฐฯ

สมาคมของคนไทยในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส” คำพูดนี้ ได้ดึงดูดให้คนจากนานาประเทศทั่วโลก รวมทั้งคนไทยเดินทางมายังดินแดนนี้ โดยเฉพาะ
ในช่วง
ทศวรรษ 1960 – 1980 จะมาเพื่อการศึกษา การทำงาน หรือเพื่อแสวงโชค หรือหาโอกาสที่ดีกว่า โดยเฉพาะสมัยนั้น บรรยากาศทางการเมือง
เศรษฐกิจ
ของไทยมีความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงในหลายด้าน เมื่อมาใช้ชีวิตต่างแดนการได้พบปะพูดคุบภาษาจากชาติเดียวกันทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ
ด้วยเหตุนี้การจัดตั้ง
สมาคมของคนไทย จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คนไทยได้รู้จักพบปะกัน พึ่งพาช่วยเหลือกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น สมาคมไทย
ณ อเมริกาสาขากรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
 สมาคมไทยแห่งรัฐวอชิงตัน (TAWA) ฯลฯ

สมาคมคนไทยตามภูมิภาคในประเทศไทย ไทยมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อาหาร ภาษาถิ่น ที่แตกต่างกันใน ภาคของไทย อาทิเช่น
สมาคมไทย
ชาวเหนือ สมาคมไทยอีสาน สมาคมไทยชาวปักษ์ใต้ ฯลฯ

สมาคมคนไทยตามสาขาอาชีพ คนไทยยังมีการรวมตัวกันในกลุ่มคนที่อยู่ในสาขาอาชีพเดียวกัน ให้ความช่วยเหลือในด้านการศึกษา การงาน
และรวมตัวกันใช้
ความรู้ความสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติในด้านต่างๆ เช่น สมาคมแพทย์ไทยในสหรัฐอเมริกา (TPAA)
สมาคมพยาบาลไทยในรัฐต่างๆ

สมาคมนักวิชาชีพไทยในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา (ATPAC)

สมาคมคนไทยตามความสนใจทางกีฬา การรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีความสนใจทางกีฬาชนิดเดียวกัน เพื่อรวมตัวกันเล่นกีฬาด้วยกัน ให้การสนับสนุน
ด้านต่างๆ
เช่น งบประมาณ เช่น สมาคมกอล์ฟไทย ชมรมเทนนิสไทย ในรัฐต่างๆ สมาคมกอล์ฟ Inter States ฯลฯ

สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์
สมาคมนิสิตเก่า
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ฯลฯ ช่วยให้พี่ๆ น้องๆ ร่วมสถาบันได้พบปะสังสรรค์ ทำกิจกรรมร่วมกัน
แม้จะอยู่ไกลบ้านเกิด

ชมรมนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในหลายๆ มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาไทยจำนวนมาก มักจะมีการจัดตั้งชมรมนักเรียนไทยในมหาวิทยาลัย
ทำให้เกิด
การรวมตัวกันช่วยเหลือกันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยกันเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ฯลฯ

การจัดตั้งสมาคมกลางนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่เยาวชนไทยนิยมเดินทางมารับการศึกษาในทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ทำให้แต่ละปีมีจำนวนนักเรียน
นักศึกษาไทยในสหรัฐฯ อยู่จำนวนมาก ได้มีการประชุมหารือกับกลุ่มคณะทำงานหลักที่มีบทบาทสำคัญ โดยทีมงานนักเรียนไทยในรัฐแมสซาชูเซตส์
เป็นกลุ่ม
ผู้จัดตั้งอันทรงพลัง ได้ร่วมกันหารือจนความคิดรวบยอดในการจัดตั้งตกผลึก สำนักงานที่ปรึกษาฯ ได้สนับสนุนให้คณะทำงานส่งผู้แทนมาเยี่ยม
คารวะและหารือกับ
ท่านเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เพื่อรายงานความคืบหน้า และความต้องการที่จะให้ทีมประเทศไทยในสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือ
ในด้านใด
 พิธีเปิดสมาคม จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 ที่อาคารที่ทำการของสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทย ก.พ. กรุงวอชิงตัน
โดยท่านเอกอัครราชทูต
ธานี ทองภักดี จะให้เกียรติมาเป็นประธานเปิด พร้อมด้วยหัวหน้าสำนักงานทีมประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน โดยสำนักงาน
ที่ปรึกษาฯ ได้สนับสนุนคณะทำงาน
และสมาชิกสมาคมจากรัฐต่างๆ ราว 10 คน ให้เดินทางมาร่วมในพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

