ผลการค้นหา :

จีโนมข้าว ตัวเร่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย
"จีโนมข้าว" ตัวเร่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย
“ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมายาวนานในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนด้านสังคมและการเมืองซึ่งทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญในการช่วยกันพัฒนา “ข้าวไทย” ให้มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลกการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ แห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งเน้นในการค้นหายีนและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่ควบคุมลักษณะสำคัญ เพื่อประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ข้าว ซึ่งได้นำความรู้และเทคนิคด้านชีววิทยาโมเลกุลนี้มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และดำเนินการวิจัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ภายใต้โครงการความร่วมมือของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้เข้าร่วม “โครงการวิจัยจีโนมข้าวนานาชาติ” ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งทำงานร่วมกับนานาประเทศในการถอดรหัส จีโนมข้าว โดยนักวิจัยไทยรับหน้าที่ถอดรหัสโครโมโซมที่ 9 ครอบคลุมยีนทนน้ำท่วมฉับพลัน และช่วยนักวิจัยญี่ปุ่นถอดรหัสโครโมโซมที่ 8 ครอบคลุม ยีนความหอมของข้าว ที่ควบคุมการสร้างความหอมแบบข้าวหอมมะลิไทย ในขณะเดียวกันได้มีการจัดทำโครงการวิจัยจีโนมข้าวในประเทศไทยไปพร้อมกันสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล็งเห็นว่าการศึกษาจีโนมข้าวจะเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาข้าวไทยในอนาคต จึงพระราชทานราชทรัพย์ 2 ล้านบาทเพื่อให้ดำเนินโครงการวิจัยต่อไป ต่อมา สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณ ให้กับโครงการอีกรวมเกือบ 50 ล้านบาท
ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ร่วมกันจัดตั้งหน่วยปฏิบัติวิจัยค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมุ่งเน้นการค้นหายีนและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลที่ควบคุมลักษณะสำคัญเพื่อประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์
การเข้าร่วมโครงการวิจัยจีโนมข้าวนานาชาติ และดำเนินโครงการจีโนมข้าวไทยในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเพิ่มศักยภาพให้แก่นักวิจัยไทยในการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านจีโนม ซึ่งนำไปสู่การคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นหายีนที่สำคัญในข้าวไทย และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล (Marker Assisted Selection: MAS) ที่ควบคุมลักษณะสำคัญทั้งด้านคุณภาพเมล็ด ความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น น้ำท่วม ดินเค็ม ทนแล้ง ความสามารถในการต้านทานต่อโรคและแมลง เช่น โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาวองค์ความรู้ดังกล่าวได้ช่วยลดระยะเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวได้รวดเร็วกว่าวิธีการปรับปรุงพันธุ์ข้าววิธีแบบดั้งเดิม ทำให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะตามต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ช่วยแก้ปัญหาหรือลดความสูญเสียจากการระบาดของโรคและแมลงได้ ถือเป็นการนำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับปัญหาทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการที่ไบโอเทค สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมและต้านทานต่อโรคและแมลงโดยใช้เทคนิคเครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องในระดับห้องปฏิบัติการและโรงเรือน รวมทั้งมีความร่วมมือกับกรมการข้าวในการปลูกทดสอบสายพันธุ์ข้าวที่ได้ปรับปรุงพันธุ์แล้วในสถานีวิจัยของศูนย์วิจัยข้าวต่าง ๆ ของกรมการข้าว และที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ทำให้ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว
ทั้งนี้ตัวอย่างความสำเร็จของการวิจัยที่มีจุดเริ่มต้นจากเทคโนโลยีจีโนมก็คือการจดสิทธิบัตรยีนความหอม ที่คณะนักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าวได้นำข้อมูลพันธุกรรมข้าวมาสร้างแผนที่โครโมโซมและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อใช้บอกตำแหน่งของยีนที่มีลักษณะดี โดยพบยีนความหอมของข้าว (Os2AP) ที่ควบคุมการสร้างความหอมแบบข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งได้รับการรับรองการจดสิทธิบัตรคุ้มครองจากสหรัฐอเมริกา (Patent No. US 7,319,181 B2)โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกจากประเทศที่ยื่นขอจดสิทธิบัตรทั้งสิ้น 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่สามารถตรวจติดตามยีนความหอม ซึ่งนำไปช่วยคัดเลือกในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ อย่างเช่นพันธุ์ข้าวหอม “ชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลันและไม่ไวต่อแสง” เป็นการผสมระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 ที่มีคุณสมบัติทนน้ำท่วมฉับพลันกับพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนทนน้ำท่วมและยีนควบคุมคุณภาพหุงต้มในการคัดเลือก ข้าวที่ได้มีกลิ่นหอมแบบข้าวขาวดอกมะลิ 105 สามารถทนน้ำท่วมฉับพลันในทุกระยะการเจริญเติบโต ซึ่งทนอยู่ใต้น้ำโดยไม่ตายได้นาน 2-3 สัปดาห์ ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้ปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี ให้ผลผลิตเฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ ในสภาพนาปักดำ และมีกลิ่นหอมแบบข้าวขาวดอกมะลิ 105
