หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือน มิถุนายน 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือน มิถุนายน 2564 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับขั้นตอนค้นหาและการสมัครทุนวิจัยภายใต้โครงการ Horizon Europe โครงการ Horizon Europe เป็นกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 ที่ครอบคลุมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021-2027 โครงการวิจัยที่มีแหล่งเงินทุนในการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและระดับโลก โครงการ Horizon Europe สร้างจากพื้นฐานความสำเร็จของโครงการร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมฉบับที่ผ่านมาคือ Horizon 2020 ส่งเสริมความต่อเนื่องในการพัฒนาความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ผ่านโครงการวิจัยภายใต้สภาวิจันยุโรป (European Research Council, ERC) และ โครงการ Marie Sktodowsak-Curie action (MCSA) และได้รับประโยชน์ด้านคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ ความช่วยเหลือทางเทคนิค งานวิจัยที่มีคุณค่าจากศูนย์วิจัยร่วม (Joint Research Centre, JRC) และการให้บริการด้านความรู้และวิทยาศาสตร์จากคณะกรรมาธิการยุโรป การสืบค้นหัวข้อโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุน คณะกรรมาธิการยุโรปจะประกาศและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนภายใต้โครงการ Horizon Europe ผ่านทางเว็บพอร์ทัล “Funding & Tenders Portal” โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านลิงค์ https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/programmes/horison การกรองเพื่อหาหัวข้อโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนที่เฉพาะเจาะจง หลังการกดสืบค้นโคงการวิจัยที่เปิดให้ทุนตามความสนใจของนักวิจัยแล้ว ทางเว็บพอร์ทัลจะแสดงรายชื่อโครงการวิจัยที่เปิดเกี่ยวข้อง โดยผู้สืบค้นสามารถกรองรายชื่อโครงการวิจัยได้เพิ่มเติมตามเกณฑ์ที่ต้องการเพื่อที่จะสามารถค้นหาโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น การค้นหาพันธมิตร หลังจากนักวิจัยสืบคืนโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนที่ตรงตามเกณฑ์และความสนใจเรียบร้อยแล้ว แต่ยังขาดพันธมิตรในการร่วมเขียนโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย สามารถค้นหาพันธมิตรได้จาก “Partner Search” https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/how-to-participate/partner-search การสร้างบัญชีผู้ใช้ ในการที่จะสมัครส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย ทางนักวิจัยจำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ใช้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะดูได้แค่ข้อมูลทั่วไปของโครงการแต่ไม่สามารถทำการส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัยในส่วนของ “Start submission” ได้ โดยนักวิจัยสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้ได้ที่ https://webgate.ec.europa.eu/cas/eim/external/register.cgi การลงทะเบียนหน่วยงาน ในการที่จะจัดตั้งคณะทำงาน (consortium) ประกอบไปด้วยหลายพันธมิตร เพื่อสมัครส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย ในแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรจำเป็นต้องมีรหัสประจำตัวที่ออกโดยคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเรียกว่า “รหัสประจำตัวของหน่วยงาน (Participant Identification Code, PIC)” ซึ่งเป็นรหัสเลข 9 หลักที่หน่วยงานจำเป็นต้องใช้ในการลงทะเบียนในกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพหน่วยงานเพื่อขอรีบเลข PIC จากคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ที่ https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/how-to-participate/participant-register การส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย เมื่อคณะทำงาน (consortium) ได้เตรียมโครงร่างข้อเสนอโครการวิจัย เรียบร้อยขั้นตอนสุดท้ายคือ การส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย โดยผู้สมัครสามารถกดเข้าไปในโครงการวิจัยที่ต้องการสมัคร จากนั้นจะเห็นในส่วนของ “Start submission” จากนั้นกด Start submission และทางระบบจะให้ผู้สมัครลงบัญชีเข้าใช้ตามชื่อบัญชีและรหัสผ่านที่ผู้สมัครได้สร้างไว้ขั้นตอนที่ 4 รัฐสภายุโรปรับร่างกฎหมายสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) เพิ่มเป้าหมายของสหภาพยุโรปในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากร้อยละ 40 เป็นอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Sink มีการปรับปรุงกฎระเบียบการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และป่าไม้ (land use, land-use change and forestry, LULUCF เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023 และทุก ๆ 5 ปีหลังจากนั้น จะประเมินความสอดคล้องในมาตรการต่อเป้าหมายความเป็นกลางด้านสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 – 2050 จัดทำร่างแผนและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับปี ค.ศ. 2040 ภายใน 6 เดือนหลังจากมีการจัดทำการประเมินผลความก้าวหน้า พร้อมทั้งกำหนดเพดานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหภาพยุโรปจนถึงปี ค.ศ. 2050 สหภาพยุโรปจะจัดสรรร้อยละ 30 ของงบประมาณสำหรับปี ค.ศ. 2021 – 2027 ให้กับโครงการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050   ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย การประกาศใช้กฎหมาย European Climate Law ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมของกระบวนการผลิตสินค้า การลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อป้องกันสารตกค้างในผลผลิต และการผลักดันและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทดแทนสารเคมี นอกจากนี้ประเทศไทยจะต้องแบกรับภาระเกี่ยวกับการเก็บภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน ซึ่งจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมการรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการกำหนดนโยบายของประเทศ ในทางกลับกันประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์ในการร่างมาตรการและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ของไทย หรือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยด้านพลังงานสะอาด เช่น การส่งเสริมการลงทุนในระบบรางเพื่อกระตุ้นการเดินทางโดยรถไฟ หรือ การส่งเสริมระบบการผลิตแบบยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ โครงการร่วมทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในภูมิภาคยุโรป ประจำปี 2564 โครงการร่วมทุนเพื่อการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในภูมิภาคยุโรป (Southeast Asia-Europe Joint Funding Scheme on Research and Innovation, JFS) ได้ประกาศให้ทุนและรับสมัครโครงร่างการวิจัยประจำปี 2564 เป็นการประกาศให้ทุนครั้งที่ 7 ก่อนหน้านี้มีการมอบทุนวิจัยในหัวข้อ เช่น โรคติดเชื้อ การดื้อยาของเชื้อจุลินทรีย์ เมืองอัจฉริยะ การจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ที่มาของโครงการ JFS โครงการ SEA-EU-NET เป็น โครงการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างภูมิภาคอาเซียนและยุโรป จัดตั้งโครงการร่วมทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน โครงการ SEA-EU-NET มีความคิดริเริ่มจัดตั้งโครงการร่วมทุน (joint funding scheme) ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศในสหภาพยุโรปเพื่อกระตุ้นความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดมากขึ้น ทุนนี้จะได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากกระทรวงที่ดำเนินงานด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ให้ทุนวิจัยจากทั้งสองภูมิภาค โครงการร่วมทุนนี้จะช่วยด้านความสัมพันธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองภูมิภาค รวมถึงโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติ เช่น โครงการภายใต้กรอบโครงการ Horizon 2020 และ Horizon Europe การกำกับดูแลของโครงการร่วมทุน JFS) โครงสร้างของการจัดการโครงการร่วมทุน (JFS) แบ่งได้ดังนี้ - คณะกรรมการบริหาร (Governing board) ได้แก่ ตัวแทนจากองค์กรต่าง ๆ ที่ร่วมให้ทุน - สภาวิทยาศาสตร์ (Scientific council) ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหัวข้อโครงการวิจัย และทำหน้าที่ประเมินผลของโครงการวิจัยที่สมัครเพื่อขอรับทุน - สำนักเลขาธิการ (Secretariat) ดำเนินงานเปิดรับสมัครโครงร่างงานวิจัย และดำเนินการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โครงการ FFS ประจำปี ค.ศ.2021 โครงการนี้เป็นโครงการย่อยภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 หรือ Horizon Europe โดยหน่วยงานจากประเทศไทยมีสิทธิ์ในการสมัครขอรับทุนเนื่องจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และสร้างนวัตกรรมภายใต้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หัวข้อโครงการวิจัย 1.การผลิตอาหารอย่างยั่งยืน 2.การรับมือและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210712151131-pdf.pdf                  
นานาสาระน่ารู้
 
ไขเคล็ดลับ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’ คว้าแชมป์ ‘AHiS’ ปลูกโหระพาบนโลกเทียบผลกับบนอวกาศ
  ไม่บ่อยครั้งที่เด็กและเยาวชนไทยจะได้ทำการทดลองบนโลกคู่ขนานกับการทดลองบนอวกาศ แต่ในที่สุดโอกาสดีๆ ก็มาถึงแล้ว เมื่อสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตรจัดโครงการ Asian Herb in Space หรือ AHiS ขึ้นเมื่อต้นปี 2564 เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยกว่า 300 ทีมทั่วประเทศได้ทดลองปลูกโหระพา ราชาพืชสมุนไพรบนโลก เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบผลกับที่นักบินอวกาศปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)     กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการ Asian Herb in Space เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอวกาศ ในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะเรื่องสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Microgravity) ซึ่งความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากระบวนการผลิตอาหารต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการที่เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้าน STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) ผ่านการลงมือเรียนรู้ด้วยตนเอง (Project-based learning) อีกด้วย “เด็กและเยาวชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการ AHiS จะได้รับชุดอุปกรณ์สำหรับทำการทดลองปลูกต้นโหระพา 2 โครงงาน โครงงานแรกเป็นการทดลองปลูกต้นโหระพาเป็นระยะเวลา 30 วัน ด้วยปัจจัยควบคุมที่เหมือนกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการ ทั้งเมล็ด ภาชนะเพาะปลูก วัสดุเพาะปลูก ปุ๋ย อุณหภูมิ และความชื้น ฯลฯ เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าการปลูกโหระพาบนโลกกับบนสถานีอวกาศที่มีระดับแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตอย่างไรบ้าง ส่วนโครงงานที่ 2 เป็นโครงงานอิสระ ผู้สมัครสามารถเลือกว่าจะทำโครงงานนี้หรือไม่ก็ได้ โดยมีโจทย์คือให้ตั้งตัวแปรควบคุมที่คาดว่าจะมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นโหระพาเพิ่มเติม แล้วทำการทดลองอีก 1 การทดลอง เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกับโครงงานที่ 1 จากนั้นหลังจากสิ้นสุดการทดลองเป็นระยะเวลา 30 วัน ให้ทุกทีมที่สมัครเข้าร่วมส่งสรุปการทดลองมายังโครงการฯ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาสรุปการทดลองของแต่ละทีม แล้วคัดเลือกผู้ชนะที่มีกระบวนการการทดลองเป็นระบบ มีความถูกต้องตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และมีการรายงานผลการทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ชนะ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการ AHiS ได้ประกาศผลทีมผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ ทีม AHiS034 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย”   AHiS034 ใช้ “ทรัพยากรที่มี”​ เป็นตัวแปรควบคุม เยาวชนทีม AHiS034 ประกอบด้วยเด็กชายปัณณทัต อรุณพัลลภ (เหว่ยซัน) เด็กชายปฐวี จารุกิจขจร (ต้าเหว่ย) และเด็กชายธชย จารุวิศิษฏ์ (คิริน) พวกเขาเริ่มต้นลงชื่อเข้าโครงการ AHiS ตั้งแต่ต้นปี 2564 ตอนที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบหมาดๆ ก่อนจะใช้ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่มีวางแผนการทดลองอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้     ปัณณทัตเล่าถึงเหตุผลที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ว่า ตนเองและเพื่อนอีก 2 คน ต่างมีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมุมที่ต่างกัน แต่ความสนใจเหล่านั้นบังเอิญมาตรงกับโจทย์การทดลองของโครงการนี้พอดี ทั้งเรื่องพฤกษศาสตร์ ชีววิทยา และอวกาศ จึงเป็นเหตุผลให้ได้มารวมตัวกันสมัครเข้าการแข่งขันนี้ และได้ขอให้ครูที่โรงเรียนช่วยเป็นที่ปรึกษาประจำทีมให้ “ในการแข่งขันโครงการนี้ มีโจทย์การทดลองเป็น 2 โครงงาน คือ การปลูกโหระพาในปัจจัยควบคุมที่คล้ายกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการแตกต่างกันที่ระดับแรงโน้มถ่วง และอีกโครงงานเป็นโครงงานอิสระ ให้แต่ละทีมออกแบบตัวแปรควบคุมในการปลูกต้นโหระพาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่ออัตราการเจริญเติบโต ซึ่งจากการตัดสินใจร่วมกันในทีมได้ข้อสรุปว่า ‘จะทำการทดลองทั้ง 2 โครงงาน เพื่อให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น’ จากการศึกษาคู่มือหลายครั้งและศึกษาเกี่ยวกับต้นโหระพาอย่างละเอียดตามคำแนะนำของครูที่ปรึกษา จึงทำให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญว่า ‘ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นโหระพา’ กับ ‘สภาพแวดล้อมบนสถานีอวกาศ’ มีจุดที่เชื่อมโยงกันคือ ‘ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)’ เพราะโหระพาเป็นพืชในกลุ่ม C3[1] ที่ต้องได้รับปริมาณ CO2 มากพอจึงจะสามารถสังเคราะห์อาหารได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่บนสถานีอวกาศมีปริมาณ CO2  มากกว่าสภาพแวดล้อมปกติบนโลกถึง 10 เท่า (อ้างอิงจากคู่มือประกอบการทดลองของทาง JAXA) ทีมจึงตัดสินใจใช้ CO2  เป็นตัวแปรควบคุมในการทำโครงงานที่สอง เพื่อศึกษาว่าหากต้นโหระพาที่ปลูกบนโลกได้รับ CO2 ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตที่มากขึ้นหรือไม่” (more…)
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ตอนที่ 13 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/3Fa1UNP5Ro0 เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา ดร.กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ ดร.คทา จารุวงศ์รังสี และคณะ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย และ ดร.จิตติมา พิริยะพงศา
