ผลการค้นหา : 
				 
									Mr. Baybars Altuntas : Chairman, World Business Angel Investment Forum (WBAF)
										Mr.Baybars Altuntas		
			Chairman, World Business Angel Investment Forum (WBAF)		
		https://youtu.be/8Zbyzb0gIgo		
					
			
				แสดงความยินดีกับ สวทช. สำหรับผลงานอันยิ่งใหญ่ในการผลักดันให้กรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมของเอเชีย และขอขอบคุณอย่างสูงในความเป็นผู้นำอันดีเลิศของ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการ สตาร์ตอัปในประเทศไทยและภูมิภาค รวมถึงนักลงทุนผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก
										VDO 30 ปี สวทช.
 									 
									Dr. Wayne Wang : President, Asian Science Park Association (ASPA)
										Dr. Wayne Wang		
			President, Asian Science Park Association (ASPA)		
		https://youtu.be/v2H22hI_D_M		
					
			
				ขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของ สวทช. ที่ผ่านมา สวทช. เป็นพันธมิตรที่ดีของ ASPA ได้ร่วมกันจัดการประชุม Business Meeting ในกรุงเทพมหานคร ถึง 3 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และอุทยานวิทยาศาสตร์ซินจู ได้ร่วมกันเป็นอุทยานวิทยาศาสตร์พี่น้องกันตั้งแต่ปี 2006 และเชื่อว่าเราจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
										VDO 30 ปี สวทช.
 									 
									Ms. Ebba Lund : Chief Executive Officer, International Association of Science Parks and Areas of Innovation (IASP)
										Ms. Ebba Lund		
			Chief Executive Officer, International Association of Science Parks and Areas of Innovation (IASP)		
		https://youtu.be/Xo0lRCQOAis		
					
			
				ขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ สวทช. โดย IASP มีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับ สวทช. ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัจจุบันอุทยานวิทยาศาสตร์ของไทยได้รับตำแหน่งประธานของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ก่อนหน้านี้ได้รับเลือกเป็นประธานในระดับนานาชาติ ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและจะทำงานร่วมกันต่อไป
										VDO 30 ปี สวทช.
 									 
									Mr. Jeong Yoon-Mo : The Chairman and President of Korea Technology Finance Corporation (KOTEC), Korea
										Mr. Jeong Yoon-Mo
The Chairman and President of Korea Technology Finance Corporation (KOTEC), Korea
https://www.youtube.com/watch?v=TrQNBPs7CnM
ขอแสดงความยินดีจากใจในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ สวทช. ในฐานะมิตรประเทศอันยาวนาน ประเทศไทยและเกาหลีมีความร่วมมือกันในหลาย ๆ เรื่อง รวมถึงด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวทช. และ KOTEC เราต่างก็มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน 30 ปี เหมือนกันและมีความร่วมมือกันตลอดมา พร้อมกันนี้เชื่อว่า สวทช.จะเป็นองค์กรหลักของสังคมแห่งฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยต่อไป
										VDO 30 ปี สวทช.
 									 
									Prof. Dr. Kazuya Masu : President of Tokyo Institute of Technology
										Prof. Dr. Kazuya Masu
President of Tokyo Institute of Technology
https://youtu.be/6Z8al8EY3Ps
ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้กล่าวแสดงความยินดีกับโอกาสครบรอบ 30 ปี ของ สวทช. ที่เป็นพันธมิตรร่วมกันมาเกือบ 20 ปี ทั้งในด้านการวิจัยและบัณฑิตวิทยาลัย พร้อมกันนี้ขอขอบคุณมายังสมาชิกทุกคนของ สวทช. สำหรับมิตรภาพและความสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
										VDO 30 ปี สวทช.
 									 
									ขายหัวเราะ ฉบับรู้ทันโควิด
										ขายหัวเราะ ฉบับรู้ทันโควิด
ขายหัวเราะเฉพาะกิจรู้ทันโควิด 19 เป็นความร่วมมือขององค์การอนามัยโลกกับภาคีในการก้าวไปกับ “ความปรกติใหม่” ของชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัส
ฉบับภาษาไทย | English Version
ที่มา : https://www.who.int/docs/default-source/searo/thailand/knowcovid-final-pages-r01.pdf
										เอกสารเผยแพร่
 									 
									แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 – 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
										แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 - 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
โดยมีเนื้อหา
 	สถานการณ์แนวโน้ม และระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 	นโยบาย ยุุทธศาสตร์ชาติและแผนที่เกี่ยวข้องกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 	สถานการณ์ของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 	ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในปัจจุบัน
 	แนวโน้มของโลกและนัยต่อประเทศไทย
 	ฉากทัศน์ภาพอนาคต
 	ทิศทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ
 
สามารดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ : shorturl.asia/uK3Mi  หรือคลิกที่ลิงก์ หนังสือแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2563 - 2565 ฉบับปรับปรุงปีงบประมาณ 2565
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
										เอกสารเผยแพร่
 									 
									หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
										สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดทำหนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนเมษายน 2563 และเผยแพร่ฉบับ pdf file ไว้บนเว็บไซต์ สสส. (https://www.thaihealth.or.th/)
เนื้อหาในเล่ม ประกอบด้วย สาระความรู้ต่างๆ ในเรื่องของ โควิด-19 ได้แก่
 	ทําความรู้จักโควิด – 19
 	ติดโควิดหรือเปล่า? เช็กสัญญาณและอาการได้ที่นี่
 	ใครบ้างที่เสี่ยงสูงติดโควิด-19
 	เเนวทางปฏิบัติเมื่อต้องกักตัว 14 วัน
 	เตรียมที่พักและอุปกรณ์อย่างไรให้พร้อม
 	ข้อปฏิบัติกรณีอยู่บ้านคนเดียว
 	ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ที่ต้องกักตัว
 	ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ดูแลอาคารชุด
 	เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ
 	ทําความเข้าใจเส้นทางการรักษาโควิด-19
 	การดูแลตนเองสําหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ในช่วงระบาดของ COVID-19
 	แนะนําวิธีดูแลเด็กอย่างไรในช่วงโควิด-19
 
Download เอกสาร ได้ที่เว็บไซต์ข้างต้น หรือคลิกที่ลิงก์  หนังสือ สู้ ! โควิด-19 ไปด้วยกัน คู่มือดูแลตัวเองสำหรับประชาชน
ที่มา: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
										เอกสารเผยแพร่
 									 
									วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
										วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มกราคม 2564
สหรัฐอเมริการกับการมีส่วนกับประชาคมโลกในด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีสถิติการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกมาจนถึงปี 2548 ที่จีนได้แซงหน้า สหรัฐฯ ได้เข้าเป็นภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Unitec Nations Framework Convention on Climate Change – UNFCCC) เมื่อปี 2535 ขณะที่ต่อมีมีการจัดทำพิธีสารเกียวโต ทีประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2538 สหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก ที่ต้องมีพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของพิธีสาร ไม่เข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารฯ ซึ่งมีการผูกมัดประเทศพัฒนาแล้วให้ลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในโครงการซื้อขายก๊าซเรือนกระจกที่มีเครดิตคาร์บอนที่เรียกว่า กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanise – CDM) เป็นกรอบโครงการที่รัฐภาคีสมาชิกจะดำเนินร่วมกันจนทำให้การดำเนินงานระหว่างภายใต้พิธีสาร
เกียวโตขาดเอกภาพ และค่อยๆ หมดกำลังลง โดยเฉพาะ ปี 2556 – 2563 แคนาดาขอถอนตัวจากการเป็นภาคีพิธีสาร ขณะที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ประกาศไม่ขอผูกมัดตนเองตามพันธกรณี โดยญี่ปุนพยายามสร้างกลไกมาซื้อขายคาร์บอนแบบทวิภาคี หรือ Joint Crediting Mechanism (JCM) ซึ่งมีส่วนทำให้พิธีสารเกียวโตหมดความหมายเช่นเดียวกัน
พัฒนาของเหตุการณ์เหล่านี้ มีผลสำคัญมาจากการที่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเหมือนแต่ก่อน ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาได้พัฒนารุดหน้าขึ้นมาก ทั้งทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งในการผลิตทางอุตสาหกรรม และเพิ่มสัดส่วนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ จีน อินเดีย บราซิล อินโดนีเซีย ได้รวมตัวกันแล้วปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 63% ของโลก ด้วยเหตุนี้
ที่ประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้พยายามหามาตรการใหม่ที่จะให้ทุกประเทศร่วมแรงร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส และนำไปสู่การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ 21 ที่กรุงปารีส เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นให้มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ จากความตกลงระหว่างประเทศที่ชื่อว่า ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
ความตกลงปารีส Paris Agreement 
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 หรือ 30 วันหลังจากวันที่ภาคีอนุสัญญาฯ อย่างน้อย 55 รัฐ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันอย่างน้อย 55%  ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดย จีนกับสหรัฐฯ ได้ยื่นสัตยาบันสารรับรองความตกลงปารีสพร้อมกัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2559 (ไทยยื่นสัตยาบันสารเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559)
 
การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมภายใต้การบริหารงานของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะผลการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2560 นั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกฎและระเบียบจากสมัยอดีตประธานาธิบดีโอบามา รวมถึง นโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1. การถอนตัวจากความตกลงปารีส
การที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโอบามาได้ลงนามในความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 และให้สัตยาบันเดือนกันยายนปีเดียวกันพร้อมกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่เมื่อการสืบทอดตำแหน่งทางการเมืองในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศกร้าวว่าโลกร้อนไม่จริง ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะถอนการสนับสนุนความตกลงปารีส
นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นภาพสะท้อนนโยบายภาพรวมของพรรคที่มีกลุ่มผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง
ฟอสซิล (น้ำมันและก๊าซ) หนุนหลังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัท Exxon Mobil ที่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ
หลังจากแถลงการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยกเลิกการเข้าร่วมความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ณ ทำเนียบขาว โดยได้ยื่นสารขอลาออกจากสมาชิกภาพเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2562 จึงทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งมั่นที่จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าเป็นภาคีรัฐสมาชิกตามเดิมในโอกาสแรก
2. การยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ
ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2561 สมาชิกรัฐสภา ได้ส่งจดหมายเพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พิจารณายกเลิกการถอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้ง นายกเทศมนตรีรัฐชิคาโก ได้จัดประชุมผู้นำท้องถิ่นจากรัฐต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ร่วมกับแคนาดา และเม็กซิโก ร่วมลงนามความตกลงใน Global Covenant of Mayors for Climate and Energy ซึ่งเป็นแผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงแม้ว่าการประชุมจะเกิดขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงการณ์ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาตินั้นแต่ผู้นำท้องถิ่นในแต่ละรัฐยังคงเดินหน้าต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
3. การเปลี่ยนแปลงของหน่วยงาน EPA 
หน่วยงาน Environment Protection Agency (EPA) มีหน้าที่ปกป้อง ประเมิน และวิจัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งได้สนับสนุนให้นายสก๊อต พรูอิทท์ (Scott Pruitt) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ EPA
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 นายพรูอิทท์เคยฟ้องร้องหน่วยงาน EPA 14 ครั้งในเรื่องมลพิษทางน้ำ อากาศ การควบคุม
สารปรอท หมอกควัน และมลพิษอื่นๆ ทั้งยังมีความคิดไม่เห็นด้วยว่า กิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาวิจัยไว้
ปลายปี 2560 หน่วยงาน EPA และนายพรูอิทท์ได้ถูกฟ้องร้องในข้อหาละเลยหน้าที่ของรัฐบาลในการควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กร่วมกับอีก 13 รัฐ กล่าวว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 115 ล้านคน กำลังสูดหมอกควันระดับอันตรายเข้าไป แสดงให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อสุขภาพของประชาชนและกฏหมาย
นายพรูอิทท์ ได้ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการ EPA เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 หลังจากสื่อต่างๆ กล่าวถึงการทำผิดจรรยาบรรณและความไม่เหมาะสมในตำแหน่งด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอชื่อนายแอนดรูว์
วีลเลอร์ (Andrew Wheeler) ดำรงตำแหน่งแทน นายวีลเลอร์มีนโยบายการบริหารงานทางด้านสิ่งแวดล้อมไม่แตกต่างจากนายพรูอิทท์ และนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของประธานาธิบดีทรัมป์คงเดินหน้าต่อไป
4. การยกเลิกแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP)
แผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan : CPP) โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า 32% ภายในปี 2573 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า CPP ไม่สอดคล้องกับ Clean Air Act ซึ่งเป็นกฏหมายของรัฐบาลกลางในการควบคุมคุณภาพอากาศและลดมลพิษทางอากาศจึงควรยกเลิกแผนพลังงานสะอาด ทั้งนี้ แผน ACE จะทำให้ความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยมลพิษลดลงและคาดว่าจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น 12 เท่าใน 10 ปีต่อจากนี้
5. การอนุมัติโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน Keystone XL
ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน KeystonXL หรือ Keystone Export Limited ของบริษัท TransCanada Corp. มีมูลค่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มศักยภาพในการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil sands) จากรัฐแอลเบอร์ตาไปยังรัฐเนเบรสกา ถึง 830,000 บาเรล/วัน ซึ่งโครงการนี้ถูกระงับโดยอดีตประธานาธิบดีโอบามาด้วยเหตุผลด้านผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากการกลั่นน้ำมันดิบจากทรายน้ำมัน (Oil sands) ต้องใช้น้ำในปริมาณมากและความร้อนสูงชะแยกน้ำมันออกจากมวลทราย โดยกระบวนการดังกล่าวจะก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าปกติถึง 17% และประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างและหากมีการรั่วไหลของน้ำมัน
นโยบายการปฏิวัติด้านพลังงานสะอาดและความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของนายโจ ไบเดน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2564 มีมุมมองว่าเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม คือเรื่องเดียวกัน และวางแผนดำเนินการทางด้านสิ่งแวดล้อม รัฐบาลกลางจะลงทุน 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงสิบปีข้างหน้า ในการปฏิวัติพลังงานสะอาด (Clean Energy Revolution) โดยไบเดนได้กลับเข้าร่วมข้อตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ยังเตรียมปรับ Green New Deal (คือ ข้อเสนอด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่ระบุปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ)
นโยบายทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของนายไบเดน ได้แก่ :
1. นำพาสหรัฐฯ ไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (cleanenergy economy) 100% และภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) จะยุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
1.1 ระเบียบบริหารราชการชุดใหม่ (series of new executive orders) ผลักดันความก้าวหน้าครั้งประวัติศาสตร์ในการลดการปล่อยก๊าซอย่างมีนัยสำคัญของสหรัฐฯ
1.2 วาระทางด้านกฏหมายที่จะมีการผลักดันในปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
2. เสริมความแข็งแกร่งและฟื้นฟูสหรัฐฯ รัฐบาลวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นอาคาร ระบบน้ำ การขนส่ง และพลังงาน ให้มีความทนทาน ช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
3. ร่วมกับนานาประเทศในการรับมือกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สหรัฐฯ มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดสัดส่วน 15% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
4. ต่อต้านการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้ปล่อยมลพิษ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนคนผิวสีและผู้ที่มีรายได้ต่ำ
5. ให้ความสำคัญและช่วยเหลือคนงานและชุมชนที่ดำเนินการด้านถ่านหินโรงไฟฟ้า นายไบเดนให้คำมั่นที่จะไม่ทอดทิ้งคนงานทุกคน 
อ่านเพิมเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-jan2021.pdf
 
 
 
 
 
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									ผลจะเป็นอย่างไร?  ปลูกโหระพาในอวกาศเทียบกับบนพื้นโลกผลจะเป็นอย่างไร?
										 
นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลองปลูกโหระพาในสถานีอวกาศนานาชาติครบ 30 วัน พร้อมส่งต้นโหระพากลับสู่พื้นโลก เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ผลการเจริญเติบโต และใช้เปรียบเทียบกับต้นโหระพาที่นักเรียนไทยปลูกบนพื้นโลก ภายใต้โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) หวังสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กไทยสนใจวิทยาศาสตร์อวกาศ
 
[caption id="attachment_17430" align="aligncenter" width="1000"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) ว่า โครงการ AHiS เกิดจากความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. กับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า เข้าร่วมการทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้ศึกษาและวิจัยการปลูกพืชบนอวกาศสำหรับใช้ในการดำรงชีวิตและต่อยอดการวิจัยสู่การปลูกพืชบนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพื่อรองรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นอกโลกในอนาคต ทั้งนี้ภายหลังจากการปิดรับสมัคร (เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564) มีนักเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนมากถึง 312 ทีม จาก 133 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยในแต่ละทีมจะมีสมาชิก 3 คน และอาจารย์ที่ปรึกษา 1 ท่าน
ดร.ณรงค์ กล่าวว่า ในส่วนของการทดลองปลูกโหระพาบนอวกาศ นายโซอิจิ โนกุจิ (Soichi Noguchi) นักบินอวกาศญี่ปุ่นของแจ็กซา ได้เริ่มทำการทดลองปลูกโหระพาในห้องทดลองคิโบะ (Kibo Module) บนสถานีอวกาศนานาชาติ ตั้งแต่วันแรก คือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จากนั้นจะให้น้ำทุกๆ 10 วัน จนสิ้นสุดการทดลองครบ 30 วัน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ภายหลังเสร็จภารกิจนักบินอวกาศญี่ปุ่นได้ขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนการทดลองโครงการ Asian Herb in Space และได้ส่งต้นโหระพาที่ทดลองปลูกบนสถานีอวกาศกลับมายังพื้นโลก โดยเก็บในอุณหภูมิติดลบ 80 องศาเซลเซียส เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตต่อไป
[caption id="attachment_17382" align="aligncenter" width="1000"] นายโซอิจิ โนกุจิ (Soichi Noguchi) นักบินอวกาศญี่ปุ่นของแจ็กซา[/caption]
สำหรับโครงการ AHiS ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลก เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อเปรียบเทียบกับการปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ โดยใช้เมล็ดพันธุ์ชนิดเดียวกัน และปลูกในสภาพแวดล้อมเดียวกัน แตกต่างกันในเรื่องของแรงโน้มถ่วงเพื่อเรียนรู้ว่า สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำมีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างไร และนำผลการทดลองที่ได้มาสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนในด้านสะเต็มศึกษา (STEM Education) สร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์อวกาศ โดยในโครงการ AHiS นี้ ยังมีความพิเศษคือในระหว่างที่นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลองปลูกโหระพาบนอวกาศ จะส่งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอมาให้นักเรียนไทยได้ดูการเจริญเติบโตของต้นโหระพาอวกาศเป็นประจำทุกวันทางทวิตเตอร์ https://twitter.com/Astro_Soichi ซึ่งสร้างความใกล้ชิดและทำให้เด็กๆ ได้รับแรงบันดาลใจในอาชีพนักบินอวกาศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในการทดลองไปพร้อมๆ กัน
“การเจริญเติบโตของโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะการงอกจากเมล็ดสู่การตั้งลำต้นและแตกใบเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำนอกโลก โดยภายหลังจากที่นักบินอวกาศญี่ปุ่นได้เริ่มเพาะเมล็ดโหระพาเพียง 3 วัน เราก็ได้เห็นภาพถ่ายจากการทดลองบนอวกาศที่แสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของต้นโหระพาบนสถานีิอวกาศ ทั้งนี้หลังจากครบกำหนด 30 วัน นักบินอวกาศญี่ปุ่นได้นำต้นโหระพาออกมาจากกล่องปลูกเพื่อวัดขนาดของลำต้น ใบและราก เพื่อบันทึกผลการทดลอง อย่างไรก็ดีสาเหตุที่เลือกโหระพาเพราะเป็นพืชที่เติบโตง่ายและสังเกตการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้ง่าย และยังเป็นพืชที่ปลูกได้ในหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ AHiS ได้ส่งเมล็ดพันธุ์โหระพาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโหระพาพันธุ์เดียวกับที่ส่งไปทดลองปลูกในสถานีอวกาศนานาชาติ ให้แก่นักเรียนผู้เข้าร่วมโครงการ ทีมละ 40 เมล็ด ซึ่งนักเรียนจะต้องทำการทดลองปลูกตามคู่มือของแจ็กซา เป็นระยะเวลา 30 วัน โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองประกอบด้วย กล่องพลาสติกสำหรับปลูกพืช, ก้อนวัสดุปลูกพืช, ซีลระบายอากาศ และปุ๋ยชนิดผง 2 ชนิด โดยในการทดลองปลูกโหระพาของนักเรียนจะต้องควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในช่วง 21-25 องศาเซลเซียส ความชื้นในห้องประมาณ 40-60% และเปิดหลอดไฟแสงสีขาวด้านบนกล่องปลูกตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสภาะแวดล้อมที่เหมือนการทดลองปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ นอกจากนั้นแล้วนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทุกทีมจะได้รับข้อมูลผลการทดลองปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติ เพื่อใช้ในศึกษาผลการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำบนสถานีอวกาศนานาชาติเปรียบเทียบกับการทดลองปลูกของตนเองบนพื้นโลก
“ไม่เพียงการปลูกตามคู่มือของแจ็กซา นักเรียนยังต้องออกแบบการทดลองปลูกโหระพาด้วยแปรอิสระ เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่แตกต่าง ซึ่งเป็นการฝึกฝนทักษะกระบวนการคิดและวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ทั้งนี้เมื่อนักเรียนทดลองปลูกโหระพาครบ 30 วันแล้ว จะสรุปผลการทดลองทั้งหมดส่งเป็นรายงานมายังโครงการ AHiS โดยอ้างอิงจากรายละเอียดของการบันทึกข้อมูลตามคู่มือการทดลองของแจ็กซาต่อไป”
 
[caption id="attachment_17383" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา[/caption]
นายชนะชล จันทร์โชติ หรือ น้องมอส นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา เยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) กล่าวว่า ด้วยต้นทุนเดิมที่มีความสนใจเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่บนดาวอังคารของอีลอน มัสก์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องคือการผลิตอาหารในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ทำให้สนใจอยากเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการศึกษาเรื่องนี้ กระทั่งได้ทราบข่าวโครงการ AHiS จึงสนใจสมัครพร้อมกับเพื่อน
“ผมเริ่มติดตามการปลูกโหระพาบนสถานีอวกาศนานาชาติร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษาตั้งแต่วันแรกที่นักบินอวกาศลงมือปลูก เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่ นอกจากนี้ในแต่ละสัปดาห์ทุกกลุ่มที่โรงเรียนยังได้รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดการทดลองร่วมกันด้วย ทั้งนี้ภายในกลุ่มเลือกทดลองในหัวข้อการศึกษาผลกระทบของคลื่นความถี่เสียงต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยใช้คลื่นเสียงเข้ามาเป็นปัจจัยเสริมเร่งการเจริญเติบโตของต้นโหระพาในห้องทดลองที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ควบคู่ไปกับการปลูกตามข้อกำหนดของโครงการ เพื่อศึกษาความแตกต่างที่เกิดขึ้น พวกเราเชื่อว่าการได้ทดลองปลูกด้วยสภาวะที่ไม่เหมือนปกติ จะทำให้การเรียนรู้ก้าวไปข้างหน้า และนั่นอาจทำให้ได้พบสมมติฐานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเรื่องนี้ต่อไป”
ส่วน นายศุภกร กาตาสาย หรือ น้องโจ้  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยาซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ปลูกโหระพาได้ 12 วันแล้ว ซึ่งสาเหตุของการใช้เสียงกระตุ้นนั้น เป็นสมมุติฐานของกลุ่มที่เคยศึกษาข้อมูลพบว่า เสียงมีผลต่อการกระตุ้นปากใบของพืช ในการดูดซึม การพ่นปุ๋ยและรับสารอาหารได้ดีขึ้น จึงนำมาทดลองใช้เสียงที่คลื่นความถี่เดียว 1,000 เฮิรตซ์ (hertz) ในช่วงเช้าของทุกวันประมาณ 30 นาที ซึ่งพบว่าการปลูกโหระพาที่ใช้คลื่นเสียงสามารถตอบสนองต่อเสียงและเจริญเติบโตได้ดี อย่างไรก็ดีผลที่ได้เป็นเพียงการทดลองเบื้องต้นอาจจะต้องมีการทำซ้ำเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานต่อไป ทั้งนี้ประสบการณ์ดังกล่าวถือเป็นการเรียนรู้จากการลงมือทำ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนและการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยเรียนรู้ ทั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าเรื่องอวกาศควรจะเป็นเรื่องที่ทุกคนจับต้องได้ เพราะเป็นความก้าวหน้าและความน่าสนใจของมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะเด็กๆ และเยาวชน ซึ่งในอนาคตน่าจะทำงานด้านนี้มากขึ้น”
