หน้าแรก คลังความรู้ คลังความรู้ สารสนเทศวิเคราะห์ ดัชนีวรรณกรรม CiteScore หน่วยวัดคุณภาพวารสาร ชุดใหม่ คู่แข่งกับค่า Impact Factor
CiteScore หน่วยวัดคุณภาพวารสาร ชุดใหม่ คู่แข่งกับค่า Impact Factor
23 ต.ค. 2563
0
ดัชนีวรรณกรรม
สารสนเทศวิเคราะห์

เมื่อเดือนธันวาคม 2016  สำนักพิมพ์ Elsevier โดยฐานข้อมูล Scopus  ได้ประกาศบริการหน่วยวัดค่าใหม่ ชื่อ CiteScore  เพื่อวัดคุณภาพของวารสาร โดยคำนวณจากจำนวนการได้รับการอ้างอิง หาร ด้วยจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ใน 3 ปีย้อนหลัง ของวารสารชื่อหนึ่งๆ  ถือว่าเป็นสูตรที่เลียนแบบผลงาน Journal Impact Factor (JIF) ที่ชุมชนวิทยาศาสตร์ทั่วโลก รู้จักและคุ้นเคยกันมาช้านาน

รูปภาพ 1  หน้าจอหลักของฐานข้อมูล Scopus  ที่แสดงหน้าเมนู  Sources

ปัจจุบัน Scopus ครอบคลุมวารสารที่ตีพิมพ์ทั่วโลก จำนวน 22,256  ชื่อ (ณ ธันวาคม 2016) แบ่งเป็น 330 สาขาวิชาหลัก  Scopus แสดงค่า CiteScore พร้อมด้วยหน่วยวัดอื่นๆ รวม  8 ค่าของชุดครอบครัวดัชนีชี้วัด เพื่อเพิ่มมุมมองในการวิเคราะห์ถึงอิทธิพลของวารสารวิชาการในแต่ละชื่อวารสาร ดังภาพแสดง  โดยมีเมนูให้สามารถสืบค้นหาค่า CiteScore ของวารสารตาม Title / Subject  areas / Publishers / Source type / Quartile

รูปภาพ  2  ฐานข้อมูล Scopus  แสดงหน่วยวัด CiteScore พร้อมด้วยหน่วยวัดอื่นๆ รวมเป็น  8 ค่า

ภาพแสดงค่า CiteScore ของวารสาร ชื่อ Ca-A Cancer Journal for  Clinicians  ปี 2016  โดยแสดงข้อมูลต่างๆ ประกอบ และวิธีคำนวณหาค่า CiteScore 2015 = Citation Count 2015 / Document 2012-2014  ซึ่งมีค่า = 66.45

รูปภาพ 3  แสดงค่า CiteScore ของวารสาร ชื่อ Ca-A Cancer Journal for  Clinicians  ปี 2016 หน่วยวัดชุดใหม่นี้ มีความคล้ายคลึงกับค่า Journal Impact Factor, JIF ที่ทรงอิทธิพลมาช้านาน  ในหลายๆ ด้าน คือ ทั้ง JIF และ CiteScore เป็นหน่วยวัดคุณภาพในระดับวารสารทั้งคู่  ซึ่งเป็นค่าที่คำนวณ จากสัดส่วนของ จำนวนการอ้างอิง (citations) กับจำนวนบทความ (documents)
ในวารสารชื่อหนึ่งๆ

ข้อแตกต่างของวิธีการหาหน่วยวัดทั้งสองค่านี้ คือ

  1. Observation Window – CiteScore นับค่า citations ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารชื่อหนึ่งๆ ในเวลา 3 ปีย้อนหลัง  ส่วนค่า JIF นับแค่ 2 ปีย้อนหลัง
  2. Sources – CiteScore ใช้ชุดชื่อวารสารราว 22,000 ชื่อวารสาร ส่วน JIF ใช้ชุดวารสารที่มีการคัดเลือกมาเท่านั้น ในจำนวนราว 11,00  ชื่อวารสาร
  3. Document Types – CiteScore รวบรวมจากบทความทุกประเภท ส่วน JIF จำกัดเฉพาะบทความประเภท articles กับ reviews เท่านั้น
  4. Updates – CiteScore จะทำการคำณวนหาค่า ในทุกเดือน ขณะที่ ค่า JIF ทำการคำนวณแสดงค่าแบบรายปี

สรุปได้ว่า CiteScore ของ Elsevier ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่และมีข้อแตกต่างอื่นๆ จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันสำหรับคุณภาพของวารสารชุดเดิม JIF และที่สำคัญ ทั้ง 2 หน่วยวัดนี้กลายเป็นคู่แข่งขันที่สำคัญของกันและกันอีกด้วย

หลังจาก Scopus เปิดตัวให้บริการ ได้ไม่นานนัก ก็มีเสียงวิจารณ์ถึง CiteScore  ในประเด็นต่างๆ คือ

  • วารสารชื่อดังเช่น Nature, Science ที่ผ่านมามีค่า JIF สูงมาตลอด แต่กลับมีค่า CiteScore ต่ำมาก  รวมภึงวารสารด้านการแพทย์ชื่อดัง เช่น The New England Journal of Medicine และ The Lancet ด้วย
  • ประเภทของบทความ ที่นำมาคิดค่าหน่วยวัดหรือ ดัชนีนั้นหน่วยวัด  JIF คิดเฉพาะบทความประเภทงานเขียนแบบวิจัยและ แบบรีวิว เท่านั้น ไม่นับรวมบทความประเภทอื่นๆ เช่น editorials, letters to the editor, corrections และ news ส่วน CiteScore คิดคำนวณจากบทความทุกประเภท ซึ่งประเด็นนี้อาจมีผลทำให้พฤติกรรมการตีพิมพ์ของบรรณาธิการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
  • การจัดหมวดหมู่สาขาวิชาของ Scopus  มีความสับสน  ยังไม่มีความชัดเจนในข้อกำหนดขอบเขต ซึ่งเมื่อเรียกดูค่าหน่วยวัด CiteScore ทำให้มีผลต่อการจัดอันดับของวารสารชื่อหนึ่ง ในสาขาหนึ่ง
  • การที่สำนักพิมพ์ Elsevier เข้าสู่ธุรกิจเมตริก ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือผลประโยชน์ทับซ้อน โดยที่วารสารที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์  Elsevier จะได้รับ ประโยชน์โดยทั่วไปจาก CiteScore มากกว่าวารสารจากสำนักพิมพ์คู่แข่ง โดยที่ธุรกิจใหม่นี้  Elsevier มุ่งเน้นทำการตลาดกับกลุ่มบรรณาธิการของวารสารเป็นหลัก  (แตกต่างกับ ผลิตภัณฑ์ฐานข้อมูล Scopus ที่เน้นการตลาดกับบรรณารักษ์และนักวิทยาศาสตร์มากกว่า) อย่างไรก็ตาม ข้อวิจารณ์ เหล่านี้อาจนำไปสู่การปรับปรุง พัฒนาหน่วยวัดค่าใหม่นี้ต่อไป ที่อาจทำให้ให้เกิดการยอมรับในกลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่อไปในอนาคต

เอกสารอ้างอิง :

  1. Elsevier : Research Metrics –  Available at – https://www.elsevier.com/solutions/scopus/features/metrics
  2. CiteScore–Flawed But Still A Game Changer- Available at : https://scholarlykitchen.sspnet.org/2016/12/12/citescore-flawed-but-still-a-game-changer/
แชร์หน้านี้: