หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกเผยแพร่ผลงานในวารสารทั่วไปกับวารสารเฉพาะทาง
1. การค้นพบจะมีผลต่อนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิจัย มีการประยุกต์ใช้ในวงกว้างในการปฏิบัติทางคลินิก และหรือแม้แต่เป็นที่สนใจของผู้อ่านที่ไม่เฉพาะทางใช่ไหม ผลการศึกษาจะทำให้เกิดความก้าวหน้าเป็นหลักในงานวิจัยในสาขาเฉพาะและเป็นที่สนใจอย่างมากต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางใช่ไหม งานที่มีความสำคัญในท้องถิ่นเช่น งานวิจัยโรคประจำถิ่น และรายงานของเรื่องราวทางคลินิกที่ไม่ธรรมดาอาจเหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวารสารเฉพาะทาง 2. วารสารทั่วไปเช่น Nature และ Science มีค่า impact factor สูง (41.456 และ 33.611 ตามลำดับ ของปี 2014) บอกถึงอัตราการอ้างอิงที่สูงและดังนั้นทำให้เกิดการเผยแพร่ที่กว้างกว่าและการมองเห็น (visibility) ที่มากกว่า ผลก็คือวารสารเหล่านี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่มากกว่าในการตีพิมพ์และมีอัตราการตอบรับที่ต่ำกว่า (ประมาณ 8-10% สำหรับ Nature และ Science) ในขณะที่เนื่องจากเป็นที่สนใจต่อผู้อ่านจำนวนน้อย บทความในวารสารเฉพาะทางอาจได้รับการอ้างอิงเล็กน้อย (ตัวอย่างเช่น Journal of Immunology มีค่า impact factor เท่ากับ 5.5) แต่มีการส่งผลงานเพื่อตีพิมพ์น้อยอาจเพิ่มอัตราการตอบรับ (41%) และประสิทธิภาพของการ review และการตีพิมพ์ วารสารเฉพาะทางดังนั้นอาจทำให้เกิดการแบ่งปันผลการศึกษาอย่างเฉพาะมากกว่ากับกลุ่มการวิจัยที่จำเพาะ เพิ่มความเป็นไปได้ของการจัดการงานวิจัยในอนาคตในสาขาจำเพาะ ที่มา: Michaela Panter. How to Choose Between General and Specialized Journals. American Journal Experts. Retrieved September 17, 2018, from https://www.aje.com/en/arc/how-choose-between-general-and-specialized-journals/
นานาสาระน่ารู้
 
แนวคิดที่ผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่แบบเข้าถึงแบบเปิด
1. วารสารเข้าถึงแบบเปิดไม่มีการ peer-reviewในขณะที่เป็นไปได้ที่จะพบวารสารผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งไม่ใช้ขบวนการ peer review ส่วนใหญ่ของวารสารเข้าถึงแบบเปิดใช้ขบวนการ peer review เหมือนกับวารสารแบบดั้งเดิม 2. วารสารเข้าถึงแบบเปิดมีคุณภาพที่แย่กว่าวารสารที่ต้องบอกรับเป็นสมาชิกแบบดั้งเดิมหลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดเป็นผู้นำในสาขามีค่า impact factor ที่สูง 3. บทความเข้าถึงแบบเปิดไม่มีลิขสิทธิ์นักวิจัยบางคนกลัวว่าการเผยแพร่บทความเข้าถึงแบบเปิดหมายความว่าบทความไม่ถูกคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์แต่นี้ไม่ใช่เรื่องจริง ความจริงคือการเข้าถึงแบบเปิดทำให้บ่อยๆ ผู้แต่งยังคงมีลิขสิทธิ์ในบทความ ในบางกรณีผู้แต่งเผยแพร่ในวารสารแบบดั้งเดิมอาจต้องการการอนุญาตเพื่อใช้รูปภาพหรือเนื้อหาเมื่อสอนในห้องเรียน วัสดุเข้าถึงแบบเปิดไม่มีข้อจำกัดนี้ หลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดใช้การอนุญาตแบบ Creative Commons ซึ่งยอมให้ใช้วัสดุถ้ามีการอ้างอิงผู้แต่งต้นฉบับ 4. การเข้าถึงแบบเปิดเป็นเพียงแฟชั่นชั่วขณะ 5. การเข้าถึงแบบเปิดเพียงช่วยผู้อ่านไม่ใช่ผู้แต่งการเข้าถึงแบบเปิดมีประโยชน์ต่อผู้อ่านเพราะเป็นวิธีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดูบทความที่ถูกเผยแพร่ อย่างไรก็ตามการเข้าถึงแบบเปิดมีประโยชน์ต่อผู้แต่งด้วย การมองเห็นที่เพิ่มขึ้นของบทความที่ถูกเผยแพร่ทำให้บ่อยๆ เพิ่มความถี่การอ้างอิง ซึ่งมีประโยชน์ต่อนักวิจัย ที่มา: Ben Mudrak. OPEN ACCESS PUBLISHING: FIVE MYTHS . American Journal Experts. Retrieved August 27, 2018, from https://www.aje.com/dist/docs/aje_open_access_myths.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
การอนุญาตแบบ Creative Commons
