หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
DQ กับการตรวจสอบอารมณ์ของเราในโลก Social
    ความฉลาดทางดิจิทัล  (DQ:  Digital  Intelligence  Quotient)  คือ  กลุ่มความสามารถทางสังคม อารมณ์ และการรับรู้ ที่จะทำให้คนคนหนึ่งสามารถเผชิญกับความท้าทายของชีวิตดิจิทัล และสามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตดิจิทัลได้ ความฉลาดทางดิจิทัลครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะ ทัศนคติและค่านิยมที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในฐานะสมาชิกของโลกออนไลน์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  ทักษะการใช้สื่อและการเข้าสังคมในโลกออนไลน์      (ที่มา หนังสือความฉลาดทางดิจิทัล โดย สสส. และ สสย.  http://cclickthailand.com/contents/general/dq3.pdf  ) แล้วทักษะความฉลาดทางดิจิทัลที่สำคัญมีอะไรบ้าง โดยสรุปมีดังนี้8 ทักษะความฉลาดทางดิจิทัล ที่ควรเรียนรู้1. ทักษะในการรักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเอง  (Digital Citizen Identity)2. ทักษะการคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณที่ดี (Critical Thinking)3. ทักษะในการรักษาความปลอดภัยของตนเองในโลกไซเบอร์ (Cybersecurity Management)4. ทักษะในการรักษาข้อมูลส่วนตัว  (Privacy Management)5. ทักษะในการจัดสรรเวลาหน้าจอ   (Screen Time Management)6. ทักษะในการบริหารจัดการข้อมูลที่ผู้ใช้งานมีการทิ้งไว้บนโลกออนไลน์ (Digital Footprints)7. ทักษะในการรับมือกับการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์  (Cyberbullying Management)8. ทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม (Digital Empathy)        ในบทความนี้ เรามีภาพสรุปให้คุณได้ทราบภาวะอารมณ์และการจัดการภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเสพสื่อ social มาตรวจสอบกันว่าคุณจะรับมือและจัดการสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะ ความฉลาดทางดิจิทัล เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันคนที่คุณรัก ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ถือเป็นวัคซีนป้องกันชีวิตเราได้ดีในปัจจุบันและอนาคต
นานาสาระน่ารู้
 
แนวโน้มของ exoskeleton
การพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย stroke ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ และอัมพาต และการเพิ่มมากขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ การใช้ในทางการทหาร (ช่วยทหารที่ได้รับบาดเจ็บให้เคลื่อนที่ได้และยกของหนักได้) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาด exoskeleton ขยายมากขึ้นตลาด exoskeleton แบ่งตามเทคโนโลยีเป็น stationary และ mobile ในช่วงปี 2018-2025 stationary จะสร้างรายได้อย่างมาก ทั้ง stationary และ mobile สามารถแบ่งต่อเป็น active และ passive ตามพลังงานที่ใช้ การเพิ่มขึ้นของการวิจัยและพัฒนาและการเพิ่มความต้องการหุ่นยนต์ที่ใช้มอเตอร์เพื่อช่วยกลศาสตร์ของร่างกายมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกคาดว่าจะเพิ่มอัตราการใช้เทคโนโลยี active exoskeleton ในคนพิการ การใช้เพิ่มขึ้นของ exoskeleton ชนิด stationary ในการทหารและอุตสาหกรรมคาดว่าจะเพิ่มความต้องการของ exoskeleton ชนิดนี้ในอนาคต การใช้เพิ่มขึ้นของ powered exoskeleton ในการฟื้นสภาพ (rehabilitation) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นไปได้ที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ stationary ระหว่างปี 2018-2025ตลาด exoskeleton แบ่งตาม drive type เป็น pneumatic actuators, hydraulic actuators, electric servo actuators, electric actuators, fully mechanical exoskeletons, shape memory alloy actuators และ fuel cellfuel cell ได้รับการคาดหมายว่าจะขยายอย่างมากระหว่างปี 2018-2025 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการขยายสูงสุดของ fuel cell เช่น 1. การรับรู้ที่เพิ่มขึ้นในข้อดีของ fuel cell เหนือ electric actuators  2. fuel cell ถูกขนส่งทางเรือมากขึ้น  3. มีการนำ stationary fuel cell ไปประยุกต์ใช้มากขึ้น end use หลัก ในตลาด exoskeleton คือ healthcare, การทหาร และอุตสาหกรรม  ในปี 2018-2025 อุตสาหกรรมคาดว่าจะมีการขยายสูงสุด ปัจจัยหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมเกิดการขยายคือ การเพิ่มมากขึ้นของการได้รับบาดเจ็บที่เกี่ยวกับการทำงานและการเพิ่มขึ้นของการรับรู้ถึงประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี exoskeleton ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มขึ้นของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี exoskeleton ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง และการเพิ่มขึ้นของการวิจัยและพัฒนาของ exoskeleton สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม คาดว่าจะทำให้การตลาดขยายในช่วงปี 2018-2025ตลาด exoskeleton ใน Asia Pacific คาดว่าจะมีการขยายสูงสุดในช่วงปี 2018-2025 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วย stroke และที่ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น มีรายได้ที่จับจ่ายได้เพิ่มขึ้น และมีทุนรัฐบาลให้การลงทุนของบริษัทสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่คาดว่าจะเพิ่มการขยายตลาด exoskeleton ในอนาคต เช่น บริษัท ReWalk Robotics พัฒนา exoskeleton ที่ชื่อ ReWalk ออกแบบเพื่อพยุงขาและส่วนบนของผู้พิการที่มา: Grand View Research (February 2018). Exoskeleton Market Size, Share & Trends Analysis Report By Type (Mobile, Stationary), By Drive Type, By End-use (Healthcare, Military, Industrial), And Segment Forecasts, 2018 - 2025. Retrieved June 10, 2019, from https://www.grandviewresearch.com/industry-analysis/exoskeleton-market
นานาสาระน่ารู้
 
แนวทางการจัดการความรู้ที่ได้มาตรฐานระดับสากล
สรุปการสัมมนาเรื่อง แนวทางการจัดการความรู้ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งจาก คุณสราวุฒิ พันธุชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารสารสนเทศและการจัดการความรู้ มาเป็นวิทยากร เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2562 ณ Co-Working Space สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ดังนี้ 1. KM (knowledge management, การจัดการความรู้)  คืออะไร พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้คำจำกัดความของความรู้ว่าคือ 1. ประสบการณ์  2. ทักษะ  3.สารสนเทศ และ 4. องค์วิชา (body of knowledge) ซึ่งคือหลักการต่างๆ เช่น องค์วิชาด้านบัญชี  ดังนั้น KM คือ การจัดการทั้ง 4 ข้อนี้โดยต้องใช้เครื่องมือ หลังจากนั้นจะได้ความรู้ชนิด tacit (ความรู้ฝังในตัวคน) และ Explicit (ความรู้ที่ชัดแจ้ง) ออกมา ต่อมานำไปเก็บไว้ใน KMS (knowledge management system ได้แก่ เว็บไซต์ ยูทูป ฐานข้อมูล อินทราเน็ต) แล้วมาแบ่งปันและเรียนรู้ (share and learn) ประสบการณ์เป็นความรู้ประเภทหนึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ประสบการณ์ที่ดี คือ best practice (วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ) หรือ good practice ประสบการณ์ที่ไม่ดี คือ lesson learned ในการจัดการความรู้จะใช้เครื่องมือถอด best practice จะได้องค์ความรู้ออกมา เดินทางต่อไปที่คลังความรู้แล้วต่อมานำไปใช้ปรับปรุงให้ดีขึ้น (improvement) แล้วทำการวัดผล ผลที่ได้ออกมาคือประสิทธิภาพประสิทธิผล ทักษะเป็นความรู้ประเภท tacit การจัดการความรู้ประเภททักษะ ผู้มีทักษะต้องยินดีเปิด แล้วถอดความรู้จากผู้นั้น จัดเป็นการจัดการความรู้ระดับบุคคล (personal KM) วัดผลที่คนเก่งขึ้นไหม ถ้าองค์กรมีระบบที่ดี จะวัดที่ competency สารสนเทศเกี่ยวกับ information ไม่เกี่ยวกับคน information คือข้อมูลที่ประมวลผลแล้ว มาผ่านเครื่องมือ เช่น DATA analytic ทำให้เกิด improvement นำไปสู่สุดท้ายเกิดนวัตกรรม องค์วิชาที่สำคัญคือการเขียนคู่มือ งานวิจัย ออกมาเป็นนวัตกรรม 2. การทำ KM มี 3 ระดับคือ personal KM เป็นการจัดการความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวคน process KM organization KM เป็นการจัดการความรู้ระดับองค์กร Process KM วัดที่ปัญหาในการปฏิบัติงานของหน่วยงานไม่ใช่องค์กร เมื่อวิเคราะห์ปัญหาผลจะออกมา 3 ทาง กลุ่มแรกปัญหาเรื่องคน กลุ่มที่สองเป็นเรื่อง process (ขบวนการปฏิบัติงานไม่มีประสิทธิภาพ) กลุ่มที่สามเรื่องเทคโนโลยี  ถ้าคนไม่รู้ ไม่มีทักษะ ไม่ชำนาญแก้ได้โดยนำความรู้มาจัดการ  process แก้โดยทำ 5 ส ทำที่เกี่ยวกับ quality system ถ้าเป็นเทคโนโลยีปัญหามี 2 ทาง คือ เทคโนโลยีเก่าไม่ทันสมัย เทคโนโลยีไม่มีประสิทธิภาพแก้โดยพัฒนาเองหรือซื้อ ต่อจากการแก้ปัญาคือจะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล 3. เป้าหมายและจุดประสงค์ของ KM คือ 1. พัฒนาองค์กร ทำให้บรรลุเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ รายได้ และค่าใช้จ่าย 2. พัฒนากระบวนการทำงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ ความผิดพลาดลดลง ปรับปรุงพัฒนากระบวนการให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ให้เกิดประสิทธิผล การพัฒนาผลผลิต การลดต้นทุน ให้เกิดนวัตกรรม พัฒนาการระดมความคิด การนำแนวความคิดใหม่มาใช้จริง 3. พัฒนาคน ให้บุคลากรเกิดการเรียนรู้ มีความคล่องตัวในการทำงาน บุคลากรเกิดความพึงพอใจในการทำงาน 4. KM เป็นกระบวนการที่ทำให้องค์กรสามารถก้าวสู่สถานะที่เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ได้ ลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้แก่ 1. มีวัฒนธรรมการเรียนรู้ ทุกคนใฝ่รู้ และเผยแพร่ 2. เพิ่มอำนาจการปฏิบัติแก่เจ้าหน้าที่สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาเรียนและรู้ขณะเดียวกัน 3. ทันต่อความเปลี่ยนแปลง 4. มีระบบการเรียนรู้ร่วมกัน มีการถ่ายโอนความรู้ และใช้ประโยชน์จากความรู้ 5. ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการเรียนรู้ 6. มุ่งเน้นคุณภาพ และความพอใจของลูกค้า 7. มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และมีการทำงานเป็นทีม 8. ผู้บริหารเป็นพี่เลี้ยง ผู้ชี้แนะ เกื้อหนุน 9. มีมุมมองในภาพรวมและเป็นระบบ 10. ให้มีการเรียนรู้จากประสบการณ์ 5. บทบาทหน้าที่ของบุคคลในกระบวนการ KM คณะกรรมการอำนวยการ (KM Committee) 1. กำหนดนโยบาย แนวทางในการดำเนินงานจัดทำแผนงานจัดการความรู้ 2. ประเมินผล และอำนวยความสะดวก ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะทำงานและนักการจัดการความรู้ (KM Facilitator) 1. จัดทำแผนการจัดการความรู้ในองค์กร 2. ดำเนินการพัฒนาระบบการจัดการความรู้ในองค์กร 3. ดำเนินการค้นหา รวบรวมองค์ความรู้ วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ บทเรียนต่างๆ ในการทำงาน 4. รายงานผลการดำเนินงานต่อผู้บริหาร 5. เผยแพร่องค์ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร 6. ประเด็นหลักในการพิจารณาออกแบบ KM ได้แก่ 1. วัฒนธรรมองค์กร 2. นโยบายจากผู้บริหารสูงสุด 3. โครงสร้างขององค์กร 4. อายุองค์กร และอายุของพนักงาน 5. ทีมงานการจัดการความรู้ 6. เทคโนโลยีสารสนเทศองค์กร 7. ระดับการพัฒนาการจัดการความรู้ในองค์กร (บอกว่าองค์กรเราทำ KM อยู่ในระดับไหน) แบ่งเป็น 5 ระดับ ระดับ 1 การเริ่มต้น : ปฐมบทแห่งการเรียนรู้ อธิบายเป้าหมายและจุดประสงค์ของการจัดการความรู้ เขียน Roadmap และ KPI เข้าใจเข้าถึงการมีส่วนได้ส่วนเสีย ระดับ 2 การพัฒนา : วิธีการปฏิบัติและมีการปฏิบัติซ้ำๆ พัฒนาความเป็นผู้นำการจัดการความรู้ ออกแบบกลยุทธ์ของการจัดการความรู้ หาแนวทางและเครื่องมือในการจัดการความรู้ ค้นหาและใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า ระดับ 3 วางมาตรฐาน : กระบวนการและวิธีการ จัดการและกระบวนการทางการจัดการความรู้ ออกแบบวิธีการและเริ่มดำเนินการ นำบทเรียนที่ได้รับเป็นแหล่งเรียนรู้ สื่อสารและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ระดับ 4 การเพิ่มประสิทธิภาพ : ตรวจสอบคุณภาพและการปรับปรุง มีมาตรฐาน KM และใช้ประโยชน์ได้ทั่วทั้งองค์กร และมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องเพื่อแบ่งปันแนวทางการปฏิบัติ ระดับ 5 แนวทาง : การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ฝังวิธีการ KM มาตรฐานในแบบการจำลองธุรกิจตรวจสอบวิธีการ KM จัดเรียงการประเมินประสิทธิภาพและการรับรู้ด้วยกลยุทธ์ KM ปรับปรุง KM การจัดการภายในองค์กรและดำเนินงานต่อไป 8. ปัจจัยที่ทำให้การทำ KM ไม่ประสบผลสำเร็จ ผู้บริหารระดับสูงไม่เข้าใจและไม่เห็นความสำคัญ องค์กรที่ไม่มีวัฒนธรรมเอื้อต่อการเรียนรู้และแบ่งปัน คนในองค์กรไม่มีเวลาที่จะเรียนรู้และไม่ใช้ความรู้ในการทำงาน 9. ปัจจัยที่ทำให้การทำ KM ประสบผลสำเร็จ วิสัยทัศน์องค์กร สร้างทัศนคติที่ในการทำงาน สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็ง สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงพนักงานทุกระดับ ผู้นำ สร้างความเป็นแบบอย่าง เอาจริงเอาจัง ร่วมคิดร่วมทำ สร้างแรงจูงใจ กระบวนการถ่ายทอดความรู้ ทำอย่างเป็นระบบ สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เปิดโอกาส สร้างคน นโยบายที่เปิดกว้าง สร้าง / ถ่ายทอดความรู้สู่สังคม กระตุ้นให้พนักงานรักองค์กรเหมือนรักบ้านของตนเอง สร้างเครือข่ายความรู้จากหลักการ “ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ” 10. ISO 30401 เป็นมาตรฐานที่ประกาศใช้ในประเทศไทย เป็นแนวปฏิบัติการทำ KM ในองค์กร พูดถึงอะไรบ้าง เข้าใจองค์กร เก็บรวบรวมความต้องการ ทำขอบเขตว่าจะทำแค่ไหน ผู้นำต้องเป็นคนกำหนดนโยบาย กำหนดบทบาท กำหนดความรับผิดชอบ กำหนดตัววัด การวางแผน หาโอกาสหรือความเสี่ยง การกำหนด roadmap ทรัพยากรที่ใช้ การสร้าง awareness ให้กับคนในองค์กร  การสื่อสาร การวัดผลทั้งประสิทธิภาพในกระบวนการและมีการทำ internal audit สรุปความจากงานสัมมนาเรื่อง แนวทางการจัดการความรู้ที่ได้มาตรฐานระดับสากล เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2562 ณ Co-Working Space อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
การจัดการความรู้ (KM)
 
ทิศทางของการจัดเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอ (DNA Data Storage)
ปัจจุบันความต้องการของการจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลกำลังมีมากกว่าความสามารถในการจัดเก็บข้อมูล และความสัมพันธ์นี้ขยายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีข้อมูลดิจิทัลเกิดขึ้นมากมายมหาศาล โดยในปี 2025 มนุษย์ได้รับการคาดหมายว่าจะผลิตข้อมูล 160 เซตตะไบต์ต่อปี ทำให้การจัดเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอได้รับความสนใจแทนการจัดเก็บข้อมูลแบบเก่า (เช่น ซีดี ดีวีดี ฮาร์ดดิสก์ แฟลชไดร์ฟ) เนื่องจากมีความหนาแน่นในการจัดเก็บสูงกว่า (ต้องการดีเอ็นเอเพียง 1 กรัม สำหรับเก็บข้อมูล 40 เซตตะไบต์) และคงสภาพเดิมด้วยมีครึ่งชีวิตมากกว่า 500 ปีความสนใจในการจัดเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอเริ่มตั้งแต่ปี 1988 โดยเก็บข้อมูล 0.000004 เมกะไบต์ ถึงอย่างไรก็ตามเพียงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 มีการเก็บข้อมูล 400 เมกะไบต์ อุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้าของการจัดเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอคือค่าใช้จ่ายที่สูงมากของการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เนื่องจากเทคโนโลยีการสังเคราะห์ดีเอ็นเอไม่ได้รับการพัฒนามากพอในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ใช้วิธีการที่ใช้เคมีอินทรีย์ (phosphoramidite) ขณะนี้มีหลายบริษัทเกิดใหม่และสถาบันการศึกษากำลังพัฒนาเทคโนโลยีการสังเคราะห์ดีเอ็นเอโดยใช้เอนไซม์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอลดลงอย่างมาก โดยคาดว่าในปี 2020 เทคโนโลยีนี้จะออกสู่ตลาด ทำให้ค่าใช้จ่ายในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอลดลงอย่างมากในปี 2021 และปีต่อๆ มา โดยปี 2025 จะมีค่าใช้จ่ายในการสังเคราะห์ดีเอ็นเออยู่ที่ 0.00001 ดอลลาร์ต่อคู่เบส ซึ่งจะเท่ากับการเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอด้วยค่าใช้จ่ายประมาณ 42 ดอลลาร์ต่อเมกะไบต์ และในปี 2030 ค่าใช้จ่ายในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอจะลดลงเป็น 0.0000001 ดอลลาร์ต่อคู่เบส ซึ่งเท่ากับค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อเมกะไบต์ นอกจากเทคโนโลยีในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอ ยังมีการพัฒนาในเทคโนโลยีอื่นอีกที่มีผล ได้แก่ 1. การเพิ่มความหนาแน่นในการจัดเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอ (DNA Fountain technique, DNA modification techniques) 2. การทำให้การเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอมีประสิทธิภาพมากขึ้น (บริษัท Helixworks ใช้เพียงเบส A กับ T ในการเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอ  บริษัท Catalog ใช้ดีเอ็นเอสายสั้น (20-30 เบส) หลายสายเพื่อเก็บข้อมูลในดีเอ็นเอ โดยตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2019 จะเก็บข้อมูล 1 เทราไบต์ต่อวันในดีเอ็นเอด้วยค่าใช้จ่ายประมาณ 2 พันดอลลาร์ เพื่อบรรลุเป้าหมายเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีแผนที่จะสร้างอุปกรณ์เก็บข้อมูลในดีเอ็นเอเป็นครั้งแรกในโลกโดยจะพัฒนาเสร็จต้นปี 2019) 3. ทำให้การอ่านดีเอ็นเอเร็วขึ้น (ทำให้การหาลำดับเบสของดีเอ็นเอเร็วขึ้น) 4. พัฒนาวิธีดึงข้อมูลที่เก็บในดีเอ็นเอกลับคืนแบบเข้าถึงแบบสุ่ม (การพัฒนาซอฟต์แวร์ปฏิบัติการกับการพัฒนาอุปกรณ์อ่านดีเอ็นเอ)ที่มา: Potomac Institute for Policy Studies (September 2018). The Future of DNA Data Storage. Retrieved June 3, 2019, from http://www.potomacinstitute.org/images/studies/Future_of_DNA_Data_Storage.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
การศึกษาวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 (Why we need both science and humanities for a Fourth Industrial Revolution education)
วัตถุประสงค์ของการศึกษาในยุคที่เครื่องจักรกลฉลาดขึ้น ที่แท้จริงคืออะไรกำลังเข้ามาแทนที่ องค์การสหประชาชาติตระหนักถึงทำอย่างไรจะนำประโยชน์จากนวัตกรรมสู่ลูกค้าและสังคมโลกได้ขณะที่กำลังเข้าสู่ยุค 5G วิศวกรและนักมนุษยธรรมเก่งๆ หลายคนต่างมองหาแนวทางที่จะดึงเอาประโยชน์จากนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือ 5G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นต้น ความต้องการของตลาดแรงงานและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำทำให้สถานศึกษาหลายๆ แห่งพุ่งเป้าไปที่ (STEM) คือวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ Statistia (2016) สำรวจนักศึกษาจบใหม่ในสาขา (STEM) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ พบว่าประเทศที่ศึกษา STEM ได้แก่จีน 4.7 ล้านคน รองลงมาอินเดีย 2.6 ล้านคน อันดับสามสหรัฐอเมริกา 568,000 คน ต่อมาเป็นรัสเซีย 561,000 คน อันดับห้าเป็นอิหร่าน 335,000 คน ต่อมาคืออินโดนีเซีย 206,000 คน และญี่ปุ่น 195,000 คน แม้สถิติชี้ชัดเจนว่าระบบการศึกษากำลังป้อนแรงงานด้าน (STEM) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สู่ตลาดแรงงานจำนวนมาก แต่บ่อยครั้งที่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งตัดสินใจผิดพลาดเมื่อนำนวัตกรรมที่พัฒนาในห้องแลปออกสู่สังคม เช่น ข้อมูลความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใสในเอื้อระบบการเมืองใด เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ สังคมและระบบการศึกษาควรหันมาให้ความสนใจศาสตร์ทางด้านมานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และศิลปะ ไม่แพ้ (STEM) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์  วิศกรควรเข้าแนวคิดจากนวนิยายเรือง Brave New World ในขณะเดียวกันนักประวัติศาสตร์ควรมีความเข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้วย วัตถุประสงค์ของระบบการศึกษาที่ควรเป็น เพื่อให้ผู้เรียนรักการแสวงหาความรู้พัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อเสริมสร้างความรู้พื้นฐาน คิดเป็น ทำเป็น วิเคราะห์แก้ปัญหาด้วยตนเอง อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพื่อพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม ศึลธรรม จริยธรรม ประพฤติตนดีงามมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ระบบการศึกษาควรหันมาให้ความสนใจและความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง นั่นคือ สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เป็นเพียงแต่แนวคิด หรือแม้แต่การพิจารณาเรื่องข้อจำกัดด้านอายุในการรับบุคคลเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา เช่น ขยายอายุจาก 18 – 21 ปี เป็นไปจนถึง   40 ปี เป็นต้น เพื่อให้การศึกษาเตรียมคนให้พร้อมรับมือกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งในอนาคตอันใกล้และที่กำลังจะมาถึง ที่มา: Hans Vestberg (2018, September 21).Why we need both science and humanities for a Fourth Industrial Revolution education. World Economic Forum. Retrieved May 14, 2019, จาก https://www.weforum.org/agenda/2018/09/why-we-need-both-science-and-humanities-for-a-fourth-industrial-revolution-education/
นานาสาระน่ารู้
 
ความท้าทายในการใช้งาน Cloud
Cloud computing จัดเป็น 1 ใน 4 Digital superpowers ในยุคดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย Cloud ไม่จำกัดขนาด Mobile ไม่จำกัดการติดต่อสื่อสาร IoT ไม่จำกัดการเข้าถึง AI ความชาญฉลาดเหนือคู่แข่ง แม้ว่า Cloud computing จะเอื้อประโยชน์ในการดำเนินงานขององค์กร แต่ก็มีความท้าทายในการใช้งานที่ควรคำนึงถึง แบ่งตามประเภทของ Cloud คือ Public Private และ Hybrid  Public cloud ขาดความยืดหยุ่น 34% ความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย 31% การเข้าถึงสารสนเทศ/ข้อมูลโดยภายนอก 31% ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ 24% ขาดมาตรฐาน 22% ค่าใช้จ่ายของการบำรุงรักษา 21% ขาดกระบวนการ 19% ขาดการควบคุม 16% ไม่รู้ 1% Private cloud ความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย 35% ค่าใช้จ่ายของการบำรุงรักษา 30% ขาดการควบคุม 23% ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ 23% ขาดความยืดหยุ่น 23% ขาดกระบวนการ 21% ขาดมาตรฐาน 20% การเข้าถึงสารสนเทศ/ข้อมูลโดยภายนอก 20% ไม่รู้ 2% Hybrid cloud ความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย 48% การเข้าถึงสารสนเทศ/ข้อมูลโดยภายนอก 27% ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ 27% ค่าใช้จ่ายของการ maintenance 25% ขาดการควบคุม 23% ขาดกระบวนการ 20% ขาดความยืดหยุ่น 10% ขาดมาตรฐาน 12% ไม่รู้ 3% ที่มาข้อมูลเรียบเรียงจาก: "Digital Acceleration: Be the Next Digital Success Story" โดย Mr.Mark Weaser (Vice President บริษัท OutSystems Asia/Pacific) ในงาน IDC CIO Summit 2019 จัดโดย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น (International Data Group – IDC) เมื่อ วันที่ 15 พ.ค. 2562 ณ Conrad Bangkok โดย งาน IDC CIO Summit 2019 จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลลัพธ์การดำเนินงานของหน่วยงาน และ การปรับตัวของหน่วยงานต่อเรื่องดังกล่าว ให้กับผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
นานาสาระน่ารู้
 
Digital transformation กับ Digital worker และ Digital workforce
Digital transformation คือ การนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ขณะที่การเริ่มต้น Digital transformation นั้น คือ การสร้างแรงบันดาลใจของผู้คนด้วย mindset ใหม่ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจ ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น โดยหนึ่งแนวคิดของการบริหารจัดการองค์กรในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล คือ Agile organization ซึ่งหมายถึง การที่องค์กรมีความยืดหยุ่นและมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไป จากความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยต้องลดขั้นตอนในการทำงาน และ การอนุมัติ และการให้อำนาจแก่พนักงานมากขึ้น ซึ่งการจะเป็น Agile organization จะต้องมี Agile mindset คือ การพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การสร้าง Feedback loop และ การส่งมอบมูลค่าทางธุรกิจที่รวดเร็ว โดยยึดความโปร่งใส การตรวจสอบโดยละเอียด