ส่วนพันธุ์ข้าวเหนียวต้านทานโรคไหม้ “ธัญสิริน” เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวที่ได้จากการผสมระหว่างพันธุ์ข้าวเหนียว กข6 กับ พันธุ์เจ้าหอมนิล ซึ่งมีความต้านทานโรคไหม้โดยใช้เทคนิคเครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนต้านทานโรคไหม้และคุณภาพหุงต้มในการคัดเลือก คุณสมบัติเด่นคือ การต้านทานโรคไหม้ ลำต้นแข็งทนต่อการหักล้ม เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์ข้าวเหนียว กข6 เดิม พบว่าสามารถลดความเสียหายที่เกิดจากโรคไหม้ในนาข้าวระยะต้นกล้าประมาณ 90% และระยะออกรวงประมาณ 50% ให้ผลผลิตเฉลี่ย 500-600 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคไหม้ เมื่อนำไปขัดสีเป็นข้าวสารจะได้เมล็ดเต็มสูง และหุงสุกจะเหนียวนุ่มและมีกลิ่นหอม จึงได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และที่สำคัญได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อพันธุ์ข้าวว่า “ธัญสิริน” เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาข้าวเหนียวพันธุ์ “กข 6 ต้นเตี้ย ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ข้าวเหนียวที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากพันธุ์ “ธัญสิริน” ให้มีขนาดต้นที่เตี้ยลงและมีความต้านทานต่อโรคเพิ่มมากขึ้น โดยข้าวเหนียวพันธุ์นี้เป็นข้าวนาปีที่มีความไวต่อช่วงแสง สามารถต้านทานต่อโรคไหม้และโรคขอบใบแห้งขนาดลำต้นสูงเฉลี่ย 130 เซนติเมตร จึงเก็บเกี่ยวได้ง่ายด้วยเครื่องจักร ลำต้นมีความแข็งทนทานต่อแรงลม ลดปัญหาการหักล้ม และสามารถแตกกอดี มีผลผลิตข้าวแห้งเฉลี่ย 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ ลักษณะของเมล็ดข้าวเรียวยาวเมื่อนำมาหุงต้ม มีคุณภาพและความเหนียวนุ่มคล้ายพันธุ์ กข6 จากการปลูกทดสอบพันธุ์ ข้าวเหนียวชนิดนี้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับการยอมรับพันธุ์จากเกษตรกร เนื่องจากช่วยให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต และได้ผลผลิตสูงสำหรับข้าวเหนียวพันธุ์ “น่าน 59” พัฒนามาจากข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ต้นเตี้ย ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง เพื่อให้ต้านทานโรคไหม้กว้างขึ้นและมีความหอม ซึ่งยังคงลักษณะต้นเตี้ยไว้ ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย โดยข้าวพันธุ์น่าน 59สามารถต้านทานโรคไหม้แบบกว้างกับเชื้อทุกกลุ่มในประเทศไทย มีความสูงประมาณ110 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง ไม่หักล้ม ทนทานต่อแรงลม เนื่องจากมีขนาดลำต้นเตี้ยใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวแทนแรงงานคนได้ ให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 600-700กิโลกรัมต่อไร่ หากอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สามารถให้ผลผลิตสูงกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดข้าวเรียว หลังขัดสีไม่แตกหัก คุณภาพการหุงต้มดี มีความหอม และมีความเหนียวนุ่มคล้ายข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดน่าน ได้ทดลองปลูกและได้ผลผลิตดี ตอบโจทย์สร้างรายได้ให้เกษตรกรและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ชุมชน
และล่าสุด ข้าวเหนียวพันธุ์ “หอมนาคา” ข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นโดยนำความเชี่ยวชาญทางด้านจีโนมและเครื่องหมายโมเลกุลมาใช้ในกระบวนการคัดเลือก เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในพื้นที่ที่บริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ “หอมนาคา” นี้สามารถปลูกได้ตลอดปี เหมาะทั้งนาปีและนาปรังเนื่องจากเป็นข้าวที่ไม่ไวแสง มีคุณสมบัติทนต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง และต้านทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง ลำต้นแข็ง ไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง เก็บเกี่ยวได้ง่ายปลูกได้ปีละ 2 ครั้ง ใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 130-140 วัน และให้ผลผลิตสูง ซึ่งผลจากการทดลองปลูกพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิต 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานมีผลผลิตสูงถึง 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ข้าวเหนียว "หอมนาคา" ยังมีคุณสมบัติเด่นเรื่องกลิ่นหอมและนุ่มเหนียวเมื่อหุงสุก
จากองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการปรับปรุงพันธุ์พืชที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. เป็นเลิศทางด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์แนวอณูวิธี (Molecular breeding) กับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” ซึ่งเน้นการพัฒนาสายพันธุ์ตามความต้องการของผู้ผลิต ผู้บริโภค และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเน้นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม
Open PDF
Open e-Book
30 ปี สวทช.
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
ผลงานวิจัยเด่น