การอนุญาตที่มีชื่อเสียงมาก 1 ชุดถูกพัฒนาโดย Creative Commons เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรที่มีจุดประสงค์เพื่อทำให้งานสร้างสรรค์มีให้สำหรับการค้นพบและการใช้ซ้ำ ถูกพัฒนาเริ่มต้นโดยศาสตราจารย์ทางกฎหมายของ Harvard ชื่อว่า Lawrence Lessig การอนุญาตแบบ Creative Commons มีหลายแบบ ดังนี้ 1. ใช้สัญลักษณ์ CC-BY เป็นการอนุญาตที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุด ยอมให้ผู้ใช้เผยแพร่ ผสม สร้าง งานต้นฉบับ เพียงอ้างอิงผู้แต่ง การอนุญาตนี้ไม่เพียงยอมให้ดาวน์โหลดและทำสำเนาแต่ยังยอมให้ textmining และกระบวนการอัตโนมัติอื่นๆ 2. CC-BY-SA ต้องการให้ผู้ใช้ใช้การอนุญาตงานใหม่แบบเดียวกับต้นฉบับ นอกจากต้องอ้างอิงผู้แต่ง 3. CC-BY-ND ต้องการให้ผู้ใช้อ้างอิงผู้แต่งและไม่มีการดัดแปลงงานต้นฉบับ 4. CC-BY-NC ยอมให้ผู้ใช้ผสมหรือแม้แต่ดัดแปลงต้นฉบับ (ด้วยความเหมาะสม) เพียงผู้ใช้ไม่ใช้เพื่อจุดประสงค์ทางการค้า ไม่มีข้อจำกัดของการอนุญาตงานใหม่ 5. CC-BY-NC-SA การอนุญาตนี้รวมการไม่ใช้เพื่อการค้ากับการอนุญาตงานใหม่แบบเดียวกับต้นฉบับและต้องอ้างอิงผู้แต่ง 6. CC-BY-NC-ND การอนุญาตเพียงยอมให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดและแบ่งปันงานต้นฉบับ และต้องอ้างอิงผู้แต่ง ไม่ให้ดัดแปลงงานต้นฉบับหรือใช้เพื่อการค้า เป็นการอนุญาตที่มีข้อจำกัดมากที่สุด 7. CC0 การอนุญาตนี้มีชื่อว่า public domain ในกรณีนี้ข้อจำกัดทั้งหมดข้างต้นไม่นำมาใช้ และรูปภาพสามารถใช้ในทางถูกกฎหมาย ที่มา:  Ben Mudrak. Creative Commons Licenses: An Introduction for Researchers. American Journal Experts. Retrieved August 27, 2018, from https://www.aje.com/en/arc/creative-commons-intro/
นานาสาระน่ารู้
 
STKS เยี่ยมชมหอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวัน
               28 กรกฏาคม 2561 ตัวแทนจาก STKS ได้ติดต่อเพื่อขอเข้าเยี่ยมชม ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวันอย่างเป็นทางการ https://www.archives.gov.tw/english โดยมุ่งเน้นในประเด็นการเก็บรักษาข้อมูลสำคัญของประเทศว่ามีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร  ทางทีม STKS ได้รับไมตรีจิตอันดีจากทีมผู้บริหารรวมถึงนักวิจัยจาก PEARL LAB (Preserving Electronic Archives & Records Laboratory) ร่วมให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ที่ทางเราอยากแชร์ให้กับทุกท่านได้ทราบครับ แต่ก่อนอื่นเรามาทราบความเป็นมาของหอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวันกันก่อนครับ          หอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวัน ก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ในการจัดการเอกสารและข้อมูลหลักฐานสำคัญของชาติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542  ผ่านมติพระราชบัญญัติคลังข้อมูล และมีผลบังคับใช้เพื่อรากฐานทางกฏหมายในการจัดการจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นมา  สำนักงานตั้งอยู่ที่ Address:9F., North Tower, No.439, Zhongping Rd., Xinzhuang Dist., New Taipei City 242, Taiwan (R.O.C.)           หอจดหมายเหตุแห่งชาติไต้หวันจัดเก็บ Collection ข้อมูลในหลายรูปแบบ ปัจจุบันมี Collection ณ วันที่  30 มิถุนายน 2561 แยกตามหมวดหมู่มากมาย ดังภาพ                    ในการเยี่ยมชมดูงาน นักวิจัยจาก PEARL LAB Preserving Electronic Archives & Records Laboratory  https://pearl.archives.gov.tw/english/Default.aspx  กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดเก็บ media ในรูปแบบต่าง ๆ มีการให้บริการกับองค์กรหรือเอกชนในการจัดการด้านสื่อต่าง ๆ แบ่งประเภทได้ดังนี้Electronic Records Format Migration       เป็นการให้บริการแปลงข้อมูลเอกสารไปสู่รูปแบบอื่น ๆ อย่างมีมาตรฐานรองรับและรูปแบบที่หลากหลายจากทีมงานและนักวิจัยMedia Migration      เป็นการแปลงไฟล์สื่อในอดีตให้สามารถใช้งานเข้าสู่ยุคดิจิทัล สื่อที่ครอบคลุม ได้แก่ สื่อชนิด CD,VHS/Beta/Betacam, Vinyl,Tape , Microfilm , 3.5-inch floppy , Slide, Undeveloped film เป็นต้น           