ด้าน นางสาวจิณห์วรา บุญนาค หรือ น้องโตเกียว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ในกลุ่มได้ทดลอง การใช้สารพาโคลบิวทราโซลเพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของต้นโหระพา โดยสารพาโคลบิวทราโซลคือสารยับยั้งความสูงของต้นโหระพา ทั้งนี้เริ่มปลูกโหระพาเข้าสู่วันที่ 10 แล้ว พบโหระพามีการงอกของเมล็ดออกมา 15 เมล็ด จากการปลูก 16 เมล็ด โดยเป็นลักษณะต้นกล้าแตกใบอ่อนเล็กน้อย
“ขั้นต่อไปเราเตรียมทดลองใช้สารยับยั้งความสูงแบบน้ำผสมกับปุ๋ยน้ำ โดยใช้ 200 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร โดยรดน้ำปกติครั้งละ 50 มิลลิลิตร ในกล่องปลูก อย่างไรก็ตามจะมีการให้สารยับยั้งความสูงทุกๆ 10 วัน โดยตั้งสมมติฐานว่าหลังเสร็จสิ้นการทดลองครบ 30 วัน ต้นโหระพาจะลดขนาดความสูงลง แต่ยังคงได้ผลผลิตไม่ต่างจากเดิม ซึ่งจะเป็นแนวทางในการปลูกพืชในอวกาศ เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ในอนาคต”
ขณะที่ นายจักรภพ ขัติศรี หรือ น้องเนม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวว่า ในกลุ่มสนใจศึกษาในหัวข้อ ภาวะเครียดจากการเขย่าที่มีผลต่อการเติบโตของโหระพา ซึ่งการเขย่ากล่องปลูกต้นโหระพาด้วยเครื่องเขย่าความเร็ว 130 รอบต่อนาที เป็นเวลา 30 นาที จะทำให้เกิดสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ซึ่งกลุ่มฯ ได้มีการทดลองปลูกแล้ว 11 วัน ผลที่ได้มีความใกล้เคียงกับการปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติของนักบินอวกาศญี่ปุ่นค่อนข้างมาก นอกจากนั้นแล้วในกลุ่มยังได้เรียนรู้ว่าพืชมีฮอร์โมนชื่อว่าออกซิน (Auxin) เป็นฮอร์โมนพืชที่สร้างขึ้นจากกลุ่มเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณยอดใบอ่อน มีผลต่อการแบ่งเซลล์และการขยายเซลล์ของพืชที่ทำให้พืชเจริญเติบโตสูงขึ้น จึงมีการตั้งสมมติฐานต่อไปว่า หากพืชอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเป็นเวลานานขึ้นอาจจะส่งผลทำให้พืชมีการเจริญเติบโตมากกว่าการปลูกแบบปกติ ซึ่งตรงกับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมที่พบว่าการปลูกพืชในอวกาศแบบสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำนั้นจะทำให้เกิดชีวมวลในต้นพืช ซึ่งเป็นผลมาจากการที่พืชได้รับอาหารเหลวและธาตุอาหารที่ดีขึ้นนั่นเอง
นายภวัต เพียรงาม หรือ น้องปุน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวเสริมว่า โครงการ AHiS นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราเยาวชนไทยได้รับประสบการณ์ความรู้ครั้งนี้ เพราะน้อยคนที่จะได้เรียนรู้จากการทดลองจริงเปรียบเทียบกับนักบินอวกาศ เนื่องจากเรื่องอวกาศใช้ต้นทุนสูงที่จะได้ศึกษาร่วมกับนักบินอวกาศแบบนี้ จึงเป็นผลดีต่อตนเองและเพื่อนๆ ที่ได้ศึกษาในเรื่องนี้ ที่สำคัญเรื่องอวกาศเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสนใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะนำไปต่อยอดได้ในอนาคต
ผู้สนใจศึกษาและลุ้นผลการทดลองปลูกโหระพาบนพื้นโลกไปกับน้องๆ นักเรียนไทย เปรียบเทียบกับการปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ สามารถเยี่ยมชมการทดลองโครงการ AHiS ผ่านทาง Facebook เพจ NSTDA SPACE Education ที่ https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation   
 