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 12 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=Mu1La0KaNDs เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล คุณอวิรุทธิ์ ศรีสุวรรณ และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.วีรวัฒน์ รังกุพันธุ์ และคณะ ดร.วิรัลดา ภูตะคาม และคณะ และ ดร.ชัยรัตน์ อุทัยพิบูลย์ และคณะ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
สวทช. ส่งมอบนวัตกรรมสนับสนุนการปฏิบัติงานบุคลากรทางการแพทย์
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดโควิด-19 มีหลากหลายนวัตกรรมจากนักวิจัย สวทช. ที่ได้คิดค้นและพัฒนาเพื่อส่งมอบสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดย สวทช. จะเดินหน้าใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ต่อไป พวกเราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับบุคลากรด่านหน้าและเบื้องหลังทุกท่านในความทุ่มเท เสียสละปฎิบัติหน้าที่ป้องกันและรักษาทุกชีวิตมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน https://www.youtube.com/watch?v=vBV2inZzVL8  
คลัง VDO
 
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
 
โรคไข้หูดับ ภัยเงียบที่ควรจับตามอง
  “โรคไข้หูดับ” คือ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) จากหมู ความรุนแรงของโรคไม่เพียงสามารถทำให้ผู้ป่วยมีอาการหูหนวกถาวรแต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยทั่วไปโรคไข้หูดับมักพบในประเทศที่มีการทำฟาร์มหมูหนาแน่นและมีความนิยมในการบริโภคเนื้อหมู เช่น ประเทศในแถบทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในไทยมีอัตราการติดเชื้อที่ไม่สูงนักจึงทำให้โรคนี้เป็นโรคติดเชื้อที่ถูกเพิกเฉย (Neglected zoonosis disease) และทำให้พิษภัยของโรคขยายตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ทั้งด้านอัตราการติดเชื้อ การระบาดของโรค และภาวะเชื้อดื้อต่อยาต้านจุลชีพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข การเกษตร และการส่งออกเนื้อหมูของไทย ดร.สุกัญญา ยงเกียรติตระกูล นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการค้นหาสารชีวภาพ  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ทำวิจัยเรื่องเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ในประเทศไทย อธิบายว่า ในไทยพบพฤติการณ์ของการติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ส่วนใหญ่ผูกโยงกับวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อและเลือดหมูดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือไม่สุกดี เช่น การบริโภคลาบหมูดิบ หลู้ ก้อย และหมูกระทะ โดยจะพบอัตราการติดเชื้อสูงในช่วงเทศกาลที่ผู้คนเฉลิมฉลองหรือมีกิจกรรมบันเทิงร่วมกัน เช่น เทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ และในช่วงออกพรรษา นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือทางเยื่อบุตาในกลุ่มผู้ที่มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับหมูป่วย เช่น เกษตรกรในฟาร์ม หรือผู้ที่ทำงานในโรงเชือด   [caption id="attachment_27495" align="aligncenter" width="700"] ลาบดิบ[/caption]   [caption id="attachment_27491" align="aligncenter" width="700"] หลู้[/caption]   [caption id="attachment_27496" align="aligncenter" width="700"] หมูกระทะ[/caption]   “อาการและความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับ สายพันธุ์ของเชื้อ และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย จากรายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่เป็นไข้ หนาวสั่น หอบเหนื่อย คลื่นเหียน ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด หรือหากไม่เสียชีวิตผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาหายแล้ว ส่วนใหญ่มักพบความผิดปกติตามมาในภายหลัง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียการทรงตัว และสูญเสียการได้ยินจนถึงขั้นหูหนวกหรือที่เรียกกันว่า “หูดับ” ในประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อประมาณ 200-350 คนต่อปี มีอัตราการเสียชีวิตสูงประมาณร้อยละ 5-10 โดยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง และเนื่องจากการตรวจหาเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส และการตรวจหาสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรครุนแรงทำได้ยาก ส่วนใหญ่ไม่สามารถดำเนินการในสถานพยาบาลขนาดเล็กได้ ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีการรายงานไว้จึงอาจต่ำกว่าความเป็นจริง”     เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะพุ่งสูง กระทบสาธารณสุขและเศรษฐกิจไทย นอกจากวัฒนธรรมการกินอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบของคนไทยที่เป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และอาจเป็นอันตรายอย่างมากในอนาคตคือ “เชื้อมีอัตราการดื้อต่อยาปฏิชีวนะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”​ การศึกษาระบาดวิทยาทำให้พบว่าเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส มีอัตราการดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มยาที่นิยมใช้รักษาในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยตรวจพบเชื้อดื้อยาทั้งในหมูป่วยและหมูปกติที่ยังไม่เป็นโรค     ดร.สุกัญญา กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ปริมาณเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด คือการขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาและป้องกันโรค มีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในหมูแทนการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ มีการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม รวมถึงมีการใช้ปริมาณยาที่มากเกินพอดี เชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียทั่วไปที่อาศัยอยู่ในหมูจึงเกิดวิวัฒนาการเป็นเชื้อที่ดื้อต่อยา ทำให้ยาที่เคยใช้รักษาอยู่เดิมมีประสิทธิภาพในการรักษาลดลง หรือไม่สามารถใช้รักษาได้ต่อไป ส่งผลให้ในอนาคตจะมีทางเลือกในการใช้ยาปฏิชีวนะลดน้อยลง ทั้งนี้การดื้อต่อยาไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอื่นๆ ทั้งในหมูและสัตว์เศรษฐกิจชนิดอื่น   “การพบยาปฏิชีวนะหรือการพบเชื้อดื้อยาตกค้างในเนื้อหมู ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในไทย แต่ยังเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะตั้งแต่ปี 2559 องค์กรด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เช่น องค์กรอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และสหภาพยุโรป (EU) ต่างออกมาเรียกร้องให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญและปัญหา “เชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial resistance หรือ AMR)” ที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก การที่เชื้อดื้อต่อยาปฏิชีวนะ (Superbug) ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการรักษานานขึ้นด้วย จำเป็นต้องเพิ่มความแรงและปริมาณของตัวยาในการรักษา มีอัตราการเสียชีวิตมากขึ้น รวมถึงมีค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น นอกจากนั้นทางด้านภาคการวิจัยยังต้องเร่งศึกษาและพัฒนากระบวนการตรวจและรักษา รวมถึงเร่งค้นคว้าพัฒนายาใหม่เพื่อให้ทันต่อการวิวัฒนาการของเชื้อดื้อยาที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ ปัจจุบันในหลายประเทศที่เป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ จึงได้มีการออกระเบียบและข้อบังคับเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และมีข้อกำหนดในการห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์ที่ตรวจพบเชื้อดื้อยาหรือยาปฏิชีวนะตกค้าง ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกเนื้อสัตว์ของไทยในอนาคต” ดร.