ผลการค้นหา :

สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกเผยแพร่ผลงานในระหว่างวารสารเข้าถึงแบบเปิด (open access journal) กับวารสารแบบดั้งเดิม (traditional journal)
วารสารเข้าถึงแบบเปิดมีเนื้อหาให้ฟรีบนเว็บไซต์และเก็บค่าใช้จ่ายกับนักวิจัยที่จะนำผลงานมาเผยแพร่ ส่วนวารสารแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่เก็บค่าใช้จ่ายที่สูงกับผู้อ่านเพื่อเข้าถึงเนื้อหาของวารสาร 1. ความสามารถในการมองเห็น (Visibility) เผยแพร่บทความในวารสารเข้าถึงแบบเปิดจะมีคนเห็นบทความนั้นมากกว่าเพราะมีคนมากกว่าที่สามารถเข้าถึงบทความนั้นได้ ถึงแม้ว่ายังไม่แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นในการดาวน์โหลดและผู้เยี่ยมชมทำให้อัตราการอ้างอิงเพิ่มขึ้นหรือไม่ การมองเห็นที่มากกว่าที่เกิดขึ้นกับการเข้าถึงแบบเปิดอาจทำให้พบผู้ร่วมงานที่มีศักยภาพง่ายขึ้น นอกจากนี้บทความจะมีให้กับครูและสาธารณชนที่ส่วนใหญ่ไม่บอกรับเป็นสมาชิกวารสารที่มีค่าสมาชิกแพง 2. ค่าใช้จ่าย ทั้งวารสารแบบดั้งเดิมและวารสารเข้าถึงแบบเปิดมีค่าใช้จ่ายน้อยในขั้นตอน submission ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการ peer-review และ editorial แต่มีความแตกต่างในค่าใช้จ่ายหลังจาก acceptance วารสารแบบดั้งเดิมทั่วไปเก็บค่าใช้จ่ายต่อหน้า (บ่อยๆ 100-250 ดอลลาร์ต่อหน้า) และหรือต่อรูปสี (150-1000 ดอลลาร์ต่อรูป) อย่างไรก็ตามวารสารเข้าถึงแบบเปิดคิดค่าใช้จ่ายตามการดำเนินการบทความ นอกจากนี้มีค่าใช้จ่ายในการบอกรับเป็นสมาชิก (subscription) บางการบอกรับเป็นสมาชิกทางวิชาการมีค่าใช้จ่ายถึง 40,000 ดอลลาร์ เพื่อการเข้าถึงบทความแบบออนไลน์ ค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ นี้อาจเป็นสาเหตุให้บางห้องสมุดยกเลิกการบอกรับเป็นสมาชิก ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายที่สูงในการบอกรับเป็นสมาชิกทำให้มหาวิทยาลัย Harvard กระตุ้นให้บุคลากรพิจารณาส่งบทความไปยังวารสารเข้าถึงแบบเปิดหรือไปยังวารสารที่มีค่าใช้จ่ายในการบอกรับเป็นสมาชิกที่สมเหตุผล 3. ชื่อเสียง นักวิจัยบางคนไม่อยากที่จะเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดเพราะไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าบางวารสารที่ใหญ่กว่าและมีความมั่นคงกว่า อย่างแท้จริงเหตุผลทั่วไปมากที่สุดซึ่งถูกพูดโดยผู้แต่งทางวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์สังคมสำหรับการไม่ตัดสินใจเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดคือคุณภาพของการเผยแพร่แบบเข้าถึงแบบเปิด นอกจากนี้หลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดเป็นวารสารใหม่และยังไม่มีค่า impact factor (IF) อย่างไรก็ตามวารสารเข้าถึงแบบเปิดที่มีค่า IF สูงมีอยู่ในหลายสาขา ในสาขาชีววิทยา วารสารเข้าถึงแบบเปิด PLOS Biology, BMC Biology และ PLOS ONE มีค่า IF เป็นที่ 1 ที่ 4 และที่ 10 ตามลำดับ ในปี 2009 ข้อมูลจากรายงานการอ้างอิงวารสาร (Journal Citation Reports) นอกจากนี้ในปีเดียวกันในสาขาคณิตศาสตร์และชีววิทยาคอมพิวเตอร์ วารสาร PLOS Computational Biology, BMC Systems Biology และ BMC Bioinformatics มีค่า IF เป็นที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ความจริงยังคงเป็นว่าบุคลากรมหาวิทยาลัยยังคงให้ความสำคัญกับวารสารที่มีชื่อเสียงเพราะการเผยแพร่ในวารสารเหล่านั้นทำให้เพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง และโอกาสในการได้รับทุน 4. ความเร็ว จากการสำรวจหนึ่งพบว่าประมาณ 65-70% ของผู้แต่งทางวิทยาศาสตร์พิจารณาว่าความเร็วจาก acceptance ถึง publication มีความสำคัญมากหรือมีความสำคัญทีเดียวในการตัดสินใจว่าจะเผยแพร่ในวารสารไหน ในขณะที่ประมาณ 80-85% ของผู้แต่งเหล่านี้เชื่อว่าความเร็วจาก submission ถึง first decision มีความสำคัญมากหรือความสำคัญทีเดียวในการตัดสินใจว่าจะเผยแพร่ในวารสารไหน อย่างแน่นอนการเผยแพร่ในวารสารที่มีการ peer-review จะเสมอทำให้เกิดการล่าช้าตั้งแต่ขั้นตอน submission ถึง acceptance และในที่สุดถึง publication นี้จะเป็นปัญหาในทางวิทยาศาสตร์คลินิก ดังเช่นการเผยแพร่ผลการศึกษาล้าหลังการทดลองที่เสร็จโดยค่าเฉลี่ย 21 เดือน การล่าช้านี้ในการเผยแพร่ข้อมูลใหม่สามารถมีผลเสียหลายอย่างกับผู้ป่วยที่กำลังรอการรักษา ตามปกติวิธีแบบดั้งเดิมของการเผยแพร่บทความทำให้เกิดการล่าช้าที่สำคัญเนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องรวมบทความเป็นฉบับ เก็บรวบรวมบทความที่สามารถเผยแพร่ได้เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องเนื้อที่ เวลาที่ต้องการเพื่อพิมพ์สำเนาของวารสารและเผยแพร่ หลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดมีการโฆษณาในคำแถลงของภารกิจว่ามีขวบนการการเผยแพร่ที่รวดเร็วกว่า เช่น วารสาร PLOS ONE มีคำแถลงว่าเร่งการเผยแพร่บทความทางวิทยาศาสตร์ที่มีการ peer-review การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ทดสอบ 135 วารสารที่มีอยู่ใน Scopus citation index และแสดงว่าเวลาตั้งแต่ขั้นตอน acceptance ถึง publication สั้นกว่าอย่างชัดเจนสำหรับวารสารเข้าถึงแบบเปิดเมื่อเปรียบเทียบกับวารสารแบบดั้งเดิม ดังนั้นถ้าความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะเลือกเผยแพร่ที่ไหน วารสารเข้าถึงแบบเปิดอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ประเด็นอื่นเพื่อพิจารณาในการตัดสินใจ เนื่องจากมีหลายวารสารที่มีค่า IF สูงในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและวิทยาศาสตร์คลินิก ดังนั้นการเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักวิจัยในสาขาเหล่านั้น ส่วนนักวิจัยในสาขาอื่นๆ อาจหันไปเผยแพร่ในวารสารแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ การเข้าถึงแบบเปิดกำลังมีบทบาทมากในการเผยแพร่เนื่องจากวารสารแบบดั้งเดิมมีการนำการเข้าถึงแบบเปิดมาผสม วารสารเหล่านี้ทำให้ผู้แต่งต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับการเข้าถึงแบบเปิดเพื่อทำให้สามารถเข้าถึงบทความได้ฟรี ตัวอย่างเช่น วารสาร PNAS เก็บค่าใช้จ่ายจากผู้แต่งเป็นเงิน 1350 ดอลลาร์ (1000 ดอลลาร์ ถ้าสถาบันบอกรับเป็นสมาชิกวารสารนั้น) นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามปกติเพื่อทำให้บทความสามารถเข้าถึงได้แบบเปิด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างวารสารเข้าถึงแบบเปิดและวารสารแบบดั้งเดิม การเผยแพร่ในวารสารแบบผสมที่มีค่า IF สูงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (รวมระหว่างความสามารถมองเห็นได้สูงของวารสารเข้าถึงแบบเปิดและความเป็นที่รู้จักของวารสารแบบดั้งเดิม) ที่มา: Sarah Conte. Making the Choice: Open Access vs. Traditional Journals. American Journal Experts. Retrieved August 24, 2018, from https://www.aje.com/en/arc/making-the-choice-open-access-vs-traditional-journals/
