หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ขอเชิญฟังเสวนาเรื่อง “สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก”
🌿 สมุนไพรไทยมีคุณค่า…ไม่ใช่แค่กัญชาที่ขายได้!! มารู้เรื่องที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของสมุนไพรไทย และมาดูกันว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนตลาดสมุนไพรในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างไร หาคำตอบได้ที่ 💚Bi🌏D Talk Episode#5 🌱 เสวนา : สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก 🌏 🗓 วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2564 🕑 เวลา 14.00 - 15.30 น. 💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ 🔻 ภาพรวมการตลาดของสมุนไพรไทยและโลก 🔻 ชนิดสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสร้างเศรษฐกิจ BCG ของประเทศได้อย่างยั่งยืน 🔻 แนวทางการวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับสมุนไพรไทย 🔻 กฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย .......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร 🔈 เสวนาออนไลน์ฟรี❗️ ผ่านโปรแกรม Webex Event Meeting number: 2516 402 6878 Password: NSTDA_Biodtalk5 📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง 👉🏻 https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=me512b763c3f926f68c4d8d19827150b8 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่: 084-3062627 (รุ่งรวี), 085-1483890 (พรพงษ์)
BCG
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2564 โดย IMD (2021 IMD World Competitiveness Ranking)
ในปี 2564 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 64 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2021 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้ ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2563-2564 โดย IMD  ประเทศ  สวิตเซอร์แลนด์  สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ไทย ปี 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 2564 2563 อันดับรวม 1 3 2 6 3 2 4 4 5 1 28 29 1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 7 18 16 22 17 21 2 1 1 3 21 14 1.1 เศรษฐกิจในประเทศ 4 4 10 20 12 15 16 12 15 7 41 38 1.2 การค้าระหว่างประเทศ 15 13 17 15 10 24 3 2 1 1 21 5 1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ 12 18 17 16 24 23 4 5 3 3 32 29 1.4 การจ้างงาน 15 30 30 39 22 27 4 3 18 7 3 10 1.5 ระดับราคา 58 57 41 40 42 41 48 46 57 58 37 28 2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ 2 2 9 14 7 4 12 11 5 5 20 23 2.1 ฐานะการคลัง 1 2 7 12 5 4 10 8 12 6 14 17 2.2 นโยบายภาษี 12 8 58 56 56 40 60 50 8 10 4 5 2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน 1 2 3 5 5 1 4 4 7 7 36 40 2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ 10 12 4 7 2 2 7 4 3 3 30 33 2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม 5 5 4 3 3 4 6 8 17 18 43 40 3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 5 9 2 3 1 1 4 4 9 6 21 23 3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ 4 8 3 4 1 1 8 7 14 9 40 41 3.2 ตลาดแรงงาน 6 13 5 16 14 8 2 2 4 3 10 15 3.3 การเงิน 1 1 6 7 7 8 4 4 13 10 24 24 3.4 การบริหารจัดการ 9 16 3 4 1 1 15 15 14 14 22 21 3.5 ทัศนคติและค่านิยม 13 17 4 4 6 3 2 9 9 6 20 20 4. โครงสร้างพื้นฐาน 1 3 2 1 3 2 7 9 11 7 43 44 4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน 5 6 10 7 3 4 6 9 20 18 24 26 4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 8 9 3 2 6 5 2 3 1 1 37 34 4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์  3 2 7 6 11 9 13 13 17 15 38 39 4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม 3 5 1 1 4 2 16 15 25 23 49 49 4.5 การศึกษา 1 3 4 8 3 1 12 14 7 2 56 55 สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ รองลงมาคือ สวีเดน ซึ่งปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ ถัดมาเป็นเดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว อันดับ 5 คือ สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ส่วนไทยได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว สวิตเซอร์แลนด์ได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ มีอันดับ 7 ในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ มีอันดับ 5 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ได้อันดับ 2 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับดีขึ้นอย่างมากของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยการจ้างงานและปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับดีขึ้นถึง 15 อันดับ จากอันดับ 30 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ในขณะที่ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ มีอันดับดีขึ้น 6 อันดับ ได้อันดับ 12 ในปีนี้ จากอันดับ 18 ในปีที่แล้ว ส่วนปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 57 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยตลาดแรงงานและปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ มีอันดับดีขึ้นถึง 7 อันดับ เหมือนกัน เป็นอันดับ 6 และ 9 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย (มีทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย) เล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา สวีเดน ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 4 อันดับ มีอันดับ 2 ในปีนี้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ โดยปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 6 อันดับ เป็นอันดับ 16 ในปีนี้ ซึ่งยังคงครองอันดับในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับดีขึ้น 5 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมามีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 1 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยย่อยการจ้างงาน