Electronic Records Recovery  ให้บริการกู้ไฟล์ข้อมูลดิจิทัลกับผู้ร้องขอStorage Media Destruction   ให้บริการทำลายมีเดียดิจิทัลTechnical and Operating Consultation ให้บริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคและการจัดการต่าง ๆ              ในการเยี่ยมชมครั้งนี้ ทีม STKS ได้เห็นเสน่ห์เล็ก ๆ ของ LAB ที่จัดวางพื้นที่ในห้องทำงานเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อย ๆ  บอกเล่าเรื่องราวถึง Hardware Software ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ MAC ยุคแรก เกมส์ยุคแรก สื่อบันทึกชนิดต่าง ๆ รวมถึง OS ตั้งแต่ DOS เป็นต้น ทุกสื่อดังกล่าวสามารถใช้งานได้จริง  และนำเสนอให้อยู่ในรูปแบบการใช้งานผ่าน emulator   พร้อมทั้งนักวิจัยก็ได้นำเยี่ยมชมการแปลงข้อมูลสื่อด้วยกระบวนการต่าง ๆ ด้วยครับ       โดยสรุป ประโยชน์ที่เราได้รับจากการศึกษาดูงานครั้งนี้  ได้เล็งเห็นว่าการอนุรักษ์สิ่งสำคัญของชาติ จำเป็นต้องมีรูปแบบ, มาตรฐาน, กฏหมาย, งานวิจัยและบุคลากรรองรับอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังสามารถให้บริการองค์ความรู้และสร้างความตระหนักให้แก่องค์กรหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศได้  ซึ่งสอดคล้องกับทีม STKS อันมีพันธกิจสร้างความตระหนักและเผยแพร่ความรู้รวมถึงมาตรฐานสื่อต่าง ๆ เช่นกันและสามารถสร้างความร่วมมือร่วมกันได้ระหว่างองค์กรอย่างแน่นอนภายในอนาคตครับ        
นานาสาระน่ารู้
 
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการศึกษาแบบเปิด (Open Education)
- การศึกษาแบบเปิดคืออะไรคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด  (Open educational resources (OER)) เป็นการสอน การเรียนรู้ และวัสดุวิจัยในสื่ออะไรก็ได้ซึ่งมีอยู่ใน public domain หรือถูกปล่อยออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด (open license) ซึ่งยอมให้มีการเข้าถึงแบบไม่มีค่าใช้จ่าย การใช้ การดัดแปลง การเผยแพร่โดยคนอื่น OER รวมถึง ตำราเรียน หลักสูตร การจดบันทึกการบรรยาย วีดีโอ เสียง การจำลอง การประเมิน และเนื้อหาอื่นๆ ใช้ในการศึกษา OER ทำให้เกิดการเข้าถึงวัสดุการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพสูง ซึ่งสามารถถูกตัดแต่งอย่างง่ายและดัดแปลงอย่างฟรี แก้ไข แบ่งปันกับครูและนักเรียนทั่วโลก OER สนับสนุนภารกิจของการศึกษาแบบเปิด ซึ่งเป็นการผสมรวมกันระหว่างเนื้อหาแบบเปิด วิธีปฏิบัติ นโยบาย และสังคม ซึ่งสามารถทำให้เกิดการเข้าถึงแบบกว้างโอกาสการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสำหรับทุกคน - การศึกษาแบบเปิดทำงานอย่างไรOER ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบดิจิทัลซึ่งทำให้ถูกเก็บ ทำสำเนา และกระจายออนไลน์ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด OER ยังรวมถึงเนื้อหาที่ถูกสั่งพิมพ์ซึ่งถูกอนุญาตแบบเปิด บางกรณีนักเรียนชอบวัสดุออนไลน์แต่เนื้อหาที่ถูกสั่งพิมพ์จำเป็นเมื่อคอมพิวเตอร์หรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไม่มีให้ ผู้ให้การสนับสนุนเชื่อว่าแหล่งทรัพยากรแบบเปิดควรจะเป็นไฟล์ที่ดัดแปลงได้ด้วยการอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อมีส่วนร่วมใน 5R ได้แก่ retain (ทำและควบคุมสำเนาของเนื้อหา รวมถึงการดาวน์โหลด ทำซ้ำ และเก็บวัสดุนั้น) reuse (ใช้เนื้อหาในหลายหนทางเช่น ในห้องเรียน บนเว็บไซต์ หรือผ่านวีดีโอ) revise (ดัดแปลง ปรับ แก้ไขเนื้อหา เช่น การแปลเป็นอีกหนึ่งภาษา) remix (รวมเนื้อหาต้นฉบับหรือแก้ไขกับวัสดุอื่นๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่) และ redistribute (แบ่งปันสำเนาของเนื้อหาต้นฉบับพร้อมกับการแก้ไข) การอนุญาตแบบเปิดเช่นที่พบใน Creative Commons ทำให้ง่ายที่จะใช้แบบเปิดและฟรีเนื้อหาในขณะที่ยังคงรักษาลิขสิทธิ์ของเจ้าของงานนั้น - ใครกำลังทำการศึกษาแบบเปิดOpenStax ของ Rice University พัฒนา 35 ตำราเรียนซึ่งใช้โดยนักเรียนในวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยมปลาย  Open Textbook Network ของ University of Minnesota จัดให้มี Open Textbook Library ซึ่งเป็นรายการของมากกว่า 480 ตำราเรียนที่ฟรี peer-review และอนุญาตแบบเปิด  BC Open Education Textbook Collection ของ BCcampus เป็นห้องสมุดของมากกว่า 240 ตำราเรียนแบบเปิด ใช้โดยหลายพันคณะและนักเรียน  Lumen Learning มีรายการของมากกว่า 45 ชุดของวัสดุของหลักสูตร OER ตัวอย่างและคลังของทรัพยากรแบบเปิดสามารถพบที่ Open Education Consortium, OER Commons และ MERLOT  Washington State Community College System จัดให้มี Open Washington ซึ่งช่วยคณะเรียนเกี่ยวกับและค้นหา OER  Creative Commons มีรายการคลัง OER - ทำไมการศึกษาแบบเปิดสำคัญOER สามารถยืดหยุ่นได้ ดัดแปลงได้ ใช้ฟรี แบ่งปันง่าย และสามารถเก็บได้ยาวนาน ทำให้คณะและนักเรียนพร้อมที่จะดัดแปลงเนื้อหาการศึกษาเพื่อตอบความต้องการของท้องถิ่น สำหรับนักเรียน OER ทำให้ประหยัดเงินเป็นดอลลาร์ในขณะที่ยังทำให้ผู้เรียนพร้อมเข้าถึงวัสดุการศึกษาที่ยืดหยุ่นได้มากและมีคุณภาพสูงที่หลากหลาย หลายผู้ปฏิบัติโต้แย้งว่าการศึกษาแบบเปิดสามารถเป็นวิธีปฏิบัติทางการศึกษาหลักด้วยผู้เรียนผลิต ประเมิน ใช้ เปลี่ยนแปลง และแบ่งปัน OER สำหรับคณะ เนื้อหาแบบเปิดทำให้มีโอกาสมากที่จะจัดการกับวัสดุการศึกษาและตัดแต่งเพื่อความต้องการของผู้เรียน แบ่งปันความรู้ทั่วการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย - อะไรเป็นผลเสียถึงแม้ OER ให้ใช้ฟรี เหมือนกับแหล่งทรัพยากรการศึกษาทั้งหมดต้องการการลงทุนเพื่อสร้าง นำมาใช้ และการรักษา ไม่ใช่ทุกสถาบันพร้อมที่จะจัดให้มีการตอบแทน การสนับสนุนบริการ และนโยบายที่จะสนับสนุนการพัฒนาของแหล่งทรัพยากรแบบเปิด หนึ่งอุปสรรคที่จะนำมาใช้คือบางสถาบันการศึกษายังคงพิจารณาเนื้อหาแบบเปิดด้อยกว่าวัสดุการศึกษาแบบดั้งเดิมและต่อต้านแนวคิดของการศึกษาแบบเปิด สิ่งที่ต้องทำคือเพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับคุณค่าและคุณภาพของ OER และงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของ OER ต่อสถาบันการศึกษา นอกจากนี้สิ่งที่ต้องทำคือพัฒนานโยบายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาและการกระจายของเนื้อหาแบบเปิด ที่มา: Educause Learning Initiative (June 2018). 7 THINGS YOU SHOULD KNOW ABOUT ... ™ Open Education: Content. Retrieved August 27, 2018, from https://library.educause.edu/~/media/files/library/2018/6/eli7157.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
National Central Library (NCL) หอสมุดแห่งชาติ ประเทศไต้หวัน
National Central Library (NCL) หอสมุดแห่งชาติ ประเทศไต้หวัน หอสมุดแห่งชาติ (National Central Library) ประเทศไต้หวัน เป็นหอสมุดแห่งชาติตั้งอยู่ใจกลางเมืองไทเป ให้บริการประชาชนทั่วไปและผู้ที่สนใจได้มาศึกษาหาความรู้ เป็นแหล่งรวบรวมหนังสือ E-book หนังสือหายาก  วารสารวิชาการ  ภาพวาดภาพเขียน หนังสือภาษาจีนโบราณ หนังสือเก่า  สำเนาจารึก แผนที่ แผนที่โบราณ ภาพเขียนพู่กันจีน และทรัพยากรด้านการศึกษาอื่นๆ จากการได้ไปเยี่ยมชมหอสมุดแห่งชาติ (National Central Library) ประเทศไต้หวัน ทำให้ได้เห็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรสารสนเทศ สำหรับการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัล เก็บรักษาหนังสือ และให้บริการด้านห้องสมุด รวมถึงใช้ในการนำเสนอในการจัดนิทรรศการภายในห้องสมุด เพื่อการเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ และรับชมสื่อทั้งแบบ สื่อสิ่งพิมพ์ ภาพ วิดีโอ และสื่อด้านดิจิทัลเข้าถึงง่าย ให้ผู้เข้ามาใช้บริการได้มีส่วนร่วม และเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้งาน ขอนำเสนอแบ่งตามวัตถุประสงค์การใช้งานดังนี้ 1. เทคโนโลยีการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัล มีการดำเนินการตามลำดับดังนี้1.1กำหนดประเภททรัพยากร Document Type เพื่อทำนำเข้าในรูปแบบดิจิทัลแยกตาม Equipment type• หนังสือโบราณ (String-bound Book) ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัลด้วย เครื่อง Flatbed Scanner ภาพวาดภาพเขียน ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัล กล้องถ่ายภาพดิจิทัลความละเอียดสูง หนังสือ (Book) และวารสาร (Periodical) ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัลด้วย เครื่อง V Shape Book Scanner Non-book Materials รูปแบบ Manuscripts ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัลด้วย เครื่อง Platform Scanner หนังสือพิมพ์ และ โปสเตอร์ขนาดใหญ่ ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัลด้วย เครื่อง Flatbed Scanner 1.2 เข้าสู่กระบวนการ Digitization Procedures Preliminary เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัล เช่นการตรวจสอบความพร้อมและกำหนดค่าพื้นฐานให้กับเครื่อง Equipment ที่จะดำเนินการ การเตรียมสร้างภาพดิจิทัลที่มีคุณภาพ เช่นการกำหนดสีของภาพ ขนาดของภาพ ความละเอียดของภาพ รวมทั้งการตรวจสอบความพร้อมของทรัพยากรที่จะนำเข้า Image Capture เป็นการดำเนินการสแกนด้วยรูปแบบดิจิทัล และนับจำนวนหน้าหนังสือ Quality Check การควบคุมคุณภาพ Auto Crop & Deskew ดำเนินการใช้ฟังก์ชั่นเพื่อช่วยครอบตัดพื้นที่ว่างอัตโนมัติและปรับเอียงอัตโนมัติ Background removing ดำเนินการใช้ฟังก์ชั่นเพื่อลบภาพพื้นหลังออกไป Adding Watermark ดำเนินการใช้ฟังก์ชั่นใส่ลายน้ำ Metadata Creation เป็นการดำเนินการกำหนดเมตาดาตาสำหรับสืบค้น Data Preservation ดำเนินการสงวนรักษาในรูปแบบดิจิทัลโดยกำหนดสีของภาพ ขนาดของภาพ ความละเอียดของภาพอย่างเป็นมาตรฐาน นำเสนอผ่าน Digital library system และ Application ที่เกี่ยวข้อง 2.เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการบริการ สำหรับการให้บริการหนังสือพิมพ์ประจำวัน ในรูปแบบดิจิทัลทำให้ผู้สูงอายุสามารถดูหนังสือพิมพ์ได้สะดวกด้วยหน้าจอใหญ่ชัด สำหรับการให้บริการหนังสือทั่วไป มีหน้าจอแสดงสถานะการยืมคืนทำให้ผู้ใช้บริการทราบสถานะได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการให้บริการหนังสือ มีเครื่อง Book Sanitation Box ทำความสะอาดหนังสือเพื่อความมั่นใจในการใช้หนังสือที่สะอาดและถูกหลักอนามัย สำหรับการให้บริการหนังสือ ผ่าน Mobile Application
นานาสาระน่ารู้
 
อบรมเชิงปฏิบัติการ ระบบฐานข้อมูลความสามารถและบริการด้านมาตรวิทยาของประเทศ (4 กันยายน 2561)
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กลุ่มงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง ระบบฐานข้อมูลความสามารถและบริการทางด้านมาตรวิทยาของประเทศ บรรยายให้ความรู้โดยนายชัยวุฒิ สีทา วิศวกร และนางสาวสุธิดา กุลวัฒนาภรณ์ วิศวกรอาวุโส ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(STKS) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อให้พนักงานสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติได้ทราบถึงการใช้งานในระบบทั้งในส่วนของ Front Office และ Back Office ณ อาคารสำนักงานกลาง สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ. จ.ปทุมธานี
นานาสาระน่ารู้
 
สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกวารสารที่เหมาะสมสำหรับงานวิจัย
1. อะไรเป็นจุดประสงค์และขอบเขต (scope) ของวารสาร ข้อมูลพบได้ในหน้า homepage ของวารสาร มองหาหัวข้อเกี่ยวกับวารสาร จุดประสงค์และขอบเขต หรือหัวข้อที่คล้ายกัน ดูที่หน้านั้นจะให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับงานวิจัยอาจจะเหมาะกับวารสารหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Clinical Cancer Research บอกว่าวารสารสนใจการทดลองและการศึกษาที่ใช้สัตว์ของยาใหม่และสารเป้าหมายระดับโมเลกุลที่จะนำไปสู่การทดลองทางคลินิก วารสารอื่นๆ อาจมีเกณฑ์ที่กว้างกว่านั้นและบางวารสารบอกว่าชอบงานวิจัยที่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น วารสาร Plant Cell บอกว่าเกณฑ์เบื้องต้นสำหรับการเผยแพร่คือ เป็นผลงานที่น่าสนใจอย่างกว้างๆ ของนักชีววิทยาพืชทั้งหมดไม่เพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ วารสาร PLOS ONE มีเกณฑ์ที่กว้างกว่านั้น ยอมรับรายงานวิจัยจากทุกสาขาทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ บางวารสารจะจำเพาะเจาะจงชนิดของงานวิจัยซึ่งไม่ยอมรับในการเผยแพร่ ตัวอย่างเช่น วารสาร Food Research International ไม่เผยแพร่การศึกษาซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิต 2. วารสารเผยแพร่บทความซึ่งคล้ายกับบทความที่จะลงเผยแพร่ใช่ไหม เมื่อรู้แล้วว่ามีวารสารจำนวนเล็กน้อยอาจจะลงเผยแพร่บทความ เพราะวารสารมีจุดประสงค์และขอบเขตที่กว้าง ให้ค้นหาด้วยคำสำคัญ (หรือหัวข้อ) ของบทความเพื่อหาว่าวารสารเผยแพร่งานซึ่งคล้ายคลึงกันไหม แล้วนำ 3-5 บทความซึ่งเผยแพร่ใน 5 ปีล่าสุดมาหาว่ามีความคล้ายกับบทความที่กำลังจะเผยแพร่ในด้านคุณภาพและขอบเขตหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ถ้าทำการศึกษาทางคลินิกกับผู้ป่วย 50 คน และวารสารเพียงเผยแพร่การศึกษาทางคลินิกกับผู้ป่วย 300 คนหรือมากกว่านี้ ดังนั้นวารสารอาจไม่เหมาะสมที่จะลงเผยแพร่ การหาบทความที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ในหัวข้อจำเพาะที่สนใจจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันอย่างดีว่าหัวข้องานวิจัยที่จะลงเผยแพร่จะเป็นที่สนใจของผู้อ่านของวารสาร 3. อะไรเป็นข้อจำกัดของวารสาร การส่งบทความไปยังวารสารซึ่งไม่รับบทความนั้นทำให้บทความถูกปฏิเสธทันที ตัวอย่างเช่น วารสาร British Journal of Surgery ไม่รับเผยแพร่ case reports ดังนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบหัวข้อข้อมูลสำหรับผู้แต่งของวารสารเป้าหมายเพื่อให้รู้ข้อจำกัดของวารสาร นอกจากนี้มีข้อจำกัดสำหรับจำนวนคำ ตัวอย่างเช่น ถ้าบทความมี 7,000 คำและวารสารยอมรับบทความมีความยาวไม่เกิน 4,000 คำ ดังนั้นจะต้องมีการแก้ไขบทความใหม่ ค่าใช้จ่ายในการเผยแพร่ยังสามารถเป็นข้อจำกัดด้วย ดังเช่นบางวารสารเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบทความที่สูงมาก 4. อะไรเป็น Impact Factor ของวารสาร Impact Factor ของวารสารเป็นตัววัดคุณภาพของวารสารเป็นเรื่องที่ถูกโต้แย้งเนื่องจากหลาย factor ซึ่งสามารถมีผลต่อการประสบความสำเร็จและไม่ใช่ทั้งหมดของ factor เหล่านั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณภาพของการเผยแพร่ในวารสาร  ถึงอย่างไรก็ตาม Impact Factor ยังคงเป็นวิธีที่เลือกโดยอัตโนมัติสำหรับระบุคุณภาพและชื่อเสียงของวารสาร ถึงแม้มีแรงจูงใจให้ส่งบทความไปยังวารสารที่มี Impact Factor สูงที่สุด เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องประเมินงานวิจัยและหาว่างานวิจัยนั้นจะเหมาะกับวารสารนั้นหรือไม่ มิฉะนั้นจะเสียเวลาที่มีค่าและความพยายามส่งใหม่ (เปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่) บทความหลายครั้งสำหรับหลายวารสาร ที่มา: Sarah Conte. Choosing the Right Journal for Your Research. American Journal Experts. Retrieved August 27, 2018, from https://www.aje.com/en/arc/choosing-right-journal-your-research/
นานาสาระน่ารู้
 
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกเผยแพร่ผลงานในระหว่างวารสารเข้าถึงแบบเปิด (open access journal) กับวารสารแบบดั้งเดิม (traditional journal)
วารสารเข้าถึงแบบเปิดมีเนื้อหาให้ฟรีบนเว็บไซต์และเก็บค่าใช้จ่ายกับนักวิจัยที่จะนำผลงานมาเผยแพร่ ส่วนวารสารแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่เก็บค่าใช้จ่ายที่สูงกับผู้อ่านเพื่อเข้าถึงเนื้อหาของวารสาร 1. ความสามารถในการมองเห็น (Visibility) เผยแพร่บทความในวารสารเข้าถึงแบบเปิดจะมีคนเห็นบทความนั้นมากกว่าเพราะมีคนมากกว่าที่สามารถเข้าถึงบทความนั้นได้  ถึงแม้ว่ายังไม่แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นในการดาวน์โหลดและผู้เยี่ยมชมทำให้อัตราการอ้างอิงเพิ่มขึ้นหรือไม่ การมองเห็นที่มากกว่าที่เกิดขึ้นกับการเข้าถึงแบบเปิดอาจทำให้พบผู้ร่วมงานที่มีศักยภาพง่ายขึ้น