การขับเคลื่อน BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม
แนวทางการขับเคลื่อน BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป้าหมายการขับเคลื่อน
1.สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และยกระดับรายได้ของประชากร
2.สร้างความมั่นคงทางสังคม สร้างความมั่งคงทางอาหาร สุขภาพ และพลังงานในทุกระดับ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต
3.สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดของเสียและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
4.ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs 14 ใน 17 เป้าหมาย (more…)
BCG

Critical knowledge (ความรู้ที่สำคัญ) คืออะไร
ความรู้ที่สำคัญคือความรู้ที่มีคุณค่าและยั่งยืน เพียงพอที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการรักษาและถ่ายทอดจากพนักงานไปสู่พนักงานเป็นไปอย่างเหมาะสม ความรู้ที่สำคัญนั้นมีลักษณะแตกต่างกันไปสำหรับทุกองค์กรและนั่นคือเหตุผลใหญ่ว่าทำไมจึงมีความสำคัญ ความรู้ที่สำคัญมักเป็นเรื่องยากหรือไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยการจ้างงาน เป็นความรู้ประเภทหนึ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ในชีวิตจริงในองค์กร
คิดว่าความรู้ที่สำคัญคือน้ำมันในเครื่องยนต์ของธุรกิจ ผู้บริหารที่ขับเคลื่อนธุรกิจอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในแต่ละวันและลูกค้าให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่า แต่น้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเชื่อถือได้ ถ้าไม่มีน้ำมันแม้สักครู่เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน จะต้องเข้ารับการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน และนั่นคือถ้าโชคดีพอพบปัญหาก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้
ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายสายการบินจึงเลิกใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพบางส่วน พนักงานที่เหลือต้องใช้เวลามากขึ้นในการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องบิน สิ่งนี้นำไปสู่ความล่าช้าของเที่ยวบินและการยกเลิก ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าไม่พึงพอใจและต้นทุนต่อที่นั่งของสายการบินเพิ่มขึ้น โชคดีที่สายการบินได้เรียนรู้บทเรียนและเริ่มระบุความรู้ที่สำคัญก่อนที่จะมีการปรับลดพนักงานในรอบถัดไป
การระบุความรู้ที่สำคัญไม่ใช่แค่การป้องกันการสูญเสียเท่านั้น เมื่อทราบว่าความรู้ที่สำคัญขององค์กรคืออะไรและอยู่ที่ใด จะสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นได้ดีขึ้น สามารถก้าวไปได้เร็วขึ้นโดยใช้ความรู้ที่สำคัญทันทีที่มีความเกี่ยวข้อง สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า สามารถฝึกอบรมผู้อื่นเกี่ยวกับความรู้ที่สำคัญ ทำให้เพิ่มขีดความสามารถในวันนี้และสร้างความแข็งแกร่งสำหรับวันพรุ่งนี้ อาจสามารถเปลี่ยนความรู้ที่สำคัญให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่ทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่ง
ขั้นตอนแรกในการระบุความรู้ที่สำคัญคือการพูดคุยกับผู้นำทางธุรกิจ ความรู้ที่สำคัญนั้นยากที่จะมองเห็นได้จากระยะไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กำลังมองหาสิ่งนี้ขาดความเชี่ยวชาญด้านโดเมน จะต้องเจาะลึกธุรกิจเพื่อให้เห็นภาพว่าความรู้ที่สำคัญอาจอยู่ที่ใด
จะทำอย่างไรหากมีคนไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญ
จะจัดลำดับความสำคัญของความรู้ที่สำคัญที่สุดในการบันทึกและถ่ายโอนอย่างไร
จะทำอย่างไรหากผู้คนไม่แน่ใจว่าจะอธิบายหรือบันทึกความรู้ที่สำคัญของตนอย่างไร
จะทำให้ความรู้ที่สำคัญให้กับคนที่ใช่ ในรูปแบบที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสมได้อย่างไร
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการและเกิดขึ้นเกือบทุกครั้งที่องค์กรเริ่มมองหาความรู้ที่สำคัญขององค์กร นั่นคือเหตุผลที่ APQC แนะนำการทำแผนที่ความรู้ หลังจากประสบการณ์ 25 ปีใน KM มั่นใจว่าการทำแผนที่ความรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรวบรวมข้อมูลและสร้างความเห็นร่วมกันในสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ที่สำคัญ โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือแฟนซีมากมายในการทำ สามารถทำงานให้เสร็จได้ด้วยสเปรดชีตง่าย ๆ หากต้องการ แต่จำเป็นต้องมีความรู้เล็กน้อย นั่นคือที่มาของหลักสูตรออนไลน์ใหม่ของ APQC
หลักสูตรการทำแผนที่ความรู้ด้วยตนเองของ APQC (http://apqc.thinkific.com/courses/knowledge-mapping) ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้แม้แต่ผู้เริ่มต้นเรียนรู้วิธีสร้างและวิเคราะห์แผนที่ความรู้ จะสร้างทักษะโดยการฝึกฝนขั้นตอนทางยุทธวิธีและเครื่องมือในการกำหนดขอบเขตและทำแผนที่ความรู้, เรียนรู้วิธีระบุและวิเคราะห์ช่องว่างของความรู้ และรู้วิธีใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการทำแผนที่ความรู้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของความรู้ที่สำคัญในและระหว่างกระบวนการทางธุรกิจ
ที่มา: Mercy Harper (October 14, 2020). What is Critical Knowledge?. Retrieved May 12, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-critical-knowledge
การจัดการความรู้ (KM)