และการปรับตัว แรงงานดิจิทัลและการทำงานในอนาคต - พัฒนาการของ Digital workforce ก่อนปี 2013 กระบวนการทำงานมีลักษณะเป็นแบบ Manual process ปี 2013-2016 กระบวนการทำงานพัฒนาขึ้นเป็น Robotic Process Automation (RPA) ปี 2016-2019 กระบวนการทำงานพัฒนาขึ้น Digital workforce คือ การทำงานร่วมกันของ RPA Cognitive และ Analytics ปี 2017-2021 กระบวนการทำงานพัฒนาขึ้น Digital labor platform คือประกอบด้วย Digital labor platform Bot Store Cloud เหตุผลที่ต้องมีการยกระดับ Digital workforce ทำให้ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนเกี่ยวกับแรงงานเหมาะสม เพิ่มความสามารถของแรงงาน เพิ่มความเร็ว ความถูกต้อง (100%) และ ความพร้อมใช้งาน (24x356) ปรับปรุงการปฏิบัติตาม การควบคุม และการตรวจสอบ สนับสนุน digital transformation เสริมสร้างขวัญและกำลังใจของพนักงาน รากฐานขององค์กรดิจิทัล คือ การลดต้นทุนการดำเนินงาน การพัฒนาคุณภาพและความพึงพอใจของลูกค้า การสร้างความสามารถที่ทดแทนได้แบบต้นทุนต่ำ ความได้เปรียบทางการแข่งขัน กลยุทธ์ Digital workforce ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร  สิ่งที่สำคัญในองค์กรดิจิทัล คือ ความยืดหยุ่น ความปลอดภัย และ ธรรมาภิบาลและการควบคุม ความยืดหยุ่น ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ช่วยให้สามารถปรับใช้ และ Scale-Out อย่างรวดเร็ว ความปลอดภัย ความปลอดภัยระดับองค์กรที่ตรงตามข้อกำหนดการตรวจสอบที่เข้มงวดที่สุด ธรรมาภิบาลและการควบคุม ตรวจสอบและวิเคราะห์ bots ทั่วทั้งองค์กรในรูปแบบการควบคุมกลาง Digital workforce สำหรับ องค์กรที่ทันสมัย  Do กระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนซึ่งทำให้เป็นอัตโนมัติ Think กระบวนการที่ไม่มีโครงสร้างแบบอัตโนมัติด้วย AI และ Machine learning Analyze การวิเคราะห์กระบวนการอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ที่มาข้อมูลเรียบเรียงจาก: "The Digital Transformation Journey: Getting Stared" โดย คุณ วีรภัทร จันทรวรรณกูล (ประธานเจ้าหน้าที่สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทประกันชีวิต FWD) และ "Digital Worker & the Future of Work" โดย Mr.Lau Seng Kiam (Senior Director, Sales Engineering บริษัท Automation Anywhere) ในงาน IDC CIO Summit 2019 จัดโดย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น (International Data Group – IDC) เมื่อ วันที่ 15 พ.ค. 2562 ณ Conrad Bangkok โดย งาน IDC CIO Summit 2019 จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลลัพธ์การดำเนินงานของหน่วยงาน และ การปรับตัวของหน่วยงานต่อเรื่องดังกล่าว ให้กับผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
นานาสาระน่ารู้
 
Digital transformation กับผลกระทบและการปรับตัวของหน่วยงาน
Digital transformation คือ การนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันทั้งนี้ Mr.Jun Fwu Chin (Research Director, IDC Asia/Pacific) แสดงความคิดเห็นว่า Digital transformation คือ การกลายเป็น digital native หรือ การกลายเป็นคนที่เกิดในยุคดิจิทัล โดยการที่บริษัทหรือองค์กรจะกลายเป็น Digital native บริษัทหรือองค์กรนั้นต้องขับเคลื่อนด้วยลูกค้าและกำลังแรงงานที่ชาญฉลาด เรียนรู้และปรับจากความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ที่มีความสำคัญ กระตุ้นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ กระตุ้นรายได้ใหม่ และ กระตุ้นความจงรักภักดีของลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีและข้อมูล จากการสำรวจข้อมูลของบริษัทในประเทศไทยพบว่า ประมาณ 36.8% มีการบูรณาการหรือดำเนินการเกี่ยวกับ digital transformation อย่างต่อเนื่องภายในองค์กรในส่วนของการดำเนินงานและการบริการลูกค้า และ มีเพียง 10.5% มีกลยุทธ์ในการใช้ digital transformation เพื่อแปลงเปลี่ยนตลาดและลูกค้าด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ การแปลง digital transformation สู่ ไอทีฟังก์ชั่น เกี่ยวข้องกับ 4 ส่วน คือ องค์กร ความสามารถหลัก การสร้างรายได้ และการจัดการความเสี่ยง องค์กร คือ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร เช่น การจัดการการเปลี่ยนแปลง KPIs ความสามารถหลัก คือ ความสามารถในการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและง่ายดาย และ ความสามารถในการปรับขนาดให้ใหญ่ขึ้น เช่น ระบบอัจฉริยะ การสร้างรายได้ คือ การขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาและช่องทางการจำหน่าย เช่น การสร้างรายได้จากข้อมูล หรือ วิศวกรซอฟต์แวร์ระดับองค์กร การจัดการความเสี่ยง คือ เปิดทางธรรมมาภิบาลและความยืดหยุ่น เช่น ความไว้เนื้อเชื่อใจในโลกดิจิทัล หรือ digital trust อนาคตของการทำงาน กับ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในไอทีคือสิ่งสำคัญ วัฒนธรรม การมีส่วนร่วมและการมีกำลังของพนักงานที่สอดคล้องกับทักษะดิจิทัลใหม่ พื้นที่ การเชื่อมต่อและการป้องกันสิ่งแวดล้อมของการทำงาน อิสรภาพของเวลาและสถานที่ การร่วมมือกันระหว่างคนและเทคโนโลยี การสร้างความสามารถหลักทางไอทีเพื่อความสามารถในการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและง่ายดายและการเพิ่มขนาดหรือสเกลของธุรกิจ แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับที่ 1 เทคโนโลยีใหม่และโมเดลการส่งมอบ ระดับแรกเป็นการเข้าถึง IT เช่น Cloud Mobile Social Big data ระดับที่ 2 แพลตฟอร์มและชุมชน เช่น AI IoT Blockchain Natural interfaces ระดับที่ 3 ระบบที่ทำงานโดยอิสระ เช่น Quantum computing BioDigital integration Exponential AI มีการคาดการณ์ว่า 60% ของ CIO จะประยุกต์ข้อมูลและ AI สู่กระบวนการดำเนินงาน เครื่องมือ และขั้นตอนไอที ในปี 2021 การสร้างแพลตฟอร์มที่ทั้งเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและง่ายดาย และ สามารถปรับขนาดได้ เน้นเรื่อง กลยุทธ์ Cloud-based API เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามระบบนิเวศ ecosystem Agile application architectures บน Platform-as-a-Service (PaaS) เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้า Digital trust ผ่านอัตลักษณ์ และ การจัดการช่องโหว่และภัยคุกคามในบริการทั้งหมด Intelligent core บนการจัดการข้อมูล AI และ Machine learning องค์กรแห่งอนาคต คือองค์กรที่เจริญเติบโตด้วยวัฒนธรรมแบบ digital native แข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ecosystem การสร้างรายได้จากการเข้าอกเข้าใจและการแสดงความสามารถในการนำโมเดลการทำงานเข้ากับความต้องการที่ซับซ้อนของลูกค้า ทั้งหมดทำได้โดย กำลังแรงงานที่ชาญฉลาด การเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยพนักงานทุกๆ คน ที่ปรับปรุงการดำเนิงนงานตลอดเวลา ที่มาข้อมูลเรียบเรียงจาก:  "The CIO's digital determination playbook" โดย Mr.Jun Fwu Chin (Research Director, IDC Asia/Pacific)  ในงาน IDC CIO Summit 2019 จัดโดย บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ปอเรชั่น (International Data Group – IDC) เมื่อ วันที่ 15 พ.ค. 2562 ณ Conrad Bangkok โดย งาน IDC CIO Summit 2019 จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและผลลัพธ์การดำเนินงานของหน่วยงาน และ การปรับตัวของหน่วยงานต่อเรื่องดังกล่าว ให้กับผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน 
นานาสาระน่ารู้
 
การ Mirror หน้าจอ Smart Phone ไปออก PC
หลายครั้งในการบรรยายที่วิทยากรต้องการโชว์แอปพลิเคชันบน Smart Phone ให้ผู้อบรมได้เห็น แต่เป็นอุปสรรค์เพราะการโชว์จาก Smart Phone โดยตรงจะเล็กเกินไปจนมองไม่เห็น จำเป็นต้องหาทาง mirror หน้าจอมือถือไปออก PC เพื่อที่จะไปออก Projector อีกทีหนึ่ง แอปพลิเคชัน ApowerMirror - Mirror&Reflect เป็นแอปฯ จาก บ. Apowersoft Limited ที่มีความสามารถสูง สามารถตอบโจทย์วิทยากรที่ต้องการโชว์แอปพลิเคชันให้ผู้อบรมเห็น รองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS ทั้งยังมีโปรแกรมเสริมใน PC และมีทั้งแบบฟรีและชำระเงินเพิ่มเพื่อใช้ฟังก์ชันที่มีประโยชน์อื่นมากมาย สามารถ Download แอปพลิเคชันในระบบต่างๆ ได้ดังนี้Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.apowersoft.mirroriOS : https://itunes.apple.com/us/app/apowermirror-mirror-reflect/id1244625890  PC : https://www.apowersoft.com/phone-mirror  แนะนำการใช้งานโปรแกรมตามนี้ครับ (ใช้การสาธิตระหว่าง PC (version 1.4.3.3) และ มือถือ Android ) เมื่อลงโปรแกรมที่ PC แล้ว และลงแอปฯ บนมือถือแล้ว สิ่งสำคัญอันดับแรก ต้องให้ทั้ง 2 device นี้ เชื่อมต่อ wifi วงเดียวกัน ในที่นี้ เป็นตามรูป (ฝั่งซ้ายเป็น PC ฝั่งขวาเป็น Smart Phone)    เริ่มใช้งาน เปิดโปรแกรมทั้ง 2 device ฝั่ง PC เข้าสู่หน้าเตรียมพร้อม ขึ้นข้อความว่า ให้เปิดแอปฯ ฝั่งมือถือ ฝั่งมือถือ เข้าสู่หน้าเตรียมพร้อม แล้วแจ้งว่าให้เชื่อมต่อ Wifi วงเดียวกัน ให้คลิ๊กที่ปุ่มกลาง (Mirror) ต่อจากนี้ เป็นการจัดการฝั่งมือถือ โดยทำตามนี้เมื่อคลิกปุ่มไปแล้ว ระบบจะหา PC ที่อยู่ในวง wifi เดียวกัน และเปิดโปรแกรมรออยู่  เมื่อเจอแล้ว จะขึ้นชื่อให้เลือกว่าเป็น PC เครื่องไหน ให้เราคลิกที่ชื่อเครื่องของเราได้เลย  ระบบจะให้เลือกว่า จะใช้การทำงานแบบไหน - Phone Screen Mirroring เพื่อ mirror หน้าจอมือถือไปออก PC (คลิกตัวเลือกนี้)- Computer Screen Mirror เพื่อ mirror หน้าจอ PC ไปออกมือถือ เมื่อสั่ง mirror แล้ว บน PC จะได้รับ screen mirror จากหน้าจอมือถือมาออกแล้ว   ทดสอบการใช้งาน จะ screen mirror มา 100%   มีฟังก์ชันการใช้งานนึง ที่ขอแนะนำให้ใช้ คือการ record การ screen mirror เป็นไฟล์ VDO สมบูรณ์มาก   สามารถปรับ account level หากต้องการฟังก์ชันการใช้งานที่ดีขึ้น หวังว่าโปรแกรมนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับวิทยากรมากขึ้น หรือใช้งานสำหรับ user ทั่วไปก็ได้
นานาสาระน่ารู้
 
บทบาทของห้องสมุดกับสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้บริษัทผู้ให้บริการระบบบริการออนไลน์ต่างๆ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการจำนวนมากได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพื่อนำมาทำรายงานสรุปข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการเพื่อการวิเคราะห์และออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเปิดเผยให้เห็นถึงลักษณะ ความสนใจ และความชอบของผู้ใช้บริการ อาจอาจส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการใช้ข้อมูลสารสนเทศของผู้ใช้บริการเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ บริษัทผู้ให้บริการระบบบริการออนไลน์ต่างๆ ยังสามารถกำหนดเรื่อง โพสต์ หรือเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้ใช้บริการเห็นบนแพลตฟอร์มที่ตนเองให้บริการ โดยคัดสรรตามลักษณะ ความสนใจ และความชอบของผู้ใช้บริการ ยกตัวอย่างเช่น Social media ขึ้นโฆษณาในสิ่งที่เรากำลังสนใจ ไม่ใช่แค่เพียง Social media แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางวิจัยและวิชาการ เช่น ผู้ให้บริการฐานข้อมูลออนไลน์พยายามตรวจสอบการใช้งานฐานข้อมูลออนไลน์ของผู้ใช้บริการและปรับแต่งผลลัพธ์และประสบการณ์ในการใช้งานฐานข้อมูลออนไลน์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น ขณะที่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) มาตรา 12 ระบุว่า บุคคลใดจะถูกแทรกแซงตามอำเภอใจ ในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว ที่อยู่อาศัย หรือการสื่อสาร หรือจะถูกลบหลู่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่ได้ หรือ ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ พ.ศ. 2556 และ 2557 มีมติเกี่ยวกับ สิทธิความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล เรียกร้องให้ทุกประเทศ เคารพและปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัว รวมถึงในบริบทของการสื่อสารแบบดิจิทัล เช่นเดียวกัน กฎหมายหลายฉบับของไทยที่พูดถึงความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 พรบ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 พรบ. ว่าด้วยธุุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 และ ร่าง พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.... เป็นต้น International Federation of Library Associations and Institutions (IFLA) สหพันธ์ระหว่างประเทศว่าด้วยสมาคมและสถาบันห้องสมุด มีแถลงการณ์เฉพาะว่า ห้องสมุด...