หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“H-FAME” แจ้งเกิดน้ำมันดีเซล B10 เชิงพาณิชย์
"H-FAME" แจ้งเกิดน้ำมันดีเซล B 10 เชิงพาณิชย์ สถิติการใช้น้ำมันไบโอดีเซลของประเทศไทยในปัจจุบันมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะ 5.32 ล้านลิตรต่อวัน ในเดือนธันวาคมพ.ศ.2563 ตัวเลขนี้บ่งบอกถึงความสำเร็จของงานวิจัยและการพัฒนาเชื้อเพลิงไบโอดีเซล (Biodiesel) อย่างน้ำมันดีเซล B10 และส่งผลดีต่อผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของดีเซลหมุนเร็ว B10 ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน โรงงานผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ บริษัทผู้ค้าน้ำมัน กลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และประชาชนผู้ใช้รถที่ซื้อน้ำมันในราคาถูกลง หนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้งานน้ำมันดีเซล B10 อย่างแพร่หลายก็คือ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ(เอ็มเทค) ในฐานะผู้วิจัยที่ใช้นวัตกรรมการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซล และผลักดันให้นำผลงานวิจัยออกไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศทีมนักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ร่วมมือกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (National Institue of Advanced Industrial Science and Technology: AIST) ประเทศญี่ปุ่น นำเทคโนโลยี H-FAME มาใช้ในการเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซล เพื่อลดคำสารปนเปื้อนประเภทโมโนกลีเซอไรด์ตามเกณฑ์การทดสอบของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น JAMA)ทั้งนี้การที่จะเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซลโดยใช้เทคโนโลยี H-FAME ให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติได้นั้น ประเทศไทยต้องมีโรงงานผลิตระดับสาธิต ซึ่งมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ผลิตไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์โดยตรง ตลอดจนต้องมีการทดสอบใช้น้ำมัน B10 บนสภาวะการใช้งานบนถนนจริงกว่าแสนกิโลเมตรจนเป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ ในปี พ.ศ. 2561 เอ็มเทค สวทช. ร่วมมือกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดำเนินโครงการ "สนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันไบโอดีเซลให้สูงขึ้น" ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำเทคโนโลยี H-FAME จากโครงการร่วมวิจัยไทย-ญี่ปุ่น ในการผลิตไบโอดีเซลคุณภาพสูงมาขยายผลในโรงงานผลิตระดับสาธิต กิจกรรมนำร่องของโครงการดังกล่าวมีการคัดเลือกตัวแทนโรงงานไบโอดีเซล จำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัทบางจากไบโอฟูเอลจำกัด (BBF) และบริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC)เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี H-FAME ในการผลิตไบโอดีเซลที่มีคุณสมบัติทางเชื้อเพลิงที่สูงกว่าเชื้อเพลิงไบโอดีเซลที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้น ให้สอดรับกับข้อเสนอของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่ต้องการให้ปรับปรุงคุณภาพของไบโอดีเซล จนเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องการที่จะได้รับการยอมรับนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือต้องมีการทดสอบจริงผ่านเกณฑ์มาตรฐานจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทีมนักวิจัยฯ ที่ริเริ่มโครงการโดย "ดร.นุวงศ์ ชลคุป" นักวิจัยอาวุโส เอ็มเทค สวทช. หัวหน้าโครงการฯได้ร่วมกับโรงงานสาธิตของ 2 บริษัทดังกล่าว เพื่อขยายผลต้นแบบเทคโนโลยี H-FAME ในเชิงเทคนิคการผลิตพร้อมการประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ จนกระทั่งสามารถผลิตไบโอดีเซลคุณภาพสูงออกมากว่าหมื่นลิตร เพื่อนำไปทดสอบภาคสนามได้จริง ในการตรวจสอบคุณภาพเชื้อเพลิงนั้น พบว่าผ่านทั้งเกณฑ์มาตรฐานของกรมธุรกิจพลังงาน และเกณฑ์ของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น (JAMA) จึงได้นำไบโอดีเซลไปผสมเป็นน้ำมัน B10เพื่อทดสอบวิ่งจริงกับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลจำนวน 8 คันเป็นระยะทางกว่า 100,000 กิโลเมตรต่อคัน ตลอดจนทดสอบภาคสนามกับรถยนต์จากส่วนราชการ ได้แก่ กรมอู่ทหารเรือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ สวทช. กว่า 150 คัน ซึ่งมียอดการใช้น้ำมัน B10 กว่า 99,000 ลิตร เพื่อเพิ่มความมั่นใจในวงกว้างนอกจากนี้ทีมนักวิจัยฯ ยังได้สุ่มเก็บตัวอย่างเชื้อเพลิงไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลในระบบจัดเก็บและระบบจัดจำหน่าย เพื่อตรวจวัดคุณภาพตามเกณฑ์ที่ประเมินไว้ อันจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์และประชาชนทั่วไปในการใช้น้ำมันดีเซล B10 อีกด้วยทั้งนี้เป้าหมายของทีมนักวิจัยฯ ไม่ได้หยุดที่โครงการนำร่องใช้งานแต่ต้องการให้น้ำมันดีเซล B10 ที่ต่อยอดมาจากงานวิจัยเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเมื่อกรมธุรกิจพลังงานได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B10 ซึ่งมีรุ่นรถยนต์ที่ผู้ผลิตรถยนต์รับรองให้ใช้ B10 ได้ และประกาศเรื่องกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลในสัดส่วน 10% เป็นน้ำมันดีเซลเกรดมาตรฐานที่มีจำหน่ายในทุกสถานีบริการทั่วประเทศ ในอนาคตทีมนักวิจัยฯ จะมีการต่อยอดการใช้ไบโอดีเซล B10 และ B20 ร่วมกับมาตรฐานคุณภาพน้ำมันดีเซล (Euro 5) และมาตรฐานไอเสียรถยนต์ (Eur- 5) ที่มีการประกาศบังคับใช้ในอนาคต เพื่อลดปัญหามลพิษโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋ว (PM2.5) งานวิจัยและพัฒนาน้ำมันดีเซล B10 โดยนำเทคโนโลยี H-FAME มาใช้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนก้าวสู่เชิงพาณิชย์ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพเชื้อเพลิงชีวภาพของไทยให้ทั่วโลกยอมรับตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง นับเป็นการสนับสนุนการใช้ไบโอดีเซลในสัดส่วนที่สูงขึ้น ลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ ช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันขายปาล์มได้ในราคาที่ดีขึ้น และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมกล่าวคือช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดฝุ่นพิษ PM2.5ในอากาศอีกด้วย.ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า จุดกำเนิดยานยนต์สมัยใหม่ฝีมือคนไทย
ต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า จุดกำเนิดยานยนต์สมัยใหม่ฝีมือคนไทย อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ "ประเทศไทย 4.0" "ยานยนต์ไฟฟ้า" ก็คือทิศทางของเทคโนโลยีที่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต่างมุ่งพัฒนา เนื่องจากมีผลกระทบสูงต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในอนาคตอันใกล้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ามาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และได้กำหนดให้ยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ภายใต้ประเด็นวิจัยมุ่งเน้นด้านอุตสาหกรรมยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่แบบครบวงจรในประเทศที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยอย่างกลุ่ม บริษัทโชคนำชัย กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตแม่พิมพ์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จนปัจจุบันสามารถก้าวมาเป็นผู้ผลิตเรือและรถโดยสารจากโครงสร้างอะลูมิเนียมและมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งรถโดยสารไฟฟ้าและเรือไฟฟ้าสวทช. ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทสกุลฎ์ชี อินโนเวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือโชคนำชัย กรุ๊ป เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่มีเป้าหมายคือ การพัฒนายานพาหนะสมัยใหม่ทั้งนี้มีการส่งต่อเทคโนโลยีผ่านการลงนามความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) หน่วยงานในสังกัด สวทช. กับกลุ่มบริษัทโชคนำชัย กรุ๊ป จำกัด ในการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างเรือและรถโดยสาร โดยการใช้กลไกของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือTAP รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การยื่นขอรับการพิจารณาบัญชีนวัตกรรม และการลดภาษี 300% จากปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมเรือคือ ไม่มีบริษัทออกแบบโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า หรือประกอบโดยอู่ต่อเรือที่ต้องใช้เวลาในการผลิตค่อนข้างนาน ต้นทุนสูง ส่วนรถโดยสารขนาดเล็กก็เป็นการนำเข้าเช่นกัน เพราะยังไม่มีผู้ผลิตในประเทศเนื่องจากกลุ่มบริษัทโชคนำชัย กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการขึ้นรูปโลหะ (แม่พิมพ์ โดยใช้การออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมต่าง ๆ รวมถึงสามารถพัฒนากระบวนการขึ้นรูปอะลูมิเนียมที่เป็น High strength aluminumforming 5083 H116 spec และยังสามารถพัฒนาวัสดุอะลูมิเนียมเพื่อทำให้มีความแข็งแรงใกล้เคียงและสามารถทดแทนโครงสร้างเดิมที่เป็นเหล็กได้ จึงเหมาะที่จะนำเป็นโครงสร้างยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งการที่มีน้ำหนักเบาขึ้นจะช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน แต่การที่จะพัฒนายานยนต์สมัยใหม่ที่มีน้ำหนักเบานั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานยานยนต์สากลโดยจำเป็นที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ทีมนักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. จึงเข้ามาช่วยในด้านการออกแบบและวิเคราะห์ทดสอบความแข็งแรงของโครงสร้างรถโดยสารและเรือที่พัฒนาขึ้นจากอะลูมิเนียม จากผลการวิเคราะห์ของความแข็งแรงด้วยวิธีระเบียบไฟไนต์เอลิเมนต์ (Finite element) โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณทางวิศวกรรม พบว่าโครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมที่บริษัทสกุลฏ์ซีฯ พัฒนาขึ้น มีความแข็งแรงเพียงพอโดยที่การลดเนื้อวัสดุในหน้าตัดของชิ้นส่วนเพื่อลดน้ำหนักไม่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของโครงสร้าง นอกจากนี้ยังมีค่าความต้านทานจากการบิด (Torsional stiffness) เทียบเท่ากับโครงสร้างรถโดยสารที่ทำจากเหล็ก ปัจจุบันบริษัทสกุลฏ์ซีฯ ต่อยอดจากงานวิจัยที่พัฒนาร่วมกัน จนสามารถสร้างโรงงานผลิตรถโดยสารตัวถังอะลูมิเนียมขนาดเล็กและผลิตเรืออะลูมิเนียมสัญชาติไทยเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกในประเทศไทย ผลผลิตจากงานวิจัยมีทั้งรถโดยสารอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์"C Bus by Sakun.c" และเรืออะลูมิเนียมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประกอบตัวถังมีขนาดความยาว 20 เมตร ไร้รอยต่อ มีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าขนาด 500 kw และมีจุดเด่นที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเสริมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยป้องกันการจม นอกจากนี้ยังมีต้นแบบรถโดยสารไฟฟ้า "EV Aluminum Bus"สัญชาติไทย ซึ่งตัวถังความยาว 12 เมตร ผลิตจากอะลูมิเนียมขึ้นรูปผสมพิเศษแข็งแรงกว่าเหล็กและอะลูมิเนียมทั่วไปถึง 4 เท่า แต่มีน้ำหนักเบากว่าเหล็กครึ่งหนึ่ง ซึ่งรถโดยสารฟฟ้าดังกล่าวได้มีการนำไปเป็นต้นแบบยานพาหนะสมัยใหม่ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับกลุ่มบริษัทโชคนำชัย กรุ๊ป ที่เริ่มต้นจากการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์สมัยใหม่อย่างรถโดยสารไฟฟ้าและเรืออะลูมิเนียมที่มีความปลอดภัยสูงแล้ว อนาคตยังมีแผนที่จะต่อยอดความร่วมมือไปสู่การพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาเรืออัจฉริยะไร้คนขับการนำระบบอัจฉริยะต่าง ๆ มาใช้เพื่อความปลอดภัย การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งหรือไอโอที เพื่อเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลพฤติกรรม และการใช้งานเพื่อรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไออีกด้วย ผลสำเร็จของการดำเนินโครงการนี้ เรียกได้ว่า นอกจากจะสอดคล้องกับนโยบายของ สวทช. ในการผลักดันงานวิจัยที่ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสู่อุตสาหกรรม 4.0 และทำให้เกิดการนำไปใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์แล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่แบบครบวงจรในประเทศไทย ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เทคโนโลยีสารเคลือบนาโน จากเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ สู่การอนุรักษ์ศาสนสถาน
เทคโนโลยีสารเคลือบนาโน จากเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ สู่การอนุรักษ์ศาสนสถาน "นาโนเทคโนโลยี" เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจจากนักวิจัยและภาคอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก เพราะสามารถสร้างหรือสังเคราะห์วัสดุให้มีขนาดเล็กในระดับ 1 -100 นาโนเมตร ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างคุณสมบัติพิเศษให้แก่วัสดุต่าง ๆ ได้ทั้งทางด้านกายภาพเคมี และชีวภาพ ปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนต่างเร่งวิจัยและพัฒนาเพื่อนำเทคโนโลยีการเคลือบผิวด้วยวัสดุนาโนมาใช้ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุหลากหลาย เช่น สิ่งทอ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และวัสดุก่อสร้างเช่นเดียวกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่มีการพัฒนาสารเคลือบอนุภาคนาโนเพื่อใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น "เทคโนโลยีสารเคลือบดูดซับความร้อนของท่อนำความร้อนแผงรวมแสงอาทิตย์แบบรางพาราโบลา" ที่ทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการจัดเรียงโครงสร้างและอนุภาคระดับนาโน หน่วยวิจัยนาโนเทคโนโลยี นาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ภาคเอกชนอย่างบริษัทเอทีอี จำกัด ที่ต้องการใช้กราฟีนเป็นวัสดุเคลือบเพื่อดูดซับความร้อนบนท่อโลหะในระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบเข้มข้น หรือ Concentrated Solar Power (CSP) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยทั่วไปการดูดซับความร้อนบนท่อโลหะดังกล่าว นิยมใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบตกเคลือบด้วยไอทางกายภาพ (Physicalvapour deposition) ของสารผสมระหว่างโลหะกับโลหะออกไซด์ ซึ่งมีต้นทุนทางวัสดุและเทคโนโลยีที่สูงมาก บริษัทเอทีอี จำกัด จึงต้องการใช้อนุภาคกราฟินทดแทนเพื่อลดต้นทุนในการผลิต จากการทดสอบพ่นเคลือบอนุภาคกราฟินลงบนท่อสเตนเลส พบว่าสามารถดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ แต่มีปัญหาการหลุดลอก เนื่องจากอนุภาคกราฟีนไม่สามารถยึดเกาะกับท่อโลหะอย่างสเตนเลสได้ด้วยตัวเอง เพราะสภาพพื้นผิวของวัสดุทั้งสองแบบที่ไม่เข้ากันผู้ประกอบการจึงต้องการให้ทีมนักวิจัยฯ ช่วยพัฒนาสูตรที่ทำให้อนุภาคกราฟินยึดติดกับผิวท่อโลหะได้ดีขึ้นทีมนักวิจัยจากนาโนเทค สวทช. จึงศึกษาการใช้วัสดุนาโนเพื่อเพิ่มการยึดเกาะของอนุภาคกราฟีน โดยเลือกใช้สารนาโนซิลิกาที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการยึดเกาะเป็นสารผสมกับอนุภาคนาโนกราน จนได้เป็นสูตรพัฒนาเป็นสารเคลือบสำหรับดูดซับความร้อนบนท่อโลหะใน "ระบบผลิตพลังงานแบบรางพาราโบลา (Parabolictrough solar concentrator)" ซึ่งมีการยึดเกาะบนผิวท่อสเตนเลสได้ดีและสามารถดูดซับความร้อนได้มากขึ้นสารเคลือบดังกล่าวทนต่อความร้อนที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส ในสภาวะไม่มีออกซิเจน เช่น สุญญากาศสูง 10-6 mbar หรือในบรรยากาศไนโตรเจน และทนต่อการยืดหดของท่อโลหะที่มีการยืดและหดตัวในช่วงอุณหภูมิ 30-500 องศาเซลเซียส สามารถใช้วิธีการพ่นเคลือบจากสเปรย์ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบตกเคลือบด้วยไอทางกายภาพมากกว่า 70%ปัจจุบันบริษัทเอทีอี จำกัด ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีสารเคลือบและลงทุนก่อสร้างโรงงานต้นแบบการผลิตพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โรงงานดังกล่าวสามารถผลิตไอน้ำยิ่งยวดที่มีอุณหภูมิกว่า 450 องศาที่ความดัน 30 บาร์จากท่อดูดซับความร้อนที่เคลือบสารผสมอนุภาคนาโนกราฟินและยังสามารถขยายการผลิตสารเคลือบดังกล่าวในระดับอุตสาหกรรม รวมถึงผลิตท่อดูดซับความร้อนให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนแสงอาทิตย์ของบริษัทไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นการผลิตในเชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย โดยต้นทุนการผลิตถูกกว่านำเข้าจากต่างประเทศถึง 3 เท่า นอกจากนี้ทีมนักวิจัยจากนาโนเทค สวทช. ร่วมกับบริษัทฮิวเทค (เอเชีย) จำกัด พัฒนา "สารเคลือบนาโนป้องกันตะกรันบนแผงรังผึ้ง" ขึ้นภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ซึ่งเป็นการพัฒนาสารเคลือบนาโน เพื่อลดการเกาะของตะกรันแคลเซียมบนแผงรังผึ้งที่ทำหน้าที่ดูดซับความชื้นในระบบปรับอากาศแบบประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วยพัดลมไอเย็น สามารถคงประสิทธิภาพของการทำความเย็นและความแข็งแรงของแผงรังผึ้ง อีกทั้งยังช่วยลดการเกาะของตะกรันได้ถึง 30-40% ซึ่งเย็นการยืดอายุการใช้งานของแผงรังผึ้งให้นานขึ้นเกือบสองเท่า ลดความถี่และงบประมาณในการกำจัดตะกรัน ซึ่งนับเป็นการช่วยประหยัดพลังงานอีกทางหนึ่งทั้งนี้สารเคลือบดังกล่าวมีการประยุกต์ให้เข้ากับกระบวนการผลิตที่มีอยู่เดิมของผู้ประกอบการ และไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วยและไม่เพียงเท่านั้น.. "เทคโนโลยีสารเคลือบนาโน" ที่เป็นการใช้องค์ความรู้ด้านนาโนเทคโนโลยี ทำให้วัสดุขนาดจิ๋วแสดงคุณสมบัติพิเศษเมื่อนำไปเคลือบสิ่งของหรือพื้นผิวอาคารสถานที่ ทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช. มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต่อยอดการใช้งานไปสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ แล้วนั้น ยังมีการนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคมและชุมชนส่วนรวมอีกด้วยอย่างเช่นโครงการ "เทคโนโลยีสารเคลือบนาโนเพื่อการอนุรักษ์อาคารศาสนสถาน" ที่เกิดจากการลงพื้นที่สำรวจของทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช. แล้วพบว่าในสถานที่ท่องเที่ยวหรือวัดต่าง ๆ มักจะมีปัญหาเรื่องของความชื้น น้ำซึมเข้าไปในวัสดุที่เป็นพื้นผิวทำให้เกิดเชื้อราหรือตะไคร่น้ำได้ง่ายทีมนักวิจัยฯ จึงศึกษาคุณสมบัติของวัสดุเชิงเคมีกายภาพของอาคารศาสนสถานจากหลากหลายแหล่งที่มา เพื่อพัฒนาสารเคลือบผิวอนุภาคนาโนซิลิกาที่มีคุณสมบัติกันฝุ่น กันการซึมน้ำ ป้องกันเชื้อราและตะไคร่น้ำ รวมถึงคราบสกปรกที่เกาะอยู่บนพื้นผิวของวัสดุที่ใช้บูรณะอาคารศาสนสถาน ซึ่งจะช่วยลดการแตกร้าว ทำให้ยืดอายุพื้นผิวและคงความสวยงามของอาคารศาสนสถานได้ดียิ่งขึ้น สารเคลือบผิวอนุภาคนาโนซิลิกาที่ทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นนี้มีจุดเด่นคือ สามารถใช้ได้กับทุกสภาพพื้นผิว โดยไม่ทำลายรูปสภาพเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ ความสามารถในการกันความชื้น ซึ่งเป็นการเลียนแบบธรรมชาติเหมือนกับใบบัวที่มีคุณสมบัติสะท้อนน้ำ สามารถทนฝน ทนแดด และทนรังสียูวีได้โดยไม่เสื่อมสภาพ ปัจจุบันมีการทดสอบใช้เคลือบพื้นผิวอาคารศาสนสถานต่าง ๆ พบว่า สามารถยืดระยะเวลาการเกิดเชื้อรา คราบสกปรก และการแตกลายงาจากอายุของวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง นอกจากจะเพิ่มความคงทน ยืดอายุวัสดุที่จะนำไปซ่อมแซมบูรณะแล้วยังช่วยลดต้นทุนการดูแลรักษาอาคารศาสนสถานต่าง ๆเรียกได้ว่า งานวิจัยเทคโนโลยีสารเคลือบนาโนของนาโนเทค สวทช.สามารถตอบโจทย์การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน ช่วยประหยัดพลังงานรักษาสภาพแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคธุรกิจในประเทศไทย แถมยังช่วยอนุรักษ์โบราณสถานซึ่งเป็นงานวิจัยที่ตอบโจทย์ภาคสังคมได้อีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“กราฟีน” วัสดุแห่งอนาคต