H.E. Mr. Pirkka Tapiola : Ambassador of the European Union to Thailand (EU)
H.E. Mr. Pirkka Tapiola
Ambassador of the European Union to Thailand (EU)
https://youtu.be/eXKkxjgQHU0
ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของ สวทช. สหภาพยุโรปและชาติสมาชิกของเราได้ร่วมมือสนับสนุนการทำวิจัย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสมอมา ขอให้ความมั่นใจว่าจะสนับสนุน สวทช. เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.

H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto : Ambassador of the Republic of Chile to Thailand (Chile)
H.E. Mr. Christian Rehren Bargetto
Ambassador of the Republic of Chile to Thailand (Chile)
https://youtu.be/QUCkQzUekoM
ขอแสดงความยินดีกับ สวทช. และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน จากความร่วมมือระหว่าง สวทช.และประเทศชิลี ได้สร้างงานวิจัยและพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ขึ้น หากวิกฤตการระบาดของโควิดผ่านไป จะเป็นการเปิดโอกาสให้ความร่วมมือของเราแน่นแฟ้นมากขึ้น ในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนของเรา
VDO 30 ปี สวทช.

H.E. Dr. Meir Shlomo : Ambassador of the Israel to Thailand (ISRAEL)
H.E. Dr. Meir Shlomo
Ambassador of the Israel to Thailand (ISRAEL)
https://youtu.be/t-VCS0Qcwb4
ขอแสดงยินดีความยินดีกับ สวทช. ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ซึ่ง สวทช. เป็นองค์กรที่มีความสำคัญมากในวิถีชีวิตของชาวไทยและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ สวทช. มาเป็นเวลานาน รวมถึงภารกิจสำคัญที่ทำร่วมกันก่อนการระบาดของโควิด และจะทำงานร่วมกับ สวทช. ต่อไปในอนาคต
VDO 30 ปี สวทช.

H.E. Mr. Lorenzo Galanti : Ambassador of the Italy to Thailand
H.E. Mr. Lorenzo Galanti
Ambassador of the Italy to Thailand
https://youtu.be/HkqBOQk6nUs
รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ สวทช. จากเดือนมิถุนายน 2019 ทีผ่านมา ผมมีโอกาสมาเยี่ยม สวทช. และประทับใจเป็นอย่างมากกับการพบปะกับ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการของ สวทช. และ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองผู้อำนวยการฯ ซึ่งเราได้หารือและสร้างกรอบความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับทวิภาคีเป็นครั้งแรก
VDO 30 ปี สวทช.

Dr. Rowena Cristina L. Guevara : Undersecretary for Research and Development Department of Science and Technology (DOST), Philippines (Phillippines)
Dr. Rowena Cristina L. Guevara
Undersecretary for Research and Development Department of Science and Technology (DOST), Philippines (Phillippines)
https://youtu.be/o9PJRqS3cAI
ขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจกับ สวทช. ในความสำเร็จที่ได้อุทิศตนและมุ่งมั่นเพื่อ วทน. ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ในจำนวน 4 ศูนย์วิจัยของ สวทช. นั้น นาโนเทค สวทช. ถือว่าเป็นพันธมิตรที่สำคัญของ DOST ซึ่งทั้งสององค์กรเป็นสมาชิกของ Asia Nano Forum ที่ดำเนินงานในด้านความปลอดภัยของนาโนเทคโนโลยี และหวังว่าจะต่อยอดความร่วมมือให้ประสบความสำเร็จต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.

Prof. Dr. Hasan MANDAL : President, The Scientific and Technological Research Council of Turkey (TÜBİTAK), Turkey
Prof. Dr. Hasan MANDAL
President, The Scientific and Technological Research Council of Turkey (TÜBİTAK), Turkey
https://youtu.be/C4SYo7gsC1o
ขอส่งความปรารถนาดีจากประเทศตุรกี ในความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับ สวทช. ทั้งทวิภาคีและพหุภาคีเพื่อให้นักวิจัยได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและทำงานร่วมกัน ด้วยความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นนี้จะนำไปสู่การทำงานอย่างใกล้ชิดและสร้างความสำเร็จร่วมกันมากขึ้น
VDO 30 ปี สวทช.

Prof. BAI Chunli : President, The Chinese Academy of Sciences (CAS), China (CAS China)
Prof. BAI Chunli
President, The Chinese Academy of Sciences (CAS), China (CAS China)
https://youtu.be/yekiMz3hhpw
ขอแสดงความยินดีอย่างอบอุ่นและจริงใจในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ สวทช. ที่ผ่านมาได้เห็นความสำเร็จที่สำคัญต่าง ๆ ของ สวทช. ในการสร้างเสริมสมรรถภาพและบทบาทสำคัญในการพัฒนา รวมทั้งสร้างนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ขอให้ สวทช. ประสบความสำเร็จต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.

Prof. Dr. Ulrich Schurr : Forschungszentrum Jülich, Germany
Prof. Dr. Ulrich Schurr
Forschungszentrum Jülich, Germany
https://youtu.be/r62_oAW_vgY
ขอแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 3 ทศวรรษแห่งการทำงานวิจัยอันยอดเยี่ยม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก อีกทั้งยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือในการทำงานด้านความยั่งยืนของเศรษฐกิจชีวภาพ รวมถึงการวิจัยพัฒนาด้านต่าง ๆ ของ สวทช. และเราจะร่วมสร้างอนาคตที่สดใสของเศรษฐกิจชีวภาพกันต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.

Datuk Dr. Mohd Yusoff Bin Sulaiman : President and Chief Executive Officer Malaysian Industry-Government Group for High Technology (MIGHT), Malaysia
Datuk Dr. Mohd Yusoff Bin Sulaiman
President and Chief Executive Officer Malaysian Industry-Government Group for High Technology (MIGHT), Malaysia
https://youtu.be/94ylGarkmaw
สุขสันต์วันครบรอบ 30 ปี สวทช. คณะทำงานของ MIGHT รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสในการร่วมงานกับ สวทช. ด้วยพลังแห่งความเข้มแข็ง ความสามารถ และจุดแข็งของเราจะช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายต่าง ๆ ของโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม และหวังว่าจะได้ร่วมงานกับ สวทช. เช่นนี้ต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.