ผลการค้นหา : 
				 
									สถานภาพปัจจุบันของ KM ขององค์กรไทย
										บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ สถาบันเพื่อการจัดการความรู้และนวัตกรรมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ทำการสำรวจสถานภาพปัจจุบันของการจัดการความรู้ (Knowledge Management – KM) ขององค์กรในประเทศไทย เพื่อศึกษาว่าองค์กรต่างๆ ในประเทศไทยได้นำ KM มาใข้ในองค์กรอย่างไร
การศึกษาใช้แบบสอบถามออนไลน์เพื่อเก็บข้อมูล เพื่อประเมินสถานภาพของ KM ขององค์กรในประเทศไทย และวิเคราะห์ค้นหาปัจจัยขับเคลื่อนการจัดการความรู้ในองค์กรต่างๆ ดำเนินการเก็บข้อมูลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา
กลุ่มตัวอย่าง
มีกลุ่มตัวอย่างจาก 160 องค์กร
จำแนกตามประเภทขององค์กร คือ
 	หน่วยงานราชการ 49%
 	รัฐวิสาหกิจ 17% และ
 	บริษัทจดทะเบียน 34%
จำแนกตามขนาดองค์กร คือ
 	องค์กรที่มีบุคลากรจำนวนน้อยกว่า 100 คน 19%
 	องค์กรที่มีบุคลากรจำนวน 100-300 คน 30%
 	องค์กรที่มีบุคลากรจำนวน 301-1,000 คน 12% และ
 	องค์กรที่มีบุคลากรจำนวนมากกว่า 1,000 คน 39%
ผลการศึกษา
ประเภทขององค์กรที่มี KM
พบว่า 76% ขององค์กรมีการทำ KM ซึ่งหากจำแนกตามประเภทองค์กร พบว่า รัฐวิสาหกิจมีการทำ KM มากที่สุด (93%) รองลงมา คือ หน่วยงานราชการ (87%) และ บริษัทจดทะเบียน (52%) ซึ่งการที่รัฐวิสาหกิจและราชการมีตัวเลขของการทำ KM สูง คาดดว่าเกิดจากการอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งให้มีการผลักดันเรื่อง KM ในองค์กร
ความตระหนักในเรื่อง KM
พบว่าองค์กรส่วนใหญ่มีการดำเนินการ KM อย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 98%
 	องค์กรที่เพิ่งเริ่มดำเนินการ KM (2%)
 	ดำเนินการ KM มาแล้ว 1-3 ปี (20%)
 	ดำเนินการ KM มาแล้ว 4-6 ปี (25%)
 	ดำเนินการ KM มาแล้ว 7-9 ปี (20%)
 	ดำเนินการ KM มาแล้ว มากกว่า 10 ปี (33%)
ลักษณะของ KM ในองค์กร
พบว่า 3 ลักษณะสำคัญของ KM ในองค์กร คือ
 	การมีหน่วยงานที่ทำงานด้าน KM โดยเฉพาะ อาจอยู่ในระดับกลุ่มงาน ฝ่าย หรือแผนก (37%)
 	การจัดตั้งคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะ Cross functional team (30%) และ
 	การมีระดับการจัดการ มีผู้บริหารระดับสูง/กลางรับผิดชอบดูแล KM (23%)
 	อื่นๆ (10%)
Top 3 ลักษณะของ KM ในองค์กร
 	อันดับที่ 1 Knowledge Map การทำแผนที่ความรู้ เพื่อหาว่าความรู้ใดมีความสำคัญสำหรับองค์กร แล้วจัดลำดับความสำคัญของความรู้เหล่านั้น เพื่อให้องค์กรวางขอบเขตของการจัดการความรู้และสามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
 	อันดับที่ 2 Cross functional team การทำงานร่วมกันของคนหน่วยงาน แผนก หรือฝ่ายต่างๆ และ
 	อันดับที่ 3 IT based การนำ IT เข้ามาช่วยสนับสนุนและดำเนินการ KM
ผลลัพธ์ของ KM ในองค์กร
พบว่าผลลัพธ์ที่องค์กรคาดหวังจาก KM คือ นวัตกรรม คิดเป็น 53% สะท้อนว่าทำ KM ไม่ใช่เพื่อปรับปรุงงานอย่างเดิม แต่เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรม รองลงมาคือ การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มความสามารถขององค์กร การเพิ่มคุณภาพของสินค้าที่ส่งมอบ และอื่นๆ เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า และ ความสามารถของพนักงาน
ปัจจัยขับเคลื่อน KM ในองค์กร
พบ 4 ปัจจัยขับเคลื่อน KM ในองค์กร เรียงตามลำดับ คือ
 	การนำองค์กร โดยผู้บริหารระดับสูงสนับสนุนและมีค่านิยมส่งเสริมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
 	การวางแผนและทรัพยากรสนับสนุน โดยองค์กรกำหนดผู้รับผิดชอบและมีการจัดสรรงบสนับสนุนกิจกรรม/โครงการ KM อย่างชัดเจน
 	กระบวนการปฏิบัติงาน โดยองค์กรมีการสร้างความตระหนักต่อความเสี่ยงในกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ และ
 	บุคลากร โดยบุคลากรทุกระดับทั่วทั้งองค์กรมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และกิจกรรม KM
อุปสรรคของ KM ในองค์กร
พบว่าอุปสรรคของ KM ในองค์กร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องคน โดยเรียงตามลำดับ ได้แก่
 	บุคลากรขาดความตระหนัก/ความสนใจใน KM
 	ขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการและเครื่องมือ KM
 	ขาดแรงจูงใจ
 	ข้อจำกัดของบุคลากร (ขาดความรู้/ทักษะ)
 	ผู้บริหารขาดความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง
 	ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรไม่เอื้อ
ปัจจัยสู่ความสำเร็จของ KM ในองค์กร
ปัจจัยสู่ความสำเร็จของ KM ในองค์กร โดยเริ่มจากระดับล่างคือ KM process หมายถึง การสร้างความเข้าใจใน KM ว่ามีกระบวนการอย่างไร มีการบ่งชี้ความรู้สำคัญขององค์กร และการเข้าใจกระบวนการต่างๆ ขยับขึ้นมา คือ Leadership คือการที่ผู้บริหารมองความยั่งยืน การมีส่วนร่วม การเชื่อมโยง นโยบายและการปฏิบัติของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง KM และระดับสุดท้าย คือ KM strategy และ Operation ด้วยการโยงกลยุทธ์ KM และ การดำเนินงานไปที่ผลธุรกิจ เชื่อม KM ไปยังการดำเนินงาน
การสำรวจพบว่า คนและกระบวนการทำงาน คือปัจจัยที่ส่งผลลัพธ์ด้าน KM อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
อย่างไรก็ตามการสำรวจนี้มีข้อจำกัด คือ การใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือเดียวในการเก็บข้อมูล อาจมีเรื่องมุมมองส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม และตอบคำถามในมุมของตนเองหรืองานของตนเองเป็นหลักไม่ใช่ภาพรวมขององค์กร
สนใจติดตามรายงานการสำรวจฉบับเต็มเรื่องนี้ โดยบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ สถาบันเพื่อการจัดการความรู้และนวัตกรรมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เร็วๆ นี้
										การจัดการความรู้ (KM)
 									 
									มาตรฐานใหม่ล่าสุดสำหรับการจัดการความรู้  ISO 30401
										จาก ISO 9001:2015 สู่ ISO 30401:2018 และความสัมพันธ์
เมื่อปี 2015 มีการแก้ไขปรับปรุง ISO 9001 โดยมีการกำหนดหัวข้อใหม่ คือ 7.1.6 ความรู้องค์กร ซึ่งข้อกำหนดของข้อนี้คือ องค์กรควรจะกำหนดความรู้ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานตามกระบวนการและเพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์และบริการ ความรู้นี้ควรจะได้รับการธำรงรักษาไว้และทำให้มีอยู่ตามขอบเขตที่จำเป็น เมื่อมีการระบุความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้ม องค์กรควรจะพิจารณาความรู้ในปัจจุบันและพิจารณาวิธีการทำให้ได้มาหรือเข้าถึงความรู้เพิ่มเติมที่จำเป็นและความต้องการที่ทำให้ทันสมัย