ที่มีการเลื่อนอันดับขึ้นถึง 10 และ 9 อันดับ จากอันดับ 20 และ 39 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 10 และ 30 ในปีนี้ ตามลำดับ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับในระดับต่ำ ปีที่แล้วได้อันดับ 40 ในขณะที่ปีนี้ได้อันดับ 41 การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ ที่เลื่อนอันดับขึ้น 5, 2 และ 3 อันดับ เป็นอันดับ 7, 3 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยเดียวกันมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับ 56 ในปีที่แล้วและอันดับ 58 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่เลื่อนอันดับขึ้นถึง 11 อันดับ เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ เดนมาร์ก ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 3 ในปีนี้ เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 และ 3 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 17 ในปีนี้ เป็นปัจจัยที่มีอันดับอยู่ในระดับปานกลางนานหลายปี ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ครองอันดับ 1 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีผลอย่างมากทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับเลื่อนลง คือ ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ที่เลื่อนอันดับลงถึง 16 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 56 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับลงเล็กน้อยของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา เนเธอร์แลนด์ยังคงครองอันดับ 4 ไว้เหมือนปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการยังครองอันดับ 4 ทั้งปีที่แล้วและปีนี้ของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และอีก 3 ปัจจัยที่เหลือ ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 12 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังสามารถครองอันดับไว้เท่าเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยการบริหารจัดการ ที่ยังครองอันดับ 2, 4 และ 15 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ตามลำดับ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ ปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 46 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 48 และมีอันดับ 50 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 60 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว สิงคโปร์ ตกลงมาจากปีที่แล้วถึง 4 อันดับ เคยได้อันดับ 1 ในปีที่แล้ว เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 3 และ 4 อันดับ จากอันดับ 6 และ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ ครองอันดับ 5 ไว้เหมือนเดิมทั้งปีนี้และปีที่แล้ว มี 4 ปัจจัยย่อยที่มีผลต่อการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ได้แก่ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ปัจจัยย่อยการเงิน และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา โดยเฉพาะปัจจัยย่อยการศึกษา มีอันดับลดลง 5 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยระดับราคาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยในปีนี้ได้อันดับ 57 ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 58 สำหรับไทยปีนี้ได้อันดับ 28 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 29 ในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับ มีอันดับ 20 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ มีอันดับ 21 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ทำให้ในปีนี้เป็นปีแรกที่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง แต่ที่ผ่านมาหลายปีมีอันดับค่อนไปทางที่ดี ในขณะที่ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับดีปานกลางไว้ในปีนี้เหมือนที่ผ่านมาหลายปี ส่วนปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีไว้ในปีนี้เหมือนหลายปีที่ผ่านมา การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 4 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ โดยเฉพาะปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ จากอันดับ 40 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 36 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยตลาดแรงงาน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 2 ปัจจัยย่อยเล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานและปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมดปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุดถึง 16 อันดับ จากอันดับ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีและไม่ดีทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 40 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 43 2. ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับ 41 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 40 3. ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 49 ทั้งในปีที่แล้วและปีนี้ 4. ปัจจัยย่อยการศึกษาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับ 55 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 56 ทำให้ปัจจัยย่อยการศึกษามีอันดับต่ำที่สุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากในปีนี้ ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการจ้างงาน มีอันดับ 3 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ 2. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษี มีอันดับ 4 ในปีนี้ ในขณะที่ปีที่แล้วได้อันดับ 5 คงเป็นข่าวดีสำหรับไทยที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่แล้ว แต่ยังต้องพัฒนาอีกหลายด้านเนื่องจากในปีนี้ได้อันดับ 28 ซึ่งเป็นอันดับระดับปานกลาง เพื่อในปีหน้าไทยจะมีอันดับรวมดีขึ้นกว่านี้มาก โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ซึ่งทั้งสองด้านมีอันดับที่ต่ำมากและต่ำที่สุด ตามลำดับ ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด
นานาสาระน่ารู้
 