สุกัญญา เสริมว่า เพื่อแสดงถึงความร่วมมือกับนานาประเทศในการแก้ปัญหา AMR ที่กำลังเป็นวิกฤตในปัจจุบัน และยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ภาครัฐและหน่วยงานวิจัยของไทยควรเร่งพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหาให้แก่ภาคการเกษตรอย่างจริงจังและยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และยังเป็นการหนุนเสริมการสร้างความยั่งยืนทางด้านอาหารในประเทศอีกด้วย   เร่งวิจัยล่วงหน้า เตรียมรับมือวิกฤติการณ์จากเชื้อก่อโรค การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือวิกฤติการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพื่อชะลอหรือยับยั้งการเกิดปัญหาดังกล่าว ภาคการวิจัยควรเร่งวิจัยให้มีฐานข้อมูล องค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่มากพอ     ดร.สุกัญญา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยไบโอเทคได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส โดยร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ University of Arkansas for Medical Sciences และได้มีการตีพิมพ์ผลงานในระดับนานาชาติแล้วในหลายประเด็น เช่น 1) งานวิจัยที่แสดงถึงการระบาดของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ที่มีซีโรไทป์ (Serotype) และชนิดของลำดับดีเอ็นเอ (Sequence type) ชนิดต่างๆ ในไทย รวมถึงได้แสดงให้เห็นถึงการแพร่เชื้อ (Transmission) ที่เกิดขึ้นระหว่างคนและหมู 2) การศึกษาวิจัยโปรตีนที่เป็นปัจจัยกระตุ้นความรุนแรงของโรค ซึ่งสามารถใช้เป็นเป้าหมายเพื่อค้นคว้าและพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค 3) งานวิจัยด้านระบาดวิทยาของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ดื้อยาปฏิชีวนะที่พบในไทย 4) งานวิจัยที่แสดงถึงความสัมพันธ์ในระดับจีโนมของเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ที่พบในไทยกับที่พบในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก “นอกจากนี้ทีมวิจัยไบโอเทคยังได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการติดตามการระบาดของเชื้อดื้อยาที่คัดแยกจากกลุ่มประชากรหมูป่วยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี และได้ทำการถอดรหัสจีโนมของเชื้อดื้อยาทั้งหมด ข้อมูลจากการศึกษาทำให้ทราบระบาดวิทยาของเชื้อดื้อยาในเชิงลึก และค้นพบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สามารถนำมาใช้เพื่อการออกแบบและพัฒนาการตรวจเชื้อที่แม่นยำและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ข้อมูลจากการศึกษาได้ถูกรวบรวมและเตรียมเผยแพร่ในบทความวิชาการระดับนานาชาติแล้ว นอกจากตัวอย่างการศึกษาข้างต้น ปัจจุบันทีมวิจัยยังได้มีความร่วมมือกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลในการถอดรหัสจีโนมอย่างสมบูรณ์ของเชื้อดื้อยาที่พบเฉพาะในประเทศไทย เพื่อค้นหาปัจจัยและกลไกการดื้อยา ซึ่งนับเป็นข้อมูลสำคัญและจำเป็นต่องานวิจัยด้านการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค รวมถึงการวางแนวทางเพื่อการป้องกันการดื้อยาในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” ดร.สุกัญญา ทิ้งท้ายว่า “โรคไข้หูดับ” เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยในทุกปี แม้โรคติดเชื้อจากแบคทีเรียจะเป็นโรคที่มนุษย์สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ เพียงทุกภาคส่วนตระหนักถึงภาพรวมปัญหาที่เกิดขึ้นและให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนแก้ไขอย่างจริงจัง ภาครัฐควรร่วมมือกับเอกชนในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดงานวิจัยโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คนอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง การทำวิจัยเชิงลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับเชื้อจำเพาะถิ่น และการสร้างเครือข่ายงานวิจัยด้านโรคติดเชื้อที่ครอบคลุมถึงด้านระบาดวิทยา เพื่อส่งเสริมให้ไทยมีศักยภาพในการวิจัยเพื่อลดผลกระทบปัญหาจากโรคติดเชื้อและปัญหา AMR ในภาคสาธารณสุขและภาคการส่งออกของประเทศได้อย่างทันท่วงทีและยั่งยืนต่อไป     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 5 เดือน พฤษภาคม 2564 การประชุม Thailand and Sweden Sustainable Development Forum 2021 “From Green and Inclusive Development to Business Opportunities”           ดร.มาณพ สิทธิเดช อัครราชทูตที่ปรึกษา สำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เช้าร่วมการประชุม Thailand and Sweden Sustainable Development Forum 2021 “From Green and Inclusive Development to Business Opportunities” เมื่อวันที่ 17-19 พฤษภาคม 2564 ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงสตอกโฮล์ม มหาวิทยาลัยการเกษตรแห่งสวีเดน (Swedish University of Agricultural Science: SLU) กรมป่าไม้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย           การประชุมเชิงปฏิบัติการใน 3 หัวข้อหลัก           การประชุมแบ่งเป็นกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ 3 หัวข้อดังนี้ เมืองอัจฉริยะยั่งยืน (Sustainable Smart Cities for All) การนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มาช่วยในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมือง การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเอกชนในการออกแบบเมือง ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูลและศึกษาของประชาชน การออกแบบเมืองสำหรับผู้พิการ แนวทางการจัดการขยะ และแนวทางการบริหารจัดการงบประมาณ ป่าไม้ยั่งยืนเพื่อประชาชน: โอกาสทางเศรษฐกิจและประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainable Forestry for the People) การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาสิ่งแวดล้อมกับการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจของป่าไม้ การเปรียบเทียบนโยบายป่าไม้ไทยกับสวีเดน แนวทางการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้โดยอาศัยคนในชุมชน และการให้คนในชุมชนได้รับประโยชน์จากป่าไม้บทบาทของภาคธุรกิจต่อการป่าไม้ที่ยั่งยืน การเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรป่าไม้ในท้องถิ่น การพัฒนามาตรฐานไม้ รวมทั้งโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือด้านป่าไม้ระหว่างไทยกับสวีเดน ระบบนิเวศเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและวิสาหกิจเริ่มต้นที่ยั่งยืน (Innovation Ecosystem for Sustainable Development: Grooming Startups and Unicorns) การแลกเปลี่ยนข้อมูลระบบนิเวศด้านนวัตกรรมและวิสาหกิจเริ่มต้นของสองประเทศ การให้ข้อมูลการสร้างระบบที่ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ แนวทางการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น การนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เข้ามาอยู่ในระบบนิเวศด้านนวัตกรรมและวิสาหกิจเริ่มต้น ประเด็นการจัดทำกฎหมายใหม่ของสวีเดนจะช่วยส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมแนวทางการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่และนักลงทุนกับเทคโนโลยี และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน           การบรรยายและให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ Horizon Europe ในโอกาสนี้ ดร.