นานาสาระน่ารู้

Thai Open GLAM
โปสเตอร์วิชาการ เรื่อง Thai Open GLAM ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) นำเสนอในงาน The 1st International Conference on Library and Information Science : From Open Library to Open Society (iCoo 2018) ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2561 ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดนนทบุรี
การจัดการความรู้ (KM)

Cross-community Collaboration to Develop the Open Museum for Lifelong Learning
การนำเสนอพรีเซนเทชั่น เรื่อง Cross-community Collaboration to Develop the Open Museum for Lifelong Learning ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) ในงาน การประชุมวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ ASEAN Museum Forum 2018 ภายใต้กรอบแนวคิด Museum Media: Connecting Museums, Converging People / สื่อ สาระ เชื่อมพิพิธภัณฑ์ โยงผู้คน ระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2561 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพมหานคร
การจัดการความรู้ (KM)

ศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดของประเทศไทย
โปสเตอร์วิชาการ เรื่อง ศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดของประเทศไทย ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) ซึ่งนำเสนอในงาน The 3rd National Conference On Informatics, Agriculture, Management, Business Administration, Engineering, Science and Technology (IAMBEST 2018) จัดโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร ภายใต้กรอบแนวคิด ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรม ลอฟท์ มาเนีย บูทีค โฮเทล (Loft mania Boutique Hotel) จังหวัดชุมพร (ดาวน์โหลดโปสเตอร์)
การจัดการความรู้ (KM)

หนังสือ Intelligent economy
Download หนังสือ Intelligent economy (11.1 MB) (more…)
เอกสารเผยแพร่

หนังสือ Mo Singto Forest Dynamics Plot: Flora and Ecology
Download หนังสือ Mo Singto Forest Dynamics Plot: Flora and Ecology (92.5 MB) หนังสือ Mo Singto Forest Dynamics Plot: Flora and Ecologyผู้แต่ง Warren Y. Brockelman, Anuttara Nathalang and J.F. Maxwell สรุปเนื้อหา : แปลงศึกษาวิจัยพลวัตป่ามอสิงโตตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยเริ่มโครงการสำรวจและทำรังวัดตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 พื้นที่มีขนาด 30.5 เฮกแตร์ หรือประมาณ 190 ไร่ จุดประสงค์ของการจัดตั้งแปลงวิจัยแห่งนี้ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าทางด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ เช่น ความสัมพันธ์ของพืชและสัตว์ในระบบนิเวศที่มีบทบาทความสำคัญที่แตกต่างกัน, พลวัตหรือการเปลี่ยนแปลงของป่าหรือสังคมพืชในธรรมชาติ, ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศป่าในธรรมชาติ เป็นต้น หนังสือเล่มนี้ความโดดเด่นคือ การรวบรวมพรรณไม้ต่างๆ ในแปลงวิจัย รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานจากการสำรวจมโนประชากรต้นไม้ในแปลง 2 ครั้งคือในปี พ.ศ.2547 (2004) และ พ.ศ.2554 (2011) โดยแยกตามรายชนิดพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลพื้นฐานทั่วไปทางกายภาพ เช่น สภาพป่าโดยทั่วไป, ธรณีวิทยาและดิน, สภาพอากาศและภูมิอากาศ ได้อธิบายไว้ เพื่อให้ผู้อ่านได้ข้อมูลเป็นภาพรวมที่ชัดเจนมากขึ้น