ENTEC สวทช. ได้รับทุนวิจัยเรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap จาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund
ดร.นุวงศ์ ชลคุป หัวหน้าทีมวิจัยพลังงานทดแทนและประสิทธิภาพพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ASEAN-Korea Economic Cooperation (AKEC) Fund ภายใต้ Free Trade Agreement Framework เรื่อง Strategic Integration of Electric Vehicle into ASEAN Biofuel Roadmap มูลค่า $291,900.40 หรือ ประมาณ 9,649,136.7 1 บาท เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 โดยมี ASEAN Centre for Energy (ACE) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) Ministry of Trade, Industry and Energy (MOTIE) และ Republic of Korea (ROK) เป็นหน่วยงานพันธมิตร โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อหากลยุทธ์ในการรองรับเทคโนโลยีพลิกโฉม (disruptive technology ) ด้าน ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) ต่อแนวทางการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในประชาคมอาเซียน โดยเป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดย ENTEC และ ACE ในการทำ ASEAN Biofuel R&D Roadmap ภายใต้เครือข่ายด้านพลังงานหมุนเวียนอาเชียน หรือ ASEAN Renewable Energy Sub-sector Network (RE-SSN) ที่มี พพ. เป็นตัวแทนประเทศไทย ทั้งนี้การพัฒนาร่วมกันระหว่าง เชื้อเพลิงชีวภาพในยานยนต์ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาท จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas (GHG) ได้อย่างมีนัยยะสำคัญในภูมิภาคอาเซียนได้ ซึ่งสอดคล้องกับการบรรลุความสำเร็จในด้าน Climate Commitment ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) ตลอดจนแนวโน้มความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งประเทศไทยจะมีการประกาศเป้าหมายในที่ประชุม COP26 ที่ Glasgow
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ตอนที่ 15 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/kNtZjqKeTz8เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจรวดเร็วความไวสูงสำหรับตรวจหาเชื้อไวรัสในโรคไข้หัดสุนัข”ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผลงานเรื่อง “Exploration of lignocellulose degrading enzymes from hidden bioresource for biorefinery and green industries”ดร.วีรวัฒน์ รังกุพันธุ์ ผลงานเรื่อง “Yeast cells modified to produce the biofuel isobutanol and other higher alcohols”ดร.วลัยพร เจริญทรัพย์ศรี ผลงานเรื่อง “Climate change impact on the pathogenic Vibrio parahaemolyticus isolates causing acute hepatopancreatic necrosis disease (AHPND)”ดร.วณิลดา รุ่งรัศมี ผลงานเรื่อง “การศึกษาความเกี่ยวข้องของโปรตีน heat shock 90 ต่อระบบสืบพันธุ์ของกุ้งกุลาดำเพศเมีย”ระดับชาติดร.วิรัลดา ภูตะคาม และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจสนิปเพื่อการทดสอบเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์แตงกวา แตงโม แตงเทศ และพริก”, “การศึกษากระบวนการตอบสนองของปะการังต่อการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำทะเลและการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมของปะการังในน่านน้ำไทยเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างยั่งยืน” และ “การพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลและการสร้างแผนที่พันธุกรรมเพื่อค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่มีความสัมพันธ์กับความสูงของลำต้นในปาล์มน้ำมัน”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “ENZease: “two-in-one” enzyme for one-step desizing and scouring process of cotton fabric in textile industry”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
หนังสือ BCG Booklet (English Version)
Download
BCG
 
เอกสารเผยแพร่
 
30th Anniversary Story of NSTDA: นวัตกรรมรับมือ “สังคมผู้สูงอายุ”
  โลกกำลังก้าวเข้าสู่ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ เมื่อประเทศพัฒนาแล้วแทบทุกชาติเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประเทศกำลังพัฒนาเกือบทุกประเทศมีสัดส่วนประชากรของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ประเทศไทยเองกำลังอยู่ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ซึ่งการเข้าสู่สังคมชราภาพนับเป็นความท้าทาย เพราะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีวัยพึ่งพิงมากกว่าวัยทำงานนั้น ย่อมต้องประสบปัญหาทั้งการขาดแคลนแรงงาน สุขภาพ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญต่อการพัฒนางานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ   นวัตกรรม ‘รถเข็นไฟฟ้า’ เพื่อคนพิการและผู้สูงวัย ปัจจุบันมีผู้สูงอายุและคนพิการทางด้านการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องการใช้รถเข็นเพิ่มมากขึ้น ทว่ารถเข็นที่ใช้งานส่วนใหญ่มักเป็นรถเข็นแบบทั่วไป ต้องอาศัยกำลังแรงคนในการใช้มือผลักดัน ในกรณีที่ผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ไม่มีกำลังแขนก็ต้องพึ่งพาคนใกล้ชิด ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระ และไม่สะดวกในการเดินทางนัก ขณะที่รถเข็นไฟฟ้าแม้จะใช้งานง่าย แต่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ตั้งแต่ราคา 20,000-100,000 บาท ทำให้มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงเทคโนโลยีได้   [caption id="attachment_28151" align="aligncenter" width="700"] M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า[/caption]   [caption id="attachment_28152" align="aligncenter" width="700"] ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ดนุ พรหมมินทร์ ทีมวิจัยชีวกลศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้วิจัยพัฒนา ‘M-Wheel อุปกรณ์พ่วงต่อปรับรถเข็นทั่วไปเป็นรถเข็นไฟฟ้า’ ที่สะดวก ปลอดภัย และราคาไม่แพง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้รถเข็นทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือคนพิการที่ยังใช้งานร่างกายท่อนบนได้ดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานได้ดียิ่งขึ้น โดยอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ ชุดขับเคลื่อน ชุดควบคุมการเคลื่อนที่ และชุดแหล่งพลังงาน เน้นใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด สำหรับระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ หากชาร์จไฟฟ้า 8 ชั่วโมง จะใช้งานได้ต่อเนื่องนาน 4 ชั่วโมง หรือระยะทาง 20 กิโลเมตร ซึ่งในกรณีที่แบตเตอรี่หมดสามารถสลับเปลี่ยนการใช้งานจากระบบไฟฟ้ามาเป็นระบบปกติเหมือนเดิมได้ ทั้งนี้ M-Wheel ผ่านการประเมินผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทางไฟฟ้า ด้วยการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้า การป้องกันสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งผ่านการประเมินความเสี่ยงของอุปกรณ์ โดยศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)   Power Lift Bed เตียงนอนสุดล้ำ ลุก-นั่งปลอดภัย ด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมไปตามวัย ทำให้หลายๆ ครั้ง การใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุมีอุปสรรคทั้งในด้านการลุก การนั่ง การยืน และเป็นสาเหตุของการพลัดตกหกล้ม   [caption id="attachment_28153" align="aligncenter" width="700"] Power Lift Bed[/caption]     ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค พัฒนา “Power Lift Bed” เตียงนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยพักฟื้นหลังการผ่าตัด ซึ่งมีกลไกช่วยให้สามารถลุก นั่ง ยืน ได้สะดวกสบาย มีความปลอดภัยสูง โดยมีการออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ใช้งานและควบคุมได้ง่ายผ่านรีโมตคอนโทรล มีตัวหนังสือและสัญลักษณ์อธิบายที่ชัดเจน ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญเตียงยังสามารถปรับหมุนไปด้านซ้าย-ขวาได้ถึง 90 องศา ทำให้ผู้สูงอายุที่นอนอยู่สามารถกดรีโมตปรับเตียงมาอยู่ในท่านั่ง และกดคำสั่งให้เตียงหมุนมาด้านข้างเพื่อนั่งรับประทานอาหาร หรือดูโทรทัศน์ได้ทันที ช่วยให้ผู้สูงอายุพึ่งพาตนเองมากขึ้น สร้างความมั่นใจในการลุกขึ้นนั่งหรือยืน ไม่รู้สึกเป็นภาระต่อครอบครัว ล่าสุด เอ็มเทค สวทช. ได้ร่วมกับบริษัท SB Design Square ปรับรูปลักษณ์เทคโนโลยีให้มีความสวยงาม ทันสมัย มีฟังก์ชันใช้สอยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตอบโจทย์ผู้บริโภค สร้างความรู้สึกที่แตกต่างจากเตียงผู้ป่วยแบบทั่วไป ปัจจุบันมีวางจำหน่ายแล้วที่ SB Design Square หรือสั่งสินค้าออนไลน์ได้ที่ www.sbdesignsquare.com นับเป็นเฟอร์นิเจอร์ทางเลือกใหม่ที่สร้างความอุ่นใจในการใช้ชีวิตภายในบ้านให้กับผู้สูงอายุ   สื่อกระตุ้นความจำ ป้องกันโรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อมเป็นปัญหาที่พบมากในผู้สูงอายุ โดยผู้ป่วยจะมีอาการลืมเลือนสิ่งต่างๆ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ซึ่งผู้ที่ดูแลนอกจากจะต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างมากแล้ว การพยายามกระตุ้นให้ผู้ป่วยคงความสามารถ ด้วยการหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำ เช่น การทายภาพสมาชิกใครอบครัว การเล่นเกม จะช่วยพัฒนาสมองและฟื้นฟูความทรงจำได้มากขึ้น   [caption id="attachment_28155" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28156" align="aligncenter" width="700"] AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง[/caption]   ดร.สิทธา สุขกสิ ทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค ได้พัฒนา “AKIKO ผ้ากระตุ้นสมอง” ที่มีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยผลงานนี้มีลักษณะเป็นผ้าห่มที่ทำจากผ้าไทย มีความสวยงาม เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม เวลาผู้สูงอายุสัมผัสเนื้อผ้าจะรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ หรือบางครั้งเวลาที่ผู้สูงอายุรู้สึกหงุดหงิดเมื่อจับหรือสัมผัสผ้าจะช่วยให้รู้สึกว่าได้คลายความหงุดหงิด ลดความเครียด และความกระวนกระวายใจได้ นอกจากนี้ AKIKO ยังถูกออกแบบให้มีช่องใส่รูปภาพ หรือกลิ่นหอมต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความคุ้นเคยของผู้สูงอายุ ซึ่งนำมาทำเป็นเกมช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสและความทรงจำที่ดีให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมได้ ขณะนี้มีการนำไปใช้จริงในสถานดูแลผู้สูงอายุ และมีบริษัทเอกชนเข้ารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเตรียมผลิตขายเชิงพาณิชย์   [caption id="attachment_28171" align="aligncenter" width="500"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   [caption id="attachment_28157" align="aligncenter" width="700"] MONICA เกมฝึกสมอง[/caption]   นอกจากนี้ยังมี “MONICA เกมฝึกสมอง” สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้น โดยเกมจะช่วยกระตุ้นสมองส่วนต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้งาน ทั้งในเรื่องความจำ การตัดสินใจ การมองเห็นและตอบสนองต่างๆ รวมถึงการใช้ภาษา โดยตัวเกม MONICA จะประกอบด้วยส่วนของโปรแกรมและปุ่มกดที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ การทำงานของเกมจะมีให้เลือกความยากง่าย เน้นการใช้ภาพ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ โดยมีตัวอย่างเกม เช่น เกมเปรียบเทียบภาพปัจจุบันกับภาพก่อนหน้าว่าเหมือนหรือแตกต่าง หากเหมือนกันให้กดเครื่องหมายถูก หากต่างกันให้กดเครื่องหมายผิด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุเล่นเกมผ่านจะมีความรู้สึกภาคภูมิใจ มีความรู้สึกมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ รวมถึงมีการตัดสินใจที่ดีขึ้น   อาหารเคี้ยวกลืนง่าย ปลอดภัย ไม่สำลัก การสำลักน้ำและอาหาร รวมถึงภาวะการกลืนยาก เป็นปัญหาสำคัญของผู้สูงอายุ เกิดจากอวัยวะในช่องปากเสื่อมลงและไม่สามารถดื่มน้ำหรือบริโภคของเหลวได้เหมือนคนปกติ ซึ่งนอกจากอันตรายแล้วยังส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การขาดน้ำ ขาดอาหาร ที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ [caption id="attachment_28158" align="aligncenter" width="500"] ผงเพิ่มความหนืด[/caption]   ดร.