มาณพ สิทธิเดช ได้แนะนำให้ทราบถึงภารกิจของสำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ภารกิจคือ การสร้างความร่วมมือด้านวิจัยและนวัตกรรมระหว่างประเทศไทยและยุโรป โดยเฉพาะกับคณะกรรมาธิการยุโรปด้านการวิจัยและนวัตกรรม (DG Research & Innovation) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 ที่มีชื่อว่า Horizon Europe (2021-2027) ในภาพรวมซึ่งประกอบด้วย 3 Pillar หลัก ดังนี้           Pillar 1: ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ (Excellent Science) การทำงานในด้าน Excellent Science มีเป้าหมายเพื่อการส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ การสร้างและกระจายความรู้ ทักษะ เทคโนโลยี และแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ ๆ การเข้าถึงและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยชั้นนำระดับโลก และส่งเสริมการฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนนักวิจัยเพื่อเพิ่มความน่าดึงดูด ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ต่อไปนี้ สภาวิจัยยุโรป (European Research Council, ERC): สภาวิจัยยุโรปเป็นองค์กรแรกในยุโรปที่ให้ทุนด้านการวิจัยแก่นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการทั่วโลก โดยทุนจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร ค่าทำวิจัย ค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ การทำวิจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการวิจัยชั้นแนวหน้า (Frontier Research) ซึ่งส่วนมากเป็นการวิจัยขั้นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การวิจัยเชิงประยุกต์ในสาขาใหม่ ๆ โครงการ Marie Sktodowska-Curie actions (MSCA): โดยโครงการ MSCA มุ่งเน้นเปิดรับใบสมัครจากนักวิจัยทั่วโลกได้มีโอกาสทำวิจัยร่วมกันโดยเฉพาะในหน่วยงานของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป เป้าหมายหลักคือ ต้องการส่งเสริมการพัฒนาทางอาชีพและการให้การอบรมแก่นักวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์ทุกสาขาผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยระหว่างประเทศในระดับนานาชาติ และระหว่างสาขาต่าง ๆ กัน โครงการ MSCA เปิดให้ทุนแก่งานวิจัยในทุกสาขาตั้งแต่การวิจัยขั้นพื้นฐานไปถึงงานนวัตกรรมบริการ โครงการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานการวิจัย (Research Infrastructures actions): โครงการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานการวิจัย มีเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาการบริการ ความรู้ และเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อใช้สำหรับการวิจัยในยุโรป โดยนักวิจัยจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมภายใต้โครงสร้างพื้นฐานการวิจัยของยุโรปรวมถึงการเข้าถึงระบบการคำนวณประสิทธิภาพสูง (high performance computing, HPC)           Pillar 2: ความท้าทายระดับโลกและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในยุโรป (Global Challenges and European Industrial Competitiveness) การทำงานด้าน Global Challenges and European Industrial Competitiveness เน้นการสนับสนุนการวิจัย โดยมีการกำหนดพันธกิจหลักเพื่อมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาและความท้าทายทางสังคม 5 ด้านได้แก่ 1) การปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ 2) โรคมะเร็ง 3) ทะเลและแหล่งน้ำสะอาด 4) เมืองอัจฉริยะและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และ 5) สุขภาพอาหารและดิน และมีการจัดแบ่งโครงการวิจัยเพื่อให้ทุนออกเป็น 6 คลัสเตอร์ ได้แก่ 1) สุขภาพ 2) วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการมีส่วนร่วมของสังคม 3) ความมั่นคงของพลเมืองเพื่อสังคม 4) ดิจิทัลอุตสาหกรรม และอวกาศ 5) สภาพภูมิอากาศ พลังงานและการ โดยดร.มาณพ สิทธิเดช ได้เน้นการให้ข้อมูลของคลัสเตอร์ 4) ดิจิทัล อุตสาหกรรม และอวกาศ และ คลัสเตอร์ 5) สภาพภูมิอากาศ พลังงาน และการขนส่ง พร้อมทั้งข้อมูลคลัสเตอร์ 6) อาหาร เศรษฐกิจชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้มูลใน 3 คลัสเตอร์ดังกล่าวสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ คลัสเตอร์: ดิจิทัล อุตสาหกรรม และอวกาศ คลัสเตอร์นี้มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างของอุตสาหกรรมยยุโรปให้เป็นดิจิทัล เพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม และรักษาความเป็นอิสระและอำนาจอธิปไตยในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้จะผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมหมุนเวียนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ และจัดการการพึ่งพาเทคโนโลยีและทรัพยากรจากประเทศอื่น ๆ และความขาดแคลนทางพลังงาน คลัสเตอร์: สภาพภูมิอากาศ พลังงาน และการขนส่ง คลัสเตอร์นี้มีวัตถุประสงค์ในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในขณะที่ยังรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสากรรมพลังงานและอุตสาหกรรมขนส่งของยุโรปได้ โดยคณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดเป้าหมายความเป็นกลางต่อสภาพภูมิอากาศ หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050 เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ข้อตกลง (Paris Agreement) เพื่อรักษาอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และความพยายามที่จะให้อุณหภูมิที่จะให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โครงการวิจัยจะสนับสนุนต้องศึกษาถึงสาเหตุ วิวัฒนาการ ความเสี่ยง ผลกระทบ และโอกาสที่เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแต่ละประเภทไว้ รวมถึงการพัฒนาระบบพลังงานและระบบขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศอัจฉริยะ ปลอดภัย ยืดหยุ่น แข่งขันได้ มีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น คลัสเตอร์: อาหาร เศรษฐกิจชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม คลัสเตอร์นี้มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำ และดิน ด้วยเหตุนี้จึงจะมุ่งส่งเสริมโครงการวิจัยในประเด็นต่อไปนี้ การผลิตขั้นปฐมภูมิอย่างยั่งยืน (เกษตรกรรม ป่าไม้ การประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ) ห่วงโซ่มูลค่า ระบบอาหาร อุตสาหกรรมชีวพื้นฐาน การรับมือและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การแก้ปัญหาจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และมลพิษ           Pillar 3: นวัตกรรมแห่งยุโรป (Innovative Europe) 1.EIC Pathfinder: ทุนวิจัยและนวัตกรรมที่เน้นการวิจัยเพื่อพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีโอกาสต่อยอดในอนาคตไปใช้ได้จริงในตลาด การสมัครขอรับทุนในหมวดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเปิด (Open calls) ที่ไม่ได้กำหนดหัวข้อชองการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำหรับหัวข้อท้าทายที่กำหนดไว้ ประกอบด้วย ปัญญาประดิษฐ์ การตรวจวัดคลื่นสมอง การรักษาและบำบัดด้วยเซลล์และยีน พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว และการพัฒนาวัสดุเนื้อแข็งที่สร้างจาวัตถุดิบธรรมชาติ 2.EIC Transition: เป็นทุนที่สนับสนุนการนำผลงานวิจัยนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมออกสู่ท้องตลาด การให้ทุนเน้นโครงการที่นำผลงานวิจัยจากโครงการนำร่องของ EIC Pathfinder และโครงการวิจัยที่ผ่านการประเมินจากสภาวิจัยยุโรป ไปต่อยอดสร้างเป็นธุรกิจ 3.EIC Accelerator: เป็นทุนสนับสนุนการลงทุนของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และวิสาหกิจเริ่มต้น ในการนำนวัตกรรมที่บริษัทตนเองพัฒนาสู่ตลาดแล้วไปขยายผลสู่ตลาดใหม่ ๆ ได้แก่ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสีเขียวและดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ Sciences to Society ศาสตร์สู่สังคม การประชุมวิชาการของนักเรียนไทยในทวีปยุโรปครั้งที่ 10 (The 10th Thai Student Academic Conference, TSAC 2021) 8-9 พฤษภาคม 2564           ที่มาของงานประชุม เมื่อวันที่ 8-9 พฤษภาคม 2564 ดร.