เอกสารเผยแพร่

การสัมผัสระหว่างเชื้อมาลาเรียและคนได้รับการศึกษาโดยใช้ cryo-EM
คณะนักวิจัยจาก Melbourne's Walter and Eliza Hall Institute และ Howard Hughes Medical Institute (US) ใช้เทคโนโลยีที่ได้รับรางวัลโนเบลได้แก่ cryo-EM (cryo-electron microscopy) เพื่อศึกษาการสัมผัสระหว่างเชื้อมาลาเรีย Plasmodium vivax และเซลล์เม็ดเลือดแดงที่อายุน้อย ซึ่งบุกรุกเพื่อเริ่มการแพร่กระจายของเชื้อมาลาเรียไปทั่วร่างกาย การค้นพบครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร Nature ก่อนหน้านี้ คณะนักวิจัยค้นพบว่าเชื้อมาลาเรีย P. vivax ใช้ตัวรับ transferrin ของคนเพื่อเข้าถึงเซลล์เม็ดเลือดแดง การศึกษาครั้งนั้นเผยแพร่ในวารสาร Science ขณะนี้โดยใช้ cryo-EM รองศาสตราจารย์ Wai-Hong Tham หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า คณะนักวิจัยสามารถเอาชนะความยากทางเทคนิค โดยสามารถมองเห็นการกระทำนั้นที่ระดับอะตอม รองศาสตราจารย์ Tham กล่าวว่า ขณะนี้สามารถศึกษาระดับอะตอมของเชื้อมาลาเรีย P. vivax มีปฏิกิริยาต่อ (interact) ตัวรับ transferrin ของคนอย่างไร นี้จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะก้าวสู่การพัฒนายาต้านมาลาเรียและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ cryo-EM ทำให้นักวิจัยสามารถเห็นโครงสร้างซึ่งใหญ่และซับซ้อนมาก รองศาสตราจารย์ Tham กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะพัฒนาวัคซีน เนื่องจากเชื้อมาลาเรีย P. vivax มีความหลากหลายมาก ขณะนี้ค้นพบเครื่องมือระดับโมเลกุลซึ่งจะเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับวัคซีนต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพต่อเชื้อมาลาเรีย P. vivax ที่หลากหลายมากที่สุด ที่มา: Walter and Eliza Hall Institute (2018, June 27). First malaria-human contact mapped with Nobel Prize-winning technology. ScienceDaily. Retrieved August 15, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180627160511.htm
นานาสาระน่ารู้

ค้นพบยีนเกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายของมะเร็ง
คณะนักวิจัยจาก University of Alberta ค้นพบเป้าหมายในการรักษาซึ่งสามารถเป็นหลักในการป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็ง การค้นพบครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร Nature Communications คณะนักวิจัยใช้ตัวอ่อนสัตว์ปีกที่ไม่มีเยื่อหุ้ม (shell-less avian embryo) เพื่อดูการเจริญและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งแบบ real time และใช้เครื่องมือระดับโมเลกุลที่มีชื่อว่า knockout library เพื่อใส่เวกเตอร์ short hairpin RNA (shRNA) เข้าไปในเซลล์มะเร็ง ซึ่งเวกเตอร์จะจับกับยีนที่จำเพาะในเซลล์มะเร็งและหยุดยีนเหล่านั้นจากการกระตุ้น ต่อมาใส่เซลล์มะเร็งเหล่านั้นเข้าไปในตัวอ่อนและสังเกตในขณะที่เซลล์มะเร็งสร้างกลุ่มมะเร็ง แล้วแสดงว่ากลุ่มมะเร็งไหนมีคุณสมบัติไม่สามารถแพร่กระจาย Konstantin Stoletov หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า เมื่อพบ compact colonies ของมะเร็งหมายความว่าทุกขั้นตอนไปยังการแพร่กระจายถูกห้าม หลังจากนั้นศึกษา colonies เหล่านั้นว่ามียีนอะไร และต่อมาตรวจสอบว่ายีนนั้นเกี่ยวข้องกับการแพร่กระจายจริงๆ วิธีนี้ทำให้คณะนักวิจัยค้นพบ 11 ยีนซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญกับการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งยีนเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างกว้างๆ ในขบวนการการแพร่กระจายและไม่จำเพาะกับมะเร็งชนิดไหน ที่มา: University of Alberta Faculty of Medicine & Dentistry (2018, June 20). Putting the brakes on metastatic cancer. ScienceDaily. Retrieved August 15, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180620125909.htm