ชัยวุฒิ กมลพิลาส นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค ได้ร่วมงานกับบริษัทเอกชน พัฒนา “ผงเพิ่มความหนืด” ที่ใช้เติมในน้ำและเครื่องดื่มให้มีความหนืดเพิ่มขึ้นตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการไหลเข้าสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น ไม่ติดอยู่บริเวณคอหอยหรือหลุดเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสำลักได้ ในเรื่องการบดเคี้ยวอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ทีมวิจัยยังใช้องค์ความรู้ในการปรับโครงสร้างของเนื้อสัตว์ให้เกิดการแตกหักง่ายขึ้น เมื่อผู้สูงอายุรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ง่ายจากการใช้เหงือกหรือการใช้ลิ้นดุนเพื่อให้เนื้อสัมผัสของเนื้อสัตว์แตกตัวเป็นชิ้นเล็กๆ และเกิดการย่อยได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังศึกษาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D food printing) เพื่อตอบรับความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะบุคคลที่คาดว่าจะมีปริมาณมากขึ้นในอนาคต   [caption id="attachment_28159" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   [caption id="attachment_28160" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย[/caption]   นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่ปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวและกลืนง่าย” ผลงานวิจัยของ ดร.นิสภา ศีตะปันย์ ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ใช้เทคโนโลยีกระบวนการปรับโครงสร้างร่วมกับการใช้ตัวปรับเนื้อสัมผัส เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ “เนื้อสัตว์ที่มีเนื้อสัมผัสนุ่ม” บดเคี้ยวง่ายด้วยฟันหรือเหงือก กลืนง่าย มีปริมาณไขมันสัตว์น้อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ที่สำคัญยังคงรูปร่างได้ มีลักษณะปรากฏคล้ายอาหารที่เตรียมจากเนื้อสัตว์ทั่วไป สามารถหั่นหรือตัดเป็นชิ้นได้ จึงนำไปเตรียมเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ คั่วกลิ้ง ลาบหมู มัสมั่นหมู หมูกระเทียม ช่วยให้ความรู้สึกในการบริโภคคงเดิม   [caption id="attachment_28161" align="aligncenter" width="700"] สเต๊กเนื้อนุ่ม[/caption]   ส่วนที่พิเศษสุดคืออาหารปราบเซียนอย่างสเต๊ก ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ ผู้อำนวยการหน่วยวิจัยโพลิเมอร์ เอ็มเทค สามารถพัฒนาตัวปรับเนื้อสัมผัสอาหารสำหรับประเภทเนื้อสัตว์สู่ผลิตภัณฑ์ “สเต๊กเนื้อนุ่ม” พร้อมอุ่นร้อนจากเนื้อหมูหรือเนื้อวัวบดหยาบที่มีปริมาณเนื้อสัตว์มากกว่า 70% โดยน้ำหนัก และมีไขมันน้อยกว่า 5% โดยผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสคล้ายเนื้อชิ้นแต่นุ่มและบดเคี้ยวง่าย ช่วยลดอุปสรรคในการบริโภคของผู้สูงอายุ   ผลิตภัณฑ์จากพืช โปรตีนทางเลือก ไม่เพียงการปรับเนื้อสัมผัสเนื้อสัตว์เพื่อให้ผู้สูงอายุรับประทานได้ง่ายและได้โปรตีนครบถ้วนแล้ว สวทช. ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร “โปรตีนทางเลือก” ทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด อาทิเช่น “Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช” ผลงานวิจัยของ ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค ที่ได้นำความรู้เรื่องการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่ ควบคู่ไปกับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนอาหารต้นแบบ ดังนั้นเมื่อผู้บริโภครับประทาน Ve-Chick จะได้รับความรู้สึกเหมือนรับประทานเนื้อไก่จริง และยังได้รับสารอาหารในปริมาณที่แทบไม่แตกต่างกัน โดยเนื้อไก่ปกติ100 กรัม จะมีโปรตีนประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนัก ขณะที่ Ve-Chick มีโปรตีนประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนัก ที่สำคัญไม่มีคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตที่อาจตกค้างมาในเนื้อไก่   [caption id="attachment_28162" align="aligncenter" width="500"] Ve-Chick ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช[/caption]   [caption id="attachment_28164" align="aligncenter" width="500"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   มีอาหารแล้วต้องมีเครื่องดื่ม ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา “M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว” โดยนำโปรตีนถั่วเขียวมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดโครงสร้างโปรตีนตามต้องการ ร่วมกับการใช้ไฮโดรคอลลอยด์ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการพยุงโครงสร้าง และช่วยในการกระจายตัวของโปรตีนให้คงสภาพได้ดีภายหลังการให้ความร้อนระดับพาสเจอไรซ์ ทำให้ได้เครื่องดื่มโปรตีนสูงชนิดเจลจากโปรตีนพืชที่มีลักษณะปรากฏเป็นเนื้อเดียวกัน และมีเนื้อสัมผัสที่เทียบเคียงได้กับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชนิดเจลทางการค้าที่ไม่มีโปรตีนหรือมีโปรตีนในปริมาณที่ต่ำกว่า โดยผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษานาน 2 สัปดาห์ในตู้เย็น และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาให้สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น  ทั้งนี้ เครื่องดื่ม M-Pro Jelly Drink มีปริมาณโปรตีนสูงกว่าร้อยละ 20 ของปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) หรือร้อยละ 6 โดยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ และมีการเสริมแคลเซียมกว่าร้อยละ 10 ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI)   [caption id="attachment_28163" align="aligncenter" width="700"] M-Pro Jelly Drink เครื่องดื่มโปรตีนสูงจากถั่วเขียว[/caption]   [caption id="attachment_28165" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศิริกาญจน์ วิเศษสุวรรณภูมิ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]            ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างผลงานการวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุดำรงชีวิตพึ่งพาตนเองได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข สอดคล้องกับนโยบายโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
30 ปี สวทช.