กิจกรรมสำคัญของสมาคมกลางนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา (ATSA)
สมาคมกลางนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกา (Association of Thai Students in the United States – ATSA) เกิดจากความตั้งใจและมุ่งมั่นของ
นักศึกษาไทย
ในสหรัฐฯ แม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการก่อตั้ง สมาชิกได้ริเริ่ม ดำเนินกิจกรรมเพื่อให้สมาคมได้เริ่มทำหน้าที่ในการเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง
เครือข่ายและการให้การ
สนับสนุนระหว่างสมาชิก ในช่วงปี 2563 สมาคมได้มีกิจกรรมสำคัญดังนี้

การประกวดโลโก้ของสมาคม
สมาคมกลางฯ ได้จัดการประกวดออกแบบโลโก้ของสมาคม โดยเปิดรับโลโก้จากนักเรียนไทยในสหรัฐฯ และเปิดให้มีการโหวตเลือกให้คะแนนโลโก้
โดยโลโก้
ที่ได้รับการคัดเลือกสูงสุดและชนะการประกวดเป็นสัญญลักษณ์ รูปช้างซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติใช้งวงเชิดชูลูกบอลลายธงชาติไทยเปรียบได้กับ
เยาวชนผู้เปี่ยม
ไปด้วยพลังกาย และพลังใจที่พร้อมจะสนับสนุนผลักดัน ประเทศชาติให้ก้าวหน้าและพัฒนา และมีอักษร ATSA ซึ่งเป็นตัวย่อของ สมาคม
เป็นองค์ประกอบของโลโก้

การสัมมนาสดผ่านระบบ Webinar
การประชุมสัมมนา เป็นหนึ่งกิจกรรมที่สมาคมกลางฯ ได้วางแผนดำเนินการไว้ และแม้ว่าจะเกิดปัญหาการระบาดของโควิด-19 สมาคมกลางฯ ก็ยังดำเนิน
กิจกรรม
อย่างต่อเนื่อง แต่ปรับเปลี่ยนเป็นผ่านระบบ Webinar โดยใช้ Social Media อย่าง Facebook ให้เกิดประโยชน์ ทำให้การถ่ายทอดแลกเปลี่ยน
องค์ความรู้และ
ความคิดเห็นยังดำเนินต่อไปได้ตามที่สมาคมกลางฯ ได้ตั้งใจไว้

CiteScore หน่วยวัดคุณภาพวารสาร ชุดใหม่ คู่แข่งกับค่า Impact Factor

เมื่อเดือนธันวาคม 2016  สำนักพิมพ์ Elsevier โดยฐานข้อมูล Scopus  ได้ประกาศบริการหน่วยวัดค่าใหม่ ชื่อ CiteScore  เพื่อวัดคุณภาพของวารสาร โดยคำนวณจากจำนวนการได้รับการอ้างอิง หาร ด้วยจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ใน 3 ปีย้อนหลัง ของวารสารชื่อหนึ่งๆ  ถือว่าเป็นสูตรที่เลียนแบบผลงาน Journal Impact Factor (JIF) ที่ชุมชนวิทยาศาสตร์ทั่วโลก รู้จักและคุ้นเคยกันมาช้านาน

รูปภาพ 1  หน้าจอหลักของฐานข้อมูล Scopus  ที่แสดงหน้าเมนู  Sources

ปัจจุบัน Scopus ครอบคลุมวารสารที่ตีพิมพ์ทั่วโลก จำนวน 22,256  ชื่อ (ณ ธันวาคม 2016) แบ่งเป็น 330 สาขาวิชาหลัก  Scopus แสดงค่า CiteScore พร้อมด้วยหน่วยวัดอื่นๆ รวม  8 ค่าของชุดครอบครัวดัชนีชี้วัด เพื่อเพิ่มมุมมองในการวิเคราะห์ถึงอิทธิพลของวารสารวิชาการในแต่ละชื่อวารสาร ดังภาพแสดง  โดยมีเมนูให้สามารถสืบค้นหาค่า CiteScore ของวารสารตาม Title / Subject  areas / Publishers / Source type / Quartile

รูปภาพ  2  ฐานข้อมูล Scopus  แสดงหน่วยวัด CiteScore พร้อมด้วยหน่วยวัดอื่นๆ รวมเป็น  8 ค่า

ภาพแสดงค่า CiteScore ของวารสาร ชื่อ Ca-A Cancer Journal for  Clinicians  ปี 2016  โดยแสดงข้อมูลต่างๆ ประกอบ และวิธีคำนวณหาค่า CiteScore 2015 = Citation Count 2015 / Document 2012-2014  ซึ่งมีค่า = 66.45