อย่างไรก็ตาม ISO 9001:2015 ไม่ได้ลงในรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้องค์กร จนกระทั่งเดือน พฤศจิกายน ปี 2018 มีการประกาศ ISO 30401:2018 ระบบการจัดการความรู้ ซึ่งเสนอข้อกำหนดและแนะนำแนวทางในการจัดการความรู้ในองค์กร
ทั้ง ISO 9001:2015 และ ISO 30401:2018 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการ (Management Systems Standard -MSS) ซึ่งมีข้อกำหนดพร้อมคำแนะนำสำหรับการใช้งาน องค์กรสามารถอ้างถึงความสอดคล้องได้ องค์กรสามารถใช้ ISO 30401:2018 เพื่อตอบความต้องการหรือข้อกำหนดความรู้องค์กรตาม ISO 9001: 2015
ISO 30401:2018 คืออะไร
ที่ผ่านมานั้น ไม่มีคำจำกัดความที่เป็นที่ยอมรับสากลสำหรับการจัดการความรู้ และ ไม่เคยมีมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ในระดับสากล ขณะที่ปัญหาและอุปสรรคมากมายที่เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับการจัดการความรู้ในองค์กร โดยองค์กรจำนวนมากยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการความรู้ ตัวอย่างเช่น บางองค์กรมีมุมมองแต่เพียงว่าแค่ซื้อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การทำเว็บการจัดการความรู้ก็เพียงพอสำหรับการจัดการความรู้
ISO 30401:2018 ถูกเผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 หลังจากเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 โดย ISO 30401:2018 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการ ซึ่งเสนอข้อกำหนดและแนะนำแนวทางในการจัดตั้ง ดำเนินการ รักษา ตรวจสอบ และปรับปรุงระบบการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นไปที่วิธีการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบในการสร้างและใช้ความรู้
เจตนารมณ์ของ ISO 30401:2018
เจตนารมณ์ของ 30401:2018 คือการกำหนดหลักการและข้อกำหนดที่สำคัญของการจัดการความรู้ที่ดีเพื่อ
 	เป็นแนวทางสำหรับองค์กรที่ดำเนินการจัดการความรู้และต้องการให้การจัดการความรู้เป็นระบบ สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร โดยอาศัยเครื่องมือการจัดการความรู้ และ
 	เป็นพื้นฐานสำหรับการตรวจสอบรับรองประเมินผลและรับรององค์กรที่มีความสามารถด้านการจัดการความรู้โดยผ่านหน่วยงานตรวจสอบภายในและภายนอกที่เป็นที่ยอมรับ
หลักการระบบการจัดการความรู้ตาม ISO 30401:2018
ภายใต้ระบบมาตราฐานคุณภาพด้านการจัดการความรู้ตาม ISO 30401:2018 ได้กล่าวถึงหลักการ (Principle) 8 ข้อ ดังนี้
 	ธรรมชาติของความรู้: ความรู้ไม่สามารถจับต้องได้และมีความซับซ้อน ความรู้ถูกสร้างโดยคน
 	คุณค่า: ความรู้เป็นทรัพยากรที่สำคัญและมีมูลค่าสำหรับองค์กรเพื่อให้องค์กรบรรลุตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
 	การมุ่งเน้น: การจัดการความรู้ตอบสนองเป้าหมาย กลยุทธ์ และความต้องการขององค์กร
 	การปรับใช้: ไม่มีวิธีการจัดการความรู้ใดที่เหมาะสมกับทุกองค์กร วิธีการจัดการความรู้ขึ้นอยู่กับบริบทองค์กร องค์กรอาจต้องพัฒนาวิธีการจัดการความรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับบริบทองค์กร
 	ความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกัน: การจัดการความรู้ควรร่วมการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน การใช้เนื้อหา กระบวนการและเทคโนโลยี
 	สภาพแวดล้อม: ความรู้ไม่ได้ถูกจัดการโดยตรง ดังนั้นการจัดการความรู้จะต้องไปมุ่งเน้นการจัดการสภาพแวดล้อมการทำงาน และการดูแลวงจรชีวิตของความรู้
 	วัฒนธรรมองค์กร: วัฒนธรรมองค์กรมีผลต่อประสิทธิภาพการจัดการความรู้เป็นอย่างมาก วัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่เอื้อต่อการคิด การแสดงความเห็น การทำงานจะส่งผลต่อการจัดการความรู้โดยตรง
 	จุดเน้นย้ำ: การจัดการความรู้ควรต้องค่อยๆ ทำทีละช่วง แบ่งการดำเนินงานเป็นระยะหรือเฟส ให้สอดคล้องกับระบบการเรียนรู้ขององค์กร
ข้อกำหนดของ ISO 30401:2018
อ้างอิงจาก สราวุฒิ (2018) ซึ่งแปล ข้อกำหนด (Requirement) ของ ISO 30401:2018 ว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ
 	ทำความเข้าใจองค์กรและบริบทองค์กร
 	ทำความเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
 	กำหนดขอบเขตของระบบการจัดการความรู้ให้ชัดเจน
 	ระบบการจัดการความรู้
 	หลักการพื้นฐานทั่วไปของการจัดการความรู้
 	พัฒนาระบบความรู้
 	แสวงหาความรู้ใหม่ หรือ ความรู้ในอนาคต
 	นำความรู้ที่จัดการได้ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ
 	รักษาความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
 	บริหารจัดการความรู้ที่มีอยู่ให้ทันสมัย ถูกต้อง ลดข้อผิดพลาดจากการใช้ความรู้ไม่ถูกต้อง
 	การถ่ายทอดความรู้และสร้างการเปลี่ยนแปลง
 	เครื่องมือการจัดการความรู้ที่นำมาใช้ในองค์กร
 	วัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กร
 	การนำองค์กรและความมุ่งมั่นของผู้บริหาร
 	การกำหนดนโยบายที่ชัดเจน
 	การกำหนดบทบาทและหน้าที่ในระดับต่างๆ ในระบบการจัดการความรู้
 	การวางแผน การแสวงหาโอกาส และจัดการความเสี่ยงในกระบวนการจัดการความรู้
 	การกำหนดแผนและเป้าประสงค์ของการจัดการความรู้
 	การบริหารทรัพยากรและระบบสนับสนุนต่างๆ
 	การกำหนดสมรรถนะระดับต่างๆ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการจัดการความรู้จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 	การสร้างความตระหนักรู้ของบุคลากรในองค์กรในเรื่องของนโยบาย การถ่ายทอดแบ่งปันความรู้
 	การสื่อสารเพื่อให้เกิดการรับรู้ ทั่วทั้งองค์กรทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
 	การควบคุมสารสนเทศและเอกสาร ความปลอดภัยและการเข้าถึง
 	การดำเนินการจัดการความรู้จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรและตามแผนงานที่กำหนดไว้
 	การกำหนด การตรวจสอบ การวัด การวิเคราะห์และการประเมินผลระบบการจัดการความรู้
 	การจัดให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้ว่าได้ดำเนินการตามที่กำหนดไว้หรือไม่