นานาสาระน่ารู้

สารประกอบผลิตในร่างกายคนหยุดไวรัสจากการเพิ่มจำนวน
คณะนักวิจัยจาก Penn State และ Albert Einstein College of Medicine แสดงกลไกการทำงานของ viperin ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ซึ่งมีผลต่อต้านไวรัสหลายชนิด ได้แก่ West Nile ตับอักเสบซี พิษสุนัขบ้า และเอชไอวี เอนไซม์ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาซึ่งผลิตโมเลกุล ddhCTP ซึ่งป้องกันไวรัสจากการทำสำเนาสารพันธุกรรมและดังนั้นจากการเพิ่มจำนวน การค้นพบนี้สามารถทำให้นักวิจัยพัฒนายาซึ่งชักนำให้ร่างกายคนผลิตโมเลกุลนี้และสามารถเป็นการรักษาได้กว้างสำหรับไวรัสหลายตัว การศึกษาครั้งนี้เผยแพร่ในวารสาร Nature ไวรัสทั่วไปใช้ส่วนประกอบทางพันธุกรรมของเจ้าบ้านเพื่อทำสำเนาสารพันธุกรรมของตัวเอง คือการเติมโมเลกุลที่เรียกว่า nucleotide เข้าไปในสายอาร์เอ็นเอ โมเลกุล ddhCTP เลียนแบบ nucleotide เหล่านี้และดังนั้นเข้าไปอยู่ในสายอาร์เอ็นเอของไวรัส และป้องกันเอนไซม์ RNA polymerase จากการเติม nucleotide เข้าไปในสาย ดังนั้นป้องกันไวรัสจากการทำสำเนาสารพันธุกรรม จึงทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนไม่ได้ รองศาสตราจารย์ Jamie Arnold หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า อุปสรรคหลักของการพัฒนา nucleotide ต้านไวรัสที่มีประโยชน์ในการรักษาคือ การออกฤทธิ์ไม่ตรงเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา ค้นพบว่าโมเลกุลเลียนแบบ nucleotide ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อการรักษาตับอับเสบซีสามารถขัดขวางการผลิตอาร์เอ็นเอใน mitochondria ของเซลล์ของผู้ป่วย อย่างไรก็ตามโมเลกุล ddhCTP ไม่พบว่าออกฤทธิ์ไม่ตรงเป้าหมาย คณะนักวิจัยคาดว่าการเกิดขึ้นในธรรมชาติของสารประกอบนั้นภายในร่างกายคนทำให้ไม่มีพิษ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของ ddhCTP คณะนักวิจัยแสดงว่าโมเลกุลยับยั้งเอนไซม์ RNA polymerase ของไวรัสไข้เลือดออก ไวรัส West Nile และไวรัส Zika ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า flaviviruses ต่อมาได้ค้นหาว่าโมเลกุลยับยั้งการทำสำเนาสารพันธุกรรมของไวรัส Zika ในเซลล์มีชีวิตหรือไม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Joyce Jose หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า โมเลกุลยับยั้งโดยตรงการทำสำเนาสารพันธุกรรมของไวรัส Zika 3 สายพันธุ์ โดยมีประสิทธิภาพเท่าๆ กันต่อสายพันธุ์ต้นกำเนิดจากปี 1947 และต่ออีก 2 สายพันธุ์จากการระบาดเมื่อเร็วๆ นี้ปี 2016 นี้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเพราะยังไม่มีวิธีรักษาสำหรับ Zika โดยสรุปผลการศึกษาแสดงผลต้านไวรัสหลายตัวของ flaviviruses ของ ddhCTP แต่เอนไซม์ RNA polymerase ของไวรัสไรโน (rhinovirus) และไวรัสโปลิโอของคน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า picornaviruses ไม่ถูกยับยั้งด้วยโมเลกุล คณะนักวิจัยวางแผนที่จะศึกษาโครงสร้าง polymerase ของไวรัสเหล่านี้เพื่อให้เข้าใจดีขึ้นทำไม flaviviruses จึงถูกยับยั้งโดย ddhCTP ในขณะที่ picornaviruses ไม่ถูกยับยั้ง การศึกษานี้ยังอาจจะทำให้เข้าใจว่า flaviviruses อาจพัฒนาการดื้อต่อโมเลกุลอย่างไร ที่มา: Penn State (2018, June 20). Compound made inside human body stops viruses from replicating. ScienceDaily. Retrieved August 15, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180620150150.htm