[caption id="attachment_17384" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนกำเนิดวิทย์[/caption]
[caption id="attachment_17385" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนอุตรดิตถ์[/caption]
[caption id="attachment_17386" align="aligncenter" width="1000"] โรงเรียนกบินทร์วิทยา[/caption]
[caption id="attachment_17389" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17387" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17388" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
[caption id="attachment_17390" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบรรยากาศการทดลอง[/caption]
//////////////
 
ผู้เรียบเรียง: นายอาทิตย์ ลมูลปลั่ง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และ น.ส.วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
ผู้ประสานงานโครงการ: นายปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
ภาพ: โครงการ Asian Herb in Space (AHiS)
กราฟิก: นางสาวฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
										ข่าว
 ข่าว 30 ปี สวทช.
 บทความ
 									 
									การเลือกใช้งาน Joomla กับ WordPress
										Joomla เป็นระบบ CMS เพื่อบริหารจัดการข้อมูลบนเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมาก มีการวางโครงสร้างทางด้านโปรแกรมไว้เป็นสัดส่วน เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน หลักการสำคัญของการจัดการคือ
 	จัดหมวดหมู่ของเนื้อหาเว็บเป็น category ได้
 	จัดทำหน้าโชว์ข้อมูลใน category ได้หลายรูปแบบ ทั้ง List และ Blog โดยผ่านการกำหนดของ Menu
 	มี Template ที่ออกแบบสวยงามแล้วให้ใช้งานได้
 	เพิ่มความสามารถต่างๆ ได้โดยการใช้ Extension เสริม
นับเป็น cms ที่ใช้จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพมากตัวนึง แต่ทั้งนี้ Joomla ได้ลดความนิยมลงไป จากการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของ Wordpress
 
Wordpress เป็นระบบ CMS ที่เริ่มจากการเป็นที่นิยมของกลุ่ม Bloger หรือนักเขียน เหมาะสำหรับมือใหม่เน้นการใช้งานง่าย สร้างเว็บไซต์ขนาดกลาง-เล็ก และมีความสามารถในการทำ SEO มากที่สุด การใช้งานหลักจะเหมือนกับ Joomla มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คือ
 	ส่วนเสริม Elementor หรือกลุ่ม Page Builder ทำให้การสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย สวยงาม และยืดหยุ่นมากกว่า Editor Tools ธรรมดา
 	การรองรับการจัดทำหน้าเว็บเป็นแบบ Responsive ที่ดูได้จากทุกรูปแบบ device ได้ดีกว่า
 	มี Plugin จำนวนมาก ช่วยในการปรับความสามารถ
 