รูปภาพ 3  แสดงค่า CiteScore ของวารสาร ชื่อ Ca-A Cancer Journal for  Clinicians  ปี 2016 หน่วยวัดชุดใหม่นี้ มีความคล้ายคลึงกับค่า Journal Impact Factor, JIF ที่ทรงอิทธิพลมาช้านาน  ในหลายๆ ด้าน คือ ทั้ง JIF และ CiteScore เป็นหน่วยวัดคุณภาพในระดับวารสารทั้งคู่  ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณ จากสัดส่วนของ จำนวนการอ้างอิง (citations) กับจำนวนบทความ (documents)
ในวารสารชื่อหนึ่งๆ

ข้อแตกต่างของวิธีการหาหน่วยวัดทั้งสองค่านี้ คือ

  1. Observation Window – CiteScore นับค่า citations ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารชื่อหนึ่งๆ ในเวลา 3 ปีย้อนหลัง  ส่วนค่า JIF นับแค่ 2 ปีย้อนหลัง
  2. Sources – CiteScore ใช้ชุดชื่อวารสารราว 22,000 ชื่อวารสาร ส่วน JIF ใช้ชุดวารสารที่มีการคัดเลือกมาเท่านั้น ในจำนวนราว 11,00  ชื่อวารสาร
  3. Document Types – CiteScore รวบรวมจากบทความทุกประเภท ส่วน JIF จำกัดเฉพาะบทความประเภท articles กับ reviews เท่านั้น
  4. Updates – CiteScore จะทำการคำณวนหาค่า ในทุกเดือน ขณะที่ ค่า JIF ทำการคำนวณแสดงค่าแบบรายปี

สรุปได้ว่า CiteScore ของ Elsevier ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่และมีข้อแตกต่างอื่นๆ จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันสำหรับคุณภาพของวารสารชุดเดิม JIF และที่สำคัญ ทั้ง 2 หน่วยวัดนี้กลายเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญของกันและกันอีกด้วย

หลังจาก Scopus เปิดตัวให้บริการ ได้ไม่นานนัก ก็มีเสียงวิจารณ์ถึง CiteScore  ในประเด็นต่างๆ คือ

  • วารสารชื่อดังเช่น Nature, Science ที่ผ่านมามีค่า JIF สูงมาตลอด แต่กลับมีค่า CiteScore ต่ำมาก  รวมภึงวารสารด้านการแพทย์ชื่อดัง เช่น The New England Journal of Medicine และ The Lancet ด้วย
  • ประเภทของบทความ ที่นำมาคิดค่าหน่วยวัดหรือ ดัชนีนั้นหน่วยวัด  JIF คิดเฉพาะบทความประเภทงานเขียนแบบวิจัยและ แบบรีวิว เท่านั้น ไม่นับรวมบทความประเภทอื่นๆ เช่น editorials, letters to the editor, corrections และ news ส่วน CiteScore คิดคำนวณจากบทความทุกประเภท ซึ่งประเด็นนี้อาจมีผลทำให้พฤติกรรมการตีพิมพ์ของบรรณาธิการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
  • การจัดหมวดหมู่สาขาวิชาของ Scopus  มีความสับสน  ยังไม่มีความชัดเจนในข้อกำหนดขอบเขต ซึ่งเมื่อเรียกดูค่าหน่วยวัด CiteScore ทำให้มีผลต่อการจัดอันดับของวารสารชื่อหนึ่ง ในสาขาหนึ่ง
  • การที่สำนักพิมพ์ Elsevier เข้าสู่ธุรกิจเมตริก ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือผลประโยชน์ทับซ้อน โดยที่วารสารที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์  Elsevier จะได้รับ ประโยชน์โดยทั่วไปจาก CiteScore มากกว่าวารสารจากสำนักพิมพ์คู่แข่ง โดยที่ธุรกิจใหม่นี้  Elsevier มุ่งเน้นทำการตลาดกับกลุ่มบรรณาธิการของวารสารเป็นหลัก  (แตกต่างกับ ผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูล Scopus ที่เน้นการตลาดกับบรรณารักษ์และนักวิทยาศาสตร์มากกว่า) อย่างไรก็ตาม ข้อวิจารณ์ เหล่านี้อาจนำไปสู่การปรับปรุง พัฒนาหน่วยวัดค่าใหม่นี้ต่อไป ที่อาจทำให้ให้เกิดการยอมรับในกลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่อไปในอนาคต

เอกสารอ้างอิง :

  1. Elsevier : Research Metrics –  Available at – https://www.elsevier.com/solutions/scopus/features/metrics
  2. CiteScore–Flawed But Still A Game Changer- Available at : https://scholarlykitchen.sspnet.org/2016/12/12/citescore-flawed-but-still-a-game-changer/