 	การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร ผู้บริหารระดับสูงต้องทบทวนระบบการจัดการความรู้ขององค์กรตามช่วงเวลาที่วางแผนไว้เพื่อให้มั่นใจว่ามีความเหมาะสมความเพียงพอและมีประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง
 	การปรับปรุงพิจารณาจาก เมื่อพบความไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด และ เมื่อมีข้อที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
 	ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะรักษาระบบได้อย่างยั่งยืน
ระบบการจัดการความรู้ควรจะ
 	กำหนดเป้าหมาย สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อกำหนดเป้าหมายของการจัดการความรู้
 	ขอบเขตและลำดับความสำคัญของความรู้ที่จะมีการบริหารจัดการ
 	ครอบคลุมกระบวนการสำหรับการจัดหา การใช้ การทำลาย การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน การประมวลผลความรู้ การสังเคราะห์ การเรียนรู้
 	รวมและบูรณาการคน กระบวนการ โครงสร้างพื้นฐาน การกำกับดูแล และวัฒนธรรม
 	ภาวะผู้นำ เกี่ยวกับคุณค่า นโยบาย การบูรณาการการจัดการความรู้เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ ทรัพยากร บทบาทและความรับผิดชอบการจัดการความรู้ การสื่อสาร การจัดการการเปลี่ยนแปลง เมทริก การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
 	นิยามเป้าหมายและผลลัพธ์ จัดการแผนและผลลัพธ์
 	ทรัพยากร สมรรถนะ ความตระหนัก การสื่อสาร
 	ติดตามและประเมิน ปรับปรุง ตรวจสอบภายใน และทบทวนการจัดการ
ISO 30401:2018 ไม่ได้มีเจตนารมณ์เพื่อดำเนินการตรวจสอบ (audit) หรือการรับรอง แต่เพื่อเป็นแนวทางสำหรับองค์กรที่ดำเนินการจัดการความรู้และต้องการให้การจัดการความรู้เป็นระบบ สามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กร โดยอาศัยเครื่องมือการจัดการความรู้ และเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการตรวจสอบรับรองประเมินผลและรับรององค์กรที่มีความสามารถด้านการจัดการความรู้โดยผ่านหน่วยงานตรวจสอบภายในและภายนอกที่เป็นที่ยอมรับ
องค์กรสามารถใช้มาตรฐาน ISO 30401:2018 เป็นแนวทางการดำเนินงานระบบการจัดการความรู้ นอกจากนี้ ISO 30401:2018 อาจมีประโยชน์ในฐานะเป็นกรอบเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบควบคู่ไปกับ knowledge audits และ วิธีการประเมินการจัดการความรู้ในองค์กร
ที่มาข้อมูล
 	สราวุฒิ พันธุชงค์. (กุมภาพันธ์ 7, 2562). ISO 30401 Knowledge Management
ตอนที่ 4 Knowledge Management Requirement. เข้าถึงจาก https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10210777135945112&set=gm.2662494930433741&type=3&theater&ifg=1
 	Boyes, B. (October 6, 2015). How to meet the requirements of ISO 9001:2015 Clause 7.1.6 Organisational knowledge. Retrieved from https://realkm.com/2015/10/06/iso-9001-2015-clause-7-1-6-organisational-knowledge/
 	Boyes, B. (April 6, 2018). Implementing KM standard ISO 30401: risks and opportunities. Retrieved from https://realkm.com/2018/04/06/implementing-km-standard-iso-30401-risks-and-opportunities
 	International Organization for Standardization. ISO 30401:2018 Knowledge management systems - requirements. Retrieved from https://www.iso.org/standard/68683.html
 	ISO 30401 Knowledge management system - requirements. Retrieved from https://www.sis.se/api/document/preview/80007639/
 	Lambe, P. (2018). ISO 30401: Knowledge Management Systems - what does it mean for KM professionals and for organizations implementing KM? Retrieved from https://www.mykmroundtable.org/uploads/3/8/2/6/38261647/my_km_roundtable_iso_30401_dec_2018.pdf
										การจัดการความรู้ (KM)
 									 
									DaVinci Resolve โปรแกรมตัดต่อ VDO Freeware
										DaVinci Resolve คือโปรแกรมตัดต่อวีดีโอแบบฟรีแวร์ ที่มีความสามารถ มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย  วิธีการดาวน์โหลดโปรแกรม 1. เปิดเว็บไซต์ https://www.blackmagicdesign.com/products/davinciresolve/  2. Download เวอร์ชันฟรีและติดตั้ง  วิธีการใช้งานเบื้องต้น การตัดวีดีโอและเสียง 1.เมื่อวางวีดีโอแล้ว เลือกเครื่องมือ Blade Edit Mode  2.ตัดวีดีโอที่ต้องการในส่วนของ Video  3.ตัดเสียงก็ใช้เครื่องมือเดียวกัน แต่ไปตัดในส่วนของ Audio  การแทรกไฟล์ภาพ วีดีโอหรือเสียง 1.ต้อง Import ไฟล์ที่ต้องการเข้ามาก่อน  2.สามารถลากมาวางในส่วนที่ต้องการแทรกได้เลย ตัวอย่างการแทรกรูปภาพ ตัวอย่างการแทรกวีดีโอ ตัวอย่างการแทรกเสียง  การใส่ Title เครื่องมือใส่ Title จะอยู่บริเวณล่างซ้ายส่วนของหมายเลข 1 โดยเลือก Titles -> เลือกรูปแบบ ->ลากมาวางที่ต้องการ สามารถปรับ Title ได้ทุกส่วน ในเครื่องมือส่วนของหมายเลข 2  การใส่ Subtitle 1.เครื่องมือใส่ Subtitle จะอยู่บริเวณเดียวกับ Title แต่ให้เลื่อนลงมาล่างสุด  2.วาง Subtitle คนละขั้นกับวีดีโอ  3.สามารถตั้งค่าตัวอักษรได้ ตั้งค่าเวลาในการแสดงได้ ตัวอย่างการใส่ Subtitle  การตัดเสียง สามารถตัดระหว่างทางานได้ โดยคลิกซ้ายหรือเลือกที่ Audio -> เลือก Cut หรือ Delete Selected  หรือตัดเสียงตอนเสร็จงานก็ได้ เมื่อตัดต่อวีดีโอเสร็จแล้ว เลือก Deliver  เลือก Audio -> Export Auido ต้องไม่มีเครื่องหมายถูก จากนั้นจึงเรนเดอร์งาน  ข้อมูล ณ วันที่ 2 เมษายน 2562
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									การสำเนาข้อมูลจาก Instagram (IG)