มาณพ สิทธิเดช ได้เข้าร่วมการประชุมวิชาการของนักเรียนไทยในทวีปยุโรปครั้งที่ 10 (The 10th Thai Student Academic Conference) หรือ TSAC 2021 ซึ่งจัดโดยภาคีเครือข่ายองค์การนักเรียนไทยในทวีปยุโรป เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มนักเรียนไทยในทวีปยุโรป ประกอบด้วย - สมาคมนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศสในพระบรมราชูปถัมภ์ - สมาคมนักเรียนไทยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในพระบรมราชูปถัมภ์ - สมาคมนักเรียนไทยในราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ - สมาคมนักเรียนไทยในสมาพันธรัฐสวิส - กลุ่มนักเรียนไทยในราชอาณาจักรเบลเยียม เป้าหมาย เพื่อเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการวิจัยและองค์ความรู้ของนักเรียนไทยที่กำลังศึกษาอยู่ในทวีปยุโรป นอกจากนี้ เพื่อสร้างเครือข่ายทางวิชาการที่เข้มแข็งในหมู่นักวิชาการรุ่นใหม่ ที่มุ่งมั่นสรรค์สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่ออนาคต โดยมีผู้สนใจและเข้าร่วมงานทั้งหมด 78 คน           แนวคิดของการจัดงาน TSAC 2021 งานประชุมวิชาการฯ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Sciences to society - ศาสตร์สู่สังคม” เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ปัจจัยสำคัญที่ประชาคมโลกต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวผ่านความท้าทาย โดยสรุปวัตถุประสงค์การจัดงานสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ข้อดังนี้ - เพื่อให้นักเรียนไทยในทวีปยุโรปตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในฐานะนักเรียนต่อสังคมไทย และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ประชาคมโลก - เพื่อสนับสนุนความสำเร็จทางวิชาการของนักเรียนไทยในทวีปยุโรป - เพื่อส่งเสริมเครือข่ายทางวิชาการระหว่างนักเรียนที่มีความแตกต่างกันในด้านความสามารถทางวิชาการและภูมิหลังทางสังคม รวมทั้งกับหน่วยงานราชการและภาคเอกชน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมไทยในอนาคต และ - เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความสามารถทางการวิจัยให้สอดคล้องกับปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งจะเพิ่มในโอกาสและความก้าวหน้าของประเทศไทย           การมีส่วนร่วมในการจัดงาน TSAC 2021 ของสำนักงานที่ปรึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ยุโรปเป็นผู้นำในการส่งเสริมการขับเคลื่อนทั้งด้านการวิจัย การรังสรรค์นวัตกรรม และนโยบายในการจัดการกับความท้าทายของโลก โดยประเทศที่เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในยุโรป ได้แก่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ยุโรปมีจุดเด่นด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เช่น ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีการพัฒนาสัญญาณ Wifi ครั้งแรกของโลก เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเกษตร และมีระบบ urban water systems เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม ในขณะที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีความโดดเด่นด้านอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์และเครื่องมือแพทย์ และเป็นแหล่งกำเนิดแนวคิด industry 4.0 สาธารณรัฐฝรั่งเศส มีศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (CNRS) เป็นที่ตั้งของบริษัทระดับโลกด้านผลิตและประกอบเครื่องบินบริษัท Airbus สมาพันธรัฐสวิส มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานและการแพทย์ เป็นที่ตั้งของสถาบัน CERN เป็นต้นกำเนิดของ world wide web (www) ราชอาณาจักรเบลเยียม มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรม เป็นแหล่งผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท Pfizer&Biontech Johnson & Johnson และ AstraZeneca อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210617150333-pdf.pdf            
นานาสาระน่ารู้
 
ตอนที่ 11 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=r5UI4vZcIzUเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.อภิชาติ อินทรพานิชย์ และคณะ ดร.พศิน อิศรเสนา ณ อยุธยา และคณะ ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล และคณะ ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรหม และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล และคณะ  และ ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ThaiSC บริการ Supercomputer ผลักดันวิจัยเชิงลึก หนุนแก้ปัญหาวิกฤตประเทศ
  ปัจจุบันโลกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาล องค์กรชั้นนำทั่วโลกต่างใช้เทคโนโลยีคำนวณในการวิเคราะห์ข้อมูลและจำลองแบบเพื่อการวิจัยและพัฒนางานที่มีความท้าทายสูง เพื่อทลายขีดจำกัดของกรอบงานเดิม ในบางกรณีสามารถลดเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก 6 เดือนเหลือเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น อย่างไรก็ตามที่ผ่านมามีองค์กรเพียงส่วนน้อยที่สามารถวิจัยโดยใช้แบบจำลองที่แม่นยำสมจริง หรือนำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องด้วยระบบ Supercomputer ที่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคการประมวลผลสมรรถนะสูง (High Performance Computing: HPC) มีราคาเครื่องสูงตั้งแต่หลักสิบล้านไปจนถึงหลักหมื่นล้านบาท อีกทั้งต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการดูแลรักษาระบบ จึงเป็นการยากแก่การลงทุนเพื่อใช้งานในเฉพาะองค์กร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว และได้รับภารกิจในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ (National S&T Infrastructure: NSTI) จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC)” ขึ้นในปี 2562 ภายในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำหรับให้บริการทรัพยากรเพื่อการทำงานด้าน HPC แก่ภาครัฐและเอกชน มุ่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ   [caption id="attachment_27281" align="aligncenter" width="1001"] ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช.[/caption]   ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ หัวหน้าทีมวิจัยศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. กล่าวว่า ThaiSC ได้ดำเนินงานให้บริการในเฟสแรกตั้งแต่ปี 2562 โดยให้บริการ Supercomputer ที่มี CPU 4,320 Cores, GPU NVIDIA V100 28 ยูนิต, High performance storage ขนาด 700 TB แก่บุคลากร สวทช. และนำร่องหน่วยงานภายนอกแล้วบางส่วน ที่ผ่านมามีผู้ใช้งานประมาณ 250-300 คนต่อปี ให้บริการไปแล้ว 55 ล้านชั่วโมงคำนวณ (Core-hour) เทียบเท่ากับการใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปประมาณ 680 ปี ในปี 2565 ThaiSC จะเปิดให้บริการเฟสที่สองแก่ภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ โดยระบบ Supercomputer ที่ให้บริการจะมีประสิทธิภาพเทียบเท่าระบบชั้นนำของโลก เป็นเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างมากอีกด้วย “นอกจากการให้บริการทรัพยากรคอมพิวเตอร์แล้ว ThaiSC ยังมีทีมนักวิจัยและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี HPC (HPC Application Specialist) ที่สามารถให้คำแนะนำเรื่องการใช้งานเทคโนโลยี HPC แก่ผู้ใช้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ การคำนวณหรือประมวลผลทางด้านชีวสารสนเทศ (Bioinformatics), วิศวกรรม, เคมี-ฟิสิกส์ และ AI (Artificial Intelligence) ขั้นสูง”   [caption id="attachment_27284" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27286" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27285" align="aligncenter" width="1001"] Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27282" align="aligncenter" width="1001"] หน้าจอแสดงการทำงานของเครื่อง Supercomputer[/caption]   [caption id="attachment_27283" align="aligncenter" width="1001"] หน้าจอแสดงการทำงานของเครื่อง Supercomputer[/caption]   ThaiSC ขับเคลื่อนตอบโจทย์การวิจัย 5 ด้าน ดร.มนัสชัย อธิบายว่าจากข้อมูลการให้บริการในเฟสแรก ทำให้เห็นถึงแนวโน้มความต้องการใช้งานเทคโนโลยี HPC ของประเทศไทยใน 5 ด้านหลัก 1. ชีวสารสนเทศและการแพทย์ ที่ต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมปริมาณมหาศาลของคน พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ต่อยอดในงานวิจัยหรือการพัฒนา อาทิ การพัฒนาระบบการแพทย์แม่นยำ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน 2. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่ต้องใช้ระบบ HPC ในขั้นตอนการสอน (Training) AI โมเดลที่มีความซับซ้อนและแม่นยำสูง โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนา ก้าวข้ามการพัฒนาโมเดลขนาดเล็กสู่เทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพ เช่น Digital twin, Smart city, AI ด้านการแพทย์     “ด้านที่ 3. อุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวกับวัสดุศาสตร์ เคมีภัณฑ์ และสารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งจะมีการทำแบบจำลองในระดับอะตอมเพื่อคาดการณ์ลักษณะทางเคมีและชีวภาพ เช่น การพัฒนายา วัคซีน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ แบตเตอรี่ และการพัฒนาวัสดุล้ำยุคต่างๆ 4. การทำแบบจำลอง (Simulation) ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อจำลองการทำงานหรือทดสอบประสิทธิภาพของระบบและผลิตภัณฑ์ เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของยานยนต์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย เพื่อลดการลงทุนสร้างต้นแบบเทคโนโลยี ช่วยลดระยะเวลาในการทดสอบ และสุดท้ายคือ 5. การใช้ประโยชน์เพื่อสังคม เช่น การคำนวณคาดการณ์สภาพอากาศ การจำลองภัยพิบัติ หรือคาดการณ์ระดับค่ามลพิษของประเทศ เพื่อแจ้งให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”       ThaiSC แก้ปัญหาเร่งด่วนระดับชาติ อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญในการให้บริการของ ThaiSC คือ การสนับสนุนการแก้ปัญหาระดับประเทศ ด้วยเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ปัญหาขนาดใหญ่ที่ต้องการการประมวลผลด้วยความรวดเร็วและแม่นยำสูง เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที ดร.มนัสชัย กล่าวว่า ตัวอย่างสำคัญ เช่น ในช่วงภาวะวิกฤติโรคโควิด-19 ระบาดในไทย ThaiSC ได้ให้การสนับสนุนการทำวิจัยแก่หน่วยงานวิจัยต่างๆ เพื่อรับมือกับปัญหา อาทิ การสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการดำเนินโครงการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิคทางเคมีคำนวณขั้นสูง เพื่อใช้ Supercomputer ในการคัดกรองสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในยารักษาโรคที่มีการใช้งานอยู่เดิม ว่าสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการทำงานของไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิตยา (ขณะนั้นยังไม่มียารักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ) และได้ให้บริการแก่กลุ่มวิจัย COVID-19 Network Investigations (CONI) ในการใช้ Supercomputer เพื่อการดำเนินโครงการถอดรหัสจีโนมไวรัสสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย โดยใช้ Supercomputer ในการประมวลผลยืนยันสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ลดเวลาในการคำนวณจาก 1 สัปดาห์ เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้สามารถส่งมอบข้อมูลสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนรับมือการระบาดของโรคได้ทันการณ์     “ล่าสุด ThaiSC ยังได้ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษในการดำเนินโครงการระบบการคาดการณ์สถานการณ์มลพิษทางอากาศ เพื่อใช้ Supercomputer ในการคาดการณ์ปริมาณ PM2.5 ซึ่งสามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า จากเดิมใช้เวลาคำนวณ 11.5 ชั่วโมง/วัน ลดลงเหลือเพียง 45 นาที/วัน ทำให้กรมควบคุมมลพิษสามารถคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ 9 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับมือได้ทันต่อสถานการณ์” ดร.มนัสชัย ทิ้งท้ายว่า นอกจากการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานแก่คนไทยแล้ว ปัจจุบัน ThaiSC ยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างนานาชาติกับประเทศไทยในการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้าน Supercomputer ของโลก เช่น การร่วมกับตัวแทนจากชาติในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN HPC Taskforce) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน HPC ในระดับภูมิภาค หรือการพัฒนาบุคลากร HPC ในภูมิภาคร่วมกับสหภาพยุโรป (EU) ผ่านกิจกรรม EU-ASEAN HPC School ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีในด้านการยกระดับการทำวิจัยและพัฒนาของอาเซียนแล้ว ยังก่อให้เกิดความร่วมมือในการทำวิจัย การพัฒนากำลังคนด้าน HPC ของประเทศ และการแบ่งปันข้อมูลการทำวิจัยระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในอนาคตอีกด้วย ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. มีแผนจะเปิดให้บริการแก่ผู้ใช้งานทั่วประเทศในปี 2565 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอใช้บริการได้ที่ https://thaisc.io/ หรืออีเมล thaisc@nstda.or.th ศูนย์ ThaiSC มีความคาดหวังว่าจะได้สนับสนุนการก้าวข้ามขีดจำกัดการทำงานของคนไทย และมีส่วนในการช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยสู่ระดับสากล     เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์​ สวทช. , ThaiSc สวทช. และ shutterstock
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
ข่าว
 
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
บทความ
 
เทคโนโลยีการผลิต “Cider vinegar” เครื่องดื่มสุขภาพจากผลไม้ไทย