นอกจากนี้บทความจะมีให้กับครูและสาธารณชนที่ส่วนใหญ่ไม่บอกรับเป็นสมาชิกวารสารที่มีค่าสมาชิกแพง 2. ค่าใช้จ่าย ทั้งวารสารแบบดั้งเดิมและวารสารเข้าถึงแบบเปิดมีค่าใช้จ่ายน้อยในขั้นตอน submission ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการ peer-review และ editorial แต่มีความแตกต่างในค่าใช้จ่ายหลังจาก acceptance วารสารแบบดั้งเดิมทั่วไปเก็บค่าใช้จ่ายต่อหน้า (บ่อยๆ 100-250 ดอลลาร์ต่อหน้า) และหรือต่อรูปสี (150-1000 ดอลลาร์ต่อรูป)  อย่างไรก็ตามวารสารเข้าถึงแบบเปิดคิดค่าใช้จ่ายตามการดำเนินการบทความ นอกจากนี้มีค่าใช้จ่ายในการบอกรับเป็นสมาชิก (subscription) บางการบอกรับเป็นสมาชิกทางวิชาการมีค่าใช้จ่ายถึง 40,000 ดอลลาร์ เพื่อการเข้าถึงบทความแบบออนไลน์ ค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ นี้อาจเป็นสาเหตุให้บางห้องสมุดยกเลิกการบอกรับเป็นสมาชิก ตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายที่สูงในการบอกรับเป็นสมาชิกทำให้มหาวิทยาลัย Harvard กระตุ้นให้บุคลากรพิจารณาส่งบทความไปยังวารสารเข้าถึงแบบเปิดหรือไปยังวารสารที่มีค่าใช้จ่ายในการบอกรับเป็นสมาชิกที่สมเหตุผล 3. ชื่อเสียง นักวิจัยบางคนไม่อยากที่จะเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดเพราะไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าบางวารสารที่ใหญ่กว่าและมีความมั่นคงกว่า อย่างแท้จริงเหตุผลทั่วไปมากที่สุดซึ่งถูกพูดโดยผู้แต่งทางวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์สังคมสำหรับการไม่ตัดสินใจเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดคือคุณภาพของการเผยแพร่แบบเข้าถึงแบบเปิด นอกจากนี้หลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดเป็นวารสารใหม่และยังไม่มีค่า impact factor (IF) อย่างไรก็ตามวารสารเข้าถึงแบบเปิดที่มีค่า IF สูงมีอยู่ในหลายสาขา ในสาขาชีววิทยา วารสารเข้าถึงแบบเปิด PLOS Biology, BMC Biology และ PLOS ONE มีค่า IF เป็นที่ 1 ที่ 4 และที่ 10 ตามลำดับ ในปี 2009 ข้อมูลจากรายงานการอ้างอิงวารสาร (Journal Citation Reports) นอกจากนี้ในปีเดียวกันในสาขาคณิตศาสตร์และชีววิทยาคอมพิวเตอร์ วารสาร PLOS Computational Biology, BMC Systems Biology และ BMC Bioinformatics มีค่า IF เป็นที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ ความจริงยังคงเป็นว่าบุคลากรมหาวิทยาลัยยังคงให้ความสำคัญกับวารสารที่มีชื่อเสียงเพราะการเผยแพร่ในวารสารเหล่านั้นทำให้เพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่ง และโอกาสในการได้รับทุน 4. ความเร็ว จากการสำรวจหนึ่งพบว่าประมาณ 65-70% ของผู้แต่งทางวิทยาศาสตร์พิจารณาว่าความเร็วจาก acceptance ถึง publication มีความสำคัญมากหรือมีความสำคัญทีเดียวในการตัดสินใจว่าจะเผยแพร่ในวารสารไหน ในขณะที่ประมาณ 80-85% ของผู้แต่งเหล่านี้เชื่อว่าความเร็วจาก submission ถึง first decision มีความสำคัญมากหรือความสำคัญทีเดียวในการตัดสินใจว่าจะเผยแพร่ในวารสารไหน อย่างแน่นอนการเผยแพร่ในวารสารที่มีการ peer-review จะเสมอทำให้เกิดการล่าช้าตั้งแต่ขั้นตอน submission ถึง acceptance และในที่สุดถึง publication นี้จะเป็นปัญหาในทางวิทยาศาสตร์คลินิก ดังเช่นการเผยแพร่ผลการศึกษาล้าหลังการทดลองที่เสร็จโดยค่าเฉลี่ย 21 เดือน การล่าช้านี้ในการเผยแพร่ข้อมูลใหม่สามารถมีผลเสียหลายอย่างกับผู้ป่วยที่กำลังรอการรักษา ตามปกติวิธีแบบดั้งเดิมของการเผยแพร่บทความทำให้เกิดการล่าช้าที่สำคัญเนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องรวมบทความเป็นฉบับ เก็บรวบรวมบทความที่สามารถเผยแพร่ได้เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องเนื้อที่ เวลาที่ต้องการเพื่อพิมพ์สำเนาของวารสารและเผยแพร่ หลายวารสารเข้าถึงแบบเปิดมีการโฆษณาในคำแถลงของภารกิจว่ามีขวบนการการเผยแพร่ที่รวดเร็วกว่า เช่น วารสาร PLOS ONE มีคำแถลงว่าเร่งการเผยแพร่บทความทางวิทยาศาสตร์ที่มีการ peer-review การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ทดสอบ 135 