										จากเหตุการณ์ที่มีกระแสข่าว "Facebook, Instagram ล่ม กระทบคนทั่วโลก" เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้ Facebook, Instagram อาจจะรู้สึกหวั่นๆ กับการสูญหายของความทรงจำ หรือเรื่องราวดีๆ ที่ได้โพส ทำสตอรี่ (Stories) สร้างอัลบั้ม ผ่านทั้ง 2 Application นี้ไว้ ปัญหาเหล่านี้คลี่คลายลงได้ด้วย "การทำสำเนาข้อมูล" .... อ่านไม่ผิดค่ะ เราสามารถทำ "สำเนาข้อมูล Facebook และ Instagram ได้" สำหรับ Instagram (IG) นั้นได้เปิดให้ผู้มีบัญชี IG ร้องขอ (Request) ข้อมูลทุกอย่างบน IG เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ General Data Protection Regulation (GDPR) ซึ่ง GDPR นั้นเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปว่าด้วยมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา จึงอาจจะส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน หรือ ภาคธุรกิจที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล (แหล่งข้อมูลเรื่อง GDRP เข้าถึงได้ที่ https://www.etda.or.th/content/gdpr-in-a-nutshell) ด้วยเหตุนี้ทาง IG จึงเปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดข้อมูลได้ทั้ง  Photos (ภาพ) Videos (วิดีโอ) เรื่องราว (Stories) Profile (ภาพโปรไฟล์) ข้อความตรง (Direct)  สำเนาข้อมูล Instagram จากเครื่องคอมพิวเตอร์ 1. เข้าสู่ Instagram จากเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย URL www.instagram.com และ login เข้าระบบด้วย Username และ Password ที่สมัครใช้บริการไว้  2. คลิกที่ icon รูปคน เพื่อเข้าสู่หน้า Profile ของตนเอง 3. เมื่อเข้าหน้า Profile ของตนเองได้แล้วให้คลิกที่รูปฟันเฟือง (setting)   4. เลือก "ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย"  5. เลือเมนู "การดาวน์โหลดข้อมูล" และคลิ๊กที่ "ส่งคำขอดาวน์โหลด"  6. เมื่อทำตามทั้ง 5 ตั้นตอนแล้ว ในขั้นตอนนี้ ระบบของ Instagram รับเรื่องร้องขอดาวน์โหลดข้อมูลแล้ว และแจ้งว่า "ได้จัดส่งลิงก์ดาวน์โหลดไปยัง email ที่ได้แจ้งไว้เรียบร้อยแล้ว" (ขั้นตอนนี้ระบบอาจจะใช้เวลา 24-48 ชั่วโมง)  7. เข้า email ที่ได้ทำการสมัครใช้ IG ไว้ เพื่อรับข้อมูลที่ระบบทำการดาวน์โหลดมาให้   8. คลิกเพื่อดาวน์โหลด Data ที่ระบบจัดส่งให้โดยจะได้เป็นไฟล์แบบบีบอัด (.zip) แยกเป็นส่วนๆ   9. เมื่อคลิ๊ก Download Data เรียบร้อยแล้ว ระบบจะแจ้งให้ยืนยันตัวตนโดยระบบจะกลับไปยังหน้า Instagram อีกครั้ง เพื่อให้ระบุ usernam & password อีกครั้ง  10. เมื่อเข้าระบบได้แล้วสามารถดาวน์โหลดข้อมูลได้ทันที จะได้เป็นไฟล์แบบบีบอัด (.zip) แยกเป็นส่วนๆ      เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง  Facebook and Instagram: ล่มอีกแล้ว ผู้ใช้ปลายทางอย่างเราทำยังไงดี? มาสำเนาข้อมูลกันนะครับ เก็บข้อมูลตนเองจาก Facebook กันนะครับ
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									แนะนำตัวอย่างบริการ Social Search Engine
										จากโลกในปัจจุบันที่ข้อมูลต่างๆได้มีการรวมตัวกันจากการใช้งานผ่าน Social Media ทำให้เกิดการบริการที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกิดขึ้น วันนี้ทางฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ขอนำเสนอบริการ Social Search Engine ที่ชื่อว่า "Zanroo social search"   "Zanroo social search" เป็น Social Search Engine โดยใช้งานผ่านเว็บไซต์ชื่อว่า Zanroo.com พัฒนาขึ้นโดย Zanroo (แสนรู้) สตาร์ทอัพคนไทย โดย Zanroo.com ใช้การจับข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ และบทสนทนาที่เกิดขึ้นบน Social Media เช่น Facebook, Twitter, Instagram ได้แบบ Real-Time Data เพื่อนำมาทำ Real-time Analytics ที่ช่วยให้ ความสามารถขององค์กรในการเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดในองค์กรได้แบบ Real-time ทันทีที่องค์กรต้องการ ดังนั้นองค์กรจะต้องทำการเตรียมจัดการ Flow ของการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดเอาไว้แบบ Real-time ให้เรียบร้อยพร้อมให้ทำการวิเคราะห์ได้ตลอดเวลา Zanroo.com ขณะนี้มีสาขาอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Free และแบบ Premium Package แบบ Free มี 3 ฟีเจอร์หลักคือ1. “กดติดตาม” (Follow) ให้ผู้ใช้งานกดติดตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ 2. “Daily Summary” หลังจากกด Follow แล้ว จะมีสรุปข่าวสิ่งที่ผู้ใช้งานกดติดตาม ส่งเข้าอีเมล์มาให้อ่านในแต่ละวัน โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะให้ส่งเข้าอีเมล์ไหน 3. “Advance Search” เป็นการค้นหาข้อมูลได้จากหลายแหล่ง เช่น Twitter, Facebook ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานเห็น “บทสนทนา” ที่เกิดขึ้นบน Social Media สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://www.zanroo.com/ แบบ Premium Packageมีไว้ให้สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก และเชิงวิเคราะห์ สามารถเจาะผู้ประกอบการธุรกิจ SME และเอเยนซี ที่ต้องการนำข้อมูลวิเคราะห์ไปประกอบการทำธุรกิจ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://enterprise.zanroo.com/
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									แนะนำการอัด vdo clip บน Windows 10
										วันนี้ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS)  ขอนำเสนอ วิธีการบันทึก vdo clip บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 10 ที่มาพร้อมกับโปรแกรม built-in video capture tool ที่ใช้ความสามารถของ Application Xbox ขั้นตอน 1. ผู้ใช้งานต้องทำการอนุญาต stream Xbox One games ก่อน 2. เปิดโปรแกรม หรือหน้าจอที่เราต้องการอัด vdo clip 3. กด ปุ่ม Windows + G บนคีย์บอร์ด 4. จะเกิดหน้าจอที่ สอบถามว่า Do you want to open Game bar?” ให้กดปุ่มเพื่อยอมรับ “Yes, this is a game”  5. หลังจากนั้นแผงควบคุมการเปิดปิดเพื่อ อัด vdo clip จะปรากฎขึ้นเป็น popup บนหน้าจอ เรียกว่า Game Bar 6. ทำการกดอัด vdo clip - กดปุ่มกล้องถ่ายรูป หรือทางลัด Win + Alt + PrtScn สำหรับการถ่ายภาพเหน้าจอ - กดปุ่มวงกลมสีแดง หรือปุ่มทางลัด Win + Alt + R สำหรับการบันทึกหน้าจอเป็นวีดีโอ และสามารถกด Win + Alt + R เพื่อหยุดการบันทึก 7. ไฟล์ที่บันทึกเป็น vdo clip แล้ว สามารถไปดูได้ในโฟลเดอร์ Videos > Captures อ้างอิงจากภาพและบทความจาก  https://sea.pcmag.com/operating-systems-and-platforms/31137/how-to-capture-video-clips-in-windows-10 https://www.facebook.com/BugabooNews/posts/2115137428562729
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									แนวโน้ม 10 อันดับแรกที่เป็นตัวกำหนด KM ในปี 2019
										APQC (American Productivity & Quality Center) ได้สอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญด้าน KM จำนวน 400 คน เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2561 เกี่ยวกับแนวโน้มทีจะมีผลต่อ KM ในปี 2019 ผลออกมาได้ดังรูปแผนภูมิด้านล่าง แสดงเปอร์เซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญที่คิดว่าแนวโน้มนั้นจะมีผลต่อ KM ในปี 2019