"กราฟีน" วัสดุแห่งอนาคต "กราฟีน" (Graphene) เป็นวัสดุแห่งอนาคตที่คันพบ เมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยสองนักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย "ศาสตราจารย์ ดร.อังเดร ไกม์"(Andre Geim) และ "ศาสตราจารย์ ดร.คอนสแตนติน โนโวเซลอฟ" (Konstantin Novoselov) จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร 6 ปีต่อมาผลงานชิ้นนี้ทำให้ผู้ค้นพบทั้งสองท่านได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี พ.ศ. 2553"กราฟีน " จัดเป็นวัสดุนำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีที่สุดในโลก โดยเป็นวัสดุที่ประกอบด้วยชั้นของคาร์บอนอะตอมที่หนาเพียง 1 ชั้น มีลักษณะเป็นแผ่นที่มีโครงสร้าง 2 มิติ เหมือนตาข่ายรูปหกเหลี่ยมคล้ายรังผึ้งมีความหนาเท่ากับขนาดของคาร์บอนเพียงอะตอมเดียว หรือประมาณ 0.34 นาโนเมตรจึงทำให้มีคุณสมบัติพิเศษที่แข็งแรงกว่าเหล็กและเพชร นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดง อีกทั้งยังใสโปร่งแสง และมีความยืดหยุ่นสูง เหมาะกับการนำไปใช้ผสมในพอลิเมอร์ต่าง ๆ ในการนำไฟฟ้า เพื่อไม่ให้มีการขาดตอน และนำไฟฟ้าได้เป็นอย่างดีจากความมหัศจรรย์ที่ถูกค้นพบทำให้กราฟีนกลายเป็นวัสดุที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้มองเห็นโอกาสและความสำคัญของวัสดุมหัศจรรย์อย่าง"กราฟีน" มาตั้งแต่ตอนที่มีการค้นพบใหม่ ๆ และได้เริ่มวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำกราฟีนไปประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในปี พ.ศ. 2553 ทีมวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค สวทช. ประสบความสำเร็จใน "การสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าลอกเอาแผ่นกราฟีนบริสุทธิ์ออกจากขั้วแกรไฟต์ และผสานเข้าไปในเนื้อพอลิเมอร์นำไฟฟ้าได้ด้วยต้นทุนต่ำเป็นครั้งแรกของโลก" ผลงานนี้ได้รับความสนใจจากภาคเอกชนต่อยอดนำไปผลิตหมึกนำไฟฟ้าจำหน่ายเชิงพาณิชย์หมึกพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สังเคราะห์ขึ้นจากสาร "กราฟีน" นั้นมีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้ดี สามารถตีพิมพ์ลงบนพื้นผิวได้หลายชนิด เช่นกระดาษ และแผ่นพลาสติก ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ นอกจากจะนำไปทำหมึกพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-ink ที่นำไปใช้ในแผ่นป้ายอาร์เอฟไอดี แทนการใช้โลหะทองแดง ที่มีต้นทุนสูงกว่าแล้วยังสามารถทำเป็นบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ สามารถแสดงข้อมูลหรือภาพเคลื่อนไหวบนหีบห่อ พัฒนาเป็นกระดาษอัจฉริยะที่แสดงข้อมูลหรือภาพเคลื่อนไหวบนแผ่นพลาสติกที่โค้งงอได้ นอกจากนี้ ยังนำไปพัฒนาเป็นสารเปล่งแสงที่ใช้ในจอแสดงผลชนิด "โอแอลอีดี"ซึ่งใช้พลังงานและมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำเป็นฟิล์มสุริยะหรือแผ่นฟิล์มบางที่ทำหน้าที่เหมือนแผงรับพลังงานจากแสงอาทิตย์แล้วเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า รวมถึงทำเป็นแบตเตอรี่ชนิดบางและตัวตรวจวัดหรือเซนเซอร์ทางการแพทย์ที่มีราคาถูกทั้งนี้เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตนวัตกรรมจากเทคโนโลยีกราฟีน สวทช.ได้ขยายการดำเนินงานวิจัย จัดตั้งเป็น "ศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์" หรือโทปิค (Thailand Organic & PrintedElectronics Innovation Center: TOPIC)โดยโทปิคทำงานแบบเครือข่ายระหว่างภาครัฐกับเอกชน มีห้องปฏิบัติการและบริการทางเทคนิค เพื่อให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาในการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยหมึกอิเล็กทรอนิกส์หรือหมึกนำไฟฟ้า และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Organic and Printed Electronics Association หรือOE-A ซึ่งเป็นสมาคมด้านอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ระดับโลกเพื่อสร้างเครือข่ายกับกลุ่มสมาชิกของ OE -A ที่มีอยู่ทั่วโลก ทำให้ไทยมีฐานข้อมูลและเครือข่ายการพัฒนางานวิจัยที่กว้างมากขึ้นซึ่งต่อมา "Haydale Graphene Industries" บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านกราฟีนระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ได้เลือกจัดตั้งศูนย์วิจัยกราฟีน หรือ Haydale Technologies (Thailand) ขึ้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ทำให้นักวิจัยไทยได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยชั้นนำจากต่างประเทศ เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรมปัจจุบันโทปิคอยู่ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) ของสวทช. นอกจากจะมีทีมนักวิจัยกราฟีนและนวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นกลุ่มแรกในไทยที่สังเคราะห์กราฟีนได้ และถ่ายทอดให้เอกชนผลิตเป็นหมึกนำไฟฟ้าจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ยังมีการนำกราฟีนไปทำเป็นเซนเซอร์แบตเตอรี่ชนิดบาง และกำลังนำกราฟีนไปผสมในพลาสติกชีวภาพเพื่อทำให้เหนียวขึ้น เปราะน้อยลง และนำไฟฟ้าได้นอกจากนี้ยังมีทีมพัฒนานวัตกรรมการสังเคราะห์กราฟีน กำลังวิจัยเทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นวัสดุนาโนคาร์บอนหรือกราฟีนที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งแล้วยังช่วยลดปัญหามลพิษอีกด้วยส่วนด้านเซนเซอร์ ทีมนักวิจัยฯ ได้ผลิตกราฟีนเพื่อประยุกต์ใช้งานด้านความมั่นคงทั้งด้านสังคม อาหาร การแพทย์ และสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีการพัฒนาเซนเซอร์ด้วยวัสดุขั้นสูงนาโนกราฟีน โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์สกรีนทำให้ได้เซนเซอร์กราฟีนชนิดพิมพ์ที่มีความไวสูง ต้นทุนต่ำ และมีกำลังผลิตในระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้ สวทช. ร่วมมือกับเครือข่ายต่าง ๆ ในการพัฒนาชุดตรวจ เช่น ชุดตรวจสารเสพติด ชุดตรวจเชื้อก่อโรคในอาหาร เซนเซอร์วัดสารเร่งเนื้อแดงและชุดตรวจเชื้อวัณโรค สำหรับความมั่นคงด้านพลังงานที่ผ่านมาทีมนักวิจัยฯ ได้พัฒนาอุปกรณ์กักเก็บพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเก็บประจุยิ่งยวด (Supercapacitor) และแบตเตอรี่ลิเทียมซัลเฟอร์ (Lithium-sulfur battery) ซึ่งได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านวัสดุกราฟีนร่วมกับเทคโนโลยีการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันทีมนักวิจัย สวทช. ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพัฒนาต้นแบบแบตเตอรี่สังกะสีไอออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่มีความปลอดภัยสูง ไม่ระเบิดโดยนำเทคโนโลยีกราฟีนเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ จนสามารถพัฒนาเป็นแบตเตอรี่สังกะสีไอออนที่มีค่าความจุต่อน้ำหนักสูงอยู่ในช่วง 180-200 mAh.g-1และมีค่าความหนาแน่นพลังงานอยู่ในช่วง 180-200 Wh.kg-1 ซึ่งสามารถแข่งขันได้กับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนบางชนิด สิ่งสำคัญที่เป็นความท้าทายของแบตเตอรี่ชนิดนี้ก็คือ การพัฒนาให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน (Cycle abilty) เพื่อให้แข่งขันได้กับแบตเตอรี่ที่มีในท้องตลาดต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“P218” สารต้านมาลาเรียชนิดใหม่ฝีมือคนไทย
“P218” สารต้านมาลาเรียชนิดใหม่ฝีมือคนไทย            “มาลาเรีย” 1 ใน 3 โรคติดเชื้อที่สำคัญของโลก ซึ่งทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อมาลาเรียมากกว่า 200 ล้านคนต่อปี และเสียชีวิตมากกว่า 600,000 รายต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยนั้น ข้อมูลสถานการณ์โรคไข้มาลาเรีย            จากกองโรคติดต่อนำโดยแมลง พบว่าในปี พ.ศ. 2562 มีผู้ป่วย จำนวน 5,834 ราย โดยพบในพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 5,604 ราย แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาสำคัญคือ การพบเชื้อมาลาเรียดื้อยาเพิ่มมากขึ้น             ปัญหาดังกล่าวกระตุ้นให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก ทุ่มสรรพกำลังในการพัฒนายาที่สามารถรักษาเชื้อมาลาเรียดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยี ชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ที่ทีมนักวิจัยฯ เดินหน้าศึกษาวิจัยเรื่องยารักษามาลาเรียมากว่า 20 ปี            จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2557 ทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. นำโดย “ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์” นักวิจัยอาวุโสสวทช. และผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรียในประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสารต้านมาลาเรียชนิดใหม่ของโลกที่มีชื่อเรียกว่า “สาร P218” นับเป็นสารต้านมาลาเรียตัวแรกที่นักวิจัยไทยออกแบบและสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจาก Medicines for Malaria Venture (MMV) องค์กรไม่แสวงผลกำไรและเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนายารักษามาลาเรียระดับโลก             ก้าวแรกของงานวิจัยเริ่มจากการค้นพบโครงสร้างเป้าหมายของยา ซึ่งเป็นเอนไซม์ในเชื้อมาลาเรียเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งค้นพบโครงสร้างของเอนไซม์ไดไฮโดรโฟเลต รีดักเทส ไทมิติเลต ซินเทส (Dihydrofolate Reductase-Thymidylate Synthase: DHFR-TS) ซึ่งเป็นเป้าหมายของยากลุ่มแอนติโฟเลต ทําให้เข้าใจกลไกการดื้อยากลุ่มดังกล่าว และสามารถต่อยอดงานวิจัยไปสู่การค้นพบสารต้นแบบ P218 ซึ่งเป็นสารแอนติโฟเลต ต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพและความจำเพาะสูง มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อมาลาเรียทั้งสายพันธุ์ที่ไวต่อยาและดื้อต่อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ                  ณ ขณะนั้น สาร P218 ได้รับการผลักดันเข้าสู่การทดสอบในระดับพรีคลินิกที่ได้มาตรฐาน GLP ร่วมกับ MMV ก่อนจะผ่านการทดสอบความเป็นพิษในสัตว์ทดลองเบื้องต้น โดยพบว่าปลอดภัยและใช้ได้ผลกับเชื้อมาลาเรีย โดยเฉพาะสายพันธุ์ฟัลชิปารัมที่พบมากในประเทศไทยและทั่วโลก รวมถึงใช้ได้ผลกับสายพันธุ์ที่ดื้อยา            การจะนำสารต้านมาลาเรีย P218 มารักษาโรคจริงนั้นจะทําได้ก็ต่อเมื่อผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองและต้องนำไปทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 - 3 เพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิผลในการรักษาจริงในอนาคต และเพื่อเป็นไปตามเกณฑ์การขึ้นทะเบียนยา จำเป็นที่จะต้องผ่านการทดสอบระดับพรีคลินิกที่ได้มาตรฐาน GLP ซึ่ง สวทช. และ MMV มีการลงนามความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการในการผลักดันสารดังกล่าว โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ในการผลิตออกมาเป็นยาต้านมาลาเรียที่ใช้ได้จริง            โดยเป้าหมายหลักในการพัฒนาคือ การผลิตยาในรูปแบบยากินราคาถูก เพื่อเข้าถึงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นคนยากจน   งานวิจัยด้านมาลาเรียของไบโอเทค สวทช. ไม่ได้จบแค่นั้น ทีมนักวิจัยฯ ยังคงเดินหน้าศึกษาวิจัยเพิ่มเติมจาก P218 จนกระทั่งค้นพบโปรตีนเป้าหมายตัวใหม่ ชื่อว่า “ซีรีนไฮดรอกซีเมทิลทรานสเฟอเรส” (Serine hydroxymethyltransferase) หรือ SHMT เป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญตัวหนึ่งในการสังเคราะห์โฟเลตเช่นเดียว กับเอนไซม์ DHFR           จากการศึกษาพบว่า การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ SHMT นี้ส่งผลให้เชื้อมาลาเรียตาย ซึ่งเอนไซม์ SHMT ของเชื้อมาลาเรียมีลักษณะจำเพาะที่แตกต่างจากเอนไซม์ SHMT ของสิ่งมีชีวิตอื่น รวมถึงคนด้วย เมื่อมองถึงความเป็นไปได้ในการนำไปใช้เป็นกลยุทธ์ใหม่เพื่อขัดขวางการทำงานของเอนไซม์ในเชื้อมาลาเรียโดยไม่มีผลกระทบต่อเอนไซม์ของคน จึงมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาออกแบบสารยับยั้ง เพื่อใช้รับมือกับการดื้อยาของเชื้อมาลาเรียในอนาคต            ในการศึกษาอย่างต่อเนื่องร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีการค้นพบสารที่มีโครงสร้างหลักกลุ่มไพราโซโลไพแรนมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ SHMT ของมาลาเรีย รวมถึงออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อมาลาเรียในระยะติดเชื้อในเซลล์เม็ดเลือดแดง ทั้งยังเป็นสารที่มีความจำเพาะสูง โดยได้ผ่านการทดสอบในเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแล้ว            ด้วยความมุ่งมั่นของ สวทช. และด้วยองค์ความรู้ที่สร้างขึ้นนี้ทีมนักวิจัยจาก ไบโอเทค สวทช. ได้ต่อยอดนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาสารยับยั้งที่มีความจำเพาะต่อเอนไซม์ SHMT เพื่อพัฒนายาต้านมาลาเรียที่มีประสิทธิภาพต่อไป            นับเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้าวิจัยอย่างแข็งแกร่งไปพร้อมกับหน่วยงานพันธมิตรที่ไบโอเทค สวทช. ร่วมมือกันมาอย่างเข้มแข็ง อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยบูรพา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์อาร์เบอร์ สถาบัน California Institute for Biomedical Research (Calibr) ประเทศอเมริกา บริษัท BASF ประเทศเยอรมนี สถาบัน Swiss Tropical and Public Health Institute (Swiss TPH) Universität Basel สถาบัน ETH Zurich ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บริษัท GlaxoSmithKline ประเทศสเปน สถาบัน Monash Institute of Pharmaceutical Sciences ประเทศออสเตรเลีย และ National Synchrotron Radiation Research Center ประเทศไต้หวันดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
โฟมไทเทเนียมและโฟมอะลูมิเนียมเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม
โฟมไทเทเนียมและโฟมอะลูมิเนียมเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม ถ้าพูดถึง "โฟม" คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงโฟมพลาสติกที่ใช้ใส่อาหารหรือโฟมที่เป็นวัสดุกันกระแทก แต่จริง ๆ แล้ว วัสดุโลหะก็สามารถนำมาทำเป็นโฟมได้เช่นกัน "โฟมโลหะ" เป็นวัสดุโลหะที่มีรูพรุนหรือโพรงอากาศมากถึง 75-959 โดยปริมาตร ทำให้มีน้ำหนักเบากว่าโลหะต้น และมีสมบัติด้านความแข็งแรง ความเหนียว ความสามารถในการนำความร้อน และทนอุณหภูมิสูงที่ดีกว่าโฟมที่ทำจากวัสดุอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีสมบัติในการดูดซับเสียงได้ดีอีกด้วย โฟมโลหะจึงเป็นวัสดุที่น่าสนใจและสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆทีมนักวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนาองค์ความรู้เรื่องการผลิตโฟมโลหะชนิดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ "การพัฒนากระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิด" ซึ่งได้รับรางวัลผลงานวิจัยระดับดีมากจากงานวันนักประดิษฐ์ประจำปีพ.ศ. 2560โครงการดังกล่าว เอ็มเทค สวทช. ได้ทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับบริษัทไทเซ โคเกียว (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อพัฒนาการผลิตโฟมไทเทเนียมบริสุทธิ์แบบเซลล์เปิด โดยใช้กระบวนการชุบสารแขวนลอยบนต้นแบบโฟมพอลิเมอร์ เพื่อให้ได้โฟมไทเทเนียมที่ไม่เปราะและสามารถรับแรงกดได้ดี โฟมไทเทเนียมแบบเซลล์เปิด (Open cell titanium foam) คือ ไทเทเนียมที่มีโครงสร้างเป็นโครงร่างตาข่ายที่มีความพรุนสูง รูพรุนมีลักษณะต่อเนื่องกัน ดังนั้นของเหลวหรือก๊าซสามารถไหลผ่านได้ และสามารถรับภาระแรงกระทำได้สูง ทั้งนี้โฟมโลหะแบบเซลล์เปิดนี้นิยมนำไปใช้เป็นตัวกรองในงานที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ขั้วในระบบเคมีไฟฟ้า ซึ่งต้องการความต้านทานการกัดกร่อนสูงและต้องการพื้นที่ผิวสูงและวัสดุทางการแพทย์เพื่อปลูกฝังในร่างกายที่ต้องการวัสดุที่มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพกระบวนการผลิตโฟมไทเทเนียมแบบเซลล์เปิดโดยใช้กระบวนการชุบสารแขวนลอยกับต้นแบบโฟมพอลิเมอร์ เริ่มจากการคัดเลือกวัสดุตั้งต้นและวิจัยขั้นตอนการผลิตและตัวแปรในการผลิตให้สามารถผลิตโฟมไทเทเนียมที่มีสมบัติเชิงกลที่ดีโฟมไทเทเนียมที่ผลิตได้มีโครงสร้างสม่ำเสมอ มีความแข็งแรง ไม่เปราะ ไม่มีสารปนเปื้อน การวิเคราะห์โดยเทคนิคเอกซเรย์ดิฟแฟรกชัน แสดงให้เห็นว่าระดับความพรุนอยู่ในช่วง 86-92% โดยมีขนาดของเซลล์ระหว่าง 1.1-2.4 มิลลิเมตร บริษัทไทเซ โคเกียว (ประเทศไทย) จำกัด และเอ็มเทค สวทช.ได้ร่วมยื่นจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์และการออกแบบ รวมถึงตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารนานาชาติ ผลงานจากโครงการนี้ได้รับการต่อยอดขยายการผลิตในระดับอุตสาหกรรมโดยบริษัทไทเซ โคเกียว (ประเทศไทย) จำกัด และมีการจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว "โฟมอะลูมิเนียม" ได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และขนส่ง รวมถึงอุตสาหกรรมก่อสร้างและที่อยู่อาศัย โดยใช้ในโครงสร้างที่ต้องรับแรงกระแทก ใช้เป็นวัสดุดูดซับเสียง ใช้เป็นฉนวนกันความร้อนหรือตัวระบายความร้อน ปัจจุบันแม้จะมีผู้ผลิตโฟมอะลูมิเนียมจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ในต่างประเทศแล้ว แต่ในประเทศไทยยังมีการใช้งานน้อยเพราะมีราคาแพง ซึ่งเกิดจากต้นทุนที่สูงทั้งด้านวัตถุดิบและกระบวนการผลิต ทีมนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยี-โลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนา "การผลิตโฟมอะลูมิเนียมจากน้ำโลหะ" ขึ้นเพื่อทำให้กระบวนการผลิตโฟมอะลูมิเนียมจากน้ำโลหะมีต้นทุนต่ำลง และเป็นองค์ความรู้สำหรับสนับสนุนอุตสาหกรรมในอนาคตทั้งนี้ทีมนักวิจัยฯ เลือกพัฒนาวิธีผลิตโฟมอะลูมิเนียมด้วยการพ่นอากาศลงในน้ำโลหะโดยตรง เนื่องจากเป็นการผลิตโฟมโลหะที่มีต้นทุนต่ำที่สุด แต่วิธีนี้มีจุดด้อยที่ต้องแก้ไขคือการควบคุมโครงสร้างของโฟมโลหะทำได้ค่อนข้างยาก จึงต้องพัฒนากระบวนการผลิตโฟมอะลูมิเนียมให้มีโครงสร้างตามต้องการทีมนักวิจัยคิดค้นวิธีการผลิตขึ้นใหม่ โดยใช้วัสดุทรงกลมซึ่งสามารถทนอุณหภูมิสูง และมีพื้นผิวรูปแบบต่าง ๆ เป็นวัสดุที่ทำให้เกิดรูพรุนรูปแบบต่าง ๆ ภายในโฟมอะลูมิเนียมวัสดุดังกล่าวมีราคาถูกและสามารถปั้นเป็นรูปทรงกลมได้ด้วยเครื่องปั้นเม็ดที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ทำให้การผลิตโฟมอะลูมิเนียมมีต้นทุนการผลิตต่ำ อีกทั้งยังช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ โฟมอะลูมิเนียมที่ได้มีสมบัติเด่นคือ ดูดซับเสียงที่ความถี่เสียงต่างๆ ได้ตามลักษณะการใช้งาน สามารถใช้กั้นเสียงที่เกิดจากโรงงาน สถานที่ก่อสร้าง งานจราจร เพราะมีความทนทาน และใช้ลดเสียงจากชิ้นส่วนภายในเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งใช้เป็นแผ่นดูดซับเสียงภายในอาคารไม่ติดไฟและไม่เป็นพิษต่อผู้อยู่อาศัยได้ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนของไทยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตโฟมอะลูมิเนียมเพื่อผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้วดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สร้างรากฐาน-ก้าวไกลโครงการไอทีตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
สร้างรากฐาน-ก้าวไกลโครงการไอทีตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี สนพระราชหฤทัยเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที และทรงศึกษาการใช้งานเทคโนโลยีนี้ด้วยพระองค์เอง ทรงตระหนักถึงศักยภาพและประโยชน์ของไอทีในฐานะเครื่องมือที่สามารถใช้พัฒนาประเทศในหลายด้าน และมีพระราชดำรัสกับผู้ถวายงานเกี่ยวกับการนำไอทีมาใช้ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ ในหลายวาระทั้งนี้พระองค์ทรงพระเมตตาอยากให้เด็กนักเรียนในชนบทห่างไกลบุคคลทุพพลภาพ รวมถึงบุคคลที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี ได้นำเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเอง สังคม ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อเป็นการสนองพระราชปณิธานของพระองค์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมมือกับสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิจัดทำ "โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมรากุมารี" (http://www.princess-it.org)ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นปีแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กระทรวงการคลังออกสลากการกุศลงวดพิเศษและได้นำเงินรายได้จากการออกสลากดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในปี พ.ศ. 2539 เพื่อใช้สำหรับดำเนินการกิจกรรมในโครงการจากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ซึ่งมี สวทช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการฯ ได้ดำเนินกิจกรรมในการใช้เทคโนโลยีเพื่อผู้ด้อยโอกาสในสังคมทั้งเด็กในชนบท ผู้พิการเด็กป่วยในโรงพยาบาลและผู้ต้องขัง ปัจจุบันมีการดำเนินงานผ่าน 6 โครงการหลักโครงการแรกคือ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นโครงการนำร่องเพื่อจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการส่งเสริมการเรียนการสอนสำหรับโรงเรียนในชนบท เพื่อเพิ่มทักษะพื้นฐานให้แก่นักเรียน โครงการนี้ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์พระราชทานเพื่อการศึกษา โดยสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศฯ จัดทูลเกล้าฯ ถวายพร้อมด้วยหนังสือสอนคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ขณะเดียวกันยังมีการสนับสนุนอุปกรณ์เพื่อส่งเสริมการเรียนในชนบท เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยี นอกจากนี้สมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศฯ ยังสนับสนุนการฝึกอบรม เพื่อสามารถนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ถ่ายทอดให้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์แห่งกลุ่มเรียนต้นแบบที่จังหวัดนครนายก โรงเรียนนครนายกวิทยาคม เมืองนครนายก และโรงเรียนปิยชาติพัฒนา เพื่อเป็นศูนย์อบรมคอมพิวเตอร์ รวมถึงมีการเรียน CAI เพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคตานอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์บริการตรวจคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์บริการวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย นครสวรรค์ ปทุมธานี อุบลราชธานี อีกทั้งยังมีการสนับสนุนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รับเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้มีการพัฒนาทางด้านการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในการค้นคว้าและเรียนรู้ รวมถึงการวิจัย ได้ให้การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน รวมทั้งดำเนินการผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อแจกจ่ายแก่โรงเรียนในโครงการด้วย โครงการที่ 2 คือ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการ มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าไปช่วยในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนพิการ และทำให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีอิสระมากขึ้น โดยดำเนินงานใน 2 ลักษณะ ได้แก่ โครงการนำร่องและโครงการพัฒนา อุปกรณ์ชอฟต์แวร์สำหรับคนพิการ โดยโครงการนำร่องเป็นการทดลองนำ เทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ในโรงเรียน หรือสถานสงเคราะห์คนพิการ เพื่อช่วยในเรื่องการศึกษา การเรียนการสอน และเพื่อให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ในภายหลัง รวมทั้งการนำอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สำหรับคนพิการไปให้ใช้เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่เด็กหรือผู้พิการเหล่านั้น เช่น อุปกรณ์เพื่อช่วยสื่อสารชอฟต์แวร์ช่วยฝึกการออกเสียง เปล่งเสียง เพื่อประเมินดูผลการใช้ และหากได้ผลดีจะได้ขยายผลไปยังผู้พิการที่อื่น ๆ ต่อไป ปัจจุบันมีการดำเนินการใน 2 แห่งคือ ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์และมูลนิธิสิริวัฒนา เชสเชียร์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ สำหรับโครงการพัฒนาอุปกรณ์ชอฟต์แวร์สำหรับผู้พิการในด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น มีการศึกษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยที่อุปกรณ์เหล่านี้มักจะมีใช้กันมากในต่างประเทศ มีราคาสูง จึงได้มีการเริ่มวิจัยและพัฒนาขึ้นใช้ ในประเทศเป็นการช่วยให้ผู้พิการสามารถมีอุปกรณ์เหล่านี้ใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต เช่น โครงการจัดทำอุปกรณ์สัญญาณเสียงเพื่อช่วยในการเดินทางของคนตาบอด โครงการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับช่วยสื่อสารขนาดพกพาสำหรับเด็กที่มีปัญหาเรื่องการออกเสียง (โอภา) โครงการพัฒนาโปรแกรมสำหรับช่วยสื่อสารด้วยภาษาไทยสำหรับผู้ที่สูญเสียความสามารถทางการพูด (ปราศรัย) และโครงการพัฒนามัลติมีเดียภาษามือเกี่ยวกับคำศัพท์คอมพิวเตอร์ โครงการที่ 3 คือ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับเด็กป่วยในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาคุณภาพและศักยภาพการศึกษาทางด้านไอทีสำหรับเด็กที่ป่วยในโรงพยาบาล มีเป้าหมายให้เด็กที่ป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาลได้ใช้ไอทีในการเรียนรู้ สร้างความเพลิดเพลิน และส่งเสริมพัฒนาการของเด็กป่วย ซึ่งจะขาดโอกาสทางการศึกษา เมื่อต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์พระราชทานฯ เพื่อเด็กป่วยขึ้นเป็นแห่งแรกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กที่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลานานได้มีกิจกรรมเพื่อการศึกษาเรียนรู้ โดยอาศัยเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งสามารถช่วยเยียวยา จิตใจเด็กที่เจ็บป่วยทางร่างกายให้รู้สึกคลายความเจ็บปวด ไม่กลัวโรงพยาบาล และเสริมต่อการศึกษาในช่วงเวลาที่เด็กไม่สามารถไปโรงเรียนได้เป็นอย่างดีทั้งนี้ได้จัดสรรคอมพิวเตอร์ 10 ชุด พร้อมบทเรียนช่วยสอนให้แก่ศูนย์ฯ และได้อบรมครูของศูนย์ฯ ให้มีความรู้ในการพัฒนาบทเรียน CAI ปัจจุบันได้มีการขยายผลโครงการฯ ไปยังโรงพยาบาลอีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเลิดสิน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) และโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้สานต่อพระราชดำริฯ ขยายไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ทั่วประเทศโครงการที่ 4 คือ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลเรื่องคนหายพลัดหลง มีการจัดทำฐานข้อมูลและเผยแพร่ในเว็บไซต์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดตามเด็กหายหรือเด็กที่ถูกล่อลวง โดยความร่วมมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสงเคราะห์ และองค์กรเอกชน (NGO) และบริษัทคอมพิวเตอร์แอสโซซิเอตส์ จำกัด ให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการฐานข้อมูล ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการปรับปรุงระบบให้สามารถรองรับภาษาไทยได้โครงการที่ 5 คือ โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน เป็นโครงการไอทีเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังจัดทำโครงการนำร่องในระหว่างปีพ.ศ. 2542-2545 ด้วยการจัดสรรเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 20 เครื่องและเครื่องพิมพ์ 2 เครื่อง ให้แก่ทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาชีพด้านคอมพิวเตอร์ โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่ได้รับการอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่อไปในอนาคตเมื่อพ้นโทษ ปัจจุบันโครงการฯ ดำเนินการเพื่อหางานที่เหมาะสมให้แก่ผู้ต้องขัง เพื่อให้ผู้ต้องขังสามารถทำงานและมีรายได้ระหว่างถูกคุมขัง นอกจากนี้ผู้ต้องขังยังสามารถนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดและสามารถทำธุรกิจส่วนตัวได้หลังจากได้รับอิสรภาพ โครงการที่ 6 คือ โครงการสื่อปฏิสัมพันธ์วัฒนธรรมของชาติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระราชดำริให้สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการโครงการสื่อปฏิสัมพันธ์วัฒนธรรมของชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระบบข้อมูลทางวัฒนธรรมของชาติให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้อย่างเป็นระบบทั่วประเทศโดยให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมทั้งจัดบันทึกข้อมูลลงซีดีรอม ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สะดวกในการศึกษา ค้นคว้า และมีอายุการใช้งานได้นานทั้งนี้จะเผยแพร่ความรู้ในสาขาชาติพันธุ์วิทยา มานุษยวิทยา และธรรมชาติวิทยาในหัวข้อต่าง ๆ เช่น สถานที่สำคัญ (Site) อย่างแหล่งโบราณคดีและสถานที่สำคัญทางศาสนา บุคคลสำคัญและปราชญ์ชาวบ้าน (Important figures and philo-sophers) วิถีชีวิต (Way of life) เช่น ประเพณีท้องถิ่น พิธีกรรม ความเชื่อ และการละเล่นพื้นบ้าน ภูมิปัญญา (Wisdom) ที่มีทั้งภูมิปัญญาด้านการเกษตรสุขภาพอนามัย และเทคโนโลยีพื้นบ้าน ของดีท้องถิ่น (Local products) ทั้งอาหาร ของคาว ของหวาน ผักและผลไม้ เอกสารสำคัญ (Manuscripts) ต่าง ๆ และธรรมชาติวิทยา (Natural history) ไม่ว่าจะเป็นซากใบไม้และพืชที่ทับถมกัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก แมลง สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์เลื้อยคลาน ปลา สัตว์ทะเล แร่ธาตุ หิน ป่าไม้ และน้ำมันจากพระอัจฉริยภาพและพระเมตตาของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทำให้ประชาชนได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวงกว้างมากขึ้น ฉันจะนำไปสู่การช่วยลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้แก่ ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคมได้อย่างแพร่หลายต่อไปดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เทคโนโลยีช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยางครบวงจร
เทคโนโลยีช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยางครบวงจร ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมากของประเทศไทยเพราะนอกจากจะสร้างรายได้จากการส่งออกปีละหลายแสนล้านบาทแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับเกษตรกรและครอบครัวชาวสวนยาง รวมถึงช่วยสร้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกหลายล้านคน ด้วยคุณสมบัติพิเศษของยางธรรมชาติที่ยืดหยุ่น กันน้ำ เป็นฉนวนกันไฟฟ้า เก็บและพองลมได้ดี ทำให้ความต้องการใช้งานยางธรรมชาติทั่วโลกยังมีอยู่มากอย่างไรก็ดีแม้ประเทศไทยในปัจจุบันจะมีการผลิตยางเทียมหรือยางสังเคราะห์ได้แล้ว แต่เนื่องจากเราเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังขาดการพัฒนากระบวนการผลิตยางดิบที่เป็นรูปธรรมทั้งในส่วนของโรงงานที่ผลิตน้ำยางข้น ยางแผ่นรมควัน หรือยางแท่ง โดยโรงงานส่วนใหญ่ยังเป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็ก ขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งเกษตรกรยังใช้สารเคมีในการรักษาคุณภาพน้ำยาง ขั้นตอนการผลิตตั้งแต่ต้นทางเป็นอันตรายต่อสุขภาพและส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ขณะเดียวกันกระบวนการผลิตน้ำยางข้นในโรงงานก็มีขั้นตอนจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาเรื่องกลิ่นและการบำบัดน้ำเสียก่อนทิ้งให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม ทีมนักวิจัยน้ำยางและวัสดุยาง กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้นำฐานวิจัยและองค์ความรู้เข้ามาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตยางทั้งการยกระดับผลิตภัณฑ์น้ำยาง ผลิตภัณฑ์ยาง และการจัดการของเสียในโรงงานผลิตน้ำยางข้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้เกี่ยวข้องและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมโดยมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทยและยกระดับผลิตภัณฑ์ยางอย่างครบวงจร ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมามีผลงานที่ได้ผลเป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่กระบวนการผลิตน้ำยางจากเกษตรกร โดยทั่วไปน้ำยางสดที่กรีดได้จากต้นยางพาราจะคงสภาพเป็นน้ำยางอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่ผิวของอนุภาคยางและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของแบคทีเรียโดยใช้สารอาหารในน้ำยางสด ทำให้อนุภาคยางรวมตัวกันเป็นก้อน เกิดบูดเน่ามีกลิ่นเหม็น ทำให้เกษตรกรไม่สามารถนำน้ำยางสดไปแปรรูปเป็นยางแผ่นได้เกษตรกรจึงใช้แอมโมเนียหรือโซเดียมซัลไฟต์ (ยากันกรอก) เพื่อช่วยยืดอายุน้ำยางสดก่อนแปรรูปเป็นยางแผ่น แต่แอมโมเนียเป็นสารเคมีที่ระเหยง่าย มีกลิ่นฉุน เป็นพิษต่อผู้ปฏิบัติงานและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนโซเดียมซัลไฟต์ช่วยยืดอายุน้ำยางสดได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง โดยหากใช้ในปริมาณมากจะทำให้การจับตัวน้ำยางสดทำได้ยาก และเกิดฟองอากาศในแผ่นยางทำให้ยางแผ่นมีราคาถูกลงทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. จึงได้คิดค้นและพัฒนา “สารยืดอายุน้ำยางสดเพื่อการผลิตยางแผ่น” หรือที่เรียกว่า “BeThEPS” ขึ้น เพื่อช่วยยืดอายุน้ำยางสดได้นานกว่าเดิม 1-3 วันทำให้แผ่นยางจับตัวรีดง่าย เกิดลายดอกชัดเจนเพิ่มปริมาณยางแผ่นรมควันคุณภาพดี มีสมบัติทางกายภาพ สมบัติการคงรูป และสมบัติความแข็งแรงเชิงกลใกล้เคียงกับยางแผ่นรมควันที่ผลิตจากน้ำยางสดที่ไม่ได้ใช้สารรักษาสภาพน้ำยางได้รับการจัดชั้นคุณภาพยางเป็นยางแผ่นรมควันชั้น 3 และลดปริมาณยางตกชั้นลงได้ถึง 9% ช่วยเพิ่มมูลค่าจากการจำหน่ายยางแผ่นรมควันราว 900 บาท ต่อการผลิตยางแผ่น 1 ตันสารดังกล่าวยังช่วยทดแทนการใช้สารเคมีทั้งแอมโมเนียและโซเดียมซัลไฟต์และช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิง เนื่องจากยืดอายุน้ำยางสดยาวนานขึ้น จึงช่วยลดความถี่ในการขนส่ง ทำให้เกษตรกรมีเวลามากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ที่สำคัญช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้แอมโมเนีย ทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพของเกษตรกรอีกด้วย ปัจจุบันงานวิจัยนี้ได้มีการถ่ายทอดสิทธิ์ให้แก่บริษัทเอกชนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สาร BeThEPS ในเชิงพาณิชย์แล้ว ขณะเดียวกันในกระบวนการผลิตน้ำยางของโรงงานนั้น ก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีหลายขั้นตอนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ทั้งการใช้กรดซัลฟิวริกการจับตัวน้ำยางสกิม และการล้างเครื่องปั่นน้ำยาง ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นและจะต้องบำบัดน้ำเสียก่อนทิ้งให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้โรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสียจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี “GRASS” สำหรับการจัดการของเสียในโรงงานผลิตน้ำยางข้นที่มีประสิทธิภาพสูง ในรูปของสารใหม่สำหรับจับตัวน้ำยางสกิมและน้ำล้างเครื่องปั่น และกระบวนการแยกเนื้อยางและสารอนินทรีย์ออกจากตะกอนของเสียหรือขี้แป้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถนำเศษยางธรรมชาติกลับมาใช้ได้ใหม่ ทั้งนี้เทคโนโลยี GRASS ประกอบด้วย GRASS 0 เพื่อใช้ทดแทนกรดซัลฟิวริก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวในปัจจุบันที่สามารถรวบรวมเนื้อยางได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ขึ้นกับอายุของน้ำยาง แหล่งที่มาของน้ำยาง และปริมาณของแอมโมเนียที่อยู่ในน้ำยาง ช่วยให้ดักน้ำยางจากน้ำทิ้งได้มากกว่าเดิมประมาณ 8% และพบว่าน้ำทิ้งยังมีสภาพเป็นกลาง ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วน GRASS 1 เป็นสารจับตัวน้ำยางสกิมประสิทธิภาพสูง ผลิตยางสกิมคุณภาพสูงได้มากขึ้น ใช้ได้ดีกับน้ำยางสกิมใหม่และน้ำยางสกิมจากน้ำยางสดเก่าเก็บ โดยไม่ต้องใช้กรดซัลฟิวริก ทำให้น้ำทิ้งไม่มีสารซัลเฟตและไม่เป็นกรด สามารถนำไปผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าหรือเป็นเชื้อเพลิงผลิตความร้อนสำหรับ GRASS 2 เป็นสารจับตัวน้ำล้างเครื่องปั่นน้ำยางประสิทธิภาพสูง จับตัวน้ำล้างเครื่องปั่นน้ำยางได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว ทำให้ได้เนื้อยางคุณภาพดี และ GRASS 3 เป็นเทคโนโลยีการแยกเนื้อยางออกจากตะกอนน้ำยางหรือขี้แป้ง เพื่อนำยางกลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งแยกสารอนินทรีย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเซรามิกหรือปุ๋ย ทั้งนี้ยางที่แยกได้และสารอนินทรีย์ที่แยกออกมาตามความต้องการของโรงงาน สร้างรายได้เพิ่มให้โรงงานลดภาระในการกำจัดขี้แป้ง นอกจากได้น้ำทิ้งที่มีคุณภาพดีขึ้นแล้ว ยังได้สารผสมกลับมาในรูปของปุ๋ยฟอสเฟต สามารถนำไปโรยรอบโคนต้นยางเป็นปุ๋ยหมุนเวียนได้ และน้ำทิ้งที่ได้ยังนำวนกลับไปผลิตก๊าซมีเทน ทำให้ได้พลังงานชีวภาพเข้ามาใช้ในโรงงานอีกด้วย อย่างไรก็ดี แม้จะมีการพัฒนาที่ตอบโจทย์ปัญหาการผลิตในอุตสาหกรรมยางแต่เรื่อง “ยางราคาตกต่ำ” ก็ยังเป็นปัญหาสำคัญของเกษตรกรชาวสวนยาง และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากประเทศไทยส่งออกน้ำยางข้นกว่า 80% เหลือใช้เองในประเทศไม่ถึง 20% เมื่อราคาในตลาดโลกมีความผันผวนสูง จึงกระทบอย่างมากต่อราคายางพาราในไทย แนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ การเพิ่มสัดส่วนปริมาณการใช้งานในประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาดังกล่าว ทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้มีการพัฒนาน้ำยางข้นสำหรับทำผลิตภัณฑ์โฟมยาง หรือ ParaFIT เพื่อใช้ทดแทนน้ำยางข้นทางการค้าทั่วไป โดยมีคุณสมบัติพิเศษคือมีปริมาณแอมโมเนียต่ำกว่าน้ำยางพาราข้นทางการค้า 30-75% เป็นมิตรต่อผู้ทำงาน สิ่งแวดล้อม ชุมชน และลดผลกระทบของอุณหภูมิภายนอกที่มีต่อประสิทธิภาพการทำผลิตภัณฑ์โฟมยาง มีปริมาณซิงก์-ออกไซด์ที่มีส่วนประกอบของโลหะหนัก และเตตระเมทิลไทยูแรมไดซัลไฟด์ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดสารไนโตรซามีน ที่เป็นสารก่อมะเร็ง น้อยกว่าน้ำยางพาราข้นทางการค้า (ชนิด LA และ MA) 30% ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ผลิตน้ำยางพาราข้นและผลิตภัณฑ์โฟมยางการใช้ ParaFIT ยังช่วยให้เวลาในการบ่มน้ำยางก่อนนำไปใช้งานสั้นกว่าน้ำยางพาราข้นทางการค้า โดยใช้เวลาเพียง 3 วันหลังจากวันผลิต ขณะที่น้ำยางพาราข้นทางการค้าต้องใช้เวลา 21 วัน ช่วยลดเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อน้ำยางพาราสดและประหยัดเงินลงทุนในการสร้างอุปกรณ์จัดเก็บน้ำยางพาราข้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวมีสหกรณ์การเกษตรบ้านแพรกหา จำกัด รับสิทธิ์ไปผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาน้ำยางข้นผสมกับแอสฟัลต์เพื่อทำถนนลาดยางมะตอยที่เรียกว่า “น้ำยางโลมาร์” (LOMAR) ซึ่งเป็นน้ำยางข้นที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียไม่เกิน 0.15% ของน้ำหนักน้ำยางข้น มีเสถียรภาพทางความร้อนสูงแม้นำไปใช้งานที่อุณหภูมิ 140-160 องศาเซลเซียส โดยไม่ต้องบ่มน้ำยางในถังพักไว้ 21 วันเหมือนน้ำยางข้นทางการค้า และสามารถนำไปใช้งานทันทีภายใน 1-2 วัน หลังจากวันที่ผลิต มีอายุการใช้งานนานกว่า 6 เดือน น้ำยางโลมาร์สามารถใช้เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์พาราเอซี ตามมาตรฐาน มอก.2731-2559 ลดมลพิษจากไอระเหยของแอมโมเนียในกระบวนการผลิตพาราเอซี จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดเงินลงทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ดักจับก๊าซแอมโมเนียและสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ปัจจุบันน้ำยางโลมาร์ที่ผลิตโดยบริษัทไทยอีสเทิร์น รับเบอร์ จำกัด จังหวัดชลบุรี ได้มีการนำไปผสมกับแอสฟัลต์เพื่อทำถนนลาดยางมะตอยโดยบริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) เพื่อกระตุ้นเกิดอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพาราในประเทศมากขึ้นไปอีก สวทช. มุ่งไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมยางล้อตันรถฟอร์กลิฟต์ ซึ่งเป็นยางล้อรถประเภทที่ใช้ยางธรรมชาติในการผลิตสูงเมื่อเทียบกับยางล้อประเภทใช้ลม คือใช้ยางธรรมชาติประมาณ 30 กิโลกรัมต่อเส้น ขณะที่ยางล้อประเภทใช้ลมใช้ยางธรรมชาติเพียง 8 กิโลกรัมต่อเส้นด้วยอุตสาหกรรมยางล้อตันรถฟอร์กลิฟต์ในไทย ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งยังขาดการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก ทีมนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ พัฒนา “ยางล้อตันรถฟอร์กลิฟต์ประหยัดพลังงาน” ขึ้น โดยมีโรงงานผลิตยางล้อคือบริษัทวี.เอส.อุตสาหกรรมยาง จำกัด ร่วมออกแบบและทดสอบในโครงการจากการทดสอบยางล้อตันประหยัดพลังงานต้นแบบขนาด 7.00-12/5.00 136 AS Solid ที่พัฒนาขึ้น พบว่ามีค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนต่ำกว่ายางล้อตันที่นำเข้าจากต่างประเทศและยางล้อตันยี่ห้อชั้นนำในประเทศ รวมถึงยางล้อตันแบบเดิมของบริษัทวี.เอส.อุตสาหกรรมยาง จำกัด โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความต้านทานการหมุนเท่ากับ 18, 21, 26 และ 29 กิโลกรัมต่อตัน ตามลำดับ ทำให้ยางล้อตันที่พัฒนาขึ้นสามารถประหยัดพลังงานได้สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยางล้อตันยี่ห้ออื่น ๆเมื่อทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานจริง พบว่า ยางล้อตันต้นแบบมีอายุการใช้งานของดอกยางสูงกว่ายางล้อตันแบบเดิมประมาณ 2 เท่า และใช้พลังงานในการขับเคลื่อนน้อยลง ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนยางและค่าเชื้อเพลิงของรถฟอร์กลิฟต์ได้ 60,000 บาทต่อคันต่อปี ขณะที่ยางคอมพาวด์หรือสูตรยางผสมสารเคมีที่พัฒนาขึ้นมีต้นทุนในการผลิตเท่าเดิม จากองค์ความรู้และงานวิจัยที่ สวทช. ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นพัฒนาอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทยได้อย่างยั่งยืนดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
จีโนมข้าว ตัวเร่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย
"จีโนมข้าว" ตัวเร่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทย “ข้าว” เป็นพืชเศรษฐกิจที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมายาวนานในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ ประเพณี วัฒนธรรม ตลอดจนด้านสังคมและการเมืองซึ่งทุกภาคส่วนต่างให้ความสำคัญในการช่วยกันพัฒนา “ข้าวไทย” ให้มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลกการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ แห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มุ่งเน้นในการค้นหายีนและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่ควบคุมลักษณะสำคัญ เพื่อประยุกต์ใช้ในการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ข้าว ซึ่งได้นำความรู้และเทคนิคด้านชีววิทยาโมเลกุลนี้มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว และดำเนินการวิจัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 ภายใต้โครงการความร่วมมือของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ทีมนักวิจัยไบโอเทค สวทช. ได้เข้าร่วม “โครงการวิจัยจีโนมข้าวนานาชาติ” ในปี พ.ศ. 2542 ซึ่งทำงานร่วมกับนานาประเทศในการถอดรหัส จีโนมข้าว โดยนักวิจัยไทยรับหน้าที่ถอดรหัสโครโมโซมที่ 9 ครอบคลุมยีนทนน้ำท่วมฉับพลัน และช่วยนักวิจัยญี่ปุ่นถอดรหัสโครโมโซมที่ 8 ครอบคลุม ยีนความหอมของข้าว ที่ควบคุมการสร้างความหอมแบบข้าวหอมมะลิไทย ในขณะเดียวกันได้มีการจัดทำโครงการวิจัยจีโนมข้าวในประเทศไทยไปพร้อมกันสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล็งเห็นว่าการศึกษาจีโนมข้าวจะเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาข้าวไทยในอนาคต จึงพระราชทานราชทรัพย์ 2 ล้านบาทเพื่อให้ดำเนินโครงการวิจัยต่อไป ต่อมา สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณ ให้กับโครงการอีกรวมเกือบ 50 ล้านบาท ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ร่วมกันจัดตั้งหน่วยปฏิบัติวิจัยค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยมุ่งเน้นการค้นหายีนและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลที่ควบคุมลักษณะสำคัญเพื่อประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ การเข้าร่วมโครงการวิจัยจีโนมข้าวนานาชาติ และดำเนินโครงการจีโนมข้าวไทยในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเพิ่มศักยภาพให้แก่นักวิจัยไทยในการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านจีโนม ซึ่งนำไปสู่การคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นหายีนที่สำคัญในข้าวไทย และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล (Marker Assisted Selection: MAS) ที่ควบคุมลักษณะสำคัญทั้งด้านคุณภาพเมล็ด ความสามารถในการทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น น้ำท่วม ดินเค็ม ทนแล้ง ความสามารถในการต้านทานต่อโรคและแมลง เช่น โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาวองค์ความรู้ดังกล่าวได้ช่วยลดระยะเวลาในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวได้รวดเร็วกว่าวิธีการปรับปรุงพันธุ์ข้าววิธีแบบดั้งเดิม ทำให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะตามต้องการ และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ช่วยแก้ปัญหาหรือลดความสูญเสียจากการระบาดของโรคและแมลงได้ ถือเป็นการนำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับปัญหาทางการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการที่ไบโอเทค สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิจัยปรับปรุงพันธุ์ข้าวเพื่อให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมและต้านทานต่อโรคและแมลงโดยใช้เทคนิคเครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องในระดับห้องปฏิบัติการและโรงเรือน รวมทั้งมีความร่วมมือกับกรมการข้าวในการปลูกทดสอบสายพันธุ์ข้าวที่ได้ปรับปรุงพันธุ์แล้วในสถานีวิจัยของศูนย์วิจัยข้าวต่าง ๆ ของกรมการข้าว และที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ทำให้ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ทั้งนี้ตัวอย่างความสำเร็จของการวิจัยที่มีจุดเริ่มต้นจากเทคโนโลยีจีโนมก็คือการจดสิทธิบัตรยีนความหอม ที่คณะนักวิจัยหน่วยปฏิบัติการวิจัยค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าวได้นำข้อมูลพันธุกรรมข้าวมาสร้างแผนที่โครโมโซมและพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อใช้บอกตำแหน่งของยีนที่มีลักษณะดี โดยพบยีนความหอมของข้าว (Os2AP) ที่ควบคุมการสร้างความหอมแบบข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งได้รับการรับรองการจดสิทธิบัตรคุ้มครองจากสหรัฐอเมริกา (Patent No. US 7,319,181 B2)โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกจากประเทศที่ยื่นขอจดสิทธิบัตรทั้งสิ้น 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลที่สามารถตรวจติดตามยีนความหอม ซึ่งนำไปช่วยคัดเลือกในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น และนำมาซึ่งการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ อย่างเช่นพันธุ์ข้าวหอม “ชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลันและไม่ไวต่อแสง” เป็นการผสมระหว่างพันธุ์ข้าว IR57514 ที่มีคุณสมบัติทนน้ำท่วมฉับพลันกับพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนทนน้ำท่วมและยีนควบคุมคุณภาพหุงต้มในการคัดเลือก ข้าวที่ได้มีกลิ่นหอมแบบข้าวขาวดอกมะลิ 105 สามารถทนน้ำท่วมฉับพลันในทุกระยะการเจริญเติบโต ซึ่งทนอยู่ใต้น้ำโดยไม่ตายได้นาน 2-3 สัปดาห์ ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้ปลูกได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี ให้ผลผลิตเฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ ในสภาพนาปักดำ และมีกลิ่นหอมแบบข้าวขาวดอกมะลิ 105 ส่วนพันธุ์ข้าวเหนียวต้านทานโรคไหม้ “ธัญสิริน” เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวที่ได้จากการผสมระหว่างพันธุ์ข้าวเหนียว กข6 กับ พันธุ์เจ้าหอมนิล ซึ่งมีความต้านทานโรคไหม้โดยใช้เทคนิคเครื่องหมายโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับยีนต้านทานโรคไหม้และคุณภาพหุงต้มในการคัดเลือก คุณสมบัติเด่นคือ การต้านทานโรคไหม้ ลำต้นแข็งทนต่อการหักล้ม เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์ข้าวเหนียว กข6 เดิม พบว่าสามารถลดความเสียหายที่เกิดจากโรคไหม้ในนาข้าวระยะต้นกล้าประมาณ 90% และระยะออกรวงประมาณ 50% ให้ผลผลิตเฉลี่ย 500-600 กิโลกรัมต่อไร่ เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่นาน้ำฝนในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคไหม้ เมื่อนำไปขัดสีเป็นข้าวสารจะได้เมล็ดเต็มสูง และหุงสุกจะเหนียวนุ่มและมีกลิ่นหอม จึงได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค และที่สำคัญได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อพันธุ์ข้าวว่า “ธัญสิริน” เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553 นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาข้าวเหนียวพันธุ์ “กข 6 ต้นเตี้ย ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ข้าวเหนียวที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากพันธุ์ “ธัญสิริน” ให้มีขนาดต้นที่เตี้ยลงและมีความต้านทานต่อโรคเพิ่มมากขึ้น โดยข้าวเหนียวพันธุ์นี้เป็นข้าวนาปีที่มีความไวต่อช่วงแสง สามารถต้านทานต่อโรคไหม้และโรคขอบใบแห้งขนาดลำต้นสูงเฉลี่ย 130 เซนติเมตร จึงเก็บเกี่ยวได้ง่ายด้วยเครื่องจักร ลำต้นมีความแข็งทนทานต่อแรงลม ลดปัญหาการหักล้ม และสามารถแตกกอดี มีผลผลิตข้าวแห้งเฉลี่ย 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ ลักษณะของเมล็ดข้าวเรียวยาวเมื่อนำมาหุงต้ม มีคุณภาพและความเหนียวนุ่มคล้ายพันธุ์ กข6 จากการปลูกทดสอบพันธุ์ ข้าวเหนียวชนิดนี้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับการยอมรับพันธุ์จากเกษตรกร เนื่องจากช่วยให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง ช่วยลดต้นทุนการผลิต และได้ผลผลิตสูงสำหรับข้าวเหนียวพันธุ์ “น่าน 59” พัฒนามาจากข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ต้นเตี้ย ต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง เพื่อให้ต้านทานโรคไหม้กว้างขึ้นและมีความหอม ซึ่งยังคงลักษณะต้นเตี้ยไว้ ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย โดยข้าวพันธุ์น่าน 59สามารถต้านทานโรคไหม้แบบกว้างกับเชื้อทุกกลุ่มในประเทศไทย มีความสูงประมาณ110 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง ไม่หักล้ม ทนทานต่อแรงลม เนื่องจากมีขนาดลำต้นเตี้ยใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวแทนแรงงานคนได้ ให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 600-700กิโลกรัมต่อไร่ หากอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์สามารถให้ผลผลิตสูงกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดข้าวเรียว หลังขัดสีไม่แตกหัก คุณภาพการหุงต้มดี มีความหอม และมีความเหนียวนุ่มคล้ายข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดน่าน ได้ทดลองปลูกและได้ผลผลิตดี ตอบโจทย์สร้างรายได้ให้เกษตรกรและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ชุมชน และล่าสุด ข้าวเหนียวพันธุ์ “หอมนาคา” ข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ที่ไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นโดยนำความเชี่ยวชาญทางด้านจีโนมและเครื่องหมายโมเลกุลมาใช้ในกระบวนการคัดเลือก เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในพื้นที่ที่บริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ “หอมนาคา” นี้สามารถปลูกได้ตลอดปี เหมาะทั้งนาปีและนาปรังเนื่องจากเป็นข้าวที่ไม่ไวแสง มีคุณสมบัติทนต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง และต้านทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง ลำต้นแข็ง ไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง เก็บเกี่ยวได้ง่ายปลูกได้ปีละ 2 ครั้ง ใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 130-140 วัน และให้ผลผลิตสูง ซึ่งผลจากการทดลองปลูกพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิต 800-900 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานมีผลผลิตสูงถึง 700-800 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ข้าวเหนียว "หอมนาคา" ยังมีคุณสมบัติเด่นเรื่องกลิ่นหอมและนุ่มเหนียวเมื่อหุงสุก จากองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการปรับปรุงพันธุ์พืชที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. เป็นเลิศทางด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์แนวอณูวิธี (Molecular breeding) กับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าว” ซึ่งเน้นการพัฒนาสายพันธุ์ตามความต้องการของผู้ผลิต ผู้บริโภค และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังเน้นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอีกด้วยดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็ม Open PDF Open e-Book
30 ปี สวทช.
 
งานวิจัย 30 ปี สวทช.
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
การขับเคลื่อน BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม
แนวทางการขับเคลื่อน BCG Model ของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป้าหมายการขับเคลื่อน 1.สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างงาน และยกระดับรายได้ของประชากร 2.สร้างความมั่นคงทางสังคม สร้างความมั่งคงทางอาหาร สุขภาพ และพลังงานในทุกระดับ เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิต 3.สร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดของเสียและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม 4.ตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs 14 ใน 17 เป้าหมาย (more…)
BCG
 
Critical knowledge (ความรู้ที่สำคัญ) คืออะไร
ความรู้ที่สำคัญคือความรู้ที่มีคุณค่าและยั่งยืน เพียงพอที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการรักษาและถ่ายทอดจากพนักงานไปสู่พนักงานเป็นไปอย่างเหมาะสม ความรู้ที่สำคัญนั้นมีลักษณะแตกต่างกันไปสำหรับทุกองค์กรและนั่นคือเหตุผลใหญ่ว่าทำไมจึงมีความสำคัญ ความรู้ที่สำคัญมักเป็นเรื่องยากหรือไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยการจ้างงาน เป็นความรู้ประเภทหนึ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ในชีวิตจริงในองค์กร คิดว่าความรู้ที่สำคัญคือน้ำมันในเครื่องยนต์ของธุรกิจ ผู้บริหารที่ขับเคลื่อนธุรกิจอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในแต่ละวันและลูกค้าให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกมากกว่า แต่น้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเชื่อถือได้ ถ้าไม่มีน้ำมันแม้สักครู่เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน จะต้องเข้ารับการซ่อมแซมที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน และนั่นคือถ้าโชคดีพอพบปัญหาก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายสายการบินจึงเลิกใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพบางส่วน พนักงานที่เหลือต้องใช้เวลามากขึ้นในการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องบิน สิ่งนี้นำไปสู่ความล่าช้าของเที่ยวบินและการยกเลิก ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าไม่พึงพอใจและต้นทุนต่อที่นั่งของสายการบินเพิ่มขึ้น โชคดีที่สายการบินได้เรียนรู้บทเรียนและเริ่มระบุความรู้ที่สำคัญก่อนที่จะมีการปรับลดพนักงานในรอบถัดไป การระบุความรู้ที่สำคัญไม่ใช่แค่การป้องกันการสูญเสียเท่านั้น เมื่อทราบว่าความรู้ที่สำคัญขององค์กรคืออะไรและอยู่ที่ใด จะสามารถใช้ประโยชน์จากความรู้นั้นได้ดีขึ้น สามารถก้าวไปได้เร็วขึ้นโดยใช้ความรู้ที่สำคัญทันทีที่มีความเกี่ยวข้อง สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า สามารถฝึกอบรมผู้อื่นเกี่ยวกับความรู้ที่สำคัญ ทำให้เพิ่มขีดความสามารถในวันนี้และสร้างความแข็งแกร่งสำหรับวันพรุ่งนี้ อาจสามารถเปลี่ยนความรู้ที่สำคัญให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่ทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่ง ขั้นตอนแรกในการระบุความรู้ที่สำคัญคือการพูดคุยกับผู้นำทางธุรกิจ ความรู้ที่สำคัญนั้นยากที่จะมองเห็นได้จากระยะไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ที่กำลังมองหาสิ่งนี้ขาดความเชี่ยวชาญด้านโดเมน จะต้องเจาะลึกธุรกิจเพื่อให้เห็นภาพว่าความรู้ที่สำคัญอาจอยู่ที่ใด จะทำอย่างไรหากมีคนไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่สำคัญ จะจัดลำดับความสำคัญของความรู้ที่สำคัญที่สุดในการบันทึกและถ่ายโอนอย่างไร จะทำอย่างไรหากผู้คนไม่แน่ใจว่าจะอธิบายหรือบันทึกความรู้ที่สำคัญของตนอย่างไร จะทำให้ความรู้ที่สำคัญให้กับคนที่ใช่ ในรูปแบบที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสมได้อย่างไร คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการและเกิดขึ้นเกือบทุกครั้งที่องค์กรเริ่มมองหาความรู้ที่สำคัญขององค์กร นั่นคือเหตุผลที่ APQC แนะนำการทำแผนที่ความรู้ หลังจากประสบการณ์ 25 ปีใน KM มั่นใจว่าการทำแผนที่ความรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรวบรวมข้อมูลและสร้างความเห็นร่วมกันในสิ่งที่ก่อให้เกิดความรู้ที่สำคัญ โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือแฟนซีมากมายในการทำ สามารถทำงานให้เสร็จได้ด้วยสเปรดชีตง่าย ๆ หากต้องการ แต่จำเป็นต้องมีความรู้เล็กน้อย นั่นคือที่มาของหลักสูตรออนไลน์ใหม่ของ APQC หลักสูตรการทำแผนที่ความรู้ด้วยตนเองของ APQC (http://apqc.thinkific.com/courses/knowledge-mapping) ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้แม้แต่ผู้เริ่มต้นเรียนรู้วิธีสร้างและวิเคราะห์แผนที่ความรู้ จะสร้างทักษะโดยการฝึกฝนขั้นตอนทางยุทธวิธีและเครื่องมือในการกำหนดขอบเขตและทำแผนที่ความรู้, เรียนรู้วิธีระบุและวิเคราะห์ช่องว่างของความรู้ และรู้วิธีใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการทำแผนที่ความรู้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของความรู้ที่สำคัญในและระหว่างกระบวนการทางธุรกิจ ที่มา: Mercy Harper (October 14, 2020). What is Critical Knowledge?. Retrieved May 12, 2021, from https://www.apqc.org/blog/what-critical-knowledge
การจัดการความรู้ (KM)
 
H.E. Mr. Pirkka Tapiola : Ambassador of the European Union to Thailand (EU)
H.E. Mr. Pirkka Tapiola Ambassador of the European Union to Thailand (EU) https://youtu.be/eXKkxjgQHU0 ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ของ สวทช. สหภาพยุโรปและชาติสมาชิกของเราได้ร่วมมือสนับสนุนการทำวิจัย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสมอมา ขอให้ความมั่นใจว่าจะสนับสนุน สวทช. เพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมต่อไป
VDO 30 ปี สวทช.