วารสารที่มีอยู่ใน Scopus citation index และแสดงว่าเวลาตั้งแต่ขั้นตอน acceptance ถึง publication สั้นกว่าอย่างชัดเจนสำหรับวารสารเข้าถึงแบบเปิดเมื่อเปรียบเทียบกับวารสารแบบดั้งเดิม ดังนั้นถ้าความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะเลือกเผยแพร่ที่ไหน วารสารเข้าถึงแบบเปิดอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ประเด็นอื่นเพื่อพิจารณาในการตัดสินใจ เนื่องจากมีหลายวารสารที่มีค่า IF สูงในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและวิทยาศาสตร์คลินิก ดังนั้นการเผยแพร่ในวารสารเข้าถึงแบบเปิดจึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักวิจัยในสาขาเหล่านั้น ส่วนนักวิจัยในสาขาอื่นๆ อาจหันไปเผยแพร่ในวารสารแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือ การเข้าถึงแบบเปิดกำลังมีบทบาทมากในการเผยแพร่เนื่องจากวารสารแบบดั้งเดิมมีการนำการเข้าถึงแบบเปิดมาผสม วารสารเหล่านี้ทำให้ผู้แต่งต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับการเข้าถึงแบบเปิดเพื่อทำให้สามารถเข้าถึงบทความได้ฟรี ตัวอย่างเช่น วารสาร PNAS เก็บค่าใช้จ่ายจากผู้แต่งเป็นเงิน 1350 ดอลลาร์ (1000 ดอลลาร์ ถ้าสถาบันบอกรับเป็นสมาชิกวารสารนั้น) นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามปกติเพื่อทำให้บทความสามารถเข้าถึงได้แบบเปิด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างวารสารเข้าถึงแบบเปิดและวารสารแบบดั้งเดิม การเผยแพร่ในวารสารแบบผสมที่มีค่า IF สูงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (รวมระหว่างความสามารถมองเห็นได้สูงของวารสารเข้าถึงแบบเปิดและความเป็นที่รู้จักของวารสารแบบดั้งเดิม)  ที่มา: Sarah Conte. Making the Choice: Open Access vs. Traditional Journals. American Journal Experts. Retrieved August 24, 2018, from https://www.aje.com/en/arc/making-the-choice-open-access-vs-traditional-journals/
นานาสาระน่ารู้
 
Thai Open GLAM
โปสเตอร์วิชาการ เรื่อง Thai Open GLAM ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) นำเสนอในงาน The 1st International Conference on Library and Information Science : From Open Library to Open Society (iCoo 2018) ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2561 ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดนนทบุรี
การจัดการความรู้ (KM)
 
Cross-community Collaboration to Develop the Open Museum for Lifelong Learning
การนำเสนอพรีเซนเทชั่น เรื่อง Cross-community Collaboration to Develop the Open Museum for Lifelong Learning ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) ในงาน การประชุมวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ ASEAN Museum Forum 2018 ภายใต้กรอบแนวคิด Museum Media: Connecting Museums, Converging People / สื่อ สาระ เชื่อมพิพิธภัณฑ์ โยงผู้คน ระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2561 ณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร กรุงเทพมหานคร    
การจัดการความรู้ (KM)
 
ศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดของประเทศไทย
โปสเตอร์วิชาการ เรื่อง ศาสตร์พระราชา กับการพัฒนาคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดของประเทศไทย ของฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Knowledge Services - STKS) ซึ่งนำเสนอในงาน The 3rd National Conference On Informatics, Agriculture, Management, Business Administration, Engineering, Science and Technology (IAMBEST 2018) จัดโดย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ จังหวัดชุมพร ภายใต้กรอบแนวคิด ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ 24-25 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรม ลอฟท์ มาเนีย บูทีค โฮเทล (Loft mania Boutique Hotel) จังหวัดชุมพร (ดาวน์โหลดโปสเตอร์)  
การจัดการความรู้ (KM)