ที่มา: Lauren Trees (2019, January 25). Agile and Design Thinking Top List of 2019 Knowledge Management Trends. APQC. Retrieved March 14, 2019, from https://www.apqc.org/blog/agile-and-design-thinking-top-list-2019-knowledge-management-trends
										การจัดการความรู้ (KM)
 									 
									ถ่ายภาพสถานที่เพื่อการขาย อาจเสี่ยงติดคุกได้ ถ้าไม่รู้จัก Property Release
										     ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่ายรูป ย่อมไม่แปลกหากคุณจะถ่ายรูปที่ไหนก็ได้จนคุณพอใจหากงานของคุณเป็นที่ถูกใจคุณและคนทั่วไปโดยคุณเองไม่ได้หารายได้จากสิ่งนั้น แต่หากงานคุณเป็นที่โด่งดัง หรือคุณพัฒนามาเป็นนักถ่ายภาพที่เราเรียกกันว่า photo stocker ที่หารายได้ออนไลน์ทั่วโลกจากภาพของคุณ หรือแม้แต่ขายภาพในประเทศของคุณเองก็ตาม  ในที่นี้ยกตัวอย่างเป็นงานถ่ายภาพสถานที่ก่อนครับ (Property, Building)  วันดีคืนดีงานของคุณสามารถทำรายได้ หรือโดนแชร์ไปเป็นหลักหมื่นหลักแสน คุณอาจจะเจออีเมล์หรือประกาศด้านกฏหมายในการเรียกค่าใช้จ่ายหรือข้อหาทางกฏหมายจากหน่วยงานหรือเจ้าของสถานที่ในการถ่ายภาพสถานที่นั้น ๆ เพื่อการค้า  ฟังไม่ผิดครับ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นข้อกำหนด กฏสากล และ เป็นสิ่งที่ควรศึกษาก่อนการถ่ายภาพสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณต้องการ ถือเป็นสิ่งพึงระวัง เป็นข้อกำกับการยินยอมให้ใช้ภาพถ่ายของสถานที่ในแต่ละที่ ที่เราต้องศึกษาก่อนถ่ายภาพ  แล้วการแก้ปัญหาทำอย่างไร ? ในหลักการของนักถ่ายภาพขาย เราจะต้องมีใบยินยอมการถ่ายภาพเพื่อใช้ในการพาณิชย์ ซึ่งเรียกกันว่า Property Release  โดยเว็บไซต์ขายภาพดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็น shutter stock หรือ istock photo ต่างก็จะต้องให้คุณมี  Property Release ในการถ่ายภาพนั้น ๆ  หลักการคือ พิมพ์เอกสารดังกล่าว แล้วเอาไปให้เจ้าของสถานที่ หรือองค์กรเจ้าของดูแลสถานที่นั้น เซ็นต์ เพื่อการยินยอม  หากไม่มีเอกสารดังกล่าว ภาพของคุณจะไม่ถูกนำไปขายบนเว็บไซต์ (ไม่ว่าคุณจะถ่ายสวยแค่ไหน)  ตัวอย่างเอกสาร property Releas ของ shutter Stock ตัวอย่างสถานที่สำคัญ ๆ ที่คุณไม่สามารถถ่ายเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ ได้แก่  Sydney Opera House , The Louvre , Las Vegas Hotels  เป็นต้น หรือในไทย ก็มีห้างบางห้าง หรือตึกบางตึก ที่หากจะมีการใช้พื้นที่หรือถ่ายทำภาพต่าง ๆ ก็ต้องมีการประสานเพื่อขอถ่ายขอใช้งาน โดยไม่สามารถถ่ายเจาะจงให้เห็นตึกหรือโลโก้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่ได้ขอใช้มาก่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดที่ประกาศเป็นสาธารณะหรือเป็นรายกรณีไปครับ   ดังนั้น หากคุณจะถ่ายรูปสถานที่ ควรศึกษาก่อนการนำไปใช้เพื่อการค้าเชิงพาณิชย์ แต่หากคุณต้องการเก็บไว้เพียงความทรงจำกับตัวเองและคนรอบข้าง เอกสาร Property Release คุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ถึงกระนั้น ผู้เขียนขอแนะนำว่า ไม่ว่าคุณจะถ่ายแบบไหน ก็ควรศึกษาก่อนการแชร์ครับ เพื่อปัองกันปัญหาระยะยาวที่จะตามมาในอนาคตในด้านการละเมิดสิทธิ์การถ่ายภาพครับ  * ภาพบุคคลฟรีจาก pixabay
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									Electronic Lab Notebook Matrix
										Electronic Lab Notebook หรือ สมุดบันทึกการวิจัยอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสมุดบันทึกที่นักวิจัยสามารถบันทึกกิจกรรมการวิจัย ทั้งข้อความ ภาพประกอบ สมการ หรือกราฟ ตั้งแต่ช่วงวางแผน (เช่น แนวคิด วัตถุประสงค์ และแผนการดำเนินงาน) ช่วงดำเนินงาน คือ รายละเอียดการทดลองวิจัย (เช่น ใครทำ ทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ ทำไมจึงทำ ทำอย่างไร ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และวัตถุดิบอะไรและอย่างไร) และ ช่วงวิเคราะห์ผล คือ ผลที่ได้จากการการทดลองวิจัย (เช่น สิ่งที่พบ ข้อสังเกต ข้อสรุป และขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไป) โดยใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือมือถือของนักวิจัยในการบันทึกดังกล่าว ปัจจุบันนี้ มี Electronic Lab Notebook เกิดขึ้นหลายตัว แต่ละตัวก็มีฟีเจอร์การทำงานทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน บางฟีเจอร์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น Harvard Medical School Data Management Working Group ของ Harvard Medical School ในสหรัฐอเมริกา จึงทำการสำรวจและเปรียบเทียบจุดเด่นและข้อจำกัดของ Electronic Lab Notebook แต่ละตัวในท้องตลาด และสรุปเป็น Electronic Lab Notebook Matrix เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมิน Electronic Lab Notebook ให้แก่หน่วยงานที่สนใจ Electronic Lab Notebook Matrix ดังกล่าว ได้เปรียบเทียบซอฟต์แวร์ Electronic Lab Notebook จำนวน 31 ตัว พร้อมฟีเจอร์การทำงาน โดยแบ่งเป็น 8 หมวดหลัก ได้แก่  การติดต่อสื่อสารและทำงานร่วมกัน (Interactivity)  การรองรับเอกสารนักวิจัย (Support for Researcher Documentation) ความสามารถในการปรับใช้กับกระแสงานของ Lab (Adaptability to Lab workflows) หน่วยเก็บข้อมูล (Storage) โฮสติง (Hosting) ความช่วยเหลือและบริการดูแล (Support) ความปลอดภัย (Security) อื่นๆ  จากการอัพเดทข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือน สิงหาคม 2561 สนใจสามารถเข้าถึง Electronic Lab Notebook Matrix โดย Harvard Medical School คลิกที่นี่
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									บทบาทของ Open Access ต่อ SDGs
										เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals – MDGs) เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน สุดลงในปี 2015 องค์การสหประชาชาติ (United Nation – UN) จึงกำหนดวาระการพัฒนาภายหลังปี 2015 (post-2015 development agenda) ตามกระบวนทัศน์ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยประเด็นสำคัญของวาระการพัฒนาภายหลังปี 2015 คือ การจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals –SDGs) มุ่งหวังจะช่วยแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญอยู่ เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม สภาวะโลกร้อน และสันติสุข เพื่อเสริมแนวคิด “ไม่เป็นการทิ้งใครไว้ข้างหลัง” คาดว่าจะทำสำเร็จได้ภายในปี 2030