ในการจัดทำเว็บ ต้องคำนึงถึง Tools ที่เสริมความสามารถในการจัดทำให้ตรงกับจุดประสงค์ของเว็บไซต์ ในแต่ละระบบก็มีข้อดี/ข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ content หรือเนื้อหาในเว็บไซต์ต้องถูกต้อง และสื่อสารได้ตรงประเด็นกับที่ต้องการ จะทำให้เว็บและสิ่งที่เราเผยแพร่ได้รับความนิยมและมีผลต่อ search engine ต่อไป
										นานาสาระน่ารู้
 									 
									การมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถเปลี่ยนงานวิจัย แต่จะเปลี่ยนสถาบันวิจัยอย่างไร ศึกษาจากสถาบัน ICES ของแคนาดา
										ข้อมูลข้างล่างได้จากการเขียนร่วมกันโดยทีมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนของ ICES และสมาชิก 4 ท่านจาก ICES Public Advisory Council (PAC)
 
ICES หรือ the Institute for Clinical Evaluative Sciences เป็นสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรอิสระใน Ontario ของแคนาดา งานหลักเกี่ยวข้องกับเป็นที่เก็บข้อมูลสุขภาพส่วนตัวของประชาชนทั้งหมดใน Ontario โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการทำวิจัย ข้อมูล และคลินิกของสถาบันนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เพื่อปรับปรุงนโยบายและบริการทำให้สุขภาพของประชาชนดีขึ้น ในปี 2017 เริ่มกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเป็นทางการโดยนำมุมมองของประชาชนเข้าไปอยู่ในการตัดสินใจ, กิจกรรม และงานวิจัยของสถาบัน ทำให้สื่อสารกับประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับสถาบันและในฐานะเป็นผู้ดูแลข้อมูล ในปี 2018 สถาบันได้พัฒนาแผนการมีส่วนร่วมของประชาชน (public engagement strategy) ขึ้นมา ICES PAC เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญของแผน
 
PAC ก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ประกอบด้วยสมาชิก 20 คนจากประชาชนทั่ว Ontario ทำให้ได้มุมมองที่หลากหลายของประชาชน ในการประชุมของ PAC ทั้งหมด จะมีผู้จัดการการมีส่วนร่วมของประชาชน ประธานกรรมการบริหาร และหัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์ของ ICES เข้าร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อความเห็นของ PAC จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในระดับสถาบัน ตัวอย่างเช่น PAC เห็นว่าประชาชน Ontario ทั้งหมด ควรจะรู้เกี่ยวกับ ICES และงานวิจัยของ ICES (ข้อมูลของประชาชนถูกใช้เพื่องานวิจัยข้อมูลสุขภาพอย่างไร) ดังนั้น ICES ควรจะมุ่งไปที่การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถาบัน
 
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของแผนคือการจัดให้มีทรัพยากรและการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมให้นักวิจัยใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ ทีมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนสร้างเครื่องมือซึ่งสามารถนำไปใช้กับขบวนการวิจัยช่วยให้นักวิจัยนำการมีส่วนร่วมของประชาชนไปใช้ง่ายขึ้น นอกจากนี้นักวิจัยสามารถปรึกษา PAC เพื่อให้ได้มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ ICES เห็นการเพิ่มขึ้นของนักวิจัยใช้ทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยข้อมูลแสดงว่าในปี 2019 มีนักวิจัยประมาณ 20% ใช้บางรูปแบบของการมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ
 
ในอนาคตหวังว่า ICES จะประสบผลสำเร็จในการมีส่วนร่วมของประชาชนกว้างขึ้น และในขณะที่มีการทำงานวิจัยข้อมูลสุขภาพมากขึ้น นักวิจัยควรคำนึงถึงสิทธิของประชาชนและพยายามเพื่อความโปร่งใสและการเข้าถึงส่วนตัวมากขึ้น สุดท้าย ICES กำลังมองหาหนทางที่ดีกว่าที่จะทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนเกิดขึ้นทั่วทั้งสถาบันเพื่อเข้าไปมีส่วนในการตัดสินใจของทุกระดับ
 
ที่มา: Jenine Paul, Randy Davidson, Cheryl Johnstone, Margaret Loong, John Matecsa, Astrid Guttmann and Michael J. Schull (2020). Public engagement can change your research, but how can it change your research institution? ICES case study. Retrieved March 15, 2021, from https://ijpds.org/article/view/1364
										นานาสาระน่ารู้
 									

 
            