มีความรับผิดชอบในการ...มุ่งมั่นที่จะทำให้มั่นใจว่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ สื่อหรือทรัพยากรสารสนเทศ และบริการ ที่ผู้ใช้ใช้ยังคงเป็นความลับ หลักจรรยาบรรณสำหรับบรรณารักษ์และผู้บริการสารสนเทศของ IFLA ระบุถึงการเคารพความเป็นส่วนตัว การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล และการรักษาความลับในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และห้องสมุดว่าคือหลักการสำคัญ  ตามธรรมเนียมปฏิบัตินโยบายการให้บริการห้องสมุดให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนบุคคลและความลับของผู้ใช้บริการห้องสมุด แต่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในห้องสมุดก็ถูกท้าทาย กล่าวคือ ผู้ให้บริการเนื้อหาและบริการเชิงพาณิชย์ที่ห้องสมุดเป็นสมาชิกอาจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของผู้ใช้ การสื่อสาร และธุรกรรม ระบบห้องสมุดในลักษณะ cloud-based อาจถ่ายโอนและจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไว้นอกพื้นที่ให้บริการของห้องสมุด เมื่อห้องสมุดเสนอบริการบนอุปกรณ์มือถือของผู้ใช้บริการ บริการอาจรวบรวมข้อมูลประจำตัวและข้อมูลตำแหน่งของผู้ใช้บริการ ติดตามการใช้ห้องสมุด และการแบ่งปันข้อมูลกับบุคคลที่สาม เป็นต้น ห้องสมุดสามารถตัดสินใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลประเภทใดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการที่ห้องสมุดจะเก็บรวบรวมและพิจารณาหลักการของการรักษาความปลอดภัยข้อมูล ห้องสมุดสามารถเจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการเพื่อให้แน่ใจว่าเกี่ยวกับการป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แต่ต้องยอมรับว่าโอกาสของห้องสมุดที่จะมีอิทธิพลต่อการควบคุมผู้ให้บริการอาจจะมีจำกัด IFLA มีคำแนะนำสำหรับห้องสมุดเกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ ดังนี้ ห้องสมุดควรเคารพความเป็นส่วนตัวและเพิ่มความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการทั้งในระดับหลักการและการปฏิบัติ ห้องสมุดควรสนับสนุนความพยายามขององค์กรที่ดำเนินการเรื่องการเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับสากล เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคลและสิทธิ์ดิจิทัลของพวกเขา พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้เชี่ยวชาญด้านห้องสมุดสะท้อนความคิดเห็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ห้องสมุดควรปฏิเสธการเฝ้าระวังทางอิเล็กทรอนิกส์และการตรวจสอบหรือการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้หรือข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้จากระบบที่ผิดกฎหมายทุกประเภท ในขณะที่การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้และการเฝ้าระวังข้อมูลของรัฐบาลเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ ห้องสมุดควรตรวจสอบการบุกรุกข้อมูลและการสื่อสารของผู้ใช้โดยรัฐบาล โดยให้เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ในปริมาณที่จำเป็น โดยมีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อห้องสมุดให้บริการการเข้าถึงทรัพยากร บริการ หรือเทคโนโลยี ที่อาจเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ห้องสมุดควรส่งเสริมให้ผู้ใช้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงให้คำแนะนำในการป้องกันข้อมูลและความเป็นส่วนตัว ห้องสมุดควรสนับสนุนความสามารถของผู้ใช้ในการตัดสินใจ เลือกใช้ข้อมูล การกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายในการสื่อสารและการใช้บริการในอินเทอร์เน็ต การป้องกันข้อมูลและการปกป้องความเป็นส่วนตัวควรอยู่ในหลักสูตรฝึกอบรมการรู้สื่อและสารสนเทศของห้องสมุด รวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับเครื่องมือที่จะใช้เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัว และ การศึกษาของห้องสมุดและผู้เชี่ยวชาญควรรวมเรื่องการปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัว อ้างอิง International Federation of Library Associations and Institutions. (2015, 14 August). IFLA Statement on Privacy in the Library Environment. Retrieved from https://www.ifla.org/files/assets/hq/news/documents/ifla-statement-on-privacy-in-the-library-environment.pdf
นานาสาระน่ารู้
 
ตรวจสอบและตั้งค่าความปลอดภัยให้ facebook
เมื่อมีข่าว facebook โดนแฮก หรือการขโมยข้อมูลบัญชีผู้ใช้ facebook บ่อยครั้ง สักวันหนึ่งเราอาจจะตกเป็นเยื่อมิจฉาชีพบ้างก็ได้ เราจะใช้ facebook อย่างไรให้ปลอดภัย ลองมาดูวิธีการตรวจสอบและตั้งค่าความปลอดภัยให้กับ facebook กัน ไปที่เมนูการตั้งค่า --> การรักษาความปลอดภัยและการเข้าสู่ระบบ จะมีรายการเมนูและรายละเอียดวิธีใช้งานดังนี้ (more…)
นานาสาระน่ารู้
 
สรุปรายงานสถานะการจัดการความรู้ขององค์กรไทย
ทริส คอร์ปอเรชั่น และ สถาบันที่ปรึกษาด้านการจัดการความรู้และนวัตกรรมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำรวจสถานะการจัดการความรู้ (Knowledge Management - KM) ขององค์กรไทย วัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานภาพของ KM ขององค์กรในประเทศไทย และ วิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อน KM ในองค์กรต่างๆ โดยทำการศึกษาในช่วงเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2561 ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ โดยมีหน่วยงานที่เข้าร่วม 160 แห่ง (หน่วยงานราชการ 49% รัฐวิสาหกิจ 17% และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 34%) ผลการศึกษาแบ่งตามประเด็น ได้แก่ ความตระหนักต่อ KM จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่าองค์กรที่มีการดำเนินการ KM คิดเป็น 76% โดยประเภทองค์กรที่มีการดำเนินการ KM มากที่สุดเรียงตามลำดับ คือ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ และบริษัทเอกชน ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาขนาดขององค์กรด้วยจำนวนบุคลากรในองค์กร พบว่าองค์กรขนาดใหญ่ซึ่งมีบุคลากรมากกว่า 1,000 คน มีการดำเนินการ KM มากที่สุด และองค์กรที่มีการดำเนินการ KM มากกว่า 75% มีการดำเนินการมาแล้วมากกว่า 3 ปี ลักษณะของ KM ในองค์กร การดำเนินการ KM ขององค์กรนั้น พบว่า จะมีหน่วยงานเฉพาะที่มีหน้าที่ดำเนินการ KM อาจอยู่ในระดับกลุ่มงาน ฝ่าย หรือแผนก (37%) และ เป็นการขับเคลื่อนดำเนินการโดยมีคณะทำงานหรือคณะกรรมการด้าน KM ที่มีลักษณะการทำงานข้ามสายงานหรือข้ามหน่วยงานภายในองค์กร (30%) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรเข้าใจว่า KM เป็นสหสาขาวิชาหรือเกี่ยวข้องกับหลายสาขา รวมถึงการมีระดับการจัดการ คือ มีผู้บริหารระดับสูงหรือกลางจากหน่วยงานรับผิดชอบดูแล KM (23%) Top 3 ลักษณะของ KM ที่องค์กรส่วนใหญ่ดำเนินการ ได้แก่ การจัดทำแนวทางการเข้าถึงแหล่งความรู้ที่จำเป็นต่อการทำงานให้บุคลากรทราบ (Knowledge map) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้ามสายงาน (Cross functional team) การใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถเข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ทันการณ์ตลอดเวลา เป้าหมายของ KM เป้าหมายขององค์กรที่ดำเนินการ KM พบว่า นั้น มากกว่าครึ่ง (53%) ให้ความสำคัญที่ “นวัตกรรม” ที่มีคุณค่าต่อการเติบโตขององค์กร สะท้อนว่าทำ KM ไม่ใช่เพื่อปรับปรุงงานอย่างเดิม แต่เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรม และแสดงถึงการเชื่อมโยงที่องค์กรส่วนใหญ่ยอมรับระหว่าง KM กับ นวัตกรรม เป้าหมายในลำดับถัดมา ได้แก่ การปรับปรุงผลการดำเนินงาน คุณภาพของผลิตภัณฑ์/บริการ การเพิ่มความสามารถขององค์กรต่อการเติบโตในอนาคต ความพึงพอใจของลูกค้า/ผู้ใช้บริการ และสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นของบุคลากร อุปสรรคของ KM ในองค์กร อันดับที่ 1 บุคลากรขาดความตระหนักหรือความสนใจ อันดับที่ 2 การขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการและเครื่องมือ KM อันดับที่ 3 การขาดแรงจูงใจ อันดับที่ 4 ข้อจำกัดของบุคลากร (ขาดความรู้หรือทักษะ) อันดับที่ 5 ผู้บริหารขาดความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง อันดับที่ 6 ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรไม่เอื้อ ซึ่งจากอุปสรรคข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าความไม่สำเร็จต่างๆ นั้นมักเกิดขึ้นเกี่ยวกับ บุคลากร เมื่อพิจารณาอุปสรรคของ KM ในองค์กร ตามประเภทขององค์กร พบว่าองค์กรทุกประเภทมีความคิดเห็นตรงกันก็คือ การที่บุคลากรในองค์กรยังขาดความตระหนักหรือความสนใจใน KM เท่าที่ควร ปัจจัยสู่ความสำเร็จของ KM ในองค์กร การศึกษาพบว่าองค์กรที่ประสบความสำเร็จในผลลัพธ์ระดับที่แตกต่างกัน มีปัจจัยที่ให้ความสำคัญควบคู่กันไปแตกต่างกัน คือ องค์กรที่ตั้งเป้าหมายความสำเร็จของ KM ในระดับเริ่มต้น จะให้ความสำคัญกับ กระบวนการจัดการความรู้ (KM process) ระดับที่ก้าวหน้าต่อมา จะให้ความสำคัญกับ การนำองค์กร (Leadership) องค์กรที่ต้องการบรรลุเป้าหมายความสำเร็จในระดับสูงสุด จะให้ความสำคัญกับ การวางกลยุทธ์ KM (KM strategy) และ การผสาน KM เข้าเป็นส่วนเดียวกันกับการปฏิบัติงาน (Operation) ประเภทขององค์กรกับ KM (ภาพรวม) การสำรวจพบว่าค่าเฉลี่ยระดับสมรรถนะด้าน KM ในองค์กร (ทั้งหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และบริษัทจดทะเบียน) อยู่ในระดับปานกลาง มีระดับคะแนนสมรรถนะด้าน “การนำองค์กร” (Leadership) สูงเช่นเดียวกัน และ มีระดับคะแนนสมรรถนะด้าน “บุคลากร” ต่ำที่สุดเช่นเดียวกัน ในหน่วยงานราชการ การสำรวจพบว่า “การนำองค์กร” และ “การวางแผน/ทรัพยากรสนับสนุน” เป็นด้านที่หน่วยงานราชการมีระดับคะแนนสูงสุดตามลำดับ ขณะที่ “บุคลากร” เป็นด้านที่มีระดับคะแนนต่ำที่สุด ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ การสำรวจพบว่า “การวางแผน/ทรัพยากรสนับสนุน” และ “การนำองค์กร” เป็นด้านที่มีระดับคะแนนสูงสุดตามลำดับ ขณะที่ “บุคลากร” เป็นด้านที่มีระดับคะแนนที่ต่ำที่สุด ในบริษัทจดทะเบียน การสำรวจพบว่า “กระบวนการปฏิบัติงาน” (องค์กรมีการสร้างความตระหนักต่อความเสี่ยงในกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ) และ “การนำองค์กร” เป็นด้านที่มีระดับคะแนนสูงสุดตามลำดับ ขณะที่ “บุคลากร” เป็นด้านที่มีระดับคะแนนต่ำที่สุดเช่นเดียวกับหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความสำเร็จ KM อย่างมีนัยสำคัญ การศึกษา พบ 2 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อระดับความสำเร็จ KM อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ บุคลากร และ กระบวนการปฏิบัติงาน องค์กรควรให้ความสำคัญกับบุคลากร ได้แก่ การสร้างบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ KM มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ส่งเสริมให้บุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดกิจกรรมที่หลากหลาย เสริมสร้างบรรยากาศของการรับฟัง เปิดเผยและเชื่อใจกัน มีการสนับสนุนการจัดตั้งและบริหารทีมข้ามสายงานที่มีประสิทธิผล และมีการกำหนดและติดตามพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่สนับสนุน KM รวมทั้งนำพฤติกรรมดังกล่าวมาเชื่อมกับระบบการประเมินผลงานของบุคลากร องค์กรควรพัฒนาและปรับปรุงการปฏิบัติงานประจำอย่างมีประสิทธิผลและต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือในการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ มีการนำความรู้ภายในและภายนอกองค์การมาใช้เพื่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงาน และสร้างความตระหนักต่อความเสี่ยงในกระบวนการปฏิบัติงานที่สำคัญ ข้อจำกัดของการศึกษา การสำรวจนี้มีข้อจำกัด คือ การใช้แบบสอบถามออนไลน์เป็นเครื่องมือเดียวในการเก็บข้อมูล อาจมีเรื่องมุมมองส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม และตอบคำถามในมุมของตนเองหรืองานของตนเองเป็นหลักไม่ใช่ภาพรวมขององค์กร ที่มา : TRIS Academy. (2562). รายงานสถานะการจัดการความรู้ขององค์กรไทย (Current status of organizational KM capability in Thailand): Executive report
การจัดการความรู้ (KM)