SDGs ประกอบด้วยเป้าหมาย 17 ข้อ ดังนี้
 	No Poverty ขจัดความยากจนทุกรูปแบบทุกสถานที่
 	Zero Hunger ขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
 	Good Health and well-being รับรองการมีสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
 	Quality Education รับรองการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคน
 	Gender Equality บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง
 	Clean Water and Sanitation รับรองการมีน้ำใช้ การจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
 	Affordable and Clean Energy รับรองการมีพลังงาน ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ยั่งยืน ทันสมัย
 	Decent Work and Economic Growth ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องครอบคลุมและยั่งยืนการจ้างงานที่มีคุณค่า
 	Industry Innovation and Infrastructure พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัวให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนทั่งถึง และสนับสนุนนวัตกรรม
 	Reduced Inequalities ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ
 	Sustainable Cities and Communities ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัยทั่วถึง พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 	Responsible Consumption and Production รับรองแผนการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
 	Climate Action ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
 	Life Below Water อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 	Life on Land ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
 	Peace and Justice Strong Institutions ส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
 	Partnerships for the Goals สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
Jayshree Mamtora และ Prashant Pandey จาก Office of Library Services มหาวิทยาลัย Charles Darwin ประเทศออสเตรเลีย เสนอบทบาทของ Open Access (OA) หรือการเข้าถึงแบบเปิด ที่มีต่อ SDGs ทั้ง 17 ข้อ โดยเสนอว่า
 	No Poverty ขจัดความยากจนทุกรูปแบบทุกสถานที่
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ
 	ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
 	Zero Hunger ขจัดความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศทางเทคนิคล่าสุด และ
 	ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
 	Good Health and well-being รับรองการมีสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
 	ด้วยการเข้าถึงผลการวิจัยล่าสุดในวารสารทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ทั้งสำหรับสารสนเทศทางเทคนิครวมถึงการสนับสนุนในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่เหมาะสมเกี่ยวกับสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนทุกช่วงอายุ
 	Quality Education รับรองการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ
 	ด้วยการอำนวยความสะดวกการเรียนรู้
 	Gender Equality บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศเพื่อขยายขอบเขตและความลึกซึ้งของการอภิปรายเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนาบทบาทสตรีและเด็กผู้หญิง และ
 	ด้วยสารสนเทศเพื่อการพัฒนานโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเพศ
 	Clean Water and Sanitation รับรองการมีน้ำใช้ การจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายและการกำหนดโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและสุขาภิบาลที่ยั่งยืน
 	Affordable and Clean Energy รับรองการมีพลังงาน ที่ทุกคนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ยั่งยืน ทันสมัย
 	ด้วยการการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการพัฒนานโยบายและการกำหนดโครงการเกี่ยวกับพลังงานที่ยั่นยืน
 	Decent Work and Economic Growth ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องครอบคลุมและยั่งยืนการจ้างงานที่มีคุณค่า
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเชิงพาณิชย์
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้องสำหรับนโยบายของรัฐบาล
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ และ
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
 	Industry Innovation and Infrastructure พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัวให้เป็นอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนทั่งถึง และสนับสนุนนวัตกรรม
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ และ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศทางเทคนิคล่าสุด
 	Reduced Inequalities ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ
 	การเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลโดยไม่คำนึงถึงที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และสถานะทางการเงินสำหรับการเข้าถึงที่เท่าเทียม
 	Sustainable Cities and Communities ทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความปลอดภัยทั่วถึง พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อความตระหนักหรือการรับรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม
 	Responsible Consumption and Production รับรองแผนการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักหรือการรับรู้ปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการบริโภค และการผลิตที่ยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
 	Climate Action ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
 	Life Below Water อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
 	Life on Land ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับความตระหนักปัญหาและเพื่อส่งเสริมการอภิปรายเกี่ยวกับการปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางบกอย่างยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานผู้กำหนดนโยบาย และ