 
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ตอนที่ 14 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=uV-DsDCNFBMเผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วยระดับนานาชาติดร.รัฐพล เฉลิมโรจน์ ผลงานเรื่อง “PlantBead Kit”ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว และคณะ ผลงานเรื่อง “สารเคลือบดูดซับความร้อนด้วยอนุภาคนาโนกราฟีน-ซิลิกา สำหรับแผงพลังงานรวมแสงอาทิตย์แบบราง”ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง และคณะ ผลงานเรื่อง “ชุดตรวจวัดปริมาณโปรตีนไกลเคทเตดอัลบูมินเพื่อติดตามเบาหวาน "SugarAL GO sensor"”ดร.มัตถกา คงขาว ผลงานเรื่อง “A development of a new delivery system for HPV vaccine candidates against cervical cancer”ดร.บรรพท ศิริเดชาดิลก ผลงานเรื่อง “High-throughput approach to discover new dengue vaccine”ดร.ดารินทร์ คงคาสุริยะฉาย ผลงานเรื่อง “Thematic Reference Group Report on Innovation and Technology for Health Interventions for Infectious Diseases of Poverty" และ "Global Report on Health Research for Infectious Diseases of Poverty”ระดับชาติดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข ผลงานเรื่อง “เชื้อเพลิงสะอาดและสารหล่อลื่นชีวภาพ : ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเพื่อการพัฒนาปาล์มน้ำมันไทยอย่างยั่งยืน”ดร.ธิดารัตน์ นิ่มเชื้อ ผลงานเรื่อง “การเพิ่มมูลค่าชานอ้อย : การสกัดเซลลูโลสและนาโนเซลลูโลส และการประยุกต์ใช้เป็นวัสดุทางการแพทย์”
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือน มิถุนายน 2564
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 6 เดือน มิถุนายน 2564 ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับขั้นตอนค้นหาและการสมัครทุนวิจัยภายใต้โครงการ Horizon Europe โครงการ Horizon Europe เป็นกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 ที่ครอบคลุมตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021-2027 โครงการวิจัยที่มีแหล่งเงินทุนในการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและระดับโลก โครงการ Horizon Europe สร้างจากพื้นฐานความสำเร็จของโครงการร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมฉบับที่ผ่านมาคือ Horizon 2020 ส่งเสริมความต่อเนื่องในการพัฒนาความเป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ผ่านโครงการวิจัยภายใต้สภาวิจันยุโรป (European Research Council, ERC) และ โครงการ Marie Sktodowsak-Curie action (MCSA) และได้รับประโยชน์ด้านคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ ความช่วยเหลือทางเทคนิค งานวิจัยที่มีคุณค่าจากศูนย์วิจัยร่วม (Joint Research Centre, JRC) และการให้บริการด้านความรู้และวิทยาศาสตร์จากคณะกรรมาธิการยุโรป การสืบค้นหัวข้อโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุน คณะกรรมาธิการยุโรปจะประกาศและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนภายใต้โครงการ Horizon Europe ผ่านทางเว็บพอร์ทัล “Funding & Tenders Portal” โดยสามารถเข้าถึงได้ผ่านลิงค์ https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/programmes/horison การกรองเพื่อหาหัวข้อโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนที่เฉพาะเจาะจง หลังการกดสืบค้นโคงการวิจัยที่เปิดให้ทุนตามความสนใจของนักวิจัยแล้ว ทางเว็บพอร์ทัลจะแสดงรายชื่อโครงการวิจัยที่เปิดเกี่ยวข้อง โดยผู้สืบค้นสามารถกรองรายชื่อโครงการวิจัยได้เพิ่มเติมตามเกณฑ์ที่ต้องการเพื่อที่จะสามารถค้นหาโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น การค้นหาพันธมิตร หลังจากนักวิจัยสืบคืนโครงการวิจัยที่เปิดให้ทุนที่ตรงตามเกณฑ์และความสนใจเรียบร้อยแล้ว แต่ยังขาดพันธมิตรในการร่วมเขียนโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย สามารถค้นหาพันธมิตรได้จาก “Partner Search” https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/how-to-participate/partner-search การสร้างบัญชีผู้ใช้ ในการที่จะสมัครส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย ทางนักวิจัยจำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ใช้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะดูได้แค่ข้อมูลทั่วไปของโครงการแต่ไม่สามารถทำการส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัยในส่วนของ “Start submission” ได้ โดยนักวิจัยสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้ได้ที่ https://webgate.ec.europa.eu/cas/eim/external/register.cgi การลงทะเบียนหน่วยงาน ในการที่จะจัดตั้งคณะทำงาน (consortium) ประกอบไปด้วยหลายพันธมิตร เพื่อสมัครส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย ในแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรจำเป็นต้องมีรหัสประจำตัวที่ออกโดยคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเรียกว่า “รหัสประจำตัวของหน่วยงาน (Participant Identification Code, PIC)” ซึ่งเป็นรหัสเลข 9 หลักที่หน่วยงานจำเป็นต้องใช้ในการลงทะเบียนในกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพหน่วยงานเพื่อขอรีบเลข PIC จากคณะกรรมาธิการยุโรป ได้ที่ https://ec.europa.eu/info/funding-tenders/opportunities/portal/screen/how-to-participate/participant-register การส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย เมื่อคณะทำงาน (consortium) ได้เตรียมโครงร่างข้อเสนอโครการวิจัย เรียบร้อยขั้นตอนสุดท้ายคือ การส่งโครงร่างข้อเสนอโครงการวิจัย โดยผู้สมัครสามารถกดเข้าไปในโครงการวิจัยที่ต้องการสมัคร จากนั้นจะเห็นในส่วนของ “Start submission” จากนั้นกด Start submission และทางระบบจะให้ผู้สมัครลงบัญชีเข้าใช้ตามชื่อบัญชีและรหัสผ่านที่ผู้สมัครได้สร้างไว้ขั้นตอนที่ 4 รัฐสภายุโรปรับร่างกฎหมายสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) เพิ่มเป้าหมายของสหภาพยุโรปในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากร้อยละ 40 เป็นอย่างน้อยร้อยละ 55 ภายในปี ค.