นานาสาระน่ารู้

วิธีใหม่ในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ถูก เร็ว และดีกว่า
คณะนักวิจัยจาก Department of Energy's Joint BioEnergy Institute ได้พัฒนาวิธีใหม่ในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอที่ รวดเร็วกว่า ถูกกว่าและถูกต้องมากกว่า งานวิจัยครั้งนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร Nature Biotechnology ตามปกติเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอคือ TdT (terminal deoxynucleotidyl transferase) และ nucleotide (องค์ประกอบย่อยของดีเอ็นเอ) ที่ใช้จะต้องมีกลุ่มห้าม (blocking group) อย่างไรก็ตามมีปัญหาว่าบริเวณเร่งของเอนไซม์ไม่ใหญ่พอที่ nucleotide ที่มีกลุ่มห้ามจะเข้าไป Daniel Arlow หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า นักวิจัยพยายามที่จะขยายช่องในเอนไซม์โดยทำให้เกิดการกลายพันธุ์เพื่อทำให้มีบริเวณสำหรับกลุ่มห้าม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเพราะต้องขยายบริเวณและต้องไม่ทำให้การทำหน้าที่ของเอนไซม์เสียไป Arlow กล่าวว่า แทนที่จะขยายบริเวณในเอนไซม์ สิ่งที่ทำคือทำให้หนึ่ง nucleotide ติดกับแต่ละเอนไซม์ TdT ด้วยตัวเชื่อมที่ตัดออกได้ ด้วยวิธีนี้หลังจากสังเคราะห์เพิ่มโมเลกุลดีเอ็นเอโดยใช้ nucleotide ที่ถูกเชื่อมติด เอนไซม์จะไม่มี nucleotide อื่นเพื่อเพิ่มเข้าไปในสายดีเอ็นเอ ดังนั้นเอนไซม์จึงหยุด ข้อดีหลักของวิธีนี้คือ แกนหลัก (backbone) ของดีเอ็นเอ เหมือนกับดีเอ็นเอในธรรมชาติ เมื่อ nucleotide ถูกเติมเข้าไปในสายดีเอ็นเอ เอนไซม์จะถูกตัดออก ต่อจากนั้นรอบใหม่สามารถเริ่มอีกครั้งด้วย nucleotide ตัวถัดไปเชื่อมติดกับอีกหนึ่งเอนไซม์ TdT ที่มา: DOE/Lawrence Berkeley National Laboratory (2018, June 18). Faster, cheaper, better: A new way to synthesize DNA. ScienceDaily. Retrieved August 10, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180618163842.htm
นานาสาระน่ารู้

เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บพลังงานของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขึ้น 3 เท่า
ความร่วมมือนำโดยคณะนักวิจัยจาก University of Maryland, the U.S. Department of Energy's (DOE) Brookhaven National Laboratory, และ the U.S. Army Research Lab พัฒนาและศึกษาวัสดุของขั้วลบซึ่งสามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานของขั้วไฟฟ้าของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนขึ้น 3 เท่า งานวิจัยนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร Nature Communications คณะนักวิจัยสังเคราะห์วัสดุของขั้วลบ เป็นรูปที่ถูกปรับเปลี่ยนของ iron trifluoride (FeF3) ซึ่งประกอบด้วยธาตุที่มีราคาไม่แพงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเช่น iron และ fluorine คณะนักวิจัยเลือกที่จะใช้ FeF3 ในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเพราะให้ความจุที่มากกว่าวัสดุของขั้วลบทั่วไป Enyuan Hu หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า วัสดุที่ใช้ในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนตามปกติใช้ intercalation chemistry ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก แต่ขนส่งอิเล็กตรอนเดียวดังนั้นความจุของขั้วลบจึงถูกจำกัด FeF3 สามารถขนส่งหลายอิเล็กตรอนโดยกลไกของปฏิกิริยาที่ซับซ้อนมากกว่าที่มีชื่อว่า conversion reaction ถึงแม้ FeF3 สามารถเพิ่มความจุของขั้วลบ แต่ไม่สามารถทำงานได้ดีในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเนื่องจาก 3 ข้อจำกัดของ conversion reaction เพื่อแก้ปัญหานี้ คณะนักวิจัยได้เพิ่มอะตอม cobalt และ oxygen ไปยัง FeF3 nanorod โดยขบวนการที่มีชื่อว่า chemical substitution Sooyeon Hwang หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า เมื่อลิเทียมไอออนถูกแทรกเข้าไปใน FeF3 วัสดุนี้ถูกเปลี่ยนเป็น iron และ lithium fluoride อย่างไรก็ตามปฏิกิริยานี้ไม่สามารถผันกลับได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากแทนที่ด้วย cobalt และ oxygen โครงสร้างหลักของวัสดุของขั้วลบคงสภาพไว้ดีขึ้นและปฏิกิริยาผันกลับได้ดีขึ้น ที่มา: DOE/Brookhaven National Laboratory (2018, June 14).Tripling the energy storage of lithium-ion batteries. ScienceDaily. Retrieved August 10, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180614213644.htm
นานาสาระน่ารู้

ยีสต์มีการแปลรหัสดีเอ็นเอเป็นแบบสุ่มได้เป็น 2 แบบ
คณะนักวิจัยจาก Milner Centre for Evolution ที่ University of Bath และ Max-Planck Institute for Biophysical Chemistry ที่ Gottingen ประเทศเยอรมัน ค้นพบเป็นครั้งแรกยีสต์ใช้การแปลรหัสดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน 2 แบบโดยการสุ่ม การค้นพบนี้ถูกเผยแพร่ในวารสาร Current Biology ยีสต์ที่มีชื่อว่า Ascoidea asiatica สามารถแปลรหัส CTG เป็นกรดอะมิโน serine หรือ leucine แบบสุ่มเหมือนโยนเหรียญหัวก้อย เพื่อทำให้เข้าใจว่ากลไกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร คณะนักวิจัยศึกษา tRNA (ตัวแปลรหัสดีเอ็นเอโดยอ่านรหัสแล้วนำกรดอะมิโนมาต่อกันเป็นโปรตีน) ดร. Martin Kollmar หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวว่า A. asiatica มี 2 ชนิด ของ tRNA สำหรับรหัส CTG หนึ่งชนิดเชื่อมติดกับ leucine และอีกหนึ่งชนิดเชื่อมติดกับ serine ดังนั้นเมื่อแปลรหัส CTG จะมีการสุ่มหยิบหนึ่งชนิดจากสองชนิดของ tRNA ดังนั้นหยิบแบบสุ่มระหว่าง serine และ leucine ดร. Stefanie Muhlhausen หนึ่งในคณะนักวิจัย กล่าวเพิ่มว่า การเปลี่ยนจาก luecine เป็น serine สามารถทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในโปรตีนเนื่องจากทั้งสองกรดอะมิโนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน serine พบบ่อยๆ บนผิวของโปรตีนในขณะที่ leucine ไม่ชอบน้ำจะฝังตัวอยู่ภายในโปรตีน ยีสต์นี้แก้ปัญหาการแปลรหัสแบบสุ่มได้อย่างไร พบว่า A. asiatica มีการใช้รหัส CTG ไม่บ่อยและหลีกเลี่ยงส่วนสำคัญของโปรตีน ที่มา: University of Bath (2018, June 14). Microbe breaks 'universal' DNA rule by using two different translations. ScienceDaily. Retrieved August 10, 2018, from https://www.sciencedaily.com/releases/2018/06/180614213814.htm
นานาสาระน่ารู้