 	ด้วยการเข้าถึงสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง สำหรับการกำหนดโครงการและกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบ
 	Peace and Justice Strong Institutions ส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อการตระหนักและการอภิปรายเกี่ยวกับการส่งเสริมสังคมสงบสุข ยุติธรรม ไม่แบ่งแยก เพื่อการรายงานความโปร่งใสในโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และ
 	ด้วยการเข้าถึงการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สำหรับการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะ
 	Partnerships for the Goals สร้างพลังแห่งการเป็นหุ้นส่วน ความร่วมมือระดับสากลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
 	คลัง Open Access ในการสนับสนุนการริเริ่มในท้องถิ่น และ
 	ด้วยการแบ่งปันการวิจัยและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ที่สะท้อนการทำงานร่วมกันและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
Jayshree Mamtora และ Prashant Pandey ยังได้แนะนำบางประเด็นสำหรับห้องสมุดและสถาบันอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย เกี่ยวกับการริเริ่ม OA กับเป้าหมายระยะยาวในการสนับสนุน SDGs ประกอบด้วย
 	การพัฒนาคลังความรู้ดิจิทัล (digital repository) เพื่อเก็บการวิจัยและข้อมูลแบบเปิด
 	การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่และการทำให้ ICTs พร้อมใช้งาน เพื่อเผยแพร่การวิจัยและข้อมูลแบบเปิดทางออนไลน์
 	การสร้างนโยบาย OA เพื่อสั่งการการทำให้ผลการวิจัยพร้อมที่จะให้บริการ และ เพื่อบังคับใช้การปฏิบัติเกี่ยวกับ OA
 	การส่งเสริมสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์สำหรับการเผยแพร่ผลงาน
 	การโน้มน้าวทางการบริหารเกี่ยวกับความต้องการ คุณค่า และประโยชน์ของ OA เพื่อการได้รับการสนับสนุน
 	การจ้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะที่จำเป็นในการทำงานกับคลังข้อมูลสถาบัน (institutional repository)
 	การทำให้คลังข้อมูลสถาบันเป็นเรื่องง่ายสำหรับบุคลากรในองค์กรในการลงทะเบียนและเก็บผลงาน
 	การทำงานร่วมกับสถาบัน ห้องสมุด ผู้ให้ทุนวิจัย และสำนักพิมพ์อื่นๆ ในระดับภูมิภาค ระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนาความคิดริเริ่ม นโยบาย และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ OA
 
อ้างอิง
 	สหประชาชาติในประเทศไทย. เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน. เข้าถึงจาก http://www.un.or.th/th/sdgs/
 	it24hrs. (2561, พฤศจิกายน 3). SDGn 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย UN เพื่อให้โลกดีขึ้น. เข้าถึงจาก https://www.it24hrs.com/2018/sdgs-sustainable-development-goals-un/
 	Mamtora, J., & Pandey, P. (2018). Identifying the role of open access information in attaining the UN SDGs:
perspectives from the Asia-Oceania region. http://library.ifla.org/2110/1/205-mamtora-en.pdf
 	United Nation. Retrieved from https://www.un.org/sustainabledevelopment/sustainable-development-goals/
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									รีวิว Microsoft AI School  เรียน AI ออนไลน์ฟรี
										นับเป็นข่าวดีของใครก็ตามที่อยากจะเรียนรู้ด้านเทคโนโลยี Artificial Intelegence แบบฟรี ๆ  เมื่อ Microsoft ได้ประกาศเปิดสอน AI ฟรี ผ่าน AI School  ที่ https://aischool.microsoft.com  บทความนี้จึงขอพาทุกคนไปลองสัมผัสภาพรวมของ AI School ดังกล่าว สิ่งสำคัญในการเรียนในโรงเรียนนี้ คุณต้องมี account ของ microsoft เสียก่อน โดยเป็น accountของ hotmail หรือ outlook ก็ได้  เมื่อเข้าในเว็บไซต์ดังกล่าว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีความใหม่และไม่เข้าใจในเทคโนโลยีนี้ รวมทั้งมีคำถามว่า จะเริ่มอย่างไร?  แล้วจะเรียนอะไร ?  ข้อนี้ถือเป็นจุดเด่นของเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ได้ลงตัว เนื่องจากมีระบบ path builder เพื่อใช้ในการตรวจสอบว่า เราจะเลือกเรียนอะไร มีความเชี่ยวชาญด้านไหน และต้องการเรียนด้วยสื่อแบบใด เช่น วีดีโอ บทความ หรือลงมือทำจริง  เป็นการเลือกคำตอบไม่กี่ข้อ  โดยผู้เขียนได้ลองตอบคำถามที่สนใจในการเรียน ว่าสนใจเรียนด้าน Data Science ถนัดโปรแกรมภาษา PHP และต้องการเรียนรู้เชิงลึกด้าน Deep Learning โดยเน้นการปฏิบัติแบบ Hands on  ทางระบบก็ส่ง Playlist มาให้เลือก ดังภาพ  ในแต่ละ Playlist จะพบว่ามี module ย่อย ๆ ที่เราสามารถเลือก save module ที่สนใจ เพื่อทำการเรียนรู้ตามจำนวนชั่วโมงและบทเรียนไว้ได้ด้วย ดังภาพ  ผู้เขียนลองทดสอบเลือกเข้าไปในแต่ละโมดูล ก็พบว่า ในแต่ละโมดูลยังมีบทเรียนย่อย ที่ให้รายละเอียดแนวทางการเรียน รวมถึงเวลาที่จะต้องใช้เรียน และอื่น ๆ อีกมาก  ซึ่งผู้เรียนสามารถ Mark ว่าเรียนจบได้ หากต้องการ ในขณะที่ทำการเขียนนี้ ผู้เขียนยังไม่พบว่า หากเรียนจบแล้ว สามารถทำการสอบ Certification ได้เลยหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ  https://academy.microsoft.com/en-us/tracks/artificial-intelligence  ซึ่งเป็นคอร์สการเรียน AI ที่มีขั้นตอนเรียนในคอร์สชัดเจน จะพบว่าหากเรียนจบสามารถได้รับ Achievement เป็น certification ที่ออกโดย microsoft ได้เลยครับ โดยภาพข้างล่างนี้จะแสดงในส่วนของการเรียน Data Science AI ของ academy.microsoft.com  โดยสรุป           Microsoft AI School เจาะกลุ่มผู้เรียนรู้ในหลายกลุ่มอายุ หลายประเภทธุรกิจ  มีข้อดีคือสามารถใช้ PATH BUILDER สร้างคอร์สการเรียนรู้เป็น Playlist ได้หลากหลาย ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนหรือไม่เรียนคอร์สใด ๆ ก็ได้ อีกทั้งยังสามารถนำความรู้ในโดเมนที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับ tools หรือเครื่องมือที่ microsoft เตรียมไว้ให้ใช้ได้ฟรี เช่น Azure Machine Learning service หรืออื่น ๆ เป็นต้น  โดยจะมีข้อกำหนดเงื่อนไขแตกต่างกันไปตามหัวข้อเรียนต่าง ๆ  ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ด้าน AI ที่ดีและฟรีครับ  ส่วนใครที่อยากเน้นเชิงลึก ได้ Certificate จาก Microsoft ให้ลงเรียนออนไลน์ฟรีที่ academy.microsoft.com ก็จะเข้มข้นกว่า แต่ก็แลกมากับคอร์สที่ต้องผ่านตามกำหนดครับ
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									ผลสำรวจเกี่ยวกับ Open Science: Open Access และ Data sharing ของนักวิจัย
										ตุลาคม ปี 2016 สำนักพิมพ์ Wiley สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ Open Science จากนักวิจัยผู้เขียนบทความวิชาการ จำนวน 4,680 คน ใน 112 ประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจว่านักวิจัยปฏิบัติต่อการร้องขอหรือข้อกำหนดเกี่ยวกับ Open Access (OA) หรือ การเข้าถึงแบบเปิด การจัดการข้อมูล และการมีส่วนร่วมในการแชร์ข้อมูลและผลงานวิจัยของตนเองอย่างไร การสำรวจนี้สร้างขึ้นจากการสำรวจก่อนหน้าของ สำนักพิมพ์ Wiley เกี่ยวกับ OA และ Open Data ในปี 2013 เพื่อค้นหาแนวโน้มในการวิจัย Open Access (OA)   การเผยแพร่ผลงานในรูปแบบ OA เพิ่มมากขึ้น เกือบ 2 ใน 3 ของผู้เขียนระบุว่าได้ตีพิมพ์บทความใน Hybrid journal หรือ Gold journal (65% ระบุว่าตีพิมพ์ในวารสาร OA และ 35% ระบุว่าไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร OA) โดยเพิ่มขึ้น 8% จากปี 2013 ผู้ตอบแบบสำรวจรับรู้ถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ให้ทุน (50%) และสถาบัน (55%) เพื่อให้เผยแพร่บทความสู่สาธารณะ ไม่ว่าจะในรูปแบบ Gold OA หรือ Green OA กลุ่มสาขาที่มีการกำหนดให้เผยแพร่บทความในรูปแบบ OA มากที่สุดคือ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (70%) สาขาวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (70%) สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (60%) และ สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (54%) 58% ของผู้เขียนในทวีปเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า หน่วยงานผู้ให้ทุนกำหนดให้ตีพิมพ์บทความใน OA รองลงมาคือผู้เขียนในทวีปอเมริกา (44%) และในทวีปยุโรป ตะวันอออกลาง และแอฟริกา (47%) แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการกำหนดของสถาบันของผู้เขียน พบว่าตัวเลขสูงกว่า คือ 66% ของผู้เขียนในทวีปเอเชียแปซิฟิกระบุว่าหน่วยงานของตนกำหนดให้ตีพิมพ์บทความใน OA ขณะที่ผู้เขียนในทวีปอเมริการะบุการกำหนดดังกล่าวจากสถาบันเพียง 39%  Article Archiving  มีการรายงานเรื่องการเก็บบทความ (ทั้งในคลังความรู้องค์กร คลังความรู้สาธารณะ และเว็บเพจส่วนตัวของผู้เขียนบทความ) มากกว่า 2 เท่า (34% กำหนดให้มีการจัดเก็บโดยสถาบัน และ 17% กำหนดให้มีการจัดเก็บโดยผู้ให้ทุน) 44% ของนักวิจัยเก็บบทความของตนในคลังความรู้ขององค์กร 34% เก็บไว้ในคลังความรู้สาธารณะ และ 22% เก็บไว้ในเว็บเพจส่วนตัว ในทวีปยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา และ เอเชียแปซิฟิก พบว่าแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้นักวิจัยเก็บบทความในคลัง คือ การกำหนดของสถาบัน ต่างจากในทวีปอเมริกาที่แรงจูงใจสำคัญคือการต้องการเผยแพร่ผลงานของผู้เขียน  Data Sharing  69% ของนักวิจัย (จากทั้งหมด 4,680 คน) ระบุว่าได้แบ่งปันข้อมูลการวิจัยของตนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% จากการศึกษาก่อนหน้าในปี 2014 ที่ 52% วิธีที่พบบ่อยที่สุดที่นักวิจัยใช้ในการแบ่งปันข้อมูล คือ ในการประชุม (48%) เป็นข้อมูลเสริมในวารสาร (40%) หรือ ไม่เป็นทางการ/เมื่อถูกร้องขอ (33%) โดย 41% ระบุว่ามีการแชร์ข้อมูลอย่างเป็นทางการผ่านรูปแบบต่างๆ ของคลังข้อมูล (29% ในเว็บเพจโครงการ สถาบันหรือส่วนตัว 25% ในคลังข้อมูลสถาบัน มหาวิทยาลัยหรือองค์กรสนับสนุน 10% ในคลังข้อมูลเฉพาะสาขา และ 6% ในคลังข้อมูลทั่วไป) นอกเหนือจากการกำหนดของสถาบันหรือหน่วยงานผู้ให้ทุนที่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักวิจัยแชร์ข้อมูล เหตุผลอื่นๆ คือ  เพื่อเพิ่มผลกระทบและการมองเห็นของงานวิจัย (39%) เพื่อประโยชน์สาธารณะ (35%) เพื่อความโปร่งใสและการนำข้อมูลมาใช้ซ้ำ (31%) ข้อกำหนดของวารสาร (29%)   ในทางตรงกันข้าม เหตุผลอันดับต้นๆ ที่นักวิจัยไม่ต้องการแชร์ข้อมูล คือ  ประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและความลับ (50%) ความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรม (31%) การตีความที่ผิดหรือการใช้ในทางที่ผิด (23%)    ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่สอดคล้องกับการสำรวจก่อนหน้า แต่ที่น่าสนใจ คือ ความกังวลเกี่ยวกับจริยธรรม ขยับขึ้นมาเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้เขียนอ้างว่าไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลของตนเองแก่ผู้อื่น ข้อมูลเพิ่มเติม Hybrid journal คือ วารสารแบบดั้งเดิม ที่ห้องสมุดยังต้องจ่ายค่าบอกรับเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้ และ ยังมีบทความที่เป็น OA ซึ่งผู้เขียนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มให้แก่วารสาร หากต้องการสิทธิ์ในการนำบทความเฉพาะของตนไปจัดเก็บหรือเผยแพร่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือคลังความรู้องค์กร ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้โดยไม่ต้องเสียค่าดาวน์โหลดบทความ Gold journal คือ วารสาร OA ที่ผู้อ่านสามารถอ่านบทความในวารสารได้ทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ โดยผู้อ่านไม่เสียค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลดบทความ แต่ผู้เขียนบทความต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่วารสาร Gold OA หมายถึง บทความได้รับการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ Green OA หมายถึง บทความไม่ได้รับการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตทันทีที่บทความได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ แต่สามารถอ่านบทความฉบับย้อนหลังได้ ซึ่งบางวารสารอาจกำหนดให้มีการทิ้งช่วงเวลา 6–24 เดือน หลังบทความนั้นได้รับการตีพิมพ์ ผู้เขียนสามารถนำบทความของตนไปจัดเก็บหรือเผยแพร่ในเว็บไซต์ส่วนตัวหรือคลังความรู้องค์กร ที่มาข้อมูล Vocile, B. (2017, April 20). Open science trends you need to know about [Blog post]. Retrieved from https://www.wiley.com/network/researchers/licensing-and-open-access/open-science-trends-you-need-to-know-about
										นานาสาระน่ารู้
 									

 
            