ศ. 2030 เพิ่มพื้นที่ป่าเพื่อดูดซับก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Sink มีการปรับปรุงกฎระเบียบการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และป่าไม้ (land use, land-use change and forestry, LULUCF เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023 และทุก ๆ 5 ปีหลังจากนั้น จะประเมินความสอดคล้องในมาตรการต่อเป้าหมายความเป็นกลางด้านสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 – 2050 จัดทำร่างแผนและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับปี ค.ศ. 2040 ภายใน 6 เดือนหลังจากมีการจัดทำการประเมินผลความก้าวหน้า พร้อมทั้งกำหนดเพดานของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหภาพยุโรปจนถึงปี ค.ศ. 2050 สหภาพยุโรปจะจัดสรรร้อยละ 30 ของงบประมาณสำหรับปี ค.ศ. 2021 – 2027 ให้กับโครงการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050   ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย การประกาศใช้กฎหมาย European Climate Law ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมของกระบวนการผลิตสินค้า การลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อป้องกันสารตกค้างในผลผลิต และการผลักดันและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทดแทนสารเคมี นอกจากนี้ประเทศไทยจะต้องแบกรับภาระเกี่ยวกับการเก็บภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน ซึ่งจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องเตรียมการรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการกำหนดนโยบายของประเทศ ในทางกลับกันประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์ในการร่างมาตรการและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ของไทย หรือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยด้านพลังงานสะอาด เช่น การส่งเสริมการลงทุนในระบบรางเพื่อกระตุ้นการเดินทางโดยรถไฟ หรือ การส่งเสริมระบบการผลิตแบบยั่งยืน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ โครงการร่วมทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในภูมิภาคยุโรป ประจำปี 2564 โครงการร่วมทุนเพื่อการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมร่วมกันระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศในภูมิภาคยุโรป (Southeast Asia-Europe Joint Funding Scheme on Research and Innovation, JFS) ได้ประกาศให้ทุนและรับสมัครโครงร่างการวิจัยประจำปี 2564 เป็นการประกาศให้ทุนครั้งที่ 7 ก่อนหน้านี้มีการมอบทุนวิจัยในหัวข้อ เช่น โรคติดเชื้อ การดื้อยาของเชื้อจุลินทรีย์ เมืองอัจฉริยะ การจัดการน้ำแบบบูรณาการ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ที่มาของโครงการ JFS โครงการ SEA-EU-NET เป็น โครงการส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างภูมิภาคอาเซียนและยุโรป จัดตั้งโครงการร่วมทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน โครงการ SEA-EU-NET มีความคิดริเริ่มจัดตั้งโครงการร่วมทุน (joint funding scheme) ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศในสหภาพยุโรปเพื่อกระตุ้นความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดมากขึ้น ทุนนี้จะได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากกระทรวงที่ดำเนินงานด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่ให้ทุนวิจัยจากทั้งสองภูมิภาค โครงการร่วมทุนนี้จะช่วยด้านความสัมพันธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองภูมิภาค รวมถึงโครงการความร่วมมือระดับนานาชาติ เช่น โครงการภายใต้กรอบโครงการ Horizon 2020 และ Horizon Europe การกำกับดูแลของโครงการร่วมทุน JFS) โครงสร้างของการจัดการโครงการร่วมทุน (JFS) แบ่งได้ดังนี้ - คณะกรรมการบริหาร (Governing board) ได้แก่ ตัวแทนจากองค์กรต่าง ๆ ที่ร่วมให้ทุน - สภาวิทยาศาสตร์ (Scientific council) ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหัวข้อโครงการวิจัย และทำหน้าที่ประเมินผลของโครงการวิจัยที่สมัครเพื่อขอรับทุน - สำนักเลขาธิการ (Secretariat) ดำเนินงานเปิดรับสมัครโครงร่างงานวิจัย และดำเนินการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โครงการ FFS ประจำปี ค.ศ.2021 โครงการนี้เป็นโครงการย่อยภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 หรือ Horizon Europe โดยหน่วยงานจากประเทศไทยมีสิทธิ์ในการสมัครขอรับทุนเนื่องจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และสร้างนวัตกรรมภายใต้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หัวข้อโครงการวิจัย 1.การผลิตอาหารอย่างยั่งยืน 2.การรับมือและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210712151131-pdf.pdf                  
นานาสาระน่ารู้
 
ไขเคล็ดลับ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’ คว้าแชมป์ ‘AHiS’ ปลูกโหระพาบนโลกเทียบผลกับบนอวกาศ
  ไม่บ่อยครั้งที่เด็กและเยาวชนไทยจะได้ทำการทดลองบนโลกคู่ขนานกับการทดลองบนอวกาศ แต่ในที่สุดโอกาสดีๆ ก็มาถึงแล้ว เมื่อสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตรจัดโครงการ Asian Herb in Space หรือ AHiS ขึ้นเมื่อต้นปี 2564 เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยกว่า 300 ทีมทั่วประเทศได้ทดลองปลูกโหระพา ราชาพืชสมุนไพรบนโลก เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบผลกับที่นักบินอวกาศปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)     กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า โครงการ Asian Herb in Space เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอวกาศ ในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะเรื่องสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Microgravity) ซึ่งความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากระบวนการผลิตอาหารต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการที่เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้าน STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) ผ่านการลงมือเรียนรู้ด้วยตนเอง (Project-based learning) อีกด้วย “เด็กและเยาวชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการ AHiS จะได้รับชุดอุปกรณ์สำหรับทำการทดลองปลูกต้นโหระพา 2 โครงงาน โครงงานแรกเป็นการทดลองปลูกต้นโหระพาเป็นระยะเวลา 30 วัน ด้วยปัจจัยควบคุมที่เหมือนกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการ ทั้งเมล็ด ภาชนะเพาะปลูก วัสดุเพาะปลูก ปุ๋ย อุณหภูมิ และความชื้น ฯลฯ เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าการปลูกโหระพาบนโลกกับบนสถานีอวกาศที่มีระดับแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตอย่างไรบ้าง ส่วนโครงงานที่ 2 เป็นโครงงานอิสระ ผู้สมัครสามารถเลือกว่าจะทำโครงงานนี้หรือไม่ก็ได้ โดยมีโจทย์คือให้ตั้งตัวแปรควบคุมที่คาดว่าจะมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นโหระพาเพิ่มเติม แล้วทำการทดลองอีก 1 การทดลอง เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกับโครงงานที่ 1 จากนั้นหลังจากสิ้นสุดการทดลองเป็นระยะเวลา 30 วัน ให้ทุกทีมที่สมัครเข้าร่วมส่งสรุปการทดลองมายังโครงการฯ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาสรุปการทดลองของแต่ละทีม แล้วคัดเลือกผู้ชนะที่มีกระบวนการการทดลองเป็นระบบ มีความถูกต้องตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และมีการรายงานผลการทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ชนะ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการ AHiS ได้ประกาศผลทีมผู้ชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ ทีม AHiS034 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย”   AHiS034 ใช้ “ทรัพยากรที่มี”​ เป็นตัวแปรควบคุม เยาวชนทีม AHiS034 ประกอบด้วยเด็กชายปัณณทัต อรุณพัลลภ (เหว่ยซัน) เด็กชายปฐวี จารุกิจขจร (ต้าเหว่ย) และเด็กชายธชย จารุวิศิษฏ์ (คิริน) พวกเขาเริ่มต้นลงชื่อเข้าโครงการ AHiS ตั้งแต่ต้นปี 2564 ตอนที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบหมาดๆ ก่อนจะใช้ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่มีวางแผนการทดลองอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้     ปัณณทัตเล่าถึงเหตุผลที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ว่า ตนเองและเพื่อนอีก 2 คน ต่างมีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมุมที่ต่างกัน แต่ความสนใจเหล่านั้นบังเอิญมาตรงกับโจทย์การทดลองของโครงการนี้พอดี ทั้งเรื่องพฤกษศาสตร์ ชีววิทยา และอวกาศ จึงเป็นเหตุผลให้ได้มารวมตัวกันสมัครเข้าการแข่งขันนี้ และได้ขอให้ครูที่โรงเรียนช่วยเป็นที่ปรึกษาประจำทีมให้ “ในการแข่งขันโครงการนี้ มีโจทย์การทดลองเป็น 2 โครงงาน คือ การปลูกโหระพาในปัจจัยควบคุมที่คล้ายกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการแตกต่างกันที่ระดับแรงโน้มถ่วง และอีกโครงงานเป็นโครงงานอิสระ ให้แต่ละทีมออกแบบตัวแปรควบคุมในการปลูกต้นโหระพาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่ออัตราการเจริญเติบโต ซึ่งจากการตัดสินใจร่วมกันในทีมได้ข้อสรุปว่า ‘จะทำการทดลองทั้ง 2 โครงงาน เพื่อให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น’ จากการศึกษาคู่มือหลายครั้งและศึกษาเกี่ยวกับต้นโหระพาอย่างละเอียดตามคำแนะนำของครูที่ปรึกษา จึงทำให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญว่า ‘ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นโหระพา’ กับ ‘สภาพแวดล้อมบนสถานีอวกาศ’ มีจุดที่เชื่อมโยงกันคือ ‘ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)’ เพราะโหระพาเป็นพืชในกลุ่ม C3[1] ที่ต้องได้รับปริมาณ CO2 มากพอจึงจะสามารถสังเคราะห์อาหารได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่บนสถานีอวกาศมีปริมาณ CO2  มากกว่าสภาพแวดล้อมปกติบนโลกถึง 10 เท่า (อ้างอิงจากคู่มือประกอบการทดลองของทาง JAXA) ทีมจึงตัดสินใจใช้ CO2  เป็นตัวแปรควบคุมในการทำโครงงานที่สอง เพื่อศึกษาว่าหากต้นโหระพาที่ปลูกบนโลกได้รับ CO2 ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตที่มากขึ้นหรือไม่” (more…)
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ตอนที่ 13 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://youtu.be/3Fa1UNP5Ro0 เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.กนกวรรณ ศันสนะพงษ์ปรีชา ดร.กิตติวุฒิ เกษมวงศ์ ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ ดร.คทา จารุวงศ์รังสี และคณะ ดร.จีราพร ลีลาวัฒนชัย และ ดร.จิตติมา พิริยะพงศา
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
ตอนที่ 12 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=Mu1La0KaNDs เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล คุณอวิรุทธิ์ ศรีสุวรรณ และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.วีรวัฒน์ รังกุพันธุ์ และคณะ ดร.วิรัลดา ภูตะคาม และคณะ และ ดร.ชัยรัตน์ อุทัยพิบูลย์ และคณะ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
สวทช. ส่งมอบนวัตกรรมสนับสนุนการปฏิบัติงานบุคลากรทางการแพทย์
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดโควิด-19 มีหลากหลายนวัตกรรมจากนักวิจัย สวทช. ที่ได้คิดค้นและพัฒนาเพื่อส่งมอบสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดย สวทช. จะเดินหน้าใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ต่อไป พวกเราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับบุคลากรด่านหน้าและเบื้องหลังทุกท่านในความทุ่มเท เสียสละปฎิบัติหน้าที่ป้องกันและรักษาทุกชีวิตมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน https://www.youtube.com/watch?v=vBV2inZzVL8  
คลัง VDO
 
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19