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)   “Cider vinegar” หรือ “น้ำส้มสายชูหมัก” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะกรดแอซีติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเครื่องดื่มประเภทนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ดี ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์ Cider vinegar มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 ผลิตภัณฑ์ Cider vinegar ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย เพราะแม้จะมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ แต่ผู้ประกอบการไทยยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จึงยากแก่การผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรม ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว สำหรับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเป็นกระบวนการผลิตแบบง่ายและต้นทุนต่ำ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้   [caption id="attachment_27165" align="aligncenter" width="450"] นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช.[/caption]   [caption id="attachment_27164" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากไบโอเทค สวทช.[/caption]   นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นการทำวิจัยนี้มาจากความต้องการของบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ผู้ผลิตมังคุดที่ต้องการแก้ปัญหามังคุดล้นตลาดด้วยการนำมาแปรรูปเป็น Cider vinegar เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ พยายามพัฒนากระบวนการหมักกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการหมักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากต่างประเทศก็มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากต่อการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. มีองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์และมีคลังจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากมังคุดในระดับอุตสาหกรรมร่วมกัน “โจทย์ใหญ่ในการพัฒนาคือต้องเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายและต้นทุนไม่สูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการหมักแบบช้า (Slow process) ที่ทำให้ได้ Cider vinegar ที่มีกลิ่นรสเฉพาะของวัตถุดิบโดยไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสารเติมแต่งภายหลังการหมัก โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรผสมที่สามารถผลิตเอทานอลและกรดแอซีติกจากการหมักได้พร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการเดิมต้องหมักถึง 2 ขั้นตอน คือหมักให้เกิดเอทานอลก่อนแล้วนำมาหมักต่อให้ได้กรดแอซีติกภายหลัง     ส่วนที่สองคือการพัฒนาสภาวะที่เหมาะสมและง่ายสำหรับการหมัก เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำส้มสายชูหมักที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการหมักจาก 6 เดือน เหลือเพียง 3 เดือน โดยส่วนของระบบของการหมักมีการออกแบบแยกเป็นยูนิต 1 ยูนิตของการหมักประกอบด้วยถังหมักพลาสติกชนิด food grade ขนาด 100 ลิตร จำนวน 4 ถัง ซึ่งสามารถผลิต cider vinegar ได้ประมาณ 280 ลิตร จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ผู้ผลิตสามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนถังหมักและระบบการให้อากาศเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องหมักครบทุกถัง หรือหากต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตก็ทำได้ง่าย เพียงทำการเพิ่มจำนวนยูนิตของการหมักเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการเตรียมหัวเชื้อจุลินทรีย์และอุปกรณ์การผลิตยังมีราคาถูกและใช้งานง่าย ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อควบคุมการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ที่สำคัญคือ Cider vinegar จากมังคุดที่ผลิตได้ยังมีคุณภาพดีทั้งกลิ่นและรสชาติมีคุณภาพสม่ำเสมอตามมาตรฐาน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่มังคุดมากกว่า 50 เท่า”   [caption id="attachment_27159" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม แบรนด์ Sukina Drink[/caption]   ปัจจุบันบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอสคิวไอ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์ “Cider Vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Sukina Drink” วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์นอกจากสรรพคุณหลักของกรดแอซีติกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว มังคุดยังมีสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ และสารอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ อีกด้วย นายยุทธนา เล่าว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิต Cider vinegar ครอบคลุมวัตถุดิบการเกษตรของไทยได้หลากหลาย เพียงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการมีวัตถุดิบที่มีจุดเด่นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์   [caption id="attachment_27158" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากสัปปะรด แบรนด์ SINAR[/caption]   “ปัจจุบันไบโอเทคได้ขยายผลการใช้งานเทคโนโลยีสู่การผลิต Cider vinegar จากสัปปะรด ให้แก่บริษัทซินอา บริว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกลั่นที่ต้องการขยายตลาดสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีการจำหน่ายสินค้าแล้วใน “แบรนด์ SINAR (ซินอา)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Cider vinegar สูตรไม่ปรุงแต่งรสและปราศจากน้ำตาล จึงเหมาะสำหรับนำไปทำเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ มีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล เหมาะแก่ผู้บริโภคอาหารแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) และผู้ดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ในอนาคตไบโอเทคยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อาทิ กระเทียมดำ ผลเชอร์รีกาแฟ และอ้อย ฯลฯ เนื่องจากตลาด Cider vinegar มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย เอเชียแปซิฟิก รวมถึงตลาดโลก” เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย นับเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)   ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ คือ cider vinegar จากมังคุด (บริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด) สับปะรด (บริษัทซินอา บริว จำกัด) และกระเทียมดำ (บริษัทนพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด) และมีอีก 2 ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเอกชนอีก 2 เจ้าอยู่ระหว่างเตรียมการผลิต คือ cider vinegar จากอ้อย และลำใย   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย : ไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ตอนที่ 10 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=TmQox94fxMM เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ คุณฉวีวรรณ คงแก้ว และคณะ ดร.พศิน อิศรเสนา ณ อยุธยา และคณะ คุณภูริพงศ์ วรรณวิไล และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ และคณะ ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล และ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 9 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=wIlGeZQxY4Q เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ดร.วรายุทธ สะโจมแสง และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา และคณะ ดร.ปิติ อ่ำพายัพ และ ดร.พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล และคณะ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO